บทที่ 8 ดอกไม้เจ้าสาวกับการเดิมพัน
เวลาที่ย้อนกลับไปคิดถึงวันงานฉลองมงคลสมรสแห่งปีของหฤทชนันกับสามีคนดังทีไร ลิปสาจะอดรู้สึกผิดกับน้องรหัสไม่ได้ทุกที เพราะหลังจากได้ถ่ายรูปคู่กับพระเอกคนโปรด สมองของหญิงสาวก็แทบไม่รับรู้อะไรเลย มัวแต่จดจ่ออยู่กับภาพรอยยิ้มของเขา คำพูดของเขา และสัมผัสแผ่วเบาสั้นๆ นั้น จนละเลยพิธีการบนเวทีที่เหลือจากนั้นไปจนหมด มารู้ตัวอีกที…ก็ตอนถึงช่วงเวลาสำคัญที่สาวโสดทั้งหลายรอคอย
การโยนดอกไม้เจ้าสาว
ว่ากันว่าใครที่ได้ช่อดอกไม้จากเจ้าสาวจะได้เป็นเจ้าสาวผู้เข้าสู่ประตูวิวาห์คนถัดไป จากข่าววิวาห์ของดาราดังหลายๆ คู่มีนักแสดงหญิงคนหนึ่งที่ได้รับช่อดอกไม้เจ้าสาวเกือบทุกงาน สถิติรวมถ้าไม่ใช่สิบช่อก็คงไม่ทิ้งห่างกันนัก แต่ปัจจุบันนอกจากหล่อนจะยังไม่ได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไปแล้ว ยังเลิกรากับแฟนหนุ่มหลายต่อหลายคนหลังจากได้รับดอกไม้ช่อแรก
ดังนั้นลิปสาจึงไม่อินกับความเชื่อที่ว่านั้นนักและเก้อเขินที่จะไปร่วมวงแย่งชิงช่อดอกการ์ดีเนียสีขาวกลิ่นหอมในมือของน้องรหัสด้วย ทว่าสุดท้ายทั้งเธอและปรียาวตีก็ถูกเพื่อนสาวโสดทั้งหลายในโต๊ะฉุดกระชาก รวมถึงสายตาจ้องเขม็งของเจ้าสาวบนเวทีกดดันให้เข้าร่วมการแย่งชิงดอกไม้ครั้งนี้จนได้
อาจเพราะเธอยังโสด นอกจากสามีมโนก็ไม่มีคนรักที่คบหากันจนถึงขั้นจะจูงมือเข้าสู่ประตูวิวาห์ อายุก็ยังน้อย ยังไม่คิดเรื่องสร้างครอบครัว รวมถึงนิสัยเขินอายไม่ชอบเป็นจุดสนใจ ดังนั้นเมื่อรู้ดีว่าในงานแต่งงานที่พรั่งพร้อมไปด้วยคนดังหลากหลายสาขาอาชีพและสื่อมวลชน คนที่ได้ดอกไม้เจ้าสาวซึ่งปกติต้องถูกต้อนขึ้นเวทีไปสัมภาษณ์ความรู้สึกอยู่แล้วคงถูกจับตามองยิ่งกว่างานแต่งครั้งไหนๆ เมื่อประกอบกับใจที่ไม่ได้ปรารถนาช่อดอกไม้นี้มาตั้งแต่แรก ลิปสาจึงเลือกจะไปต่อท้ายอยู่ด้านหลังของกลุ่มสาวโสดที่อยากแต่งงานทั้งหลาย
และกว่าครึ่งนั้นคือดาราสาวสวยทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็กที่เธอเคยเห็นผ่านสื่อต่างๆ
ก็เหมือนกับงานแต่งอื่นๆ ที่เคยเห็น หฤทชนันซึ่งเอวถูกโอบกอดโดยเจ้าบ่าวหันหลังให้กับห้องจัดเลี้ยง สองแขนชูช่อดอกการ์ดีเนียไว้เหนือศีรษะ ทำท่าจะโยนหลอกๆ ให้บรรดาหญิงสาวทั้งหลายใจหายใจคว่ำ บ้างขยับตัวตามทิศทางของมือเจ้าสาว บ้างกระโดดบนรองเท้าส้นสูงหลายนิ้วของตัวเองอย่างไม่กลัวล้ม ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายกันไปตามประสา กระทั่งแขกเหรื่อที่ไม่ได้เข้ามาร่วมวงด้วยยังส่งเสียงเชียร์ให้คนรู้จักของตัวเองราวกับเป็นการแข่งขันระดับประเทศ
โยนหลอกๆ อยู่หลายครั้งจนใกล้จะโดนด่า หฤทชนันก็ผินหน้ากลับมาหัวเราะเสียงใส ก่อนที่จะอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครตั้งตัวออกแรงโยนช่อการ์ดีเนียในมือให้ลอยลิ่วลงมาเหนือกลุ่มหญิงสาวซึ่งอยากเป็นเจ้าสาวคนถัดไป
ด้วยความที่ลิปสาอยู่ด้านท้ายของกลุ่ม เว้นระยะห่างจากสาวสวยทั้งหลายพอสมควร เธอจึงได้เห็นดอกไม้ช่อสวยซึ่งดูแล้วราคาคงหลายหลักถูกหลายมือแตะผ่านคล้ายอยากดึงไว้เป็นเจ้าของ หลายครั้งอยู่เหมือนกันที่เกือบจะได้ ‘ว่าที่เจ้าสาวคนใหม่’ แต่แล้วการ์ดีเนียช่อนั้นก็ถูกมืออื่นผลักไสแย่งชิงหลุดลอยไปเรื่อย มันกระเด็นกระดอนผ่านมือมานับสิบเหมือนถูกคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง
หญิงสาวไม่รู้ว่าเจ้าดอกไม้ช่อสวยซึ่งเคยได้รับการทะนุถนอมในมือเจ้าสาวนั้นได้รับความกระทบกระเทือนมากมายเพียงไรในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ รู้อีกทีก็คือมีการ์ดีเนียดอกหนึ่งทนทานความรุนแรงชอกช้ำนั้นไม่ไหว ตัดสินใจโบกมือลาเพื่อนพ้องที่ร่วมมัดช่อกันมาตั้งแต่เมื่อคืน ปลิดปลิวลอยมาตามอากาศ
และตกอยู่ในมือของเธอผู้ที่กำลังเอาแขนลงเพราะยื่นรอจนเมื่อยจัด
ลิปสากะพริบตาปริบๆ มองการ์ดีเนียสีขาวที่มีรอยช้ำในมือ ก่อนเสียงฮือฮาจะดังขึ้นเมื่อช่อดอกไม้ที่ถูกแย่งชิงนั้นไปหยุดอยู่ในมือของหญิงสาวคนหนึ่งจากบรรดาสาวสวยทั้งหลาย เจ้าหล่อนทำหน้าเหวอเหมือนไม่คาดคิด พอได้สติก็หันไปสบตากับใครคนหนึ่งแล้วร้องกรี๊ดออกมาดังๆ ก่อนจะถูกเชิญขึ้นเวทีไปสัมภาษณ์ความรู้สึก
เหล่าสาวโสดผู้เข้าสู่สมรภูมิแย่งชิงดอกไม้เจ้าสาวเมื่อครู่นั้น บางคนโห่ร้องด้วยความเซ็ง บางคนตะโกนแซวว่าที่เจ้าสาวคนใหม่ ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง
ลิปสาก็เช่นกัน
แม้จะยังมึนๆ อึนๆ ทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่รีไรเตอร์สาวที่ในมือยังถือการ์ดีเนียหนึ่งดอกก็ก้าวเท้าตามปรียาวตีกลับโต๊ะ ในหูอื้ออึงจนฟังไม่ได้ศัพท์ว่าสาวสวยบนเวทีหรือใครพูดอะไรยังไงบ้าง
ดอกไม้เจ้าสาว
เธอทวนคำอยู่ในใจ
“หืม? นี่รักก็ได้มาเหมือนกันเหรอเนี่ย”
เสียงใครสักคนในโต๊ะดังขึ้น เรียกสายตาของเพื่อนร่วมโต๊ะที่เหลือให้หันมามองดอกไม้สีขาวตัดกับก้านสีเขียวสดในมือเธอ
“ถึงจะไม่ได้มาทั้งช่อ แต่ก็ถือว่าได้ดอกไม้เจ้าสาวมาเหมือนกันนะเนี่ย แล้วแบบนี้…” สายตาหลายคู่เหล่มองเธอ คนพูดทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่ม เอ่ยต่อว่า “จะได้ไปงานแต่งแกเป็นคนถัดไปป้ะวะ”
“ฮึ บ้า” ลิปสาแค่นหัวเราะ รีบปรับอารมณ์ความรู้สึกและโต้ตอบไปตามสัญชาตญาณมากกว่าสติสั่งการ “เจ้าบ่าวยังหาไม่ได้เลยจะให้แต่งกับแมวที่ไหนยะ อ้อ! แต่ถ้าเป็นเหมือนสุดที่รักล่ะก็…ฉันจะเซย์เยสแบบไม่ลังเลเลยนะ แอร๊ยยย”
พอคำพูดหลุดพ้นริมฝีปากคนทั้งโต๊ะที่เป็นเพื่อนร่วมสาขาและชั้นปีซึ่งรู้จักและรู้ซึ้งถึงความติ่งของเธอเป็นอย่างดีก็พากันส่งเสียงโห่ด้วยความเซ็ง มีแค่ปรียาวตีที่หันมามองเธอด้วยสายตาชนิดหนึ่ง
และมันทำให้ลิปสานึกขึ้นได้ว่าเธอเพิ่งเจอกับเหมือนสุดที่รักของเธอไปเมื่อครู่นี้เอง
ด้วยสัญชาตญาณเร้นลับ หญิงสาวแอบกวาดตามองหาสามีมโนของตัวเองอย่างรวดเร็วแบบไม่ได้คาดหวังอะไรนัก เพราะแขกในงานนี้มีเป็นพัน โอกาสที่เธอจะเจอเขาโดยไม่มีหฤทชนันสนับสนุนอย่างเมื่อครู่มีอยู่ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ทว่าหัวใจที่เต้นรัวอยู่ก่อนแล้วก็เร่งจังหวะเพิ่มมากขึ้นจนในหูได้ยินแต่เสียงโครมครามในอก
เพราะเธอดันหันไปเห็นเขาเข้าพอดี!
หญิงสาวกัดริมฝีปาก หลุบตามองการ์ดีเนียในมือซึ่งกำลังถูกบีบปลายก้านแน่นด้วยความตื่นเต้น
ถ้า…ถ้าเธอไม่ได้คิดไปเองล่ะก็ เมื่อกี้นี้ไม่ใช่แค่หันไป ‘เห็น’ เขา แต่เธอได้ ‘สบตา’ กับมนายุด้วย!
พี่รหัสเจ้าสาวเอียงหน้าไปซบบ่าของเพื่อนรักซึ่งนั่งข้างกัน พึมพำทั้งที่ใบหน้าแต้มสีระเรื่อ ดวงตาเหม่อลอยสับสน
“มโน ฉันต้องมโนไปเองแน่ๆ”
ไม่มีทาง…มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เขาจะหันมาสบตาเธอประหนึ่งฉากในละครแบบนั้น!
ไลน์~
เสียงแจ้งเตือนสั้นๆ จากแอพพลิเคชั่นชื่อดังทำให้คนที่ซบบ่าเพื่อนเหลือบตาไปมองกระเป๋าคลัตช์ของตัวเอง ลางสังหรณ์ซึ่งเปี่ยมล้นด้วยแรงมโนทำให้เธอเอื้อมมือสั่นๆ ตามสัญญาณชีพจรระรัวแรงไปเปิดกระเป๋าและคว้าโทรศัพท์ออกมา ในใจแอบลุ้นว่าเขาจะใช่คนที่เธอคิดถึงอยู่รึเปล่า
คนที่…
Ch37Thailand
คืนนี้เวลา 23.10 น. มาลุ้นกันต่อว่าใครจะเป็นผู้ชนะในรายการ The Die-Hard Fan ที่มีคำสัญญาหนึ่งข้อของ ‘เจ้าคุณ’ เป็นรางวัล!
ลูกโป่งแห่งความหวังซึ่งพองตัวขึ้นด้วยความฟิน ขับเคลื่อนตัวให้ลอยละล่องด้วยแรงมโน พลันถูกเข็มแหลมคมที่ชื่อว่า ‘ความจริง’ เจาะจนแตกดังโพละ แห้งเหี่ยวกลางอากาศและค่อยๆ ร่วงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
ลิปสาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งหัวพิงเพื่อนอีกครั้ง
“เฮ้อ! ทำไมต้องมาโปรโมตรายการอะไรตอนนี้เนี่ย! รู้งี้ไม่น่าโหลด’ติ๊กเกอร์มาจนต้องมีไลน์ช่องแบบนี้เลย!” หญิงสาวเข่นเขี้ยวอย่างอดไม่อยู่ ดวงตาเหลือบไปยังทิศทางที่เห็นสามีมโนยืนอยู่เมื่อครู่อีกครั้งอย่างหงอยๆ และยิ่งหงอยเหงาจนแห้งเหี่ยวไม่ต่างจากลูกโป่งสีชมพูในจินตนาการของตัวเอง เพราะตอนนี้บริเวณนั้นไม่มีเงาร่างสูงโดดเด่นของมนายุยืนอยู่อีกต่อไป
เซ็ง! บอกได้ประโยคเดียวว่าเซ็ง! หนัก! มากกก!
เพราะไม่อยากให้หฤทชนันต้องลำบากใจหากใครรู้ว่าน้องรหัสคนดีแอบเล่นเส้นให้เธอได้พบเจอกับพระเอกคนโปรด จนคนอื่นๆ อาจไปขอร้องให้หฤทชนันช่วยจัดการให้ตัวเองบ้าง ดังนั้นลิปสากับปรียาวตีจึงตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่าตอนอยู่ในงานเลี้ยงจะไม่ปริปากพูดเรื่องที่พวกเธอได้ถ่ายรูปคู่กับมนายุและอาตมัน แต่จะลงรูปและไปปล่อยความฟินกันในโซเชียลมีเดียหลังจบงานเลี้ยง ทำเสมือนว่าบังเอิญดวงดีได้เจอและได้ถ่ายรูปกับพวกเขาโดยไม่มีเส้นสายใดๆ
ใช่ ไม่ใช่แค่พระเอกหน้าหวานคนโปรดที่เธอขอถ่ายรูปด้วย เพราะอย่างไรเสียอาตมันก็เป็นถึงอดีตพระเอกชื่อดังและปัจจุบันยังคงเป็นนักแสดงมากฝีมือ แม้หัวใจจะเต้นระรัวจนสมองขาวโพลนคิดอะไรไม่ออกตอนอยู่กับมนายุ แต่สติบางส่วนยังสั่งให้เธอและเพื่อนขอถ่ายรูปกับผู้จัดการส่วนตัวของชายหนุ่มมาด้วย
ตลอดระยะเวลาในงานฉลองมงคลสมรสของน้องรหัสลิปสาควบคุมตัวเองอย่างหนักไม่ให้เผลอปริปากระบายความฟินออกมา ซึ่งโชคดีว่าตอนนั้นสมองเธอยังมึนๆ เบลอๆ กับโมเมนต์ที่บังเอิญเก็บเกี่ยวมาได้ ไหนจะการ์ดีเนียหนึ่งดอกจากช่อดอกไม้เจ้าสาวที่ทำให้ถูกรุมแซวอีก สุดท้ายหญิงสาวยังจึงสามารถรักษาความลับมาได้กระทั่งกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
และสิ่งแรกที่เธอทำหลังจากขึ้นมาถึงห้องพักส่วนตัวไม่ใช่ถอดขนตาปลอม ล้างเครื่องสำอาง หรืออะไรทั้งสิ้น แต่เป็นการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมอัพรูปคู่ลงสู่แอพพลิเคชั่นยอดฮิตที่เชื่อมต่อกับบัญชีสังคมออนไลน์อื่นๆ
เดี๋ยว…
ขณะกำลังจะก๊อปปี้แคปชั่นที่พิมพ์ใส่โน้ตไว้ล่วงหน้าลงอินสตาแกรมมือเรียวก็ชะงัก นิ่งคิดถึงความเหมาะสมและมารยาทอันดีงาม
เธอไปงานแต่งงานของหฤทชนันซึ่งเป็นน้องรหัสคนสนิท ยังไม่ทันจะลงรูปแสดงความยินดีกับบ่าวสาว แต่จะลงรูปหวีดผู้เนี่ยนะ?
อี๋ มารยาทแย่มากอ่ะ!
