บทนำ เบญจเพส
คุณรู้จักเบญจเพสรึเปล่า
ผมคาดว่าถ้าคุณเกิดและเติบโตบนแผ่นดินไทยมาตลอดก็น่าจะเคยได้ยินมาบ้างแหละ ไอ้เรื่องอาถรรพ์ปีเบญจเพส
ช่วงชีวิตแห่งการเปลี่ยนแปลงที่หากใคร ‘ดวงดี’ ก็จะโชคดีไปตลอด ชีวิตราบรื่นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนใครที่ ‘โชคร้าย’ ส่วนมากผมมักได้ยินแต่เรื่องประสบการณ์ร้ายๆ มา…บางคนอาจจะเจอปัญหาเล็กๆ อย่างอุบัติเหตุเล็กน้อย ถูกหวยกินหลายงวดติด หรือมีปากเสียงกับคนรอบข้าง เริ่มหนักขึ้นมาหน่อยอย่างตกงาน แฟนทิ้ง ถ้าอัพเกรดไปอีกขั้นก็สูญเสียญาติผู้ใหญ่ อุบัติเหตุร้ายแรง หรือกระทั่ง…เสียชีวิต
คุณคิดว่าเบญจเพสคือช่วงอายุเท่าไหร่
ผมว่าคนส่วนใหญ่คิดเหมือนผม…คือยี่สิบห้า ก็นะ…เราเรียนกันมาตลอดนี่นาว่า ‘เบญจ’ แปลว่าห้า เพราะงั้นมันก็น่าจะยี่สิบห้านี่แหละ แต่พอมันเกิดขึ้นกับผมจริงๆ ผมถึงได้รู้ว่าเบญจเพสมันเริ่มได้ตั้งแต่ยี่สิบสี่และสามารถยิงยาวไปได้ถึงยี่สิบหก แล้วแต่ชะตาชีวิตของแต่ละคน
คุณเชื่อเรื่องเบญจเพสไหม
ผมไม่เคยเชื่ออย่างจริงจังมาก่อน จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับตัวผมเอง พอเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า ‘อาถรรพ์เบญจเพส’ ผมถึงได้เชื่อว่ามันมีอยู่จริง นี่สินะที่เขาว่ากันว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา อืม…ผมเป็นคนประเภทนั้นจริงๆ
เบญจเพสของคุณเป็นยังไง
สำหรับผม…อย่างที่บอกมันเริ่มตั้งแต่อายุยี่สิบสี่ หลังผมอายุครบยี่สิบสี่ได้ไม่นานสาวที่ ‘คุยๆ’ กันอยู่จนได้เลื่อนขั้นมาเป็น ‘แฟน’ อย่างลับๆ ถึงครึ่งปี…ตัดสินใจบอกเลิกผมด้วยเหตุผลที่ทำให้ผมต้องยอมปล่อยเธอไป
เธออยากแต่งงานแล้ว
แฟนสาวรุ่นพี่อายุมากกว่าผมสี่ปีและยังเป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตแบบพนักงานออฟฟิศทั่วไป คนรอบตัวเธอเริ่มแต่งงานสร้างครอบครัว มีลูกตัวเล็กๆ ดุ๊กดิ๊กๆ น่ารักอย่างที่เธอเองก็ฝันอยากจะมี แต่ด้วยอายุกับอาชีพของผม…ทำให้ผมยังไม่คิดถึงเรื่องแต่งงาน ที่สำคัญคือเราเพิ่งเป็นแฟนจริงจังกันได้แค่ครึ่งปีด้วย ความรักความผูกพันมันยังไม่ได้มากมายจนผมยอมทิ้งทุกอย่างไปสร้างครอบครัว สุดท้ายจึงจบลงด้วยการจากลา แล้วหลังจากนั้นไม่กี่เดือนเธอก็กลับไปคืนดีกับแฟนเก่าและแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกัน
ผมไม่โกรธเธอนะ แม้จะเจ็บนิดๆ เสียใจหน่อยๆ แต่ผมก็ไม่โกรธเธอ เพราะเธอไม่ได้คบซ้อนไม่ว่าจะกับผมหรือผู้ชายคนนั้น ระหว่างผมกับเธอ…เราจบกันด้วยดี
นั่นแค่เรื่องแรกเท่านั้น พอเคาต์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่ที่ผมจะอายุย่างยี่สิบห้า เรื่องมันก็เริ่มขึ้นมาอีก อาจจะยังดูวนอยู่กับความรักหน่อยๆ นะ แบบว่านางเอกรุ่นพี่ที่ผมแอบปลื้มอยู่และเคยคิดไว้ว่าหากวันนึงทั้งผมและเธอโสด ผมจะลองจีบเธอดูนั้น ยังไม่ทันให้ผมได้ออกตัว ไอ้รุ่นพี่อีกคนก็งาบเธอไปกินเรียบร้อย ผมเลยนกตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม แต่ก็นะ…ช่วงนั้นผมไม่ได้โฟกัสเรื่องความรักจริงจังนัก สองเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นสาบานได้เลยว่าผมไม่ได้คิดถึงเรื่องอาถรรพ์เบญจเพสอะไรนั่นด้วย
จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่เรื่องความปลอดภัยในชีวิตของผม จากอุบัติเหตุเล็กๆ เอ็นอักเสบ คิ้วแตก แก้วบาด ไปจนถึงสลิงขาด และรถชนจนไฟลุกท่วมไปทั้งคัน…ผมถึงได้เชื่ออย่างจริงจังว่า โอเค ผมเข้าสู่วิกฤตเบญจเพสแล้วจริงๆ
แล้วอีเวนต์สำคัญในช่วงเบญจเพสของคุณคืออะไร
ข้อนี้ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นๆ จะมีรึเปล่านะ เคยอ่านเจอมาว่าบางคนซื้อบ้าน ซื้อรถ เรียนจบ ตกงาน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับผม…อีเวนต์สำคัญในช่วงวัยเบญจเพสที่ผมจะจำไปทั้งชีวิตก็คือ
ผมแต่งงาน
ใช่…ปีที่ผมอายุยี่สิบห้า ผม ‘แต่งงาน’ และใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง
เหมือนตลกร้ายเนอะ…เพราะยังไม่พร้อมสำหรับการแต่งงานผมจึงเลิกกับอดีตคนรัก ปล่อยให้เธอไปเริ่มต้นสร้างครอบครัวกับใครสักคนที่พร้อม
แต่ในปีเดียวกับที่เธอแต่งงาน ผม…ก็แต่งงานด้วยเหมือนกัน
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มในกรอบตาโตหวานมองเอกสารสำคัญที่เพียงแค่ผมประทับลายเซ็นลงไป…ในทางกฎหมายมันจะผูกโยงชีวิตผมและผู้หญิงอีกคนไว้ด้วยกันทันที
ผมอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาขึ้นมองเธอ เห็นเลยว่าในดวงตากลมสีดำใสแจ๋วเหมือนลูกแก้วคู่นั้นมีแววลังเลและคล้ายๆ กำลังส่งคำถามให้ผมว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันถูกต้องแล้วเหรอ
แน่นอนว่าผมไม่รู้ว่ามันถูกหรือเปล่ากับการแต่งงานกับผู้หญิงที่รู้จักพบเจอกันจริงๆ ได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่ที่ผมรู้คือมันเป็นทางออกเดียวสำหรับชีวิตเบญจเพสของผม
ผมยิ้มให้เธอก่อนจะหลุบตามองเอกสารตรงหน้า ตวัดมือเซ็นชื่ออย่างรวดเร็ว
คุณรู้จักเบญจเพสรึเปล่า
ฉันรู้จักนะ และคิดว่าคนส่วนมากในสยามประเทศนี้ก็น่าจะรู้จักมัน แบบว่าคงเคยได้ยินเกี่ยวกับอาถรรพ์เบญจเพสกันมามากมาย ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ฉันเองก็เคยได้ยินมาว่าในวัยเบญจเพสอาจจะเป็นช่วง ‘ชี้เป็นชี้ตาย’ ของใครหลายๆ คน ซึ่งสารภาพตรงนี้เลยว่าเพิ่งไปกูเกิลเจอเรื่องเล่าตำนานเบญจเพสว่าเป็นช่วงชีวิตที่เทวดาจะลงมาตรวจสะสมคะแนนความดีว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าสะสมมามาก…ชีวิตนับจากนี้ก็ราบรื่นหน่อย แต่ถ้าความดีที่สะสมมามันน้อยก็ลำบากกันไป ถือเป็นการตักเตือนให้รีบเร่งทำความดี (ซึ่งฉันว่ามันเป็นกุศโลบายที่ประสบความสำเร็จนะ เพราะพอเจอเรื่องร้ายๆ ซวยๆ กันคนเราจะรีบวิ่งเข้าวัดทำบุญสะเดาะเคราะห์กันยกใหญ่) หรือถ้าคะแนนความดีของคุณอยู่ในเกณฑ์สอบตกขึ้นมาล่ะก็…บางคนอาจจะได้กลับบ้านเก่ากันเลยทีเดียว
คุณคิดว่าเบญจเพสคือช่วงอายุเท่าไหร่
ฉันเคยคิดว่ายี่สิบห้า นิยายกับละครหลายๆ เรื่องเวลาเล่นเกี่ยวกับวัยเบญจเพสก็คืออายุยี่สิบห้าทั้งนั้น แต่หลังจากไปกูเกิลมาฉันถึงเพิ่งรู้ว่ามันมีหลายทฤษฎีอยู่ เคยอ่านเจอว่าบางทีผู้ชายก็เริ่มนับที่ยี่สิบสี่ย่างยี่สิบห้า ส่วนผู้หญิงก็สักช่วงยี่สิบห้าย่างยี่สิบหก แต่กล่าวรวมๆ ก็คือช่วงยี่สิบสี่เป็นต้นไปถึงยี่สิบหก อ้อใช่ มีบางทฤษฎีบอกว่ามันไม่ใช่แค่ช่วงวัยนี้เท่านั้นนะ เกือบทุกช่วงอายุที่ลงท้ายด้วยห้าก็นับเป็นเบญจเพสเหมือนกัน คิดว่าคงให้ระวังตัว หมั่นสะสมความดีตลอดไปมั้ง
คุณเชื่อเรื่องเบญจเพสไหม
ในฐานะผู้หญิงที่ชอบเรื่องลี้ลับและการดูดวง ฉัน ‘เชื่อ’ เรื่องอะไรแบบนี้มาตลอด แต่ก็ออกแนวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งทำนองนั้น
เบญจเพสของคุณเป็นยังไง
เบญจเพสของฉัน…ฉันไม่รู้ว่าควรเริ่มนับมันจากตรงไหนแฮะ ถ้าตามเกณฑ์ก็ควรเริ่มจากยี่สิบสี่เป็นต้นไปล่ะมั้ง และ…อืม ช่วงนั้นถือเป็นช่วงชีวิตที่ดีและมีสีสันมากที่สุดในชีวิตของฉัน มันจะเป็นช่วงเวลาที่ฉันไม่มีวันลืมไปทั้งชีวิต
อีเวนต์สำคัญในช่วงเบญจเพสของคุณคืออะไร
คนอื่นอาจจะเจอเรื่องดีๆ อย่างแต่งงาน คลอดลูก เลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือถ้าเป็นเรื่องไม่ค่อยดีก็อาจจะโดนรถชน ผ่าตัด กระทั่งเสียชีวิต แต่สำหรับฉัน…
ฉันหย่ากับสามี
หลังเข้าสู่อายุยี่สิบห้าได้ไม่ถึงเดือนฉันก็หย่ากับสามีที่ใช้ชีวิตร่วมกันเกือบหนึ่งปีเต็ม แม้จะพยายามบังคับตัวเองให้นิ่งที่สุด แต่ตอนก้มมองเอกสารสำคัญทางกฎหมายที่หากเซ็นชื่อลงไปแล้ว…ระหว่างฉันกับเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องผูกพันกันอีก…
น้ำตาหยดหนึ่งก็ร่วงลงสู่กระดาษ
ฉันสูดลมหายใจลึก เลื่อนสายตาไปยังมือของใครบางคนที่กุมหลังมือของฉันเอาไว้โดยไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขา
ผู้ชายที่ฉันยังรักอยู่เต็มหัวใจ
