บทที่ 4 คดีเก่าครั้งใหม่
“แหม มีคดีกันอยู่จริงๆ ด้วย ถึงจะเป็นคดีแบบมีแต่โจทก์ฝ่ายเดียวก็เหอะ” ปริยากรร้องออกมาหลังได้ฟังเรื่องราวจากเพื่อนสนิท
เมื่อคืนนี้เธอพาวีรากรไปรู้จักกับเหล่าศิษย์เก่าร่วมมหาวิทยาลัย ตอนแรกเธอนึกว่าตะวันจะรำคาญแล้วผละไปเอง ที่ไหนได้เขากลับเกาะติดไม่ปล่อยทีเดียว ยังดีที่สถาปนิกหนุ่มเองก็นิ่งและเนียน ไม่ได้พูดอะไรที่เธอไม่อยากให้พูด รวมถึงไม่ได้ทำอะไรที่เธอไม่อยากให้ทำเลย ทว่าท่าทีของหนุ่มไฮโซกลับทำให้เธอสงสัยอย่างยิ่งว่าในอดีตผู้ชายทั้งสองคนอาจเคยมีประเด็นบางอย่างกันอยู่ ครั้นจะถามวีรากรก็คงไม่ได้ ดังนั้นเมื่อกลางวันเธอจึงโทรไปหาปภาวรินท์ พอเล่าเรื่องทั้งหมดแล้วเธอก็ใช้อีกฝ่ายไปหาข้อมูล ซึ่งมันไม่ยากเลย ในเมื่อเพื่อนก็แค่ไปถามแฟนสุดที่รักเท่านั้น
ตอนแรกอาชวินจำตะวันไม่ได้ ปภาวรินท์เลยหารูปไปให้ดู นั่นเองเขาจึงจำอีกฝ่ายได้ ปรากฏว่าสมัยเรียนตะวันเคยตามจีบสาวสถาปัตย์ฯ คนหนึ่ง ทว่าสาวเจ้าดันแอบปลื้มวีรากรอยู่ แถมยังใช้วีรากรเป็นไม้กันหมาแบบที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง กระทั่งตะวันเข้าใจวีรากรผิดไปหลายเรื่อง แต่ฝ่ายหลังเองก็ไม่ค่อยสนใจอะไรอยู่แล้วด้วย เรื่องเลยยิ่งไปกันใหญ่
จนอาชวินกลับมาจากการแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ ด้วยความเป็นคนกว้างขวางทำให้เขารู้เรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เขาจัดการแก้ไขเท่าที่ทำได้ ทว่าด้วยความที่เรื่องมันเนิ่นนานและมีหลายประเด็นทำให้ตะวันยังมีอคติกับวีรากรอยู่ แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวทำให้วีรากรไม่เก็บมาใส่ใจสักนิด ตราบใดที่ตะวันไม่ได้เข้าไปหาเรื่องซึ่งหน้าก็ไม่มีปัญหา
“สรุปว่านายตะวันเพ้อเจ้อไปเองคนเดียว แต่นี่ก็ตั้งหลายปีแล้วนะ ยังจะอาฆาตแค้นอะไรพี่วีอยู่เนี่ย” ปภาวรินท์บ่นงึมงำ
“แหม ก็คงคล้ายแกน่ะแหละ หลงรักพี่วินข้ามภพข้ามชาติ” ปริยากรอดใจแกล้งเพื่อนไม่ไหว
“ปีย่า! มันเหมือนกันที่ไหนเล่า!”
พอได้ยินเสียงโวยวายของเพื่อนลอยมาตามสัญญาณโทรศัพท์ เธอก็หัวเราะเสียงใส
“ยังไงก็เหอะ แกดูแลพี่วีดีๆ นะ อย่าให้นายตะวันไปกวนเขา” ปภาวรินท์บอกกึ่งสั่ง
“แกควรจะห่วงฉันบ้างนะ ฉันรำคาญตะวันจะแย่อยู่แล้ว” ปริยากรกลอกตา
“ฉันต้องห่วงพี่วีสิ เพราะเท่าที่ฟัง แกใช้เขาเป็นไม้กันหมาไปเรียบร้อยแล้ว แถมมันดันไปพ้องกับคดีเก่าที่นายตะวันฝังใจอยู่กับพี่วีอีก แล้วตอนนี้หมอนั่นก็ตามวอแวแกอยู่ มีแนวโน้มมากเลยนะที่ตะวันจะหาเรื่องพี่วี”
เจ้าของร่างโปร่งทิ้งแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ ดวงตามองไฟดาวน์ไลต์ที่ฝังอยู่บนเพดาน…เรื่องนี้เธอเถียงไม่ออกเสียด้วย เมื่อคืนที่เธอชวนวีรากรเข้างานไปด้วยกันก็เพราะรำคาญตะวันแถมเบื่องานเลี้ยง ไม่ได้ตั้งใจให้เขาโดนเขม่น ไม่นึกว่าบุรุษทั้งสองจะเคยมีคดีลักษณะเดียวกันมาก่อน
แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เห็นแก่ตัวและคิดน้อยเกินไปจริงๆ นั่นแหละ…ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ที่อาชวินโดนกลั่นแกล้งโดยมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับปภาวรินท์มาแล้ว ใครจะไปรู้ว่าตะวันจะทำอะไรหรือเปล่า ระวังไว้ก่อนน่าจะดีกว่า
ทว่าเธอจะดูแลวีรากรได้ยังไงบ้างล่ะเนี่ย เจอกันกี่ทีมีแต่เขาต้องช่วยเธอทั้งนั้นเลย…
“ไงล่ะเรา ประชุมทั้งวันเส้นยึดเลยเหรอ” บันลือหันไปมองลูกสาวที่เดินเยื้องอยู่ทางด้านหลัง เธอกำลังยืดเหยียดสองแขนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อคลายความเมื่อยล้า
“เส้นสมองแหละค่ะที่ยึด” หญิงสาวหัวเราะ
พ่อของเธอมีธุรกิจหลากหลาย แบ่งเป็นหลายบริษัท ดังนั้นจึงใช้วิธีจ้างมืออาชีพมาบริหารแต่ละบริษัท ส่วนเธอก็ช่วยพ่อดูแลบริษัทโฮลดิ้งซึ่งเป็นบริษัทถือหุ้นใหญ่ในแต่ละบริษัทย่อย งานที่ถูกกระจายออกไปทำให้พวกเธอสองพ่อลูกไม่ยุ่งนัก ทว่ามันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการประชุมใหญ่ลากยาวทั้งวันอย่างวันนี้บ้าง
“จะว่าไปพ่อว่าหลังจากนี้ปีย่าน่าจะนั่งหัวโต๊ะคนเดียวได้แล้วนะ”
“คุณพ่อ หยุดเลยนะ ห้ามทิ้งปีย่าตั้งแต่ตอนนี้ คุณพ่อยังทำงานไหวยังไงก็ต้องช่วยปีย่าก่อน ห้ามกินแรง” ปริยากรฉวยแขนของพ่อไว้ทันใด
“เราน่ะใช้แรงงานคนแก่” บันลือโคลงศีรษะทั้งรอยยิ้มขัน “พ่อก็ต้องยังอยู่ช่วยปีย่าแน่ล่ะ แต่พอเห็นว่าลูกพร้อมจะรับช่วงต่อแล้วมันก็สบายใจน่ะ ใครจะไปรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นจริงไหม”
“ปีย่ารู้ว่าคุณพ่อต้องอยู่กับปีย่าอีกนานแน่นอน” หญิงสาวประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ก็ว่าอย่างนั้นแหละ” บุรุษสูงวัยหัวเราะ
ปริยากรเดินควงแขนพ่อไปจนถึงห้องทำงานใหญ่ คมสันที่อยู่หน้าห้องก็ส่งเสียงเรียกไว้
“ท่านบันลือ เอกสารสำคัญที่ต้องลงนามถูกรวมไว้บนโต๊ะทำงานแล้วนะครับ”
“อืม”
“คุณปีย่า มีดอกไม้ส่งมาด้วยครับ” เลขานุการหนุ่มใหญ่หันไปหยิบช่อดอกไม้ที่วางอยู่บนตู้มาส่งให้สาวสวย