ลิปสาสะบัดหน้า กลับสู่โฟลเดอร์รูปถ่ายเพื่อหารูปบ่าวสาวมาอัพข้อความแสดงความยินดีให้ทั้งคู่ก่อน ทว่านอกจากภาพถ่ายบรรยากาศภายในงาน ภาพบ่าวสาวที่ถ่ายจากมุมไกลๆ แล้วก็มีเพียงรูปเซลฟี่ของเธอกับหฤทชนัน ไม่มีภาพระหว่างเธอกับคู่บ่าวสาวเลย เพราะจำนวนแขกเหรื่อมากมายนับพันคนทำให้ตอนถ่ายรูปตรงแบ็กดร็อปหน้างานเป็นไปด้วยความรวดเร็วจนเธอไม่ทันยื่นมือถือให้ช่างภาพตรงนั้น ถ้าอยากได้ภาพร่วมกับบ่าวสาวจริงๆ คงต้องรอหฤทชนันส่งมาให้หลังช่างภาพส่งรูปในงานทั้งหมดให้บ่าวสาว
“โอ๊ยยย รักแรกพบนะรักแรกพบ ทำไมแกเป็นคนแบบนี้เนี่ย ไปงานแต่งเขาทั้งทีกลับมีรูปคู่กับผู้ชาย รูปกับบ่าวสาวไม่มีเฉย” หญิงสาวส่ายหัวอย่างนึกระอานิสัยตัวเองที่มักจะโฟกัสแต่สิ่งที่ตนสนใจเป็นหลัก ดังนั้นช่วงที่หฤทชนันลากตัวเธอไปและเป็นโอกาสดีที่จะได้เซลฟี่กับบ่าวสาว เธอก็มัวแต่สนใจมนายุจนน้องรหัสกับสามีต้องไปเตรียมตัวขึ้นเวทีและไม่ได้เจอกันอีกจนจบงาน
“รู้งี้อยู่อาฟเตอร์ปาร์ตี้ก็ดี จะได้ขอถ่ายรูปกับบ่าวสาวมา” เธอพึมพำไปงั้น เพราะรู้ดีว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่อยู่ร่วมงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ต่อทั้งๆ ที่น้องรหัสเอ่ยชวนแล้วและมีโอกาสจะได้เจอกับศิลปินดาราในระยะประชิดมากกว่าในงานเลี้ยงตอนหัวค่ำ ทว่าด้วยนิสัยของเธอกับปรียาวตีก็เลือกจะทิ้งโอกาสอันดีงามนั้นแล้วขอตัวกลับบ้าน
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ลิปสาจึงเลือกภาพตรงหน้างานที่มีรูปพรีเว็ดดิ้งบ่าวสาววางซึ่งเธอถ่ายเก็บมาและภาพเซลฟี่คู่กับหฤทชนันอัพลงอินสตาแกรมก่อนเป็นชุดแรก หลังจากทิ้งเวลาไปอาบน้ำสระผมที่แข็งโป๊กเพราะสเปรย์ที่ใช้เซ็ตผมถึงค่อยลงรูปคู่กับมนายุ รวมถึงภาพดอกการ์ดีเนียซึ่งได้มาอย่างงงๆ ว่า
‘lipsaa.asawa สิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุดในงานจนแทบกรี๊ดดดออกมาดังๆ ก็คือการได้เจอซะมี (มโน) สุดที่ร้ากกก เขาว่าเนื้อคู่มักจะหน้าตาคล้ายๆ กันนี่คงจริง ‘หน้ากลม’ เหมือนกันเล้ย ☺ ขนาดวันนี้แต่งหน้าจัดเต็มยังสวยน้อยกว่าสาฯ มโนเลยจย้าาา ว่ากันว่าคนที่ได้ดอกไม้เจ้าสาวจะได้เป็นเจ้าสาวคนถัดไป ถึงนี่จะได้มาแค่ดอกเดียวแต่บอกก่อนเลยว่า…เจอว่าที่เจ้าบ่าวแล้วน้าาา #bhopsiamxharitchananwedding’
เดี๋ยว
กระทั่งอัพรูปจนแชร์สู่บัญชีเฟซบุ๊กแล้วนั่นแหละ ลิปสาถึงคิดอะไรขึ้นมาได้
เธอติดแฮชแท็กงานแต่งงานของหฤทชนันในแคปชั่น ทั้งยังไม่ได้ตั้งค่าไพรเวตอินสตาแกรม นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่เข้ามาส่องแฮชแท็กนี้จะมีโอกาสได้เห็นรูปพร้อมแคปชั่นของเธอ
ด้วยความสัตย์จริง ก่อนจะได้รู้จักมนายุแบบที่ไม่ใช่การรู้จักฝ่ายเดียว ลิปสาไม่เคยมีปัญหากับการแสดงความติ่งให้ทุกคนบนโลกนี้ได้รู้ แต่เมื่อได้รู้จักแบบที่เขาก็น่าจะรู้จักและจดจำเธอได้บ้าง ยางอายที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ดันเคลือบขึ้นมาบนผิวหน้าซะงั้น
แม้ความเป็นไปได้จะต่ำมาก แต่ถ้าหากเจ้าตัวบังเอิญมาเจอรูปนี้เข้าท่ามกลางรูปนับพันในแฮชแท็ก เธอคงจะต้องอับอายจนหนีออกนอกประเทศแน่ๆ
“แก้แคปชั่นหน่อยดีกว่า”
เพื่อความปลอดภัยของหนังหน้าเธอ ลิปสาตัดสินใจกดแก้ไขแคปชั่นใหม่อีกครั้ง เหลือแค่การแสดงอาการติ่งแต่พองามเท่านั้น
‘lipsaa.asawa สิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุดในงานจนแทบกรี๊ดดดออกมาดังๆ ก็คือการได้เจอคุณคนนี้ ♥ นี่ขนาดวันนี้แต่งหน้าจัดเต็มยังสวยน้อยกว่าเลยจย้าาา แล้วที่ว่ากันว่าคนที่ได้ดอกไม้เจ้าสาวจะได้เป็นเจ้าสาวคนถัดไป ถึงนี่จะได้มาแค่ดอกเดียวแต่บอกก่อนเลยว่า…เจอว่าที่เจ้าบ่าวแล้วน้าาา -.- #bhopsiamxharitchananwedding’
“อืม แบบนี้น่าจะโอเคแล้วมั้ง”
ขณะกำลังจะกดเซฟใหม่หญิงสาวพลันนึกขึ้นมาได้ว่าหลังถ่ายรูปเสร็จคนในรูปที่สวยกว่าเธอได้พูดอะไรบางอย่างเอาไว้
‘ถ้าลงไอจีแล้วอย่าลืมแท็กมานะฮะ’
แท็ก…เขา…?
หัวใจหญิงสาวเต้นแรงโลดขึ้นมาอีกครั้ง ลิปสากัดริมฝีปาก ตัดสินใจกดแท็กชื่อในรูปแทนการแท็กชื่อเขาในแคปชั่นตรงๆ เพราะเคยได้ยินว่าสำหรับเหล่าดาราเซเลบที่มีคนแท็กหาเยอะนั้น การแท็กชื่อในรูปมีเปอร์เซ็นต์ในการเห็นสูงกว่า
ก็ไม่รู้จริงเท็จประการใด แต่ลิปสาก็เลือกจะแท็กไอจี ‘manayu.asawa’ ตรงรูปของชายหนุ่ม
“ถ้าเห็นก็คือเห็น ไม่เห็นก็…โอ๊ยยย ช่างมันละกัน!”
คงเป็นเพราะว่าคืนนี้เธอเจอเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตอย่างการได้ถ่ายรูปคู่ดีๆ กับมนายุแบบใกล้ชิด ดังนั้นแม้จะปิดไฟไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วลิปสาก็ยังนอนไม่หลับ ได้แต่พลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง สุดท้ายก็คว้ามือถือขึ้นมาเล่นแก้เบื่อในความมืด
ไลน์~
เสียงแจ้งเตือนที่คุ้นเคยทำให้หญิงสาวเหลือบตาขึ้นมองป็อปอัพบนสุด ก่อนจะรีบเด้งตัวขึ้นมานั่งพร้อมหัวใจเต้นระรัว ปลายนิ้วสไลด์เข้าสู่แชตก่อนหน้าสติจะยั้งได้ทัน
Asawa.Muen : แท็กรูปมารึยังเนี่ย ยังไม่เห็นเลย
คนส่งจะเป็นใครได้ ถ้าไม่ใช่ผู้ชายที่ทำให้หัวใจเธอทำงานหนักมาตลอดทั้งคืน
ถ้าสติของเธอกลับมาได้ทันเวลา ลิปสาจะไม่มีทางกดเข้าหน้าแชตให้มันขึ้นว่า ‘Read’ ทันทีแบบนี้เด็ดขาด แต่อย่างที่บอกว่ามือเธอไปไวกว่าสมอง ดังนั้นหลังนิ่งงันหัวใจเต้นแรงกับข้อความจากคู่สนทนาอยู่เกือบหนึ่งนาที อีกฝ่ายก็ส่งมาอีกข้อความว่า
Asawa.Muen : อ้าว เอาอีกแล้ว จะอ่านแล้วไม่ตอบอีกแล้วเหรอเนี่ย
ลิปสากัดริมฝีปาก มองข้อความบนจออย่างเหม่อลอย
“หรือว่านี่คือความฝันวะ แบบว่าหลับแล้วฝันดี๊ฝันดีงี้ ไม่งั้นคนอย่างเหมือนเนี่ยนะจะทักมาอีก”
ข้อสงสัยดังกล่าวเรียกร้องให้หญิงสาวพิสูจน์ว่าเป็น ‘ความจริง’ หรือ ‘ความฝัน’ ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด นั่นก็คือตบหน้าตัวเองดังฉาดใหญ่ และความเจ็บบนผิวหน้านุ่มนิ่มพิสูจน์ให้เธอได้รู้…ว่ามันคือความจริง!
เอาเถอะ ไม่ว่ามนายุจะทักเธอมาด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่มันไม่มีเหตุผลที่เธอจะปล่อยโอกาสได้คุยกับพระเอกคนโปรดให้ลอยหายไปอีกครั้ง เชื่อได้เลยว่าถ้าครั้งนี้เธอยัง ‘อ่านแล้วไม่ตอบ’ อีก มันจะไม่มีโอกาสครั้งที่สามแน่ๆ!
Lipsaa : แท็กไปแล้วนี่คะ
Asawa.Muen : ไหน ไม่เห็นมีเลย
Lipsaa : เราแท็กไปแล้วจริงๆ นะ
Asawa.Muen : เหรอ ผมไม่เห็นนะ
“จะไม่มีได้ยังไง ก็แท็กไปแล้วชัดๆ”
หญิงสาวพึมพำอย่างนึกหงุดหงิด กดเข้าแอพพลิเคชั่นอินสตาแกรม แตะหน้าจอตรงรูปคู่เธอกับเขาจนเห็นแท็กชื่อ manayu.asawa ขึ้นมาก็รีบแคปหน้าจอส่งกลับไป
Lipsaa : เนี่ย เห็นมั้ยอ่ะ แท็กแล้วจริงๆ
คู่สนทนาเงียบไปอึดใจก็ตอบกลับมาสั้นๆ
Asawa.Muen : อือ แท็กมาแล้วจริงๆ ด้วยแฮะ ว่าแต่…
“ว่าแต่…?”
คิ้วสวยเลิกขึ้นสูง สายตาเพ่งมองข้อความที่ถูกพิมพ์ทิ้งท้ายไว้ให้สงสัยนั้นพลางคาดเดาอยู่เงียบๆ ว่ามันคือ ‘ว่าแต่…’ อะไร
Asawa.Muen : ดอกไม้เจ้าสาวสวยดีนะ 🙂
“…”
เขาเดิมพันเอาไว้…
ดวงตาคู่โตหรี่มองรูปภาพที่ถูกแคปมาจากอินสตาแกรมอีกทีพลางอมยิ้มจางๆ
เขาพนันกับตัวเองเอาไว้ว่าถ้าหากเธอได้รับดอกไม้เจ้าสาว ซึ่งถ้าพิจารณาจากจำนวนสาวๆ ที่ออกไปรอรับนั้นความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ แต่…ถ้าเธอรับได้จริงๆ เขาจะสานต่อบทสนทนาที่ถูกทิ้งร้างไว้โดยไม่มีการตอบกลับมานั้นอีกครั้ง
มนายุปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจากคำทำนายที่เขาไม่เชื่อถือนัก แต่มารดาเชื่อมั่นสุดหัวใจ การบังเอิญพบกันในครั้งแรกที่เธอช่วยชีวิตเขาไว้ บทสนทนาซึ่งแรกเริ่มไม่มีอะไร กระทั่งหญิงสาว ‘โก๊ะ’ ส่งข้อความผิดแชตจนทำให้เขาจำเธอได้ขึ้นใจ หลายครั้งที่บังเอิญนึกถึงก็จะอดขำออกมาไม่ได้ทุกที ตลอดจนการได้พบกันอีกครั้งในวันนี้…ทำให้เขาเริ่มสนใจเธอขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก และส่วนหนึ่งของหัวใจก็เผลอไหววูบไปกับคำทำนายที่ถูกกรอกหูมาตลอดหลายเดือน
ว่าเธอคือเจ้าสาวของเขา…เจ้าสาวสะเดาะเคราะห์ผู้จะพาเขาผ่านเบญจเพสไปได้อย่างปลอดภัย
แม้ว่าเขาจะเริ่มให้ความสนใจเธอมากกว่าแฟนคลับทั่วไปหรือคนที่บังเอิญเจอกัน แต่อะไรหลายๆ อย่างทำให้มนายุไม่อาจเดินหน้าสานสัมพันธ์อย่างเต็มที่ ส่วนหนึ่งเพราะความตะขิดตะขวงใจในคำทำนายซึ่งมารดาเชื่อมั่นจนคล้ายๆ จะกดดันเขาอยู่กลายๆ นั่น ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจจะปล่อยทุกอย่างให้ผ่านไป แต่โดยลึกๆ เขาก็เชื่อในประโยคที่ว่า
‘คู่แล้วไม่แคล้วกัน’
ถ้าเธอคือคู่ของเขาจริงๆ ไม่ช้าไม่นานโชคชะตาคงเหวี่ยงให้ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
แล้ววินาทีแรกที่หันไปเจอเธอในงานฉลองมงคลสมรสคืนนี้ก็ทำให้เขาเผลอใจหวั่นไหวขึ้นมาชั่วขณะ จนกระทั่งแอบเดิมพันกับตัวเองในใจตอนเห็นเธอเดินออกไปออหน้าเวทีว่าถ้าเธอได้ดอกไม้เจ้าสาวมา…เขาจะลองเชื่อในความบังเอิญนั้นและคุยกับเธอดูอีกครั้ง
ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี บางทีวันหนึ่งข้างหน้าเธออาจจะกลายมาเป็นเจ้าสาวของเขาจริงๆ โดยที่ไม่เกี่ยวกับดวงชะตาบีบบังคับ
พระเอกหนุ่มไม่แน่ใจว่าผิดหวังหรือโล่งอกกันแน่ยามเห็นว่าผู้ที่ครอบครองดอกไม้เจ้าสาวไม่ใช่เธอ แต่เป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ทว่าขณะที่เขาถอนหายใจออกมา หางตากลับเหลือบไปเห็นกลีบดอกสีขาวละมุนแต้มรอยช้ำในมือขวาของเธอ แล้วรอยยิ้มจางก็ผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว
ปลายนิ้วเรียวยาวแตะรูปซึ่งถูกส่งมาอีกครั้ง ส่ายหัวอย่างนึกขำ
อันที่จริงมนายุเห็นรูปที่เธอแท็กมาแต่แรกแล้ว
เห็น…ตั้งแต่ข้อความยังไม่ถูกแก้ไขด้วยซ้ำ
ถ้าจำไม่ผิด…อืม ดูเหมือนจะมีเรียกเขาว่า… ‘สาฯ มโน’ อะไรทำนองนั้นด้วยแฮะ
จากปฏิกิริยาท่าทางของเธอที่ได้เจอกันวันนี้ จากที่เธอเคยโป๊ะตอนส่งผิดแชตครั้งก่อนนั้น และจากแคปชั่นก่อนถูกแก้ไขทำให้ชายหนุ่มมั่นใจเลยว่าว่าที่เจ้าสาวสะเดาะเคราะห์คนนี้เป็นแฟนคลับของเขาจริงๆ
ชั่ววูบหนึ่งมนายุเผลอตั้งคำถามในใจ
ว่าแต่เธอจะติ่งเขามากพอจะยอมแต่งงานด้วยง่ายๆ รึเปล่านะ
“ไม่สิ ไม่ควรคิดถึงขั้นนั้นมั้ยไอ้เหมือน” พระเอกหนุ่มพึมพำ โคลงศีรษะขับไล่ความคิดที่แอลกอฮอล์ในกระแสเลือดคงมีส่วนผลักดันให้มันผุดขึ้นมา หันเหความสนใจไปยังข้อความที่ถูกพิมพ์ทิ้งไว้
Asawa.Muen : ‘เจ้าบ่าว’ ที่ว่าเจอแล้วนี่ หมายถึง ‘ผม’ รึเปล่า 😛
“อืม น่าจะไม่เวิร์กแฮะ”
จากที่เจอกันวันนี้เขาพอดูออกว่าเธอค่อนข้างขี้อายพอตัว ดูอย่างคราวก่อนหลังโก๊ะปล่อยไก่ออกมาก็อ่านแล้วไม่ตอบ เมินแชตเขาไปเลย ถ้าวันนี้ยังแซวไปแบบนี้อีก ดูท่าแฟนคลับคนนี้คงเผ่นหนีอีกตามเคย ดังนั้นเขาเลยลบข้อความเก่าทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นพูดถึงดอกไม้เจ้าสาว สื่อถึงเรื่องเจ้าบ่าวเป็นนัยๆ แทน
และดูเหมือนเธอจะเข้าใจ เพราะหลังขึ้นว่าข้อความถูกอ่านอยู่เกือบสองนาทีหญิงสาวก็พิมพ์ตอบกลับมาสั้นๆ แล้วขอตัวไปนอนพร้อมอวยพรให้เขานอนหลับฝันดีเช่นกัน ซึ่งไม่รอให้เขาตอบกลับ…มนายุคาดเดาว่าเธอคงจะหนีไปนอนทันที
หรือไม่ก็ยังอยู่แหละ แค่ไม่เข้ามาอ่านข้อความเท่านั้น
พระเอกหนุ่มส่ายหัว อดไม่ได้ที่จะกลับไปดูรูปที่ถูกแท็กมาอีกครั้ง และครั้งนี้ก่อนจะเลื่อนปิดไปหางตากลับเห็นอะไรบางอย่างซึ่งตอนแรกเขาไม่ได้สังเกต หัวใจเริ่มเต้นกระหน่ำในจังหวะหนักหน่วงขึ้นยามใช้ปลายนิ้วขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น และยิ่งโหมรัวราวกลองทัพเมื่อเห็นชัดเจน…
ว่ามือซ้ายของเขาซึ่งวางบนไหล่เปลือยเปล่าของเธอ กำไลหยกขาวซึ่งไม่เคยเปลี่ยนสีมาก่อนเลยสักครั้งกระทั่งตอนนี้ที่ยกข้อมือขึ้นดู…ในรูปที่ถ่ายคู่กับเธอมันเปลี่ยนเป็นสีม่วง!
มนายุละสายตาจากโทรศัพท์ไปยังกำไลหยกซึ่งยังคงเป็นสีขาวนวลไม่มีแม้แต่ร่องรอยแห่งการเปลี่ยนสี พึมพำด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“นี่เปลี่ยนสีได้จริงๆ หรือว่าเป็นที่แสงวะน่ะ”
แต่…แสงอะไรล่ะที่จะเปลี่ยนหยกสีขาวให้กลายเป็นสีม่วงได้
ชายหนุ่มกะพริบตา ลดแขนลงด้วยสีหน้ามึนงง
ทางเดียวที่จะสามารถพิสูจน์ความจริงข้อนี้ได้ คือเขาต้องหาทางไปพบกับเธออีกครั้งแล้วเฝ้าดูว่ากำไลมันเปลี่ยนสีได้จริงๆ หรือนี่เป็นแค่เหตุบังเอิญ
แม้มนายุจะไม่ได้เชื่อเรื่องดวงชะตาแบบบ้าคลั่งเหมือนคุณมัทนา แต่เขาก็เถียงไม่ออกว่าหลังจากได้เจอกับ ‘หนูรักแรก’ คนนั้น อุบัติเหตุที่กล้ำกรายชีวิตเขามาหลายเดือนก็แผ่วเบาเจือจางลงไปมาก ยิ่งหลังจากเจอกับเธอในงานแต่งงานของภพสยามพร้อมหลักฐานว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ ด้วยกำไลข้อมือเปลี่ยนสีในรูปถ่ายซึ่งถูกแท็กมา เขาก็อยู่รอดปลอดภัยดีทุกประการมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว
ตัวเขาเองมองว่าอาจจะเพราะการประสบอุบัติเหตุเฉียดตายเมื่อสองเดือนก่อนเป็นการฟาดเคราะห์ไปแล้ว แต่มารดากลับยังปักใจเชื่ออย่างหนักแน่นว่าเป็นเพราะลิปสาที่เข้ามาเปลี่ยนดวงชะตาของเขาให้ดีขึ้น ทว่าเกือบหนึ่งเดือนมานี้ความกระตือรือร้นเร่งเร้าให้เขารีบแต่งงานสะเดาะเคราะห์ของแม่ไม่ได้เข้มข้นเหมือนช่วงแรก คงเพราะท่านเองเห็นว่าช่วงนี้เขาอยู่ดีมีสุขจนเริ่มคลายกังวล และตัวเขาเองก็เลือกจะเก็บเรื่องที่กำไลเปลี่ยนสีตอนเจอลิปสาเอาไว้ไม่ได้บอกให้ท่านรับรู้เพราะกลัวแม่จะคิดจริงจังไปกันใหญ่
แม้จะรู้สึกว่าลิปสาเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจและเธอมีแนวโน้มจะเป็นผู้หญิงที่สามารถกอบกู้ด้วยชะตาชีวิตเขาได้ แต่มนายุก็ไม่อยากเร่งรีบขอคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานแต่งงานตามคำทำนายของหมอดู ชายหนุ่มวางแผนว่าจะลองคุยกับเธอไปเรื่อยๆ ดูก่อน ถ้าสมมติว่าคลิกกันขึ้นมาจริงๆ ในอนาคตข้างหน้าเธออาจจะกลายเป็นเจ้าสาวตัวจริงของเขาขึ้นมาก็ได้
ไม่เห็นต้องรีบร้อนอะไร
ด้วยอายุและอาชีพมนายุไม่มีทางเห็นด้วยกับมารดาเรื่องการแต่งงานสะเดาะเคราะห์ ว่ากันตรงๆ เขายอมเสี่ยงเจอโชคร้ายหรือเจออุบัติเหตุบ้างดีกว่ารีบแต่งงานด้วยเหตุผลค่อนข้างไร้สาระและไม่มีอะไรยืนยันได้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
ใช่ มนายุคิดแบบนั้นมาตลอด กระทั่งได้รับโทรศัพท์จากมารดาในช่วงพักกองของสายวันหนึ่ง
น้ำเสียงร้อนรนเจือสะอื้นของคุณมัทนาได้ละลายรอยยิ้มบนใบหน้าและความเชื่อมั่นทั้งหมดของพระเอกหนุ่มไปจนสิ้น
“เหมือน…ฮึก…เหมือน ป๊าประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล!”
บทที่ 9 เชื่อเรื่องดวงรึเปล่า
เช้าวันเสาร์ที่แสนสุขของเธอได้ถูกทำลายลงแล้ว
ลิปสาบอกตัวเองแบบนั้น ขณะพลิกตัวใช้หมอนอุดหูหนีเสียงถกเถียงของมารดาและน้องชายที่ดังขึ้นมาจนถึงชั้นสอง
“แม่บอกไม่ได้เอาไปไง!”
“ก็ถ้าแม่ไม่ได้เอาไปมันจะหายไปไหน เลิฟจำได้ว่าวางไว้ตรงนี้อ่ะ!”
เด็กหนุ่มวัยเกือบเต็มสิบแปดผู้มีนัยน์ตาเรียวยาวบ่งบอกสายเลือดในตัวเถียงกลับหน้าดำหน้าแดงอย่างไม่ยอมแพ้ มือยังปัดควานหาของของตัวเองพลางบ่น “เนี่ย! เลิฟวางมันไว้บนโต๊ะรีดผ้า เลิฟจำได้!”
“แล้วโต๊ะรีดผ้ามันใช่ที่วางของมั้ยฮะ เลิฟ! ห้องตัวเองมีทำไมไม่เอาไปเก็บ แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอาของมาวางไว้บนโต๊ะรีดผ้าน่ะ! วางไว้แล้วแม่จะรีดผ้าได้ยังไง หรือเลิฟจะรีดเอง?!”
“นี่ไง แม่ยอมรับแล้วใช่มั้ยล่ะว่าเอาของเลิฟไป”
“โอ๊ย ทำไมพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ฮะเลิฟ แม่บอกแล้วไงว่าไม่ได้เอาไป!”
“ถ้าไม่ใช่แม่แล้วจะใคร!”
“ก่อนจะหาว่าใครผิด เลิฟควรโทษตัวเองก่อนมั้ยที่ไม่เก็บให้ดีๆ น่ะ!”
เสียงซึ่งยังดังขึ้นมาโดยไม่ลดละทำเอาคนที่นอนตีสี่เพราะมัวแต่อ่านนิยายแปลจีนเจ็ดเล่มจบต้องลุกขึ้นมานั่งด้วยสีหน้าหงุดหงิด ยกมือขยี้หัว คำรามในลำคอ
“โอ๊ยยย จะอะไรกันนักกันหนาเนี่ย!”
ร่างในชุดนอนสีขาวสะอาดพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ยังได้ยินเสียงปึงปังดังขึ้นมาไม่หยุดหย่อนก็รู้ได้ทันทีว่าสงครามระหว่างแม่ลูกด้านล่างคงไม่จบลงง่ายๆ
และแม้จะไม่อยากยุ่งแค่ไหน แต่ลิปสารู้ดีว่าในวันที่ ‘คุณวรภพ’ ไม่อยู่ คนเดียวที่จะหยุดสงครามสายเลือดครั้งนี้ได้ก็มีแต่เธอ ลูกสาวคนโตและพี่สาวคนเดียวของคู่สงครามด้านล่างซึ่งยิ่งนานวันไปเธอยิ่งไม่มั่นใจว่าทั้งคู่ใช่แม่ลูกแท้ๆ ที่คลอดกันออกมาจริงๆ หรือเปล่า
หญิงสาวผู้อยากใช้ชีวิตวันหยุดอย่างสงบสุขบนเตียงแต่ไม่สามารถทำได้ผุดลุกจากที่นอนด้วยสีหน้าหงุดหงิด เดินกระแทกเท้าโครมๆ ลงไปด้านล่าง
“ทะเลาะอะไรกันแต่เช้าเนี่ย!”
สองแม่ลูกหันมามองเธออย่างพร้อมเพรียงและต่างฝ่ายต่างก็เล่าความจริงในมุมของตัวเอง
“เจ้! แม่ทำสมุดเลิฟหาย!”
“แม่ไม่ได้ทำนะรักแรก! ก็เจ้าเลิฟมันบอกว่าวางสมุดไว้บนโต๊ะรีดผ้า แต่แม่ไม่ได้เอาไป”
“ถ้าแม่ไม่ได้เอาไปแล้วใครจะเอาไปอ่ะ มีแม่รีดผ้าอยู่คนเดียว”
“อ๋อ นี่แกก็รู้เหรอว่าแม่รีดผ้าทั้งบ้านอยู่คนเดียว ถ้ารู้แล้วทำไมไม่สำนึก แล้วแกยังจะเอาของมาวางทิ้งไว้บนนี้อีก ฮะ!”
“โอ๊ยยย หยุดดด หยุดเถียงกันได้แล้ว!”
คนถูกปลุกด้วยเสียงวิวาทตะโกนห้ามเสียงดัง ลิปสาชักสีหน้าพลางหันไปมองน้องชาย
“เลิฟ! เจ้บอกกี่ทีแล้วฮะว่าไม่ให้เอาของมาวางบนโต๊ะรีดผ้า มันใช่ที่วางรึไง ห้องตัวเองก็มีก็เอาไปไว้ในห้องสิ”
“เจ้!”
น้องชายวัยฮอร์โมนมองเธอน้ำตาคลอที่พี่สาวไม่เข้าข้าง ลิปสาไม่สนใจ หันไปมองแม่ต่อ
“แม่ก็เหมือนกันนะคะ มีอะไรก็ปฏิเสธไว้ก่อนลูกเดียวเลย”
หญิงสาวกล่าวอย่างรู้นิสัยมารดาที่พอมีอะไรเกิดขึ้นก็ขอปฏิเสธไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ทำไว้ก่อน แต่ประสบการณ์หลายอย่างที่ผ่านมาก็ท่านนั่นแหละที่เป็นคนทำ
ร่างเพรียวผลักน้องชายซึ่งเริ่มสูงแซงพี่ไปห่างๆ ก้มๆ เงยๆ หาอยู่แถวกองตะกร้าเสื้อผ้าไม่นานก็หยิบบางอย่างขึ้นมาถาม
“เล่มนี้ใช่มั้ย”
แม้สีหน้า ‘รัฐนันท์’ จะยังบ่งบอกถึงความไม่พอใจ แต่ก็รีบยื่นมือมารับสมุดของตัวเองไป
“ทีหลังก็อย่ามาวางของทิ้งไว้ข้างล่างอีก โดยเฉพาะโต๊ะรีดผ้า มันไม่ใช่ที่วางของ เข้าใจมั้ย”
ไม่มีคำตอบกลับจากวัยรุ่นของบ้าน รัฐนันท์มองพี่สาวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง คว้าข้าวของกระทืบเท้าปึงปังขึ้นบันได
ลิปสามองตามแผ่นหลังกว้างในเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม หลับตาสะกดกลั้นอารมณ์ แต่ก็ยังทนไม่ไหวต้องตะโกนขึ้นไปอยู่ดี
“เลิฟ! อย่าทำกับเจ้กับแม่แบบนี้นะ!”
