บทที่ 2 เทพีแห่งหายนะ
อย่างที่ใครสักคนเคยกล่าวไว้ ‘ผู้หญิงกับหมอดูเป็นของคู่กัน’
โดยเฉพาะผู้หญิงอย่าง ‘ลิปสา’ ที่ชอบเรื่องราวประเภทแฟนตาซีเหนือธรรมชาติ และศาสตร์การดูดวงก็เป็นหนึ่งแขนงที่เธอมองว่าก้ำกึ่งระหว่างไสยศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ มันจึงไม่แปลกที่เธอเองจะชอบดูดวง
แต่แค่ชอบดูนะ! เธอไม่ค่อยเชื่อถือเท่าใดนัก หญิงสาวยังมีสติพอจะรู้อยู่ว่าหมอดูคู่หมอเดา ทั้งนิสัยชอบอ่านหนังสือดูหนังดูละครทำให้เธอเห็นมาเยอะ ไอ้พวกที่ไม่ควรมีเรื่องแต่เพราะเชื่อคำทำนายจนทำให้มีเรื่องขึ้นมา อย่างเรื่องของอีดิปุส ถ้ากษัตริย์ไลอัสไม่รู้คำทำนายแล้วเลี้ยงลูกตัวเองไปดีๆ ต่อให้มีเรื่องถึงขั้นฆ่าแกงพ่ออย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่อีดิปุสก็คงไม่ถึงกับเอาแม่ตัวเองเป็นภรรยา หรือเรื่องแบบไทยๆ อินเดียๆ หน่อย ถ้าทศกัณฐ์ไม่รู้คำทำนายของพิเภกว่านางสีดาจะเป็นต้นเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยักษ์ ก็คงไม่จับลูกสาวแรกเกิดใส่ผอบไปฝังดินจนสิบกว่าปีต่อมาไปหลงรักและลักพาตัวไปลงกาจนเกิดสงครามที่ผลาญเผ่าพันธุ์ยักษ์เข้าจริงๆ
บางครั้งคำทำนายเป็นจริงได้ก็เพราะ ‘ความกลัว’ ต่อเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงจนหาวิธีป้องกันซึ่งดันนำไปสู่หายนะที่แท้จริง ดังนั้นถึงจะชอบดูดวงแต่ลิปสาก็แค่ดูขำๆ ฟินๆ มากกว่าคิดจริงจัง โดยเฉพาะเมื่อหมอดูดีๆ แม่นๆ นั้นหายากมากกก
อย่างตอนอายุสิบแปด กำลังจะจบ ม.หก หมาดๆ เธอก็ถ่อไปดูดวงกับหมอที่เขาว่ากันว่า ‘แม่น’ เพื่อถามถึงมหาวิทยาลัยที่จะได้เรียนและยังถามไปถึงดวงความรักอย่างที่สาวๆ ชอบถามกัน หมอดูทำนายมหาวิทยาลัยของเธอแม่นจริง แต่ไอ้ที่บอกว่าจะเจอเนื้อคู่ตอนสิบเก้า แต่งงานตอนยี่สิบสี่นี่สิ จะครบยี่สิบสี่อยู่ไม่กี่เดือนนี้แล้วลิปสายังไม่เห็นเงาเนื้อคู่เลยด้วยซ้ำ
ว่ากันว่าคนเราจะดูดวงต่อเมื่อมีเรื่องสำคัญที่อยากรู้ ไม่ก็เวลาเจออุปสรรคปัญหาหรือว่าความทุกข์ สำหรับลิปสาสิ่งที่ทำให้ยอมดั้นด้นไปดูดวงไกลถึงจังหวัดพิษณุโลก ก็เพราะความซวยหลากหลายที่ถาโถมเข้ามาสู่ชีวิต
ทั้งเดินสะดุดท่อ ข้อเท้าพลิกเป็นประจำ ซึ่งอันที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยจนเธอชินแต่ที่ครั้งนี้มันทำให้นอยด์จนจิตตกเพราะเหตุดันเกิดหน้าสำนักพิมพ์เหนือฝัน สถานที่ทำงานของเธอในช่วงพักเที่ยงซึ่งคนพลุกพล่านกันสุดๆ ความเจ็บอยู่กับเธอไม่นาน แต่ความอายเพราะกลายเป็นที่รู้จักทั้งออฟฟิศด้วยเรื่องนี้ยังอยู่กับเธอมาจนถึงทุกวันนี้!
นี่ยังไม่นับเรื่องแย่อื่นๆ ที่เจอมาตั้งแต่จำความได้ ทั้งความเป็นคน ‘ไม่มีโชค’ ซื้อลอตเตอรี่ก็นก จับสลากก็ได้แต่ของกากๆ อย่างคุกกี้กล่องแดงในตำนาน อัลบั้มรูปอันเล็ก หรือแม้แต่กระเป๋าดินสอเห่ยๆ ที่ดูแล้วราคาไม่น่าถึงงบที่ตั้งไว้ ไหนจะตอนเป็นน้องรหัสสมัยมัธยม…พี่รหัสของเธอไม่เคยมาดูดำดูดี ไม่เคยมาเทกแคร์ดูแล หรือติวให้อย่างเพื่อนคนอื่นๆ ได้ พอเธอได้เป็นพี่รหัสทั้งที่ตั้งใจไว้อย่างดีว่าจะเป็นพี่ที่ประเสริฐดูแลน้องอย่างดีอย่างที่เคยอยากได้ พ่อเจ้าประคุณน้องรหัสก็ดันเป็นเด็กหัวไม้ วัยฮอร์โมนยกพวกตี และไม่เคยตามหาเธอในฐานะพี่รหัสสักครั้ง ลิปสาค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าเด็กนั่นสามารถเรียนจนจบ ม.หก ได้จริง จนป่านนี้เขาก็คงยังไม่รู้อยู่ดีว่าพี่รหัสเป็นใคร!
ไหนจะความ ‘พาซวย’ ของเธอที่ชอบใครคนนั้นก็เดือดร้อน นักร้องวงโปรดที่เพื่อนกรี๊ดกันมาสี่ห้าปี พอเธอหันไปกรี๊ดด้วยหน่อยก็…วงแตก แยกทางกันขึ้นมาเฉย และเมน ของเธอดันเป็นคนเดียวที่เงียบหายไปจากวงการบันเทิงนับแต่บัดนั้น ไหนจะร้านโปรดที่เธอชอบเข้าก็ล้วนทยอยเจ๊งกันระนาวไปจนหมด
ลิปสาเคยสงสัยว่าบรรดาความซวยรอบตัวแบบไม่เกี่ยงปีชงไม่ชงของเธอเกิดจากอะไร กระทั่งวันนี้ที่ ‘คุณชาลินี’ ผู้เป็นมารดาดั้นด้นพาเธอไปดูดวงไกลถึงพิษณุโลก ซินแสชราท่านนั้นก็ฟันธงคำตอบออกมาเสียงดังฟังชัดจนเธอกับแม่ผงะ
“เทพีแห่งหายนะ!”
“คะ?! ดวงหนูตก เทพีแห่งหายนะครอบงำเหรอ!” หญิงสาวร้องเสียงหลง ทว่าซินแสกลับเอ่ยแย้งอย่างมั่นใจ
“ไม่ใช่ ลื้อน่ะเป็นเทพีแห่งหายนะชัดๆ!”
“ฮะ?!” สองแม่ลูกประสานเสียงกัน โดยเฉพาะ ‘เทพีแห่งหายนะ’ ที่หน้าเสียไปแล้ว
“แต่ตั้งแต่ยายรักแรกเกิดมา ชีวิตฉันกับสามีก็รุ่งเอาๆ นะคะ” คุณชาลินีรีบแย้ง
ลูกสาวสุดที่รักของท่านจะเป็นเทพีแห่งหายนะได้ยังไงกัน ในเมื่อลิปสาเกิดได้ไม่นานพวกท่านก็ถูกรางวัลที่ห้าถึงสิบใบ (ไม่นับใต้ดินอีกต่างหาก) จนผ่อนบ้านผ่อนรถได้เกือบหมด ขนาดช่วงฟองสบู่แตกแม้ครอบครัวจะได้รับผลกระทบอยู่บ้างแต่ก็ไม่ลำบากเท่าคนอื่น
สำหรับพวกท่านลูกสาวคนนี้เป็นตัวนำโชคด้วยซ้ำ
ริ้วความโกรธเริ่มแล่นขึ้นในอกของคุณชาลินี
ไม่แม่น! อย่างนี้คงไม่แม่นแล้วแหละ เฮอะ!
ก่อนจะได้โกรธจนฉุดมือลูกสะบัดหน้าจากไป ซินแสหมิงก็ส่ายหัวปฏิเสธอีกครั้ง
“ไม่ใช่ อีไม่ใช่ตัวหายนะของพวกลื้อ ถือเป็นลูกนำโชคด้วยซ้ำไป”
โอเค แบบนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย
คุณชาลินีผ่อนลมหายใจ ผงกหัวรับด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น รีบถามต่อ
“แล้วมันหมายความว่ายังไงคะซินแส”
“ก็…เฮ้อ! ดวงอีน่ะยิ่งโตก็ยิ่งสร้างความหายนะให้กับตัวเอง แล้วก็…รอบข้างนิดหน่อย” ท้ายประโยคซินแสงึมงำ เหลือบมองคนที่ช็อกไปแล้วตั้งแต่ถูกฟันธงว่าเป็น ‘เทพีแห่งหายนะ’ “ลื้อน่ะ…เข้าร้านไหนร้านนั้นก็เจ๊ง ชอบใครเขาก็ซวยใช่รึเปล่า”
ลิปสารีบสะบัดหน้ากลับไปสบตาแม่ กลืนน้ำลายลงคอ
ถึงจะไม่ใช่ทุกร้าน แต่…พอคิดถึงร้านกาแฟ ร้านเช่าหนังสือ รวมถึงร้านอาหารอีกหลายร้านรอบมหาวิทยาลัยซึ่งล้วนแต่เป็นร้านโปรดของเธอทยอยกันปิดตัวลงในระยะเวลาไม่ถึงปีทั้งที่บางร้านเปิดมานานจนอายุเกือบเท่ามหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ และไหนจะบรรดาศิลปินนักร้องที่เธอชอบ จากตอนแรกที่ดังอยู่ดีๆ ถ้าไม่วงแตกไปซะก่อน ก็กลายเป็นโดนกระแสแอนตี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ลิปสาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
สรุปว่า…เป็นเพราะเธอจริงๆ ด้วยสินะ
ว่าแต่ยายปิ๊งนี่มันเป็นลูกหลานของซินแสรึเปล่า นี่เริ่มคุ้นๆ แล้วว่าเพื่อนเคยแซะเธอว่าเป็น ‘เทพีแห่งหายนะ’ ไปที่ไหนร้านก็เจ๊ง ชอบใครเขาก็ซวยหมด
“จริงๆ ลื้อน่ะเป็นคนพื้นฐานดวงดีมากเลยนา สังเกตสิอะไรๆ ในชีวิตก็ดี พ่อแม่ดี ฐานะดี สมองก็ดี…”
ตอนแรกลิปสาอยากจะค้านเรื่องสมองดีว่าเธอไม่ได้เรียนเก่งอะไร แต่พอคิดถึงเกรดเฉลี่ยสามกว่าๆ ที่ได้มาทั้งที่เรียนอย่างขี้เกียจสุดๆ หญิงสาวก็ตัดสินใจเงียบฟังต่อ
“เพื่อนฝูงคนรอบข้างถึงลื้อจะมีน้อยไปหน่อยแต่ที่มีก็ดีมาก แถมไปไหนมาไหนก็ไม่มีใครเกลียดด้วยไม่ใช่เหรอ”
เจ้าของดวงคิดตามแล้วพยักหน้าหงึกหงัก
ใช่ นับไปนับมาก็คล้ายจะเป็นว่าเธอมีเพื่อนรักที่ไปไหนมาได้ พูดคุยกันได้ทุกเรื่องแค่คนเดียวคือ ‘ปรียาวตี’ กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยถึงได้มาสนิทกับ ‘หฤทชนัน’ น้องรหัสสุดน่ารักซึ่งกำลังจะเรียนจบในอีกไม่กี่เดือนนี้ แถมตั้งแต่เล็กจนโตไม่ว่าเพื่อนรอบตัวจะแตกหัก ทะเลาะกันเละเทะกี่กลุ่มกี่ก้อนจนเกลียดขี้หน้ากันยังไง แต่ลิปสามักจะได้อยู่ในเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ คือไม่ทะเลาะกับใคร ไม่เกลียดกับใคร สามารถคุยได้ทุกคน จนบางครั้งเธอยังนึกค่อนตัวเองว่าเหมือนนกสองหัว
“ที่อาภัพจริงๆ น่ะคือไม่ค่อยมีโชคกับเรื่องความรัก…”
“อาภัพรักเหรอคะ!” หญิงสาวหูผึ่ง
ถึงจะวางแผนไว้แล้วว่าถ้าอนาคตเธอหาสามีที่ดีถึงครึ่งของบิดาไม่ได้จริงๆ จะยอมขึ้นคาน แต่ดีร้ายอย่างไรสำหรับสาวช่างฝันที่หมกมุ่นอยู่กับนิยายและละครโทรทัศน์มาทั้งชีวิตอย่างเธอก็ต้องใฝ่ฝันถึงความรักฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งแบบที่เคยดู เคยอ่าน หรือกระทั่งเห็นในชีวิตจริงอย่างคู่บุพการีอยู่บ้าง
แต่เมื่อกี้…ซินแสบอกเธออาภัพเนื้อคู่ งั้นก็หมายความว่า…
