บทที่ 2
ครึ่งปีก่อน ที่ชายแดนตะวันตก
ระหว่างเทียนเฉากับชนเผ่าในชายแดนตะวันตกมีอาณาเขตชายแดนร่วมกันเล็กๆ ภูมิลักษณ์ที่แปลกประหลาดก่อให้เกิดสภาพอากาศที่เป็นเอกลักษณ์ ทุกครั้งที่เที่ยงวันล่วงคล้อย เมฆจะเริ่มลดตัวลงกลายเป็นเกล็ดน้ำค้างที่จับตัวอยู่บนภูเขา ต่อให้เป็นฤดูร้อน เพียงแค่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ลมก็จะเริ่มพัดโชยมา ทำให้ผู้คนหนาวจนฟันสั่นกระทบกัน และผิวเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ
หลังกระโดดลงมาจากผาอิงจุ่ย กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากของฤดูร้อนโหมทะลักใส่พวกนาง เจียงหุยเสวี่ยไม่หลงเหลือพละกำลังในการต้านทานอีกเลย
นางเพียงกอดโม่เอ๋อร์ไว้แน่น ปล่อยให้กระแสน้ำพัดพาร่างกายหมุนวนกระแทกซ้ายปะทะขวา ประคองศีรษะตนเองให้พ้นผิวน้ำท่ามกลางกระแสคลื่นโดยไม่ลืมที่จะหายใจเข้าและหายใจออก
น้ำเชี่ยวกรากไหลจากที่สูงลงสู่เบื้องล่าง เดี๋ยวก็วิ่งพล่าน เดี๋ยวก็หมุนคว้าง เดี๋ยวก็ร่วงตกลงตามภูมิลักษณ์ จนกระทั่งพวกนางถูกพัดพามาไกลเท่าใดก็ไม่อาจทราบได้
เจียงหุยเสวี่ยรู้สึกเหน็บชาจนแทบสูญเสียสติสัมปชัญญะ จนกระทั่งมีอะไรบางอย่างกัดผมของนางไว้ กระชากจนนางเจ็บไปถึงหนังศีรษะ ทำให้นางรู้สึกตัว พลันหยุดยั้งความนึกคิดที่กำลังจะล่องลอยไปไกลได้ทัน
ขณะที่สมองยังไม่ทันทำงานดี นางก็ออกแรงกอดที่สองแขน พบว่าโม่เอ๋อร์อยู่ในอ้อมกอดไม่ได้หายไปไหน จิตใจนางจึงสงบลง แต่หนังศีรษะกลับถูกดึงอีกครั้ง พลันได้ยินเสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้น…
‘ต้าชง หิวโหยเพียงใดก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้ นั่นเป็นผมคนมิใช่พืชน้ำ อย่าได้กัดเล่น’
เสียงเดรัจฉานพ่นลมหายใจฟืดฟาดดังขึ้นที่ริมโสต เจียงหุยเสวี่ยรู้สึกว่าหนังศีรษะคลายลงทันที ผมยาวร่วงลงมาปรกหน้า
นางเบิกตามองลอดผ่านเส้นผมที่เปียกชื้น นางกับโม่เอ๋อร์ถูกกระแสน้ำพัดพามาถึงริมแม่น้ำตอนล่าง เมื่อมองขึ้นไปเบื้องบน เห็นภูเขาซวงอิงขนาดใหญ่ยักษ์ที่กักขังนางเป็นเวลาสิบปีตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
เวลานี้ดูเหมือนการต่อสู้ที่เชิงเขาจะสงบลงชั่วคราว ในที่ไม่ใกล้ไม่ไกลมีคนจำนวนมากล้มลง อีกทั้งมีคนสิบกว่าคนที่ถูกจับเป็นและมัดรวมกันไว้ทางด้านหนึ่ง กลุ่มชายหนุ่มที่สวมชุดของทหารกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในสนาม ทั้งช่วยคนของตนเองที่ได้รับบาดเจ็บ และเคลื่อนย้ายศพมาวางเรียงให้เป็นระเบียบ
เหตุที่วันนี้ผู้คนทั้งหมดต่างพากันวิ่งลงมาที่เชิงเขาและก่อความโกลาหลวุ่นวาย ไม่มีใครมายับยั้งไม่ให้พวกนางหนีขึ้นไปที่ผาอิงจุ่ย ที่แท้เป็นเพราะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่บุกมาปราบปรามอย่างนั้นหรือ เช่นนี้แปลว่าสวรรค์…ในที่สุดสวรรค์ก็มีตาแล้ว? ขณะที่เจียงหุยเสวี่ยกำลังคิดอย่างเลอะเลือน เสียงร้องฟืดฟาดแหบห้าวก็ดังขึ้นพร้อมลมที่เป่ารดเส้นผมเปียกชื้นของนาง ฟังดูเหมือนกำลังโมโหโทโสไม่พอใจ
พอนางเบนสายตากลับมา ก็ต้องผงะเล็กน้อย เนื่องด้วยระยะอันใกล้ชิดของหัวม้าขนาดใหญ่สีดำสนิท
เสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้นอีกครา เอ่ยอย่างหมดความอดทน ‘ได้ เป็นข้าเข้าใจต้าชงผิด เจ้าไม่ได้กัดผมผู้อื่นเพราะหิวโหย แต่เป็นเพราะกลัวว่านางจะถูกน้ำพัดพาไปจึงรีบช่วยเอาไว้ด้วยปาก คาบผมนางลากขึ้นฝั่ง’
‘ฟืดฟาด…’ มันพ่นลมตามด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ
‘เจ้าจะเอาเรื่องข้าให้ได้เลยหรือ’ น้ำเสียงเขาอ่อนลง ‘ได้ ข้าผิดเอง หลังจากเสร็จเรื่อง ข้าจะเลี้ยงสุรานายท่านเป็นอย่างไร’
เจียงหุยเสวี่ยได้ยินม้าใหญ่ทำเสียงฟืดฟาดอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงเบาลงราวกับว่ายอมรับ ‘เครื่องขอขมา’จากฝ่ายบุรุษแล้ว จากนั้นมันก็ก้าวช้าๆ ไปดื่มน้ำที่อีกด้าน
ต่อมาสิ่งที่เล็ดลอดผ่านม่านผมเปียกชื้นสะท้อนเข้าสู่คลองจักษุของนาง คือขายาวที่อยู่ในชุดรัดกุมสีดำ ถัดจากขาลงมาก็เป็นเท้าใหญ่ในรองเท้าลำลองทำจากหนังสีดำ
บุรุษผู้นั้นเอ่ยกับนาง ‘แม่นางได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ แล้วลุกขึ้นยืนได้หรือไม่’
ลำคอนางแห้งผาก นางกัดฝีปากพลันรู้สึกยากที่จะเอ่ยคำ ทำได้เพียงส่ายหน้าไปก่อน
เขาถามอีก ‘แม่นางน้อยที่เจ้าอุ้มอยู่ วางลงให้ข้าน้อยตรวจดูได้หรือไม่’
‘พี่สาว…พี่สาว…ฮือ…’
ไม่รู้ว่าร่างน้อยในอ้อมกอดตื่นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด หรือเพียงแค่ละเมอร้องไห้ แขนเล็กผอมบางนั้นพลันกอดรัดนางแน่น ศีรษะซุกเข้ามาในอ้อมอกนาง เจียงหุยเสวี่ยสั่นสะท้านไปทั่วร่าง พลางกอดแน่นขึ้นโดยสัญชาตญาณ
นางไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าท่าทีของตนเองในเวลานี้ดูต่อต้าน ระแวงและหวาดหวั่นราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดมาแย่งคนไป
ทหารนายหนึ่งวิ่งอย่างฉับไวมาหยุดอยู่ที่บุรุษตรงหน้านาง รีบร้อนรายงาน…
‘ใต้เท้ายอดมือปราบ พบเด็กหญิงสิบสามคนกับเด็กชายเจ็ดคนในที่คุมขังของภูเขาซวงอิง ดูจากชุดของพวกเขาแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเด็กๆ ที่หายตัวไปอย่างต่อเนื่องของชนเผ่าในแถบนี้ ก่อนหน้านี้หัวหน้าของแต่ละเผ่าเคยแลกเปลี่ยนข่าวสารและช่วยกันตามหา และร้องเรียนไปยังที่ว่าการท้องถิ่นของที่นี่ด้วย ในที่สุดตอนนี้ก็ตามหาพบแล้ว เพียงแต่ว่า…ดูท่าแล้ว…ไม่ค่อยดี…’ คำพูดรัวเร็วเมื่อกล่าวมาถึงช่วงท้ายก็ต้องชะงักลง
เด็กหนุ่มเด็กสาวในวัยแรกรุ่นอันงดงามเมื่อตกมาอยู่ใต้เงื้อมมือของโจรที่ไม่ว่าความชั่วใดๆ ล้วนกระทำและฆ่าคนไม่กะพริบตาเช่นนี้ จะต้องพบเจอกับการปฏิบัติเช่นไร อีกทั้งยังถูกลักพาตัวมาเป็นเวลานานเช่นนี้ สถานการณ์จะเลวร้ายถึงเพียงใด ย่อมไม่จำเป็นต้องขบคิดให้มากความ
เขาเพียงเอ่ยถาม ‘มีที่ยังรอดชีวิตหรือไม่’
นายทหารหายใจเข้าลึกๆ ‘ยี่สิบร่าง…เป็นศพที่ไม่สมบูรณ์’
เจียงหุยเสวี่ยหลังสั่นสะท้าน พลันความเหน็บหนาวแทรกซึมไปทั่วแขนขาและกระดูก
เด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งยี่สิบคนนั้น นางเคยพบพานบนภูเขาซวงอิง…
นางเคยสบสายตากับพวกเขา เป็นดวงตาที่ว่างเปล่าไร้ประกาย สิ้นหวังจนทำให้เท้าของนางเหน็บหนาวราวกับว่าสักวันหนึ่งนางจะต้องกลายเป็นอย่างพวกเขา…แต่มาวันนี้ ทั้งยี่สิบชีวิตล้วนจบลง ไม่หลงเหลือผู้รอดชีวิต อีกทั้งยังถูกคนพวกนั้นเล่นงานจนกลายเป็นศพที่ไม่สมบูรณ์…
นางหลับตาลงด้วยความยากที่จะสะกดกลั้น เสียงร้องครวญอย่างขมขื่นหลุดออกมาจากลำคอ
ทันใดนั้นก็มีวัตถุหนึ่งตกลงบนหัวไหล่อันสั่นเทาของนาง ความอบอุ่นปกคลุมทั่วกาย ทำให้นางช้อนตาขึ้นโดยพลัน
ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นคุยธุระกับนายทหารเสร็จตั้งแต่เมื่อใด ตอนนี้เขาย่อลงมานั่งชันเข่าอยู่ตรงหน้านาง
นางมองเห็นใบหน้าที่มีเค้าโครงอันเด็ดเดี่ยวประดุจรูปสลักของเขา เห็นเขาส่งยิ้มอย่างอบอุ่นให้นางที่ผมเผ้ารกรุงรังและกำลังรู้สึกกระดากอย่างยิ่งยวด สองข้างแก้มเขาห้อยลงเล็กน้อย นางมองดูสองตาอันลึกล้ำมีประกายภายใต้คิ้วที่หนาคมดั่งมีดดาบของเขา นางมองเห็นความซื่อตรงเที่ยงธรรมและเปี่ยมความเมตตาในนั้น
‘แม่นางหมดสิ้นหนทางหนี สุดท้ายจึงพาน้องสาวกระโดดลงมาในแม่น้ำเชี่ยว เพื่อที่จะได้หนีลงมาตามสายน้ำใช่หรือไม่’
เขาเห็นนางเป็นพวกเดียวกับกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวยี่สิบคนที่กลายเป็นศพไม่สมบูรณ์
แต่จะว่าไปแล้วก็ไม่ผิด
เขากล่าวได้ไม่ผิด
นางหลุบตาลงและพยักหน้าอย่างแข็งขัน กระชับเสื้อคลุมตัวหนาที่เขาเพิ่งนำมาห่มให้นางแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ห่อหุ้มร่างเล็กที่เสื้อผ้าปกปิดไม่มิดและสองขาเปลือยเปล่าเอาไว้อย่างแน่นหนา
‘ข้าน้อยแซ่เมิ่ง เป็นคนจากเมืองหลวงของเทียนเฉา มายังที่นี่ในวันนี้เพื่อจับกุมตัวโจรที่มายึดเส้นทางบนภูเขาซวงอิง’ ราวกับว่าไม่อยากทำให้นางตกใจกลัวอีก เขาจึงไม่ได้แตะต้องตัวนาง ทั้งไม่ได้เข้าใกล้แม้สักครึ่งก้าว น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำแต่อบอุ่นเอ่ยขึ้น ‘นอกจากทหารท้องถิ่นแล้ว ชนเผ่าในละแวกใกล้เคียงก็ส่งมือดีมาช่วยอีกแรง มีทั้งที่เป็นบุรุษและสตรี ผู้แซ่เมิ่งจะขอให้ท่านป้าท่านหนึ่งที่ติดตามมาช่วยดูแลพวกเจ้าสองพี่น้องไปก่อนดีหรือไม่’ ราวกับว่าดูออกถึงความสับสนของนาง เขาชะงักไป ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น…
‘แม่นางดูแล้วเหมือนจะไม่ได้รับอันตราย แต่ว่าน้องสาวตัวน้อยในอ้อมกอดของเจ้าจำเป็นต้องได้รับการตรวจอย่างละเอียด อีกทั้งพระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกดินแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น น้ำแข็งและเกล็ดน้ำค้างจะเริ่มจับตัวบนภูเขาซวงอิงแห่งนี้ พวกเจ้าสองพี่น้องเนื้อตัวเปียกปอน จะไม่เสาะหาสถานที่อบอุ่นพักค้างแรมได้อย่างไร’
…ได้อย่างไรหรือ
จริงสินะ ตั้งแต่กระโดดลงมาจากผาอิงจุ่ย นางเพียงคิดแต่จะกระโดดหนีจากกรงขังแห่งนั้น มาตอนนี้ได้กระโดดลงมาแล้ว ยังต้องขบคิดหาหนทางรอดชีวิตต่อไป ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป จะกระโดดสำเร็จแล้วมาแข็งตายภายหลังไม่ได้
หากนางเอาชีวิตมาทิ้งไว้เช่นนั้นจริง นางคงไม่มีทางไปสู้หน้าวิญญาณของคนใกล้ตัวที่อยู่บนสวรรค์ได้