เด็กหนุ่มกำลังโตหันกลับมามอง ตะคอกกลับ
“ทำไมจะทำไม่ได้! อะไรๆ เจ้ก็เข้าข้างแต่แม่อ่ะ!”
หญิงสาวขบกราม
เมื่อกี้ไอ้น้องชายมันไม่ได้ยินรึไงว่าเธอก็เสี่ยงเป็นเปรตด้วยการบริภาษมารดาไปแล้วเหมือนกัน เอาที่ไหนมาบอกว่าเธอเข้าข้างแต่แม่กันเนี่ย!
“ก็เลิฟทำผิด”
“อะไรๆ เลิฟก็ทำผิดไปหมดนั่นแหละ ใครจะไปดีเหมือนเจ้ล่ะ!”
ลิปสาทำหน้าเหวอ เมื่ออยู่ดีๆ คนผิดก็กลายมาเป็นเธอ หญิงสาวฟังเสียงน้องชายเดินกระทืบเท้าขึ้นห้อง กระแทกประตูปิดดังโครมใหญ่อย่างนึกโมโห พอหันไปเห็นหน้ามารดาที่ทำท่าจะฟ้องขึ้นมาจึงรีบยกมือห้าม
“พอแล้วค่ะแม่พอแล้ว ไม่ต้องเล่าแล้ว แค่นี้รักก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้วอ่ะ”
ลูกสาวคนโตของบ้านส่ายหน้า หันหลังเดินกลับขึ้นห้องส่วนตัวของตัวเอง และทันทีที่ประตูบานกว้างปิดลงลิปสาก็พิงแผ่นหลัง หลับตาค่อยๆ ทรุดตัวนั่งกอดเข่า ทั้งๆ ที่บอกตัวเองว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งแรก สงครามการวิวาทระหว่างคุณชาลินีกับรัฐนันท์เกิดขึ้นเป็นประจำจนเธอสมควรที่จะไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่น้ำตาใสๆ ก็ยังคงไหลรินออกมาจากหางตา
เบื่อ…
เธอเบื่อเหลือเกินที่ต้องอยู่ในบ้านซึ่งเต็มไปด้วยเสียงทะเลาะเบาะแว้งของแม่กับน้องชายตั้งแต่เรื่องเล็กๆ จนถึงเรื่องใหญ่ ทั้งเรื่องที่น้องชายเป็นฝ่ายผิดเต็มประตูหรือบางครั้งที่มารดาเป็นฝ่ายเริ่ม
มือเล็กๆ กำเป็นหมัดแน่น ปลายเล็บจิกลงบนผิวเนื้อ ค่อยๆ พ่นลมหายใจแผ่วเบา
นี่ถ้าหากมีเงินเดือนเยอะกว่านี้ล่ะก็…เธอจะย้ายออกไปอยู่คนเดียวแล้ว!
แม้เหตุการณ์ที่มารดาและน้องชายทะเลาะกันครั้งล่าสุดจะผ่านมาสองสามวันแล้ว แต่บรรยากาศในบ้านยังไม่ค่อยดีนัก เพราะพอทะเลาะกับแม่ทีไร รัฐนันท์จะทำหน้าบึ้ง กระแทกนู่นกระแทกนี่อยู่เป็นประจำ จะเพลาๆ การกระทำหน่อยก็ตอนอยู่ต่อหน้าคุณวรภพซึ่งเป็นที่เคารพยำเกรงของลูกเมีย
การทะเลาะกันที่ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ของแม่กับน้องชายไล่ตั้งแต่เรื่องในบ้านเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงเรื่องสำคัญอย่างแผนการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยของรัฐนันท์ทำให้หญิงสาวทั้งเบื่อทั้งเครียดจนความคิดจะย้ายออกมาอยู่ข้างนอกปรากฏขึ้นในหัวถี่กว่าเดิม จนท้ายที่สุดสำหรับเธอผู้ติดบ้านก็เหลืออุปสรรคเพียงสองอย่าง
หนึ่งคือคำอนุญาตจากคุณวรภพ บิดาผู้เปรียบประดุจฮ่องเต้ประจำบ้านและสอง…เงินเดือนรีไรเตอร์ที่ขนาดไม่ได้เสียค่าหอยังพอใช้แค่เดือนชนเดือน
ลิปสาถอนหายใจ ใช้หลอดเขี่ยน้ำอัดลมในแก้วเล่นขณะรออาหารกลางวันอยู่ที่ร้านโปรดกับหฤทชนัน
“พี่รักถอนหายใจอีกแล้ว เครียดอะไรรึเปล่าคะเนี่ย”
คำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของน้องรหัสคนสวยทำให้หญิงสาวซึ่งจมอยู่กับความเครียดมาหลายวันเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มเพลียๆ ให้
“ก็นิดหน่อยอ่ะ” ลิปสาตอบแค่นั้นโดยไม่อธิบายต่อ เพราะนอกจากปรียาวตีที่รู้จักสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ว่าจะสนิทสนมกันมากแค่ไหนเธอก็ไม่เคยเล่าปัญหาในครอบครัวให้ใครฟัง
“ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ พี่รักบอกนิ่มได้เลยนะคะ ถึงนิ่มจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็รับฟังได้นะ” สะใภ้ตระกูลดังบอกด้วยสีหน้าจริงจัง สำหรับลูกสาวคนโตซึ่งแวดล้อมด้วยน้องชายฝาแฝดจอมเกรียน แถมพี่น้องของสามีก็เป็นผู้ชายกันหมดอย่างหฤทชนัน หล่อนค่อนข้างโหยหาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพี่สาวที่สามารถคุยกันเรื่องผู้หญิงๆ ชวนกันติ่งชวนกันกรี๊ดแบบที่พี่น้องผู้ชายรอบตัวให้ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อพบกับลิปสาซึ่งรสนิยมหลายอย่างไปในทางเดียวกัน หญิงสาวจึงค่อนข้างยึดติดกับพี่รหัสคนนี้ ไปๆ มาๆ ก็ทั้งรัก ทั้งเคารพ ทั้งห่วงใยเหมือนอีกฝ่ายเป็นพี่สาวในไส้
ลิปสากัดริมฝีปาก ตัดสินใจเอ่ยขอ
“งั้น…พี่ขอกอดนิ่มหน่อยได้มั้ยอ่ะ”
“หา?” หญิงสาวที่แต่งงานมาหลายปีกะพริบตาปริบ สักพักก็หัวเราะออกมาเขินๆ “แสดงว่าเครียดหนักจริงๆ สินะคะถึงได้มาขอกอดนิ่มแบบนี้”
หฤทชนันเคยได้ยินเพื่อนรักของพี่รหัสเล่าอยู่เหมือนกันว่าเวลาลิปสาเครียดจัดๆ จะชอบกอดตุ๊กตาตัวโปรดแก้เครียด แต่ถ้าอยู่ในสถานที่ที่ขาดคุณอ้อมกอดแล้วปรียาวตีอยู่ข้างๆ หวยก็จะไปออกที่สาวหมวยตลอด
นี่วันนี้พี่รหัสคงเครียดจัดแต่ไม่มีทั้งคุณอ้อมกอด ทั้งปรียาวตีสินะ สุดท้ายเลยมาลงเอยที่ขอกอดหล่อน
“แล้วแบบนี้นี่นิ่มเข้าข้างตัวเองได้รึเปล่าคะ ว่าพี่รักไว้วางใจนิ่มมากจนกอดแก้เครียดได้” คนโดนขอกอดเอ่ยถาม ปรียาวตีเคยเล่าว่านอกจากตุ๊กตาตัวโปรด…สิ่งที่เยียวยาลิปสาได้ก็คืออ้อมกอดของคนที่ลิปสาไว้วางใจ
รีไรเตอร์สาวมองน้องรหัสอย่างเอ็นดู บอกด้วยอารมณ์เบิกบานขึ้นว่า
“แหม คบกันมาตั้งกี่ปี ถ้าไม่รักไม่ไว้ใจพี่ไม่ขอกอดจริงๆ นั่นแหละ”
“หืม? พูดขนาดนี้นิ่มต้องให้กอดแล้วล่ะค่ะ” ว่าแล้ว บ.ก. สาวก็ขยับตัวลุกไปฝั่งตรงข้าม โน้มตัวกอดพี่รหัสแน่นๆ หนึ่งที
“ดีมากกก น้องรักของพี่!”
ลิปสายิ้มกว้าง รู้สึกสบายใจขึ้นมากเมื่อได้รับอ้อมกอดจากคนที่เธอรักและไว้ใจ
หลังจากนั้นสองสาวก็คุยกันอีกนิดหน่อย ก่อนจะจบลงด้วยการที่ต่างคนต่างก้มหน้าเล่นสมาร์ตโฟนของตัวเองเป็นการฆ่าเวลา ผิดกันแค่ว่าขณะเธอ ‘เผือก’ เรื่องดาราในเพจดังอย่างเมามัน ลิปสาเดาว่าสาวรุ่นน้องน่าจะแชตคุยกับสามีอยู่เสียมากกว่า ใบหน้าจึงแต้มรอยยิ้มกึ่งๆ เขินอายแบบนั้น
เห็นแล้วสาวโสดตลอดชีพก็อดเบะปากไม่ได้ แม้ใจจะคิดอยู่เสมอว่าถ้าไม่ได้เจอคนรักที่ใช่และอยากอยู่ด้วยไปทั้งชีวิต เธอยอมกอดคอแห้งตายอยู่บนคานกับปรียาวตีเสียดีกว่า แต่การอยู่ท่ามกลางนิยายรักตลอดทุกวันก็ทำให้หลายครั้งแอบไขว้เขวอยากหา ‘พระเอก’ ในชีวิตจริงของตัวเองอยู่เหมือนกัน
และแน่นอนว่าคนที่ปรากฏในมโนภาพของเธอมักจะเป็นคนที่ไม่สามารถเป็นไปได้อย่างมนายุอยู่เสมอ
“เฮ้ย!”
หญิงสาวอุทานพร้อมสะดุ้งจนเกือบปล่อยสมาร์ตโฟนหลุดมือ เมื่อมันดันสั่นครืดๆ อยู่ในฝ่ามือพร้อมโชว์หมายเลขที่ไม่ถูกบันทึกเอาไว้ พอตั้งสติได้ว่าไม่ควรเล่นใหญ่กะอีแค่โทรศัพท์เข้าแบบไม่ทันตั้งตัว ลิปสาก็รีบกดรับสายอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ…สวัสดีค่ะ”
“ฟื้ด หนูรักแรกใช่มั้ยจ๊ะ”
“คะ?” ลิปสาส่งเสียงถามแทนการตอบรับ หัวคิ้วขมวดมุ่นขณะพยายามคิดว่าเจ้าของเสียงสูดน้ำมูกปลายสายเป็นใคร
“หนูรักแรก…นี่แม่เองนะ…แม่มัท แม่ของเหมือน”
“คะ?! เอ่อ…ค่ะคุณน้า คุณน้ามีอะไรรึเปล่าคะ”
พอปลายสายแนะนำตัวหญิงสาวก็สะดุ้งอีกรอบ หัวใจบีบรัดเร่งจังหวะเร็วกว่าปกติ ประเมินจากเสียงสั่นเครือของท่านแล้วก็สังหรณ์ไปในทางไม่ดีไว้ก่อนว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีบางอย่างขึ้น…กับพระเอกคนโปรดของเธอ
“หนูรักแรก…แม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันทำงาน แต่…ฮึก…พอจะเป็นไปได้มั้ย…ถ้าหนูรักแรกจะมาหาแม่ที่โรง’บาล”
“ได้ค่ะได้ โรง’บาลไหน คุณน้าบอกมาได้เลยค่ะ”
หญิงสาวฟังชื่อโรงพยาบาลเอกชนที่เคยเห็นผ่านๆ ในละครโทรทัศน์แต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพฯ มือคว้ากระเป๋าเงินขึ้นมาพร้อมโบกไม้โบกมือให้หฤทชนัน ซึ่งน้องรหัสที่ฟังบทสนทนาเพียงฝั่งของเธอก็ทำหน้าเคร่งเครียด รีบบอกทันทีทั้งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า
“ไปเลยพี่รัก เรื่องข้าวเดี๋ยวนิ่มจัดการให้”
“อื้อ นิ่ม ขอบใจนะ”
รีไรเตอร์สาวโผกอดน้องรหัสหลวมๆ ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปยังตึกออฟฟิศเพื่อเก็บสัมภาระส่วนตัวพร้อมกับโทรลางานครึ่งวันกับหัวหน้าด้วยหัวใจร้อนรน ซึ่งหลังจากพาตัวเองไปอยู่บนรถแท็กซี่แล้ว ลิปสาก็เพิ่งเกิดการตั้งคำถามขึ้นมาว่า
ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครเป็นอะไร ใช่มนายุหรือเปล่า แล้วทำไมคุณมัทนาถึงเจาะจงโทรศัพท์มาขอร้องให้เธอไปหาที่โรงพยาบาล
เท่าที่จำได้…มนายุเลือดกรุ๊ปโอส่วนเธอเลือดกรุ๊ปบีนะ ยังไงเธอก็ให้เลือดเขาไม่ได้อยู่แล้ว
หญิงสาวที่ไม่ได้เป็นญาติข้างไหนเลยของครอบครัวอัศวกร ทั้งจะเรียกว่า ‘คนรู้จัก’ ก็ยังเรียกได้ไม่เต็มปากถามตัวเองเป็นรอบที่ร้อยว่าอะไรดลใจให้เธอไร้สติจนตัดสินใจออกมาหาคนคุ้นหน้า (ผ่านสื่อต่างๆ) แต่ไม่คุ้นเคยได้ง่ายดายขนาดนั้น
ถ้ามีเวลาบนรถแท็กซี่นานกว่านี้สักหน่อย ลิปสาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอจะเอ่ยปากบอกให้คนขับวนกลับไปส่งที่เดิมตามที่ใจแอบคิดอยู่หลายครั้งหรือเปล่า แต่ไม่รู้ทำไมพอเธอจะอ้าปาก…ภาพของมนายุวันที่ประสบอุบัติเหตุครั้งนั้นก็ผุดขึ้นในความทรงจำอยู่เสมอ จนสุดท้ายเธอก็ยื่นธนบัตรสีแดงให้กับคนขับแท็กซี่ รอรับเงินทอนเป็นแบงก์เขียวๆ หนึ่งใบกับเศษเหรียญนิดหน่อยและก้าวลงมายืนทำหน้าอึนๆ อยู่หน้าโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
ซึ่งดูไฮคลาสตั้งแต่หน้าประตูกันเลยทีเดียว
“เอาไงดี หรือว่าจะกลับดีนะ?”
ทั้งที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่แล้วแท้ๆ แต่ความลังเลก็ทำให้ลิปสาไม่สามารถก้าวเท้าเข้าประตูเลื่อนอัตโนมัตินั่นได้ ร่างในชุดเอี๊ยมยีนขายาวสีดำ มีรอยขาดตรงหัวเข่าเป็นริ้วๆ กับเสื้อเชิ้ตคอกว้างสีขาวพับแขนเดินวนไปเวียนมา พึมพำกับตัวเองไม่หยุดอย่างคนตัดสินใจไม่ได้ และก่อนที่พนักงานรักษาความปลอดภัยจะก้าวเข้ามาสอบถามอย่างต้องการให้ความช่วยเหลือหรืออีกนัยคืออาจจะอยากตรวจสอบว่าเธอไม่ใช่คนร้าย สมาร์ตโฟนเครื่องเดิมในมือก็สั่นครืดอีกครั้ง ความตกใจทำให้หญิงสาวเผลอปัดนิ้วกดรับสาย
รีไรเตอร์สาวกลืนน้ำลายลงคอ ยกสมาร์ตโฟนขึ้นแนบข้างแก้ม กรอกเสียงประหม่าลงไป
“เอ่อ…ค่ะคุณน้า”
“หนูรักแรกเหรอลูก หนูถึงไหนแล้วจ๊ะ”
ลิปสาไม่ทันรู้ตัวเลยว่าเผลอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเสียงจากปลายสายดูดีขึ้น ไม่สั่นเครือหรือเจือการสูดน้ำมูกเหมือนก่อนหน้า
“คือ…หนูอยู่หน้าโรง’บาลแล้วค่ะ” เธอสารภาพเสียงอ่อย ดวงตากลมเหลือบมองป้ายสลักหินอ่อนสวยงามอย่างทำอะไรไม่ถูก
“อ้าว เหรอจ๊ะ” ปลายสายเกิดเสียงบางอย่างเหมือนคนพูดกำลังขยับตัว และลิปสาก็ได้รู้ว่าเป็นจริงตามคาด เมื่อร่างสมส่วนของสตรีวัยห้าสิบซึ่งมือหนึ่งยังถือโทรศัพท์แนบข้างแก้มก้าวพรวดพราดออกมาจากประตูอัตโนมัติ ท่านมองซ้ายมองขวาราวกับกำลังหาใครบางคน และพอดวงตากลมโตซึ่งถูกถ่ายทอดไปยังลูกชายคนเดียวหันมาเห็นเธอ ริมฝีปากอิ่มก็แย้มรอยยิ้ม กดตัดสายแล้วตรงมาหาแทน
“หนูรักแรก! ขอบคุณมากที่หนูมา”
หญิงสาวตัวแข็งทื่อเมื่ออยู่ดีๆ มารดาของพระเอกคนโปรดก็สวมกอดเธออย่างรวดเร็ว พึมพำด้วยน้ำเสียงคล้ายโล่งใจ
“เอ่อ…ค่ะ คือว่า…”
ราวกับสัมผัสได้ถึงความเก้อกระดากทำตัวไม่ถูกของสาวรุ่นลูก คุณมัทนาจึงถอนอ้อมกอดจากคนที่ท่านเชื่อว่าจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ มองวงหน้าเนียนใสอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนจะกอบกุมมือเรียวไว้แล้วบีบเบาๆ
