X
    Categories: LOVEทดลองอ่านวีรปริยา

ทดลองอ่าน วีรปริยา บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 3 เรื่องบังเอิญ

 เขาใหญ่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เท่าไหร่และเพราะออกเดินทางแต่เช้าจึงไม่เจอปัญหาการจราจรมากนัก อย่างไรก็ตามมันมีปัญหาอื่นอยู่บ้าง เพราะทั้งวีรากรและปริยากรต่างไม่เคยมาเยือนที่ดินผืนนี้ แถมด้วยความที่มันเป็นที่ดินส่วนตัว ไม่มีหมุดปักในแผนที่ชัดเจน สถาปนิกหนุ่มจึงขับรถเลยทางเข้าที่ดินไป ถึงแม้สาวสวยจะช่วยดูทั้งแผนที่ในมือถือและหันมองข้างทางอยู่ตลอด กว่าจะรู้ตัวอีกทีวีรากรก็ขับรถเลยไปไกลแล้วจนต้องหาทางกลับรถย้อนไปทางเดิม ซึ่งเขาต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะเจอทางเข้าที่ถูกต้อง และยิ่งไปกว่านั้นพอจอดรถตรงหน้าบ้านสำเร็จรูปปุ๊บฝนก็ตกลงมาปั๊บ แถมพอเอาของเข้าไปเก็บแล้วฝนกลับยิ่งตกหนัก สถาปนิกหนุ่มเลยชวนเธอออกมากินข้าวข้างนอกก่อน รอเผื่อฝนเบาลงจะได้สำรวจที่ดินได้ง่ายขึ้น

วีรากรให้หญิงสาวเลือกร้านอาหาร เธอไม่คุ้นเคยกับแถวนี้เลยใช้วิธีลองหาในอินเตอร์เน็ตแล้วเลือกร้านที่รีวิวอาหารดูใช้ได้บวกกับสถานที่สวยน่าถ่ายรูปเช็กอิน

“ที่ดินอยู่ไกลจากพวกร้านค้ากับโรงแรมเหมือนกัน มิน่าคุณพ่อถึงให้หาบ้านสำเร็จรูปเอาไว้”

“อาจจะลำบากเรื่องของกินหน่อยถ้าไม่ออกมาข้างนอก แต่ถ้ามาค้างเมื่อไหร่ก็แวะซื้อของติดเข้าไปน่าจะได้ บ้านหลังกลางมีครัวเล็กๆ อยู่”

“บ้านสำเร็จรูปนี่ก็สะดวกดีนะคะ ปีย่าเพิ่งเลือกแบบไม่กี่วัน มาวันนี้ติดตั้งเรียบร้อยแล้ว”

วีรากรไม่ตอบอะไร เพียงมองหญิงสาวซึ่งไปหันไปมาสำรวจรอบตัวด้วยท่าทางร่าเริงอารมณ์ดีตามแบบฉบับ…เนื่องจากอาชวินมีเพื่อนเปิดบริษัทขายบ้านสำเร็จรูปเรื่องเลยง่ายขึ้นมาก แต่เขาเองก็ต้องมาค้างด้วย ดังนั้นจึงเลือกใช้บ้านหลังเล็กตั้งเรียงต่อกันแทนที่จะใช้บ้านหลังใหญ่ ปัญหาใหญ่ก็คือหลังจากนี้จะต้องพยายามรั้งปริยากรไว้ที่เขาใหญ่ให้มากที่สุด จนกว่าบันลือและทรงพลจะสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับคนที่วางแผนลอบทำร้ายปริยากรได้แน่ชัดกว่านี้

มันยากตรงนี้แหละ แค่สร้างบ้านหลังเดียวจะเป็นเหตุผลรั้งให้ปริยากรอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทั้งบันลือกับทรงพลต่างโยนมาเป็นภาระของเขาเสียอย่างนั้น…ลำพังออกแบบบ้านกับคอยดูแลความปลอดภัยเล็กๆ น้อยๆ เวลาอยู่ด้วยกันน่ะไม่เป็นไรหรอก ทว่าก็ควรจะช่วยคิดข้ออ้างให้เขาสักหน่อยด้วย

“พี่ช่วยถ่ายรูปให้ไหม” วีรากรออกปากเมื่อเห็นหญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเซลฟี่

“ปีย่าก็ว่าจะวานพี่วีนี่แหละ แต่ขอติดไว้ตอนกินข้าวเสร็จแล้วกันนะคะ” ปริยากรหันกลับไปฉีกยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะหลังจากกดเซลฟี่ตัวเองไปอีกรูป จากนั้นก็เหลือบมองไปรอบๆ “วันเสาร์นี่คนเยอะดีจัง ความจริงแถวหน้าหมู่บ้านก็น่าทำร้านอาหารคาเฟ่เหมือนกันนะ แถวนั้นไม่ค่อยมีร้านอะไรด้วย”

“ถ้าอยากทำก็บอกได้ครับ เดี๋ยวพี่จัดการให้”

“เป็นคำพูดที่ฟังรื่นหูมากค่ะ แต่เดี๋ยวขอปีย่าขอคิดดูก่อน” ปริยากรวางโทรศัพท์มือถือลง ตั้งใจจะชวนอีกฝ่ายคุย แต่ไม่ทันไรก็มีคนโฉบมาพร้อมกับส่งเสียงแปลกใจ

