บทที่ 10 Will you marry me?
โดยไม่รอคำตอบจากคนที่เขาตั้งคำถามมนายุก็หันกลับไปทางเดิม เหม่อมองก้อนเมฆสีครึ้มคล้ายกำลังส่งสัญญาณว่าไม่นานนับจากนี้…หยดน้ำมากมายจะร่วงหล่นจากฟ้า
“ป๊าโดนรถชนเพราะผม” ทั้งที่พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เรียบนิ่งที่สุด แต่น่าเจ็บใจเมื่อสุดท้ายปลายเสียงยังสั่นพร่าอยู่ดี พระเอกหนุ่มเจ้าของรางวัลหลายเวทีจึงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเป็นการเรียกกำลังใจให้ตัวเอง “จริงๆ แล้ววันนี้คนที่ต้องไปรับกล้องคือผม แต่ผมติดถ่ายซ่อมฉากสำคัญจึงออกจากกองช้ากว่าที่คิดไว้ ป๊าเลยอาสาเป็นคนไปเอากล้องให้”
สองมือของคนเล่ากำหมัดแน่น ยังจำได้ถึงน้ำเสียงเจือสะอื้นของมารดาตอนโทรศัพท์มาบอกข่าวร้ายว่าขณะกำลังจะข้ามถนนไปยังร้านกล้องเจ้าประจำของเขาเพื่อรับกล้องรุ่นเก่าซึ่งมนายุหาซื้อและเฝ้ารอมาหลายเดือนนั้น บิดาถูกรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งแหกไฟแดงมาชนจนล้มไปกองกับพื้นถนน ศีรษะท่านกระแทกอย่างจังจนหมดสติไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงหวีดร้องของบรรดาไทยมุงแถวนั้น ก่อนจะถูกเจ้าของร้านซึ่งเห็นเหตุการณ์ช่วยนำส่งโรงพยาบาล
ตลอดระยะเวลาที่คุณสมภพอยู่ในห้องฉุกเฉินและมนายุรีบขอตัวออกมาจากกองถ่ายละคร คุณมัทนาได้แต่นั่งประสานมือร้องไห้อยู่เพียงลำพัง กลัวว่าคู่ชีวิตจะไม่สามารถรักษาสัญญาที่ว่าจะกุมมือกันไปจนแก่เฒ่าไว้ได้
ภาพที่มนายุได้เห็นตอนมาถึง…ก็คือแม่เขาเอาแต่ลูบแหวนแต่งงานที่พ่อให้ท่านไว้เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนไว้ทั้งน้ำตา
และนั่น…ทำให้เขาทั้งเจ็บปวดและหวาดกลัวยิ่งกว่าวันที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อหลายเดือนก่อนเสียอีก
ชายหนุ่มได้แต่ก้าวเท้าเข้าไปสวมกอดมารดาไว้แน่น กระซิบปลอบท่านย้ำๆ ว่า
‘ป๊าต้องไม่เป็นอะไร แม่เชื่อเหมือนนะ ป๊าต้องไม่เป็นไร’
แท้จริงแล้วประโยคนั้นเป็นทั้งคำปลอบโยนคุณมัทนาและการภาวนาไปพร้อมๆ กัน ในช่วงเวลาที่เฝ้ารอแพทย์หรือพยาบาลออกมาแจ้งอาการนั้น มนายุถึงกับอดคิดไม่ได้ว่า…มันเป็นเพราะเขา
อุบัติเหตุในครั้งนี้มันเป็นเพราะเขา เพราะดวงเบญจเพสของเขาที่ทำร้ายลามไปถึงคนที่เขารัก
ถ้าไม่ใช่เพราะเบญจเพสของเขา…ถ้าไม่ใช่เพราะไปรับกล้องแทนเขา…ไม่มีทางที่ป๊าจะต้องโดนรถชนแบบนั้น…ไม่มีทาง
ลงที่เขาสิ…ถ้าหากนี่มันเป็นเคราะห์ร้ายของเขา ไม่ว่าจะเป็นเคราะห์เล็กหรือเคราะห์ใหญ่ที่ถึงแก่ชีวิต ขอให้คนที่ได้เผชิญหน้ากับมันคือเขา…เขาคนเดียวเท่านั้น
ราวกับรู้ว่าลูกชายคนเดียวกำลังคิดและเฝ้าโทษตัวเองอยู่ คุณมัทนาที่ได้รับการเยียวยาจากอ้อมกอดลูกค่อยๆ มีสติมากขึ้น ท่านเงยหน้าขึ้น ใช้มือสั่นเทาปาดน้ำตาที่ไหลเอ่อมาจากดวงตาแฝงความเจ็บปวดของลูก กระซิบบอก
‘ไม่นะเหมือน…ไม่ว่าลูกหรือป๊า…แม่เสียไปไม่ได้สักคน’
เพราะคนหนึ่งคือชีวิตของท่าน…สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ซึ่งท่านให้กำเนิด เฝ้าเลี้ยงดูทะนุถนอมมาตลอด และอีกคน…คือคู่ชีวิต คือคนที่ท่านเลือกจะวางชีวิตไว้ในมือ เคียงคู่กันไปจนแก่เฒ่า กับผู้ชายทั้งสองคนที่สำคัญขนาดนี้…ไม่มีคนไหนเลยที่คุณมัทนาจะสูญเสียไปได้ เพราะอย่างนั้น…
ท่านจึงได้ตัดสินใจจะดึงใครอีกคนให้ก้าวเข้ามาสู่ครอบครัว
มนายุรู้ตั้งแต่เห็นหน้าผู้หญิงที่มารดาพามาถึงห้องพักฟื้นของบิดา หรือที่จริงแล้ว…เขารู้ตั้งแต่คุณสมภพพ้นขีดอันตรายแล้วแม่ตัดสินใจเล่าให้ฟัง
‘ถึงป๊าจะดูไม่ได้สนใจเรื่องเคราะห์เรื่องดวงอะไรของเหมือนเหมือนกับแม่ แต่จริงๆ แล้วป๊าเขาใส่ใจมากนะลูก ช่วงนี้ป๊าชวนแม่ไปทำบุญไหว้พระทั้งวัดไทย วัดจีน จนถึงวัดแขกเพื่อขอให้เหมือนปลอดภัย และที่สำคัญก่อนหน้านี้…’ ดวงตาซึ่งเป็นต้นแบบของเขามองมาราวกับชั่งใจอะไรบางอย่าง และก่อนที่แม่จะพูดออกมาท่านก็ยื่นมือเล็กๆ มากุมมือเขาไว้แน่น ‘เหมือน…สิ่งที่แม่จะบอกไม่ใช่เพื่อให้เหมือนโทษตัวเองนะลูก แม่รู้ว่าเรื่องที่แม่กำลังจะพูดอาจจะทำให้เหมือนโทษตัวเองและคิดว่าเป็นความผิดของเหมือน แต่มันไม่ใช่ และที่แม่อยากบอก…ก็แค่อยากให้เหมือนรู้ว่า…ป๊าเขารักเหมือนมาก’
เพราะแบบนั้น…ป๊าของเขาจึงพูดออกไป คำพูดที่เหมือนจะไม่ได้คิดอะไร แต่พวกเขาแม่ลูกรู้ดีว่ามันมีความจริงจังแฝงอยู่ และมันได้เกิดขึ้นแล้วในตอนนี้
‘ถ้าเกิดจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับเหมือนอีก ขอให้มันเกิดขึ้นกับผมดีกว่า’ ใบหน้าที่แทบไม่เหมือนลูกชายเลยสักนิดแต้มรอยยิ้มจาง ‘ผมเคยได้ยินมาว่าบางทีมันก็มีการรับเคราะห์แทน ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจริงมั้ย แต่ถ้าจริงล่ะก็…ให้มันเกิดขึ้นกับผมเถอะ ผมแก่แล้ว ผ่านอะไรในชีวิตมามากพอแล้ว ถ้าหากเคราะห์ร้ายอะไรนั่นมันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นจริงๆ…ก็ให้มันเกิดขึ้นกับผมเถอะ เหมือนมันยังมีอนาคตอีกยาว มัทก็อย่าไปบังคับให้ลูกต้องแต่งงานสะเดาะเคราะห์อะไรนั่นเลยนะ’
บิดาของเขาไม่ได้พูดเท่ๆ ไปแบบนั้น เพราะพอเหตุการณ์เฉียดตายมันเกิดขึ้นจริง สิ่งแรกที่ท่านพูดเมื่อลืมตาขึ้นเมื่อชั่วโมงก่อนก็คือ
‘ดีนะที่คนไปเอากล้องวันนี้คือป๊า ถ้าเป็นเหมือนคงแย่’ และจากนั้นท่านก็ยังยิ้มแย้ม พยายามเย้าให้เขากับแม่หัวเราะออกมา ‘แล้วก็ดีแล้ว…ที่เป็นขาไป ขืนเป็นขากลับที่มีกล้องอยู่ในมือด้วย ป๊าคงเสียดายแย่ ตัวนี้เหมือนรอมาตั้งหลายเดือน’
วินาทีนั้นมนายุโน้มตัวลงไปกอดท่านไว้แน่นๆ โดยระวังไม่ให้กระทบกระเทือนถึงบาดแผล พึมพำเสียงเจือสะอื้นอย่างกลั้นไม่อยู่
‘แต่สำหรับเหมือนมันไม่ดีเลย ให้เหมือนเจ็บตัวซะยังดีกว่าเป็นป๊า แล้วกล้องนั่น…ต่อให้เหมือนรอมากี่เดือนกี่ปี มันจะหายากแค่ไหนก็ไม่มีค่าอะไรเลยถ้าทำให้ป๊าต้องเจ็บแบบนี้’
‘โตป่านนี้แล้วยังขี้แยอีกนะลูกคนนี้’
เพียงฝ่ามือของท่านวางบนศีรษะแล้วโยกไปมาอย่างที่เคยทำเสมอตอนเขาเป็นเด็ก มองมาด้วยแววตาแบบเดิมที่มองเขามาตลอดทั้งชีวิต มนายุก็ตัดสินใจได้เช่นเดียวกับมารดา
เขาจะทำ
ไม่ว่าไอ้เรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขากับครอบครัวเขาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามันจะเกิดจากเรื่องดวงเรื่องเคราะห์เบญจเพสจริงๆ รึเปล่า ไม่ว่าวิธีแก้ไขจะดูงี่เง่างมงายยังไง มนายุก็ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่ยอมเสี่ยงให้เกิดความสูญเสียหรือเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นกับครอบครัวของเขาอีกเด็ดขาด
“จริงอยู่ที่พ่อเหมือนโดนรถชนเพราะไปเอากล้องให้เหมือน แต่…มันก็ไม่ใช่ความผิดของเหมือนนะ มันเป็นอุบัติเหตุ” หญิงสาวซึ่งรับรู้ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้บิดาของอีกฝ่ายต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเอ่ยปลอบ