“แม่รู้…ว่ามันประหลาดมากที่อยู่ดีๆ ก็ขอให้หนูมาหา แต่ว่า…” ท่านถอนหายใจ ขอบตาร้อนผ่าวยามคิดถึงคนที่นอนอยู่ในห้องพักฟื้นพิเศษด้านบน ก่อนจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น คุณมัทนาก็ได้สติว่าบริเวณหน้าโรงพยาบาลที่แดดยามบ่ายสาดส่องลงมาไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะคุยเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่ จึงจับจูงมือหญิงสาวคราวลูกให้ก้าวตามกันมา “ไว้เราค่อยไปคุยกันต่อข้างบนดีกว่านะจ๊ะ”
“ข้างบน? หมายความว่า…” มีใครบางคนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลใช่ไหม
หัวใจลิปสาเต้นพล่านอีกครั้งยามคิดตามคำพูดของแม่พระเอกคนโปรด และสีหน้าเกือบๆ จะร้องไห้ของคุณมัทนาก็ตอบคำถามที่เธอไม่ได้เอ่ยออกไปได้อย่างชัดเจน
ว่ามีจริงๆ คนสำคัญที่ท่านรัก…พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้จริงๆ
เป็นอีกครั้ง…ที่ลิปสาเผลอคิดว่าความเป็นเทพีแห่งหายนะของเธออาจจะทำร้ายพระเอกคนโปรดเข้าแล้ว
ลิปสาคิดว่าตัวเองค่อนข้างเลวอยู่เหมือนกัน เมื่อเปิดประตูห้องพักฟื้นระดับวีไอพีเข้าไปแล้วพบว่าคนที่เธอเป็นห่วง…กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงคนไข้ในชุดไปรเวตตามปกติ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรอย่างที่กังวลไว้
ไม่ใช่เหมือน
หญิงสาวถอนหายใจเมื่อเห็นพระเอกคนโปรดยังปลอดภัยดีไม่มีบุบสลายอะไร ยกเว้นใบหน้าหวานซึ่งหันมามองตามเสียงประตูนั่น รอบดวงตาและปลายจมูกของชายหนุ่มแดงจัด แววตายังหม่นลึกไม่ต่างจากรอยยิ้มบางๆ ที่ดูเศร้ากว่าร้องไห้ออกมา
“มาได้ไงเนี่ย” พระเอกหนุ่มถามเสียงแหบ กระทั่งเห็นชัดว่าคนที่ก้าวตามหลังหญิงสาวมาคือมารดาของตัวเองก็มีสีหน้าเข้าใจปนกรุ่นโกรธ
เข้าใจ…ว่าผู้หญิงนอกครอบครัวที่ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันรู้ข่าวและเข้ามาได้เพราะแม่ของเขา
กรุ่นโกรธ…อะไรบางอย่างที่นาทีแรกเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่หลังจากนั้นเขาก็คิดออก
บางทีอาจจะโกรธตัวเอง…ที่หัวรั้นไม่ยอมแต่งงานกับเธอเพื่อสะเดาะเคราะห์อย่างที่ซินแสบอก จนทำให้บิดาต้องมารับเคราะห์แทนแบบนี้
ใช่ พอก้าวเข้ามาในห้องมากขึ้น ลิปสาจึงได้เห็นว่าคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงคนไข้คือบิดาของพระเอกคนโปรดซึ่งเธอเคยเจอตัวจริงในวันรับปริญญาของเขาซึ่งเปิดให้แฟนคลับเข้าร่วมแสดงความยินดีได้และวันที่มนายุประสบอุบัติเหตุครั้งก่อน
“ทำไม…”
ริมฝีปากสั่นเปล่งคำพูดได้แค่นั้น ดวงตามองผ้าพันแผลรอบศีรษะและตามท่อนแขน รวมถึงเฝือกอันโตบนขาของคนหลับอย่างไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
ว่าทำไม…คุณมัทนาถึงโทรศัพท์ตามเธอมาอยู่ตรงนี้
“หนูรักแรก แม่มีเรื่องบางอย่างอยากจะขอร้องหนู…” คุณมัทนาก้าวเข้าไปยืนข้างเตียงสามี ลูบไล้เสี้ยวหน้าของคู่ชีวิตซึ่งแพทย์บอกชัดว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว ตัดสินใจเอ่ยปากขึ้น แต่ก่อนท่านจะได้พูดตามที่ต้องการลูกชายคนเดียวกลับส่งเสียงค้านขึ้นมา
“แม่ครับ!”
“เหมือน! แม่รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่…แม่จะปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ไม่ได้! แม่รู้ว่าแม่เห็นแก่ตัว แต่แม่ไม่สามารถเสียลูกหรือป๊าไปได้จริงๆ”
แม้หยาดน้ำตาจะร่วงหล่นอีกครั้ง หากแววตาและสีหน้าของท่านยืนกรานถึงความต้องการซึ่งครั้งนี้จะขอใช้สิทธิ์ความเป็นแม่บังคับให้มนายุต้องทำตาม
และใช่…ไม่ใช่แค่คุณมัทนาที่เสียลูกชายหรือสามีไปไม่ได้ มนายุเองก็ไม่สามารถเสียบิดามารดาหรือปล่อยให้คนรอบข้างต้องรับเคราะห์แทนเขาได้เช่นกัน
เหตุการณ์วันนี้มันทำให้พระเอกหนุ่มตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
หนุ่มหน้าหวานขยับลุกจากเก้าอี้ โน้มตัวไปกุมมือแม่ซึ่งยืนอยู่อีกฟากของเตียงเอาไว้ บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างคนตัดสินใจได้ว่า
“แม่ครับ เหมือน…เหมือนจะคุยกับเขาเอง”
เพียงเห็นสายตาของลูกชายคุณมัทนาก็รับรู้ได้ว่าลูกเลือกแล้วจึงเพียงพยักหน้ารับ พึมพำเสียงแผ่วจาง
“ขอโทษนะเหมือน…แม่ทำอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ได้จริงๆ”
บอกตามตรง…ลิปสาไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมคุณมัทนาถึงโทรศัพท์ตามเธอมาที่นี่ ว่ามนายุกับแม่ของเขาคุยเรื่องอะไร และทำไม…พระเอกคนโปรดต้องจูงมือเธอออกมาคุยกันตรงระเบียงห้องพักฟื้นแห่งนี้
“ขอโทษนะที่ต้องชวนมาคุยตรงนี้ ผมเป็นห่วงป๊าน่ะ อีกอย่างถ้าคุยกันที่อื่นอาจจะมีคนมาเห็นเอาได้”
มนายุที่ยืนเกาะราวระเบียงมองออกไปยังท้องฟ้าซึ่งไม่รู้อยู่ดีๆ พระอาทิตย์ดวงโตเกิดอายอะไรจนต้องไปแอบซ่อนหลังเมฆสีครึ้มบอกเสียงเบา แต่ถึงจะเบาแค่ไหน…เธอซึ่งปล่อยสติล่องลอยก็อดสะดุ้งไม่ได้อยู่ดี
หญิงสาวเหลือบมองคนข้างๆ มุมปากขยับยิ้มบางส่งให้อย่างไม่รู้จะตอบอะไร
ผู้ชายตรงหน้าเธอไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่เขาคือ ‘เหมือน มนายุ’ บุคคลสาธารณะซึ่งเป็นที่จับตามองของคนทั่วไป ถ้าหากเขาพาเธอไปคุยที่อื่นนอกจากเขตห้องพักฟื้นแห่งนี้ ไม่ว่ามันจะลับตาคนแค่ไหนก็ยังเสี่ยงจะถูกพบเห็นและกลายเป็นข่าวได้อยู่ดี แถมถ้ายิ่งลึกลับต่อสายตาคนอื่นมาก ถ้าหากซวยถูกเห็นขึ้นมาก็จะยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ด้วยซ้ำ
ที่นี่แหละดีแล้ว
ลิปสาหันกลับไปมองท้องฟ้าซึ่งไม่ค่อยสดใสเท่าใดนัก
บนระเบียงชั้นสิบเจ็ดของห้องพักฟื้นวีไอพีแบบนี้ นอกจากห้องข้างๆ ซึ่งมีระเบียงห่างกันไปราวสามเมตร…ที่นี่น่าจะปลอดภัยจากสายตาคนได้มากที่สุดแล้ว
“แล้ว…พ่อเหมือน…” รีไรเตอร์สาวที่จับพลัดจับผลูมาที่นี่แบบงงๆ อึกอักถามหลังจากต่างคนต่างเงียบไปนาน ซึ่งลูกชายของคนเจ็บในห้องก็ส่งยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตามาให้อีกครั้ง
“ป๊าผม…โดนรถชนน่ะ”
“โอ้มายก็อด…” ลิปสาเผลออุทานตามความเคยชิน เห็นชัดว่านอกจากขอบตาของพระเอกคนโปรดจะแดงเรื่อ ในกรอบตายังเริ่มมีน้ำขังอีกครั้ง
เจ้าของวงหน้าหวานกว่าผู้หญิงหลายคนกำหมัดแน่น หันกลับมามองคนข้างๆ แล้วอดตั้งคำถามไม่ได้
“เธอ…เชื่อเรื่องดวงรึเปล่า”
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.