“คุณวี! ไปไงมาไงคะเนี่ย”

“อ้าว คุณจ๋า สวัสดีครับ” สถาปนิกหนุ่มค้อมศีรษะทักทายอีกฝ่าย

จิรวดีส่งยิ้มตอบกลับไป ก่อนจะเหลือบไปมองผู้หญิงอีกคน สีหน้าท่าทางแสดงความประหลาดใจกว่าเดิม

“ปีย่า…ไม่นึกว่าจะได้เจอกันที่นี่นะ ยิ่งเป็นการเจอพร้อมกับคุณวีด้วย”

“พวกเรามาทำงานครับ”

เสียงตอบของวีรากรดังขึ้นก่อนที่ปริยากรจะทันอ้าปาก แวบแรกเธอนึกเสียดายนิดหน่อย แต่นึกอีกทีมันอาจจะดีแล้วก็ได้ที่เขาตอบไปตามตรง ไม่โยกโย้ก่อกวนแบบที่เธอตั้งใจทีแรก เพราะถึงแม้จิรวดีจะมีนิสัยขี้อวด ชอบทำตัวเด่นชวนให้หมั่นไส้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยทำตัวมีปัญหากับเธอ…รักษาสถานะไว้แค่ระดับคนหมั่นไส้กันและไม่สุงสิงกันจะดีกว่า

“ทำงาน? หมายความว่าคุณวีกำลังออกแบบสร้างอะไรแถวนี้ให้ปีย่าเหรอคะ”

“ประมาณนั้นแหละ” ปริยากรพยักหน้าหงึกๆ “เอ๊ะ เธอก็เคยใช้บริการ Archwin เหมือนกันเหรอ”

“ไม่เคย แค่เกือบ…ตอนนั้นคุณวีไม่ว่าง” จิรวดีหันกลับไปหาชายหนุ่ม

“ช่วงที่คุณจ๋าติดต่อมาตอนนั้นงานที่บริษัทแน่นมาก คนทำงานไม่พอจริงๆ เสียดายมาก” วีรากรพูดเสียงเรียบเรื่อย

“จ๋าก็เสียดายค่ะ แต่จ๋าชื่นชมพวกคุณนะคะที่ยอมเสียรายได้แต่ไม่ยอมให้มาตรฐานงานตก” หญิงสาวบอกเสียงใส “นี่จ๋าตั้งใจไว้แล้วค่ะว่าถ้าเปิดร้านใหม่จะกลับไปหาคุณวีอีกรอบ หวังว่าคราวนี้จะไม่ติดขัดอะไร”

“ขอบคุณคุณจ๋ามากครับที่ยังนึกถึง Archwin”

มันแปลกๆ…ปริยากรซึ่งนั่งฟังบทสนทนาเงียบๆ ตั้งแต่ต้นเฝ้ามองกิริยาอาการของสองหนุ่มสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ ดูเหมือนยามจิรวดีเอ่ยอ้างถึง Archwin จะให้น้ำหนักไปที่วีรากรอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่สถาปนิกหนุ่มพูดในแบบที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

จะว่าไป…เท่าที่จำได้กิ๊กเก่าแต่ละคนของจิรวดีก็มาทรงเดียวกับวีรากรทั้งนั้นเลย ดังนั้นก็เป็นไปได้ว่าเขาจะเป็นสเป็กของยายนี่ สงสัยวางแผนจะใช้หน้าที่การงานเป็นข้ออ้างแน่ๆ

พนักงานถือถาดอาหารมาเสิร์ฟ ฝ่ายเจ้าของร้านจึงเบี่ยงตัวเปิดทางให้ลูกน้องวางจานอาหารลงบนโต๊ะ ขณะเดียวกันก็ออกปากยิ้มแย้ม

“ไหนๆ ก็บังเอิญเจอกัน มื้อนี้จ๋าขอเลี้ยงนะคะ เป็นการขอบคุณที่อุตส่าห์แวะมา”

“ขอบคุณมากครับ แต่ความจริงพวกเราควรอุดหนุนคุณจ๋ามากกว่านะ”

“เอาเป็นครั้งหน้าก็ได้ค่ะ แค่คุณวีกลับมาอีกหนก็ได้อุดหนุนจ๋าแล้ว” จิรวดีบอกทั้งรอยยิ้ม “เอาล่ะ อาหารน่าจะมาครบแล้วใช่ไหมคะ ยังไงหวังว่าจะชอบอาหารนะ ถ้ามีอะไรก็เรียกได้ตลอดเลย”

ปริยากรหยิบช้อนส้อมโดยไม่พูดอะไร รอจนเจ้าของร้านสาวผละจากไปแล้วจึงค่อยเปิดปาก

“โชคดีที่มากับพี่วี ได้กินฟรีเลย”

คิ้วเข้มยกสูงเล็กน้อย แต่นอกไปจากนั้นแล้วสีหน้าท่าทางของเขาก็ไม่เปลี่ยนสักนิด

“น้องปีย่าก็เป็นเพื่อนคุณจ๋าไม่ใช่เหรอครับ”