สุดท้ายนางก็เลียริมฝีปาก ส่งเสียงหลังจากเงียบมานาน พูดกับชายหนุ่มแซ่เมิ่งท่านนี้…
‘ใต้เท้า…ช่วยด้วย…’
ในคืนนั้นที่ชายแดนตะวันตกนอกเมือง นางกอดโม่เอ๋อร์และซุกตัวอยู่ในเสื้อคลุมหนากว้างที่บุรุษผู้นั้นมอบให้ ด้วยความช่วยเหลือจากท่านป้าซาฉีซึ่งเป็นหน่วยช่วยเหลือที่ติดตามมา นางกับโม่เอ๋อร์จึงได้ปักหลักในกระโจมหลังเล็กที่ปลูกขึ้นมาชั่วคราว ไม่เพียงเท่านี้ พวกนางสองพี่น้องยังได้อาบน้ำร้อน อีกทั้งยังได้กินอาหารและน้ำแกงร้อนชามใหญ่
เจ้าหน้าที่หนุ่มที่เรียกตนเองแซ่เมิ่งท่านนั้น ดูเหมือนจะมีตำแหน่งที่สูงและสำคัญ ทั้งยังทำงานยุ่งตัวเป็นเกลียว นางเห็นแล้วว่าแม้แต่เจ้าหน้าที่ทางการของท้องถิ่นที่สวมชุดเครื่องแบบต่างพากันมาขอคำชี้แนะหรือหารือกับเขา หัวหน้าเผ่าหลายคนต่างก็มาล้อมวงคุยธุระด้วย
แสดงว่าเขาเป็นบุคคลที่เก่งกาจมาก…
บุคคลที่เก่งกาจท่านนี้ ดูเหมือนจะเข้มงวดและถือตัว แต่กลับปฏิบัติต่อผู้อ่อนแออย่างดียิ่งและมีความอดทนสูงมาก
คืนนั้นนางขดอยู่ในกระโจมพลางกอดโม่เอ๋อร์ที่หลับลึกไป ข้างนอกผู้คนที่ค้างแรมในป่าจุดคบเพลิงขึ้นและจัดเวรยามเฝ้าระวังป้องกัน ความคิดนางวุ่นวายสับสนไม่อาจข่มตาหลับได้ นางเห็นเงาของเขาทาทาบรางๆอยู่บนกระโจม ซึ่งกำลังถามไถ่ความเป็นอยู่ของพวกนางสองพี่น้องกับท่านป้าซาฉีด้วยเสียงแผ่วเบา
ราวกับดูออกว่านางหวาดกลัวและระแวง พอเขาฝากฝังพวกนางกับผู้อื่นแล้ว ก็ไม่ได้มาคุยกับนางอีก แต่กลับไต่ถามเป็นการส่วนตัว
ภายหลังเมื่อสะสางงานสำคัญในภูเขาซวงอิงแล้ว เขากับทหารประจำท้องถิ่นก็คุมตัวโจรภูเขาสิบกว่าคนจากไป ท่านป้าซาฉีจึงนำนางและโม่เอ๋อร์กลับไปที่บ้าน
บ้านของท่านป้าซาฉีตั้งอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ ที่หมู่บ้านแห่งนี้ พวกสตรีจะมีหน้าที่ดูแลเด็กและคนชราในบ้าน ทำนา เลี้ยงหม่อน ทอผ้า ส่วนบุรุษที่ยังหนุ่มแน่นแข็งแรงส่วนใหญ่กลับออกไปค้าขาย
นางและโม่เอ๋อร์อยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้นเป็นเวลาสามเดือนเต็ม
ไม่ใช่ว่าพวกนางไม่คิดอยากจะจากไป
แต่เนื่องจากพวกนางกระโดดลงมาจากผาอิงจุ่ย ถูกกระแสน้ำเชี่ยวพัดพา ทำให้บนตัวโม่เอ๋อร์ได้รับบาดแผลจากการขูดกระแทกหลายแห่ง กระดูกไหปลาร้าข้างซ้ายกับกระดูกซี่โครงถึงกับหักไปสองซี่ นางก็เพิ่งจะรู้ในภายหลัง และนางเองก็ไม่ได้มีอาการดีไปกว่ากัน นางอาจดูเหมือนไม่ได้เป็นอะไร แต่ลมปราณในทรวงอกกลับติดขัด ต้องลอบเดินลมเองอยู่หลายวันถึงจะกระอักเลือดเสียออกมาได้หมด
อีกทั้งร่างกายของนางเกิดความเปลี่ยนแปลงที่นางไม่รู้จัก
ตอนอยู่ในลาดเขาไหเพาะหนอนกู่ที่สำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิง นางคิดว่าตนเองได้ตายไปแล้วจริงๆ ตายแล้วฟื้นคืนชีพใหม่ จึงทำให้เลือดลมในร่างกายของนางเปลี่ยนเป็น…สะอาดขึ้น? หรือควรจะกล่าวว่าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง?
ตอนที่นอนจมกองโคลน ราวกับว่านางตกอยู่ในห้วงแดนอันไร้ขอบเขต ได้ยินเสียงท่านยายคุยกับนาง…
‘อย่าลืมว่าต้องหายใจอย่างไร ยายเคยสอนเจ้า…’
‘เสวี่ยหลานรัก เจ้ายังจำวิธีการหายใจเข้าออกได้หรือไม่’
เมื่อย้อนรอยตามสายใยความทรงจำที่ไม่รู้ว่าซ่อนฝังไว้ตั้งแต่เมื่อใด บางทีอาจจะเป็นตอนนั้น ที่ร่างกายนางตอบสนองขึ้นมาเอง จึงใช้วิชา ‘ธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณ’ ที่ท่านยายเคยสอนนางขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นั่นเป็นวิชาการหายใจเข้าออกเพื่อปรับสมดุลธาตุภายในที่ท่านยายผู้เป็นถึงหัวหน้าแม่มดแห่งเผ่าไป๋ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับวิญญาณของสรรพสิ่งต่างๆ นางในวัยเด็กเคยฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เคยไปถึงโลกวิญญาณไร้พรมแดนดังคำบอกเล่าของท่านยายมาก่อน
แต่ว่าครานี้…นางไม่รู้จริงๆ
บางทีอาจเป็นเพราะถูกบีบคั้นจนถึงที่สุด ไม่มีทางที่จะหนี และหมดสิ้นหนทางถอย ดวงวิญญาณและลมปราณของนางจึงข้ามผ่านทุกสิ่งไปยังห้วงแดนที่ว่างเปล่าแห่งนั้น
ต้นสายปลายเหตุความเปลี่ยนแปลงในร่างกายนางนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่สิ่งเดียวที่แน่ชัดก็คือหนอนกู่ในร่างกายและพิษในเลือดนางล้วนถูกสะกดเอาไว้ นางใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะตระหนักได้ว่าพลังบริสุทธิ์สายนั้นมีต้นกำเนิดมาจากตัวตนและร่างกายของนางเอง
ก่อนหน้านี้ เลือดแต่ละหยดของนางสามารถทำให้ดอกไม้ใบหญ้าที่อุดมสมบูรณ์เปี่ยมพลังชีวิตแห้งเหี่ยวอับเฉาได้ในชั่วพริบตา สำนักเหยี่ยนเหมินจะใช้คนอย่างพวกนางในการปลูกถ่ายหนอนกู่และยาพิษ นางคือ ‘มนุษย์หนอนกู่’ และ ‘ตับพิษ’ แต่พอผ่านการตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมา นางก็ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไป
เลือดเสียที่นางขับออกมาระหว่างการเดินลม ความจริงแล้วก็กระอักลงบนพื้นหญ้า
แต่หญ้ายังคงเป็นสีเขียวสด
นางมองดูเลือดซึมลงดินตาค้าง กลั้นใจรอคอย ดวงตาทั้งคู่จับจ้องไม่กะพริบ ผลปรากฏว่าทุกอย่างล้วนเป็นไปตามปกติ นางไม่ได้ทำให้สิ่งมีชีวิตบนดินตกตายหรือเหี่ยวแห้ง
หลังจากนั้นนางก็ทดสอบอีกหลายครั้ง ถึงขั้นกรีดนิ้วตัวเองเพื่อหยดเลือดผสมลงในน้ำ แล้วลอบนำไปป้อนให้ไก่ที่ท่านป้าซาฉีเลี้ยง
ผลปรากฏว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ ไก่ตัวผู้ยังคงวิ่งเล่นร่าเริง ร้องขันเสียงดังกังวาน ไก่ตัวเมียก็ส่งเสียงไม่หยุดหย่อน วางไข่อย่างขยันขันแข็งต่อไป
นางคิดว่าถ้าหากความเปลี่ยนแปลงนี้มีสาเหตุมาจากวิชา ‘ธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณ’ จริงล่ะก็ นั่นอาจเป็นวิธีเดียวที่นางจะช่วยตนเองได้
วิชา ‘ธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณ’ ปราณไหลเวียนจากจุดตันเถียนไปทั่วแขนขาและกระดูก ขอเพียงจับเคล็ดวิชาได้ ลมปราณจะไหลหลั่งต่อเนื่องไม่ขาดตอน วิธีการจับเคล็ดวิชานี้ทำได้ไม่ยาก เพียงฝึกฝนไปเรื่อยๆ สุดท้ายจะบรรลุหรือไม่ขึ้นอยู่กับโชคและวาสนา
เพราะเหตุนี้นางจึงหันมาฝึกฝนวิธีการหายใจเข้าออกนี้ใหม่อีกครั้ง
ทั้งหมดล้วนพึ่งพาความทรงจำในวัยเยาว์ที่มีอยู่น้อยนิด ค้นหาไปทีละขั้น เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่ได้อะไรเลย บางครั้งนางยังรู้สึกได้ถึงเลือดลมที่มีพลังในการชำระล้าง ซึ่งกดทับอะไรบางอย่างที่พร้อมจะออกมาก่อกวนเอาไว้
ดังนั้นนางกับโม่เอ๋อร์ต่างจำเป็นต้องอยู่ค้างในหมู่บ้านต่อไป โม่เอ๋อร์รักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนนางก็คอยปรับสภาพตนเองที่เปลี่ยนไปจากเดิม ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งไม่อยากจากไป แต่พวกนางมิอาจไม่ไป
หมู่บ้านบนภูเขาของท่านป้าซาฉีนั้นดีมากๆ มีทุกอย่างที่นางวาดหวังไว้ยามฝันถึงวัยเด็ก ท้องฟ้าสีคราม น้ำใสกระจ่าง ผู้คนใช้ชีวิตเรียบง่าย สายลมที่โชยมาปะทะใบหน้า นำเอากลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดและกลิ่นสดชื่นที่ทำให้ผู้คนจิตใจสงบของต้นหญ้ามาให้อยู่เป็นนิจ เพียงแต่ระยะทางจากหมู่บ้านน้อยบนภูเขาแห่งนี้กับภูเขาซวงอิง…
ช่างอยู่ใกล้กันเสียจริง!
วันนั้นที่ทหารของทางการมาจับโจร ในบรรดาสิบกว่าคนที่ถูกจับกุมตัว กลับไม่มีผู้นำของสำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิง ในกองศพของโจรภูเขาที่ถูกนำมาวางเรียงกัน ก็ไม่มีบุคคลที่มีตำแหน่งสูงของสำนักเหยี่ยนเหมินเลย
โฉมหน้าของสำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิงสร้างมาได้ดียิ่ง ในสายตาคนนอก ภูเขาซวงอิงคือที่ที่ถูกโจรโฉดชั่วไม่เห็นกฎหมายหรือฟ้าดินอยู่ในสายตาเข้ามายึดครอง ปล้นชิงทรัพย์สิน และฆ่าคนราวกับมดปลวก มาตอนนี้จับโจรได้แล้วเรื่องก็จบสิ้น แต่กับผู้ที่ใช้โจรชั่วกลุ่มนี้เป็นเครื่องมือและซ่อนอยู่เบื้องหลังความทุกข์อันใหญ่หลวงของนาง หากมิใช่ผู้ที่แทรกซึมอยู่ในนั้น จะมีผู้ใดแยกแยะออก
แรกเริ่มนางสับสนมึนงง มีเรื่องราวมากมายปะปนกัน แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ภายหลังพอได้ตั้งหลักในหมู่บ้านน้อยบนภูเขากับท่านป้าซาฉี จึงอยากจะนำเรื่องมาบอกแต่ก็ไม่รู้ว่าควรที่จะบอกใคร
ไม่มีใครให้บอก ทุกอย่างยิ่งเหมือนกับมีน้ำท่วมปาก ในที่สุดนางจึงโน้มน้าวตัวเองว่าในเมื่อโจรภูเขาแห่งภูเขาซวงอิงถูกจับกุมไปแล้ว สำนักเหยี่ยนเหมินแห่งเผ่าชิงก็ไม่เหลือบริวารที่เป็นลิ่วล้อกลุ่มใหญ่ให้ใช้บงการได้อีกต่อไป รากฐานย่อมได้รับผลกระทบกระเทือน
เพียงแต่ความหวาดกลัวยังคงเกาะกุมจิตใจนางชนิดที่ขับไล่อย่างไรก็ไม่ไป นางกลัวว่าหากยังคงอยู่ต่อไม่ยอมไป แล้วเกิดมีคนตามมาหาถึงที่นี่ ก็จะทำร้ายท่านป้าซาฉีและชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาแห่งนี้
ภายหลังขบวนพ่อค้ากลุ่มหนึ่งของหมู่บ้านบนภูเขาได้สมุนไพรล้ำค่าตากแห้งจากนอกด่านชายแดนตะวันตกมาหลายคันรถ และต้องการจะนำไปส่งที่เมืองหลวงของเทียนเฉา นางจึงกล่าวอำลาท่านป้าซาฉี พาโม่เอ๋อร์ที่เริ่มทุเลาจากอาการบาดเจ็บออกติดตามขบวนพ่อค้ามายังทางตะวันออก ไปให้ไกลจากภูเขาซวงอิง
ก่อนจะจากไป ท่านป้าซาฉีมอบก้อนเงินถุงเล็กๆ ให้แก่นางเป็นพิเศษพร้อมกับใบขออนุญาตเข้าเมือง
‘แม่นางอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ก้อนเงินถุงนี้ไม่ใช่ของบ้านข้า แต่เป็นของมือปราบเทวดาใต้เท้าเมิ่ง เขาฝากฝังให้ข้าช่วยดูแลแม่นางทั้งสอง จึงทิ้งเงินไว้สำหรับซื้อยาและอาหารดีๆ ให้พวกเจ้าสองพี่น้องรักษาอาการบาดเจ็บ และบำรุงร่างกาย ฮ่าๆๆ ความจริงข้าก็ใช้ไปแล้วตั้งมาก เหลือเพียงแค่นี้ เจ้าก็เก็บไว้ดีๆ พอออกเดินทางแล้ว ภายหน้าก็จะมีเรื่องให้ใช้เงินอยู่บ่อยๆ
แล้วก็ใบขออนุญาตเข้าเมืองสองฉบับนี้ ท่านเมิ่งคำนวณไว้อย่างรอบคอบ มืดค่ำคืนนั้นเขามาหาเพื่อไถ่ถาม ข้าก็อธิบายเรื่องของพวกเจ้าให้เขาฟัง บอกว่าตอนนี้พวกเจ้าพึ่งพาอาศัยกันเพียงสองพี่น้อง ไม่มีสมบัติติดตัว ไม่รู้ว่าภายหน้าจะไปลงหลักปักฐานอยู่ที่ใด ท่านเมิ่งจึงให้กระดาษสองฉบับนี้มาก่อนจะไปจากที่นี่ พวกเจ้าก็พกติดตัวไว้จะได้ใช้ในยามผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง’
ท่านป้าซาฉีเป็นผู้มีพระคุณสูงส่งของนางกับโม่เอ๋อร์
ส่วนใต้เท้ามือปราบแซ่เมิ่งยิ่งเป็นผู้มีพระคุณสูงส่งในหมู่ผู้สูงส่ง
ตอนนั้นได้รับความช่วยเหลือจากเขาที่ริมลำธารใต้ภูเขาซวงอิง นางคิดว่าเขาทำให้เพียงเท่านั้น แต่ไม่รู้เลยว่าลับหลังเขายังทำเพื่อพวกนางสองพี่น้องมากมายขนาดนี้
หากไม่มีเขา นางก็จะไม่รู้จักกับท่านป้า ไม่ได้ไปที่หมู่บ้านน้อยบนเขาแห่งนั้น นางกับโม่เอ๋อร์ก็จะไม่มีทางได้รักษาอาการบาดเจ็บดีๆ และหากตอนนั้นพวกนางไม่ได้รับการช่วยชีวิต นางเพียงคนเดียวอาจจะอดทนจนรอดไปได้ แต่ว่าโม่เอ๋อร์…นางไม่กล้าที่จะคิดเลย
ดังนั้นหลังจากนอนกลางดินกินกลางทรายเป็นเวลาครึ่งเดือน ขบวนพ่อค้าก็เดินทางมาถึงเขตแดนอันร่ำรวยและงดงามเปี่ยมสุนทรีของราชวงศ์เทียนเฉา แล้วเดินทางต่อไปไม่กี่วันก็ถึงเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองถึงจุดสูงสุด
แต่แล้วโม่เอ๋อร์พลันล้มป่วย เป็นหวัดและไอเล็กน้อย ร่างกายอยู่ในสภาวะที่มีไข้อ่อนทรงตัวมาตลอดทาง ตัวคนล้มป่วยซมซานไม่มีเรี่ยวแรง
โชคยังดีที่ได้ความช่วยเหลือจากท่านอาผู้นำขบวนพ่อค้าที่เป็นคนกว้างขวาง ช่วยพวกนางเช่าที่อยู่อาศัยเล็กๆ ในเฉิงเป่ยของเมืองหลวงแห่งนี้ ก่อนที่จะออกจากเมืองหลวงไปค้าขายยังอีกอำเภอหนึ่ง
ห้องหับอาจจะเล็กไปบ้าง ลานบ้านก็เป็นลานของเรือนหมู่ที่ทุกคนใช้สอยร่วมกัน แต่สำหรับนางกับโม่เอ๋อร์ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือค่าเช่าราคาถูกมาก
เป็นดังที่ท่านป้าซาฉีพูดไว้ไม่ผิด พอออกเดินทางแล้วก็จะมีเรื่องให้ต้องใช้เงินบ่อยๆ
พวกนางติดตามขบวนพ่อค้าเข้ามายังเมืองหลวง ระหว่างทางก็ใช้เงินไปบางส่วน ต่อมาพอโม่เอ๋อร์ล้มป่วย นางก็ต้องจ่ายค่ารักษาและยาให้ ทั้งยังเช่าห้องที่ทั้งสองคนจะลงหลักปักฐานร่วมกัน ให้สาวน้อยได้พักฟื้นอย่างวางใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก้อนเงินถุงเล็กนั้นก็ร่อยหรอจนแทบจะเห็นถึงก้นถุง
นางจึงไม่มีทางเลือก หยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ข้างรองเท้ายาวออกมาแล้วแกะหินที่อยู่บนนั้นออก ลักลอบนำไปยังโรงรับจำนำ
ตอนที่นางถูกไล่ต้อนไปที่ลาดเขาซึ่งเป็นไหเพาะหนอนกู่ตามธรรมชาติแห่งนั้น นางก็พกมีดสั้นเล่มนี้ติดตัวไว้อยู่ตลอดเวลา
จะว่าไปแล้วก็น่าขำ มีดสั้นนี้เป็นมีดที่เจ้าสำนักเหยี่ยนเหมินมอบให้กับพวกนางทั้งสิบห้าคน ซึ่งเป็นเด็กสาวที่พวกเขาตั้งใจจะใช้ร่างกายเป็นภาชนะปลูกถ่ายหนอนกู่
ภายหลังนางค่อยได้คิดว่าบางทีเจ้าสำนักเหยี่ยนเหมิน นอกจากจะอยากเห็นพวกนางเอาชีวิตไปแลกกับสัตว์มีพิษทั่วทั้งลาดเขาแล้ว ที่จริงก็อยากเห็นว่าพวกนางซึ่งเป็นเด็กสาวเพียงไม่กี่คนจะเข่นฆ่าอย่างทารุณเพื่อช่วงชิงโอกาสรอดอันน้อยนิดของตัวเองอย่างไรบ้าง
ตอนที่อยู่ในไหเพาะหนอนกู่ยักษ์ นางไม่รู้ว่าคนอื่นได้เข่นฆ่านองเลือดตามที่เจ้าสำนักต้องการหรือไม่ แต่ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้นางจำต้องพึ่งพาอาศัยตัวเองเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ต้องดูแลโม่เอ๋อร์ และสิ่งที่จะช่วยได้อย่างรวดเร็วที่สุดก็คือหินสลักรูปงูที่ฝังอยู่บนมีดสั้นนี้
พอนางมาถึงเมืองหลวงแล้วจึงค่อยรู้ว่ามีสถานที่เช่น ‘โรงรับจำนำ’ อยู่ด้วย
หินสลักรูปงูมีขนาดใหญ่ประมาณเล็บนิ้วมือ ความจริงแล้วนางเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีราคาค่างวดเท่าใด แต่พอนำหินเล็กๆ ที่ส่องประกายไปแลกเป็นเงินจำนวนห้าสิบตำลึงเงิน นางก็รู้สึกว่าดีแล้ว…อืม ที่จริงก็ดีจนไม่รู้ว่าจะดีอย่างไรแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็จะได้ซื้อของให้โม่เอ๋อร์ได้พักฟื้นอย่างเหมาะสม แล้วยังมีเงินทุนสำหรับประกอบกิจการขนาดเล็ก
ในที่สุดก็สามารถหนีไปให้ไกลจากชายแดนตะวันตกและลงหลักปักฐานสร้างเนื้อสร้างตัวในเมืองหลวงของเทียนเฉาได้เสียที
หลบลี้อยู่ในเมือง เป็นเช่นนี้ดียิ่ง
อืม…อย่างเดียวที่ไม่ดีก็คือไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เพียงใด หากปล่อยให้เล็ดลอดออกไปเป็นข่าวลือ ข่าวสารนั้นก็จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งเรือนหมู่ หรือถึงขั้นทั่วทั้งตรอกซงเซียง
อย่างเรื่องที่ ‘ท่านเมิ่งมาขอกินทุกวันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง’ สืบเนื่องจากท่านเมิ่งได้ออกมาช่วยนางในที่ที่เขา ‘ไม่ควรจะมาปรากฏตัว’ ต่อหน้าหูตาของผู้คนมากมายในที่เกิดเหตุ สุดท้ายจึงสร้างความวุ่นวายกลายเป็นเรื่องใหญ่
ผู้คนต่างเชื่อคำพูดของโม่เอ๋อร์กันมากกว่า คิดว่าเมิ่งอวิ๋นเจิงมาขอกินจริงๆ ไม่ว่าภายหลังนางจะยืนยันอย่างไรก็ตาม ว่าที่จริงแล้วท่านเมิ่งจ่ายค่าโจ๊กทุกครั้งและยังจ่ายเกินมาตั้งมาก แต่ทุกคนก็ไม่ฟังคำพูดเน้นย้ำของนาง ท่านยายเฉียวถึงกับมาหยิกมือนางเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม…
“เด็กโง่ จ่ายหรือไม่จ่ายเงินสำคัญด้วยหรือ”
ไม่จ่ายเงิน มากินเสียเปล่าๆ แล้วจะไปต่างอะไรจากคนรับใช้ของสกุลจ้าวสามคนนั้นที่อาศัยอำนาจของนายมาข่มเหงผู้อื่น ไฉนจึงไม่สำคัญเล่า เจียงหุยเสวี่ยขบคิดอย่างไม่เข้าใจ รู้เพียงแต่ว่าไม่อยากให้เมิ่งอวิ๋นเจิงถูกเข้าใจผิด จึงรีบแก้ต่างให้อย่างรวดเร็ว
สุดท้ายท่านยายเฉียวก็ยิ้มพลางส่ายหน้า ตบหลังมือของนางอย่างค่อนข้างหมดความอดทน “เอาเถิดๆ เจ้ากับข้าก็นับว่ามีวาสนา ภายหน้าหากมีเรื่องเช่นนี้อีก ยายแก่อย่างข้าจะขออาสาดูให้เจ้าแล้วกัน”
นางยังคงดูเหมือนไม่เข้าใจ
หญิงชราจึงส่ายหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เจ้าเด็กคนนี้…เฮ่อ กลายเป็นแม่นางใหญ่อายุสิบหกสิบเจ็ดแล้ว เหตุใดจึงไม่เข้าใจ ควรจะพูดกับเจ้าอย่างไรดี ชายผู้หนึ่งมาขอโจ๊กเจ้ากินทุกวัน เจ้าคิดว่าเขามาขอกินเพียงแค่อาหารเท่านั้นหรือ เรื่องเช่นนี้ เจ้าเป็นสตรีไม่สะดวกออกปากเอง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรีบ มียายแก่อย่างข้าอยู่ทั้งคน พวกข้าไปถามท่านเมิ่งให้กระจ่างแทนเจ้าก็ได้”
แม่นางผู้หนึ่ง ชายผู้หนึ่ง เรื่องราวเช่นนี้…
ที่แท้ทุกคนกำลังคิดว่า…คิดว่าที่ชายผู้นั้นสนใจไม่ใช่อาหาร แต่เป็นนางอย่างนั้นหรือ
เจียงหุยเสวี่ยพลันตระหนกจนใบหน้าซีดเผือด!
นางเริ่มจากตกใจจนหน้าถอดสีก่อน ผ่านไปสักครู่สองข้างแก้มค่อยขึ้นสีเลือดฝาด แดงซาบซ่านระบายไปทั่วใบหน้าดวงเล็ก
เรื่องราวดำเนินไปถึงขั้นที่ต่อให้นางพูดจนปากฉีก ก็ไม่อาจแก้ไขให้กระจ่างได้ ไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไร ท่านยายเฉียวก็คงมีความคิดเป็นของตนเองไปแล้ว ใช่ว่านางจะสั่นคลอนได้ง่ายๆ
ความจริงแล้ว ตั้งแต่นางออกจากชายแดนตะวันตกมาลงหลักปักฐานในเมืองหลวง นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันได้พบกับ ‘ผู้มีพระคุณสูงส่งในหมู่ผู้สูงส่ง’ อีก
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางถูกความจริงตามไล่ล่า จำต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ต้องดูแลโม่เอ๋อร์ ต้องหาทางมีชีวิตต่อไป แล้วยังต้องใส่ใจต่อความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายอยู่เนืองๆ…
แรกเริ่มนางไม่ได้คิดอะไรมาก จนนางได้ยินผู้อื่นกล่าวขวัญถึงความสำเร็จต่างๆ ของท่านเมิ่งที่เพิ่งได้รับตำแหน่งมือปราบเทวดา นางค่อยนึกขึ้นได้ว่าตัวนางกับใต้เท้ายอดมือปราบบางทีอาจจะอยู่ในที่เดียวกันของเมือง อาจจะอยู่ใกล้กันมากๆ ก็ได้
หลังจากนั้น วันหนึ่งเขาก็มาปรากฏตัวต่อหน้านางอย่างเป็นมั่นเหมาะ
เขามาชี้แนะวิชาการต่อสู้ให้กับเหล่าเด็กๆ ในตรอกซงเซียง ขอชิมโจ๊กหนึ่งชามจากนาง ตอนนั้นที่นางพบเจอกับเขา พายุในใจนางปั่นป่วนเกินกว่าที่คำพูดใดจะพรรณนาได้
นางคิดว่าตนเองต้องดูโง่เง่ามากแน่ๆ มัวแต่ตกตะลึงปล่อยให้เขาพูดตั้งสามครั้งกว่าจะเข้าใจ พอเรียกสติคืนได้แล้วก็ตื่นเต้นลนลาน
สิบนิ้วเชื่อมโยงกับใจ เพราะใจของนางกำลังตื่นเต้นยินดี ทำให้นิ้วทั้งสิบของนางสั่นระริก แม้แต่ ‘การตักโจ๊กส่งให้อย่างสงบเสงี่ยม’ นางยังทำได้ไม่ดี
เขาจำนางไม่ได้
พอทราบถึงข้อนี้แล้ว แรกเริ่มนางก็ตกใจมาก แต่พอย้อนนึกดูถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น…
นางมีเส้นผมเปียกปอนปกปิดใบหน้า ตื่นกลัวดุจวิหคตื่นเกาทัณฑ์ หนาวจนเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง อีกทั้งปวดจนรู้สึกด้านชา จะกล่าววาจาใดก็กล่าวได้ไม่ครบถ้วน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโม่เอ๋อร์ที่กอดนางแน่นไม่ยอมปล่อยมาตั้งแต่ต้นจนจบ ขดตัวภายในอ้อมอกนางและสั่นอย่างรุนแรงยิ่งกว่านางเสียอีก
เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ชีวิตลงตัวดีแล้ว นางเชิดหน้ายืดอกใช้ชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข เลี้ยงดูโม่เอ๋อร์จนมีเนื้อมีหนัง เรียนรู้ที่จะหัวเราะ ว่าจะหัวเราะร่วมกับผู้อื่นอย่างไร เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างชาวบ้านธรรมดาสามัญ พยายามนึกถึงรายละเอียดของทุกอย่างที่นางเคยมีก่อนช่วงอายุหกขวบ…นางในตอนนี้ แตกต่างจากหญิงสาวที่ถูกม้าของเขาดึงผมขึ้นฝั่งในวันนั้นเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็มีหน้าตาภายนอกที่ยากจะนึกเชื่อมโยงกัน เขาจะจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา
แล้วก็เพราะความเห็นแก่ตัวของนางเอง นางรู้สึกว่าไม่อยากให้เขาจำได้ เช่นนั้นก็ดีแล้ว
แม้นางจะรู้สึกซาบซึ้งเขาอยู่ในใจ แต่ก็คิดว่าหากจะทำความรู้จักกับผู้มีพระคุณท่านนี้ ก็จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องที่ภูเขาซวงอิง
ครั้งนี้นางมีสติแจ่มชัดและทราบแน่แก่ใจดีว่าหากเขาได้สอบถามเรื่องของนางกับโม่เอ๋อร์อย่างละเอียด ก็ไม่มีทางที่ความจริงจะไม่ปรากฏ แล้วเรื่องที่นางกับโม่เอ๋อร์ปลูกถ่ายหนอนกู่เข้าสู่ร่างกาย เลือดกับลมปราณถูกนำมาใช้ทำยาพิษและถูกบังคับให้ทำเรื่องส่งกระพือเสริมความชั่วร้ายเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ก็จะไม่อาจปิดบังได้นาน
ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีชีวิตที่สงบสุขได้ นางอยากจะพาโม่เอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้า ไม่อยากหันกลับไปหาเรื่องใดๆ ก็ตามที่ข้องเกี่ยวกับภูเขาซวงอิงอีก
ส่วนโม่เอ๋อร์ คงไม่อยากนึกถึงที่นั่นยิ่งกว่านางแน่นอน
“มาขอกิน ฟ้ายังไม่สาง ก็มาแล้ว” เวลานี้ แม้ว่าเด็กสาวจะกลับเข้ามาอยู่ในห้องเล็กๆ ทางด้านหลังที่นางพำนัก และฟังคำอธิบายของพี่สาวแล้ว แต่ก็ยังคงยืนกรานตามความคิดของตนเอง ยืนกรานดื้อดึงจนสองแก้มกลมป่อง
เจียงหุยเสวี่ยยิ้มฝืดเฝื่อน พูดขึ้นอีกครั้งอย่างเหลืออด “ไม่ใช่มาขอกิน เขาจ่ายเงินนะ จ่ายเงินแล้ว จึงไม่ใช่การมาขอกินดื่มเปล่าๆ แล้วก็…” หยุดไปครู่หนึ่ง “อย่าพูดเสียงดังเช่นนี้ ยังต้องสำรวมจิตใจสำหรับการฝึกเดินลมปราณทั้งวันถึงจะพักผ่อนได้ โม่เอ๋อร์มีสมาธิอยู่กับการหายใจหน่อย”
หญิงสาวและสาวน้อยนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากันอยู่บนเตียง กำลังฝึกเดินลมปราณ นี่เป็นวิชาที่แม่นางทั้งสองต้องทำทุกวันหลังจากเก็บร้านขายโจ๊กแล้ว
แม้เจียงหุยเสวี่ยจะยังไม่เข้าใจว่าที่แท้เกิดเหตุอะไรขึ้นตอนอยู่บนลาดเขา แต่นางก็นึกถึงวิชา ‘ธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณ’ ของหัวหน้าแม่มดแห่งเผ่าไป๋ขึ้นมาได้ วิชาการเดินลมปราณนี้มีประโยชน์คือทำให้ร่างกายนางได้รับการชำระล้างจนบริสุทธิ์ นางจึงจับโม่เอ๋อร์ให้มาปฏิบัติด้วยกัน
หลังจากผ่านพ้นนรกขุมนั้นบนลาดเขามาได้ ดูเหมือนว่าหนอนกู่พิษภายในร่างกายของโม่เอ๋อร์จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ภายในร่างกายของเด็กสาวที่เป็นดังเช่นสมรภูมินี้ จากไฟสงครามที่ลุกโชติช่วงกลายเป็นการลดธงลั่นกลองพักรบ และจากเสียงที่ดังสนั่นเลื่อนลั่นปฐพีกลายเป็นเงียบงันดุจนรกขุมอเวจี ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
เพราะฉะนั้นนางจึงให้โม่เอ๋อร์ฝึกวิชา ‘ธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณ’ ด้วยกัน
ตอนนี้หนอนกู่พิษถูกสะกดเอาไว้ หากเพียรพยายามฝึกเดินลมต่อไป บางทีอาจมีสักวันที่สามารถชำระล้างเลือดเนื้อให้สะอาดบริสุทธิ์ได้จริงๆ
การพาโม่เอ๋อร์นั่งสมาธิฝึกหายใจเข้าและออกนั้นไม่ใช่เรื่องยาก โม่เอ๋อร์มีสมาธิดีกว่าคนทั่วไป ทั้งยังเชื่อฟังนางอย่างยิ่ง ฝึกเดินลมเพียงวันเดียวก็ได้ผลรุดหน้าไปไกล จากที่เคยหน้าตาซีดเซียวและผ่ายผอมราวกับว่าหากฟันลำตัวทีเดียวก็ขาดกลายเป็นดูเนียนใสอ่อนวัย แม้ว่าจะยังคงผอมแคระแกร็นเป็นอย่างมาก แต่ใบหน้าเล็กๆ อันงดงามก็ดูสดใสเปล่งปลั่ง ดวงตาเป็นประกาย ทำให้ผู้ที่ริเริ่มถางทางให้อย่างนางปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก
แต่ว่าวันนี้ดรุณีน้อยกลับไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ก่อกวนนางจนพลอยจิตใจไขว้เขวไปด้วย
พอมาตอนนี้โดนเจียงหุยเสวี่ยดุ โม่เอ๋อร์ที่ถือเอาคำพูดของพี่สาวเป็นกฎเหล็กมาตลอดจึงยอมหลับตาลงอย่างขุ่นเคืองแง่งอน
หายใจเข้า หายใจออก แล้วก็หายใจเข้า แล้วก็หายใจออก โม่เอ๋อร์หายใจเข้าและออกซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วอารมณ์ก็ปะทุขึ้นมา ไม่อาจอดกลั้นอีกต่อไป เด็กสาวพลันลืมตาขึ้นมาร้องโวยวายอย่างไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น…
“ไม่จ่ายเงิน! จ่ายค่าโจ๊ก แต่ไม่จ่ายค่าขนมแป้งนึ่ง! ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมเป็นของโม่เอ๋อร์ ไม่ใช่ของเขา พี่สาวทำมาให้โม่เอ๋อร์กิน ไม่ได้ทำมาให้เขา แต่เขามากิน มาขอกิน!” ราวกับรู้สึกเสียเปรียบเป็นอย่างมาก ดวงตาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
คราแรกเจียงหุยเสวี่ยชะงักไป ความคิดหมุนคว้าง จากนั้นจึงค่อยเข้าใจว่าที่ดรุณีน้อยอาละวาดคือเรื่องอะไร
ท่านเมิ่งมารอกินโจ๊กตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ในวันเหล่านี้นางจำได้แล้วว่ามีอยู่สามวันที่ในครัวมีขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมเหลืออยู่พอดี หลังจากที่ท่านเมิ่งกินโจ๊กขาวห้าสหายเป็นอาหารเช้าแล้ว นางจึงให้ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมจานเล็กๆ กับอีกฝ่ายเป็นของว่างหลังอาหาร
วันนั้นที่กระโดดลงมาจากผาอิงจุ่ย นางกอดโม่เอ๋อร์ไว้ บอกว่ารอให้กระโดดลงไปแล้วนางจะทำขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมมาให้กินเองกับมือ หลังจากนั้นนางผู้เป็นพี่สาวก็ทำตามคำสัญญานี้ แล้วยังทำขนมอีกตั้งหลายครั้ง เพราะว่าโม่เอ๋อร์ชอบมาก จนขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมกลายเป็นขนมโปรดประจำตัวของสาวน้อย
นางค่อยนึกได้ ว่านั่นก็คงจะเป็นขนมโปรดประจำตัวของท่านเมิ่งเช่นกัน
สีหน้ายามที่บุรุษผู้นั้นกินขนม ดวงตาดั่งขุนเขาหรี่ลงเล็กน้อย เคี้ยวอย่างช้าๆ ลิ้มรสชาติในปากอย่างตั้งอกตั้งใจ
นางยังแอบมองดูทุกครั้งที่เขากลืนขนมคำสุดท้ายลงไป เขาจะทำริมฝีปากให้ชุ่มราวกับยังต้องการจะกินต่อ ถึงขั้นแลบลิ้นออกมาเลีย หลังจากนั้นก็จะหลุบตาลงมองจานเปล่าอยู่สักพัก
ที่แท้ท่านเมิ่งที่เป็นถึงมือปราบเทวดาก็ชื่นชอบของหวาน ทุกครั้งที่นึกถึงเขายามกินขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อม ใจนางมักจะอ่อนยวบ มุมปากหยักยิ้มขึ้นมา
ว่าตามจริงแล้ว ความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าที่เขาแสดงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นเหมือนกับของโม่เอ๋อร์ ดูเอร็ดอร่อยอย่างแท้จริงและพออกพอใจราวกับอยากทอดถอนชื่นชม ทั้งยังทำให้คนรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก
เด็กสาวเพียงแค่รู้สึกว่าตัวเองถูก ‘แย่งกิน’ จึงมาโวยวายกับนาง
การฝึกวิชาในวันนี้ผ่านไปได้เพียงครึ่งทาง ก็ยากที่จะสงบจิตใจ เจียงหุยเสวี่ยจึงหยุดในทันที แล้วเอื้อมมือไปหยิกแก้มนุ่มนิ่มของสาวน้อย กล่าววาจาชวนหัวว่า “โม่เอ๋อร์ของเรานี่กินจนเริ่มมีเนื้อมีหนังแล้ว หยิกสนุกจริงๆ แต่ว่ากินขนมแทนข้าวแล้วยังกินเป็นของว่างยามดึก วันทั้งวันก็กินแต่ของหวานไม่หยุดเช่นนี้ สักวันโม่เอ๋อร์ต้องกลายเป็นตัวอ้วนกลมจนเบียดพี่สาวตกจากเตียง แล้วทีนี้พี่สาวจะไปนอนที่ใดดีเล่า”
“ยังไม่อ้วนกลมนะ ไม่สักหน่อย!” ใบหน้างดงามบวมป่องยิ่งกว่าเดิม หยิกสนุกจริงๆ
เจียงหุยเสวี่ยยิ้มไม่หยุด ลูบหัวของเด็กสาว “โม่เอ๋อร์ ท่านเมิ่งผู้นั้นเขาเป็นคนดี เป็นคนดีมากๆ เขาดีต่อพวกเรา มีบุญคุณต่อพวกเรา เป็นผู้มีพระคุณของข้ากับโม่เอ๋อร์…พวกเรา…ต้องตอบแทนบุญคุณ แล้วก็ต้องดีต่อเขานั่นถึงจะถูก” นางพูดให้ใจความสั้นลง อธิบายอย่างเรียบง่าย ไม่ได้บอกว่าบุญคุณนั้นได้มาตั้งแต่เมื่อใด เพราะไม่อยากให้ดรุณีน้อยไปนึกถึงเรื่องเก่าๆ อีก
โม่เอ๋อร์เงียบงันไม่เอ่ยคำไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “คืนของสิ่งนั้นให้เขา ก็จะ…ก็จะนับว่าตอบแทนบุญคุณแล้ว”
เจียงหุยเสวี่ยเลิกคิ้ว “ของสิ่งใด”
ร่างเล็กๆ นั้นคลานไม่กี่ก้าวลงมาจากเตียงยาว หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากหีบเสื้อผ้าที่หัวเตียง ส่งถึงเบื้องหน้าของพี่สาว “สิ่งนี้”
นั่นคือเสื้อคลุมตัวยาวสีดำของบุรุษ ผ้าเนื้อหนาลูบแล้วให้เนื้อสัมผัสหยาบ แต่ว่าเก็บความอบอุ่นได้ดี
เจียงหุยเสวี่ยสูดหายใจอย่างหนาวเหน็บ มองดูเสื้อคลุมตัวใหญ่นั้นที่โม่เอ๋อร์หยิบออกมากางต่อหน้านาง…
นี่เป็นเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่เมิ่งอวิ๋นเจิงเอามาคลุมบนไหล่ของนาง เพื่อปกปิดร่างกายที่เปล่าเปลือยและให้ความอบอุ่นกับพวกนางทั้งสอง
สมองพลันสว่างวูบ นางช้อนตามองดูสาวน้อย พูดเสียงเบาอย่างดีอกดีใจ…
“ที่แท้โม่เอ๋อร์ก็รู้อยู่แล้ว เจ้าจำเขาได้ด้วย”
นางคิดว่าในวันที่น่าอกสั่นขวัญแขวนวันนั้น ร่างน้อยๆ ของโม่เอ๋อร์เอาแต่ขดอยู่ในอ้อมอกนาง ตัวสั่นงันงกจนไม่ยอมมองและไม่กล้ามองอะไรเลย แต่ที่จริงแล้ว เด็กสาวก็แอบมองดูว่าผู้ที่เป็นเจ้าของเสื้อคลุมหน้าตาเป็นอย่างไร และจำได้ขึ้นใจ…
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.