บทที่ 4 อุบัติเหตุ
ระหว่างทางขับรถกลับกรุงเทพฯ พระเอกหนุ่มหน้าหวานก็อดคิดถึงสายจากมารดาเมื่อเดือนก่อนขึ้นมาไม่ได้ เพราะช่วงนั้นเขามีถ่ายละครเรื่อง ‘มงกุฎอคิราห์’ ละครดราม่ากึ่งแฟนตาซีเกี่ยวกับการชิงบัลลังก์ในอาณาจักรสมมติเมื่อพันกว่าปีก่อนที่ต่างจังหวัดยาวนานติดต่อกันสองสัปดาห์เต็ม การสนทนากับท่านจึงมาในรูปแบบของการวิดีโอคอลล์ สีหน้าตื่นเต้นยินดีของคุณมัทนายังชัดอยู่ในหัว
‘เหมือน! ลูก! แม่เจอแล้วนะเหมือน แม่เจอแล้ว!’
วินาทีแรกมนายุนึกว่าท่านหมายถึงคุณยายวัยเจ็ดสิบสองของเขา ค่าที่ก่อนหน้านี้ผู้เป็นแม่โทรมาแจ้งว่าท่านหายไปในห้างสรรพสินค้าจนพาให้เขาร้อนใจตามไปด้วย แต่พอบอกจะรีบกลับกรุงเทพฯ ไปช่วยหา แม่ก็สั่งห้ามเพราะกลัวจะกระทบกับทีมงานคนอื่นๆ
‘เจอคุณยายแล้วเหรอครับ โล่งไปที!’
สารภาพเลยว่าแม้ปกติเขาจะแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ดีมาก แต่ที่ฉากเมื่อครู่เทกไปสามครั้งติดก็เพราะในใจเขากังวลเรื่องคุณมาลีหายไปท่ามกลางฝูงชนนี่แหละ
‘ไม่ใช่ลูก! ไม่สิ! แม่หมายถึง…’
ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองภาพมารดาอย่างแปลกใจ
น้อยครั้งนักที่คุณมัทนาจะอึกอักพูดอะไรไม่ถูกแบบนี้
‘แม่หายายเจอแล้ว แต่ที่แม่บอกว่าเจอแล้วไม่ได้หมายถึงยาย เหมือน…เข้าใจใช่มั้ยลูก’
‘เอ้อ…เข้า…เข้าใจ…มั้ง…ครับ’ พระเอกหนุ่มผู้พลิกมารับบทตัวร้ายครั้งแรกกะพริบตาปริบๆ พยักหน้ารับอย่างกึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ
แม่หมายถึงว่า…ท่านเจอยายของเขาแล้ว แต่ที่ร้องบอกว่า ‘เจอแล้ว’ เมื่อครู่ไม่ได้หมายถึงยาย อย่างนั้น…สินะ?
‘โอ๊ยยย เอาใหม่ เหมือนเอาใหม่! เมื่อกี้แม่คงตื่นเต้นมากไปหน่อย’ คุณมัทนาถอนหายใจ ขยับวางโทรศัพท์บนแท่นวางที่เป็นสแตนดี้อะครีลิกรูปลูกชายท่านเอง สองมือยกขึ้นถูใบหน้างดงามอย่างไม่เบานัก พอตั้งสติได้ก็เงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยแววตาเป็นประกาย ‘แม่หมายความว่าแม่เจอผู้หญิงคนนั้นแล้วนะลูก!’
เดิมทีคำว่าผู้หญิงคนนั้นของแม่ควรทำให้มนายุมึนงงไปชั่วขณะ ทว่าช่วงหนึ่งเดือนกว่าๆ มานี้ท่านพร่ำพูดถึงแต่ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ ไม่หยุด เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าท่านหมายถึงใคร
‘แม่…หมายถึง…เธอ’
‘ใช่ลูกใช่ แม่หมายถึงเธอนั่นแหละ!’
การใช้ฝ่ายมือถูใบหน้าเพื่อรวบรวมสติเมื่อครู่ไม่ได้เสียเปล่า เพราะนอกจากจะทำให้ท่านเรียบเรียงคำพูดได้รู้เรื่องกว่าทีแรกแล้ว คุณมัทนายังมีสติพอจะรู้ว่าตอนนี้ลูกชายคงกำลังอยู่ในช่วงพักกอง แม้มนายุจะเสียบหูฟังสนทนากับท่าน หากก็ไม่ควรหลุดปากอะไรที่อาจจะทำให้เกิดข่าวใหญ่โตขึ้นมาได้
เป็นต้นว่า ‘แม่เจอ ‘สะใภ้’ ของแม่แล้ว’ หรือ ‘แม่เจอ ‘เจ้าสาว’ ของเหมือนแล้วนะลูก’
‘แม่ไปเจอเธอได้ไงฮะ’
แม้มนายุจะไม่เชื่อถือคำแนะนำเรื่องแต่งงานสะเดาะเคราะห์อะไรนั่น แต่ความตื่นเต้นของมารดาก็กระตุ้นความอยากรู้ของเขาขึ้นมาได้เหมือนกัน
แม่ไปเจอผู้หญิงคนนั้นได้ยังไงนะ
ใจจริงคุณมัทนาเองก็อยากจะเล่าเรื่องให้ลูกรู้เสียเดี๋ยวนั้น หากท่านก็เริ่มใจเย็นพอจะรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลา
‘ไว้เลิกกองวันนี้เหมือนคอลล์มาหาแม่นะลูก’
‘ไม่ต้องฮะแม่ ถ่ายซีนนี้เสร็จเหมือนก็หมดคิวรอบนี้แล้ว เดี๋ยวเหมือนกลับไปคุยกับแม่คืนนี้เลยละกัน’
‘โอเคลูก ถ้างั้นก็ตั้งใจทำงานและขับรถกลับดีๆ นะครับ’
‘ครับแม่ รักแม่ครับ’
พระเอกหนุ่มบอกรักมารดาทิ้งท้ายเหมือนกับทุกครั้ง และคืนนั้นหลังจากเขากลับถึงคอนโดฯ ใจกลางกรุง มารดาพร้อมคุณยายที่ปกติท่านจะเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ทว่าวันนั้นกลับถ่างตารอเขาอยู่ก็เล่าให้ฟังด้วยท่าทางตื่นเต้นปนปลื้มใจ
‘หนูคนนั้นน่ะน่ารักนะเหมือน แม่เราอาจจะเห็นแค่แวบๆ ไม่ได้สนใจอะไร แต่ยายอยู่ด้วยตั้งเกือบชั่วโมง หน้าตาก็น่ารัก แถมยังมีน้ำใจมากด้วย’ คุณมาลีกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะยอมเข้านอนตามคำเกลี้ยกล่อมของเขากับแม่ และที่ท่านยอมนอนง่ายๆ นอกจากเพราะความง่วงแล้วก็เพราะเล่าเรื่องของ ‘หนูคนนั้น’ ด้วยน้ำเสียงเอ็นดูจนครบสามรอบแล้ว
‘ทีแรกที่ซินแสหมิงเขาแนะนำมา…แม่ก็ยังหวั่นๆ นะเหมือน กลัวว่าการเลือกผู้หญิงจากวันเดือนปีเกิดจะได้คนแปลกๆ นิสัยไม่ดีมาเป็นสะใภ้ แต่เท่าที่ดูแล้วฟังยายเขาเล่า…แม่ว่าหนูคนนั้นโอเคเลย’
เหมือนจะมีเหตุผล
มนายุลอบกลอกตาไม่ให้แม่เห็น ถึงฟังแล้วเขาจะค่อนข้างประทับใจผู้หญิงคนนั้นที่ช่วยดูแลยายให้ แต่ก็อดค้านไม่ได้ว่า
‘แม่ฮะ เรื่องแค่นี้กับการเจอกันประเดี๋ยวประด๋าวของคุณยายกับผู้หญิงคนนั้นมันไม่ได้การันตีเลยนะว่าเธอจะนิสัยดีน่ารักอย่างที่แม่กับคุณยายมองจริงๆ’
ชายหนุ่มเลือกจะใช้คำว่า ‘มอง’ แทน ‘มโน’ เพราะกลัวจะรุนแรงกับบุพการีเกินไป
‘ก็จริงของเหมือน’ คุณมัทนาพยักหน้ารับ มนายุแอบเลิกคิ้วแปลกใจที่แม่ยอมง่ายๆ แต่สุดท้ายพระเอกหนุ่มก็ต้องลอบถอนหายใจกับประโยคต่อมาของท่าน ‘แต่ยังไงถ้าเราตามหาเธอเจอ และถ้ากำไลเหมือนเปลี่ยนสีจริงๆ เราก็ลองทำความรู้จักกันผู้หญิงคนนั้นดูก่อนก็ไม่เลวนะเหมือน แบบยังไม่ต้องบอกเขาก็ได้ว่าเรามีจุดประสงค์อะไร’
ก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้วไหมล่ะ
อย่าว่าแต่ด้วยอาชีพการงานของเขาเลย มนายุคิดว่าไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ควรทักทายทำความรู้จักผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งแล้วบอกจุดประสงค์เธอชัดเจนว่า ‘สวัสดีครับ เรามาทำความรู้จักกันนะ ถ้าคุณดีมากพอ ผมจะขอคุณแต่งงานเพื่อสะเดาะเคราะห์เบญจเพส’
‘ก็แล้วแต่แม่ละกันฮะ’
มนายุเลือกตอบไปแบบนั้นเพื่อความสบายใจของแม่ พระเอกหนุ่มไม่คิดว่าจะตามหา ‘เจ้าสาวสะเดาะเคราะห์’ ของเขาได้ง่ายดายนัก เพราะพอความตื่นเต้นจางหายไปคุณมัทนาก็พูดเองว่าที่จำได้แม่นคือวันเดือนปีเกิด ส่วนชื่อนามสกุลนั้นท่านไม่ค่อยแน่ใจ
‘ถ้าแม่จำไม่ผิดน่าจะชื่อลิป ลิส ลิน…หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ…’
ขนาดแม่ยังไม่มั่นใจในข้อมูล แล้วจะตามหากันยังไงล่ะนั่น จากวันเดือนปีเกิดหรือ เอาเข้าจริงผู้หญิงที่เกิดวันเดือนปีนั้นไม่ได้มีแค่คนเดียวในโลกซะหน่อย บางทีคนที่แม่เจออาจจะไม่ใช่คนที่ทำให้กำไลหยกเขาเปลี่ยนสีได้ด้วยซ้ำ (กรณีที่มันเปลี่ยนสีได้จริงๆ น่ะนะ)
และหลังจากวันนั้นมนายุก็ไม่ได้คุยเรื่องแต่งงานสะเดาะเคราะห์อะไรกับแม่อีก ท่านเองก็ไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเขาเช่นกัน ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเพราะคุณมัทนายังหาผู้หญิงคนนั้นไม่พบ หรือเพราะว่าช่วงหนึ่งเดือนมานี้เขาอยู่รอดปลอดภัยดีไม่มีอุบัติเหตุอะไรอีกจนท่านสบายใจขึ้นและเลิกคิดเรื่องที่เขามองว่าโคตรไร้สาระ แบบนั้นไปในที่สุด
อย่างที่เคยบอกว่ามนายุไม่เคยมีปัญหากับความเชื่อมั่นศรัทธาที่คุณมัทนามีต่อซินแส และเขาเองแม้จะไม่เชื่อถือในเรื่องดวงชะตาอย่างจริงแต่ก็ไม่คิดจะลบหลู่อะไร ทว่านั่นมันคนละเรื่องกับที่ซินแสบอกว่าเขาควรแต่งงานกับผู้หญิงที่เกิดหลังเขาหนึ่งปี แต่เกิดก่อนหนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งวันเพื่อให้ดวงของเธอมาเสริมดวงเขา ปัดเป่าเคราะห์ร้ายให้หายไปจากชีวิตเบญจเพส
มนายุไม่ได้โลกสวยขนาดไม่รู้ว่าโลกใบนี้มีคนแต่งงานกันด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่ความรัก อย่างละครหลายเรื่องที่เขาเคยแสดงชายหนุ่มก็เคยรับบทพระเอกที่แต่งงานกับนางเอกด้วยเหตุผลบางประการ แม้สุดท้ายในละครจะลงเอยกันด้วยความรัก แต่เขาไม่คิดว่าชีวิตจริงจะมีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นมาได้ ก็ดูอย่างหลายคู่ที่รักกันมาหลายปี แต่งงานกันด้วยความรักสุดท้ายยังจบด้วยการเลิกรา นับประสาอะไรกับการแต่งงานที่ไม่มีพื้นฐานความรักความเข้าใจ ยิ่งถ้าเป็นเหตุผลบ้าๆ บอๆ อย่างแต่งงานสะเดาะเคราะห์กับใครก็ไม่รู้นี่…
หนุ่มหน้าหวานเกินเพศจนเคยโดนแฟนสาวสองในสามบอกเลิกฐานที่เขา ‘สวยเกินเจ้าหล่อน’ บิดริมฝีปาก ดวงตาซึ่งมักเปล่งประกายสดใสอยู่เสมอฉายแววหยัน
ไม่มีทาง ใครจะบ้าทำอะไรแบบนั้นก็ทำไป แต่ไม่ใช่เขาแน่ๆ ล่ะ
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ มือซ้ายแกะกระดุมคอระบายความอึดอัดขณะที่มือขวายังกำพวงมาลัยไว้มั่น ดวงตามองป้ายบอกทางสู่กรุงเทพฯ
ตามปกติเวลาออกกองต่างจังหวัดมนายุจะโดยสารมาในรถตู้อเนกประสงค์สีดำคันใหญ่ที่ขับเคลื่อนโดย ‘เนตรา’ ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นทั้งคนขับรถและผู้ดูแลส่วนตัว เพราะแม้ตามหลักการแล้ว ‘อาตมัน’ จะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขา แต่ด้วยอดีตพระเอกดังยังมีงานเบื้องหน้ามากมาย คนที่เป็น ‘ผู้จัดการ’ จริงๆ ที่คอยดูแลเกือบทุกเรื่องให้เขาจึงเป็นเนตรา
ทว่าเพราะหนึ่งวันก่อนออกเดินทางหนุ่มผิวขาวจัดกลับอาหารเป็นพิษจนต้องเข้าโรงพยาบาล มนายุเองก็เห็นว่าระยะทางไม่ไกลมากจึงเลือกจะขับรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นมาด้วยตัวเองแทนที่จะเป็นรถตู้คันใหญ่ ทีแรกเนตราที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อวานบอกว่าวันนี้จะนั่งรถสาธารณะมาขับรถพาเขากลับไป แต่พระเอกหนุ่มยังห่วงอาการของอีกฝ่ายอยู่มาก และตัวเขาเองก็อยากรีบกลับไปเซอร์ไพรส์วันครบรอบแต่งงานปีที่ยี่สิบเจ็ดของบิดามารดา ในเมื่อฉากสุดท้ายถ่ายจบตอนสาย จากกาญจนบุรีเข้ากรุงเทพฯ ก็ไม่ได้มีเส้นทางสลับซับซ้อนหรืออันตรายอะไร มนายุจึงยืนกรานว่าเขาสามารถขับรถกลับเองได้อย่างสบายๆ
ระหว่างที่ชายหนุ่มบิดคอซ้ายขวาจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นกร๊อบ เพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า เมื่อสายตาโฟกัสบนถนนอีกทีเขาก็ต้องร้องลั่น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างมองภาพงูตัวใหญ่ซึ่งกำลังเลื้อยข้ามถนนอยู่ในระยะไม่กี่สิบเมตรข้างหน้า เพราะวันนี้เขาใช้ทางลัด บนถนนขนาดสองเลนแทบไม่มีรถคันอื่นวิ่งผ่านมนายุจึงเหยียบคันเร่งเต็มที่ อัตราความเร็วแบบที่เขามั่นใจเลยว่าเจ้างูนั่นมันข้ามถนนไม่พ้นก่อนรถเขาไปถึงแน่ๆ
ด้วยสัญชาตญาณมนายุตัดสินใจหักพวงมาลัยทันที!
“รักแรกนี่มันจริงๆ เลยนะ เป็นคนอยากจะมาเที่ยวเองแท้ๆ แต่ดันตื่นสายซะได้ ดูดิ๊ แทนที่ตอนนี้จะอยู่รีสอร์ตแล้ว นี่เพิ่งเข้ากาญจน์มาไม่เท่าไหร่เอง”
ปรียาวตีซึ่งประจำตำแหน่งพลขับยังบ่นพึมพำไม่หยุดปาก ขณะที่คนตื่นสายซึ่งขอโทษมาหลายทีจนเริ่มหงุดหงิดบ้างหน้างอ
“รักก็ขอโทษปิ๊งไปตั้งหลายรอบแล้วมั้ยอ่ะ ปิ๊งไม่เคยตื่นสายหรือไง ฮะ”
“นี่! ทำผิดแล้วยังจะมาเสียงแข็งใส่ปิ๊งอีกนะรักแรกน่ะ! ถ้ารักแรกไม่ได้เอาแต่อ่านนิยายจนเกือบตีสาม พอเช้าก็ลุกไม่ขึ้นแบบนี้…ปิ๊งคงไม่ด่าขนาดนี้มะ มีอย่างที่ไหนรักแรกเป็นคนอยากมาเที่ยวเองแท้ๆ ปิ๊งก็ยอมมาเป็นเพื่อน แถมขับรถให้ด้วย แล้วรักแรกยังจะมานอนดึกตื่นสายอีก นี่! อย่าหลับนะยะ! รักแรกต้องถ่างตานั่งเป็นเพื่อนปิ๊งจนกว่าจะถึง!”
“เออๆ รู้แล้วน่า เอ้า! เอานี่ยัดปากไปเลยไป” มือเรียวของคนง่วงนอนจนตาแทบปิดแต่ต้องไถ่โทษด้วยการถ่างตาอยู่เป็นเพื่อนล้วงลงไปในถุงขนม คว้ามันฝรั่งทอดกรอบชิ้นโตยัดปากคนขับ
“รักแรก!”
ปรียาวตีแว้ดทั้งๆ ที่ขนมยังอยู่เต็มปาก
ปกติคนที่ได้รับการอบรมเรื่องกิริยามารยาทมาดีอย่างหล่อนไม่เคยกินไปพูดไป เวลามีอาหารอยู่ในปากจะเคี้ยวจนหมดแล้วค่อยพูด แต่กับคนที่สนิทสนมรู้ไส้รู้พุงกันดีอย่างลิปสา หญิงสาวไม่ลังเลที่จะแว้ดใส่โดยไม่คิดรักษามารยาทภาพลักษณ์อะไร
“อี๊ อย่าแว้ดทั้งที่หนมยังอยู่ในปากได้มะ เกิดร่วงออกมาทำไงอ่ะ แหวะ!” รีไรเตอร์สาวสะบัดไหล่ แกล้งทำสีหน้าขยะแขยงใส่เพื่อน “ว่าแต่ทำไมถนนเส้นนี้มันแทบไม่มีรถเลยอ่ะ ปิ๊งพาหลงทางป้ะเนี่ย”
“หลงบ้าหลงบออะไรล่ะ ปิ๊งใช้ทางลัดย่ะ! ก็รักแรกตื่นโคตรสายขนาดนี้ขืนใช้เส้นปกติอีกนานกว่าจะถึง…ปิ๊งหิวข้าวแล้ว”
“แล้วปิ๊งแน่ใจเหรอว่ามาถูกอ่ะ เราไม่ใช่คนพื้นที่นะโว้ย”
“เออ ถูกแน่นอน ปิ๊งเพิ่งมากับเฮียโปรดเมื่อวีกก่อนเอง ช่วยเฮียดูจีพีเอสเองด้วย ไม่พลาดแน่ๆ…รักแรกน่ะไม่ต้องพูดมาก ส่งน้ำมาด้วย กินขนมจนคอแห้งแล้วเนี่ย” ว่าพลางหรี่ตาเมื่อมองเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งอยู่ด้านหน้า ใจนึกไปว่าชาวบ้านละแวกนี้เผาหญ้าหรือเผาขยะแบบที่เคยเจออยู่บ่อยๆ แถวบ้าน ในหัวเริ่มคำนวณว่าหล่อนอาจจะย้อนกลับไปใช้เส้นทางปกติเพื่อกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจากการขับรถฝ่ากลุ่มควัน
“เออๆ…ควันอะไรน่ะ” ลิปสาโคลงศีรษะ ก้มหน้าส่งน้ำอัดลมแก้วใหญ่ไปจ่อถึงปากเพื่อน ขณะที่สายตากวาดมองหาต้นตอจนเห็นรถยนต์ไฟลุกไหม้อยู่ริมถนนด้านหน้า มือเผลอกระตุกแก้วจนหลอดหลุดออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้ม
“แค่ก! นังรักแรก! นี่ตกลงแกจะมีเรื่องกับฉันให้ได้ใช่มั้ย ฮะ!” คนที่เริ่มโมโหจนสรรพนามเปลี่ยน จากที่เคยแทนตัวกันและกันด้วยชื่อเล่นด้วยคุ้นชินมาแต่เล็กก็เริ่มขึ้น ‘ฉัน’ ขึ้น ‘แก’
“อย่าเพิ่งเหวี่ยงใส่รักได้มั้ยปิ๊ง โน่น มองโน่นก่อน”
“เฮ้ย!”
สาวหมวยร้องลั่นเมื่อเห็นแล้วว่าจุดเกิดเหตุของกลุ่มควันไม่ใช่การเผาหญ้าเผาขยะอย่างที่คาด หากเป็นรถยนต์คันหนึ่งซึ่งตอนนี้ถูกกลุ่มควันกลบทับจนแทบมองไม่เห็น
แม้จะตกใจขนาดไหน หญิงสาวที่หัดขับรถมาตั้งแต่อายุสิบแปดก็มีสติพอจะเปิดไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง ก่อนหันไปสบตาเพื่อนด้วยสีหน้ากังวล
“รักแรก…รักแรกว่า…มีคนในรถมั้ย”
“ไม่…ไม่รู้อ่ะ” คนที่เพิ่งเคยเห็นอุบัติเหตุรุนแรงแบบนี้ครั้งแรกเหมือนกันส่ายหน้า ตระหนกจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองชัดเจนกว่าเสียงเพื่อน ลิปสาไม่แน่ใจว่าเธออุปาทานไปเองหรืออย่างไรถึงได้รู้สึกว่าอุณหภูมิเริ่มร้อนขึ้นมาทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศในรถ
“ปิ๊งว่าปิ๊งถอยรถออกไปอีกหน่อยดีกว่าว่ะ”
“อือ” หญิงสาวพยักหน้าลอยๆ จังหวะที่หางตากวาดมองไปก็พบเงาร่างของใครบางคนริมถนนอีกฝั่ง ห่างจากรถยนต์ของเธอไม่เท่าไหร่ ลิปสาเดาว่าที่เมื่อแรกไม่เห็นเป็นเพราะกลุ่มควันบดบังเอาไว้ เธอรีบร้องบอกเพื่อน “ปิ๊ง! ปิ๊ง! นั่นมัน…คนนี่!”
ไม่ทันให้เพื่อนตั้งตัว ทันทีที่รถจอดสนิทลิปสาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยก้าวลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว
“เอ้า! รักแรก! เฮ้ย รักแรกจะลงไปแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย นี่มันอันตรายนะ! โอ๊ยยย…ทำไมช่วงนี้รักแรกมันเป็นคนดีผิดปกติช่วยเหลือคนอื่นเขาไปทั่วแบบนี้วะเนี่ยยย”
แม้ปากจะบ่นแต่สาวหมวยก็รีบคว้าโทรศัพท์มือถือ ก้าวตามเพื่อนลงไปติดๆ
มนายุทิ้งร่างลงบนขอบถนนอีกฝั่ง ดวงตาเบิกกว้างมองซากรถยนต์ที่เกิดไฟลุกซึ่งอยู่ห่างไปเกือบกิโล…นั่นคือระยะทางทั้งหมด…ที่เขาพาตัวเองหนีออกมาได้
หนุ่มหน้าหวานหอบหายใจ เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบอาบทั่วกรอบหน้าและลำคอ ร่างสูงโปร่งสั่นสะท้านเมื่อย้อนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า
หลังหักพวงมาลัยลงข้างทางกะทันหัน แม้จะพยายามเบรกแต่สุดท้ายรถของเขาก็ชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ แรงกระแทกทำให้เขามึนหัวแต่ไม่ถึงกับหมดสติ ใช้เวลาครู่หนึ่งสำรวจร่างกายตัวเองว่านอกจากอาการเจ็บหน้าอกกับข้อเท้าขวาและรอยกระจกบาดตามใบหน้ากับท่อนแขนแล้วเขาก็พอจะขยับตัวไหวอยู่
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับรถของเขาบ้าง หากควันที่พวยพุ่งจากกระโปรงหน้ารถก็ทำให้ตัดสินใจคว้าโทรศัพท์และงัดตัวเองออกไปยืนนอกตัวรถได้สำเร็จ เดิมทีเขาใช้มือหนึ่งยันหลังคารถไว้แทนการพยุงตัว ก็ไม่รู้ว่าเจ้าสมาร์ตโฟนราคาแพงระยับเกิดขัดข้องเพราะแรงกระแทกเมื่อครู่หรือเพราะอยู่ในเส้นทางที่แวดล้อมด้วยภูเขากันแน่ ร่างสูงที่ยังมึนงงและมีบาดแผลกระจกบาดต้องเดินลากขาออกห่างจากจุดเกิดเหตุขึ้นไปเพื่อหาสัญญาณโทรศัพท์ หางตาเหลือบมองหางูเจ้าปัญหาก็พบว่ามันกำลังเลื้อยเข้าไปในโพรงหญ้าอีกฝั่งอย่างปลอดภัย
ให้ตาย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองจะเป็นคนดีขนาดยอมขับรถชนเพื่อให้งูตัวหนึ่งปลอดภัย
พระเอกหนุ่มส่ายหัวอย่างหงุดหงิดตัวเอง ระหว่างที่เดินไกลออกมาจากจุดเกิดเหตุได้สักระยะ จมูกก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างคล้ายๆ กับ…
น้ำมัน?
ข้อสันนิษฐานในใจยังไม่ทันจางหายไอร้อนก็ปะทะแผ่นหลัง มนายุหันกลับไปดูก็ต้องอ้าปากค้างกับภาพพาหนะที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขายังอยู่ในนั้น เกิดไฟลุกท่วมตรงกระโปรงหน้า ก่อนจะลามไปทั้งคันอย่างรวดเร็ว!
เท่านั้นเอง…ที่สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดทำให้เขากัดฟันวิ่งออกมาให้ไกลที่สุดก่อนจะหมดแรงอยู่ตรงนี้
มือแกร่งที่ยังกำโทรศัพท์ไว้แน่นสั่นไม่หยุด หน้าอกสะท้อนขึ้นลงหนักหน่วงจากอัตราการเต้นของหัวใจ
เมื่อกี้นี้เขา…
พระเอกหนุ่มกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ
เพียงแค่คิดว่าถ้าเขาไม่สามารถดึงตัวเองออกมาจากตัวรถได้ทัน หรือว่าถ้าเขายังยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้เดินตามหาสัญญาณโทรศัพท์แล้วล่ะก็…
ทั้งๆ ที่ห่างกันไม่ไกลมีเปลวไฟกองใหญ่ลุกท่วม หากเรือนร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มกลับเย็นยะเยือก ไหวสะท้านกับความตายที่ใกล้เพียงเส้นบางๆ ขวางกั้น สมองสั่งให้เขารีบกดโทรศัพท์หาใครสักคนให้มาช่วยพาออกไปจากจุดเกิดเหตุ ไม่ก็แจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยซึ่งเขาไม่มีข้อมูลติดต่อ ทว่าสิ่งที่มนายุทำได้กลับเป็นการนั่งกำมือสั่นๆ อยู่ริมถนน ขณะดวงตาเบิกกว้างจ้องไปยังซากยานพาหนะที่เขาเป็นคนขับมาความคิดบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในหัว
หรือบางทีแล้ว…เขาอาจจะยังอยู่ในรถคันนั้น ส่วนตัวเขาในเวลานี้เป็นเพียงแค่…วิญญาณ
…วิญญาณ…ที่คิดว่าตัวเองยังไม่ตาย
“คุณ! คุณคะ คุณ!”