“เรียกว่าคนรู้จักแบบที่ไม่ตีกันก็ถือว่าดีแล้วเถอะค่ะ” หญิงสาวหัวเราะ ก่อนจะเริ่มส่งสเต็กที่สั่งมาเข้าปาก “อืม รสชาติใช้ได้เหมือนกันนะ แต่เพราะฟรีเลยยิ่งอร่อยคูณสอง…แล้วก่อนหน้านี้จ๋าจะให้พี่วีออกแบบอะไรให้เหรอ”

“คาเฟ่ครับ คาเฟ่ที่เขาใหญ่…ก็น่าจะที่นี่แหละ”

“พี่วีเสียดายไหมคะ” ปริยากรแกล้งทำตาใส

“ถ้าพูดถึงงานก็เสียดายครับ ปกติไม่ค่อยได้ออกแบบคาเฟ่ด้วย น่าสนุกดีเหมือนกัน”

ถ้าพูดถึง ‘งาน’ ด้วยนะ…เธอแทบจะหลุดหัวเราะออกมาทีเดียว หากแปลไม่ผิดวีรากรน่าจะพอรู้ตัวอยู่หรอกว่าจิรวดีอาจไม่ได้เข้ามาโดยหวังผลแค่เรื่องงาน ซึ่งอันที่จริงก็ไม่แปลก อย่างเขาแค่หน้าตาก็ดึงดูดผู้หญิงได้แล้ว การที่เขาไม่จีบใครไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครมาจีบนี่นะ

“งั้นเดี๋ยวพี่วีออกแบบคาเฟ่ให้ปีย่าก็ได้”

“สรุปว่าน้องปีย่าจะทำคาเฟ่ด้วยเหรอ” เขาเลิกคิ้ว เพราะเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหญิงสาวยังบอกว่าขอคิดดูก่อนอยู่เลย

“ค่ะ ปีย่าคิดเมื่อกี้ ตอนนี้ตัดสินใจได้ละ” สาวสวยบอกหน้าตาย อันที่จริงเธอคุยกับบันลือไว้แล้วว่าหลังจากทำหมู่บ้านเสร็จอาจใช้ที่ดินรอบๆ ทำอย่างอื่น เช่น โรงแรมหรือสถานที่ท่องเที่ยว คาเฟ่ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือก เพียงแต่ยังไม่ได้มีการตัดสินใจอย่างชัดเจนเด็ดขาด ทว่าถ้าเธอจะตัดสินใจตอนนี้เลยพ่อก็คงไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว

“งั้นก็ตกลงครับ เดี๋ยวน้องปีย่าลองไปดูจุดที่อยากตั้งคาเฟ่แล้วคุยรายละเอียดกัน” วีรากรรับคำง่ายๆ เดาว่าการตัดสินใจอย่างรวดเร็วของเธออาจเกี่ยวข้องกับการพบจิรวดีก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรเขาก็มีหน้าที่ต้องทำงานตามที่ลูกค้าต้องการอยู่แล้ว

ปริยากรพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้ม…การมีผู้ชายหล่อทำตามใจเรานี่มันดีจริงๆ

 

ฝนยังตกปรอยๆ อยู่ตอนที่สองหนุ่มสาวกลับไปถึงที่ดินของบันลือ แต่ก็ถือว่าดีกว่าตอนก่อนไปกินข้าว หลังจากปรึกษากันครู่หนึ่งจึงตกลงกันว่าวีรากรจะขับรถพาเธอดูวนรอบที่ดินส่วนที่ได้รับการตระเตรียมสำหรับการก่อสร้างแล้ว

“ตรงนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่เพื่อนพี่มาดูแล้วแนะนำว่าวิวดี” สถาปนิกหนุ่มบอกหลังจากเหลือบเช็กตำแหน่งของที่ดินที่เพื่อนบอกไว้จากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ “ตรงนี้เหมือนดินจะเละกว่าจุดก่อนหน้านี้หน่อย น้องปีย่าจะลงไปไหมครับ”

“ลงดีกว่าค่ะ ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว” ปริยากรฉวยหมวกที่อยู่บนตักมาสวม จากนั้นก็คว้าร่มแล้วเปิดประตูออกไป

ลมเย็นที่เจือด้วยไอชื้นของฝนพัดมาวูบหนึ่ง แต่หญิงสาวไม่ใส่ใจแล้วหันมองไปรอบตัวอย่างสนใจ ดูเหมือนตรงนี้จะเป็นเนินที่สูงกว่าจุดอื่นเล็กน้อย ทำให้วิวดีกว่าจุดอื่นจริงอย่างที่มีการแนะนำเอาไว้

“ข้างล่างนั่นเหมาะจะขุดทะเลสาบเหมือนกัน”

ปริยากรหันมองตามการชี้นิ้วของสถาปนิกหนุ่ม ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าเขาใส่แค่หมวกใบเดียวโดยไม่ได้ถือร่มมาด้วย เธอเลยยืดแขนเพื่อให้เขาได้อยู่ใต้ร่มอีกคน

“แปลว่าพี่วีก็สนับสนุนให้ปีย่าเลือกที่ดินตรงนี้เหมือนกันใช่ไหม”

“ถือเป็นตัวเลือกที่ดีครับ” เขาหันมาส่งยิ้มเล็กๆ ให้เธอพร้อมกับดึงร่มไปถือเอง

“แล้วพี่วีมีแผนเกี่ยวกับแบบแปลนหมู่บ้านบ้างหรือยังคะ ถ้าปีย่าเลือกตรงนี้มันจะต่างกับที่ดินตรงอื่นเยอะไหม” ปริยากรเริ่มก้าวเท้า อีกฝ่ายก็ถือร่มเดินตามมา

“ตำแหน่งบ้านไม่ส่งผลมากครับ ที่มีผลมากหน่อยคือทะเลสาบกับคลองนี่ล่ะ”

“ปีย่าให้พี่วีเลือกตำแหน่งทะเลสาบเลยดีกว่า เพราะมันมีเรื่องทางน้ำอะไรต่างๆ ด้วย” หญิงสาวหันไปแหงนหน้ายิ้มให้สถาปนิกหนุ่ม แต่ไม่ทันไรก็ต้องร้องวี้ดออกมาเพราะเท้าเหยียบลงบนพื้นที่ไม่มั่นคงจนไถลลื่น หนำซ้ำไม่ใช่เพียงการเสียหลักลงไปกองกับพื้น ทว่าตัวของเธอทำท่าจะไถลลื่นลงเนินไปด้วย

แนวต้นไม้อยู่เบื้องหน้า ถ้าไถลลงไปตามเนินอาจกลิ้งจนไปชนก็ได้ แต่นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้แล้วในตอนนี้ เพราะพื้นดินที่ชุ่มน้ำเละเสียจนเธอไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้เลย ในเสี้ยววินาทีที่กำลังทำใจนั้นก็มีท่อนแขนหนึ่งคว้าร่างเธอหมับ และมันก็แข็งแรงมากพอจะหยุดเธอได้ในทันทีด้วย

“ระวังครับ” เสียงของวีรากรสงบมั่นคง ไร้ซึ่งความตระหนกใดๆ เหมือนเคย “ดินตรงนี้คงสไลด์ลงไปเพราะฝนตก น้องปีย่าลองพยายามวางเท้าเท่าที่ทำได้หน่อยครับ เดี๋ยวพี่จะพยายามดึงเราขึ้นมา”

ดวงหน้าสวยหันไปมอง และพบว่าเขากำลังพยายามทรงตัวเพื่อประคองเธอไว้ ท่าทางบ่งบอกว่าเขากำลังใช้ประโยชน์จากความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแบบสุดขีด เธอเลยรีบขยับขาไปมาจนเจอจุดที่คิดว่าพอจะวางเท้าได้และลองทิ้งน้ำหนักลงไป ซึ่งดูเหมือนเขาจะรับรู้อย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวพี่จะลองดึงน้องปีย่าขึ้นมา อย่าเกร็งนะ”

หญิงสาวพยักหน้าเร็วๆ แล้วอึดใจถัดมาเธอก็รับรู้ถึงแรงรั้งจากท่อนแขนที่โอบรัดอยู่รอบลำตัว พอเหลือบมองก็พบว่าอีกฝ่ายใช้ร่มปักลงพื้นเป็นหลักยึดช่วยในการดึงเธอขึ้นไป ปริยากรรับรู้ถึงกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งของเขาขณะที่ร่างถูกยกลอย สัญชาตญาณบอกให้สองเท้าขยับหาพื้นดินที่มั่นคงและเธอก็ทำตามนั้น จนในที่สุดก็กลับขึ้นไปยืนบนเนินที่มั่นคง พอทรงตัวได้แล้วเธอก็รีบหันกลับไปหาร่างสูงใหญ่ ครั้นเห็นว่าขายาวๆ ข้างหนึ่งของเขายังปักอยู่ด้านล่างของเนิน เธอเลยรีบเอื้อมมือไปช่วยดึงเขาขึ้นอีกแรง

“ขอบคุณครับ” วีรากรพ่นลมหายใจเบาๆ เมื่อกลับมายืนบนเนินได้สำเร็จ

“ปีย่าสิคะต้องขอบคุณพี่วี ไม่งั้นเมื่อกี้ปีย่าต้องกลิ้งตกลงไปข้างล่างแน่ๆ” หญิงสาวบอกแล้วเหลือบมองลงไปทางด้านล่างเนินด้วยสายตาสยดสยอง

“ถอยห่างออกมาหน่อยดีกว่า ดินตรงนี้อาจสไลด์ลงไปอีกก็ได้” สถาปนิกหนุ่มดึงร่างโปร่งให้เดินถอยลึกเข้าไปด้านใน ขณะที่อีกมือยกร่มขึ้นดูไปด้วย “ร่มน้องปีย่าเปื้อนหมดเลย โทษทีนะ”

“ช่างมันเถอะค่ะ” เธอรีบโบกไม้โบกมือ ก่อนจะเหลือบไปเห็นรอยโคลนบนกางเกงยีนของอีกฝ่าย “โอ๊ะ กางเกงพี่วีก็เปื้อนนี่ ตอนช่วยปีย่าเมื่อกี้แน่เลย ขอโทษนะคะ”

“แค่นี้เอง บางทีเวลาพี่ไปไซต์งานก็เปรอะๆ เปื้อนๆ เป็นปกติ วันนี้พี่เตรียมตัวมาเปื้อนอยู่แล้วด้วย” เขาสะบัดร่มเบาๆ เพื่อไล่เศษโคลน “น้องปีย่าจะเดินดูต่อไหม หรือยังไง”

“กลับรถกันเลยก็ได้ค่ะ”

“โอเค” วีรากรดึงร่มกลับมาดู พอเห็นว่ายังมีน้ำโคลนไหลปะปนน้ำฝนลงมาตามแนวโค้งของร่มก็ส่ายหน้าไปมาเบาๆ “ถ้าใช้ร่มเดี๋ยวเสื้ออาจจะเปื้อนตามไปด้วย เรารีบเดินเอาแล้วกันนะ…น้องปีย่านำไปเลยครับ เผื่อเกิดอะไรอีกพี่จะได้ช่วยทัน”

ถ้อยคำของชายหนุ่มทำให้ปริยากรถึงกับต้องผินหน้าไปหาเขา ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมา…ว่าเขาไม่ได้เสียด้วยที่พูดแบบนี้ ในเมื่อเขาช่วยเธอในลักษณะคล้ายๆ กันเอาไว้ถึงสองครั้งสองคราแล้ว

“ปกติปีย่าไม่ใช่คนซุ่มซ่ามโก๊ะกังเลยนะ แต่มาเหวอโชว์พี่วีสองรอบแล้ว”

“น้องปีย่าไม่ได้ซุ่มซ่ามนี่ครับ เมื่อกี้ก็เป็นอุบัติเหตุ”

“จริงที่สุดค่ะ” เธอพยักหน้า ตีสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง “ปีย่าเดินไปพร้อมกับพี่วีดีกว่า พี่วีน่าจะช่วยปีย่าได้ง่ายสุดแล้ว”

วีรากรยกมุมปากเป็นรอยยิ้มตอบกลับไป ก่อนจะก้าวขาเดินเคียงข้างไปกับร่างโปร่ง ขณะที่หญิงสาวเดินมองทัศนียภาพรอบๆ อย่างสบายอกสบายใจ

ดูเหมือนวีรากรจะไม่เปลี่ยนไปจากตอนที่ปีนขึ้นไปเก็บกระดาษให้ปภาวรินท์สมัยเรียนเท่าไหร่เลย…เป็นผู้ชายใจดีที่อยู่ด้วยแล้วชวนให้รู้สึกอุ่นใจดีจัง

 

น่าเบื่อชะมัด…อยากกลับไปนอน…

มีไม่กี่ประโยคที่วนเวียนอยู่ในหัวของปริยากรในชั่วโมงที่ผ่านมา ค่ำนี้เธอมาร่วมงานเลี้ยง แม้จะน่าเบื่อแต่ช่วยไม่ได้ เพราะหากเธอไม่มาบันลือก็ต้องมา ดังนั้นเธอจึงเลือกจะเป็นคนมาร่วมงานนี้เอง

หญิงสาวฉีกยิ้มส่งให้ตะวัน หนุ่มไฮโซที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ครอบครัวของอีกฝ่ายทำธุรกิจหลายอย่าง แต่ช่วงหลังเขาหายหน้าไปดูแลธุรกิจที่ต่างประเทศ เพิ่งกลับมาไทยเมื่อไม่นานนี้เอง ก่อนหน้าไปต่างประเทศชายหนุ่มคอยมาวนเวียนรอบตัวเธออยู่บ้าง และพอกลับมารอบนี้ก็กลับสู่สภาพเดิม

ปริยากรเฉยๆ กับตะวัน คือถือว่าเขาเป็นเพื่อนที่พอคบหาได้ แต่บางทีเธอก็รู้สึกว่าเขาทำตัวน่าเบื่อและน่ารำคาญ ติดที่คุณหญิงโสภาแม่ของเขาคุ้นเคยกับบันลือ และครอบครัวของเขาก็ถือเป็นคอนเน็กชั่นชั้นยอด แถมเขาก็ไม่เคยทำอะไรแย่ๆ กับเธอ ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากประคองความสัมพันธ์เอาไว้ต่อไป

“ไปทักพวกที่อยู่ตรงนู้นกันไหม”

“ฉันขอแวบไปห้องน้ำก่อน เดี๋ยวตามไปสมทบนะ” หญิงสาวโบกไม้โบกมือน้อยๆ จากนั้นก็บ่ายหน้าเดินออกจากห้องจัดเลี้ยง

น่าเบื่อจริงๆ นั่นแหละ…ปริยากรระบายลมหายใจเบาๆ เมื่อพ้นออกมาจากห้องจัดเลี้ยง ใจนึกอยากกลับบ้านไปนอนกลิ้งเล่นบนเตียง แต่จะกลับตอนนี้ก็อาจเร็วไปหน่อย

หญิงสาวใช้เวลาระหว่างเข้าห้องน้ำในการชั่งใจ แล้วจึงตัดสินใจว่าจะเลี่ยงตะวันด้วยการไปเกาะอยู่กับเพื่อนคนอื่น ซึ่งเพื่อนที่ว่าเธอหาไม่ยากอยู่แล้วเพราะในงานก็คนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น เพียงแต่อาจจะต้องเลือกคนที่ตะวันไม่ค่อยอยากยุ่งด้วยสักหน่อย

ปริยากรเกือบจะเลี้ยวเข้าห้องจัดเลี้ยงแล้วถ้าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นร่างในชุดสูทร่างหนึ่งที่กำลังยืนกดโทรศัพท์มือถือเข้าเสียก่อน ดวงตาที่ได้รับการตกแต่งด้วยเครื่องสำอางอย่างงดงามเบิกกว้าง ก่อนที่เธอจะหันเปลี่ยนทิศทันใด

“พี่วี ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ หรือว่ามางานเลี้ยงเดียวกับปีย่าด้วย”

“อ้าว” คิ้วของวีรากรเลิกขึ้นเล็กน้อยแสดงถึงความประหลาดใจ “พี่มางานเลี้ยงครับ แต่มาทำงานน่ะ”

“ทำงาน?”

“พ่อพี่ทำบริษัทด้านรักษาความปลอดภัยครับ วันนี้ในงานมีของมีค่าที่ยืมมาโชว์ เจ้าของงานเลยจ้างบริษัทของพ่อพี่มา แต่พอดีวันนี้อยู่ดีๆ เขาก็เดินไปสะดุดแล้วขาพลิกน่ะ พี่เลยช่วยคุมพนักงานของพ่อมางานแทน”

“แบบนี้นี่เอง” หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก ขณะเดียวกันก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมที่ผ่านมาเขาถึงช่วยเธอได้อย่างว่องไว รวมถึงดูแข็งแรงเอาเรื่อง…เป็นลูกชายก็คงได้รับการฝึกมาด้วยนั่นแหละ

“วันนี้น้องปีย่ามาคนเดียวเหรอครับ”

“ค่ะ มาแทนคุณพ่อ ไม่มีเพื่อนด้วยเพราะปินไม่ได้มา งานนี้พี่ชายของปินมาแค่คนเดียว” เธอให้ข้อมูลเป็นเชิงบ่น “เอ้อ แล้วนี่พี่วีไม่ต้องเข้าไปในงานเหรอคะ ก่อนหน้านี้ปีย่าไม่เห็นเลย”

“พี่แค่พาคนมาเฉยๆ ครับ พี่เป็นสถาปนิกไง” วีรากรยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็คิดว่างานนี้บันลือน่าจะส่งคนตามมาดูแลลูกสาวเอง

“งั้น…แปลว่าพี่วีแค่อยู่แถวๆ นี้ก็พอใช่ไหม ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่น”

“ครับ” ชายหนุ่มแปลกใจกับคำถาม แต่ก็ยอมตอบโดยดี

“งั้นขอปีย่าอยู่ด้วยสักพักได้ไหม ปีย่าเบื่อๆ ขี้เกียจกลับเข้างานตอนนี้”

แววประหลาดใจยิ่งฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลา ทว่าเขาก็เพียงพยักพเยิดไปทางชุดโซฟาที่อยู่ไม่ไกล

“ไปนั่งตรงนั้นกันไหม”

“ได้ค่ะ” ปริยากรตอบรับทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด จากนั้นก็เดินตามร่างสูงไป

“อันที่จริงได้เจอน้องปีย่าก็ดีเหมือนกัน พี่มีอะไรจะให้ดู เดี๋ยวส่งให้ทางแชตนะครับ” วีรากรพึมพำขณะทิ้งตัวนั่งบนโซฟา นิ้วของเขากดไปบนหน้าจอสามสี่ที แล้วโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวก็ส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความถูกส่งเข้ามา

“เอ๊ะ นี่แบบบ้านที่เขาใหญ่เหรอคะ ทำไมเร็วจัง” สาวสวยร้องเมื่อเห็นภาพแบบแปลนที่ถูกส่งมา

“เมื่อวานตอนเราคุยกันพี่ก็มีภาพในหัวแล้ว กลับมานั่งทำเลยใช้เวลาไม่มากครับ แบบสามมิติต้องรอหน่อย น่าจะได้พรุ่งนี้…ส่วนแบบบ้านไทป์ต่างๆ ที่จะขายต้องรอวิน ถ้าช้าก็เป็นความผิดหมอนั่น” วีรากรพูดหน้าตายแม้จะรู้แก่ใจว่าทั้งเขาและอาชวินต่างก็เร่งทำงานกันแม้กระทั่งในวันหยุดเพื่อไม่ให้กระทบกับงานอื่น ที่สำคัญคือบันลืออยากให้ลูกสาวเดินทางไปเขาใหญ่โดยเร็วด้วย