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวรับช่อดอกไม้มา ไม่ได้ใส่ใจดูในทันทีว่าใครส่งมาเพราะปกติก็มีดอกไม้ถูกส่งถึงเธอเป็นระยะอยู่แล้ว จนกระทั่งเข้าไปในห้องทำงานแล้วผู้เป็นพ่อเอ่ยปากถามเธอจึงค่อยก้มลงหยิบการ์ดที่ห้อยอยู่กับช่อดอกไม้ขึ้นดู
“คนส่งมาก็…อ้อ ตะวัน”
“ตะวัน…ใช่ลูกชายของคุณหญิงโสภาหรือเปล่าน่ะ” บันลือเลิกคิ้ว
“ฮื่อ” ปริยากรพยักหน้ารับขณะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน พร้อมกันนั้นก็โยนช่อดอกทานตะวันแสนสวยในมือลงบนโต๊ะส่งๆ
คุณหญิงโสภาเป็นหญิงแกร่งที่ชีวิตคล้ายกับบันลือมาก คือทำธุรกิจและเข้าสู่แวดวงการเมือง แม้จะอยู่กันคนละฝั่งและไม่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งใหญ่โตเท่าพ่อของเธอ ทว่าคุณหญิงโสภาก็เป็นที่นับหน้าถือตาในวงการการเมืองไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายกับพ่อของเธอก็เคารพนับถือกันและกันดีด้วย ส่วนตะวันนั้นบันลือเคยเจอหลายหน แต่ก็ไม่ได้สนทนาวิสาสะกันมากนัก
“แล้วเขาจีบเราอยู่หรือไงน่ะ”
“เปล่าหรอกค่ะ…อืม ก็ไม่เชิงมั้ง คุณพ่อจำได้ใช่ไหมว่าเราเรียนมหา’ลัยเดียวกัน รู้จักกันมานานแล้ว แต่เขาเพิ่งมาวอแวกับปีย่าช่วงหลังๆ นี้เอง คงเริ่มเห็นว่าปีย่าเป็นตัวเลือกที่ดีแล้วมั้ง”
“ในอีกแง่…เขาก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับปีย่าเหมือนกันนะ” บันลือทิ้งน้ำหนักพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาฉายแววครุ่นคิด
“หา? หมายถึงตะวันน่ะเหรอ…ไม่เอาค่ะ ไม่เอาแน่ๆ” ดวงหน้าสวยส่ายไปมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทางสยดสยอง “อย่างที่บอกว่าปีย่ารู้จักกับตะวันมานานแล้ว ถ้าจะชอบกันคงคบกันไปนานแล้วล่ะ ส่วนเรื่องจะให้แต่งงานเพราะผลประโยชน์นี่ปีย่าก็รับไม่ได้เหมือนกัน ยิ่งกับผู้ชายอย่างตะวันแล้วด้วย เขาเป็นพวกหมาหยอกไก่ไปเรื่อย ต่อให้เขารักปีย่าจริงๆ จะเลิกนิสัยนี้ได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
“ที่พูดมาพ่อก็พอเข้าใจอยู่หรอก” บันลือหยุดนิดหนึ่งแล้วถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าพ่อจะบังคับให้เราแต่งงานเพื่อผลประโยชน์หรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ พ่อแค่เป็นห่วงปีย่าน่ะ สักวันหนึ่งพ่อจะไม่อยู่ ถ้าปีย่าเหลือตัวคนเดียวคงโดดเดี่ยวมากแน่ อย่างพ่อเองถ้าไม่มีปีย่าอยู่ก็คงแย่เหมือนกัน”
“ปีย่าเคยคิดเรื่องนี้นะ แล้วสุดท้ายมันก็วนกลับไปอยู่ในจุดที่ว่าถ้าไม่มีคนที่อยากอยู่ด้วยจริงๆ ก็ขออยู่คนเดียวดีกว่า เพื่อนปีย่าแต่งงานไปแล้วหลายคน ที่แฮปปี้ก็มี ที่เหงาและเครียดกว่าตอนอยู่คนเดียวก็เยอะ ปีย่าเลยคิดว่าอย่างน้อยขอให้ได้เลือกคนที่อยากอยู่ด้วยจริงๆ ไว้ก่อน แล้วจากนั้นจะเป็นยังไงก็ถือว่าได้เลือกเอง…คุณพ่อเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นคุณพ่อคงหาใครสักคนมาอยู่ด้วยไปแล้ว ไม่อยู่กับปีย่าแค่สองคนมาเป็นสิบปีตั้งแต่คุณแม่เสียแบบนี้หรอก”
“ใช่ พ่อถึงบอกว่าไม่ได้คิดจะบังคับลูกไง แต่ด้วยความเป็นพ่อ…ยังไงก็อดห่วงไม่ได้” บุรุษสูงวัยส่งยิ้มบางๆ ให้ลูกสาวอย่างจะให้เธอคลายใจว่าเขาไม่ได้คิดจะบังคับเรื่องคู่ครองจริงๆ
“ปีย่าวางแผนเอาไว้แล้ว ถ้าสุดท้ายต้องอยู่คนเดียวก็จะไปซื้อบ้านอยู่ข้างบ้านปิน ยังไงก็ไม่มีทางเหงาแน่นอน” หญิงสาวทุบกำปั้นลงบนฝ่ามืออีกข้างของตัวเอง ท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง
“เอาๆ” บันลือหัวเราะ จากนั้นก็หันไปหยิบแฟ้มเอกสารมาเปิดเพื่ออ่านก่อนลงนาม
ปริยากรย้ายสายตากลับไปหาช่อดอกทานตะวัน ในการ์ดนอกจากชื่อคนส่งแล้วก็มีข้อความ ‘สู้ๆ นะ’ กำกับไว้ด้วย มันคงเป็นผลจากการที่เมื่อบ่ายตะวันโทรมาหาแล้วเธอไม่ได้รับสายเพราะอยู่ในห้องประชุม พอเห็นสายไม่ได้รับจึงส่งข้อความกลับไปบอกว่าไม่สะดวกคุยเพราะมีประชุมทั้งวัน ไม่นึกว่าเขาจะส่งดอกไม้มาให้แบบนี้
ถ้าเป็นผู้ชายที่เธอพอจะนึกชอบอยู่บ้างมันก็น่าประทับใจน่ะแหละ แต่พอดีเป็นตะวัน…ถ้านับแค่สถานะเพื่อนต้องบอกว่าเขาไม่แย่ ทว่าในสถานะคนรักดูยังไงก็ไม่ไหว ช่วงหลังมานี้ที่เขาหันมาวอแวกับเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดอกทานตะวันช่อนี้จะเป็นสัญญาณยกระดับหรือเปล่า และยิ่งไม่รู้ด้วยว่ามันจะเกี่ยวกับการที่เขาได้เจอวีรากรเมื่อวันก่อนด้วยไหม
ยุ่งจริงๆ เลย…
หลังจากการประชุมที่ยุ่งยากยาวนานผ่านพ้นไป ปริยากรก็ออกมาเจอคู่ค้าตามกำหนด ขากลับต้องผ่านแถวบริษัท Archwin เธอเลยคิดว่าจะลองแวะไปดูเสียหน่อย แต่ก็ไม่ได้คิดจะโทรหาใครก่อน เพราะคิดว่าแค่ผ่านมาและมันกระทันหัน ถ้าไม่ได้เจอใครก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวยังไงเธอก็มีนัดกับวีรากรในอีกไม่กี่วันอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามแค่เดินถือถุงขนมตรงไปยังประตูทางเข้าตึก เธอก็สังเกตเห็นภาพอันน่าประหลาดใจผ่านทางประตูกระจกแล้ว…
จิรวดีมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ยังไง!
สองหนุ่มเจ้าของบริษัท Archwin หันมาโดยพร้อมเพรียงกันเมื่อเธอผลักประตูเข้าไป ทั้งสองดูแปลกใจพอกัน ขณะที่เธอส่งรอยยิ้มสดใสไปพร้อมกับคำทักทาย
“สวัสดีค่า ปีย่าผ่านมาเลยหิ้วขนมมาฝากอีกแล้ว ไม่นึกว่าจะเจอพี่ๆ ทั้งสองคนนะเนี่ย”
“สวัสดีครับน้องปีย่า ถือเป็นโชคดีของพวกพี่ใช่ไหม ไม่งั้นก็อดขนมเลย” อาชวินลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่
“โชคดีของปินด้วยค่ะ” ปริยากรหัวเราะเสียงใส จากนั้นก็หันไปส่งยิ้มให้จิรวดี “พี่ๆ ยุ่งกันอยู่ใช่ไหม งั้นปีย่ากลับเลยดีกว่า ไม่รบกวน…”
“เดี๋ยวครับ” วีรากรร้องเรียก พลอยลุกขึ้นจากโซฟาด้วยอีกคน “งานของน้องปีย่าเสร็จแล้ว ไหนๆ ก็มาแล้วจะคุยเลยไหม เผื่อจะใช้เวลาระหว่างนี้ปรับแก้และทำให้งานเร็วขึ้นได้”
“พี่วีทำงานเร็วจัง” เธอทำตาโต
“พี่มีแรงงานชั้นดี” วีรากรพยักพเยิดไปทางเพื่อนสนิทแบบหน้าตาย อาชวินกลอกตา ขณะที่หญิงสาวหลุดหัวเราะออกมา
“งั้นเดี๋ยวปีย่าหาที่รอแถวนี้แล้วกัน กำลังหิวเลย”
“น้องปีย่าจะไปร้านอาหารใช่ไหม พี่ไปด้วยเลยก็ได้”
“อ้าว แล้ว…” ปริยากรเหลือบมองจิรวดี
“วินอยู่” วีรากรบุ้ยใบ้ไปทางเพื่อนสนิทอีกรอบ
“ยังไงพี่ต้องเป็นคนทำงานให้คุณจ๋าอยู่แล้วครับ วีโดนน้องปีย่าจองตัวยาวไปแล้วนี่” อาชวินบอกแล้วหันไปยิ้มกับจิรวดี
ปริยากรสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าแม้จิรวดีจะส่งยิ้มตอบกลับให้สถาปนิกหนุ่ม ทว่าดวงตาของอีกฝ่ายกลับดูไม่ค่อยรื่นรมย์นัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่อีกฝ่ายเดินทางมาถึงออฟฟิศใหม่ของ Archwin วันนี้มีจุดประสงค์แอบแฝงหรือเปล่า
“วันนี้จ๋ามาคุยกับพี่ๆ เขาเรื่องคาเฟ่ใหม่เหรอ” พอส่งถุงขนมให้วีรากรเดินถือขึ้นไปข้างบนแล้ว ปริยากรก็เดินไปหย่อนกายนั่งบนโซฟาเดี่ยวตัวที่สถาปนิกหนุ่มครอบครองก่อนหน้านี้
“อืม”
“รอไปเที่ยวเลย งานพี่วินดีแน่ๆ อยู่แล้ว” ลูกสาวของบันลือพูดน้ำเสียงร่าเริง “เอ้อ ขอโทษด้วยนะที่มาขัดจังหวะการคุยงาน”
“จะทำไงได้ล่ะ เธอก็ไม่ได้ตั้งใจไม่ใช่เหรอ” จิรวดียกแก้วน้ำขึ้นจิบ
“อืม ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้เจอใครด้วยซ้ำ แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นโชคดีเจอทั้งคู่เลย” ปริยากรหันไปยิ้มให้อาชวินบ้าง “ถ้ายังไงขอยืมตัวพี่วีสักพักนะคะพี่วิน เดี๋ยวจะรีบปล่อยกลับมาช่วยงานพี่วิน”
“ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ ตามสบายเถอะ ตอนนี้วีเป็นของน้องปีย่าแล้ว อีกอย่างหมอนั่นก็เต็มใจแหละ พี่แน่ใจ”
หญิงสาวมองรอยยิ้มแฝงความนัยของสถาปนิกหนุ่มแล้วส่งยิ้มตอบกลับไป เธอแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องรู้จุดประสงค์แอบแฝงของจิรวดี พอเธอโผล่มาได้จังหวะแถมทำท่าว่าจะให้ความร่วมมือดี เขาก็รับโอกาสนี้ไว้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย
แต่เอาเถอะ เรื่องนี้จะโทษอาชวินก็คงไม่ได้ในเมื่อเธอเองก็คันมือคันไม้ตั้งแต่ตอนอยู่เขาใหญ่เสียด้วย
“น้องปีย่า พี่พร้อมแล้วครับ” วีรากรเดินกลับลงมาจากชั้นบนอีกรอบ คราวนี้มีข้าวของติดมือเพิ่มมาด้วย
“โอเคค่ะ” หญิงสาวฉวยกระเป๋าสะพายลุกขึ้นทันใด “งั้นปีย่าขอตัวเลยนะทั้งสองคน…พี่วีมีร้านแนะนำไหมคะ”
ประโยคหลังเธอหันไปพูดกับวีรากร…นี่ถ้าเขาเป็นพวกรุ่นพี่ที่เธอสนิทล่ะก็ ป่านนี้เธอคล้องแขนเขาเป็นอย่างน้อยแล้วแน่นอน แต่ก็นั่นแหละ เธอแค่จะก่อกวนจิรวดีเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้อยากหาศัตรูเพิ่ม
“น้องปีย่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
อาชวินได้ยินคำตอบไม่ชัดนัก เพราะปริยากรพูดหงุงหงิง ผิดจากปกติที่เธอมักจะพูดเต็มเสียงด้วยความสดใสมั่นใจ เขาเหลือบมองจิรวดีที่ยังคงจ้องตามสองหนุ่มสาว มุมปากยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนจะส่งเสียงออกไป
“เรามาคุยกันต่อเถอะครับ”
อย่างน้อยดูเหมือนว่าวีรากรจะไม่อึดอัดหรือลำบากที่ต้องทำงานกับปริยากรล่ะนะ
ปริยากรเลือกคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง จากนั้นก็สั่งของกินเล่นมาสองสามอย่าง เพราะความจริงแล้วเธอไม่ได้หิวอย่างที่ออกปากไว้สักนิด แค่พูดไปตามบทบาทที่ควรจะเป็นเท่านั้น
“เอาล่ะ ก่อนอื่น…จุดประสงค์จริงๆ ที่ปีย่าแวะมาเผื่อเจอพี่วีเพราะมีเรื่องอยากคุยค่ะ เกี่ยวกับตะวัน”
“ตะวัน?”
สถาปนิกหนุ่มมีทีท่างุนงงในทีแรก กระทั่งผ่านไปอึดใจจึงทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ หญิงสาวเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะนั่นแปลว่าเขาลืมตะวันไปแล้วโดยสิ้นเชิง
“ขอเท้าความก่อนนะคะ ปีย่ากับตะวันรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียน ตะวันเป็นพวกหมาหยอกไก่ไปเรื่อย ปีย่ารำคาญนิดหน่อยแหละ แต่ก็คบเขาเป็นเพื่อนมาเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลด้านคอนเน็กชั่น และสุดท้ายเขาก็ไม่ได้จีบปีย่าจริงจัง ปัญหาคือช่วงหลังๆ ตะวันดันนึกสนุกมาวอแวกับปีย่า เมื่อคืนวันงานเลี้ยงปีย่าเห็นว่าตะวันน่าจะไม่ถูกชะตากับพี่วีเท่าไหร่ ปีย่าเลยอยากมาบอกเอาไว้ว่าถ้าเกิดปัญหาอะไรกับ Archwin แบบแปลกๆ หรือเป็นไปได้ว่ามันอาจเกี่ยวกับตะวัน พี่วีบอกปีย่าได้เลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ”
“น้องปีย่าเชื่อว่าเขาจะเล่นงานพี่เพราะเข้าใจว่าเราสนิทกันใช่ไหม” วีรากรสบตากับอีกฝ่าย ตระหนักดีว่าคืนนั้นเธอใช้เขาเป็นไม้กันหมากลายๆ ทว่าตอนนี้เขาเองก็ใช้ประโยชน์จากเธออยู่บ้างเหมือนกัน
“อันที่จริงตะวันก็ไม่เคยมายุ่มย่ามกับผู้ชายคนอื่นที่อยู่รอบตัวปีย่านะ” สาวสวยวางแขนพาดลงบนโต๊ะคล้ายท่ากอดอก บนดวงหน้าปรากฏรอยยิ้มหวานหยด “แต่ใครจะไปรู้เนอะ ตะวันอาจหมั่นไส้พี่วีเป็นกรณีพิเศษก็ได้ แบบว่าหมั่นไส้ที่พี่วีหล่อกว่าอะไรงี้…ไม่รู้สิ ปีย่าว่าวันนั้นตะวันดูแปลกๆ กับพี่วีอยู่ คิดไปคิดมาปีย่าเลยอยากมาบอกพี่วีเผื่อไว้ กันไว้ดีกว่าแก้น่ะค่ะ มีเรื่องคราวปินกับพี่วินเป็นตัวอย่างมาแล้วด้วย”
ชายหนุ่มมองดวงหน้าสวยอีกครู่ ก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับ เดาว่าปริยากรจะต้องรู้เรื่องสมัยมหาวิทยาลัยบ้างไม่มากก็น้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณที่เธอมาพูดตรงๆ แบบนี้ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นโดยเกี่ยวข้องกับตะวันจริงๆ เขาจะได้ขอความช่วยเหลือจากเธอแบบไม่ต้องเกรงใจ
“ขอบคุณมากครับ”
“อันที่จริง…คืนนั้นปีย่าตั้งใจหาเรื่องให้พี่วีอยู่ด้วยกันต่อเพราะกำลังรำคาญตะวัน แต่พอหลังจากคืนนั้นปีย่าก็รู้สึกว่าตัวเองคิดน้อยและเห็นแก่ตัวไปหน่อย มันเสี่ยงจะทำให้ตะวันเขม่นพี่วี ดังนั้นมันเลยเป็นความรับผิดชอบของปีย่า และปีย่าต้องขอโทษพี่วีด้วยนะคะ ต่อไปปีย่าจะระวัง”
หญิงสาวไม่พูดเปล่าทว่ายกสองมือประนมไหว้ขอโทษด้วย วีรากรนึกไม่ถึง รีบยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกอึดใจกว่าจะตั้งตัวติด
“ถ้าเป็นปกติทั่วไป ต่อให้น้องปีย่าทำแบบนี้มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาหรอกครับ ถ้ามันมีปัญหาคนผิดก็ไม่ใช่น้องปีย่าอยู่ดี เหมือนคราวเรื่องของวินกับน้องปิน คนผิดก็ไม่ใช่น้องปิน”
“ขอบคุณนะคะที่ไม่ถือโทษโกรธกัน” ปริยากรฉีกยิ้ม
วีรากรใช้เวลาหลังจากนั้นในการนำเสนอความคืบหน้าของงานให้หญิงสาว เธอฟังไปกินไป ขณะเดียวกันหลายคำถามที่ส่งกลับมาหาเขาบ่งบอกว่าช่วงที่ผ่านมาเธอกลับไปทำการบ้าน หาข้อมูลเกี่ยวกับการก่อสร้างหมู่บ้านเพิ่มเติม หลังจากที่คราวก่อนเธอยังงุนงงในบางเรื่องจนต้องพึ่งพาให้เขาอธิบาย ถือว่าน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าที่ผ่านมาเขาเจอผู้บริหารที่ไม่รู้เรื่องในสิ่งที่จะทำบ่อยขนาดไหน ทำเอาพนักงานระดับปฏิบัติการรวมถึงเพื่อนร่วมงานอย่างเขาปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่เนืองๆ
“ขอปีย่าดูให้ละเอียดๆ แป๊บนึงนะคะ”
“ตามสบายเลยครับ” สถาปนิกหนุ่มยกแก้วน้ำมาจิบ จากนั้นก็ทิ้งแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้เงียบๆ เฝ้าดูคนที่เคี้ยวของว่างตุ้ยๆ ไปลากนิ้วดูภาพบนหน้าจอไป เรื่องที่เธอดูเอาการเอางานนั้นเขาเห็นมาตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว ทว่าการที่เธอขอโทษเขาอย่างตรงไปตรงมา กระทั่งถึงขั้นยกมือไหว้ถือเป็นเรื่องใหม่ที่เกินคาดอย่างแท้จริง
วีรากรเคยคิดอยู่หรอกว่าถ้าเป็นเพื่อนสนิทของปภาวรินท์นิสัยก็น่าจะไปทางเดียวกันไม่มากก็น้อย ปรากฏว่าเป็นไปตามนั้น เธอนิสัยดีและไม่มีวี่แววของ ‘ลูกคุณหนู’ แบบที่เขามักจะรำคาญ พูดง่ายๆ คือต้องบอกว่าเธอน่ารักกว่าที่คิดมากนั่นแหละ
“พี่วีคะ ตรงนี้ถ้าปรับสักนิดได้ไหมคะ จะส่งผลถึงพวกเรื่องกฎหมายไหม”
ชายหนุ่มยื่นหน้าไปดูบนหน้าจอที่อีกฝ่ายเลื่อนมาให้ ครั้นเห็นจุดที่เธออยากแก้ก็พยักหน้ารับ
“ถ้าตรงนี้แก้ได้ครับ ไม่ได้มีกฎหมายกำกับไว้ น้องปีย่าอยากแก้อะไร”
หญิงสาวอธิบายสั้นๆ แต่ชัดเจน เขาจึงสามารถตอบรับและหยิบปากกาขึ้นมาจดโน้ตได้ทันที
“ขอบคุณค่ะ คุยงานกับพี่วีนี่สบายจัง”
ริมฝีปากที่ถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีสวยคลี่ตัวเป็นรอยยิ้มสดใสส่งให้ และมุมปากของเขาก็ยกเป็นรอยยิ้มตามก่อนจะทันรู้ตัวเสียอีก…ทำงานกับลูกค้าน่ารักมันก็ดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ
“ไง วันนี้กลับเร็วนี่”
ทรงพลส่งเสียงทักเมื่อเห็นลูกชายก้าวเข้าสู่ตัวบ้าน วีรากรหอบอุปกรณ์การทำงานกลับมาด้วยเต็มสองมือ เขาเลิกคิ้วแปลกใจ ก่อนจะเลี้ยวไปยังชุดรับแขก
“เมื่อเย็นผมออกไปคุยงานกับลูกค้าน่ะ พอเสร็จก็กลับเลย” ชายหนุ่มหย่อนข้าวของในมือลงบนโซฟา “อ้อ มีขนมไข่ที่พ่อชอบด้วย…”
“หืม นี่แกซื้อของฝากมาให้พ่อด้วยเรอะ” ผู้เป็นพ่อทำท่าไม่เชื่อขณะมองถุงขนมไข่ที่อีกฝ่ายยื่นให้
“เปล่า มีคนให้มา…น้องปีย่าแวะมาที่บริษัทแล้วซื้อมาฝาก เห็นเป็นขนมไข่ที่พ่อชอบผมเลยแบ่งกลับมาด้วย”
“ว่าแล้วเชียว พ่อก็ตกใจหมด” ทรงพลหัวเราะขณะเปิดถุงดู แต่แล้วก็ทำท่านึกขึ้นได้ “แกดูสนิทกับลูกสาวคุณบันลือดีนะ”
“เขาเป็นเพื่อนน้องปิน” วีรากรหยุดนิดหนึ่ง “…เป็นเด็กดีด้วยนั่นแหละ ตอนแรกคิดว่าอาจทำงานด้วยลำบากกว่านี้ แต่เอาเข้าจริงก็ดีกว่าที่คิด”
“งั้นก็ดีแล้ว เห็นตอนแรกแกทำท่าเหมือนไม่ค่อยเต็มใจทำงานนี้เท่าไหร่ แกชอบเขาก็ดีแล้ว…โฮ่ หนูเขาซื้อขนมไข่ร้านดังมาด้วย ร้านนี้อร่อยมากเลยนะ”
คนเป็นลูกชายสะดุดหูกับประโยค ‘แกชอบเขาก็ดีแล้ว’ ทว่าพอหันไปพ่อก็เปลี่ยนเรื่องเสียแล้ว ครั้นเห็นอีกฝ่ายเริ่มแกะขนมไข่กิน ท่าทางถูกอกถูกใจ เขาจึงเปลี่ยนไปคุยอีกเรื่อง
“พ่อตามเรื่องครอบครัวน้องปีย่าไปถึงไหนแล้ว”
“มีข้อมูลใหม่มาเรื่อยๆ แต่ข้อมูลพื้นฐานก็ได้มาจากทางคุณบันลือ เขาไม่ไว้ใจใครสักคนจริงๆ นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิทแค่ไหนก็เถอะ”
“คงว่าไม่ได้ ในเมื่อพ่อก็เช็กแล้วว่าดูเหมือนจะมีคนพยายามทำร้ายน้องปีย่าจริงๆ”
“นั่นสิ” ทรงพลถอนหายใจออกมา
เขาหาข้อมูลจากเครือข่ายเส้นสายที่มี กระทั่งได้รับการยืนยันว่าบันลือไม่ได้หวาดระแวงเรื่องความปลอดภัยของลูกสาวไปเอง แม้ยากจะระบุว่าอีกฝ่ายเป็นคนใกล้ตัวจริงไหม แต่ในเมื่อพ่อของปริยากรเองยังสงสัยทุกคนรวมไปถึงเครือญาติ เขาเองก็คงต้องยึดตามนั้น
“แล้วในข้อมูลใหม่นั่นมีอะไรน่าสนใจบ้างไหม”
“น้าชายของหนูเขา คนที่แกเคยเจอน่ะ เท่าที่เช็กประวัตินี่เขาผลาญเงินไปกับการทำธุรกิจแล้วเจ๊งเยอะมาก แถมล่าสุดก็ทำท่าจะไปลงทุนกับธุรกิจแปลกๆ อีกแล้ว”
“ถ้าน้องปีย่าไม่อยู่ เขามีสิทธิ์ได้รับมรดกใช่ไหม” วีรากรทำท่าครุ่นคิด เรื่องเงินๆ ทองๆ ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุพื้นฐานของความบาดหมางสำหรับคนทุกกลุ่ม อย่าว่าแต่ญาติสนิท ต่อให้เป็นพ่อแม่พี่น้องหรือฝาแฝดก็ฆ่ากันได้เพราะเหตุนี้
“นั่นขึ้นอยู่กับคุณบันลือ…แต่สำหรับนายฉัตรชัยคนนี้คุณบันลือเขาออกปากเองว่าที่ยังพัวพันกันอยู่เพราะคำสั่งเสียของภรรยา มันยังไม่มีอะไรบ่งชี้หรอกว่าเขาคิดร้ายกับหลานสาว แต่ยังไงก็ต้องจับตาดูเอาไว้นั่นแหละ” ทรงพลสรุป “เออ แล้วแกจะขึ้นไปเขาใหญ่กับหนูปีย่าอีกทีเมื่อไหร่”
“วันศุกร์นี้ ค้างคืนนึง วันอาทิตย์น้องปีย่าต้องไปงานเลี้ยง” ช่วงเริ่มโครงการมีเรื่องให้เจ้าของต้องตัดสินใจหลายอย่าง ยิ่งเป็นโครงการที่ดำเนินไปในขั้นตอนไม่ค่อยปกติแบบนี้ด้วย ทว่าหลังจากนี้น่าจะหาข้ออ้างเพื่อให้ปริยากรไปเขาใหญ่ยากขึ้น…แต่นั่นก็อีกพักใหญ่ เอาไว้ค่อยคิดหาทางแก้ไขอีกที
“เดี๋ยวพ่อไปด้วย”
คำพูดของทรงพลทำเอาความคิดของลูกชายสะดุดทันใด ใบหน้าหล่อเหลาหันขวับไปทันที
“พ่อต้องไปดูพื้นที่ตรงนั้นด้วยตัวเอง อีกอย่างให้หนูปีย่ารู้จักพ่อไว้ในฐานะพ่อของแกด้วยก็น่าจะดี เผื่อวันไหนแกไม่อยู่”
วีรากรเข้าใจเหตุผลแรก ทว่าไม่ค่อยแน่ใจนักสำหรับเหตุผลหลัง…แต่เมื่อเหตุผลแรกดีพอเขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะโต้แย้งนอกจาก…
“พ่อหาเหตุผลไปอธิบายกับน้องปีย่าเองแล้วกันว่าทำไมถึงติดสอยห้อยตามไปด้วย ผมขี้เกียจคิด”
“เออ แกนี่จริงๆ เลย หาเหตุผลเก่งแค่ตอนจะช่วยวินเท่านั้นแหละ” ทรงพลส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา ปากกัดขนมไข่ไปพร้อมกัน “อย่างแกนี่ใครได้เป็นแฟนก็สบายไปตลอดชาติ ไม่ต้องระแวงเลยว่าจะโดนโกหก ปัญหาคือทำไมไม่มีผู้หญิงคนไหนเอาแกเป็นแฟนสักทีวะ”
“ผมไม่มีความจำเป็นต้องหาเหตุผลเก่ง” ชายหนุ่มลุกขึ้น รวบรวมข้าวของที่กองอยู่บนโซฟาอีกหน
“อย่างน้อยแกก็ควรหาแฟนนะ”
“เอาน่า ตอนนี้ไอ้วินก็มีน้องปินแล้วไง”
ทรงพลมองลูกชายที่เดินหอบข้าวของขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ก่อนจะส่ายหน้าไปมาอีกรอบด้วยความเหนื่อยหน่ายใจสุดแสน…พูดเรื่องแฟนทีไรวีรากรต้องหนีทุกทีสิน่า ไม่รู้จะโสดจนโลกแตกเลยหรือไง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.