อยู่ดีๆ เสียงของใครบางคนก็ฉุดเขาให้ลุกออกจากโลกใบเดิมที่มีแค่ตัวเองกับเปลวไฟลุกท่วม พระเอกชื่อดังเงยหน้าที่ปราศจากสีเลือดขึ้นมองใครคนนั้นด้วยสายตาพร่าเลือน
แรกเริ่มมนายุนึกว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้สายตาเขามีปัญหา หากวินาทีต่อมาชายหนุ่มถึงได้รู้ว่าความพร่าเลือนนั้นเกิดจากฝ้าน้ำตาบางเบาขึ้นบดบัง
“คุณ…เหมือน?!”
เมื่อลิปสาเห็นผู้ประสบอุบัติเหตุชัดตาว่าเป็นใคร เธอก็อุทานชื่อเขาเสียงดัง มืออ่อนนุ่มที่แตะท่อนแขนเขาสั่นระริก และสัมผัสนั้นเอง…ที่ยืนยันให้มนายุแน่ใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่
เขายังอยู่…ยังอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่วิญญาณ
ชายหนุ่มเอื้อมมือไร้เรี่ยวแรงขึ้นไปหาเธอ หญิงสาวแปลกหน้ายื่นมือมารับเขาไว้ และไม่ทันให้เธอตั้งตัว…มนายุกลับดึงเธอเข้ามากอดไว้ สูดลมหายใจหอบเอากลิ่นหอมบางเบาเข้าไปขับไล่กลิ่นเหม็นไหม้ที่คั่งค้างเต็มฆานประสาท เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ถูกใช้ไปกับการกอดรัดคนแปลกหน้าเพื่อตอกย้ำให้ตัวเขาเองได้มั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบเดิม ไม่ได้มอดไหม้ไปในเปลวเพลิงลุกโชนตรงนั้น ริมฝีปากซีดเผือดขยับเป็นรอยยิ้มขณะเอ่ยปากเบาๆ
“ขอบ…ขอบคุณที่…ที่มาช่วยผม ขอบคุณ”
…กริ๊ง~
บทที่ 5 พลเมืองดี
ตั้งแต่พบว่าคนที่เฉียดตายคือมนายุ…พระเอกหนุ่มคนโปรดที่เธอยกให้เป็นสามีมโน ซ้ำเขายังหมดสติไปทั้งๆ ที่ยังกอดเธออยู่ สมองของลิปสาก็ว่างเปล่า เธอทำอะไรไม่ถูกนอกจากกอดเขาเอาไว้แบบนั้น จนปรียาวตีที่ควบคุมสติได้ดีที่สุดก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทว่าสุดท้ายสองสาวก็ตัดสินใจพาหนุ่มหน้าหวานส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ซึ่งโชคดีว่าก่อนหน้านี้พวกเธอเห็นอยู่แวบๆ
มนายุฟื้นขึ้นมาก่อนถึงโรงพยาบาลไม่นาน ชายหนุ่มยื่นสมบัติชิ้นเดียวที่ไม่ได้มอดไหม้ไปพร้อมกับรถคันนั้นให้ลิปสาซึ่งนั่งประคองเขาอยู่ที่เบาะหลัง ร้องขอด้วยเสียงแหบพร่าว่าช่วยติดต่อครอบครัวของเขาให้ที ดังนั้นหลังส่งเขาเข้าห้องฉุกเฉินลิปสาที่เพิ่งรวบรวมสติได้ก็ลองกด Emergency call บนหน้าจอไอโฟนอีกฝ่าย ซึ่งโชคดีที่ชายหนุ่มลงข้อมูลติดต่อเป็นชื่อแม่ของเขา ไม่งั้นเธออาจจะต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายออกจากห้องฉุกเฉินจะได้เอานิ้วเขาสแกนปลดล็อกเครื่อง
“แล้ว…เอาไงกันเรา”
ปรียาวตีที่ตามมานั่งข้างๆ วางมือบนไหล่เพื่อน ถามเสียงเบา และเพียงแค่ลิปสาเงยหน้าขึ้นมาหล่อนก็อ่านความต้องการของอีกฝ่ายออก
“คือว่ารัก…”
ลิปสาทำหน้าอึกอัก และแค่เห็นสีหน้าแบบนั้นปรียาวตีก็ได้คำตอบ
“เออ รู้แล้ว” สาวหมวยตัดบทพลางถอนหายใจ “เวลาแบบนี้ใครจะมีอารมณ์ไปเที่ยวต่อล่ะเนอะ งั้นเดี๋ยวเรานั่งรอตรงนี้ไปก่อนละกัน ถ้าครอบครัวเขามาแล้วค่อยไป…ไม่งั้นก็รอจนกว่าหมอจะออกมาอ่ะ”
“อื้อ ขอบใจนะ” ลิปสาส่งยิ้มเซียวให้เพื่อน มือสองข้างยังกำโทรศัพท์ของมนายุไว้แน่น เพียงแค่คิดไปถึงภาพรถยนต์ของเขาที่ไฟลุกทั้งคันและสภาพของพระเอกคนโปรดที่เธอเคยเห็นแต่ตอนเขายิ้มสดใสร่าเริงอยู่ตามสื่อต่างๆ…ร่างเพรียวก็สั่นสะท้านจนต้องกัดริมฝีปากข่มกลั้นน้ำตา
ปรียาวตีเหล่มองขอบตาที่เริ่มมีน้ำเอ่อคลอ นักเขียนสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจอ้าแขนออก พอเห็นเพื่อนมองอย่างมึนงงก็กลอกตา บอกเสียงเบื่อๆ
“เอ้า เห็นว่ากำลังเครียดมาก แล้วตรงนี้ก็ไม่มีคุณอ้อมกอดให้กอด…เพราะงั้นจะให้ยืมอ้อมกอดของปิ๊งแทนละกัน”
ลิปสาเบะปาก โถมตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเพื่อนสาวคนสวยทันที
ในโถงทางเดินของโรงพยาบาลสตรีวัยกลางคนที่ยังคงความงดงามไว้ได้ไม่ผิดจากวันวานยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาซึ่งยังไม่หยุดไหลตั้งแต่ทราบข่าว ขณะที่สองขาวิ่งพรวดโดยมีจุดหมายอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เยื้องไปทางด้านหลังของท่านคือชายผู้เป็นคู่ชีวิตมาเกือบสามสิบปี
“มัท…ใจเย็น อย่าวิ่งแบบนั้น”
คุณสมภพที่วิ่งตามมาร้องบอกภรรยา ทั้งที่ใจท่านเองก็ร้อนรนไม่ต่างกัน
หลังจากได้ข่าวว่าลูกชายคนเดียวประสบอุบัติเหตุจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล แม้ปลายสายที่ใช้โทรศัพท์ของมนายุติดต่อมาจะไม่ได้แจ้งรายละเอียดอะไร หากแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สองสามีภรรยาซึ่งตั้งใจมาเซอร์ไพรส์ลูกชายจนเกือบเข้าเขตกาญจนบุรีแล้วรีบเปลี่ยนเส้นทางจากรีสอร์ตที่ลูกพักมาเป็นโรงพยาบาลแห่งนี้
เพราะเรื่องของมนายุยังไม่เป็นข่าว ทำให้หน้าห้องฉุกเฉินมีเพียงหญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่ก่อน และทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกท่านสองสาวก็สะดุ้งเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกัน
“ฮึก…เหมือน…” คนเป็นแม่ถลาไปเกาะขอบประตูที่ขวางกั้นระหว่างท่านกับลูกชาย ความหวาดกลัวโอบล้อมไปทั้งใจเพราะไม่รู้เลยว่าอุบัติเหตุที่ลูกประสบนั้นร้ายแรงมากเพียงใด
“เอ่อ…คุณน้าคะ…” หลังปรึกษากันผ่านทางสายตาลิปสาก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้น พอดวงหน้าสวยชุ่มน้ำตาและรอยเศร้าหมองผสมหวาดหวั่นหันกลับมา เธอก็ยื่นไอโฟนรุ่นล่าสุดไปให้ “อันนี้…มือถือของเหมือนค่ะ”
“มือถือของเหมือน” คุณมัทนาพึมพำ มือสั่นเทารับสมบัติของลูกมากอดไว้แนบอก โอบประคองด้วยความระมัดระวังราวกับว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สมาร์ตโฟนราคาหลายหมื่น หากเป็นลูกชายผู้ไม่รู้เลยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
“หนูสองคนช่วยเหมือนไว้ใช่มั้ยลูก ลุงขอบใจพวกหนูมากเลยนะ” คุณสมภพที่ควบคุมสติได้ดีกว่าเอ่ยคำขอบคุณพร้อมกับประคองร่างภรรยาไปนั่งบนเก้าอี้
“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเรา…ผ่านไปเจอพอดี”
“แล้ว…หนูพอจะเล่าให้เราฟังได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหมือนบ้าง ลุงรู้แค่ว่าเขารถชน”
คำถามของคุณสมภพทำให้สองเพื่อนรักต้องหันหน้าไปสบตากันอย่างลำบากใจ
พวกเธอไม่แน่ใจว่าพวกท่านจะรับได้กับเหตุการณ์ที่พวกเธอได้เจอมา ซึ่งดูเหมือนว่าสองสามีภรรยาจะเข้าใจ คุณมัทนารีบปาดน้ำตา บอกด้วยสีหน้าเข้มแข็งขึ้นว่า
“ไม่เป็นไรนะหนู เล่ามาตามตรงได้เลย ไม่ตรงกลัวว่า…น้าจะรับไม่ได้”
“คือ…” ลิปสาสบตาปรียาวตี เพียงแค่นึกย้อนไปถึงภาพเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ มนายุที่นั่งอ่อนแรงอยู่ริมถนนและหมดสติไปในอ้อมกอดของเธอ ร่างเพรียวก็ไหวระริก ความกลัวโอบล้อมหัวใจจนเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา
“ไม่เป็นไรรักแรก เดี๋ยวปิ๊งเล่าเอง” ปรียาวตีกลืนน้ำลายลงคอ ตบบ่าเพื่อนเบาๆ ตัดสินใจเล่าไปอย่างจงใจตัดบางช่วงบางตอนออก “ตอนพวกหนูไปถึง เหมือนออกมาห่างจากรถไกลมากแล้วค่ะ ยังมีสติอยู่ด้วย ก่อนถึงโรง’บาลเมื่อกี้ก็ยังบอกให้โทรหาพ่อแม่ให้เลยค่ะ”
“เหรอ ยังมีสติอยู่ใช่มั้ย” น้ำเสียงของคุณมัทนาดีขึ้น ริมฝีปากที่เม้มแน่นมานานคลายออกเป็นรอยยิ้ม
แค่รู้ว่าตอนลูกถึงโรงพยาบาลยังมีสติอยู่ท่านก็ใจชื้นขึ้นจนไม่ได้นึกสนใจทรัพย์สินภายนอกอย่างรถยนต์หรือข้าวของอย่างอื่น
เพราะสำหรับท่าน…แค่ลูกปลอดภัยก็พอแล้ว…พอแล้วจริงๆ
เป็นคุณสมภพที่เอะใจกับคำบอกเล่านั้น เพราะหากไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นจริงๆ หญิงสาวที่คงอายุไล่เลี่ยกับลูกชายไม่เท่าไหร่คงไม่ถึงกับร้องไห้ออกมา หากท่านก็ไม่คิดจะถามต่อหน้าภรรยา
พอเริ่มสบายใจขึ้นคุณมัทนาก็มีแก่ใจหันมาสนใจพลเมืองดีทั้งสอง ทว่ายิ่งพิศมองใบหน้าของพวกเธอก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตาจนต้องเอ่ยปาก
“เอ่อ ขอโทษนะจ๊ะ น้าเคยเจอพวกหนูมาก่อนรึเปล่า”
“คะ?” ลิปสาที่นั่งคิดถึงภาพอุบัติเหตุก่อนหน้าสะดุ้งหันไปมองคุณมัทนาซึ่งนั่งติดกัน เพราะไม่ทันคิดว่ามารดาของมนายุผู้น่าจะเจอคนมากหน้าหลายตาจะจำเธอได้
“น้าว่า…น้าคุ้นๆ หน้าหนูน่ะจ้ะ เหมือนเคยเจอกันมาก่อน”
“อ๋อ…ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังติดสั่นอยู่บ้าง “สักเดือนก่อน พวกหนูเจอคุณน้าที่ห้างน่ะค่ะ”
“เดือนก่อน? ที่ห้าง?” คุณมัทนาทวนคำ พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองจากความกังวลถึงลูกชายในห้องฉุกเฉินไปคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เคยเจอสองสาว และพอมองหน้าซีดเผือดของคนข้างตัวชัดๆ อีกทีก็นึกออก “หนูที่เจอวันนั้น ที่ช่วยคุณยายไว้ใช่รึเปล่า”
ลิปสาสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่ออยู่ดีๆ มารดาของมนายุก็คว้ามือเธอไปเขย่าเบาๆ ดวงหน้าประดับรอยยิ้มยินดี
คะ…แค่ได้เจอเธออีกครั้ง ทำไม…ต้องดีใจขนาดนี้เนี่ย
“ใช่…ใช่ค่ะ”
“คุณ คุณคะ นี่ไงหนูคนนี้แหละที่มัทเล่าให้ฟัง” คุณมัทนาหันไปเขย่าแขนสามีด้วยความดีใจ และไม่รอปฏิกิริยาของคู่ชีวิตก็รีบหันกลับไปหาสองสาวอีกครั้ง “พวกหนูชื่ออะไรกันบ้างจ๊ะ”
“เอ่อ…รักแรกค่ะ” ลิปสากะพริบตาปริบ เผลอบอกชื่อเล่นตัวเองด้วยสีหน้ามึนงงกับปฏิกิริยาของมารดาพระเอกดัง ไม่ต่างจากปรียาวตีเท่าไหร่
“ส่วนหนูชื่อปิ๊งค่ะ”
“โอเค หนูรักแรก หนูปิ๊ง ชื่อน่ารักกันจังนะลูก” ชื่อแรกท่านพึมพำอย่างตั้งใจจดจำ ส่วนชื่อหลังพึมพำตามมารยาท เพราะให้พูดกันตามจริงโฟกัสของท่านอยู่ที่ ‘หนูรักแรก’ ผู้มีวันเดือนปีเกิดตรงตามที่ซินแสหมิงเคยกล่าวไว้พอดิบพอดี “สองครั้งแล้วที่พวกหนูช่วยครอบครัวน้าเอาไว้ ขอบคุณมากจริงๆ นะลูก”
‘หวิดสิ้นชื่อ! เหมือน มนายุรอดหวุดหวิด หลังประสบอุบัติเหตุรถชนไฟลุกท่วม!’