หญิงสาวแอบอมยิ้มกับการพาดพิงถึงเพื่อนสนิทของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วขยายภาพเข้าออกเพื่อดูรายละเอียดต่างๆ ให้ชัดขึ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ…เมื่อวานนี้หลังจากเกือบไถลลงเนินดินแล้วเธอกับเขาก็ไม่ได้ลงจากรถไปเดินดูอะไรอีก แค่ขับรถวนดูให้ทั่วแล้วกลับไปที่บ้านสำเร็จรูป จากนั้นใช้เวลาตลอดบ่ายที่เหลือในการนั่งคุยกันและตัดสินใจรายละเอียดต่างๆ กว่าจะเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ ก็ค่ำทีเดียว เธอชวนวีรากรกินข้าวเย็นที่บ้านแต่เขาปฏิเสธ บอกว่ากำลังมีภาพงานในหัวเลยอยากรีบกลับไปจัดการ ไม่นึกว่าแปลนบ้านจะเสร็จรวดเร็วขนาดนี้

“ลำพังสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเองไม่นานและไม่ยากครับ แต่การสร้างหมู่บ้านต้องใช้เวลา กว่าจะพัฒนาแบบหมู่บ้านเรียบร้อยเผลอๆ บ้านของน้องปีย่าอาจใกล้เสร็จแล้วก็ได้” เขาพูดเสียงเรียบเรื่อย ย้ำสิ่งที่เคยบอกกับเธอไว้ก่อนหน้านี้แล้วอีกครั้ง เนื่องจากเห็นว่าหญิงสาวไม่มีประสบการณ์ในการทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์มาก่อน

ปกติแล้วในการสร้างหมู่บ้านต้องมีการพัฒนาผังหมู่บ้าน แบ่งโฉนดเพื่อทำบ้านจัดสรร เมื่อรวมกับการขออนุญาตทางกฎหมายต่างๆ ก็ใช้เวลาหลายเดือน นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้บันลือเลือกสร้างบ้านให้ลูกสาวก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะขั้นตอนมันง่ายกว่ามาก แต่การสร้างบ้านหลังหนึ่งก็ยังต้องใช้เวลาหลายเดือน ซึ่งเผลอๆ ถ้าหลังจากนี้สืบจนเจอความจริงเกี่ยวกับแผนการปองร้ายปริยากรได้ก่อนบ้านสร้างเสร็จ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะล้มแผนสร้างหมู่บ้านขายไปเลยก็ได้

“พูดตรงๆ นะคะ ปีย่ายังนึกภาพไม่ออกเท่าไหร่เลย แต่ในเมื่อจำนวนห้องและรายละเอียดตรงตามที่เราคุยกันไว้ก็โอเคค่ะ” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ในที่สุด

“ไม่แปลกหรอกครับ เดี๋ยวถ้าภาพสามมิติเสร็จน่าจะเห็นภาพมากขึ้น”

“มานึกดู ปีย่าเพิ่งคุยกับคุณพ่อ แล้วก็มาคุยกับพี่วินพี่วีแค่ไม่กี่วันเอง มันเร็วแบบไม่น่าเชื่อเลย” หญิงสาวหัวเราะ ถึงตอนนี้ถ้าเกิดบ้านจะพร้อมขายในเดือนหน้าเธอก็ไม่แปลกใจแล้ว

“พูดถึงเรื่องเร็ว…เนื่องจากการสร้างบ้านและหมู่บ้านครั้งนี้ค่อนข้างต่างจากงานทั่วไป ปกติแล้วพี่จะแค่ออกแบบแล้วไปไซต์งานตามกำหนด แต่ครั้งนี้พี่น่าจะต้องไปใช้เวลาอยู่ที่เขาใหญ่พอสมควรเลย น้องปีย่าคงพอมีเวลาไปอยู่ที่นั่นเหมือนกันใช่ไหม เพราะถ้ามีคนมีอำนาจตัดสินใจอยู่ด้วยกันเลยน่าจะดีกว่า”

“อันที่จริงเมื่อเช้าคุณพ่อเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย คงต้องเป็นวันธรรมดาใช่ไหมคะ สัปดาห์ละวันสองวันพอไหม เสาร์อาทิตย์ปีย่าก็มีพวกงานเลี้ยงต้องไปบ้างเหมือนกัน” หญิงสาวทำท่าครุ่นคิด “หรืออันที่จริงเราควรนัดกันเป็นครั้งๆ ไปดี งานบางอย่างของปีย่าพอจะทำแบบออนไลน์ทางไกลได้ แต่พี่วีเองก็ต้องเข้าออฟฟิศใช่ไหมคะ”

“เดี๋ยวค่อยๆ ลองหาเวลาที่ตรงกันก็ได้ครับ ช่วงแรกน่าจะวุ่นวายหน่อย แต่ตอนนี้ยังไม่มีแบบก็ยังทำอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว” มุมปากของวีรากรยกขึ้น เป็นยิ้มจากความโล่งใจมากกว่าอารมณ์ดี…เขาคิดเรื่องนี้อยู่นานทีเดียว พอดีเมื่อวานกลับบ้านไปเจอทรงพล ครั้นเล่าเรื่องนี้พ่อก็บอกว่าให้ใช้งานเป็นข้ออ้างแล้วโยนกลับไปเป็นภาระของบันลือเสียเลย เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเปิดทางไว้เองแล้วก็ค่อยยังชั่ว เพราะช่วยให้เรื่องง่ายขึ้นไม่น้อย