ด้วยความสัตย์จริงถ้าเป็นเธอเองลิปสาก็คงอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นความผิดของตัวเองที่ทำให้พ่อต้องประสบอุบัติเหตุ แต่…ยังไงเสียความจริงก็คือเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา
“เฮ้อ!” พระเอกหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันกลับมามองหน้าผู้หญิงซึ่งถือว่าแปลกหน้าแต่อาจจะเป็นคนเดียวที่ช่วยให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้ มนายุยิ้มจาง มองเห็นความห่วงใยปนเห็นใจในดวงตาคู่กลมแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้
“ถ้ามันมีแค่นั้นผมก็คงไม่โทษตัวเองขนาดนี้ แต่ก็อย่างที่ถามตอนแรก…เธอเชื่อเรื่องดวงมั้ย”
ลิปสากะพริบตา งงจัดเมื่ออยู่ดีๆ พระเอกคนโปรดก็หักเหบทสนทนาเข้าสู่เรื่องดวงชะตาราศี
“อืม จะว่าไงดีล่ะ…” หญิงสาวทำสีหน้าลังเล ถ้าตอบว่าเชื่อจนถ่อไปดูดวงไกลถึงบ้านเกิดเขาก็ดูจะงมงายไปหน่อย แต่ถ้าจะตอบว่าไม่เชื่อ…จากการตั้งคำถามของมนายุเธอเดาว่าเรื่องที่เขาเล่าน่าจะต้องอาศัยความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่ไม่น้อย “คือเราชอบดูดวง แต่ก็ไม่ได้เชื่อจริงจังอะไร แบบถ้าอันไหนมันดีก็จะเชื่อแบบเชื้อเชื่อทั้งที่รู้ว่า ‘หมอดูคู่หมอเดา’ แต่ถ้าอันไหนมันไม่ดี…ก็ไม่เชื่อทั้งที่ยังกังวลๆ อ่ะ งงมั้ย”
ท้ายประโยคอดหันไปถามคู่สนทนาอย่างประหม่าไม่ได้
ทั้งประหม่าเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง อธิบายแล้วงง และประหม่าเพราะคู่สนทนาคือเขา…พระเอกที่เธอกรี๊ดหนักมากจนถึงขั้นคลั่งไคล้มาหลายปี ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่เวลา…แต่หัวใจดวงเล็กก็ยังอดจะกระหน่ำรัวไม่ได้ยามมองใบหน้าของเขา
สามีมโนของเธอ
มนายุใช้เวลาครู่หนึ่งให้สมองได้ทบทวนและประมวลผลจากคำพูดของเธอ
“อืม เข้าใจนะ” เขาพยักหน้ารับ “ก็คล้ายๆ ผมมั้ง…ไม่เชื่อแต่ก็ไม่ลบหลู่อะไร…ต่อนะ” พระเอกหนุ่มเล่าต่อถึงเหตุผลที่ทำให้เขาโทษว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ของบิดาเกิดจากเขาเป็นต้นเหตุ “จริงๆ แล้วแม่ผมมีซินแสที่ท่านนับถือมากๆ อยู่คนหนึ่ง ตอนผมเกิดซินแสทำนายว่าชีวิตผมจะดีแบบโคตรๆ ดีเลย ไปไหนใครเห็นใครก็รักใคร่เมตตา แต่จะเป็นแบบนั้นอยู่ถึงแค่อายุยี่สิบสี่ พอย่างเข้าสู่ปีที่ยี่สิบห้า…เบญจเพสที่เป็นจุดเปลี่ยนของดวงชะตาชีวิต…ดวงของผมจะพลิกกลับ”
หัวใจลิปสากระตุกวูบตอนริมฝีปากอิ่มระเรื่อซึ่งถูกโหวตให้เป็นริมฝีปากน่าจูบที่สุดของปีก่อนพูดถึงซินแส อดคิดไม่ได้ว่าจะใช่คนเดียวกับซินแสหมิงที่เธอถ่อไปดูถึงพิษณุโลกรึเปล่า หญิงสาวขยับปากอยากจะเอ่ยถามไปตอนนั้นเลย แต่ก็ไม่กล้าขัดคนเล่าจึงได้แต่ฟังต่อไป
“จากที่ดีสุดๆ ก็จะเจอเรื่องร้ายๆ เข้ามาบ้าง ซึ่งผมก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้นะ แม่เองก็ลืมไปตั้งนานแล้วด้วย จนกระทั่งปีนี้ผมเจอเรื่องแย่ๆ เยอะมากทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเจอเลย แม่ผมเลยนึกเรื่องนี้ออกแล้วกลับไปปรึกษาซินแสคนเดิม ซินแสเลยบอกว่าผมเจอเคราะห์เบญจเพสเข้าแล้ว”
แฟนคลับที่ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง เพราะตำแหน่งนั้นมีตัวพระเอกหนุ่มเองครองอยู่ก่อนแล้ว แถมยังไม่กล้าเรียกเป็นอันดับสองเพราะไม่ค่อยได้ตามไปเขาในงานต่างๆ เหมือนคนอื่นๆ หวนนึกถึงข่าวคราวของมนายุตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงอุบัติเหตุที่ทำให้เธอได้เจอกับเขาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้าแล้วใจหายวาบ ไอเย็นจากไหนไม่ทราบแผ่ซ่านตั้งแต่หัวจรดเท้าจนต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ภาพเหตุการณ์ที่เขาล้มใส่อ้อมกอดเธอโดยมีฉากหลังเป็นรถไฟลุกท่วมยังประทับแน่นอยู่ในหัว จึงรีบถามเสียงสั่น
“มัน…มีวิธีแก้ใช่มั้ยคะ แบบว่าสะเดาะเคราะห์ เปลี่ยนร้ายเป็นดี หรือลดทอนเคราะห์กรรมให้เบาบางลงน่ะ”
ถ้าซินแสที่เขาเล่าเป็นคนเดียวกับซินแสหมิง ลิปสาคิดว่ามันน่าจะมีวิธีสะเดาะเคราะห์อยู่ เพราะขนาดของเธอเบากว่าเขาตั้งเยอะ แค่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองและคนรอบข้างอยู่บ่อยๆ ยังมีวิธีแก้กรรมสะเดาะเคราะห์ได้ เธอก็เชื่อว่าของมนายุน่าจะมีหนทางอยู่เหมือนกัน
“มีสิ ทำไมจะไม่มีล่ะ” มนายุยิ้ม ทั้งๆ ที่ยังเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ก็อดจะขำเล็กๆ กับใบหน้าซีดเผือดของเธอไม่ได้ และนอกเหนือจากความขำ…ลึกลงไปหัวใจยังอุ่นวาบเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยเข้มข้นจากเธอ “ซินแสบอกว่ามีวิธีสะเดาะเคราะห์ที่จะเปลี่ยนเบญจเพสร้ายๆ ของผมให้มันดีขึ้นมาได้อยู่เหมือนกัน แล้วแม่ก็พยายามจะให้ผมทำมาตลอดตั้งแต่ตอนสลิงขาดโน่นแล้ว แต่ผมก็…” เขายักไหล่ “ไม่ได้ทำ เพราะส่วนหนึ่งผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ และอีกส่วนคือมันค่อนข้างยาก”
“อะไรคะ มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ” ลิปสาขมวดคิ้ว นึกถึงเคราะห์ร้ายถึงชีวิตของมนายุแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมชายหนุ่มถึงยังใจเย็นไม่สะเดาะเคราะห์ตามคำแนะนำของซินแส เพราะขนาดของเธอไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นยังร่ำร่ำจะหาเจ้ากรรมนายเวรมาแก้กรรมอยู่ทุกวัน
“ก่อนผมจะบอกว่าวิธีแก้มันคืออะไร ตอบคำถามผมก่อนได้มั้ยว่าตกลงเธอเชื่อเรื่องดวงแล้วก็เรื่องที่ผมเล่ารึเปล่า”
คนใจร้อนอยากรู้วิธีสะเดาะเคราะห์ของเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด รีบพยักหน้า
“เชื่อสิ คือวิเคราะห์จากข่าวเหมือนตั้งแต่ต้นปี ทั้งตอนเป็นไข้เลือดออก อุบัติเหตุต่างๆ ไหนจะเรื่องที่โดนโกงเงินค่าตัว แอบอ้างชื่อนั่นอีก แล้วก็ยังเรื่องที่เราเจอกันตอนนั้น…เราว่าดวงเหมือนน่าจะตกเคราะห์เบญจเพสจริงๆ”
แล้วไม่ใช่เคราะห์เบาๆ ด้วยนะ ดูจากข่าวของเขาและสภาพของบิดาเขาวันนี้
มนายุอมยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองทั่วใบหน้าของหญิงสาว เธอไม่ใช่คนที่สวยหรือโดดเด่นอะไรเลยโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบรรดาเพื่อนร่วมวงการที่เขาเคยพบเจอ แต่ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ามักจะมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้เขาสนใจเธอ ซึ่งถ้าให้เดาก็คงเป็นเพราะวันเดือนปีเกิดของเธอที่เขารู้มา
เธอคือผู้หญิงคนแรก…ที่เกิดก่อนเขาหนึ่งเดือนหนึ่งวันและเกิดหลังเขาหนึ่งปีซึ่งเขาได้รู้จักหลังฟังคำทำนายและวิธีสะเดาะเคราะห์ของซินแสหมิง
และที่สำคัญ…ชายหนุ่มเหลือบตามองกำไลข้อมือของตัวเอง เธอคือคนแรกและคนเดียวที่ทำให้หยกเปลี่ยนเป็นสีม่วงได้!
“ที่ผมบอกว่ามันค่อนข้างยากก็เพราะเรื่องนี้ผมทำด้วยตัวเองคนเดียวไม่ได้ เพราะวิธีสะเดาะเคราะห์เบญจเพสของผมไม่ใช่พวกปล่อยนกปล่อยปลา เข้าวัดทำบุญ หรือกระทั่งบวชล้างกรรมเก่าอะไร แต่เป็นการตามหาคนคนนึงเพื่อให้ดวงของเขาหนุนดวงผมให้ดีขึ้น”
คิ้วคนฟังยังขมวดมุ่น ดวงตากลมจดจ่อมายังใบหน้าของเขาอย่างตั้งใจฟังเต็มที่จนคนเล่าอดจะอมยิ้มไม่ได้
“ซินแสบอกให้ผมตามหาผู้หญิงที่เกิดก่อนผมหนึ่งเดือนกับหนึ่งวัน แต่ต้องเกิดหลังผมหนึ่งปีให้เจอ และ…”
ชายหนุ่มหันมาหาคนข้างๆ ซึ่งเบิกตากว้างใส่ คงรับรู้เลาๆ แล้วว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตัวเอง มนายุยิ้ม โน้มตัวลงมาจนดวงตาของทั้งคู่อยู่ระดับเดียวกัน มองความตกใจในแววตาคู่นั้น เอ่ยปากช้าๆ
“…แต่งงานกับเธอซะ”
หัวใจของลิปสาเต้นกระหน่ำจนเธอเชื่อว่าคนตรงหน้าต้องได้ยินมันอย่างชัดเจน
ชั่วขณะที่ประโยคนั้นหลุดพ้นจากกลีบปากน่าจูบของพระเอกคนโปรด หญิงสาวทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเบิกตามองหน้าเขาอยู่แบบนั้น สมองชาจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
เขาว่าไงนะ แต่งงานกับผู้หญิงที่เกิดก่อนเขาหนึ่งเดือนกับหนึ่งวันแต่ต้องเกิดหลังเขาหนึ่งปี…อย่างนั้นหรือ
ท่ามกลางความมึนชาราวกับสมองถูกแช่แข็งลิปสานึกไปถึงบทสนทนาเก่าๆ ระหว่างเธอกับปรียาวตี มีอยู่หลายครั้งหลายหนที่เธอมโนให้เพื่อนฟังถึงความเป็นเนื้อคู่ของตัวเองกับมนายุ
และหนึ่งในนั้นคือเรื่องวันเกิดของเธอกับเขา
ถ้านับตามปีเกิด…ลิปสาเกิดหลังมนายุหนึ่งปี แต่ถ้านับแบบว่าใครจะมีอายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปีก่อนกัน…คนคนนั้นคือเธอ
เธอที่เกิดก่อนเขาหนึ่งเดือนหนึ่งวันพอดีเป๊ะ!
เวลาที่ไหลผ่านค่อยๆ ละลายก้อนน้ำแข็งในหัว สมองลิปสาเริ่มกลับมาทำงานอย่างช้าๆ มันประมวลผลถึงเรื่องต่างๆ ทั้งความดีอกดีใจและดีต่อเธอเป็นพิเศษของคุณมัทนาและการที่มนายุเลือกจะเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง นั่นหมายความว่า…
มนายุที่เฝ้ามองทุกปฏิกิริยาของผู้หญิงตรงหน้าอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้วของเธอยังกว้างขึ้นได้อีกนิด ผิวแก้มซีดขาวในทีแรกค่อยๆ ถูกสีแดงเรื่อลามเลียขึ้นมาจากลำคอก่อนจะกระจายเต็มใบหน้านวล เธอสูดลมหายใจลึก ร่างซึ่งเล็กกว่าเขาราวยี่สิบเซ็นต์ผงะถอยหลังไปเล็กน้อย
ปฏิกิริยาของเธอบอกให้มนายุรู้…ว่าเธอรู้แล้วว่าตัวเองสำคัญยังไงกับเรื่องนี้
พระเอกหนุ่มยืดตัวเต็มความสูง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด หูแว่วเสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมครามไม่แพ้เสียงหัวใจของเธอที่กระหน่ำรัวไม่หยุด ดวงหน้าหวานแต้มรอยยิ้มจางๆ เอื้อมมือไปจับมือเย็นเฉียบของหญิงสาวซึ่งเรียกได้ว่าแปลกหน้าเอาไว้ และเอ่ยในสิ่งที่เขาเคยพูดอยู่หลายครั้งยามสวมบทบาทในละครโทรทัศน์
แต่กับชีวิตจริง…นี่คือครั้งแรก และเหตุผลที่เอ่ยมันออกมาก็ไม่ได้สวยหรูละมุนกลิ่นอายแห่งความรักเหมือนที่เคยคิดไว้
“ผมรู้ว่ามันฟังดูเห็นแก่ตัว แต่เธอจะช่วย…แต่งงานกับผมได้รึเปล่า”
‘เหมือนแน่ใจเหรอว่า…เป็นเรา ผู้หญิงที่เกิดวันเดือนปีแบบเราไม่ได้มีคนเดียวในโลกแน่ๆ’
‘ผมรู้ แต่อะไรหลายๆ อย่างทำให้ผมเชื่อว่าเป็นเธอ…อย่างน้อยเธอก็ปรากฏตัวเพื่อช่วยผมไว้ในวันนั้น’
‘มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ’
‘ก็อาจใช่ หรืออาจไม่ใช่ก็ได้…มันพิสูจน์ยากเนอะ’ เขายักไหล่ ดวงตามุ่งมั่นคู่เดิมยังจ้องตรงมาที่เธอ ‘แต่ว่า…’ มนายุยกข้อมือซ้ายของตัวเองขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาของคนทั้งคู่ ปลายนิ้วเคาะบนกำไลหยกสีม่วงสวย ‘เดิมมันเป็นสีขาวมาตลอด ซินแสบอกว่ามันจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงก็ต่อเมื่อเจอผู้หญิงคนนั้น ฟังดูโคตรแฟนตาซีเลยเนอะ และที่แฟนตาซีกว่านั้นคือ…มันไม่เคยเปลี่ยนสีมาก่อน จนกระทั่งเราเจอกัน…’
‘…!’
‘ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันสำคัญมาก เธอคงต้องการเวลาทบทวน เพราะขนาดตัวผมเองยังใช้เวลาหลายเดือนในการตัดสินใจ แต่…’
‘…’
‘ถ้าไม่รบกวนเกินไป เธอช่วยเก็บเรื่องนี้ไปคิดด้วยนะ’
“กำไลเปลี่ยนสีได้…เพราะเรางั้นเหรอ” หญิงสาวพึมพำ สมองยังหมกมุ่นกับความทรงจำบนระเบียงโรงพยาบาลจนไม่ทันได้ยินเสียงเรียก
“…รักแรกพบ รักแรกพบ…ลิปสา!”
ร่างเพรียวสะดุ้งพรวด ดวงตาเบิกกว้างมองไปยังต้นเสียงคือบิดาแท้ๆ ซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังเรียกชื่อเล่นเธอเต็มๆ ว่า ‘รักแรกพบ’ อย่างตกใจ รีบรับคำเสียงสั่น
“คะ…คะป๊า มีอะไรรึเปล่าคะ”
ดวงตาคมในกรอบตาเรียวยาวจ้องลูกสาวคนโตเขม็ง คุณวรภพถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“หนูน่ะสิมีอะไรรึเปล่า ป๊าคุยด้วยตั้งนานไม่เห็นตอบอะไร”
“หา? ป๊าคุยกับรักเหรอ” ลิปสากะพริบตาปริบๆ มือซ้ายที่ว่างชี้เข้าหาตัวเองอย่างงุนงง พอมองสีหน้าเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารทั้งหมดแล้วก็ทำหน้าเหลอหลา
โอ้มายก็อด! ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะมีซีนเหม่อลอยจนไม่ได้ยินเสียงคนอื่นพูดด้วยเหมือนในนิยายหรือละครแบบนี้!
แต่จากสีหน้าเคร่งเครียดของบุพการีรวมถึงเจ้าน้องชายที่อายุห่างกันหกปีเต็ม หญิงสาวคิดว่าตัวเองไม่ควรดี๊ด๊าที่ได้มีซีนประหนึ่งนางเอกละคร จึงรีบตีหน้าขึงขังบ้าง
“รักคิดเรื่อง…งานอยู่น่ะค่ะ เมื่อกี้ป๊าว่าไงนะ”
ลิปสาไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรผิด แต่ที่แน่ๆ สีหน้าของพ่อดูเครียดขึ้นกว่าเดิมจนเธอเริ่มหวาดหวั่น และคำตอบก็มาพร้อมกับเสียงดังลั่นราวกับฟ้าผ่า
“ยังจะคิดเรื่องงานอยู่อีก! ป๊าถามเราว่าเมื่อไหร่จะกลับไปเรียนต่อ! จะไม่เรียนแล้วรึไงฮึ”
“ก็…รักบอกแล้วไงคะว่าจะทำงานหาเก็บเงินสักพักให้พอได้ค่าเทอมแล้วค่อยไปเรียนต่อ”
เรื่องการเรียนต่อของเธอถูกพูดคุยไว้นานมากแล้ว เพราะบิดาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านจึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับการศึกษาและลิปสาเองก็มีความคิดอยากจะเรียนต่อปริญญาโทอยู่เหมือนกันจึงไม่ได้ค้านท่าน สิ่งเดียวที่เธอร้องขอคือการทำงานเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตและเก็บไว้จ่ายค่าเล่าเรียนเอง
“ไม่ต้องรอแล้ว! เดี๋ยวป๊าจ่ายให้เอง ขืนรอหนูเก็บเงินจะได้กลับไปเรียนเมื่อไหร่กัน นี่ทำงานมาเป็นปีมีเงินเก็บบ้างรึเปล่าเราน่ะ”
ใบหน้าคนฟังที่ก่อนหน้านี้สติมัวแต่จดจ่ออยู่กับบทสนทนาเมื่อวันก่อนถอดสีลง ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น ก้มหน้าไม่โต้เถียงอะไร และคล้ายกับว่านั่นจะทำให้บิดาอ่อนลง ท่านจึงกล่าวด้วยเสียงเบากว่าเมื่อครู่หลายระดับ
“รักแรกพบ…ป๊าให้โอกาสหนูได้ลองทำงานตามความฝันของตัวเองแล้วนะ แต่หนูก็น่าจะรู้ดีกว่าป๊าเสียอีกว่าทุกวันนี้วงการหนังสือมันซบเซามากแค่ไหน ขืนหนูดันทุรังทำไปเรื่อยๆ มันจะเวิร์กเหรอ ตอนนี้ป๊ายังอยู่กับหนู ดูแลซัพพอร์ตหนูได้ ป๊าก็อยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับหนูนะลูก…เชื่อป๊า กลับไปเรียนต่อเถอะ อย่างน้อยมันก็จะเปิดโอกาสให้ชีวิตหนูได้มากกว่านี้”
ลูกสาวคนเดียวของบ้านเม้มปาก รู้ดีว่าทุกอย่างที่บิดากล่าวออกมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด
เอาแค่ระยะเวลาปีกว่าๆ ที่เธอทำงานมา รายได้ของสำนักพิมพ์ซึ่งเคยอยู่ในแถวหน้าของวงการยังตกฮวบฮาบลงมาตั้งมาก และไม่ใช่แค่เหนือฝันที่เดียวเท่านั้น เพราะหลายๆ สำนักพิมพ์ถึงกับต้องปิดตัวลง ดังนั้นอาชีพรีไรเตอร์ในวงการนิยายของเธอก็ดูไม่มั่นคงในสายตาบิดาจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่า…
ลิปสาถอนหายใจ ความรักในอาชีพที่ทำประกอบกับทิฐิมานะซึ่งไม่อยากรบกวนบิดาในเรื่องค่าเล่าเรียนอีกทำให้หญิงสาวตัดสินใจรวบรวมความกล้าเงยหน้าพูดกับท่าน
“ยังไงรักก็อยากเก็บเงินเรียนต่อด้วยตัวเอง รักไม่อยากรบกวนป๊า”
ทั้งที่ส่วนลึกของหัวใจภูมิใจที่ลูกมีความคิด มีความรับผิดชอบไม่อยากให้ท่านต้องลำบากส่งเสียเรียนต่อ แต่ความห่วงใยในอนาคตของลูกซึ่งมีมากกว่าก็ยังทำให้คุณวรภพตีหน้าเคร่ง ตบโต๊ะอาหารดังปังใหญ่จนทั้งลูกและเมียสะดุ้งโหยง
“ไม่ได้! ขืนเรายังทำไอ้อาชีพนี้อยู่แล้วเก็บเงินเรียนเอง จนป๊าตายก็ยังไม่ได้กลับไปเรียนเลยมั้ง!”
“ป๊า…” คุณชาลินีเรียกสามีเป็นเชิงปราม และรองศาสตราจารย์สุดเฮี้ยบแห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ก็รู้สึกตัว แววตาอ่อนลงด้วยความรู้สึกผิดเมื่อเห็นน้ำตาของลูก หากทิฐิแห่งคนเป็นพ่อทำให้ท่านเลือกจะเมินหน้าไปอีกทาง ไม่ได้เอ่ยขอโทษออกไป
อีกครั้งแล้ว…
ลิปสากำมือแน่นจนปลายเล็บจิกเข้าผิวเนื้อ ดวงตาวาวรื้นแสดงรอยร้าวที่บิดามารดาไม่ทันเห็น
อีกครั้งแล้วที่พ่อเลือกทางเดินชีวิตให้ โดยไม่เคารพการตัดสินใจของเธอ
รู้…ว่าพ่อแม่ต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก แต่พวกท่านจะรู้ไหม…ว่าบางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดของท่าน อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนเป็นลูก
หญิงสาวงับริมฝีปากสั่นระริกได้ทันก่อนหลุดคำถามที่ดังก้องอยู่ในใจมาตลอดหลายปี หูได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเองเต้นระรัวพร้อมกับรู้สึกถึงไอร้อนระอุของเส้นเลือดในตัว มันคืออาการที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งเวลาเธอต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ
ดังเช่นครั้งนี้
ลูกสาวในโอวาทของบิดามารดาปาดน้ำตาออก บอกด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น
“รัก…จะไม่กลับไปเรียนตอนนี้”
ชายคนไทยเชื้อสายจีนหันกลับมามองลูกสาวซึ่งกำลังทำในสิ่งที่ ‘ขัดใจ’ ท่านอย่างรุนแรง และก่อนที่จะได้พูดอะไรอีก ลูกคนโตของบ้านก็ค่อยๆ ถอยเก้าอี้ออกพร้อมกับยืนยันความต้องการของตัวเอง
“รักจะทำงานที่รักรักต่อไป จะเก็บเงินจากงานที่รักเลือกและกลับไปเรียนต่อให้ได้ในสองปี และเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้ป๊ากับแม่ได้เห็นว่ารักโตพอจะดูแลรับผิดชอบอนาคตของตัวเองได้แล้วจริงๆ รัก…จะย้ายออกไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกด้วยตัวเองให้รอด!”
“โอ๊ยยย รักแรกพบบบ! แกพูดอะไรออกไปเนี่ย!”
หญิงสาวยกมือตบปากตัวเองแรงบ้างเบาบ้างสลับกัน ก่อนจะหันไปคว้าคุณอ้อมกอด ฝังใบหน้าลงกับพุงนุ่มนิ่มซึ่งในวันนี้มีเสื้อนอนแบบผู้ชายแขนยาวสีน้ำเงินเข้มห่อหุ้มอยู่บนตัว ขนาดของเสื้อนั้นใหญ่จนเธอต้องพับแขนเสื้อขึ้นหลายตลบถึงจะพอเห็นแขนนิ่มๆ สองข้างและขาของคุณอ้อมกอดเหลือโผล่พ้นชายเสื้อออกมาเพียงเล็กน้อย
ถ้าเป็นเวลาปกติโดยเฉพาะหลังจากที่ได้คุยกับมนายุในวันนั้น เวลาเห็นคุณอ้อมกอดในเสื้อนอนตัวนี้ทีไรลิปสาจะต้องเม้มปากทำหน้าเขินใส่ตุ๊กตาหมีอย่างอดไม่อยู่ เพราะเสื้อที่เธอนำมาใส่เพื่อปกปิดร่องรอยแห่งวันเวลาอันรุ่งริ่งของคุณอ้อมกอด คือหนึ่งในชุดนอนที่มนายุใส่เข้าฉากเรื่องกลหัวใจ ซึ่งหลังละครออกอากาศจบได้ราวเดือนเศษทางกองถ่ายก็นำเสื้อผ้าบางส่วนออกมาขายเพื่อนำเงินไปมอบให้มูลนิธิต่างๆ
และบังเอิญว่าวันนั้นลิปสาโชคดี…ที่ได้ชุดนอนชุดนี้มาในราคาเพียงห้าร้อยเก้าสิบบาท
แต่วันนี้การกอดคุณอ้อมกอดในชุดนอนของคุณยะก็ไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นเมื่อเธอเพิ่งปะทะคารมกับบิดาไปหมาดๆ
แถมยังพลั้งปากลั่นวาจาว่าจะออกไปอยู่ด้วยตัวเองเพียงคนเดียวอีกต่างหาก
“ทำไงดีอ่ะคุณอ้อมกอด รักพูดออกไปแล้วอ่ะ”
ลิปสาพึมพำกับเพื่อนที่อยู่กับเธอมาเท่ากับอายุรัฐนันท์ เงยหน้าขึ้นสบตาแป๋วแหววสีน้ำตาลเข้มของพี่หมีซึ่งเคยตัวโตกว่าเธอมาก กระชับอ้อมแขนพลางพึมพำ
“โอเค คือรักอาจจะคิดอยากออกไปอยู่คนเดียวอยู่บ่อยๆ แต่แบบ…ก็คือเงินเดือนไม่พอให้ทำแบบนั้นได้ไง แล้วนี่รักดันพูดกับป๊าไปแบบนั้น…”
ยิ่งย้อนคิดถึงคำพูดที่พูดออกไปด้วยแรงขับเคลื่อนของอารมณ์มากกว่าสติ รีไรเตอร์สาวก็ยิ่งอยากจะเอาหัวชนผนังตายให้จบๆ ไป
“ถ้าทำไม่ได้อย่างที่พูดนี่โคตรอายเลยนะ รักไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเอง ไม่อยากให้ป๊าเก็บมาว่าทีหลังว่าดีแต่พูด พูดได้แต่ทำไม่ได้ แต่ถ้าให้ออกไปอยู่เอง…”
หญิงสาวถอนหายใจ ปล่อยตุ๊กตาหมีที่คอยรับฟังเรื่องราวอยู่เงียบๆ ออก พลิกตัวนอนหงายมองเพดานห้อง คำนวณถึงค่าใช้จ่ายที่จะตามมาหลังเธอออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง
ไหนจะค่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหารสามมื้ออีก…
“ตาย ตาย รักตายแน่ๆ เลย โอ๊ยยย”
ระหว่างที่ยังมืดแปดด้านไม่รู้จะรับผิดชอบกับคำพูดของตัวเองยังไง หญิงสาวก็แทบสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดนิยมดังขึ้นลั่นห้อง ลิปสาเบะปากค้อนใส่สมาร์ตโฟนเครื่องโปรด ค่อยๆ ยืดแขนไปหยิบมันมาจากหัวเตียง และทันทีที่เห็นรายชื่อคู่สนทนาบนหน้าจอ หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมาอีกหน
Asawa.Muen : ลองคิดดูรึยัง
คิดดูรึยังน่ะเหรอ
ก็คิดจนไม่ได้ฟังที่ป๊าพูดจนโดนดุใส่เลยยังไงล่ะ
หญิงสาวตอบคำถามนั้นในใจ แต่ระหว่างที่กำลังคิดว่าควรตอบเขาไปอย่างไร หลอดไฟแห่งความคิดในหัวก็สว่างวาบ เส้นเลือดในกายเดือดพล่านร้อนระอุพร้อมๆ กับที่หัวใจกระหน่ำรัวคล้ายตอนโต้เถียงกับบิดาเมื่อครู่
ใช่ บางทีทางออกของเธออาจจะอยู่ที่เขาก็ได้!
ไวเท่าความคิด ปลายนิ้วเรียวปลดล็อกหน้าจอ พิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
หนูรักแรก : ขอคุยรายละเอียดก่อนได้มั้ยคะ
มนายุมองคำตอบที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มอย่างที่เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ ชายหนุ่มซึ่งใช้เวลาว่างอันน้อยนิดนอนดูภาพยนตร์เรื่องเก่าอยู่ในห้องนอนกดรีโมตหยุดการทำงานของโทรทัศน์ ขยับตัวขึ้นนั่งหลังตรง กดต่อสายถึงคู่สนทนาทันที
บทที่ 11 ข้อตกลงของคน (ที่อาจจะ) แต่งงานกัน
ถ้าวันหนึ่งมองย้อนกลับมาแล้วคิดอยากจะนับเรื่องที่ใจกล้าบ้าบิ่นกระทำได้อย่างไร้สติที่สุดในชีวิต ลิปสาว่าหนึ่งในนั้นต้องมีเรื่องนี้
ปึง!
หญิงสาวปิดประตูรถแท็กซี่สีฟ้าสดใสที่โบกมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งใกล้กับที่นี่มากที่สุด เงยหน้าขึ้นมองอาคารปูนเปลือยทรงสี่เหลี่ยมสูงราวสี่ชั้น หลังรั้วเหล็กดัดสีดำโปร่งพอจะมองเห็นบรรยากาศด้านในอันเงียบสงบ ลานกว้างซึ่งคาดว่าคงเป็นลานจอดรถมีเพียงรถตู้สีดำคันใหญ่จอดอยู่อย่างเดียวดาย มีมนุษย์เพียงคนเดียวในละแวกนี้คือ รปภ. วัยราวสี่สิบเศษซึ่งกำลังวิ่งเหยาะๆ ออกจากป้อมยามข้างประตูรั้วตรงมาหาเธอ
“สวัสดีครับ มาหาใครครับ”
ลิปสาละสายตาจากป้ายอักษร ‘Yggdrasil’s House’ สีน้ำตาลเข้มบนกำแพงปูนเปลือยสูงเกือบสามเมตร หันไปยิ้มเจื่อนให้กับคุณอา รปภ. แล้วเอ่ยตอบกลับไปตามที่ได้รับการเตี๊ยมเอาไว้
“คุณอิกด์ค่ะ”
“มาหาคุณอิกด์?” ผู้เข้าเวรประจำวันนี้หรี่ตามองหญิงสาวในชุดกางเกงยีนขายาวสีดำที่มีรอยขาดตรงหัวเข่ากับเสื้อยืดสีเดียวกันตัดกับรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดตา แม้ใบหน้าขาวหมดจดจะดูจิ้มลิ้มไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ ทว่าเมื่อเทียบกับนักแสดงในสังกัดหรือกระทั่งเด็กสาวที่เคยเดินเท้าเข้ามาสมัครก็ยังดูด้อยกว่ามาก
“เอ่อ…หนูชื่อลิปสาค่ะ พอดีนัดเอาไว้”
“อ๋อออ คุณลิปสา” รปภ. วัยกลางคนพยักหน้าหงึกหงัก นึกออกทันทีว่าก่อนหน้านี้ราวชั่วโมงเศษเจ้านายเพิ่งโทรศัพท์มาแจ้งว่าถ้าผู้หญิงชื่อลิปสามาเข้าพบสามารถปล่อยเข้าไปด้านในได้เลย
หลังสิ้นสุดการแลกบัตรประชาชนอันเป็นขั้นตอนพื้นฐานของการขอเข้าพื้นที่ส่วนบุคคล ประตูรั้วเหล็กดัดบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก ลิปสากระชับสายกระเป๋าเป้สีเดียวกับชุด สูดลมหายใจเข้าปอด แล้วก้าวเท้าไปบนแผ่นหินซึ่งทอดตัวยาวสู่อาคารหลังใหญ่ และเพียงผลักบานประตูกระจกหนาเข้าไป คนที่นัดไว้จริงๆ ก็ยืนล้วงกระเป๋าส่งยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว
ลิปสาเงยหน้าสบตาผู้ชายซึ่งสูงกว่าเธอร่วมยี่สิบเซนติเมตรด้วยแววตาไหววูบ มือเรียวเผลอกระชับสายกระเป๋าให้แน่นขึ้นจนกลายเป็นการกำมือตัวเองไว้ ขณะพยายามสะกดหัวใจให้เต้นช้าลงเป็นจังหวะปกติก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้
โอ๊ยยย ยายรักแรกพบ! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอเหมือนสักหน่อย! จะใจเต้นแรงอะไรนักหนาเนี่ยยย
“มายังไงเนี่ย”
มนายุตัดสินใจเอ่ยปากทักก่อน เพราะดูทรงแล้วหากปล่อยให้หญิงสาวเอ่ยปากคงต้องรออีกพักใหญ่ ร่างสูงก้าวนำเข้าไปอย่างคุ้นเคยในสถานที่
“ก็…รถตู้ต่อเอ็มอาร์ที แล้วก็ต่อแท็กซี่ค่ะ”
“โห หลายต่อเหมือนกันแฮะ” พระเอกหนุ่มพึมพำ ผลักประตูห้องที่เตรียมไว้สำหรับ ‘พูดคุย’ เรื่องสำคัญออก ผายมือเชิญให้หญิงสาวก้าวเข้าไปก่อน ทว่าผู้มาเยือนกลับชะงักขาที่ขอบประตู ชะโงกเพียงศีรษะเข้าไปมองด้านในซึ่งพบเพียงเครื่องดนตรีวางเรียงรายอย่างไม่เป็นระเบียบนัก
“เอ่อ…ไม่มีคนอื่นเหรอคะ”
“คนอื่นเหรอ” มนายุพึมพำ กระตุกยิ้มขำ “โอ๊ย เรื่องที่เราจะคุยกันนี่ความลับระดับชาติเลยนะ จะให้คนอื่นได้ยินได้ไงกัน”
หันไปเห็นใบหน้าซีดๆ กับแววตาตื่นตระหนกของเธอพระเอกหนุ่มก็เลิกคิ้วสูง คิดอะไรสนุกๆ ออกจึงแกล้งดันคนที่ตัวแข็งเกร็งเข้าไปด้านในแล้วปิดประตูตามหลังดัง ‘ปัง’ จนร่างเล็กกว่าสะดุ้งโหยง หันกลับมามองเขาอย่างตื่นๆ
หนุ่มหน้าหวานเชิดหน้าขึ้นนิดๆ มุมปากแต้มรอยยิ้มร้ายเหมือนตอนเขาสวมบทบาทเป็นเจ้าชายหริทัศว์ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้หญิงสาวทีละนิด…ทีละนิด แต่แล้วคำเตือนก็ผ่านวาบเข้ามาในสมอง
เขาไม่ควรแกล้งเธอ
ชายหนุ่มชะงักขา รู้ตัวว่าหากแกล้งให้หญิงสาวกลัวขึ้นมาจริงๆ ข้อตกลงที่จำเป็นสำหรับเขาอาจจะไม่เกิดขึ้น
มนายุปรับสีหน้าท่าทางกลับมาเป็นปกติ หันไปเปิดตู้เย็นเล็กริมประตู เปลี่ยนเรื่องเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อีกเดี๋ยวแม่ผมจะตามมาน่ะ แบบว่าเรานัดกันกะทันหันท่านเลยมาไม่ทัน”
“อ้อ” ลิปสาพยักหน้ารับ เหลือบตาประเมินชายหนุ่มอย่างหวาดระแวง ก่อนจะเดินตัวเกร็งไปนั่งบนโซฟาเดย์เบดสีแดงเบอร์กันดีตัวใหญ่โดดเด่นบนพื้นพรมสีเทาเข้ม ดวงตาใสแจ๋วกวาดมองเครื่องดนตรีหลายประเภท ทั้งที่เธอรู้จักอย่างกลองชุดกับคีย์บอร์ดและแยกไม่ค่อยออกอย่างกีตาร์หรือบางทีอาจจะเป็นเบส เดาได้ไม่ยากว่าที่นี่คงเป็นห้องซ้อมดนตรีของศิลปินในสังกัดอาตมัน
“เอาน้ำอะไรมั้ย มีเป๊ปซี่ โค้ก น้ำแดง น้ำส้ม แล้วก็น้ำเปล่า”
“เป๊ปซี่กระป๋องก็ได้ค่ะ”
หญิงสาวตอบทั้งที่ดวงตายังมองไปทั่ว ก็ไม่ใช่ว่าห้องนี้มีขนาดใหญ่ ข้าวของเยอะจนมองอย่างไรก็ไม่ทั่วเสียที แต่เป็นเพราะเธอไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนต่างหาก
“ยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่ามีเป็นกระป๋องหรือขวด” มนายุพึมพำ แต่มือก็คว้ากระป๋องสีน้ำเงินเย็นเฉียบออกมา ขายาวก้าวตรงไปยังโซฟา “อ่ะ”
พระเอกหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาเดี่ยวใกล้ๆ กับที่เธอนั่ง วางกระป๋องน้ำอัดลมสีน้ำเงินลงบนโต๊ะเล็ก อดถามไม่ได้
“ให้เปิดให้รึเปล่า”
“หือ?” คนที่กำลังหยิบกระป๋องขึ้นเตรียมเปิดเลิกคิ้ว “ไม่เป็นไรค่ะ”
เสียงเปิดกระป๋องน้ำอัดลมดัง ‘ป๊อก’ ก่อนลิปสาจะยกขึ้นดื่มแก้ประหม่า พอลดกระป๋องน้ำลงถึงได้เห็นว่าคู่สนทนามองเธออยู่ก่อนแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะขยับตัวอย่างเกร็งๆ
“เอ่อ…ทำไมมองแบบนั้นคะ”
หนุ่มหน้าหวานอิงแผ่นหลังกับพนักโซฟาหนานุ่มอยู่ในท่ากอดอก ส่ายหน้ายิ้มๆ
“เปล่า แค่จะบอกว่าเธอไว้ใจคนง่ายเกินไปนะ”
“ฮะ? หมายถึง?”
“ก็ทั้งการที่เธอมาที่นี่คนเดียวจริงๆ แล้วก็ยังดื่มน้ำอัดลมลงไปง่ายๆ แบบนั้นไง…” มนายุขยับตัว ชะโงกหน้าไปใกล้วงหน้าจิ้มลิ้มที่ระดับความสวยหวานยังน้อยกว่าเขาอยู่…มาก กระซิบเตือนขณะจ้องลึกในดวงตาใสไหวระริก “ไว้ใจคนง่ายแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”
ลิปสาเม้มปาก ใบหน้าขาวซีดค่อยๆ ซ่านสีเลือด หลุบตาลงพึมพำ
“เราก็ไม่ได้ไว้ใจพร่ำเพรื่อนะ”
“อ้อ เพราะว่าเป็นผมเลยไว้ใจงั้นสิ?”
“ก็ไม่เชิง” รีไรเตอร์สาวถอนหายใจ พยายามข่มหัวใจให้เต้นในอัตราที่ช้าลง รวบรวมสติเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย “แบบว่าคนชื่อเสียงระดับเหมือนไม่น่าจะทำอะไรเรา”
“เนี่ยแหละที่บอกว่าไว้ใจคนง่ายไป” พระเอกหนุ่มส่ายหัวให้กับความอ่อนต่อโลกของคนตรงหน้า “นี่ จะบอกอะไรให้นะ ยิ่งคนดัง คนมีชื่อเสียง หรือคนที่น่าเชื่อถือน่ะ ยิ่งไม่ควรไว้ใจง่ายๆ รู้รึเปล่า ไม่เคยอ่านข่าวเหรอที่โดนดาราหลอกมาทำมิดีมิร้ายน่ะ…เฮ้! อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมแค่เตือน ไม่ได้ขู่หรือจะทำจริงๆ ซะหน่อย” เขารีบพูดเมื่อหญิงสาวทำสีหน้าเหมือนระแวงขึ้นมา
“ไอ้กระป๋องนี้น่ะไม่มีอะไร แล้วนอกจากเรื่องที่จะคุยกันวันนี้ผมก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรอีก สาบานได้”
“ก็นั่นไง” ลิปสาถอนหายใจ ท่าทางผ่อนคลายขึ้น “เพราะเรารู้ว่าเหมือนไม่มีทางทำอะไรเราหรอก เราเลยไม่ได้กลัวหรือระแวง…จนกระทั่งเหมือนพูดขึ้นมานี่แหละ”
“ประมาทอีกแล้ว” มนายุพึมพำ ตัดสินใจเข้าประเด็นสำคัญก่อนที่เรื่องนี้จะยืดเยื้อ “ที่มานี่คือจะมาฟังรายละเอียดเกี่ยวกับ…การแต่งงานของเราใช่มั้ย”
ทั้งๆ ที่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรัก ไม่ได้ใกล้เคียงกับเรื่องราวโรแมนติกอะไร แต่คำว่า ‘การแต่งงานของเรา’ ก็ยังทำให้หัวใจสองดวงเร่งอัตราการเต้นขึ้นด้วยกันทั้งคู่ ผิดกันแค่ฝ่ายชายผู้มีประสบการณ์การแสดงมาอย่างโชกโชนสามารถเก็บอาการได้ดีกว่า ใบหน้าหวานคมยังมีสีหน้าปกติ ดวงตามองตรงที่คู่สนทนาอย่างมาดมั่น สิ่งผิดปกติอย่างเดียวที่มนายุไม่สามารถควบคุมได้คือสีแดงระเรื่อบนใบหู ส่วนฝ่ายหญิงกลับมีท่าทางชัดเจนกว่า ทั้งใบหน้าแดงจัดและการเสมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่…เขา
“ก็…อื้อ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าเรายังไม่ได้ตกลงว่าจะแต่งงานกับเหมือน!” ลิปสารีบบอกก่อนฝ่ายตรงข้ามจะเข้าใจว่าเธอตอบตกลงแน่นอน ทั้งที่จริงๆ แล้วการตัดสินใจมาคุยกับเขามันแทบจะหมายความว่าเธอตกลงใจไปกว่าครึ่งแล้ว
แต่เธอก็ยังต้องการฟังรายละเอียดของการแต่งงานครั้งนี้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ตน ‘รับได้’ หรือ ‘รับไม่ได้’
“โอเค ตามนั้น” มนายุพยักหน้ารับ มือเรียวล้วงกระเป๋ากางเกงคว้าสมาร์ตโฟนของตัวเองขึ้นมาวางบนโต๊ะเล็ก พอเห็นเธอทำท่าสงสัยก็บอก “ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจเธอนะ แต่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แล้วเรื่องนี้ก็ค่อนข้างสำคัญ มันคงไม่ดีถ้ามีข่าวหลุดออกไป ดังนั้น…ช่วยวางมือถือลงบนโต๊ะด้วย”
ลิปสานิ่งงันไปวูบหนึ่ง ใจหนึ่งอยากจะโกรธที่เขาระแวงเธอแบบนั้น แต่อีกใจที่ยังพอมีเหตุมีผลอยู่บ้างกลับรู้สึกว่าถ้ามองในมุมของมนายุ…การที่บุคคลมีชื่อเสียงระดับเขาจะระวังไว้ก็เป็นสิ่งที่ถูกแล้ว ดังนั้นแม้สีหน้าจะไม่ค่อยดีนักแต่ก็ยอมหยิบสมาร์ตโฟนของตัวเองขึ้นมา ปลดล็อกหน้าจอแล้วปิดทีละแอพพลิเคชั่นให้พระเอกคนดังดู และยังเทของในกระเป๋าเป้ออกมากองบนโต๊ะเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าบทสนทนาในวันนี้จะไม่ถูกบันทึกไว้อย่างแน่นอน
“นี่ประชดรึเปล่าเนี่ย” หนุ่มหน้าหวานพึมพำปนหัวเราะขณะมองกระเป๋าสตางค์ หูฟัง แว่นกันแดด กระดาษ ทิชชู ร่ม ลูกอม สายชาร์จแบตฯ พาวเวอร์แบงก์ และสร้อยข้อมือเส้นบางไหลออกมากองบนโต๊ะกระจก แล้วก็ต้องหัวเราะดังขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบ
“ก็นิดนึง” หญิงสาวยักไหล่ วางกระเป๋าที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะข้างๆ ข้าวของมากมาย
“หึๆ”
มนายุส่ายหัว มองคนที่กำลังล้วงกระเป๋ากางเกงสองข้างให้เขาเห็นว่ามันว่างเปล่าอย่างพิจารณา ก่อนจะกระแอมกระไอและปรับท่าทีเป็นงานเป็นการขึ้นขณะคว้าแล็ปท็อปขึ้นมากรอกรหัสผ่าน พอแน่ใจว่าเปิดไฟล์ที่ต้องการอยู่เขาก็ส่งมันให้กับคนข้างๆ
“นี่เป็นรายละเอียดจากฝั่งผม…คือพอเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วมันอาจจะงงๆ หน่อย ยังไงอ่านไปแล้วก็ฟังผมไปละกันนะ…ข้อแรกที่สำคัญที่สุดคือ…” มนายุเน้นเสียงหนัก เว้นจังหวะการพูดเพื่อให้คู่สนทนารับรู้ว่าสิ่งที่เขาจะพูดนั้นสำคัญ “เราจะแต่งงานกันแค่ในนามเท่านั้น แล้วก็ลับๆ ด้วย”
“หือ?” ลิปสาเงยหน้าจากตัวอักษรยาวเป็นพืดที่ชวนให้รีไรเตอร์สาวนึกหงุดหงิด อยากจะจัดหน้ากระดาษให้เป็นระเบียบขึ้นมองคนที่ร่างข้อความไว้ พอเห็นสายตาของเขาเธอก็รีบบอก “คือไม่ได้แปลกใจที่เราแต่งงานกันในนามหรือแต่งแบบลับๆ อันที่จริง…” หญิงสาวกลอกตา ยอมรับตามตรง “เราสงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าพระเอกซุป’ตาร์ระดับเหมือน มนายุจะแต่งงานได้จริงๆ เหรอ”
ลิปสาว่า ซึ่งคนฟังก็พยักหน้ารับ “มันก็ต้องแต่งได้จริงๆ แหละ อย่างที่เธอรู้ว่าผมมีความจำเป็นต้องแต่งงานเพราะเรื่องดวงเบญจเพสซึ่งมันก็…ดูงี่เง่าเนอะ” พระเอกหนุ่มยิ้มเครียด ถอนหายใจหนักๆ อย่างคนเริ่มปลง “เราต้องใช้ชีวิตคู่ด้วยกันหนึ่งปี หนึ่งเดือน หนึ่งวัน แต่การแต่งงานครั้งนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นจากการบ่มเพาะความสัมพันธ์ของเรา ผมรู้ว่ามันคงเป็นการฝืนและเอาเปรียบกันเกินไปหากเราจะต้องใช้ชีวิตแบบคู่แต่งงานทั่วไป”
ลิปสาคิดตามและพยักหน้ารับ
“อ่าฮะ”
“และด้วยสถานะของผม…กับการแต่งงานที่มีอายุขัยแค่ปีนิดๆ แบบนี้ ถ้ามีข่าวการแต่งงานแล้วหย่าหลุดออกไปมันคงไม่ดี”
“…มากๆ เลย” หญิงสาวต่อคำให้ เพียงแค่คิดถึงปัญหาที่เธอคิดมาตลอดตั้งแต่มนายุเอ่ยขอแต่งงานวันนั้นก็ทำท่าขนลุก “แล้วมันก็ไม่ดีกับชีวิตของเราด้วยแน่ๆ”
“ใช่…มันไม่ดีกับชีวิตเราทั้งคู่ กับเธอเองอย่าว่าแต่ไปถึงขั้นหย่าเลย แค่เปิดตัวในฐานะคู่รักของผม ภรรยาของผม ชีวิตก็หาความสงบสุขไม่เจอแล้ว”
“อือ จริง” ลิปสาคิดไปถึงข่าวคราวของบรรดาพระเอกดังที่เปิดตัวคนรักซึ่งเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ก่อนหน้านี้หญิงสาวเคยเพ้อฝันว่าสักวันหนึ่งอาจเป็นคิวของเธอกับมนายุ แต่พอมันเฉียดใกล้ความจริงขึ้นมาผู้หญิงธรรมดาโลกส่วนตัวสูงที่รักสงบแบบเธอ…รู้ตัวเลยว่าจะทนรับกระแสคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนร้อยพ่อพันแม่ไม่ไหวแน่ๆ จึงรีบพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “เราเห็นด้วย ต้องเหยียบให้มิด”
“ในเมื่อจะจัดงานทำพิธีเปิดเผยให้คนทั่วไปรับรู้สถานภาพแต่งงานไม่ได้ จะให้ใช้ชีวิตคู่แบบ…สามีภรรยาทั่วไปก็ไม่ได้อีก ผมเลยคิดว่า…” มนายุสูดลมหายใจลึก สบตาคู่สนทนานิ่งๆ “เราจะจดทะเบียนสมรสและใช้ชีวิตคู่กันเหมือน…พวกคู่แต่งงานในละคร”
หญิงสาวที่เติบโตมากับนิยายและละครโทรทัศน์จำนวนมากมายซึ่งมีพล็อตแต่งงานกันด้วยเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่ใช่ความรักขมวดคิ้ว พยักหน้าอีกหน
“หมายถึงใช้ชีวิตคู่ในนาม ไม่ได้มี…” ประโยคที่กำลังจะหลุดจากปากชะงัก ใบหน้าคนพูดแดงซ่าน อึกอักจนพูดไม่จบประโยค
ความจริงแล้วมนายุจะต่อประโยคที่เธอพูดไม่จบออกไปตรงๆ ชัดๆ เลยก็ได้ ผู้ชายวัยเกือบเบญจเพสซึ่งผ่านความสัมพันธ์ชู้สาวมาประมาณหนึ่งไม่ได้เก้อเขินกระดากปากอะไร แต่เห็นสีหน้าคนฟังแล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจใช้คำเลี่ยงๆ ให้ดูซอฟต์ขึ้น
“อื้อ นั่นแหละ โดยที่ไม่มี…ความสัมพันธ์แบบสามีภรรยา”
“อ้อ โอเค อันนี้เก็ต” อาจจะด้วยความเคยชินทางอาชีพ ปลายนิ้วเรียวยาวพิมพ์แก้ไขข้อความในโปรแกรมเวิร์ดด้วยความช่ำชอง พอกวาดสายตามองจนแน่ใจว่าเข้าใจได้ง่ายกว่าที่พระเอกหนุ่มเขียนตอนแรกก็ชะงัก เงยหน้าขึ้นมองมนายุอีกครั้ง “เดี๋ยว…ถ้าเราจดทะเบียนกันมันจะยุ่งยากนะ ไหนจะเรื่องเอกสาร ชื่อนามสกุลเรา ไหนจะเสี่ยงความแตกง่ายๆ อีก”
ลิปสาคิดไปถึงกรณีการแต่งงานของน้องรหัสที่สามารถเก็บเงียบมาได้หลายปีจึงรีบเสนอ
“เออ แต่ถ้าเป็นการจดทะเบียนที่เราใช้นางสาวกับนามสกุลเดิมน่าจะไม่มีปัญหาอะไร…มั้ง”
อย่างน้อยคนรอบตัวเธอก็น่าจะไม่มีใครสังเกตหรือสงสัยขึ้นมา
“ผมก็คิดไว้ประมาณนั้น”
เขาคิดไว้แต่ไม่ได้เขียนลงไป เพราะกลัวเธอจะรู้สึกว่าโดนเอาเปรียบที่การแต่งงานครั้งนี้นอกจากจะไม่มีใครรับรู้แล้ว ยังไม่ได้รับกระทั่งนามสกุลจากเขา
“ส่วนเรื่องจดทะเบียน…ผมจะหาเจ้าหน้าที่ที่ไว้ใจได้มาจดให้เรา”
“อ่าฮะ แล้วที่ว่าใช้ชีวิตคู่ด้วยกันนี่หมายถึงว่าเราต้องอยู่…ด้วยกัน…งั้นเหรอ แล้วแบบนี้มันจะไม่เสี่ยงเป็นข่าวเหรอคะ”
แม้เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้เธอตัดสินใจมาที่นี่คือหวังจะหา ‘ที่อยู่ฟรีชั่วคราว’ แต่พอคิดไปคิดมาถ้าใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจริงๆ ด้วยชื่อเสียงของมนายุมีสิทธิ์โดนจับได้และกลายเป็นข่าวสูงมาก
เพียงแค่คิดถึงพาดหัวข่าวตามเว็บไซต์และแฟนเพจต่างๆ รวมทั้งคอมเมนต์มากมายมหาศาลซึ่งส่วนใหญ่คงไม่พ้นแง่ลบ หญิงสาวก็ชักจะใจฝ่อ อยากกลืนศักดิ์ศรีลงคอกลับไปง้อบิดาแทน
“เรื่องนั้นผมเตรียมไว้แล้วแหละ มันเป็นคอนโดฯ ที่ค่อนข้างพิเศษ” มนายุนิ่ง มองว่าที่ภรรยาสะเดาะเคราะห์อย่างชั่งใจ สุดท้ายก็กล่าวไปกลางๆ โดยเว้นความพิเศษที่สุดเอาไว้ “ถ้ามองจากด้านนอกจะเหมือนแค่เราอยู่ห้องข้างกันเฉยๆ แต่ด้านใน…” ชายหนุ่มลากเสียง ไม่ได้เอ่ยต่อ แต่คนฟังก็พยักหน้ารับ
“อ๋อ แบบข้างในเชื่อมถึงกันงี้ งั้นน่าจะไม่มีปัญหา…มั้ง”
‘น่าจะไม่มีปัญหา…มั้ง’ อีกแล้ว
พระเอกหนุ่มคิดในใจกับประโยคที่เธอหลุดออกมา แต่ไม่ได้พูดอะไร
“ถ้ามองจากข้างนอกเป็นสองห้องแสดงว่านอนแยกกันเนอะ”
ขืนให้ไปนอนห้องเดียวกัน เตียงเดียวกันกับมนายุเธอตายแน่นอน
หัวใจวายตายน่ะ!
“โดยส่วนใหญ่น่าจะเป็นแบบนั้น”
แม้จะสะกิดใจกับคำว่า ‘โดยส่วนใหญ่’ อยู่บ้าง แต่ด้วยนิสัยเลยตามเลยหญิงสาวจึงไม่ได้ซักไซ้ประเด็นนี้ต่อ ที่สำคัญคือในสมองดันมีเรื่องสำคัญแทรกขึ้นมาจนต้องรีบถามออกไปก่อนจะลืม
“เออใช่ แล้วถ้าแบบนี้แฟนเหมือนจะไม่มีปัญหาเหรอ เราไม่อยากเป็นมือที่สาม แล้วก็ไม่อยากทำผิดศีลธรรมนะ”
ช่วงปลายปีก่อนมนายุออกมาให้สัมภาษณ์ในเชิงที่ว่าเขามีผู้หญิงที่ ‘คุยๆ กันอยู่’ ซึ่งในภาษาดาราคำว่าคุยๆ กันสามารถแปลเป็นภาษาคนปกติได้ว่า ‘แฟน’ นั่นทำให้ลิปสาที่ชอบเขามาหลายปีถึงกับอกหักไปพักหนึ่ง ก่อนจะทำใจได้แล้วกลับมาติ่งเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเว้นระยะห่างไม่ให้คลั่งไคล้จนผิดต่อศีลธรรมในใจ
ถึงแม้ช่วงต้นปีหนุ่มหน้าหวานจะออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ‘ห่าง’ กับคนเดิมแล้ว ซึ่งแปลเป็นภาษาปกติว่า ‘เลิกกัน’ แม้จะเสียใจกับสีหน้าเศร้าๆ ของพระเอกคนโปรด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอค่อนข้างดีใจที่สามารถติ่งได้โดยไม่ต้องเกรงใจว่ากำลังผิดศีลธรรมด้วยการเรียกแฟนชาวบ้านว่า ‘สามี’
อย่างไรก็ตามรีไรเตอร์สาวเดาว่าด้วยรูปร่างหน้าตาและสถานะอย่างมนายุเขาไม่น่าจะโสดสนิทอยู่นาน อย่างน้อยน่าจะมีคนคุยๆ กันอยู่บ้าง และถ้าเธอจะแต่งงานสะเดาะเคราะห์กับคนที่มีคนคุยๆ กันอยู่ แบบนี้จะเรียกว่าแย่งแฟนชาวบ้านรึเปล่านะ
เห็นสีหน้าท่าทางของหญิงสาว มนายุก็พอเดาได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ พระเอกหนุ่มส่ายหน้าอย่างนึกโกรธ
“คิดอะไรเนี่ย!”
นี่เธอคิดว่าเขาเป็นคนยังไงกัน ถ้ามีแฟนแล้วจะมาขอเธอแต่งงานหรือไง
จริงอยู่ว่าในช่วงยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเขาอาจจะเคยคุยกับสาวๆ หลายคนพร้อมกันตามประสาหนุ่มโสดเสน่ห์แรง แต่ยังไม่ศีลธรรมต่ำขนาดขอผู้หญิงคนหนึ่งแต่งงานทั้งๆ ที่ยังคุยกับผู้หญิงคนอื่นอยู่
“ผมไม่ได้ศีลธรรมต่ำขนาดนั้นนะ!”
“อ้าว! เราก็ไม่ได้ว่าเหมือนศีลธรรมต่ำ แต่แบบว่า…” ลิปสาอึกอัก เห็นสีหน้าโกรธของชายหนุ่มแล้วใจฝ่อ เพิ่งรู้ว่าเวลาหนุ่มหน้าหวานท่าทางอะเลิร์ตๆ อย่างมนายุโกรธ…ก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน
เห็นท่าทางของเธอแล้วมนายุก็ผ่อนลมหายใจ สองมือลูบใบหน้า ลดอารมณ์ลง
มันไม่ได้ผิดเลยที่เธอจะสงสัยและถามขึ้นมา เพราะความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้รู้จักสนิทสนมกันมาก่อน ที่แปลกคือไอ้ความผิดหวังที่เขามีนี่แหละ หรือว่าเพราะอินที่กำลังคุยเรื่องแต่งงานแล้วอยู่ดีๆ ว่าที่เจ้าสาวดันถามเหมือนระแวงความซื่อสัตย์ของเขานะ?
มนายุตอบตัวเองไม่ได้ว่าอะไรทำให้คนใจเย็นอย่างเขาเกิดเสียอาการขึ้นมา
“ตอนนี้ผมโสดแบบโสดร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่เลิกกับคนก่อนก็ไม่ได้คุยอะไรกับใครเลย…อาจจะเพราะปีนี้มีแต่เรื่องมั้งเลยไม่ทันคิด”
อีกเหตุผลสำคัญที่มนายุไม่ได้บอกไป คือเขารับรู้ว่าเลาๆ ตั้งแต่ต้นปีแล้วว่าอาจจะต้องแต่งงานกับใครบางคนเพื่อสะเดาะเคราะห์เบญจเพสเลยไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้คุยกับใคร ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองคนข้างๆ แล้วถอนหายใจอีกครั้ง
คนที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘คุย’ ที่สุดก็เธอนี่แหละ
จริงสิ
“แล้วเธอล่ะ มีแฟนหรือว่าคุยๆ กับใครอยู่รึเปล่า”
ทั้งที่รู้ดีว่าคำถามของเขาไม่ได้เกิดขึ้นความสนใจเชิงเสน่หาใดๆ แต่ลิปสาก็ยังอดใจเต้นแรงจนน่าโมโหไม่ได้
ไม่มี ไม่เคยมี และคาดว่าอนาคตจะขึ้นคานชัวร์ๆ ด้วย
นั่นคือคำตอบในใจ แต่ภายนอกหญิงสาวกระแอม ตีหน้าเคร่ง ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วตอบ
“ถ้ามีเราคงไม่มาคุยกับเหมือนที่นี่หรอก”
“เท่ากับว่าตอนนี้ถ้า…แต่งงานกันจริงๆ เราก็ไม่ได้ผิดศีลข้อสามกันทั้งคู่” พระเอกซุป’ตาร์พยักหน้ารับ เพิกเฉยต่อความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้น ปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้นกับหัวข้อถัดไป “งั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทีหลัง เรามาตกลงเรื่องนี้กันเลยดีกว่าว่าหลังแต่งงานจะเอายังไง”
ลิปสานิ่วหน้า คุยไปคุยมาทำไมเหมือนเธอตกลงแน่ๆ แล้วว่าจะแต่งงานกับเขาเนี่ย
“อือฮึ” เธอผงกหัว กวาดตามองแล้วพบว่าในหน้ากระดาษบนจอไม่ได้ใส่รายละเอียดเรื่องนี้ไว้ จึงทำท่าเหมือนตั้งใจพิมพ์ลงไปเพื่อกลบเกลื่อนความตื่นเต้นแปลกๆ ในอก “ฮึ่ม เหมือนว่ามาได้เลย”
มนายุทำหน้านิ่ง มองคนที่แทบจะซ่อนหน้าอยู่หลังจอแล็ปท็อป ซึ่งแม้ว่าเธอจะพยายามเนียนแค่ไหนเขาก็ยังเห็นความเขินอายที่ปิดไม่มิดนั่น
“อืม สำหรับผมนะ ผมค่อนข้างศรัทธาคำว่าครอบครัว โตมากับการเห็นป๊ากับแม่ซื่อสัตย์ต่อกัน ผมเคยคิดไว้เสมอว่าถ้าแต่งงานแล้วจะซื่อสัตย์กับคู่ครองของตัวเอง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะต้องมาแต่งงานประหลาดๆ อะไรแบบนี้ ซึ่งพอมันเป็นแบบนี้ผมก็เลย…” ชายหนุ่มจงใจทอดจังหวะ แอบยิ้มเมื่อว่าที่คู่ครองชั่วคราวยอมโผล่หน้าออกมาจากจอแล็ปท็อป “…ก็เลยตั้งใจไว้ว่าตลอดชีวิตสมรสหนึ่งปี หนึ่งเดือน หนึ่งวันของเรา ผมจะไม่ทำอะไรก็ตามที่เข้าข่ายจะนอกใจ”
มนายุขยับตัวเข้าไปใกล้คู่สนทนา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องลึกไปยังดวงตาไหวระริก เอ่ยย้ำชัดหนักแน่น
“ผมจะไม่คุยเชิงชู้สาวกับใครไม่ว่าจะทีจริง ทีเล่น หรือหยอกๆ ไม่มีแฟน แล้วก็ไม่มีความสัมพันธ์แบบนั้นกับใคร…เด็ด-ขาด”
ลิปสากัดริมฝีปาก ความจริงจังและจริงใจในดวงตาคู่สวยที่มาพร้อมกับคำพูดราวคำมั่นสัญญาปลุกเร้าความหวั่นไหวจนหัวใจเผลอเต้นระรัว หญิงสาวหลุบตาหนี
หลังสะกดความเขินอายแล้วลิปสาก็เงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างมั่นใจ
“เพื่อความแฟร์ เราตกลงตามนั้น ระหว่างที่เรายังคงสถานะคู่สมรสกันอยู่ เรา…จะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงให้เกิดการผิดศีลข้อสามขึ้นมาเช่นกัน”
ว่าที่คู่แต่งงานด้วยเหตุผลสุดประหลาดสบตากัน ต่างมองเห็นความจริงใจในดวงตาของคู่สนทนา จึงค่อยๆ เชื่อมั่นและคาดหวังว่าหากการแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นจริง…ชีวิตคู่ของพวกเขาจะไม่เกิดปัญหามือที่สามขึ้น
“โอเค งั้นเรามาคุยดีเทลอื่นต่อ”
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.