‘อาถรรพ์เบญจเพส! พระเอกดังหวิดดับสยอง!’
‘แฟนคลับช็อก! เหมือน มนายุถูกหามส่งโรงพยาบาลหลังประสบอุบัติเหตุรถชนรุนแรง!’
‘หรืออาถรรพ์ละครฟอร์มยักษ์เล่นงานอีกราย?!?! เหมือน มนายุหวิดดับหลังกลับจากกองถ่าย ‘มงกุฎอคิราห์’…’
‘รอดปาฏิหาริย์ เหมือน มนายุขับรถชน ไฟลุกท่วมคัน!’
ดวงตากลมกวาดมองพาดหัวข่าวจากสำนักต่างๆ ที่ขึ้นเต็มหน้าฟีดเฟซบุ๊ก แน่นอนว่าภาพประกอบคงไม่พ้นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นสีดำของพระเอกหนุ่มซึ่งเหลือเพียงแค่ซาก คาดว่าคนที่ถ่ายภาพนี้ไว้น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งไปถึงที่เกิดเหตุหลังพวกเธอตัดสินใจนำมนายุส่งโรงพยาบาลแล้ว
จากการกวาดตาอ่านผ่านๆ เจ้าหน้าที่กู้ภัยรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าตอนแรกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถยนต์คันที่ประสบอุบัติเหตุไฟลุกท่วมอยู่ข้างทางเป็นของมนายุ เพราะได้รับแจ้งแค่ว่ามีอุบัติเหตุและตอนไปถึงคนเจ็บก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลไปแล้ว
ปลายนิ้วยาวขยายภาพรถยนต์ที่เหลือแต่ซากความเสียหายให้ใหญ่ขึ้น นิ่งค้างอยู่อย่างนั้นพร้อมๆ กับหัวใจที่เริ่มบีบรัดด้วยความกลัว
ทั้งๆ ที่เธอกับเพื่อนคือคนแรกที่เจอเหตุการณ์ ทว่าตอนนั้นด้วยความตกใจและพุ่งความสนใจไปยังผู้ประสบอุบัติเหตุอย่างมนายุ หญิงสาวจึงไม่ได้หันไปมองหรือจดจำรายละเอียดอะไรของรถคันนั้นมาก แต่ภาพทั้งจากกู้ภัยเองและจากหลายๆ คนที่แห่กันไปดูที่เกิดเหตุแล้วถ่ายภาพมาลงนั้นกลับทำให้สมองช่างฟุ้งซ่านของลิปสาจินตนาการเรื่องราวขึ้นมาเป็นฉากๆ ในหัว
ผู้คร่ำหวอดในวงการนิยายมานานเริ่มร่างภาพว่ามนายุขับรถมาอย่างไร เกิดอะไรขึ้นจนรถเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง ต้องชนแรงขนาดไหนจึงได้รับความเสียหายจนเกิดไฟลุกท่วม และตัวมนายุเอง…ตอนประสบอุบัติเหตุเขาบาดเจ็บรุนแรงเพียงใด เอาตัวรอดออกมาจากรถคันนั้นได้ก่อนประกายไฟค่อยๆ ลุกโชนหรือรอดมาได้อย่างหวุดหวิดเฉียดตาย
ลิปสาหลับตา สองมือที่ยังกุมโทรศัพท์ไว้ยกขึ้นแตะหน้าผากเบาๆ พยายามคิดถึงร่องรอยความเสียหายบนร่างของพระเอกคนโปรดว่าเขามีรอยไหม้ตรงไหนรึเปล่า แต่เธอคิดไม่ออกสักนิด คล้ายกับว่าเหตุการณ์ในตอนนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนละครที่ถูกเร่งความเร็วจนเธอดูไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็ส่งเขาเข้าห้องฉุกเฉินและได้พบพ่อแม่ของชายหนุ่ม
พอคิดถึงภาพบุพการีของพระเอกหน้าหวาน ริมฝีปากเย็นชืดของคนที่แม้ภายนอกจะเริ่มดูปกติดี หากภายในยังขวัญเสียอยู่ไม่น้อยก็แย้มเป็นรอยยิ้ม
หลังจำได้ว่าเคยพบพวกเธอมาก่อนคุณมัทนาหรือที่ท่านคะยั้นคะยอให้เธอเรียกว่า ‘แม่มัท’ อย่างเป็นกันเอง หากลิปสากับปรียาวตีก็ทำได้เพียงเรียกท่านว่า ‘คุณน้า’ อย่างนอบน้อมก็ชวนพวกเธอคุยหลายเรื่อง รีไรเตอร์สาวไม่แน่ใจว่ามารดาของพระเอกหนุ่มเพียงแค่ต้องการเบนความสนใจของตัวเองออกจากความพะวงถึงอาการของลูกชายหรืออย่างไร แต่เธอก็พูดคุยกับท่านเป็นอย่างดี
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ลิปสาจำไม่ได้ แต่สุดท้ายแพทย์ผู้ทำการรักษาก็ออกมาแจ้งข่าวดีว่ามนายุพ้นขีดอันตรายเรียบร้อยแล้วและเดี๋ยวจะนำเขาไปที่ห้องพักฟื้น พวกเธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก ส่วนมารดาของชายหนุ่มถึงกับปล่อยโฮออกมา ยกมือไหว้ขอบคุณหมอที่อายุรุ่นราวไล่เลี่ยกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะหันกลับมาจับมือขอบคุณพวกเธออีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นกัน
นอกจากนี้คุณมัทนายังเอ่ยปากชวนให้เธอกับปรียาวตีรอเยี่ยมมนายุด้วยกัน สองสาวตกใจกับความเป็นกันเองที่ท่านมอบให้เพราะต่างตระหนักดีว่ามนายุไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นพระเอกที่อยู่ในระดับซุป’ตาร์เบอร์ต้นๆ คนหนึ่งของวงการ หากก็พอเข้าใจได้ว่าท่านคงต้องการตอบแทนที่พวกเธอช่วยเหลือเขาเอาไว้
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะเคลื่อนย้ายไปไหน กองทัพนักข่าวซึ่งไม่รู้มาจากไหนก็แห่มาล้อมบุพการีของมนายุและแย่งกันตั้งคำถามที่หญิงสาวฟังแล้วรู้สึกว่าไม่ได้รักษาความรู้สึกพ่อแม่ที่ลูกชายเพิ่งประสบอุบัติเหตุร้ายแรงมาเลยสักนิด ก่อนที่อาตมันซึ่งเป็นทั้งนักแสดงชื่อดังและต้นสังกัดของมนายุจะพาคนจำนวนหนึ่งก้าวเข้ามากันนักข่าวไว้