แม้ลึกลงไปจะเจ็บปวดมากแค่ไหน และถึงเขาจะบอกว่าเราไม่เซ็นมันลงไปก็ได้ แต่สุดท้ายแล้ว…
…ฉันก็ยังตวัดปากกาเซ็นชื่อลงไปอยู่ดี
บทที่ 1 แต่งงานเถอะนะเหมือน
‘มนายุ’ คิดว่าจริงๆ แล้วตัวเองไม่ได้สนใจเชื่อเรื่องดวงชะตาอะไรเท่าใดนัก เวลาหมอดูหรือหมอเดาที่ทำนายทายทักให้เขาในฐานะบุคคลผู้มีชื่อเสียง พระเอกหนุ่มหน้าหวานผู้มักจะโดนชาวเน็ตแซวและแซะถึงรสนิยมทางเพศอยู่เสมอก็มักจะเลือกฟังหูไว้หู
‘ไม่เชื่อแต่ก็ไม่ลบหลู่’ ประมาณนั้น
ผิดกับมารดาของเขา ‘คุณมัทนา’ เป็นคนที่เชื่อเรื่องดวงชะตาราศีมากที่สุดเท่าที่มนายุเคยพบเจอมาในชีวิต
เอาเรื่องพีคที่สุดในความคิดของมนายุนะ ก็คือการที่แม่เลือกจะอดทนอดกลั้นกับการเจ็บท้องคลอดเขาไปได้ถึงหนึ่งวัน เพราะเชื่อที่ซินแสทำนายทายทักว่าถ้าเขาเกิดวันมหามงคลตามที่ท่านให้ไว้ เขาจะกลายเป็นที่รักที่ปรารถนาของผู้คน ไปไหนมาไหนมีแต่คนรักใคร่เอ็นดู แถมอนาคตจะได้เป็นถึงพระเอกเบอร์ต้นๆ ของวงการบันเทิงไทย
ไม่ต้องคิดเลยว่าคุณมัทนาผู้ชื่นชอบดูละครโทรทัศน์เป็นชีวิตจิตใจนั้นจะใจจดใจจ่อกับฤกษ์การคลอดลูกชายคนเดียวมากขนาดไหน ในเมื่อยังไงเขาก็ต้องออกมาเดือนนั้นอยู่แล้ว แถมกำหนดคลอดยังอยู่ระหว่างวันมงคลที่ซินแสให้มา ท่านจึงตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าจะคลอดเขาในวันมงคลวันนั้นให้ได้
และแม่เขาเป็นผู้หญิงที่มุ่งมั่นตั้งใจกับอะไรแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ เมื่อมนายุทำท่าจะดื้อออกมาดูโลกก่อนกำหนดหนึ่งวัน คุณมัทนาก็ตัดสินใจอดทนนอนปวดท้องอยู่อย่างนั้นจนรุ่งสางวันฤกษ์มงคลถึงได้คลอดเขาออกมาอย่างปลอดภัย…ทั้งที่เกือบยี่สิบห้าปีก่อนนั้นการแพทย์ยังไม่พัฒนาอย่างวันนี้และมีความเสี่ยงสูงมากก็ตาม
นอกจากเรื่องคลอดลูกแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่คุณมัทนาเชื่อซินแสเอามากๆ จนยายเขายังค่อนขอดว่าเชื่อมากกว่าพ่อแม่ครูอาจารย์รวมกันซะอีก แต่เมื่อภาพรวมของการเชื่อซินแสทุกอย่างออกมา ‘ดี’ สมความปรารถนา คนรอบข้างแม่เลยตัดสินใจปล่อยผ่าน เพราะอย่างน้อยที่สุดยังโชคดีว่าท่านเลือกเชื่อแค่ซินแสคนเดียว ไม่ได้ตระเวนเชื่อหมอดูหมอเดาเจ้าพ่อที่ไหนไปทั่วอย่างคนงมงายจนไร้สติ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะว่ามีช่วงหนึ่งที่คุณมัทนาหน้ามืดดูดวงไปทั่วแล้วโดนหลอกเอาก็ได้
อย่างไรก็ตามตอนเขาอายุสิบแปดได้ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างไม่ตั้งใจ (หมายถึงเขาไม่ตั้งใจ แต่แม่น่ะโคตรตั้งใจ) ด้วยคำชี้นำถึงฤกษ์มงคลต่างๆ รวมถึงข้อควรระวังจากซินแสท่านเดิมที่อายุเจ็ดสิบเฉียดแปดสิบเข้าไปแล้ว จนเขากลายเป็นพระเอกละครมีชื่อเสียงเหมือนที่ชายชราทำนายทายทักตั้งแต่อยู่ในท้อง แม่ก็ยิ่งศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อซินแสเองแค่แนะนำ ดูดวงชะตาทั่วๆ ไป ไม่ได้เรียกร้องเงินทองของเซ่นไหว้แก้บนอะไรนอกจากการทำบุญตามพวกสถานสงเคราะห์ต่างๆ หรือบริจาคเงินให้ตามมูลนิธิ ซึ่งไม่ได้ใช้เงินมหาศาล มนายุเลยไม่เคยมีปัญหาอะไรกับความเชื่อของแม่มาก่อน
และเขาก็ไม่เคยคิดเลยว่า…วันหนึ่งเขาจะมีปัญหากับมัน
อันที่จริงชายหนุ่มจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ไม่มากนัก ในความทรงจำพร่าเลือน…มนายุจำได้เพียงว่าเขากำลังโหนตัวอยู่กลางอากาศด้วยสลิงเส้นบางที่ได้มีการซักซ้อมไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน และมันใช้งานได้ดีมาตลอด กระทั่งตอนแสดงจริง…ในงานอีเวนต์ที่มีสายตาของผู้คนมากมายจับจ้อง กล้องหลายตัวของทั้งสื่อมวลชน เจ้าของงาน และบรรดาแฟนคลับที่ตามมาให้กำลังใจอย่างเหนียวแน่นกำลังเก็บภาพทุกอย่างอย่างตั้งใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าขณะที่เขาลอยตัวอยู่ห่างจากผืนน้ำไม่กี่เมตร…สลิงเจ้ากรรมกลับขาดขึ้นมา จนร่างสูงดิ่งลงอย่างรวดเร็วโดยไม่สามารถควบคุมได้และกระแทกน้ำในสระอย่างรุนแรงจนสาดกระจายเป็นวงกว้าง