ฮือออ เหมือน~~ เหมือนที่รักกก ที่เราจำต้องพรากจากคลาดโอกาสเจอกันมาหลายครั้งหลายหนนี่เพราะเราอาภัพเนื้อคู่นี่เอง โฮ~
ลิปสาพร่ำเพ้อในใจ และถึงแม้เธอจะคิดมาตลอดว่าตัวเองค่อนข้างเก็บสีหน้าและความรู้สึกเก่ง แต่ในความเป็นจริงปรียาวตีเคยตีแสกหน้าไว้ว่า ‘อย่ามโนไปแบบนั้นดิรักแรก ความจริงหน้ารักแรกโคตรอ่านง่ายเลย คิดอะไรก็แสดงออกมาหมดอ่ะ’ เลยไม่แปลกที่ซินแสและมารดาจะมองออกว่าข้างในเธอคิดไปไกลมากขนาดไหน
โดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งคู่ถอนหายใจและละสายตาไปจากเธอ ครู่หนึ่งซินแสจึงได้กระแอมและเปิดปากพูดอีกครั้ง
“ใช่…เรื่องความรัก…จากพื้นฐานดวงของลื้อแล้ว มีเกณฑ์หย่าร้าง แต่งงานสองหน”
ใจคนฟังหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม สำหรับหญิงสาวผู้ถูกปลูกฝังให้เชื่อมั่นในศรัทธาแห่งรักแรก รักเดียว จนแอบตั้งปณิธานไว้ว่าถ้าเธอมีความรัก…นั่นจะต้องเป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียว เป็นคนเดียวกับที่เธอจะแต่งงานด้วย เหมือนที่แม่ได้เจอกับพ่อ ลิปสารู้สึกว่าเรื่องหย่าร้างและแต่งงานสองหนสร้างความสะเทือนใจให้เธอได้มากกว่าเทพีแห่งหายนะอะไรนั่นเสียอีก
คุณชาลินีถอนหายใจอีกครั้ง ลูบผมปลอบโยนลูกสาวอย่างสงสาร
“มีทางแก้มั้ยคะซินแส” ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการดูดวงและเรื่องไสยศาสตร์มายาวนานกว่าครึ่งชีวิต คุณชาลินีค่อนข้างเชื่อว่า (เกือบ) ทุกปัญหาสามารถแก้เคล็ดสะเดาะเคราะห์ได้
“มีทางเดียวเท่านั้น” ซินแสหมิงที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับกระดาษซึ่งจดวันเดือนปีเกิดของลิปสาทำท่านับนิ้วอยู่นานก่อนเงยหน้าขึ้นมามองด้วยแววตาเวทนานิดๆ “ลื้อต้องตามหาคนที่ผูกกรรมกับลื้อมา แล้วชดใช้กรรมกับอีซะ”
“เจ้ากรรมนายเวรเหรอคะ” แม้ซินแสหมิงจะเรียกว่า ‘คนที่ผูกกรรมกันมา’ ทว่าลิปสาฟังอย่างไรก็ตีความได้ว่า ‘เจ้ากรรมนายเวร’ ทั้งที่บอกตัวเองว่าเธอไม่ได้เชื่อถือเรื่องหมอดูหมอเดามากนัก แต่ก็อดถามต่อไม่ได้ “แล้วหนูจะรู้ได้ไงคะว่าคนไหนคือเจ้ากรรมนายเวรที่ตามหา แล้วเขาเป็นคนหรือผีคะเนี่ย แล้ว…แล้วถ้าเขาขอชีวิตหนู หนูจะทำยังไง!”
แม้จะเห็นชัดถึงความตระหนกเกินพอดีของหญิงสาวรุ่นหลาน หากซินแสที่พูดไทยชัดทุกคำแต่ชอบใช้คำปนจีนอย่าง ‘อั๊ว’ กับ ‘ลื้อ’ ยังคงยิ้มให้ ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา
“ใจเย็นๆ ดูจากเกณฑ์ดวงชะตาของลื้อแล้ว…คงได้เจอกับอีในเร็วๆ นี้แหละ ส่วนที่ว่าจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นใคร…” ซินแสชราผู้ไม่ได้รับดูดวงให้คนทั่วไป แต่เลือกรับเฉพาะคนที่มีวาสนาสมพงศ์กันมองตากลมใสนิ่งอยู่อึดใจก็คว้ากล่องไม้ใบหนึ่งออกมาเปิด หยิบสร้อยข้อมือเงินเส้นเล็กห้อยตุ้งติ้งรูปพระจันทร์เสี้ยวกับกระพรวนลูกเล็กออกมายื่นให้ “…ถ้าลื้อได้เจออีเมื่อไหร่ กระพรวนลูกนี้จะส่งเสียงบอกให้ลื้อได้รู้เอง”
บทที่ 3 มิตรแท้บนคานทอง
จุดเริ่มต้นของมิตรภาพอันยาวนานเกือบทั้งชีวิตของเธอและปรียาวตีเกิดจากการที่ครอบครัวของพวกเธอย้ายมาอยู่หมู่บ้านจัดสรรแถบชานเมืองในเวลาไล่เลี่ยกัน แถมยังอยู่ข้างกัน และมีลูกสาววัยเดียวกันอีกต่างหาก เพียงแวบแรกที่ได้เห็นเด็กหญิงผิวขาวจัด ตาเรียวยาวฉ่ำน้ำซึ่งอยู่ข้างบ้าน ผู้หญิงที่หลงใหลของสวยๆ งามๆ มาตั้งแต่ยังไม่เข้าอนุบาลอย่างลิปสาก็รีบวิ่งไปสร้างมิตรภาพกับตุ๊กตาตัวน้อยข้างรั้วอย่างรวดเร็ว และนับตั้งแต่อนุบาลยันจบมหาวิทยาลัยลิปสากับปรียาวตีก็เรียนที่เดียวกันมาตลอด แม้ตอนมัธยมปลายจะได้อยู่กันคนละห้องและครอบครัวของสาวหมวยก็ย้ายบ้านไปพอดี หากความสัมพันธ์ฉันเพื่อนสนิทก็ยังคงแนบแน่นกระทั่งมหาวิทยาลัยก็เลือกเรียนสาขา คณะ และมหาวิทยาลัยเดียวกัน เพิ่งจะมาแยกกันจริงๆ จังๆ ก็ตอนที่ทำงาน ด้วยแม้จะชอบอ่านนิยายเป็นชีวิตจิตใจเหมือนกัน แต่พรสวรรค์และความมุ่งมั่นที่ต่างกันทำให้ปรียาวตีเลือกจะเป็นนักเขียน ส่วนลิปสาที่ถนัดอ่านและจับผิดมากกว่าเลือกเป็นรีไรเตอร์
คนหนึ่งมีเวลาเข้าออกงานตายตัว อีกคนต้องต่อสู้กับความเกียจคร้านของตัวเองเพื่อเขียนงานให้ได้ทันเดดไลน์ที่มีอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยเจอกันทุกวันมาเกือบทั้งชีวิตก็กลายเป็นว่านานๆ ครั้งจะหาโอกาสมาเจอกันได้ ดังเช่นวันนี้ที่ทั้งคู่นัดมาดูภาพยนตร์พร้อมกับเม้าท์มอยกันเรื่องที่ลิปสาไปดูดวงไกลถึงพิษณุโลก แม้ในความเป็นจริงพวกเธอจะแชตคุยกันตั้งแต่วันนั้นเมื่อเดือนก่อนแล้วก็ตาม แต่ด้วยเวลาในตอนนั้นลิปสาต้องรีบรีไรต์งานถึงสี่เรื่องติดต่อกัน ส่วนปรียาวตีก็หมดแรงจนสมองตายจากการปั่นผลงานเรื่องล่าสุด การพูดคุยในคราวนั้นจึงเป็นการเล่าแบบคร่าวๆ ยังไม่ลงดีเทลหรือใส่ฟีลลิ่งใดๆ ลงไป
และต่อให้เป็นในเวลาปกติที่พวกเธอแชตคุยกันแบบจัดเต็มทั้งดีเทลและฟีลลิ่ง แต่ถ้าได้มาพบหน้ากันจริงๆ ก็ยังต้องเม้าท์กันอีกรอบอยู่ดี เพราะการพูดคุยผ่านตัวอักษรยังไงก็ไม่มีทางได้อรรถรสเท่าเม้าท์กันต่อหน้า
นี่เป็นอีกครั้งที่ลิปสาได้พิสูจน์ความเป็นเทพีแห่งหายนะของตัวเอง เมื่อร้านอาหารร้านโปรดที่หญิงสาวอยากกินและหมายมั่นปั้นมือจะมากินในวันนี้ดันหายไปจากห้างสรรพสินค้าโดยมีร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งใหม่มาแทนที่ หรือเรียกง่ายๆ ว่าร้านโปรดของเธอเจ๊งจนถูกโละออกไป ทำเอาเธอนึกเซ็งจัดจนตัดสินใจลากเพื่อนซี้ไปย้อนวันวานสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยการกินอาหารที่ฟู้ดเซ็นเตอร์
ด้วยความที่เป็นสัปดาห์ต้นเดือนทำให้ภายในห้างสรรพสินค้าคลาคล่ำไปด้วยผู้คน รออยู่พักใหญ่สองสาวถึงได้โต๊ะ จากนั้นก็ผลัดกันเฝ้าที่และไปซื้ออาหาร ซึ่งหลังจากได้อาหารและเครื่องดื่มแล้วสาวหมวยคนสวยก็หลุดหัวเราะออกมาพรืดใหญ่
“อะไร ปิ๊ง! หัวเราะอะไรอ่ะ” ลิปสาที่กำลังก้มหน้าตักข้าวเข้าปากชะงัก เงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่ ความที่เป็นเพื่อนกันเกือบทั้งชีวิตทำให้หญิงสาวค่อนข้างมั่นใจเลยว่าปรียาวตีกำลังหัวเราะเธอ
“เปล่า ไม่มีอะไร ก็แค่…” สาวผิวขาวผ่องจนเคยโดนจีบไปเป็นพรีเซ็นเตอร์กลูต้าฯ ทั้งหลายโคลงศีรษะ เรือนผมยาวเป็นลอนพลิ้วไปมา “ก็แค่ขำที่ซินแสเรียกรักแรกอ่ะ เทพีแห่งหายนะ อือหือออ แสดงว่าที่ปิ๊งคิดมาตลอดโคตรแม่นเลยอ่ะดิ”
เทพีแห่งหายนะเบะปาก วางช้อนลงกระแทกจานอย่างหงุดหงิด
“เหอะ นี่ถ้าไม่ติดว่าสวย…รักเลิกคบปิ๊งไปนานละ ปากหมาจริงๆ” คนพูดตวัดหางตามองเพื่อน
คนโดนชมกึ่งด่ายักไหล่ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดของเพื่อนมากไปกว่าชินชา
เทพีแห่งหายนะเคี้ยวข้าวด้วยท่าทางอารมณ์เสียนิดๆ อย่างไม่จริงจังนัก ทว่าพอนิ่งคิดอะไรได้ก็เป็นฝ่ายแสยะยิ้มบ้าง
“เออ จะว่าไปถ้ารักเป็นเทพีแห่งหายนะ ปิ๊งมันก็ ‘เทพีแห่งการเลิกรา’ นี่หว่า เฮอะ! คนบ้าอะไร เชียร์คู่ไหนคู่นั้นเลิก ตั้งแต่ตัวการ์ตูนยันคู่รักที่คบกันมาเกือบสิบปี”
‘เทพีแห่งการเลิกรา’ หน้าเสียไปบ้างเมื่อถูกจี้ใจดำ
แม้จะมีชื่อเกี่ยวกับความรักอย่าง ‘ปรียาวตี’ ที่มารดาตั้งใจตั้งให้สอดคล้องกับพี่ชายอย่าง ‘ปริเยศ’ และแฝงความนัยว่า ‘สตรีผู้นำมาซึ่งความรัก’ ทว่าตั้งแต่เล็กจนโตไม่ว่าหญิงสาวจะเชียร์คู่ไหนเป็นอันต้องเลิกราคลาดกันไปจนหมด กระทั่งตัวการ์ตูนที่เคยจิ้นและมั่นใจมาตลอดว่าต้องคู่กันอย่าง ‘อัสรัน’ และ ‘คางาริ’ จากการ์ตูนเรื่องดังที่ถูกปูทางให้คู่กันมาตั้งแต่ภาคแรก จนภาคสองได้หมั้นหมายกันแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายไม่รู้เพราะอาถรรพ์ของหล่อนหรืออะไร ในตอนจบทั้งคู่ถึงจำใจต้องเดินกันคนละเส้นทาง ไม่สามารถครองคู่กันได้จนชาว ‘อัสสึคางะ’ อย่างปรียาวตีน้ำตาท่วมมาจนถึงวันนี้
นี่ยังไม่นับเพื่อนพ้องคนรอบข้างและดาราดังหลายคู่ที่หล่อนเชียร์ให้เขารักกัน แต่สุดท้ายก็จบที่การเลิกรา
คิดไปคิดมาก็อย่างที่ลิปสาว่าถ้าเพื่อนเป็นเทพีแห่งหายนะ หล่อนคงไม่แคล้วเป็นเทพีแห่งการเลิกรา
“นี่ตกลงว่ารักแรกกับปิ๊งเป็นตัวซวยเพราะเรามาคบกัน หรือเพราะเราเป็นตัวซวยเหมือนกันถึงคบกันได้วะเนี่ย”
เห็นสีหน้าห่อเหี่ยวของสาวหมวยแล้วลิปสาก็หลุดหัวเราะบ้าง
“เออ ไม่รู้เหมือนกัน เอาน่า อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นดิ รักรักใบหน้าสวยๆ ของปิ๊ง ไม่อยากเห็นมันบู้บี้นะ” ไม่พูดเปล่า หญิงสาวยังยื่นมือไปแตะใบหน้าขาวผ่องนวลเนียนของเพื่อนด้วยสายตาห่วงใยสุดซึ้ง และถึงแม้ปรียาวตีจะเคยชินกับคำพูดแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะทำใจให้ชินกับสัมผัสจากเพื่อนได้ สาวหมวยคนสวยเลยปัดมือเพื่อนออก ทำสีหน้ารังเกียจนิดๆ
“อี๋ รักแรก! อย่าทำงี้ดิ ปิ๊งขนลุกหมดแล้วเนี่ย” เหมือนกลัวเพื่อนไม่เชื่อ ปรียาวตีรีบยื่นท่อนแขนขาวเนียนที่มีเส้นขนสีอ่อนอยู่บางเบาไปตรงหน้า อีกฝ่ายเลยหัวเราะลั่น ท่าทางมีความสุขที่ได้แกล้งหล่อน จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า
“จริงๆ คนที่ต้องเครียดมันคือรักมั้ยอ่ะ คือปิ๊งแค่ทำคนอื่นเลิกกันอย่างไม่ตั้งใจ ส่วนรักนี่นอกจากจะพาร้านเจ๊งระนาว พาคนที่ชอบซวยแล้ว ยังพาตัวเองซวยไปด้วยอีกนะเว้ย”
ฟังคำปลอบใจนั่นแล้วปรียาวตีก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สรุปหล่อนกับเพื่อนนี่เข้าคู่กันได้เพราะความเป็นตัวซวยจริงๆ ด้วยสินะ
“แล้วตกลงที่ไปดูมาซินแสคนนั้นว่าไงบ้างนะ ขอแบบละเอียดๆ ดิ๊ นี่วันนี้ปิ๊งเตรียมสติประกอบร่างกับวิญญาณมาพร้อมรับฟังเลยนะ”
เพื่อนขอมาทั้งทีคนที่ตั้งใจจะมาเม้าท์เต็มที่เลยรีบใส่รัวไม่ยั้ง
“สร้อยข้อมือเนี่ยเหรอที่ซินแสบอกว่ากระพรวนมันจะดังถ้าเจอคนที่ผูกกรรมกับรักแรกมา”
ปรียาวตีจับข้อมือซ้ายเพื่อนขึ้นพลิกดูสร้อยเงินเส้นบางห้อยตุ้งติ้งรูปพระจันทร์เสี้ยวคู่กับกระพรวนลูกเล็ก พยายามยกขึ้นเขย่าหวังฟังเสียง
ลิปสาชักข้อมือกลับ ถอนหายใจ ก่อนจะเป็นฝ่ายเขย่าข้อมือจนสั่นไปทั้งแขน ซึ่งนอกจากเสียงจี้กระทบกับกระพรวนก็ไม่มีเสียงอื่นอีก
“อือ สร้อยเส้นนี้แหละ แล้วปิ๊งไม่ต้องพยายามหรอก เนี่ย รักเขย่าจนแขนจะหลุดแล้วแต่กระพรวนนี่ก็ไม่เคยดังสักที”
“กระพรวนปลอมรึเปล่า โดนหลอกเปล่าเนี่ยรัก” นักเขียนสาววิเคราะห์ สายตายังจับจ้องสร้อยข้อมือซึ่งเพื่อนซื้อมาจากซินแสเพราะท่านบอกว่ามันจะเป็นเครื่องส่งสัญญาณให้ลิปสาได้รู้ว่าใครคือคนที่ผูกกรรมกับเธอมา
“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ” คนที่ยอมซื้อสร้อยข้อมือมาเพราะถูกใจในความสวยมากกว่าเชื่อถือว่ามันจะเป็นเครื่องส่งสัญญาณอะไรพ่นหัวเราะ “รักชอบที่มันสวยเฉยๆ ไม่ได้คาดหวังว่าจะดังได้จริงตอนเจอเจ้ากรรมนายเวรเหมือนกระพรวนมรณะในซีรี่ส์หรอก” แม้ซินแสหมิงจะเรียกว่า ‘คนที่ผูกกรรมกันมา’ แต่ส่วนใหญ่เวลาพูดถึงลิปสาก็มักจะเรียกว่า ‘เจ้ากรรมนายเวร’ มากกว่า เพราะเธอเข้าใจว่าคนที่ผูกกรรมกันก็คือเจ้ากรรมนายเวร ไม่รู้ซินแสจะเรียกให้ยากไปทำไม
“เออ เหมือนซินแสแกดูซีรี่ส์มากไปรึเปล่า มีกระพรวนที่ไหนจะส่งเสียงเฉพาะเจอคนที่โชคชะตาลิขิตมาให้” ปรียาวตีส่ายหน้าอย่างขำๆ เหมือนไม่เชื่อ แต่ด้วยนิสัยช่างจินตนาการกลับแอบคิดอยู่ลึกๆ ว่าความมหัศจรรย์นั้นอาจเป็นจริงได้
“เฮ้อ ช่างไอ้เรื่องกระพรวนนี่ก่อนเหอะ เนี่ย รักนะตกใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวรที่ไม่รู้จะมาในรูปแบบคนหรือผีจนลืมถามซินแสเลยอ่ะว่าที่ลือกันว่าแม่เหมือนเป็นลูกค้าประจำของซินแสจริงจังหรือจ้อจี้” รีไรเตอร์สาวบ่นพึม พอถึงประโยคหลังก็ไม่วายหยิบยืมศัพท์ในโลกออนไลน์อย่าง ‘จ้อจี้’ อันหมายถึงเรื่องหลอกลวงขึ้นมาใช้
ฟังแล้วสาวสวยก็อดจะเบะปาก กลอกตามองบนใส่ไม่ได้
“แหมๆ กระพรวนจริงกระพรวนปลอมบอกไม่สนใจ แต่เรื่องแม่เหมือนเป็นลูกค้าซินแสรึเปล่าดันกลัวว่าเป็นเรื่องจ้อจี้ นี่! ปิ๊งรู้นะยะว่ารักแรกคิดอะไรอยู่ คือจะหาวัตถุดิบไปต่อยอดความมโนหาความเชื่อมโยงระหว่างตัวเองกับเหมือนอีก ถูกมะ”
“อ๊ะ แน่น้อนนน แต่ก็นะ…จริงๆ ความเชื่อมโยงระหว่างรักกับเหมือนมันก็มีมาตั้งแต่ชื่อของเราสองคนแล้วป้ะ” หญิงสาวดูดน้ำอัดลมอึกใหญ่ ก่อนจะเท้าคางทำสีหน้าเคลิ้มฝันยามบรรยายให้เพื่อนฟังเป็นครั้งที่ล้าน “ปิ๊งดูดิ เหมือนชื่อ ‘มนายุ’ แปลว่า ‘เป็นที่น่าปรารถนา’ ส่วนรักชื่อ ‘ลิปสา’ แปลว่า ‘ปรารถนาที่จะได้มา’…นั่นหมายความว่ารักต้องได้เหมือนมาสมปรารถนาแน่ๆ! แล้วเรายังเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่หน้าไม่ตี๋ไม่หมวยกันทั้งคู่ นามสกุลเราสองคนก็ขึ้นด้วย ‘อัศว’ ‘อัศวา’ คล้ายกัน แถมชื่อไอจียังลงท้ายเหมือนกันอีกต่างหาก แอร๊ยยย แค่คิดก็โคตรฟินแล้ววว นี่ๆ นี่ยังไม่นับเรื่อง…”
ฟังน้ำเสียงตื่นเต้นที่มาพร้อมท่าทางกระตือรือร้นของเพื่อนแล้วสาวหมวยก็รีบร้องห้ามเสียงดัง
“โอ๊ยยย พอๆ รักแรกกก ปิ๊งขอร้องงง นี่ปิ๊งฟังความเนื้อคู่ของรักแรกกับเหมือนมาจนจะท่องได้อยู่แล้วเนี่ยยย แล้วไอ้ที่ชื่อไอจีลงท้ายด้วย .asawa เหมือนกันก็ไม่ใช่รักแรกหรือไงที่เป็นคนเปลี่ยนให้เหมือนกันกับเหมือนอ่ะ!” ปรียาวตีถอนหายใจดังเฮือก พอเห็นเพื่อนทำท่าจะอ้าปาก ‘เพ้อ’ ต่อก็รีบขู่ “ถ้ารักแรกยังไม่หยุด ปิ๊งจะเริ่มเชียร์รักแรกกับเหมือนจริงจังแล้วนะ!”
“ปิ๊ง!” ลิปสาเรียกชื่อเพื่อนเสียงแหลม ทำปากยื่นใส่อย่างงอนๆ “อย่าร้ายกับเพื่อนดิ! แค่ปิ๊งไม่เชียร์โอกาสของรักกับเหมือนก็โคตรติดลบพอแล้ว ขืนเชียร์ขึ้นมารักตายแล้วเกิดใหม่สิบชาติก็คงไม่ได้เจอเหมือนใกล้ๆ ด้วยซ้ำมั้งเนี่ย”
“เออออ ก็รู้นี่ งั้นเงียบเลยนะ ขี้เกียจฟังรักแรกมโนแล้ว มโนเก่งอย่างนี้ไม่ควรไปเป็นรีไรเตอร์เลยนะ มาเป็นนักเขียนกับปิ๊งมะ” นักเขียนสาวผู้รังสรรค์ความรักสมหวังได้เฉพาะในนิยาย หากชีวิตจริงกลับเป็นถึงเทพีแห่งการเลิกราชักชวน
รีไรเตอร์จอมมโนค้อนใส่
“แหม มโนเก่งไม่ได้หมายความว่าจะเขียนได้มั้ยล่ะฮะ พูดเหมือนไม่รู้เนอะว่าเคยลองแล้วอ่ะ แต่มันไม่รอด!”
เธอเคยใช้เวลาครึ่งปีหลังเรียนจบในการพยายามจะเรียบเรียงสิ่งที่จินตนาการไว้ในหัวออกมาให้เป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์ แต่สุดท้ายลิปสาก็พบว่าเธอเสียเวลาครึ่งปีนั้นไปอย่างว่างเปล่า ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้ก้าวเข้ามาทำงานที่เหนือฝัน หญิงสาวจึงไม่ลังเลที่จะตอบตกลง
คนเราก็ต้องมีลิมิตในการไล่ตามความฝันมั่งแหละน่า จะมัวแต่ฝันจนอดตายก็ไม่ได้ไหมล่ะ
นี่ยังถือว่าโชคดีที่เธอเรียนจบสามปีครึ่ง เพราะถึงจะเสียเวลาไปฟรีๆ ครึ่งปี สุดท้ายแล้วก็ยังเริ่มต้นทำงานพร้อมกับคนรุ่นเดียวกัน ไม่ได้เสียโอกาสไปมากกว่านี้
“ก็รักแรกน่ะ ไม่รู้จักจริงจังสักที เขียนได้นิดๆ หน่อยๆ ก็เบื่อแล้ว แบบนั้นมันจะจบมั้ยล่ะฮะ”
“เออๆ เลิกพูดเหอะ รีบกินกันดีกว่า ก่อนขึ้นไปดูหนังจะได้แวะช็อปปิ้งกันก่อน” ลิปสาเอ่ยตัดบท ขณะตักข้าวเข้าปากก็เหลือบไปเห็นคุณยายท่านหนึ่งประคองถาดอาหารมาด้วยท่าทางเชื่องช้างุ่มง่ามราวกับภาพสโลว์โมชั่น และไม่นานท่านก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะติดกับพวกเธอ จากนั้นอีกเกือบหนึ่งนาทีถึงหันมาถามเสียงเบาว่า
“หนู น้ำนี่ไปซื้อตรงไหนเหรอ”
“อ้อ ตรงโน้นค่ะ” หญิงสาวกะพริบตาปริบ ชี้นิ้วตอบไป หัวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อคำนวณระยะทางกับฝูงชนที่ต้องผ่านว่าคุณยายต้องใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะกลับมาถึงโต๊ะได้อีกครั้ง
คนที่ไม่มีปู่ย่าตายายให้ใกล้ชิดใจอ่อนยวบ รีบเสนอตัว
“เอ่อ ถ้าคุณยายไม่รังเกียจ เดี๋ยวหนูไปซื้อให้มั้ยคะ”
หญิงชราที่กำลังจะลุกขึ้นชะงัก ดวงหน้าซึ่งเห็นเค้าความงามในอดีตอยู่รางๆ หันกลับมาทางสาวรุ่นหลาน จ้องเขม็งจนลิปสาขยับตัวอย่างอึดอัด นึกเสียใจที่ทำตัวเป็นคนดีเสนอหน้าให้ความช่วยเหลือ เพราะบางทีท่านอาจจะระแวงก็ได้ที่อยู่ดีๆ เธอก็ไปทำดีด้วยแบบนั้น
ขณะที่รีไรเตอร์สาวกระสับกระส่าย หญิงชราก็แย้มรอยยิ้มอ่อนโยน ยื่นการ์ดสำหรับจ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่มมาให้
“ยายขอน้ำเปล่าไม่เย็น ขอบคุณมากนะจ๊ะหนู”
“ได้ค่ะคุณยาย รอแป๊บนะคะ”
ลิปสาพยักหน้าหงึกหงัก รับการ์ดมาพร้อมกับรีบวิ่งไปซื้อให้ท่าน
พอพ้นระยะสายตาของคุณยายและเพื่อนซึ่งคงนั่งอ้าปากค้างเพราะแปลกใจที่คนมนุษยสัมพันธ์ต่ำอย่างเธอเอ่ยปากให้ความช่วยเหลือคนแปลกหน้า ลิปสาก็ค่อยๆ ผ่อนจังหวะลงจนเหลือแค่เดินเร็วๆ พรูลมหายใจออกเพื่อปรับระดับการเต้นของหัวใจ