หนึ่งในนิสัยที่เหมือนกันราวฝาแฝดของลิปสาและปรียาวตีคือพวกเธอเกลียดการเป็นจุดเด่นให้คนจับจ้องสนใจ หญิงสาวทั้งสองจึงหาจังหวะยกมือไหว้บอกลาสองสามีภรรยา แต่ก่อนที่พวกเธอจะฝ่าวงล้อมนักข่าวออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็นคุณมัทนาก็ทำบางอย่างที่ทำให้นักข่าวบางคนหันมาสนใจพวกเธอด้วยการคว้าข้อมือลิปสาไว้และร้องบอกว่า
‘เดี๋ยว! หนูรักแรก ไม่รอเยี่ยมเหมือนก่อนเหรอ’
‘คะ?! เอ่อ…’ ลิปสาอึกอัก ทีแรกเธอก็ว่าจะรอเยี่ยมอาการของพระเอกคนโปรด แต่ในสถานการณ์วุ่นวายแบบนี้คนรักสงบอย่างเธออยากจะรีบปลีกตัวหนีไปให้ไกลมากกว่า
คล้ายจะอ่านความรู้สึกเธอออก แม้จะแสดงชัดว่าเสียดายหากคุณมัทนาก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ กระนั้นยังร้องขอบางอย่างที่ทำให้หญิงสาวแปลกใจ
‘ถ้างั้นแม่ขอคอนแทกต์หนูหน่อยได้มั้ย แม่อยากขอบคุณหนูจริงๆ นะหนูรักแรก’
ในสภาวการณ์ที่ทุกอย่างดูวุ่นวายและนักข่าวบางส่วนเริ่มหันมาสนใจพวกเธอ ลิปสารีบควานหานามบัตรในกระเป๋าสตางค์แล้วส่งให้คุณมัทนา ยกมือไหว้ลาท่านกับสามี ก่อนจูงมือปรียาวตีวิ่งกันออกมาอย่างรวดเร็ว และพอคุณมัทนาที่หนีนักข่าวเข้าไปในห้องพักฟื้นของมนายุได้โทรศัพท์มาหา ก่อนเกริ่นว่ากำลังปรึกษากับอาตมันว่าจะแถลงข่าวเรื่องมนายุอย่างไรโดยเฉพาะเรื่องการให้ความช่วยเหลือของพวกเธอ สองสาวสบตากันแวบเดียวลิปสาก็ตอบได้ทันทีว่า
‘บอกว่าเป็นพลเมืองดีก็พอค่ะ’
แม้จะไม่มั่นใจว่าต่อให้บอกไปจริงๆ ว่าพวกเธอเป็นคนช่วยเหลือแล้วจะเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจจะไม่มีใครสนใจเลยก็ได้ แต่ใครจะรับประกันว่าจะไม่มีคนไทยที่ชอบ ‘เผือก’ และว่างจัดบางส่วนตามมาขุดประวัติพวกเธอจนกลายเป็นที่รู้จักในชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งในผู้ช่วยเหลือมนายุอย่างปรียาวตีนั้นสวยมากจริงๆ (นี่เธอไม่ได้อวยเพื่อนนะ…สาบาน) ทั้งยังเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงพอสมควรอีกต่างหาก
ลิปสาอาจจะชอบมโนว่าเธออยากเป็นแฟนมนายุจนตัวสั่น แต่เอาเข้าจริง…หญิงสาวก็รักชีวิตสุขสงบแบบบุคคลธรรมดาที่สามารถวิจารณ์ละครได้อย่างออกรส แสดงความคิดเห็นต่างๆ ในโลกอินเตอร์เน็ตได้อย่างอิสระ ไม่ใช่มีใครก็ไม่รู้ตามมาสอดส่องเพราะอยากเผือกและอาจจะขุดออกไปด่าหากเธอแสดงความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับความคิดของคนส่วนใหญ่
“เฮ้อ!”
“เอ้า! ถอนหายใจอีกแล้ว นี่รักแรกยังไม่เลิกอ่านข่าวอีกเหรอเนี่ย”
ปรียาวตีที่เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำร้องทัก
“คือจริงๆ รักก็ไม่ได้ตั้งใจจะอ่านข่าวไง แค่ไถเฟซแก้เซ็งอ่ะ แต่แบบมันมีแต่ข่าวเหมือนไง”
“อือฮึ” ร่างเพรียวระหงในชุดง่ายๆ อย่างเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเดินไปนั่งบนเตียงตัวเองซึ่งถูกคั่นกลางด้วยโต๊ะหัวเตียงตัวเล็ก “จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกเลยเนอะ ที่เราได้รู้เบื้องหลังข่าวใหญ่น่าตกใจแบบนี้ แถมยังมีส่วนอยู่ในเหตุการณ์อีก”
“อือ ใช่ โคตรเอ็กซ์คลูซีฟเลย” หญิงสาวพยักหน้ารับ ในใจยังพะวงไปถึงพระเอกคนโปรดที่เธอยกให้เป็นสามีมโนคนปัจจุบัน ไม่รู้เลยว่าผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วมนายุจะได้ฟื้นขึ้นมาบ้างรึยัง
นอกจากความเป็นห่วงพระเอกคนโปรดยังมีอีกความคิดหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในหัว นำพาความหวาดกลัวครอบงำหัวใจจนแสดงออกชัดผ่านสีหน้า ชัด…จนปรียาวตียังต้องร้องทัก
“รักแรก…ทำไมทำหน้าแบบนั้น เป็นอะไร”
ลิปสาเม้มปาก เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนด้วยนัยน์ตาวาวรื้น เสียงสั่นพร่าพอๆ กับหัวใจเต้นแรงยามเอ่ยถึงความกลัวของตัวเอง
“ปิ๊ง…ปิ๊งว่า…ที่เหมือนประสบอุบัติเหตุ…เป็นเพราะรักรึเปล่า”
วูบแรกปรียาวตีทำหน้าไม่เข้าใจ แต่ประโยคถัดมาก็ทำให้หล่อนต้องรีบสวมกอดเพื่อนไว้แน่น
“เพราะรักเป็นเทพีแห่งหายนะรึเปล่าปิ๊ง! เพราะรักชอบเหมือนมาก ชอบมากๆ มาหลายปี เหมือนเลย…ฮึก เลยซวยหนักจน…จน…เกือบ…ฮึก”
“ไม่ใช่! รักแรก! ไม่ใช่หรอก” นักเขียนสาวลูบหัวพลางปลอบ “ถ้าเป็นเพราะรักแรกจริง เหมือนจะเพิ่งมาเป็นเอาตอนผ่านไปห้าหกปีงี้เหรอ ไม่เกี่ยวหรอก! ปิ๊งว่า…” ดวงตาเรียวกลอกไปมา มองหาคำตอบเดียวที่หล่อนคิดว่าเป็นไปได้ที่สุด “เป็นเพราะเหมือนเจออาถรรพ์เบญจเพสอย่างที่ใครๆ เขาว่ากันต่างหาก”
เจ้าของดวงตากลมใสฉ่ำน้ำเงยหน้ามองเพื่อน ถามเสียงสั่น
“จริงอ่ะ”
จริงหรือ…ทุกเรื่องที่เกิดกับมนายุ เป็นเพราะอาถรรพ์เบญจเพสจริงๆ ใช่ไหม
มัน…ไม่เกี่ยวกับที่เธอชอบเขาใช่หรือเปล่า
“จริงสิ ไม่เกี่ยวกับรักแรกหรอก อย่ามโนไปเองหน่อยเลย”
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.