แม้ในความเป็นจริงมนายุจะรู้สึกว่าเขายังดวงดีอยู่มากที่พื้นด้านล่างเป็นสระว่ายน้ำ ไม่ใช่อิฐหินปูนทราย คอนกรีต หรือกระทั่งสนามหญ้า ดังนั้นนอกจากร่างกระแทกน้ำจนมึน ไม่ทันตั้งตัวจนเผลอกลืนคลอรีนไปหลายอึก และสร้างความตกใจให้กับทุกคนจนต้องรีบหามเขาส่งโรงพยาบาล ทั้งร่างกายและจิตใจเขาก็ไม่ได้รับความเสียหายอื่นอีก
แต่เมื่อรวมกับ ‘ความซวย’ ที่ถาโถมเข้ามาใส่นับตั้งแต่มนายุอายุครบยี่สิบสี่ย่างเข้าสู่ปีที่ยี่สิบห้าเมื่อหลายเดือนก่อน ตั้งแต่อุบัติเหตุต่างๆ ในกองถ่ายทั้งการผิดคิวบู๊จนได้รับบาดเจ็บอยู่เป็นประจำ เอ็นข้อเท้าอักเสบบ้าง คิ้วแตกบ้าง และเรื่องเงินค่าพรีเซ็นเตอร์ก้อนใหญ่ที่ถูกคนดูแลคนเก่าโกงไปนับล้าน รวมถึงเสียชื่อเสียงเพราะถูกแอบอ้างชื่อว่าพัวพันกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมไม่มีมาตรฐาน อย. ซึ่งถูกทลายแก๊งจนกลายเป็นข่าวใหญ่ จนไปถึงอาการป่วยจากโรคไข้เลือดออกที่อาการค่อนข้างหนักจนมารดาของเขาประสาทเสีย ทำให้ทั้งสื่อมวลชน แฟนคลับ คนทั่วไปที่รับรู้ข่าวนี้จากหน้าสื่อต่างๆ และคุณมัทนาต่างปักใจเชื่อว่าเรื่องร้ายทั้งหมดเกิดจาก ‘อาถรรพ์เบญจเพส’ ล้วนๆ
ท่ามกลางความมึนงงขณะถูกเคลื่อนย้ายมายังโรงพยาบาล มนายุคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าข่าวสลิงขาดของเขาต้องกลายเป็นข่าวใหญ่และสร้างความตกใจให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจสักนิดเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงคนป่วยข้างกายจะมีมารดานั่งกุมมือเขาร้องไห้อยู่เงียบๆ แต่ที่ทำให้แปลกใจจนเกือบผงะเห็นจะเป็นประโยคแรกที่หลุดจากปากท่าน
“แต่งงานเถอะนะเหมือน”
หือ?
พระเอกหนุ่มกะพริบตาถี่ ไม่แน่ใจว่าผลจากอุบัติเหตุทำให้สมองเขาเบลอจนฟังมารดาเพี้ยนไปหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณมัทนากันแน่ คำแรกหลังเขาฟื้นจึงเป็นประโยคนี้
“แม่ว่าไงนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะยื่นมือไปรับแก้วน้ำที่ท่านยื่นมาให้ขึ้นดื่ม
“แม่บอกว่าแต่งงานเถอะเหมือน”
“แค่ก! แค่กๆ…” ประโยคเดิมแบบย้ำชัดของมารดาทำเอามนายุซึ่งดูดน้ำอยู่ถึงกับสำลัก และไม่รู้ว่าคุณมัทนากำลังขวัญเสียที่เขาสลิงขาดหรืออย่างไร ท่านถึงได้ร้องเสียงหลงแล้วรีบตบหลังให้
“เหมือน! เหมือนเป็นอะไรมั้ยลูก”
“ไม่…แค่ก! ไม่ครับ” เขาปฏิเสธ ไม่ทันรู้เลยว่าตัวเองหน้าแดงเถือกเพราะการสำลักเมื่อครู่
“แม่ขอโทษนะเหมือน แม่ขอโทษ” คุณแม่ที่ถ่ายทอดความสวยไปยังลูกชายคนเดียวถอนใจเจือสะอื้น รำพันต่อ “เป็นเพราะแม่เอง เพราะแม่ไม่ยอมบอกเหมือน…”
ปกติแม่เป็นผู้หญิงอารมณ์ดี ไม่ค่อยร้องไห้หรือฟูมฟายกับอะไร ทำให้เมื่อท่านเริ่มหลั่งน้ำตาอีกครั้งมนายุถึงกับต้องหันไปมองบิดาที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ
“ป๊าครับ แม่ แม่เขา…” ‘คุณสมภพ’ เลิกคิ้วมองภรรยา ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะรีบเข้าไปประคอง
“มัท…ใจเย็นนะ ลูกปลอดภัยแล้ว”
คุณมัทนาหันไปกอดสามีไว้ พึมพำกับแผ่นอกที่พักพิงมายี่สิบกว่าปี
“แต่ลูกก็เกือบไม่ปลอดภัย เป็นเพราะมัทเอง เพราะมัทไม่ได้บอกลูก เพราะมัทไม่ได้รีบบอกให้เหมือนสะเดาะเคราะห์ ฮึก…”
หลังจากมนายุเกิดเรื่องร้ายๆ ติดต่อกันคุณมัทนาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ คำทำนายเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนที่ว่าชีวิตลูกชายจะราบรื่นสงบสุขเพียงยี่สิบสี่ปีแรกและอาจเจอ ‘จุดเปลี่ยน’ ตอนย่างยี่สิบห้าทำให้ท่านตัดสินใจกลับบ้านเกิดไปหาซินแสที่นับถือมาทั้งชีวิต กระทั่งได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีสะเดาะเคราะห์ที่แม้แต่คุณมัทนาเองได้ฟังในครั้งแรก…ยังไม่คิดจะเชื่อและเป็นครั้งแรกที่คิดจะต่อต้านคำพูดของซินแส
แต่เมื่อมาถึงวันนี้…ต่อให้มันอาจเป็นจริงเพียงเปอร์เซ็นต์เดียว ท่านก็อยากจะ ‘เสี่ยง’ เชื่อดู!
“ถึงคุณจะบอกก่อนหน้านี้ เหมือนก็แต่งไม่ได้หรอกมัท เรายังไม่เจอผู้หญิงคนนั้นเลยด้วยซ้ำนะ”
ตั้งแต่โตขึ้นมาไม่บ่อยครั้งนักที่มนายุจะนั่งหันไปมองพ่อทีแม่ทีแบบตอนนี้ และยิ่งฟังบทสนทนาของพวกท่านมากเท่าไหร่ชายหนุ่มก็ยิ่งงงและเริ่มปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
หนุ่มใหญ่ผู้ถ่ายทอดโครงร่างและความสูงไปให้ลูกชายเหลือบเห็นอาการของลูกจึงตบหลังภรรยาเบาๆ
“มัท คุณหยุดร้องเถอะ เหมือนปวดหัวแล้ว ให้ลูกพักก่อน อีกอย่าง…” คุณพ่อวัยห้าสิบที่ยังคงเค้าความหล่อเหลาในอดีตไว้ได้เหลือบตามองประตูห้องพักฟื้นพิเศษที่อาจจะมีใครก้าวเข้ามาได้ทุกเมื่อ “ผมว่าเราไม่ควรพูดเรื่องแบบนี้ที่นี่นะมัท”
คุณมัทนาผู้กำลังเสียขวัญเหลือบตามองตาม พยักหน้าถี่ๆ ก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดของสามี แล้วโผไปลูบหัวลูบไหล่ลูกชายคนเดียว ค่อยๆ ดันร่างสูงในชุดคนไข้ให้นอนลงกับเตียงอีกครั้ง
“ฮึก จริงสิ ที่นี่คงไม่เหมาะ แล้วก็…เหมือนปวดหัวมากมั้ยลูก นอนพักสักหน่อยนะลูกนะ”
อันที่จริงมนายุนอนจนเบื่อที่จะนอนแล้ว แต่พอเจอคำพูดแปลกๆ ของแม่ที่เขาฟังยังไงก็ไม่เข้าใจ ชายหนุ่มจึงเริ่มคิดว่าบางทีเขาอาจจะยังมึนๆ เบลอๆ อยู่ ควรจะนอนพักผ่อนอีกรอบ
น่ะ เผื่อว่าตื่นมาอีกทีจะฟังแม่เข้าใจ
“ไม่ครับแม่!” คนป่วยซึ่งได้รับอนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่คอนโดฯ ค้านเสียงแข็งชัดถ้อยชัดคำอย่างที่น้อยครั้งเขาจะทำกับแม่
จากที่คิดว่าพอตื่นขึ้นมาเขาจะฟังที่แม่พูดได้เข้าใจ มาตอนนี้มนายุรู้แล้วว่าไม่เลย เขาไม่เข้าใจที่ท่านพูดและคงไม่มีวันเข้าใจง่ายๆ แน่
คุณมัทนานิ่วหน้าที่ถูกลูกค้าน
ท่านไม่ได้อยากจะบังคับอะไรลูก แต่นี่มันเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของมนายุ ไม่มีทางที่ท่านจะยอมเสี่ยง!
“ทำไมล่ะเหมือน นี่ลูกไม่ห่วงตัวเองเลยหรือไง!”
“ก็ห่วงครับ ห่วง” ใครล่ะจะไม่ห่วงตัวเอง ยิ่งตอนนี้ชีวิตเขากำลังไปได้ไกลบนเส้นทางแห่งวงการบันเทิง เขาเองเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ยังหลงใหลและหวงแหนชื่อเสียงในตอนนี้ และเพราะแบบนั้นน่ะแหละ…
พระเอกแถวหน้าของเมืองไทยถอนหายใจซ้ำ
“แม่ครับ เหมือนกำลังดังมากนะตอนนี้ นี่ละครเหมือนก็เริ่มมีกระแสในประเทศเพื่อนบ้านทั้งจีน ลาว กัมพูชา เวียดนาม และลามไปถึงนิศมา* แล้วด้วย แต่นี่แม่จะให้เหมือน…” หนุ่มหน้าหวานส่ายหัว สีหน้าไม่เห็นด้วย “แม่จะให้…ให้เหมือนแต่งงาน?”
ดับอนาคตตัวเองชัดๆ!
จริงอยู่ว่าในหลายๆ ประเทศพระเอกนางเอกที่แต่งงานแล้วยังได้รับความนิยมและสามารถครองตำแหน่งนั้นต่อไปได้ แต่สำหรับประเทศไทย…น้อยรายนักที่มีครอบครัวแล้วยังจะโด่งดังได้รับความนิยมและแรงสนับสนุนจากแฟนคลับ โดยเฉพาะเมื่อนับกันจริงๆ แล้วเขาเพิ่งก้าวเข้าวงการบันเทิงมาไม่กี่ปี ชื่อเสียงอาจจะโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั้งประเทศ แต่รากฐานกลับยังไม่แข็งแรงมั่นคงมากพอจะเสี่ยง
เอ…จะว่าไปก็มีอยู่คนนึงนะ ที่เพิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไม่กี่ปีแต่ก็ตัดสินใจแต่งงานแล้วเรตติ้งยังไม่ตก
มนายุนึกไปถึง ‘นับนิรันดร์ ไทม์ เทวกาล’ รุ่นพี่หน้าสวยนัยน์ตาสีอำพันโดดเด่นที่เข้าวงการมาไล่ๆ กันและแจ้งเกิดมาจากซีรี่ส์พารานอร์มอลชุดเดียวกับเขา ซีรี่ส์ที่ตอนแรกช่องแค่ทำไปส่งๆ เพราะลิขสิทธิ์ซึ่งซื้อมาดองไว้ใกล้จะหมดอายุเลยตัดสินใจแคสต์นักแสดงหน้าใหม่มาเล่นเพื่อลงเป็นละครเย็น แต่จะด้วยความผิดพลาด…หรือเรียกว่า ‘โชคชะตา’ ก็สุดจะรู้ที่ทำให้ละครฟอร์มยักษ์ชุดใหญ่เกิดปัญหาถ่ายทำล่าช้าลงจอไม่ทัน ช่องจึงได้แต่จำใจหยิบซีรี่ส์พารานอร์มอลขึ้นมาฉายช่วงไพรม์ไทม์เป็นการแก้ขัดโดยไม่คาดหวังเรตติ้งหรือกระแสอะไร แต่กลับผิดคาด เมื่อซีรี่ส์ดังกล่าวได้แหวกกระแสละครช่วงนั้นจนเกิดดังขึ้นมา ทั้งยังได้สร้างพระ-นางสายเลือดใหม่ขึ้นมาอีกหลายคน
สองในนั้นก็คือเขาซึ่งรับบทกามเทพผู้ไม่รู้จักความรัก จนถูกเบื้องบนสั่งให้ลงมาจับคู่ผูกด้ายแดงให้คู่รักแท้หนึ่งร้อยแปดคู่และนับนิรันดร์ผู้โด่งดังเป็นพลุแตกจากบทบาทของพญามัจจุราชผู้เฝ้าตามหาและปกป้องรักเดียวของตัวเองมาหลายภพชาติ จนกลายเป็น ‘สามีแห่งชาติ’ มาตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งๆ ที่กำลังได้รับความนิยมจนเดินสายกวาดรางวัล ‘หนุ่มโสดในฝัน’ ไปแทบทุกเวทีที่จัด แต่ในการประกาศรางวัลหนุ่มโสดในฝันครั้งสุดท้ายที่นับนิรันดร์ได้รับ รุ่นพี่ผู้อายุมากกว่าเขาไม่กี่ปีกลับประกาศแต่งงานมันกลางเวทีรับรางวัลกันเลยทีเดียว
พระเอกหนุ่มจำได้ว่าเขาเป็นอีกคนที่นั่งหน้าเหวอตอนนับนิรันดร์ประกาศแต่งงานและแอบคาดเดาไปว่ารุ่นพี่คงจะเผลอไปทำผู้หญิงท้องเข้าถึงได้ต้องรีบวิวาห์ฟ้าแลบทั้งๆ ที่กำลังดังเป็นพลุแตก ทว่านี่ก็ผ่านมาเป็นปีแล้วที่สื่อนั่งนับเดือนกันก็ยังไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวอะไรออกมา และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ…การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ความนิยมของนับนิรันดร์ลดลง กลับกันความเป็นแฟมิลี่แมนที่ ‘รักเมียมากกก’ ของหนุ่มหน้าสวยยังทำให้เขาโด่งดังอย่างต่อเนื่องถึงขนาดมีเวทีหนึ่งตั้งตำแหน่ง ‘สามีมหาชน’ ขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อมอบให้กับนับนิรันดร์โดยเฉพาะ!
แม้จะมีกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจอย่างนับนิรันดร์อยู่ตรงหน้า แต่มนายุมั่นใจว่าในวงการบันเทิงไทยคงมีไม่กี่คนที่โชคดีอย่างอีกฝ่าย แล้วตัวเขาเองน่ะหรือ
เหอะ! อย่าว่าแต่แต่งงานเลย แค่ข่าวมีแฟนก็เคยทำให้เรตติ้งเขาตกฮวบฮาบมาแล้ว
ยอมรับกันตรงๆ แบบไม่เฟก มนายุหวงแหนทุกอย่างในตอนนี้มาก ทั้งชื่อเสียง ความนิยม และเงินทอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะได้มา ในเมื่อเขามีโอกาสได้มันมาไว้ในมือ ชายหนุ่มก็อยากจะรักษาไว้ให้นานที่สุด สำหรับเขาตอนนี้นอกจากครอบครัวแล้วเรื่องงานคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
สำคัญจนทำให้เขาตัดสินใจเลิกรากับอดีตคนรัก เพราะเขา ‘ให้’ ในสิ่งที่เธอต้องการไม่ได้
แล้วมันจะไม่ทุเรศไปหน่อยหรือไง ทั้งที่เลิกกับเธอเพราะไม่พร้อมสร้างครอบครัว แต่นี่อะไร…เธอเพิ่งแต่งงานไปเมื่อต้นปี เขาก็จะแต่งงานเนี่ยนะ?
“แต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนเบญจเพสของเหมือนให้ดีขึ้นนะลูก”
คุณมัทนาที่อดทนเก็บงำเรื่องวิธีสะเดาะเคราะห์เบญจเพสไว้จนลูกออกจากโรงพยาบาลแย้ง นึกไปถึงคำแนะนำของซินแสหมิงตอนท่านไปพบครั้งล่าสุด คำแนะนำที่ตอนแรกท่านไม่เห็นด้วย แต่พอเจออุบัติเหตุของลูกครั้งนี้ก็ทำให้ต้องตัดสินใจใหม่
ชื่อเสียงเงินทองอาจจะสำคัญ แต่ในชีวิตนี้ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับท่านเท่าลูกชายอีกแล้ว
มือนุ่มลูบผิวแก้มลูกอย่างอ่อนโยน จ้องเข้าไปในดวงตาที่คล้ายคลึงก่อนจะเอ่ย
“เหมือน ไม่ใช่แม่ไม่เข้าใจเหมือน แต่สำหรับแม่เหมือนคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต แม่ไม่อยากมีลูกชายเป็นพระเอกชื่อดังตลอดกาลเพียงเพราะลูกจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย แม่อยากได้ลูก…ที่มีชีวิตมากกว่า”
มนายุสบตาแม่ มองเห็นความรักใคร่หวงแหนในแววตาของท่าน คนเป็นลูกถอนหายใจ ทิ้งหัวลงบนตักนุ่มที่หนุนอิงมาทั้งชีวิต มือแข็งแรงยกขึ้นทาบทับมือแม่ น้ำเสียงอ่อนลง
“แม่ครับ เหมือนเองก็รักชีวิตของเหมือนมากกว่าชื่อเสียงพวกนั้น เหมือนยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากทำ อยากอยู่ดูแลป๊ากับแม่ไปนานๆ แต่ว่า…” เขาถอนหายใจ เลี่ยงที่จะพูดว่าไม่ได้เชื่อในวิธีแต่งงานสะเดาะเคราะห์อะไรนี่เพราะรู้ดีว่ามารดาศรัทธาเชื่อมั่นในตัวซินแสหมิงมาก “เราไม่รู้ด้วยซ้ำนะครับแม่ว่าผู้หญิงที่เกิดหลังเหมือนหนึ่งปี แต่เกิดก่อนเหมือนหนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งวันคนนั้นอยู่ที่ไหน แล้วเหมือนจะแต่งงานได้ยังไง”
วิธีสะเดาะเคราะห์เปลี่ยนเคราะห์เบญจเพสร้ายๆ ให้กลายเป็นดีของซินแสหมิงครั้งนี้เป็นอะไรที่แปลกพิสดารที่สุดเท่าที่มนายุเคยได้ยินท่านกล่าว นั่นคือให้เขารีบแต่งงานกับผู้หญิงที่เกิดหลังเขาหนึ่งปี แต่เกิดก่อนเขาหนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งวันก่อนเขาจะอายุครบยี่สิบห้า และใช้ชีวิตคู่กับเธออย่างน้อยหนึ่งปี หนึ่งเดือน หนึ่งวัน เพื่อใช้ดวงของเธอเกื้อหนุนดวงชะตาเขา แล้วชีวิตที่เหลือของชายหนุ่มจะดีขึ้น ไม่มีเภทภัยมากล้ำกรายอีก ซึ่งหากมนายุไม่สามารถทำได้ล่ะก็…เบญจเพสของเขาจะเป็นเคราะห์หนักซึ่งยากจะผ่านไปได้
“นี่แม่แน่ใจนะครับ ว่าผู้หญิงที่ว่าไม่…ไม่ใช่ลูกหลานอะไรของซินแส”
“เหมือน!” คุณมัทนาแว้ดเสียงแหลม มือที่แตะลูกอย่างอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นตบแก้มเบาๆ “แม่รู้นะว่าเหมือนคิดอะไรอยู่ นี่จะหาว่าซินแสจะหลอกจับคู่เอาลูกเอาหลานมาให้เหมือนล่ะสิ!” คนเป็นแม่มองอย่างรู้ทัน ก่อนจะถอนหายใจ “หึ! ไม่ใช่หรอก ซินแสก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครอยู่ที่ไหน”
“อ้าวแม่” ชายหนุ่มเรียกท่านด้วยน้ำเสียงกึ่งหัวเราะ เอ่ยเย้า “ขนาดซินแสยังไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร แล้วเราจะไปหามาจากไหนล่ะเนี่ย เจ้าสาวของผมน่ะ”
“ก็ซินแสบอกว่าถ้าเจอผู้หญิงคนนั้นแล้ว หยกที่ข้อมือเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง” คุณมัทนาพยักพเยิดไปยังกำไลหยกบนข้อมือซ้ายของลูกชายที่ท่านสวมให้ตั้งแต่เขายังไม่ฟื้น พื้นผิวเรียบเนียนนั่นยังเป็นสีขาวขุ่นและไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนสีได้อย่างที่ซินแสหมิงเคยกล่าว “ถ้าเหมือนมีดวงมากพอ เดี๋ยวเหมือนก็ได้เจอกับเธอ แล้วหยกก็จะเปลี่ยนสี” ท่านพูดด้วยสีหน้ากลุ้มใจ กลัวเหลือเกินว่าลูกจะมีดวงไม่มากพอ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปจี้ขอคำสัญญา “ว่าแต่เหมือนเถอะ พูดแบบนี้หมายความว่าถ้าแม่เจอผู้หญิงคนนั้น เหมือนจะยอมแต่งงานกับเธอเพื่อสะเดาะเคราะห์ใช่มั้ย”
แม้จะยังไม่รู้ว่าจะไปหาว่าที่ลูกสะใภ้แบบนั้นมาจากไหน แต่คุณมัทนาก็รีบคาดคั้นเอาคำสัญญาจากลูกชาย เพื่อที่ว่าถ้าหาเจอลูกจะได้ไม่มาบิดพลิ้วทีหลัง
“เหมือนไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย” หนุ่มหน้าหวานหัวเราะ เขย่าข้อมือซ้ายเล่น พอเหลือบเห็นสีหน้ามารดาเริ่มเคร่งเครียดก็รีบเบียดซบท่านอย่างออดอ้อน “แม่ครับ…” มนายุช้อนตาขึ้นมองแม่ ปรับสีหน้าตัวเองให้จริงจังขึ้น “เหมือนไม่อยากแต่งงานด้วยเหตุผลอื่นนอกจากความรัก”
พระเอกหนุ่มถอนหายใจ ละสายตาจากท่านไปมองผนังห้อง ในสมองปรากฏภาพเหตุการณ์มากมายซึ่งเคยเกิดขึ้นในละครหลายเรื่องที่เขารับบทพระเอก
“เหมือนอาจจะเล่นละครที่ต้องแต่งงานกับนางเอกโดยไม่ได้รักแล้วสุดท้ายก็ลงเอยกันด้วยความรัก แต่ชีวิตจริงมันไม่ใช่ละคร…เหมือนจะรู้ได้ยังไงว่าสุดท้ายแล้วเหมือนกับผู้หญิงคนนั้นจะรักกันได้ จะอยู่ด้วยกันแล้วไม่ตีกันตาย หรือแม่อยากให้เหมือนไม่มีความสุขกับการแต่งงานครับ”
พอหันไปมองท่านมนายุก็เห็นชัดเจนว่าคุณมัทนาปฏิเสธ ชายหนุ่มยิ้ม รู้ดีว่าแม่หวังให้เขามีความสุข
ใช่ แม้จะเป็นเพียงการแต่งงานสะเดาะเคราะห์แค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่มารดาก็ยังปรารถนาให้เขามีความสุขในทุกช่วงเวลาของชีวิต
โดยเฉพาะนี่…มันจะเป็นการแต่งงานครั้งแรกในชีวิตของเขา
“บางทีเหมือนอาจจะรักเขาจริงๆ แต่เขาไม่รักตอบ หรือเขาอาจจะรักเหมือนแต่เหมือนไม่สามารถรักเขาได้ หรือแย่ที่สุด…เราอาจจะเกลียดกัน” พระเอกเจ้าของรางวัลการันตีความสามารถทางการแสดงเน้นเสียงให้หนักแน่นจริงจังขึ้น ทำให้มารดาได้คิดตาม
“แม่ฮะ การแต่งงานมันเป็นเรื่องของคนสองคน ต่อให้เราเจอผู้หญิงคนนั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขา…จะยอมแต่งงานกับเหมือนเพื่อให้เหมือนใช้เขาเสริมดวงสะเดาะเคราะห์เบญจเพส แล้วที่สำคัญที่สุดคือ…”
คุณมัทนาก้มมองลูกชายที่กล่าวต่อด้วยสีหน้าจริงจังกว่าเดิม
“จากประสบการณ์แต่งงานเพราะเงื่อนไขอื่นนอกจากความรักมาอย่างโชกโชน…กว่าจะได้เข้าหอกันจริงๆ ก็โน่นนน แต่งกันไปจนเกือบจะหย่าแล้ว เหมือนไม่อยากเป็นอย่างไอ้คุณไนล์กับไอ้คุณยะนะครับ…โอ๊ย! แม่ แม่ตีเหมือนทำไมเนี่ย เหมือนเจ็บน้าาา”
คนเป็นแม่มองสีหน้าเจ็บปวดจอมปลอมของพระเอกดังอย่างหมั่นไส้ ฟาดเข้าไปอีกทีเบาๆ อย่างเกรงใจว่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อเช้า
“ดี เจ็บสิดี ทะลึ่งทะเล้นนักนะเรา แม่อุตส่าห์ตั้งใจฟังจนเกือบคล้อยตาม ที่ไหนได้…” ใบหน้าที่ยังคงความงามแม้วัยจะล่วงเข้าสู่เลขห้าส่ายไปมาอย่างอ่อนใจ ย้ำอีกครั้งว่า “ไม่รู้ล่ะ ถ้าแม่หาเจ้าสาวของลูกเจอ เหมือนจะต้องแต่งงานกับเธอ!”
ฟังคำยืนกรานของแม่แล้วมนายุก็ได้แต่กลอกตา นึกเซ็งตัวเองที่หลุดพูดเรื่องไร้สาระออกไป!
หลังออดอ้อนจนมารดาคลายความกังวลลงได้บ้างจนท่านออกปากให้เขากลับไปพักต่อในห้องตัวเอง ชายหนุ่มก็ทิ้งแผ่นหลังลงบนเตียงกว้าง ยกข้อมือซ้ายขึ้นสูงในระดับสายตา ปลายนิ้วลูบผิวเย็นของหยกเนื้อดี ก่อนจะจับมันพลิกไปมา พึมพำอย่างไม่เชื่อถือนัก
“ไอ้หยกขาวๆ นี่มันจะเปลี่ยนสีได้จริงๆ เหรอ” หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่น ดวงตายังจ้องเขม็ง “ใช้หลักการอะไรกัน หรือว่าหลักไสยศาสตร์นะ?”
พระเอกหนุ่มแค่นหัวเราะ ปล่อยแขนตกลงข้างลำตัว
นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขารู้สึกว่าซินแสหมิงของแม่อาจเป็นพวกต้มตุ๋นลวงโลก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.