มือเล็กยกขึ้นกุมหน้าอก เท้าก้าวเข้าไปต่อคิวร้านขายน้ำที่มีคนอยู่ราวๆ สี่ห้าคน
โอยยย ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันว่าเธอจะกล้าพูดคุยและเสนอตัวให้ความช่วยเหลือคนแปลกหน้า! เป็นเพราะความสงสารคุณยายแท้ๆ เชียว
คิดไปถึงคุณยายที่อายุมากแล้วยังต้องมาเดินห้างคนเดียว ลิปสาก็ใจอ่อนยวบ ทั้งยังแอบเคืองไปถึงลูกหลานของท่านค่าที่ปล่อยให้คนแก่ออกมาข้างนอกเพียงลำพัง ท่านทำอะไรเชื่องช้าแบบนั้นหากเกิดอุบัติเหตุจะทำยังไงกัน
หญิงสาวถอนหายใจ
เอาเถอะ เธออาจจะช่วยเหลืออะไรได้ไม่มาก แต่จะนั่งรอจนท่านกินข้าวเสร็จก่อนแล้วค่อยไปละกัน
ลิปสาตัดสินใจทำอย่างที่คิดจริงๆ นั่นคือเธอเลือกจะสละเวลาเดินช็อปปิ้งก่อนภาพยนตร์ฉายเพื่อคอยจนคุณยายรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จ รับอาสาวิ่งไปแลกเงินในบัตรพลาสติกแข็งที่ใช้ได้แค่ในศูนย์อาหารเท่านั้นคืนให้ท่าน และยังละล้าละลังทำท่าเหมือนไม่กล้าปล่อยท่านไว้ลำพังหลังทำทุกอย่างเสร็จ
ปรียาวตีกลอกตา
หล่อนไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ แต่ที่กลอกตาใส่นี่ก็เพราะเริ่มรำคาญกับความละล้าละลังจะทำอะไรก็ไม่กล้าสักอย่างจนใจจะขาด!
เหมือนคุณยายผู้มีปฏิกิริยาเชื่องช้าจนน่าเป็นห่วงจะเข้าใจ ริมฝีปากเหี่ยวย่นค่อยๆ แย้มรอยยิ้มจนใบหน้าเรียบเฉยดูอ่อนโยน ท่านกล่าวอย่างเชื่องช้าดังเดิมว่า
“ไม่ต้องห่วงยายนะ ลูกสาวยายน่าจะกำลังมาแล้วล่ะ”
“ถ้างั้นให้หนูอยู่รอเป็นเพื่อน…”
ยังไม่ทันพูดให้จบประโยคดีหญิงสาวก็นิ่งงันเพราะลมหอบใหญ่ซึ่งพัดผ่านหน้าไปจนเรือนผมยาวสยายในอากาศ นัยน์ตากลมเหล่มองเพื่อนและพบว่าสาวหมวยมีปฏิกิริยาไม่ต่างจากเธอ
“แม่คะ! มาอยู่นี่เอง มัทตามหาให้ทั่วเลย นี่ไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ยคะเนี่ย”
คนที่พามารดามาเดินเล่นในวันหยุดซึ่งเพียงเผลอแวบเดียวท่านก็หายไปจากสายตาร้องเสียงดัง ร่างสมส่วนซึ่งวิ่งถลาจนลืมวัยเข้ามาหาจับท่อนแขนเหี่ยวย่นพลิกไปพลิกมา คล้ายจะหาร่องรอยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้กับมารดาสูงวัยของตน พอพบว่าทั้งร่างในชุดเสื้อลูกไม้สีอ่อนกับผ้าซิ่นไม่มีอะไรบุบสลายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กอดท่านไว้ด้วยความโล่งใจ
“เฮ้อ! ถ้าแม่เป็นอะไรไปมัทจะอยู่ยังไงคะเนี่ย”
‘คุณมาลี’ ยิ้มรับปฏิกิริยาของลูกสาวจนดวงตาโค้งขึ้น มือเล็กตบเบาๆ บนแผ่นหลังของลูกที่ในเวลานี้ตัวสูงกว่าท่านอยู่หลายเซนติเมตร
ยิ่งไม่ต้องนับไปถึงหลานชายคนเดียวเลย นั่นสูงท่วมหัวยายไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว
“แม่ไม่ได้เป็นอะไร แค่อยากกินข้าวไข่เจียวหมูสับเฉยๆ”
“โธ่! ถ้าอย่างนั้นแม่ก็บอกมัทสิคะ มัทพาแม่มากินก็ได้ ไม่เห็นต้องหนีมาคนเดียวแบบนี้เลย” คุณมัทนาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ กระนั้นมือก็ยังยึดท่อนแขนมารดาไว้ด้วยความนุ่มนวลคล้ายกลัวท่านจะหายไปอีก
แม้ตอนนี้คุณมัทนาเองจะอายุย่างเข้าเลขห้า กลายเป็นแม่ของลูกชายที่เติบใหญ่โด่งดังไปทั้งประเทศแล้ว แต่เมื่อพบว่ามารดาหายไปจากครรลองสายตา คนที่กำลังมองหาร้านอาหารซึ่งเหมาะสำหรับวัยของคุณมาลีก็อดจะตกใจจนแทบร้องไห้ไม่ได้
ดีเท่าไหร่ที่มารดาวัยเจ็ดสิบสองซึ่งอาจจะทำอะไรเชื่องช้าไปบ้างยังใช้โทรศัพท์รุ่นปุ่มกดได้คล่องแคล่วและรู้ว่าควรโทรให้ลูกสาวมารับ
เมื่อเห็นว่าลูกสาวคลายความตกใจลงแล้ว คุณมาลีก็ตบเบาๆ บนท่อนแขนลูก ก่อนหันไปยิ้มให้สองสาวรุ่นหลานซึ่งกลายเป็นฝ่ายตกใจเพราะการปรากฏตัวราวพายุหมุนของลูกสาวท่าน
“ขอบใจนะหนูที่ช่วยดูแลยายเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ลูกสาวยายมารับแล้วล่ะ”
คำพูดของมารดาทำให้คุณมัทนาหันไปมองบ้าง เลยได้เห็นสาวรุ่นลูกสองคนยืนนิ่งค้าง กลอกตาไปมาเหมือนกำลังตกใจอะไรบางอย่าง ซึ่งคนที่ทบทวนเหตุการณ์และกิริยาอาการของตัวเองเมื่อครู่ก็เบิกตาโต อุทานในใจ
ตายล่ะ! เผลอตัวไปแล้วแน่ๆ!
แม่ที่มีลูกชายเป็นพระเอกดังระดับประเทศทราบดีว่าไม่ใช่แค่พฤติกรรมของมนายุที่เป็นที่จับตามองของประชาชน ท่านซึ่งเป็นแม่ที่ค่อนข้างมีบทบาทและปรากฏตัวต่อหน้าสื่อเคียงคู่ลูกชายอยู่บ่อยๆ เองก็เช่นกัน ดังนั้นถึงพื้นนิสัยเดิมท่านจะไม่ใช่คนเลวร้ายไร้มารยาท ทว่าเมื่อต้องปรากฏตัวในที่ที่คาดว่าจะมีคนรู้จักลูกชายก็ยังอดจะสำรวมกว่าปกติไม่ได้
ซึ่งไม่ต้องเดาเลยว่าการวิ่งมาหามารดาด้วยความไวแสงเมื่อครู่ค่อนข้างขัดกับภาพลักษณ์นุ่มนวลละมุนละไมที่ท่านวางไว้อยู่เสมอ
แม้จะรู้ดีว่ายากจะลบภาพเมื่อครู่ทิ้งไป หากคุณมัทนาก็ยังคลี่ยิ้มนุ่มนวลบนใบหน้า หันไปกล่าวกับหญิงสาวทั้งสองอย่างอ่อนโยน
“เมื่อกี้พวกหนูช่วยกันดูแลคุณยายเหรอจ๊ะ ขอบคุณมากนะลูก”
ลิปสาที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ ‘ว่าที่แม่สามีในมโน’ ตื่นเต้นจนใจเต้นแรง หญิงสาวได้แต่เม้มปาก พยักหน้ารับไปตามสัญชาตญาณ
“ค่ะ เอ้อ…ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรเลย”
“ถ้าไม่ได้หนูคนนี้ เมื่อกี้แม่คงแย่ คนแก่…เฮ้อ! ทำอะไรก็เชื่องช้าน่ารำคาญไปหมด” คุณมาลีผู้เคยมีชีวิตชีวาและชอบทำอะไรด้วยความรวดเร็วอยู่เสมอถอนหายใจ สีหน้าบ่งบอกถึงความขัดใจกับสภาพร่างกายซึ่งเปลี่ยนไปตามวัยของตัวเอง
“โธ่! แม่คะ แม่ไม่ใช่สาวๆ แล้วนะ ช้าลงบ้างก็ปกติน่า” คุณมัทนาปลอบมารดา ก่อนหันไปสนใจสองสาวอีกครั้ง แววตาที่มองเต็มไปด้วยความเอ็นดูมากขึ้น “ขอบใจพวกหนูสองคนอีกครั้งนะจ๊ะ”
การทิ้งบ้านเดิมที่ต่างจังหวัดมาอยู่ดูแลลูกชายคนเดียวที่เมืองหลวงของประเทศตลอดหลายปีทำให้ท่านทราบดีว่าในเมืองหลวงแห่งนี้เรื่องของน้ำใจและการช่วยเหลือผู้อื่นมีน้อยมากพอๆ กับเก้าอี้ว่างบนรถไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วน
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องเล็กน้อยเอง” ปรียาวตีตอบรับแทนเพื่อนซึ่งกลับไปยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก “เอ้อ ยังไงพวกหนูขอตัวก่อนนะคะ พอดี…หนังจะฉายแล้วน่ะค่ะ”
“จ้ะ โชคดีนะจ๊ะ”
สองแม่ลูกรับไหว้หญิงสาวทั้งสองด้วยสีหน้าเอ็นดู ทว่าก่อนที่สองสาวจะแยกตัวไปหนึ่งในนั้นกลับร้องถามเพื่อนที่มาด้วยกัน
“อ๊ะ! รักแรก ตั๋วอยู่ที่รักแรกใช่มั้ย”
“หือ? ตั๋วเหรอ เออ อยู่กับรักนี่ไง” ลิปสากะพริบตาปริบ อาจจะเพราะหัวใจยังเต้นโครมครามเมื่อได้รู้ว่าคุณยายที่เธอช่วยเหลือโดยบังเอิญนั้นเป็นยายของสามีมโน มือที่รื้อค้นกระเป๋าจึงค่อนข้างสั่น เมื่อหยิบตั๋วภาพยนตร์ออกมาได้บัตรพลาสติกสีฟ้าอ่อนก็หล่นตามออกมาด้วย
“อ๊ะ!”
คุณมัทนาย่อตัวลงเก็บบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งกระเด็นมาหยุดตรงข้างเท้าท่าน ทว่าก่อนจะยื่นมันคืนให้กับเจ้าของหางตากลับเหลือบเห็นบางอย่างบนบัตรพลาสติกจนทำให้ใบหน้าเปลี่ยนสี
“ขอบคุณมากนะคะ”
แม่ของมนายุยื่นบัตรคืนใส่มืออีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ ดวงตายังคงมองตามแผ่นหลังบอบบางที่วิ่งหายไปกลางฝูงชนเมื่อเพื่อนของเจ้าหล่อนร้องเสียงหลงว่าภาพยนตร์เริ่มฉายไปเกือบสิบนาทีแล้ว
เมื่อกี้นี้มัน…
“มัท…เป็นอะไรลูก”
คุณมาลีแตะท่อนแขนลูกสาวเบาๆ ดวงตาฉายแววแปลกใจเมื่อคุณมัทนาสะดุ้งหันมามองท่านอย่างสับสนก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายเจิดจ้า
“แม่คะ! เมื่อกี้มัท…เด็กคนเมื่อกี้…” หญิงวัยห้าสิบผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากเผลอตัวเขย่าท่อนแขนผอมบางตามวัยเหมือนทุกครั้งที่ท่านกำลังตื่นเต้นยินดีกับอะไรบางอย่าง
เหมือนวันนั้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนที่รู้ว่าตัวเองกำลังมีทายาทตัวน้อยอยู่ในครรภ์
ไม่ต้องคิดเปรียบเทียบคุณมัทนาก็รู้ดีว่าการตั้งครรภ์มนายุคือความยินดีที่สุดในชีวิตรองจากคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย ทว่าตัวเลขที่ปรากฏบนบัตรประชาชนของเด็กสาวคนเมื่อกี้กลับสร้างความยินดีที่สุดในรอบหลายเดือนมานี้
“เด็กคนเมื่อกี้…เกิดหลังเหมือนหนึ่งปี แต่เกิดก่อนเหมือนหนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งวันค่ะแม่!”
โปรดติดตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.