“พรุ่งนี้ปีย่าจะเช็กตารางงานแล้วติดต่อไปหาพี่วีอีกทีนะ”

สถาปนิกหนุ่มพยักหน้ารับ แต่ยังไม่ทันพูดอะไรก็มีเสียงหนึ่งลอยมาเสียก่อน

“ปีย่า…”

ปริยากรหันไปตามเสียงเรียก แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นตะวันกำลังเดินตรงมา

“ทำไมมานั่งอยู่ที่นี่ล่ะ”

“พอดีเจอพี่ที่รู้จักน่ะ” หญิงสาวตอบ ขณะเดียวกันก็สังเกตว่าสายตาของผู้มาใหม่จับจ้องไปยังคนที่นั่งอยู่ข้างเธอมากกว่า “เอ้อ นี่พี่วี…”

“พวกเราเคยรู้จักกัน” ตะวันโพล่งแทรก พอเห็นสีหน้างุนงงของสาวสวยก็ยิ้มออกมา “เราเคยเรียนมหา’ลัยเดียวกันนะ ลืมแล้วเหรอ”

“จริงด้วย…เอ๊ะ! แต่ที่พูดว่ารู้จักกันเมื่อกี้คือรู้จักกันเป็นส่วนตัวเหรอ” ปริยากรเพิ่งนึกถึงความเป็นไปได้นี้ ตะวันเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับเธอ มันน่าตลกตรงที่ตอนนั้นเธอกับเขารู้จักกันเพียงผิวเผิน ขณะที่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับมาวนเวียนอยู่รอบตัวเธอเสียอย่างนั้น ทั้งที่วิถีชีวิตไม่ได้เกี่ยวข้องกันไปมากกว่าการเจอกันตามงานสังคม

“ไม่เชิง” ตะวันเหลือบมองวีรากร แต่อีกฝ่ายก็นิ่งเหมือนเดิม “แล้วนี่ปีย่ารู้จักกับพี่เขาได้ไงล่ะ”

“พี่วีเป็นเพื่อนสนิทของแฟนยายปินไง พี่วินน่ะ ถ้านายรู้จักพี่วีก็คงรู้จักพี่วินใช่ไหม”

“รู้จักสิ…ว่าแต่พี่จำผมได้ใช่ไหม” ประโยคหลังหนุ่มไฮโซหันไปหาวีรากร

“จำได้สิ ไม่ได้เจอกันนานเลย”

ท่าทีของสถาปนิกหนุ่มดูปกติ ทว่าที่ปริยากรคิดว่าไม่ปกติคือท่าทีของตะวัน สัญชาตญาณบอกว่าระหว่างสองคนนี้น่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่าอย่างไร…

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วพี่วีเข้าไปในงานกับปีย่าหน่อยไหม”

“หืม?” วีรากรเลิกคิ้วประหลาดใจ

“พอตะวันมาพูดแล้วปีย่าถึงนึกขึ้นได้ เราเรียนมหา’ลัยเดียวกัน ในงานมีศิษย์เก่าร่วมมหา’ลัยของเราเยอะอยู่นะคะ ยิ่งถ้าเป็นรุ่นใกล้พวกเราน่าจะพอรู้จักพี่วินกับพี่วีกันบ้างแหละ หรือถึงไม่รู้จักก็จะได้รู้จักกันไว้ไง” หญิงสาวชักแม่น้ำทั้งห้าไปยิ้มไป

ถ้าอยู่กันตามลำพังวีรากรคงปฏิเสธโดยยกงานขึ้นมาอ้าง แต่เขาไม่อยากพูดเรื่องงานต่อหน้าตะวัน ไม่ว่าจะงานไหน เพราะมันต้องมีเหตุผลที่เมื่อครู่ปริยากรแนะนำเขาในฐานะเพื่อนของอาชวินแทนที่จะบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมงาน ดังนั้นเขาจึงลงความเห็นว่าควรตามน้ำไป

เขาน่าจะต้องใช้เวลากับลูกสาวของบันลืออีกพักใหญ่ พยายามรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้ย่อมดีกว่า

สาวสวยฉีกยิ้มกว้างทันทีที่วีรากรพยักหน้ารับ จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วส่งเสียงร่าเริง ทำเป็นไม่เห็นว่าตะวันจ้องเขม็งมา

“งั้นไปกันค่ะ มีหลายคนเหมือนกันที่ปีย่าคิดว่าพี่วีน่าจะทำความรู้จักไว้”

สถาปนิกหนุ่มสบตากับบุรุษอีกคน ก่อนจะสาวเท้าตามหญิงสาวไปเงียบๆ…ช่วงนี้อย่างกับงานรวมรุ่น อยู่ดีๆ ก็ได้เจอเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเก่าเยอะแยะไปหมด อาชวินได้เจอปริยากรจนพบรักกับปภาวรินท์ แล้วนี่ตัวเขายังอุตส่าห์ได้ย้อนกลับมาเจอตะวันอีก

เอาเถอะ ถึงไม่ได้อยากเจอแต่ในเมื่อวนมาเจอกันแล้วจะทำไงได้ หวังว่าหมอนี่จะไม่ทำตัวน่าเบื่อนักแล้วกัน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 มี.. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: