X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย

ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทนำ-บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทนำ

พวกนางถูกไล่ต้อนไปที่ลาดเขา

ประตูหินติดกลไกที่โปร่งแสงบานนั้นปิดกั้นทางออกเพียงทางเดียวเอาไว้ เส้นทางเล็กๆ ที่อยู่ใจกลางลาดเขาทั้งแคบทั้งยาว และรายล้อมไปด้วยสัตว์เลื้อยคลาน ซ้ำยังมีสรรพเสียงแปลกประหลาดดังมาจากสถานที่ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

ที่กลางลาดเขาปราศจากเทียนไขให้แสงแม้เพียงสักเล่ม ได้แต่อาศัยแสงสลัวจากหินชิงหลิน ที่ฝังอยู่ในกำแพงหิน สะท้อนให้เห็นใบหน้าที่แตกตื่นและระแวดระวังภัยของพวกนางอย่างเลือนราง

ในดวงตามืดมัวของหญิงสาวที่เดินเข้ามานั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะพร่าเลือนไปหมด แต่กลับกระจ่างชัดหาใดเปรียบ

พวกนางมีกันทั้งหมดสิบห้าคน ต่างเป็นเด็กสาวที่มีอายุราวสิบสองถึงสิบหกปี ไม่ว่าแรกเริ่มพวกนางจะเข้ามาที่สำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิงด้วยวิธีใดก็ตามแต่ จะสมัครใจหรือว่าถูกบีบบังคับให้เข้ามา ทว่าจนถึงตอนนี้ในบรรดาพวกนางล้วนไม่เหลือใครเลยสักคนที่ร่างกายยังคงบริสุทธิ์

การไม่บริสุทธิ์เช่นนี้มิได้หมายความว่าพรหมจรรย์ของหญิงสาวถูกทำลายแต่ประการใด แต่พวกนางถูกใช้ร่างกายเป็นภาชนะสำหรับเพาะเลี้ยงหนอนกู่** เลือดเนื้อของพวกนางจึงแปดเปื้อนไปด้วยพิษ

ลาดเขาแห่งนี้เป็นไหเพาะหนอนกู่ตามธรรมชาติของสำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิง หนอนกู่และสัตว์มีพิษจำนวนมากมายมหาศาลเข้ามาครองพื้นที่และขยายพันธุ์กันเป็นเวลานาน จนกลายเป็นด่านสุดท้ายที่สำนักเหยี่ยนเหมินจะใช้ปรุงมนุษย์ให้เป็น ‘ราชินีหนอนกู่ตับพิษ’

ขอเพียงสามารถทนอยู่ในไหเพาะหนอนกู่แห่งนี้จนครบสามวัน และออกไปในสภาพที่ยังมีชีวิตอยู่ แสดงว่าการปรุงนั้นประสบความสำเร็จ แต่ทว่านางรู้ตัวดีว่านางทนต่อไปไม่ไหวแล้ว

มือน้อยๆ นุ่มนิ่มข้างหนึ่งกระชับมือของนางไว้แน่น นางลากเด็กหญิงปัญญาอ่อนที่เรียกขานนางเป็นพี่สาวมานานถึงหกปีออกวิ่งอย่างรวดเร็ว ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางเอาตัวเองยังไม่รอด แต่ก็ไม่อาจทิ้งอีกฝ่ายไว้ได้

อย่างไรเสียเด็กหญิงปัญญาอ่อนผู้นี้ก็อยู่เคียงข้างนางเป็นเวลาถึงหกปีเต็มๆ ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้นางรับรู้ถึงความอบอุ่นในช่วงเวลาตลอดสิบปีที่ถูกขังไว้ที่สำนักเหยี่ยนเหมิน เด็กสาวเป็นที่ยึดเหนี่ยวท่ามกลางความมืดและเล่ห์เหลี่ยมอุบาย อีกทั้งยังเป็นดอกไม้ดอกน้อยที่ผลิบานให้กับนางด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา

ไม่อาจทิ้ง

ต่อความงดงามเล็กๆ ในหัวใจที่ยังคงสู้ต่อเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าไม่อาจทิ้งได้เลย

เส้นทางเล็กแคบในลาดเขานั้นลึกลับซับซ้อน มีกลิ่นเหม็นคาวลอยมาเตะจมูก ทำให้นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงกระแสลมที่พัดผ่านมา

มีลมย่อมหมายความว่าจะต้องมีทางออกอีกทาง พวกนางจึงมุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ออกวิ่งไปตามเส้นทางที่โค้งขึ้นเพื่อหาจุดสูงสุด วิ่งจนหอบ ลมหายใจขาดห้วง เหงื่อออกโซมกาย ทรวงอกปวดแปลบแทบจะระเบิด แต่จะหยุดวิ่งก็ไม่ได้ เพราะเมื่อใดที่พวกนางหยุด บรรดาสัตว์ร้ายที่แฝงตัวอยู่ในมุมมืดก็จะคืบคลานเข้ามา

เมื่อพวกมันไล่ตามทันและเข้ามาโอบล้อม ก็จะหมดหนทางหนีและทำได้เพียงแค่เผชิญหน้าเท่านั้น

ในหูได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวของเหล่าเด็กสาวที่ถูกบีบให้หันมาสู้ก่อนจะตาย นางขบกรามแน่น กะพริบไล่น้ำตาที่เอ่อขึ้นมาไม่หยุด พยายามเพ่งมองทางตรงหน้าให้ชัด

และแล้วในที่สุด นางก็มองเห็นแสงริบหรี่ส่องลอดลงมาจากเบื้องบน

หนทางรอดนั้นอยู่ไม่ไกล เพียงชั่วอึดใจเดียวก็จะได้ออกไปให้พ้นจากที่นี่ แต่เด็กหญิงปัญญาอ่อนที่อยู่ข้างกายนางกลับสะดุดหกล้ม เด็กน้อยร้องไห้โฮด้วยความเจ็บปวด นางจึงปลอบโยนเด็กสาวเสียงเบา และฝืนแบกเด็กสาวร่างผอมขึ้นหลัง เมื่อลุกขึ้นได้ก็พบว่ามีสัตว์มีพิษฝูงหนึ่งปิดกั้นทางตรงหน้าเอาไว้

ไม่…ไม่ใช่ฝูงเดียว

พวกมันล้อมเข้ามาด้วยความรวดเร็วเหลือประมาณ

ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของคิมหันตฤดู ประจวบกับเป็นช่วงเวลาที่เหล่าสัตว์พิษนี้จะออกมาอาละวาด พวกมันถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับได้รวมกันเป็นกลุ่มก้อนไร้รูปร่างขนาดใหญ่ สร้างความสิ้นหวังและความมืดมนหดหู่มากเพียงพอที่จะบีบคั้นให้ผู้คนรู้สึกทรวงอกคับข้อง จนจุดตันเถียน ติดขัดขึ้นมา

ดูเหมือนหลังจากพวกมันจัดการกับผู้บุกรุกทั้งหมดแล้ว กลับพบว่ามีมัจฉาลอดร่างแหไปได้สองตัว อีกทั้งยังปล่อยให้ ‘มัจฉาทั้งสอง’ หลบรอดมาได้ไกลถึงเพียงนี้ สำหรับพวกมันที่ครอบครองลาดเขาจนกลายเป็นเจ้าถิ่นแล้ว ย่อมไม่ต่างอะไรจากการหยามเกียรติครั้งใหญ่ ดังนั้นที่เข้ามาโอบล้อมจึงไม่ได้มีเพียง ‘หนึ่งฝูง’ แต่เป็นสัตว์พิษทั่วทุกซอกทุกมุมของลาดเขาต่างพากันยกโขยงเข้ามา

นางกลัว แต่ว่ากลัวไปก็เท่านั้น นางไม่อยากจะร้องไห้ แต่น้ำตากลับหลั่งออกมาเอง เพราะเหตุใดเพียงต้องการมีชีวิตอยู่ถึงได้ช่าง…ช่างยากเย็นเช่นนี้…

เอาเถิด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เช่นนั้นข้าก็ขอเดิมพันด้วยลมหายใจที่ยังเหลืออยู่นี้ ลองกัดฟันเสี่ยงดู

ฝูงสัตว์มีพิษคืบคลานมาถึงและปิดเส้นทางทุกทิศอย่างมิดชิดจนไม่เหลือช่องว่างใดๆ นางจำได้เพียงว่าตนขบฟันแน่น แน่นเสียจนปวดร้าวไปทั้งกราม นางใช้ร่างกายตัวเองเป็นโล่กำบัง กดทับบนร่างน้อยที่ผ่ายผอมเกินควรเอาไว้ แล้วหลังจากนั้น…หลังจากนั้น…ทุกอย่างก็หายไป

เหลือเพียง…แสงสว่าง

สว่างเสียจนในศีรษะนางขาวโพลนราวกับหิมะ ราวกับว่าแสงจากท้องฟ้าที่นางโหยหาได้ระเบิดโพลงขึ้นมาในศีรษะนาง แสงนั้นสว่างไสวจนถึงที่สุด และแผดแสงสีเงินยวงปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่

แสงนี้…มาจากที่ใดกันแน่

เมื่อมองดูพื้นที่ไร้ขอบเขตรอบตัวนาง ที่ซึ่งปราศจากแสงลอดเข้ามา สิ่งที่สะท้อนเข้าคลองจักษุนางมีเพียงแสงโปร่งใสของหิมะ ทุกอย่างช่างพิสดารเหลือคณานับ กระทั่งนางคิดว่าตนเองได้จบชีวิตลงที่ลาดเขานั้นแล้ว

นางย่อมตายไปแล้วแน่นอน ไม่เช่นนั้น นางไม่มีทางได้ยินน้ำเสียงชราอันทุ้มต่ำและอ่อนโยนที่กำลังเรียกนาง

‘เสวี่ยหลานรัก…’

หัวใจปวดแปลบ จิตใจนางสั่นไหว

เป็นท่านยายที่กำลังเรียกนาง มีเพียงท่านยายเท่านั้นที่เรียกนางเช่นนี้ ความรู้สึกอันคุ้นเคยที่นางคะนึงหาสุดเปรียบปานนี้ กอปรเป็นสายอสนีบาตฟาดขึ้นในใจ ทำให้นางสั่นสะท้านจนชาไปทั่วสรรพางค์กาย

การตกตายจะทำให้ข้าได้อยู่เคียงข้างท่านยายหรือ หากเป็นเช่นนี้จริงย่อมไม่มีอะไรไม่ดี…

‘เด็กโง่ ตกตายอะไรกัน เจ้ายังมีชีวิตดีอยู่ ไม่รู้สึกตัวเลยหรือ’

เสียงแหบแห้งนั้นเป็นเฉกเช่นในความทรงจำของนาง อบอุ่นราวดวงอาทิตย์ แฝงความรักใคร่เอ็นดูอย่างไม่ปิดบัง นางยิ่งได้ฟัง หัวใจก็ยิ่งขมวดเป็นปม นางอยากหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน กระทั่งอดไม่อยู่ที่จะตะโกนออกมา…

‘ท่านยาย หลานคิดถึงท่าน คิดถึงมากๆ เลย! หลานคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย พวกท่าน…พวกท่านล้วนไม่อยู่แล้ว ข้าไม่อยาก…ข้าไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว ข้าเหนื่อยมาก…ท่านยาย หลานเหนื่อยมาก…เหนื่อยมาก…’ ท้ายที่สุดนางตะโกนจนหมดกำลัง

‘เหนื่อยแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะหยุด ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็อย่าลืมว่าต้องหายใจอย่างไร ยายเคยสอนเจ้ามาแล้ว เสวี่ยหลานรัก เจ้ายังจำวิธีการหายใจเข้าออกได้หรือไม่’

‘แต่ว่ามีชีวิตอยู่…สกปรกเหลือเกิน…’ นางร้องไห้ ‘ท่านยายข้าจะทำเช่นไรดี ข้าถูกทำให้สกปรกเหลือเกิน…’

‘ไม่เป็นไร เด็กดี ไม่เป็นอะไรหรอก ขอเพียงเจ้าไม่ลืมที่จะหายใจ ในชั่วลมหายใจเข้าออกทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไปเอง ฟังสิ ใครกันกำลังเรียกหาเจ้า ร้องไห้เสียใจถึงเพียงนั้น เจ้าตัดใจได้หรือ…’

‘ท่านยาย…’

เสียงแหบแห้งเปี่ยมความรักอันอบอุ่นนั้นเงียบหายไปไม่ตอบคำนางอีก นางทั้งแตกตื่นลนลานและรู้สึกเคว้ง พลันรับรู้ถึงคนที่อยู่ข้างกาย อีกฝ่ายเฝ้าเขย่าแขนนางอย่างไม่หยุดหย่อน

“พี่สาว…ฮือๆๆ พี่สาวรีบลุกขึ้น ฮือๆ…อย่าตายนะ…พี่สาวลุกขึ้น…”

เสียงแหลมแฝงความมุ่งร้ายของสตรีนางหนึ่งดังแว่วเสียดหู “ยังจะเรียกพี่สาวอีก เรียกเสียสนิทสนมจริงเชียว แท้จริงแล้วข้าก็ไม่อยากเห็นนางตายหรอกนะ ที่ข้าเป็นคนส่งนางเข้าไปในลาดเขา เพราะข้าเห็นว่าผู้ที่มีชาติกำเนิดไม่ธรรมดาเช่นนางน่าจะกระทำสิ่งนั้นได้” สตรีผู้นี้ทำเสียงคิกคัก

“กลายเป็นว่าข้าประเมินร่างกายที่มีสายเลือดจากเผ่าไป๋ของนางสูงไป อีกเพียงนิดเดียวก็จะทำสำเร็จแล้วแท้ๆ แต่พอมาถึงนางกลับถูกกักเอาไว้ในลาดเขาแห่งนี้”

“ฮือๆ…พี่สาวลุกขึ้น ลุกขึ้น…ห้ามตายนะ! ลุกขึ้น!” เด็กหญิงปัญญาอ่อนร้องไห้พลางพยายามพาดตัวอีกฝ่ายขึ้นบนหลังอันบอบบาง แต่พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่สำเร็จ เด็กสาวยังคงดึงดันที่จะลองอีกครั้ง พี่สาวที่เด็กสาวทั้งลากทั้งดึงยังคงไม่ขยับตัว

“เจ้านี่มันโง่เง่าสิ้นดี ฮึๆ นางหมดลมไปนานเท่าไรแล้ว ตั้งแต่ออกจากลาดเขามาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ ย่อมสิ้นใจไปนานแล้ว!” แล้วหยุดไปครู่หนึ่ง “ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นศพนางยังสมบูรณ์ดี ไม่โดนสัตว์พิษและหนอนกู่กลืนกินล่ะก็ ข้าคงคร้านที่จะพาออกมา เรื่องนี้ต้องมีสาเหตุเป็นแน่ แต่จะว่าไป…ฮ่าๆ ในเมื่อเห็นอยู่ว่านางตายไปแล้ว เช่นนั้นสาเหตุต้องมาจากตัวเจ้าเป็นแน่แท้” เสียงฝีเท้านั้นใกล้เข้ามา…

“นางปัญญาอ่อน เจ้าอยู่ในลาดเขาของสำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิงเป็นเวลาสามวันสามคืน นอกจากหกล้มหัวแตก ทำคางกระแทก ฝ่ามือและเข่ามีรอยถลอกปอกเปิกแล้ว แต่ก็นับว่าร่างกายยังสมบูรณ์พร้อมดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” น้ำเสียงที่แสร้งดัดจนอ่อนหวานชวนให้ผู้คนรู้สึกด้านชาที่หลังคอ “นั่นหมายความว่าการปรุงยาสำเร็จแล้ว มีเพียงเจ้าที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกลายเป็น ‘มนุษย์หนอนกู่’ ที่บริสุทธิ์และมีพิษร้ายแรงที่สุดของสำนักเหยี่ยนเหมิน เป็นทั้ง ‘มนุษย์หนอนกู่’ และ ‘มนุษย์โอสถ’ และโอสถอย่างเจ้าก็จะตกเป็นของเจ้าสำนักแต่เพียงผู้เดียว ฮึๆ เจ้าสำนักของเราต้องการเจ้าในการใช้พิษต้านพิษ นางปัญญาอ่อนเจ้าดีใจหรือไม่ เจ้ากำลังจะได้รับใช้เจ้าสำนักแล้ว มีเพียงเจ้าที่ได้รับเกียรติอันประเสริฐนี้”

ทันใดนั้นก็มีเสียงบางเบาของบุรุษพูดขัดขึ้นมา

“มัวแต่กล่าววาจาเหลวไหลอะไร ในเมื่อเจ้าแน่ใจว่านางคนนั้นหมดลมไปนานแล้ว ก็นำกลับไปทิ้งในลาดเขา หรือไม่ก็โยนลงผาอิงจุ่ยเสีย อย่าได้วางไว้ให้เกะกะลูกตา” เงียบไปครู่หนึ่ง “นำตัวนางปัญญาอ่อนคนนั้นมาให้ข้า”

“อาฉี่จะทำตามเดี๋ยวนี้ เจ้าสำนักใช้พิษต้านพิษครั้งนี้ ย่อมต้องอ่อนวัยลงถึงยี่สิบปี คงความหนุ่มฉกรรจ์เอาไว้ได้ เฮ้อ อาฉี่เพียงแค้นที่ตนเองไม่มีคุณสมบัติ ไม่สามารถเป็นโอสถให้เจ้าสำนัก ทำได้เพียงมองดูผู้อื่นได้รับการเชยชม เจ้าสำนักอย่าเพิ่งติดใจผู้ใดล่ะ ไม่เช่นนั้น…ไม่เช่นนั้น อาฉี่จะหึงหวงแล้ว” น้ำเสียงที่สตรีนางนั้นตอบคำกับเจ้าสำนักเหยี่ยนเหมิน ฟังดูไม่ใช่วาจาที่บริวารจะกล่าวกับผู้เป็นนายสักเท่าใดนัก แต่กลับแฝงความสนิทชิดเชื้อ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาของทั้งสอง เจ้าสำนักทำเสียงขึ้นจมูกราวกับหมดความอดทน สตรีนางนั้นจึงยื่นมือไปจับกุมคน

เสียงร้องของเด็กหญิงปัญญาอ่อนแหลมสูงขึ้นในทันใด ฟังดูเศร้าโศกโหยหวน “ไม่ๆ อ๊า…ไม่! พี่สาวลุกขึ้น ลุกขึ้น! พี่ลุกขึ้น! ลุกขึ้น! อ๊า…”

“ช่างหน้าไม่อายนัก!”

เสียงฝ่ามือฟาดกราดดังกังวานติดต่อกันอยู่หลายครั้ง ตบตีจนกระทั่งเสียงกรีดร้องขัดขืนแหลมเล็กแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร่ำไห้ครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์

‘ฟังสิ ใครกันเรียกหาเจ้า ร้องไห้เสียใจถึงเพียงนั้น…’

หูทั้งสองนั้นได้ยิน แต่เปลือกตากลับหนักอึ้งราวพันชั่ง ทำอย่างไรก็ลืมตาไม่ขึ้น หายใจสิ หายใจเข้าหายใจออก ขอเพียงหายใจ แล้วทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไป

นางถูกทำให้เปื้อนมลทิน พวกนางต่างก็ถูกทำให้เปื้อนมลทิน ทั้งที่ควรจะได้ใช้ชีวิตอันงดงามในวัยเยาว์ กลับถูกกักขังไว้ในลาดเขาเช่นนี้

ตลอดทางที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เสียงกรีดร้องโศกเศร้ายังคงไม่หยุด เสียงร้องไห้ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท ราวกับมีน้ำแข็งและถ่านไฟคุอยู่ในลำไส้ นางรู้สึกทั้งร้อนและหนาวในช่องท้อง เจ็บปวดทรมานครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับจะทำให้ร่างนางแหลกลาญทั้งเป็น

แหลกลาญทั้งเป็น…ย่อมหมายความว่านางยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น…นางจึงไม่อาจลืมที่จะหายใจ

“เจ้ายังไม่ตาย!” สตรีนามว่าอาฉี่ตกใจร้องเสียงหลง

“พี่สาว…ลุกขึ้น…พี่สาว…”

นางหันมองไปตามเสียงเรียก เห็นเด็กสาวร่างน้อยที่อายุยังไม่ครบสิบสามปีดีถูกชายผู้หนึ่งกดทับไว้ใต้ร่างอย่างหยาบช้า เสื้อผ้าไม่ปกปิดร่างกาย ตามใบหน้ามีแต่รอยแผล เด็กสาวร่างผ่ายผอมนั้นดูราวกับว่าแม้ต่อให้อีกฝ่ายจะหักแขนขาทั้งสี่ของตนออกก็จะยังคงต่อสู้ขัดขืนต่อไป

ไม่นะ…ไม่!

หัวใจของนางดั่งถูกของมีคมเชือดเฉือน เลือดลมพลุ่งพล่าน ความเจ็บปวดและโทสะระเบิดออกมาจากส่วนลึกในจิตใจ ปัง! เปรี้ยง…

“เจ้าสำนัก! เจ้า เจ้าทำอะไรลงไป…อ๊า” คำถามอย่างแตกตื่นของสตรีนางนั้นพลันขาดหาย และล้มลงในทันใด ไม่เพียงสตรีผู้นั้นที่ล้มลงกับพื้นจนลุกไม่ขึ้น เจ้าสำนักที่กำลังประพฤติมิชอบก็เข่าอ่อนล้มลงบนตั่ง เครื่องหน้าบิดเบี้ยว เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ร่างกายที่เปลือยครึ่งท่อนบิดเร่าไปมา

นางไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัด ทว่านางพอจะตระหนักได้คร่าวๆ ว่าเป็นที่ร่างกายของนางเองที่สร้างความเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้นมา แต่เอาเถิด เปลี่ยนก็เปลี่ยน อย่างไรเสียนางก็ยังมีชีวิตอยู่!

นางยังช่วยคนที่นางใส่ใจไว้ได้ จะแปดเปื้อนมากขึ้นก็ไม่เป็นไร

นางลุกขึ้นเดินโซเซ พลางแบกเด็กสาวตัวน้อยที่พลอยหมดสติไปขึ้นมาบนหลัง เพื่อที่จะหนีออกไปจากที่แห่งนี้

ตอนอายุหกขวบนางถูกจับมาที่นี่ โดนกักขังอยู่ในสำนักเหยี่ยนเหมินเป็นเวลาสิบปี มีหลายครั้งหลายคราที่นางอยากจะหนีไป เวลาสิบกว่าปีมานี้นับว่าไม่สูญเปล่า นางได้สำรวจภูเขาซวงอิงแหล่งซ่องสุมของสำนักเหยี่ยนเหมินแห่งนี้ครบทุกซอกทุกมุมมาตั้งแต่แรกแล้ว

ถ้ากระโดดลงจากยอดผา จะยากเย็นเพียงใดก็ยังพอมีหนทางรอด เนื่องจากประตูบานใหญ่น้อยของสำนักเหยี่ยนเหมินมีอยู่ทั่วทั้งภูเขาซวงอิง และมีการเฝ้าทางเข้าออกอย่างเข้มงวด ดังนั้นการเดินลงไปก็เหมือนการพาตนเองไปติดร่างแห จึงทำได้เพียงเดินขึ้นไปเท่านั้น

เดินขึ้นไป

เมื่อปีนขึ้นไปถึงยอดผาอิงจุ่ยซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุด แล้วกระโดดลงมาจากพื้นที่สูงในช่วงฤดูร้อนที่มีน้ำหลากเกิดขึ้นเป็นประจำ กระแสน้ำของลำธารแคบๆ ที่อยู่ใต้หน้าผาจะเชี่ยวกรากเป็นพิเศษ…

ดังนั้นเมื่อตกลงไปอยู่ท่ามกลางกระแสธารที่ไหลเชี่ยวและขุ่นข้น ขอเพียงไม่ลืมที่จะคงสติให้แจ่มชัดเอาไว้ แล้วปล่อยให้กระแสน้ำพัดพาพวกนางไปให้ไกลแสนไกล อาจจะ…อาจจะมีโอกาสรอดชีวิตก็เป็นได้!

ในช่วงเวลานี้นางร้องขอไม่มาก ขอเพียงแค่ตลอดเส้นทางที่จะปีนขึ้นไปบนหน้าผานี้ไม่มีผู้ใดพบเห็นพวกนางก็พอ

“พี่สาวลุกขึ้น…ลุกขึ้นมา…ห้ามตาย…”

ดรุณีน้อยที่นอนอยู่บนหลังนางยังไม่ทันรู้สึกตัวดีก็กล่าวละเมอเลอะเลือน ทำให้นางน้ำตาคลอเบ้า รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งอยากจะโผนทะยานออกมาจากภายใต้พื้นผิว

นางไม่ลืมที่จะหายใจเข้าออกสุดกำลัง เพื่อข่มความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นเอาไว้

นางเอ่ยรับคำเสียงเบา “ได้ ไม่ตาย เราทั้งสองจะต้องมีชีวิตรอด ไม่ตายหรอก…พี่สาวฟื้นขึ้นมาแล้ว เราจะหนีไปด้วยกัน รอดไปด้วยกัน”

ครานี้สวรรค์เมตตาพวกนางในที่สุด ตลอดทางที่ขึ้นไปบนผาอิงจุ่ยไร้ซึ่งอุปสรรคขัดขวางใด ไม่พบพานผู้คนแม้เพียงครึ่งเงา ทว่าเบื้องล่างภูเขาซวงอิง…ดูเหมือนจะโกลาหลวุ่นวายไปหมด

นางรู้สึกเหมือนมีผู้คนมากมายวิ่งลงไปยังเชิงเขา เสียงอาวุธและเสียงตะโกนกราดเกรี้ยวแว่วมาให้ได้ยิน นางไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่ได้เปลืองแรงเพื่อขบคิดให้กระจ่าง นางรู้เพียงแต่ว่าที่เบื้องล่างภูเขาซวงอิงยิ่งวุ่นวายมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น

ปล่อยให้คนเหล่านั้นวุ่นวายต่อไป

ยิ่งวุ่นวาย ก็จะยิ่งไม่มีผู้ใดมาสนใจเส้นทางพวกนางทั้งสอง และทำให้พวกนางหลบหนีได้สำเร็จ

“จากนั้น พี่สาวก็จะดีกับเจ้า”

“พี่สาว…พี่สาวลุกขึ้น…ฮือๆ …ลุกขึ้นมา…”

ดูเหมือนเด็กสาวร่างผอมบางบนหลังยังคงฝันเลอะเลือน นางได้ยินแล้วได้แต่โค้งปากเป็นรอยยิ้ม ปาดน้ำตาทิ้ง จากนั้นจึงขึ้นไปยืนบนผาอิงจุ่ยเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่โปร่งโล่ง

“ไม่ร้องนะ พอหนีออกไปได้แล้ว พี่สาวจะทำขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมให้เจ้ากิน เป็นขนมที่ท่านแม่ของพี่สอนมา และท่านพ่อกับท่านยายชอบกิน พี่ยังจำได้ จำได้ชัดเจน…พี่สาวทำให้เจ้ากินดีหรือไม่”

“ฮือๆๆ…” เดิมเสียงร้องไห้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นอ่อนแรงลงจนกลายเป็นเสียงเดียว “ดี..” รอยยิ้มที่มุมปากนางหยั่งลึก ดรุณีน้อยที่นางแบกอยู่ไม่กล่าววาจาใดอีก จากนั้นนางก็กระโดดลงมาจากผาอิงจุ่ย

บทที่ 1

ครึ่งปีให้หลัง ช่วงเวลาที่หนาวที่สุดของเหมันตฤดู

เมืองหลวงของแคว้นเทียนเฉามีหิมะตกปรอยๆ ติดต่อกันหลายวัน แม้จะไม่ได้ตกหนักมากนัก แต่ปริมาณหิมะในหลายวันมานี้รวมแล้วก็มากจนน่าตกใจ หลายพันหมื่นหลังคาเรือนล้วนมีหิมะหนาเตอะ แม้แต่ต้นสนเขียวขจีในสวนของคฤหาสน์คหบดียังต้องครอบตาข่ายไว้ เป็นการดูแลรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้หิมะกดทับกิ่งก้านเสียหาย

แต่ต้นสนเก่าแก่สองต้นที่ขึ้นอยู่ข้างนอกตรอกผินหมินของเฉิงเป่ยไม่ได้รับการดูแล

ลำต้นที่หยาบหนาและใบเรียวแหลมงอกงามขึ้นโดยไม่มีผู้ใดตัดแต่ง อาจเป็นเพราะว่าตรอกผินหมินนี้เป็นทำเลที่ดี ต้นสนแก่ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติจึงดูไม่เหมือนต้นสนเก่าแก่ และไม่ได้ตระหง่านอย่างที่นักกวีมักจะบรรยายในโคลงกลอน เพียงหยัดยืนลำต้นตามมีตามเกิดอยู่ตรงนั้น กิ่งก้านที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบนักแฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายของความเกียจคร้านและความเฉื่อยชา

ต้นสนเก่าแก่ที่ดูไร้ชีวิตชีวาสองต้นนี้เป็นเหมือนทวารบาลซึ่งยืนต้นอยู่สองข้างทางซ้ายขวาของเพิงร้านขนมแป้งย่าง

ร้านแป้งย่างเฉียวจี้เปิดกิจการที่เฉิงเป่ยมาได้สี่สิบกว่าปีแล้ว เจ้าของร้านขายแป้งย่างอยู่ทางเหนือมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นหนุ่มน้อยวัยยี่สิบ ขายไปขายมาก็กลายเป็นท่านอาเฉียว ขายต่อไปก็เป็นท่านลุงเฉียว จนถึงทุกวันนี้ผู้คนต่างเรียกกันติดปากว่าตาเฒ่าเฉียว

หลายวันก่อนโรคจากพิษเย็นสั่งสมที่ขาของตาเฒ่าเฉียวกำเริบ เขาปวดเข่าสองข้างจนลุกเดินไม่ไหว บุตรชายคนเดียวก็ไปค้าขายอยู่ที่อื่น ไม่ได้คิดจะรับช่วงต่อกิจการทางนี้ เห็นทีร้านแป้งย่างนี้คงจะต้องปิดกิจการเสียแล้ว แต่ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนร้านจะเปิดใหม่อีกครั้ง

ในพื้นที่ร้าน ทางต้นสนฝั่งขวายังคงเปิดกิจการขายแป้งย่างดังเดิมโดยมีคู่แม่สามีลูกสะใภ้ของสกุลเฉียวเป็นคนดูแล โดยมีตาเฒ่าที่ถือไม้เท้าในมือคอยช่วยคุมงานให้ ส่วนทางต้นสนฝั่งซ้ายมีร้านขายโจ๊กเพิ่มขึ้นมา

ผู้ที่อาศัยพื้นที่ร้านแป้งย่างเฉียวจี้ขายโจ๊กเป็นสตรีสองนาง คนที่โตกว่าก็ไม่ได้โตกว่ามากนัก มีใบหน้างามหมดจด คิ้วและดวงตาอ่อนหวานอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี ส่วนน้องสาวร่างเล็กที่อยู่ด้วยกันนั้นอ่อนวัยกว่า ได้ยินว่าเพิ่งจะอายุสิบสามปี แต่รูปร่างนั้นกลับผอมบางเกินไป อีกทั้งใบหน้าที่ดูอ่อนวัยมาก มองอย่างไรก็เหมือนเด็กอายุสิบขวบ

ลักษณะของเด็กหญิงผู้นั้นถอดแบบอย่างหญิงงามโดยแท้ เครื่องหน้าทั้งห้างามหมดจดยิ่งกว่าพี่สาวมากนัก แต่ทว่าน่าเสียดาย กลับเป็นเด็กที่เกิดมาสติไม่สมประกอบ เวลาปกติทั่วไปจะนิ่งเงียบงันไม่กล่าววาจาใด แต่พอโกรธและหัวรั้นขึ้นมาก็จะกล่าววาจาเดิมซ้ำซากไม่หยุดหย่อน

ภายนอกร้านหิมะยังคงตกปรอยๆ รุ่งอรุณที่ท้องฟ้าสว่างเจิดจ้าก็ยังเหน็บหนาวเป็นพิเศษ หนาวจนบรรดาคนผ่านทางที่ตื่นแต่เช้าปลายเท้าจับน้ำแข็ง นิ้วมือก็เหน็บชา แต่พอพบเห็นควันเป็นก้อนๆ ลอยออกมาจากร้านแป้งย่างเฉียวจี้ ทั้งยังได้กลิ่นหอมกรุ่นของอาหาร แม้ปากท้องจะบอกว่าไม่หิวแต่ก็ยังอยากอาหารขึ้นมา ทั้งในและนอกร้านมีโต๊ะทั้งหมดสิบตัว และทุกที่นั่งล้วนมีผู้คนจับจองจนเต็ม

“ตาเฒ่าเฉียว ฝีมือนวดแป้งกับย่างแป้งของเจ้า พวกข้าว่าสะใภ้ใหญ่ก็หัดได้ดีอยู่ ทางนี้ยังมีท่านยายเฉียวคอยดู เจ้าก็วางงานบ้าง มานั่งให้ขาได้พักดีกว่า” ลูกค้าเฒ่านั่งลงที่ด้านข้างของเพิง และอาศัยไอร้อนเพื่ออบอุ่นร่างกาย เขากัดแป้งย่างร้อนๆ คำโตไปพลาง ชวนเจ้าของร้านคุยไปพลาง

ป้าเฉียวที่ได้รับคำชมจากลูกค้าเฒ่าเงยหน้าขึ้นมายิ้ม สองมือยืดแป้งย่างในถาดร้อนไม่หยุด

ลูกค้าประจำคนหนึ่งก็เอ่ยว่า “แป้งย่างของร้านเฉียวจี้อร่อยดี ยิ่งเคี้ยวยิ่งหอม หากกินแต่แป้งย่างอย่างเดียวคอจะแห้งเอา ตอนนี้มีขายโจ๊กแล้ว แป้งย่างแผ่นหนึ่งโจ๊กชามหนึ่งกำลังดี ทั้งราคาถูกและอิ่มท้อง”

“นี่ไม่ใช่โจ๊กธรรมดา มันเรียกว่า ‘โจ๊กขาวห้าสหาย’ ชื่อนี้มีที่มาด้วย” ท่านยายเฉียวเลื่อนเก้าอี้ให้สามีเฒ่าของตัวเองนั่ง แล้วหันกลับไปนวดแป้งต่อ ใบหน้าชราที่เต็มไปด้วยร่องรอยของวันเวลาเผยรอยยิ้มจริงใจออกมา “โจ๊กนี้ดูเหมือนจืดชืดไม่ปรุงแต่ง ทว่ากินแล้วกลับอ่อนนุ่มละมุนลิ้น วัตถุดิบกับขั้นตอนการทำก็พิถีพิถันมาก ทั้งยังสามารถ…สามารถ…หือ? หุยเสวี่ย สามารถอะไรนะ” ดวงตาฝ้าฟางเล็กๆ เพ่งมองไปยังแม่นางที่ยืนถือทัพพีคนหม้อเหล็กทางฝั่งร้านขายโจ๊ก

ดวงหน้างามของเจียงหุยเสวี่ยเผยรอยลักยิ้ม นางตอบคำท่านยายเฉียวและลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่มองมา

“สามารถเพิ่มความอยากอาหาร ดีต่อปอดและตับ แล้วก็ทำให้ลำไส้ชุ่มชื้นเจ้าค่ะ”

ท่านยายเฉียวผงกศีรษะ “ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้นจริงๆ ก่อนหน้าจะเปิดขายโจ๊ก พวกข้าทั้งบ้านไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กต่างลองมาแล้ว ทั้งยังกิน ‘โจ๊กขาวห้าสหาย’ หนึ่งชามทุกเช้ามาตลอดครึ่งเดือน ได้ผลดีมาก โดยเฉพาะปั้งโถวของบ้านข้า อายุได้แปดขวบแล้ว กินข้าวชามเดียวใช้เวลาเป็นครึ่งชั่วยาม* กินได้น้อยจนน่าสงสาร แต่ว่าตั้งแต่ได้กิน ‘โจ๊กขาวห้าสหาย’ กระเพาะลำไส้ก็แข็งแรงขึ้น ผ่านไปไม่กี่วันก็รู้สึกดีจนลิงโลดได้”

ลูกค้าเฒ่าร้อง “เฮอะ” คำหนึ่ง ทันใดนั้นก็ตบเข่า แล้วหัวเราะพลางกล่าวว่า

“มิน่าเล่า คนในรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกข้าส่วนมากต้องอาศัยการค้าขายหาเลี้ยงชีพ ต้องกินให้อิ่มท้องถึงจะทำงานได้ แล้วยังต้องรักษาเวลา ยิ่งทำได้ไว ทำได้มากเท่าใด ก็ยิ่งหาเลี้ยงลูกหลานได้มากเท่านั้น เวลางานยุ่งขึ้นมาจริงๆ แม้แต่เวลากินข้าวก็ยังไม่อยากจะเสีย สวาปามได้ไม่กี่คำก็ต้องรีบจัดการกินแป้งย่างชิ้นใหญ่ให้หมด ทำเอากระเพาะกับลำไส้ย่ำแย่ ที่น่าปวดหัวก็คือ…ขนาดจะขับถ่ายยังต้องเบ่งแล้วเบ่งอีก แทบร้องเรียกท่านปู่ท่านย่า แต่ที่น่าแปลกคือเมื่อวานนี้พวกข้าดันถ่ายได้ถ่ายดี วันนี้มาได้ยินท่านยายพูด นับว่าได้พบสาเหตุแล้ว หลานชายท่านกินโจ๊กจนอยากอาหาร ส่วนพวกข้าก็กินโจ๊กจนท้องไส้ไหลลื่น”

วาจาของลูกค้าเฒ่าผู้นี้ทำให้ผู้คนต่างหัวเราะ แม้แต่แม่นางที่กำลังตั้งใจต้มโจ๊กก็ยังหยักมุมปากขึ้น

ทางเลี้ยวลดคดเคี้ยวจนกลายเป็นตรอกขนาดยาวในเฉิงเป่ยแห่งนี้คือที่ที่ชาวบ้านในเมืองหลวงเรียกจนติดปากว่า ‘ตรอกผินหมิน (ตรอกผู้ยากไร้)’ ตรอกนี้มีนามเดิมแสนไพเราะว่า ‘ตรอกซงเซียง (ตรอกหอมกลิ่นสน)’

ที่ผู้คนเรียกว่า ‘ตรอกผินหมิน’ นั้นมีสาเหตุ เนื่องจากเฉิงเป่ยแห่งนี้เป็นที่ที่คนยากจนข้นแค้นมารวมตัวอยู่ด้วยกัน และตั้งแต่ราชวงศ์เทียนเฉาก่อตั้งเป็นต้นมา มักมีเหตุอุทกภัยและภัยแล้งที่ทำให้ชาวบ้านต้องอพยพหลบหนี ผู้ลี้ภัยที่หนีเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเมืองหลวงในตอนแรกต่างถูกกวาดต้อนให้มาลงหลักปักฐานที่เฉิงเป่ย เมื่อมีคนจำนวนมากพอที่จะตั้งถิ่นฐานได้แล้วก็ต้องเริ่มต้นตั้งตัวกันใหม่ จากที่เคยมีก็กลายเป็นไม่มี จำต้องลำบากมากมายกว่าจะได้เงยหน้าขึ้นใหม่อีกครั้ง

ที่น่ายินดีก็คือแม้จะได้รับความยากลำบาก แต่ก็ทนกันมาจนทุกอย่างเจริญรุ่งเรืองขึ้น หลายปีมานี้แคว้นเทียนเฉา หนึ่งปราศจากศึกสงคราม สองไร้ซึ่งภัยธรรมชาติ ผู้คนในตรอกผินหมินของเฉิงเป่ยที่ทนทำงานลำบากตรากตรำในอาณาเขตเล็กๆ ของตัวเอง เริ่มใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้มานานแล้ว แม้ว่าชารสหยาบอาหารรสจืดจะสู้สำรับอาหารในบ้านคหบดีไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าได้กินอิ่มท้อง

เพียงแต่ชาวบ้านเหล่านี้ทำงานหนักเพื่อค้ำจุนทั้งครอบครัว ทั้งใช้แรงงาน แบกหามขนส่งของมากมาย คนที่ใช้ถ้อยคำหยาบโลนไม่ปั้นแต่งมีอยู่มาก เมื่อมีวาจาอย่าง ‘ถ่ายได้ถ่ายดี’ หรือ ‘ท้องไส้ไหลลื่น’ ชายฉกรรจ์ที่ทำงานแบกหามหลายคนก็อดที่จะหัวร่อเสียงดังและต่อปากต่อคำไม่ได้

“พอตาแก่อย่างเจ้าพูดขึ้นมา ข้าก็เริ่มอั้นหูรูดไม่อยู่แล้ว” พลางทำท่ากุมก้น

“มารดามันสิ เจ้าก็เลิกพูดได้แล้ว ข้าชักรู้สึกว่าลำไส้รัดตัวเร็วมาก อีกนิดเดียวก็จะออกมาแล้ว อา…ไม่ได้ๆ ตาเฒ่าเฉียว ขอยืมใช้ส้วมบ้านเจ้าหน่อย” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งแน่บไปที่หลังร้าน

หัวข้อสนทนาที่ไม่ไพเราะเช่นนี้ ผู้คนที่รายล้อมนั่งกินอาหารอยู่รอบเพิงที่ปล่อยควันอุ่นและหอมกลิ่นอาหารต่างก็ไม่ถือสาแม้แต่น้อย ยังคงนั่งกินดื่มกันต่อ และหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

ทันใดนั้น…

“จ่ายเงิน” เด็กหญิงร่างแบบบางและหัวรั้นร้องด้วยเสียงแหบแห้ง

เมื่อทุกคนได้ยินก็มองไปที่โต๊ะทางทิศตะวันออกที่อยู่ไกลจากเพิงที่สุดนั้น มีชายฉกรรจ์สามคนนั่งอยู่ ตอนนี้ทั้งสามกำลังจะลุกจากไป แต่เด็กหญิงปัญญาอ่อนที่ช่วยพี่สาวเก็บโต๊ะเก็บชามที่คนกินเสร็จแล้วอย่างสงบเงียบเรียบร้อยมาตลอดกำลังดึงชายเสื้อชายฉกรรจ์คนหนึ่ง และทำแก้มป่องจ้องฝ่ายตรงข้าม

“พวก…พวกเจ้าจ่ายเงิน โจ๊กหนึ่งชามห้าอีแปะ แป้งย่างหนึ่งแผ่นห้าอีแปะ พี่สาวเคยสอนโม่เอ๋อร์ โจ๊กหกชามกับแป้งย่างสามแผ่น…คิด คิดเป็นสี่สิบห้าอีแปะ พวกเจ้าจ่ายเงิน จ่ายเงินมา” เด็กสาวพูดพลางกระทืบเท้าอย่างแรง

“เฮอะ หาได้ยากนัก มีคนกล้าทวงเงินกับบิดาด้วย?” ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ที่สุดในบรรดาสามคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น สองแขนถือถ้วยชามไว้ที่ระดับอก ใบหน้าส่อแววดุร้าย

ฉากเบื้องหน้าทำให้บรรดาผู้คนที่หัวเราะกันอย่างครื้นเครงเงียบเสียงลงทันใด ราวกับฝูงนกกระจิบเชื่องที่หดตัวด้วยความเหน็บหนาว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

ชายฉกรรจ์ทั้งสามคนนี้เป็นคนดูแลคฤหาสน์ของเจ้าของที่ดินจ้าวชิ่งไหล

คำว่า ‘คนดูแลคฤหาสน์’ นั้นฟังดูดี แต่ความจริงก็คือนักเลงที่จ้าวชิ่งไหลเลี้ยงไว้

คนแซ่จ้าวอาศัยฐานะร่ำรวยเพื่อข่มเหงผู้อื่น โดยไล่ซื้อร้านรวงในถนนหลายสายของเฉิงเป่ย แม้แต่ในตรอกผินหมินนี้ก็ยังมีที่ดินบางส่วนเป็นของเขา มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไปพึ่งพาอาศัยเขาและทำงานให้ตามโรงน้ำชา ร้านอาหาร บ่อนพนันและโรงรับจำนำ

จ้าวชิ่งไหลมีอำนาจมากในเฉิงเป่ย และทำตัววางอำนาจบาตรใหญ่มาตลอด คนที่เป็นบริวารจึงวางโตเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์* เหตุการณ์เช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้โดยทั่วไป ผู้คนหากเลี่ยงได้ก็พยายามเลี่ยงไม่กล้าทวงความเป็นธรรม เพียงแต่วันนี้กลับปรากฏผู้ที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้

“จ่ายเงิน พวกเจ้าจ่ายเงิน”

“โม่เอ๋อร์” เจียงหุยเสวี่ยเรียกน้องสาว รีบวางทัพพีลงแล้ววิ่งมาหา

นางดันเด็กสาวร่างเล็กที่ยังคงแสดงสีหน้าดื้อดึงไปไว้ข้างหลัง ยืดตัวขึ้นแล้วพูดกับชายฉกรรจ์

“น้องสาวข้ายังเด็ก ใต้เท้าผู้ใจกว้างทั้งสามโปรดอย่าถือสา ร้านขายโจ๊กของข้าเพิ่งเปิดได้ไม่นาน วันนี้ท่านทั้งสามให้เกียรติมาเป็นพิเศษ โจ๊กไม่กี่ชามนี้ถือเป็นสินน้ำใจของข้าน้อย หวังว่าอีกหน่อยใต้เท้าจะให้ความกรุณา” เผอิญว่าท่านยายเฉียวพอเห็นชายฉกรรจ์ทั้งสามปรากฏตัวขึ้น ก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ลอบบอกที่มาที่ไปทั้งหมดให้นางทราบ

ผู้เข้มแข็งข่มเหงคนอ่อนแอ ทั้งสามเป็นคนที่มาจากตรอกผินหมินแท้ๆ กลับหันมารังแกคนกันเอง

ตอนนี้พอได้ยินนางพูดเช่นนั้น ตาเฒ่าเฉียวก็โบกไม้โบกมือรีบกล่าวเสียงดังว่า “ไม่คิดเงิน ไม่คิดเงิน ถือเป็นสินน้ำใจ ขอความกรุณาด้วย”

ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่นั้นเลิกคิ้วหยาบหนา นิ้วทั้งห้าลูบคางที่มีเคราเขียวขึ้นทั่ว พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่แปลกออกไป “เป็นสินน้ำใจของเจ้าหรือแม่นางน้อย” แล้วก็หัวเราะหึและแสร้งทำเป็นถอนหายใจ “เฮ่อ สินน้ำใจอะไรกัน เหตุใดพวกข้าถึงยังไม่ได้รับเล่า เถี่ยซาน เจ้าได้รับหรือเปล่า เหล่าลิ่ว เจ้าล่ะ”

ชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกต่างพากันส่ายศีรษะ บนใบหน้าส่อแววดุร้าย ปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ดวงตาสาดประกายกลับกลอกกลิ้งไปมา พินิจมองเจียงหุยเสวี่ยอย่างละเอียด

ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ผงกศีรษะโดยแรง “ดูสิ ไม่มีใครได้รับ เจ้าจะให้พี่ชายอย่างพวกข้าให้ความกรุณาเจ้าอย่างไร” ชายฉกรรจ์อีกสองคนต่างก็ร่วมผสมโรง

“น้ำใจหรือ จะว่ายากก็ไม่ยาก จะว่าง่ายก็ไม่มีอะไรง่ายกว่านี้แล้ว แค่แลกกับน้ำใจพวกข้าก็พอแล้ว”

“อ้อ แล้วน้ำใจพวกข้าคืออะไรกันนะ”

“ก่อนอื่น แค่ร้องคำว่า ‘พี่ชาย’ ให้ชื่นหู”

“จากนั้นเล่า”

“จากนั้น…ฮิๆ…ฮะๆ…ฮ่าๆ…ก็ต้องลูบตรงนั้น คลำตรงนี้ แล้วค่อยหอมที่จุดนั้นสักคำสองคำ”

ในที่นั้น ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะก้มหน้าก้มตา กล้ามีโทสะแต่มิกล้าเอ่ยคำ มีคนหนุ่มเลือดร้อนสองสามคนที่กำหมัดแน่นและอยากจะออกหน้า แต่ก็ถูกผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างหรือญาติพี่น้องรั้งไว้สุดชีวิต

กลับเป็นคนที่ถูกคอกับหญิงสาวสองพี่น้องอย่างตาเฒ่าและท่านยายเฉียวที่ออกมาแสดงน้ำใจ เพราะทนเห็นหญิงสาวถูกดูแคลนไม่ได้ จึงรีบออกตัวปกป้อง

“พวกเจ้าสามคนเป็นลูกหลานชาวตรอกผินหมินแท้ๆ อาชีพเดิมของบิดาพวกเจ้าก็เป็นแรงงานหักร้างถางพง ส่วนมารดาพวกเจ้า…เฮอะๆ มาจากที่แบบไหนพวกข้าคงจะพูดได้ไม่เต็มปากหรอก แล้วก็ไม่อยากจะพูดด้วย พวกเจ้ายังคิดว่าตัวเองใหญ่มาจากไหน วันทั้งวันดีแต่ข่มเหงรังแกคนบ้านเดียวกัน สุขใจนักหรือไร สุขใจนักใช่หรือไม่!” ท่านยายเฉียวเดินเหินคล่องแคล่วกว่าสามีชรามากนัก นางชิงออกมาเบื้องหน้าตาเฒ่าเฉียว พุ่งไปยังข้างกายเจียงหุยเสวี่ย แสดงความขุ่นเคืองในใจทั้งหมดออกมา

ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้นตามมาดังคาด

ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ถูกคำพูดของท่านยายเฉียวแทงใจดำเข้า ทั่วทั้งใบหน้าแดงซ่าน ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองมาอย่างโกรธเคือง เขาร้องตะโกนเสียงดัง ทันใดนั้นกำปั้นขนาดใหญ่เท่าชามก็เหวี่ยงเข้ามา

“ท่านยายระวัง!” เจียงหุยเสวี่ยร้องอย่างตกใจ หันมาปกป้องหญิงชราโดยไม่ต้องคิด แต่ทว่าขาของโต๊ะเหลี่ยมขวางเท้าเล็กของนางอยู่ นางฝีเท้าซวนเซ โอบร่างท่านยายเฉียวล้มลงกับพื้น แต่ก็หลบรอดพ้นจากหมัดหนักนั้นได้

“พี่สาว…พี่สาวลุกขึ้น! พี่สาวลุกขึ้น! ฮือๆๆ…” สาวน้อยพลันคลุ้มคลั่ง ร้องไห้น้ำตานองหน้า เด็กสาวโถมตัวออกไปโอบขาของชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่แล้วอ้าปากกัด

“โม่เอ๋อร์หยุดนะ!” พอเจียงหุยเสวี่ยหันไปมอง หน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว เห็นชายฉกรรจ์ที่เหลืออีกสองคนกำลังจะถีบโม่เอ๋อร์ออกไป นางย่อมลุกขึ้นยืนไม่ทัน ทำได้เพียงใช้แขนขาตะเกียกตะกายเข้าไป พยายามที่จะหยุดยั้ง

เหตุการณ์มาถึงจุดนี้ ผู้สังเกตการณ์ทั้งหลายต่างก็อดรนทนมองไม่ได้อีกต่อไป ผู้คนมากมายเริ่มลุกขึ้นยืน ทางหนึ่งด่าทออีกทางหนึ่งเลิกชายแขนเสื้อขึ้นเตรียมที่จะต่อยตี

แม้กระนั้น เจียงหุยเสวี่ยก็ยับยั้งการกระทำอุกอาจของชายฉกรรจ์ไว้ไม่ได้

คนหนุ่มไม่กี่คนที่ได้รับการกระตุ้นและนึกอยากจะออกไปต่อยตีให้หนำใจก็ยับยั้งไม่ได้ สิ่งเดียวที่ยับยั้งการกระทำอันมิชอบนี้ได้กลับเป็นม้านั่งที่แสนจะธรรมดาตัวหนึ่ง

ม้านั่งทรงเหลี่ยมทำจากไม้ลอยออกมาจากในเพิงร้าน ไม่ทราบว่าผู้ที่โยนมันออกมาใช้กำลังอย่างไร ถึงใช้พละกำลังนั้นออกมาได้อย่างเหมาะเจาะพอดีและยอดเยี่ยมเกินกว่าจะพรรณนา ซึ่งสามารถใช้ม้านั่งหนึ่งตัวโค่นคนสามคนล้มลงได้

เมื่อถึงคนที่สามม้านั่งพลันแตกกระจาย เศษไม้ปลิวกระเด็นใส่พวกบุรุษใจหยาบช้า จนเลือดไหลอาบท่วมใบหน้า

ตอนนี้เจียงหุยเสวี่ยคว้าตัวโม่เอ๋อร์ไว้ได้แล้ว นางกอดร่างน้อยผอมบางที่ตัวสั่นเทาไม่หยุดเอาไว้แน่น และปลอบด้วยเสียงอันอ่อนโยน “ไม่เป็นไรแล้ว พี่สาวลุกขึ้นมาแล้ว พี่สาวไม่เป็นไร โม่เอ๋อร์อย่าตกใจ ไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวพี่ทำขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมให้เจ้ากินดีหรือไม่ ไม่ต้องกลัว…”

นางง่วนอยู่กับการปลอบโยนคนร่างเล็กในอ้อมกอด ไม่ทันเห็นว่าสายตาของฝูงชนเคลื่อนไปทางข้างหลังนาง ดวงตานับสิบคู่จับจ้องอยู่ที่จุดจุดเดียว มองดูบุรุษร่างสูงที่เดินออกมาจากข้างในตาไม่กะพริบ

“แค่กๆๆ…ผู้ใด ผู้ใดกัน”

“มารดามันทำอะไรลับๆ ล่อๆ เป็นตัวบัดซบที่ไหนทำ!”

“กล้าลอบกัดบิดาหรือ ไม่อยากมีชีวิตสืบ…เอ่อ…แค่กๆๆ…”

เหล่าบุรุษหยาบช้าที่เจอม้านั่งเข้าไป เดิมทียังคิดจะกล่าววาจาผรุสวาท แต่พอสองตามองเห็นได้ชัดเจนแล้วว่าผู้ที่ก้าวเดินออกมาจากในเพิงร้านเป็นผู้ใด พลันรู้สึกจุกขึ้นมาในทันที ลืมเลือนแม้กระทั่งจะดึงเศษไม้ที่แทงอยู่ทั่วใบหน้าออก

กว่าจะไต่เต้าขึ้นมาเป็นมือดีของคหบดีอย่างเจ้าของที่ดินแซ่จ้าวได้ พวกเขาสามพี่น้องประพฤติกำเริบเสิบสานจนเคยชิน แต่สาเหตุที่ทำให้สามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองหลวงอันรุ่งเรืองภายใต้แผ่นฟ้าผืนนี้ได้

นั่นเป็นเพราะพวกเขาทราบแน่แก่ใจว่าผู้ใดสามารถที่จะข่มเหงได้ และผู้ใดไม่สามารถที่จะรังควานได้ จึงเลือกบีบแต่มะพลับนิ่ม ซึ่งพวกเขาเข้าใจในหลักข้อนี้ดี

เพียงแต่…ไฉนวันนี้จึงได้ตกอยู่ใต้เงื้อมมือของพญามัจจุราชได้!

ได้ยินว่าอีกฝ่ายเมื่อครั้งยังเยาว์วัยร่ำเรียนวิชายุทธ์ได้เพียงเล็กน้อย ก็เข้ารับตำแหน่งเป็นมือปราบของหน่วยหยาเหมินแห่งสามตุลาการ ตามผู้เป็นอาจารย์ ได้รับการฝึกฝนถึงขั้นสูงสุดในหน่วยประตูหกบาน และได้ทำคดีใหญ่มากมายในระหว่างนั้น ได้ติดตามอาจารย์ตนเองที่เป็นถึง ‘มือปราบเทวดา’ ท่องยุทธภพหลายครั้งหลายครา ออกเดินทางไปทั่วทุกหนแห่งในเทียนเฉาและแว่นแคว้นเล็กที่อยู่ข้างเคียงเพื่อจับกุมผู้ที่กระทำผิดกลับมาพิพากษา

และเมื่อไม่นานมานี้ อีกฝ่ายเพิ่งได้รับป้ายป้ายอาญาสิทธิ์สีนิลของ ‘มือปราบเทวดา’ จากฮ่องเต้มาถือครองต่อ ทำให้อาจารย์ที่ชราภาพแล้วได้กลับไปพักในบ้านเดิมและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

เขาคือศิษย์คนโตของมู่เจิ้งหยางอดีตมือปราบเทวดา โดยเขาได้รับฉายาเป็นมือปราบเทวดาคนปัจจุบัน…เมิ่งอวิ๋นเจิง บุคคลที่เดียดฉันท์คนชั่ว ส่งเสริมคนดีเช่นนี้ ซึ่งสำหรับคนที่กระทำตนเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ คอยหนุนหลังคนชั่วให้กระทำผิดเช่นชายฉกรรจ์ทั้งสามคนนี้ หากไม่นับเมิ่งอวิ๋นเจิงเป็นพญามัจจุราชแล้วจะนับเป็นอย่างไรได้

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่วิ่งหนีตอนนี้แล้วจะวิ่งหนีเมื่อใดกันเล่า! หนี!

ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นออกวิ่งนำ สหายทั้งสองค่อยผุดลุกขึ้นราวกับถูกสายฟ้าฟาดผ่า วิ่งไล่หลังชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ไป

ข้างในและนอกร้านแป้งย่างเฉียวจี้ตอนนี้เงียบกริบ ผู้คนมากมายมองไปยังเงาร่างสามสายที่วิ่งลอยไป ก่อนจะเบนสายตามาทางเมิ่งอวิ๋นเจิง กลอกมองไปมาราวกับอยากจะเร่งให้ทำอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก

ในที่สุดบุรุษที่เป็นถึงมือปราบเทวดาก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ…

“ท่านยายเฉียว ม้านั่งกับโต๊ะที่หักไป ไว้ข้าจะชดใช้ให้”

ท่านยายเฉียวที่เพิ่งได้รับการช่วยพยุงจากป้าเฉียวผู้เป็นสะใภ้ตนก็ชะงักไป…ที่หักไปมีเพียงม้านั่ง โต๊ะทุกตัวก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ หญิงชราเพิ่งคิดได้ดังนี้ ก็เห็นเมิ่งอวิ๋นเจิงคว้าขาโต๊ะตัวหนึ่งขึ้นมาแล้วขว้างออกไป การขว้างก็ไม่ได้พิเศษพิสดารแต่อย่างใด เพียงขว้างออกไปตรงๆ ไม่เห็นใช้แรงเท่าใด โต๊ะก็ปลิวไปไกลหลายจั้ง กอปรกับเป็นวิถีแบบ ‘ใช้หนึ่งล้มสาม’ เช่นเดียวกัน หลังจากโต๊ะกระแทกถูกชายฉกรรจ์ทั้งสามอย่างหนักหน่วงแล้วก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แผ่นไม้และเศษไม้ที่แตกกระจายก็ปักลงบนแผ่นหลังหยาบหนาและขาของชายฉกรรจ์ทั้งสาม

แต่ครานี้กลับไม่ได้ยินพวกเขาร้องโอดโอยเสียงหลง เนื่องจากร่างที่หยาบใหญ่ทั้งสามล้มลงกับพื้น สลบไสลไม่ได้สติไป

“ดี!” “ทำได้ดีมาก…” “ยอดเยี่ยม!” ฝูงชนจากร้านแป้งย่างและเพิงร้านขายโจ๊กต่างก็ชื่นชมโห่ร้องดังสนั่น ตบโต๊ะเสียงดังปึงปังแสดงความลิงโลดยินดีในใจออกมา

“ท่านเมิ่งพอลงมือ เพียงคนเดียวก็เอาอยู่ ปราบความโอหังพวกมันได้เสียที!”

“เพียงคนเดียวที่ไหนกัน สามคนต่างหาก แค่ขว้างออกไปสบายๆ ก็ซัดทั้งหมดล้มคว่ำแล้ว ต้องอย่างนี้สิถึงจะสาแก่ใจพวกข้า!” ลูกค้าเฒ่าเอ่ยชมเสียงดัง สองมือยกขึ้นทำท่าทาง แต่แล้วก็ชะงักไปราวกับนึกอะไรขึ้นได้…

“ว่าแต่…ท่านเมิ่งมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดหรือ เหตุใดถึงได้ออกมาจากข้างในร้าน” พลางลูบคางด้วยความสับสน “พวกข้ามารอร้านเฉียวจี้ย่างแป้งแผ่นแรกอยู่ข้างเตาตั้งแต่เช้า แล้วยังกินโจ๊กหม้อแรกที่แม่นางเจียงทำก็ไม่เห็นวี่แววของท่านเมิ่งเลยสักนิด เอ…ที่แท้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน…” อ๊ะ…ช้าก่อน! หรือว่าข้าได้ถามในสิ่งที่ไม่ควรถามเข้า เหตุใดใบหน้าของฝ่ายนั้นแปรเปลี่ยนเป็น…เคร่งขรึม

ลูกค้าเฒ่าเหลือบมองดูตาเฒ่าเฉียวและท่านยายเฉียว ไฉนคู่สามีภรรยาสกุลเฉียวถึงได้มองไปทางเจียงหุยเสวี่ยโดยไม่ได้ตั้งใจและดูมีลับลมคมใน จากนั้นก็แลเห็นเมิ่งอวิ๋นเจิงมองไปที่แม่นางเช่นกัน

เจียงหุยเสวี่ยยังคงนั่งอยู่กับพื้น โม่เอ๋อร์น้อยที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดนางเริ่มสงบลงแล้ว เพียงแต่มือเล็กยังคงคว้าปกเสื้อของผู้เป็นพี่สาวไม่ยอมปล่อย

สายตาเคลือบแคลงที่ทุกคนมองไปยังนางแฝงแววแปลกใจ เจียงหุยเสวี่ยถูกจับจ้องจนใบหน้าเริ่มซับสีเรื่อ นางสอดประสานสายตาเข้ากับดวงตาคู่นั้นของเมิ่งอวิ๋นเจิง ใจของนางก็เต้นแรงไม่เป็นส่ำ อ้าปากจะเอ่ยคำแต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

“เขามา…ฟ้ายังไม่ทันสาง…ก็มาแล้ว” เสียงบางใสเอ่ยขึ้น เจียงหุยเสวี่ยตกตะลึง ก่อนที่จะค้นพบว่าเป็นวาจาของคนตัวเล็กในอ้อมกอด

“เขามาทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน…” โม่เอ๋อร์สูดจมูก ดวงตาที่มีน้ำฉ่ำวาวเลิกขึ้น ทั้งที่ดูประหม่าเขินอายอย่างเห็นได้ชัด แต่เวลาที่จับจ้องเมิ่งอวิ๋นเจิงยังให้ความรู้สึกดื้อดึง “มา…มาขอกิน”

…ขอ ขอกิน?

ได้ยินดังนั้น ผู้คนถึงกับปากอ้าตาค้าง แม้แต่แป้งย่างที่คาอยู่ในปากก็แทบจะร่วงลงมา

บุรุษร่างสูงใหญ่ที่ถูกกล่าวหาว่า ‘มาขอกิน’ แม้จะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า แต่ทว่าหน้าผากกลับเต้นตุบๆ

แม่นางที่ถูกมองว่าเป็นคนในครอบครัวของผู้เสียหายปิดปากน้องสาวตัวเองไม่ทัน ทำได้เพียงลอบระบายลมอยู่ในใจ แล้วฝืนยิ้มออกมา

 

เมื่อสองชั่วยามก่อน

เช้าตรู่กลางฤดูเหมันต์ พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินมืดครึ้ม

เทียนถูกจุดขึ้นในครัวทอเป็นแสงอบอุ่นวงเล็กๆ เจียงหุยเสวี่ยที่ตื่นเช้ามากเริ่มต้นทำงาน นางใส่ฟืนลงในเตาเล็กอย่างคล่องแคล่ว ทำช่องในเตาให้ลมผ่านได้ง่าย จุดไฟขึ้นและพัดกระพือ เปลวไฟลามเลียอยู่บนฟืนไม้เสียงดังเปรี๊ยะๆ ไม่นานก็ทำให้เตาเล็กอุ่น

นางทำความสะอาดมือ เติมน้ำใสลงในหม้อเหล็ก แล้วเทธัญพืชที่ผ่านการแช่จนเปียกชุ่มมาทั้งคืนลงในหม้อเหล็กที่มีน้ำเดือด นางปรับความแรงไฟให้พอเหมาะ แล้วค่อยๆ ทำโจ๊ก

แม้ว่าตรอกซงเซียงแห่งเฉิงเป่ยนี้จะได้ฉายาที่ฟังดูน่าเวทนาอย่าง ‘ตรอกผินหมิน’ แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ไม่กี่เดือนอย่างเจียงหุยเสวี่ย กลับรู้สึกว่าชาวบ้านในตรอกซงเซียงต่างก็ใช้ชีวิตประจำวันของตนกันได้อย่างมีสีสันดี

อย่างเช่นในเรือนหมู่ที่เจียงหุยเสวี่ยเลือกย้ายเข้ามาอยู่ ข้างหน้าเป็นร้านแป้งย่างเฉียวจี้และเป็นที่ตั้งของเพิงร้านขายโจ๊ก ข้างหลังพอเดินเข้าไปก็จะเป็นลานตรงกลางที่ทุกคนใช้สอยร่วมกัน ทั้งยังมีบ่อน้ำอยู่หนึ่งบ่อ แม้ว่าจะเป็นเรือนหมู่ที่มีผู้คนมากมายอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่ก็มีห้องครัวและห้องอาบน้ำเล็กๆ แยกอยู่ในแต่ละบ้าน การใช้ชีวิตจึงมีความเป็นส่วนตัวดี และยังให้ความรู้สึกว่าคนยิ่งมากยิ่งครื้นเครง

ที่แห่งนี้ คนที่นี่ ทำให้นางหวนนึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ก่อนนางอายุหกขวบ ผู้คนและเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นรูปธรรม นางย่อมจำได้เพียงเลือนราง แต่ทว่ายังคงมีความรู้สึกหนึ่งที่นางเคยถูกช่วงชิงพรากจากไปนานแสนนานแล้ว นั่นก็คือความรู้สึกของคืนวันอันสงบสุข

นางคิดว่าโม่เอ๋อร์ก็น่าจะชื่นชอบเช่นกัน

ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ สาวน้อยก็กล่าววาจาบ่อยมากขึ้น แม้แต่อาการนิ่งเงียบไม่พูด และดวงตาที่คอยมองอย่างระแวดระวังก็ยังส่อแววของความสงบ ไม่ใช่อาการหวาดระแวง

ตอนที่ชายผู้นั้นมา นางกำลังใส่อาหารแห้งที่มีสรรพคุณทางยาอย่างไหวซาน เมล็ดซิ่ง เม็ดบัวลงไปในหม้อใหญ่ คนไม้พายในมืออย่างช้าๆ คนไปคนมา หัวใจก็สั่นไหว ราวกับว่าพอมองออกไปนอกห้องครัวโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่กำยำยืนนิ่งอยู่หน้าประตู

เขาสวมใส่อาภรณ์สีดำทั้งตัว เป็นสีเข้มแบบที่เขาใส่เป็นประจำ

บนเอวเขาคาดเข็มขัดหนังสีดำ แนวบ่าที่กว้างและตั้งตรงช่วยขับเน้นให้ช่วงลำตัวดูทะมัดทะแมงเป็นพิเศษ เขามีรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสันกอปรกับช่วงแขนขาที่ยาว เมื่อมาปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นก็แทบจะปิดช่องประตูเล็กเสียมิด

ในวันที่อากาศหนาวจัดเช่นนี้ กลับไม่เห็นว่าเขาจะใส่เสื้อขนสัตว์หรือเสื้อคลุมเพิ่มสักตัว ผมดำรวบไว้ข้างหลัง แต่สองข้างศีรษะกลับมีปอยผมหลุดลุ่ยออกมาจากการผูกมัด ห้อยเคลียบนบ่ากว้างกับหน้าอก นางเพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่วันมานี้…ว่าเขามีผมหยักศก

หยักศกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่เส้นผมที่เป็นลอนคลื่นเล็กน้อยนั้น เมื่อปรกลงมาจากข้างศีรษะของเขาและระบนสองข้างแก้ม ในสายตาของนางแล้ว ช่วยทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่ไร้ซึ่งความปรานีของเขาดูนุ่มนวลขึ้นมาก

ในช่วงเวลาไม่กี่วันมานี้ เพียงแค่เมื่อถึงเวลา ภายนอกห้องครัวของนางก็จะมีเขาเป็นแขกผู้มาเยือน แรกเริ่มเขามาที่ตรอกซงเซียงเพื่อชี้แนะวิชาการต่อสู้ให้กับเด็กๆ

ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เขาทำงานของทางการในหน่วยประตูหกบาน จนถึงตอนนี้ได้รับป้ายอาญาสิทธิ์สีนิลแต่งตั้งให้เป็นมือปราบเทวดา ย่อมมีธุระติดพันมากมายเป็นธรรมดา แต่ขอเพียงเขายังอยู่ในเมืองหลวง ก็จะเสาะหาเวลาว่างมาสอนวิชาการต่อสู้ในตรอกซงเซียงให้ได้

ที่กระทำเช่นนี้ไม่ได้มีแต่เขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น เขายังมีศิษย์น้องหญิงอีกคน ที่พอมีเวลาว่างก็จะมาสอนวิชาการต่อสู้ให้กับพวกเด็กๆ

ในบรรดาเด็กที่มาร่ำเรียนวิชาการต่อสู้ก็มีปั้งโถว หลานชายสกุลเฉียวรวมอยู่ด้วย วันนั้นเมื่อเด็กๆ ร่ำเรียนกันเสร็จ ตาเฒ่าเฉียวก็ย่างแป้งย่างหลายชิ้นให้เด็กๆ ที่หิวจนท้องร้องโครกครากได้เติมเต็มท้องน้อยๆ ตอนนั้นนางกำลังเตรียมตัวเปิดกิจการขายโจ๊ก จึงทำโจ๊กขาวห้าสหายออกมา แล้วเชิญชวนผู้คนบ้านใกล้เรือนเคียงให้ได้ลิ้มลอง

เดิมทีนางคิดว่าบุคคลที่สูงส่งเช่นเขาคงไม่เห็นโจ๊กขาวที่ดูผิวเผินแล้วจืดชืดธรรมดายิ่งเช่นนี้อยู่ในสายตา นึกไม่ถึงว่าเขากลับ…

‘ได้ยินว่าเป็นอาหารให้ลองชิม ข้าขอแม่นางสักชามได้หรือไม่’

เขาสอนวิชาเสร็จแล้วก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ขอโจ๊กหนึ่งชามจากนางด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึมและวาจาที่สุภาพ

เมื่อนางตักโจ๊กใส่ชามจะส่งให้ เขาก็รู้สึกได้ถึงนิ้วมืออันสั่นเทาทั้งสิบและลมหายใจที่ขาดห้วงของนาง นางไม่รู้ว่าตนเองทำได้อย่างไรที่ส่งชามโจ๊กให้เขาโดยไม่ทำโจ๊กที่ร้อนจนควันฉุยหกรดใส่เขา

เขากินทีละคำอย่างช้าๆ ไม่นานนักก็กินโจ๊กร้อนๆ จนหมดเกลี้ยง เมื่อส่งชามเปล่าคืนให้นาง เขาก็ไม่ได้เอ่ยติชมโจ๊กของนางแม้สักครึ่งคำ เพียงกล่าวแค่คำขอบคุณ

นางบรรยายไม่ถูกว่าในใจเป็นรสชาติเช่นไร มีทั้งความผิดหวัง และก็มีความตื่นเต้น รู้สึกว่าโจ๊กชามนี้ยังไม่ถูกปากเขา และที่จริงก็ยังทำได้ไม่ดีนัก

แต่ที่นางไม่รู้เลยก็คือตั้งแต่ที่เขาได้ลิ้มลองอาหารมื้อนั้น เขาก็เริ่มมาหานาง!

คำนวณดูแล้วก็เป็นเวลาเดือนกว่าๆ ที่ช่วงเช้ามืดแทบทุกวัน เมื่อห้องครัวมีควันฟุ้งลอยออกมา เขาก็จะมาปรากฏตัวที่เรือนหมู่โดยไร้สุ้มเสียง

ในเวลานี้เมื่อเห็นเขามาปรากฏตัวตามคาด เจียงหุยเสวี่ยก็รู้สึกอบอุ่นในใจจนไม่อาจหุบยิ้ม “ยังต้องรออีกสักครู่ใหญ่ ข้างในนี้อากาศอุ่นกว่ามาก ท่านเมิ่งจะเข้ามานั่งก่อนหรือไม่”

เมิ่งอวิ๋นเจิงพยักหน้าเล็กน้อยแทนการตอบรับ เดินเข้ามาข้างในและลากม้านั่งเหลี่ยมจากประตูหลังมานั่งด้วยความเคยชิน

ห้องครัวขนาดเล็กที่เก็บของได้มากมายแห่งนี้ สำหรับเจียงหุยเสวี่ยแล้วนับว่ากำลังดี อุปกรณ์เครื่องใช้ทำครัวและวัตถุดิบทำอาหารต่างวางอยู่ในตำแหน่งที่นางเอื้อมถึง แต่เมื่อเพิ่มบุรุษร่างใหญ่เข้ามาอีกหนึ่งคน แม้ว่าเขาจะนั่งนิ่งอยู่กับที่แล้วก็ตาม เจียงหุยเสวี่ยก็ยังรู้สึกว่าพื้นที่รอบข้างอึดอัดไปชั่วขณะ

นางลอบสูดหายใจเข้าลึกๆ เบนสมาธิกลับไปที่เตา เมื่อคุมไฟอีกครั้งได้แล้วก็คนหม้ออย่างพิถีพิถันเป็นครั้งสุดท้าย การทำเช่นนี้จะช่วยให้วัตถุดิบที่มีสรรพคุณทางยาที่อยู่ในโจ๊กอ่อนนิ่มลง ทำให้กระเพาะและลำไส้สามารถดูดซึมได้ง่าย

“ให้ท่านรอนานแล้ว” นางตักโจ๊กชามแรกที่เพิ่งทำเสร็จส่งถึงโต๊ะเล็กเบื้องหน้าบุรุษ

ชามกระเบื้องขอบกว้างที่ใช้ตักโจ๊กใส่นั้น ความจริงมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับชามที่ทุกวันนางตักให้ลูกค้ารายอื่น มีขนาดใหญ่กว่าเป็นสองเท่าตัว และปริมาณโจ๊กที่ตักให้ย่อมมากกว่าเป็นสองเท่า

กลายเป็นสิ่งที่ทั้งสองต่าง…เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องเล็กเกินกว่าจะเอ่ยถึงและเคยชินจนไม่คิดจะหาความหมายใดๆ ชามที่นางให้เขาใช้ใหญ่กว่าชามของผู้อื่น โจ๊กที่ตักให้เขาก็มากกว่าของผู้อื่น!

แต่ช้าก่อน! ดูเหมือนโจ๊กขาวห้าสหายที่นางตักให้ในวันนี้จะยิ่งมากกว่าเดิม มากจนแทบจะล้นปรี่!

“เอ่อ…ชามหนักไป ยกซดลำบาก ท่านใช้ช้อนตักกินเถิด” นางรีบยื่นช้อนไม้ขนาดเล็กให้ ใบหน้าที่เป็นสีแดงระเรื่อเนื่องจากความร้อนในห้องครัวอยู่แล้ว มาตอนนี้สีเลือดฝาดบนสองข้างแก้มยิ่งเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ขอบใจ” เมิ่งอวิ๋นเจิงพยักหน้าตอบเสียงขรึม

“อืม” เจียงหุยเสวี่ยก็พยักหน้าเช่นกัน เมื่อเห็นเขาใช้ช้อนไม้กินอาหารแล้ว นางจึงหันไปเก็บกวาดครัว ตระเตรียมข้าวของทั้งหมดที่อีกสักครู่จะต้องใช้เมื่อตั้งเพิง

บางครั้ง…เพียงบางครั้งเท่านั้น ที่นางกำลังยุ่งเป็นพัลวัน แต่หางตากลับชำเลืองมองไปทางเขา ซึ่งก็ช่วยไม่ได้จริงๆ นางรับรู้ถึงตัวตนของเขามากเกินไป อีกทั้งท่วงท่าของเขาตอนกำลังกินก็ช่าง…ช่างน่าชมน่ามองเสียเหลือเกิน

เขานั่งตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง เมื่อช้อนโจ๊กมาถึงปาก เขาจะอ้าปากเล็กน้อยเพื่อเป่าให้เย็น แล้วค่อยส่งอาหารเข้าปาก ตลอดเวลาตั้งแต่ที่ตักโจ๊กขึ้นมาจนกินเข้าไป คิ้วกับดวงตาที่หลุบลงของเขาช่างดึงดูดสายตา เขาทำราวกับว่าโจ๊กที่นางทำให้เป็นอาหารเลิศล้ำที่ต้องลิ้มลองอย่างละเมียดละไม

เขากินโจ๊กไปเงียบๆ นางก็ทำงานวุ่นวายและแสร้งแสดงท่าทีสงบนิ่ง เวลาปกติมักเป็นเช่นนี้ หลังจากนั้นเขาก็จะวางเงินไม่กี่เหรียญไว้ข้างชามที่ว่างเปล่า แล้วลุกจากไปก่อนที่บุคคลอื่นในเรือนหมู่จะรับรู้

โจ๊กชามหนึ่งราคาห้าตำลึง แต่เขามักจะให้เงินมากกว่านั้น ก่อนหน้านี้นางอยากจะคืนเงิน เขาก็ไม่ยอมรับแล้วเดินจากไป อาจเพราะเหตุนี้ นางจึงตักโจ๊กให้เขามากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มุมปากก็หยักยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ นางมองไปทางเขาอีกครั้ง แล้วสี่ตาก็ประสานกันเข้าพอดี!

หัวใจนางกระตุก แต่นางก็ไม่ได้หลบหน้าหนีอย่างแตกตื่นสติหลุด เพียงขบริมฝีปากอย่างขวยเขินด้วยใบหน้าสีแดงก่ำ

“ท่านเมิ่งไม่ต้องจ่ายค่าโจ๊กแล้ว เหรียญเงินที่ท่านให้ไว้เมื่อวานนี้ยังซื้อโจ๊กขาวห้าสหายได้อีกหลายหม้อ ท่านไม่ต้องจ่ายแล้ว…หรือไม่ก็…หรือไม่พรุ่งนี้ท่านก็มาอีก ข้าจะทำขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมสักหลายชิ้นให้ท่านนำกลับไป ท่านเมิ่งจะได้เก็บบางส่วนไว้ให้ตัวเองกิน หรืออาจจะให้ผู้อื่นได้ด้วย” นางอยากกล่าววาจาแสดงความขอบคุณ แต่แล้วก็รู้สึกว่าของที่ตนสามารถทดแทนได้ช่างน้อยจนน่าระอา น้ำเสียงจึงสนิทสนมขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

แต่ทว่า…

“พรุ่งนี้ข้าไม่มาแล้ว” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษเอ่ยอย่างสุภาพและตรงไปตรงมา

เมื่อได้ยินชายตรงหน้าพูดเช่นนี้ ใบหน้าเจียงหุยเสวี่ยพลันชะงักค้าง เอ่ยถามโดยไม่ได้ตรึกตรอง…

“ท่านเมิ่งต้องออกนอกเมืองหลวงไปทำงานอีกแล้วหรือ ครานี้จะไปที่ใด ยังคงเป็นที่ชายแดนตะวันตกใช่หรือไม่” นางถามติดกันสามคำถามด้วยปากที่ไวยิ่งกว่าความคิด เมื่อถามเสร็จ ใบหน้ากลับแข็งค้างยิ่งกว่าเดิม

“เอ่อ…คือว่า…ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านเมิ่งกลับมายังเมืองหลวง มาสอนการต่อสู้ที่ตรอกซงเซียง ข้าได้ยินผู้คนพูดกันว่าท่านเมิ่งคงจะทำธุระเสร็จแล้ว จึงกลับมาหาทุกคนได้…และมีคน…บอกข้าว่าท่านกลับมาจากชายแดนตะวันตก”

นางอยากจะกล่าวกลบเกลื่อน แต่วาจายังคงติดขัด ดีที่เมิ่งอวิ๋นเจิงไม่ได้ติดใจอะไรในคำพูดนาง ดวงตาสีเข้มที่มองมายังนางคู่นั้น แม้จะสงบนิ่งแต่ก็แฝงความอ่อนไหว ราวกับถูกนางก่อกวนโดยไม่ทันตั้งตัว

“ผู้แซ่เมิ่งเห็นว่าแม่นางเจียงคงจะเกิดที่ชายแดนตะวันตกใช่หรือไม่”

เจียงหุยเสวี่ยพลันกำนิ้วทั้งสิบแน่น นัยน์ตาทั้งสองสั่นไหวน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงพูดสุภาพของเขากล่าวเสริมอีกว่า

“โจ๊กขาวห้าสหายชามนี้ของแม่นาง ข้าผู้แซ่เมิ่งเคยกินมาหลายหนยามอยู่ที่ชายแดนตะวันตก นับว่าเป็นอาหารที่พบเห็นได้ทั่วไปของท้องถิ่น” เขาหยุดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าลง “อีกทั้งพวกเจ้าสองพี่น้องหน้าตาไม่ค่อยเหมือนหญิงสาวชาวฮั่น ผิวพรรณออกขาว ดวงตาสีอ่อน สีผมยามต้องแสงแดดออกเป็นสีแดง เวลากล่าววาจาติดสำเนียงเหน่อ เป็นเฉกเช่นเดียวกับหญิงสาวที่อยู่ชายแดนตะวันตก”

หน้าตาภายนอกและสำเนียงการพูดเดิมเป็นสิ่งที่ยากจะปิดบังได้ทั้งหมด การที่เขาดูออกก็ไม่นับเป็นอย่างไรได้ไม่ใช่หรือ เจียงหุยเสวี่ยปลอบตัวเองในใจ ริมฝีปากที่ยิ้มอย่างเขินอายเปิดออกอีกครั้ง

“ความจริงเป็นดังเช่นที่ท่านเมิ่งกล่าว” นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยิ้มอีกครั้งบางๆ “ที่บ้านเก่า…ที่บ้านเก่าข้าไม่เหลือคนในครอบครัวแล้ว เหลือเพียงพวกข้าสองพี่น้องที่ต้องพึ่งพากันเอง ไม่มีทั้งที่นาและบ้านให้อาศัย ความเป็นอยู่ยากลำบากเกินกว่าที่จะทนต่อไป เราสองพี่น้องจึงตัดสินใจเดิมพัน ติดตาม…ตามขบวนพ่อค้ามายังเมืองหลวง” เมิ่งอวิ๋นเจิงได้ยินแล้ว สีหน้าก็ขรึมลง เขาพยักหน้า “เช่นนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะพาน้องสาวเดินทางมาไกลมาก กว่าที่จะได้ลงหลักปักฐานในเมืองหลวง”

นางหลุบตาลงและพยักหน้าเออออตาม “อืม…ใช่แล้ว ไกลมาก เป็นเส้นทางที่ไกลมากจริงๆ แต่…แต่ล้วนเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากท่านผู้สูงส่ง หากไม่มีเขา พวกเราสองพี่น้องก็คงอับจนหนทาง ตกตายด้วยความหิวโหยเสื้อผ้าขาดรุ่ยอยู่ในป่า ล้วนเป็นเพราะเขาที่ทำให้เรามีหนทางรอด…”

พูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงหญิงสาวราวกับครวญเพลง ฟังดูอ่อนหวานจับใจ แม้แต่ใบหน้าก็ยังอ่อนโยนประดุจสายน้ำ ราวกับว่าเมื่อกล่าวถึงคนผู้นั้น ความอบอุ่นในก้นบึ้งจิตใจก็ท่วมทะลักออกมาไม่หยุดหย่อน บุรุษที่นิ่งฟังเงียบๆ อยู่ด้านข้างจึงอดเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยไม่ได้…

‘ท่านผู้สูงส่ง’ ในวาจาของหญิงสาวผู้นี้ ที่แท้ได้สร้างบุญคุณใดไว้ และเป็นผู้สูงส่งเพียงใดสำหรับนาง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: