X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย

ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 5

เขาไม่ได้มารอโจ๊ก

เขากลับมาเมืองหลวงคืนนี้ ถือป้ายอาญาสิทธิ์สีนิลขอเข้าเมือง เพียงเพื่อที่จะกลับจวนปลดอานปล่อยม้าไปพัก เมื่อเห็นของเล่นทำจากไม้ที่อยู่ในกระสอบหลังอานม้า ไม่ทันคิดอะไรก็วิ่งมาที่นี่ พอเข้ามาถึงเรือนหมู่แล้วค่อยฉุกคิดว่าทำเช่นนี้ช่างบุ่มบ่ามยิ่งนัก

บานประตูของบ้านเก่าปิดลงแล้ว หน้าต่างเล็กที่แง้มไว้มีแสงเทียนน้อยนิดลอดออกมา คนข้างในคงจะขึ้นเตียงนอนไปแล้ว เขาไม่คิดจะเข้าไปรบกวน แต่นึกไม่ถึงว่านางจะมาปรากฏตัวที่ริมหน้าต่าง แล้วยังมองผ่านๆออกมาข้างนอก

เจียงหุยเสวี่ยรู้ว่าเขาไม่ได้มารอโจ๊ก แต่ถ้าไม่ได้มาเพื่อโจ๊ก แล้วมาเพื่ออะไรกันเล่า

ที่นี่เป็นบ้านเก่าของเขา เป็นที่ที่เขาเคยพักพิงและใช้ชีวิตร่วมกับมารดา อาจจะรู้สึกตัดไม่ขาด ตอนนี้พอปล่อยเช่าแล้ว จึงมักจะมาที่นี่อยู่บ่อยครั้งเพื่อเยี่ยมเยือน?

แม้จะไม่ได้มารอโจ๊ก แต่ว่าท้องของใต้เท้าพลันร้องเสียงดัง

เจียงหุยเสวี่ยไม่แน่ใจว่าเขาหน้าแดงหรือไม่ แต่แน่ใจว่าสองแก้มของตนร้อนลวก เนื่องจากโม่เอ๋อร์ลุกจากเตียงลงมายืนอยู่ข้างนางแล้ว ตอนที่ท้องของบุรุษส่งเสียงดังปาน ‘ฟ้าร้อง’ โม่เอ๋อร์พลันจับมือนางแน่นราวกับถูกทำให้ตกใจ แล้วชูแขนผอมบางชี้ไปยังช่วงท้องของบุรุษ เงยใบหน้าเล็กขึ้น ดวงตาจับจ้องนาง

นางค่อยเข้าใจความหมายของโม่เอ๋อร์ ดรุณีน้อยตกใจอย่างมาก ทั้งตกใจและอัศจรรย์ใจ เพราะไม่เคยได้ยินเสียงท้องคนดังปานลั่นกลองเช่นนี้มาก่อน จึงดึงมือชวนให้นางดูเพื่อ ‘แบ่งปัน’ เรื่องน่าอัศจรรย์เช่นนี้กับนางผู้เป็นพี่สาว

สุดท้ายนางจึงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า…

“ท่านเมิ่งเพิ่งกลับมาถึง จึงกินอาหารเย็นไม่ทันใช่หรือไม่”

เขาทาบฝ่ามือใหญ่ลงบนท้อง ตอบคำกลั้วหัวเราะ “ ใช่ ข้ากินอาหารเย็นไม่ทันจริงๆ”

เช่นนั้นก็รีบไปกินเถิด! ความจริงนางควรจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่รู้สึกใจอ่อนยวบ สิ่งที่หลุดออกมาจากปากกลับเป็น…

“ในครัวยังมีข้าวกับแกงเต้าหู้เหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีผักดองที่ท่านอาชุนเอามาให้ ทำเป็นข้าวต้มหม้อไฟใช้เวลาไม่นาน หากท่านเมิ่งไม่รังเกียจ จะกินของพวกนี้ได้หรือไม่”

ใต้แสงจันทร์สีขาว บุรุษผู้นั้นเพิ่งจะหยักมุมปากขึ้นอย่างอ่อนโยน เค้าโครงหน้าที่เป็นเหลี่ยมมุมชัดเจนดูสลัวเลือนราง

นางเห็นเขาพยักหน้า ก้าวเท้าอย่างเชื่องช้ามาทางตนเอง

นางถอนใจเบาๆ ในอกรู้สึกปวดแปลบ ค่อยรู้ตัวว่าตนเองกลั้นหายใจรอคอย คาดหวังให้เขาปฏิเสธ แต่ก็หวังว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ สับสนไม่เข้าใจว่านึกอยากให้เป็นเช่นไรกันแน่

แต่ว่าเขาหิวแล้ว นี่เป็นความจริงที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่

ดังนั้นเทียนไขในครัวจึงสว่างขึ้นอีกครั้ง ไฟอ่อนที่จุดขึ้นอย่างระมัดระวังเมื่อวางฟืนลงไป ก็ลุกโชนขึ้นมาทันทีและแตกปะทุเสียงดัง ทั่วห้องอบอุ่นขึ้นทันใด

เจียงหุยเสวี่ยหยิบผักดองสามจานออกมาอย่างแคล่วคล่อง ตักข้าวที่เหลืออยู่ทั้งหมดลงในชามขอบกว้างใบใหญ่ โปรยขิงและต้นหอมลงไป แล้วราดแกงเต้าหู้ที่ต้มจนร้อนควันฉุยลงบนข้าว

“เสร็จแล้ว” เมื่อนางวางข้าวต้มหม้อไฟลงบนโต๊ะ ก็เห็นบุรุษทางหนึ่งปลดเสื้อคลุมลงช้าๆ ทางหนึ่งจ้องตากับโม่เอ๋อร์

เขานั่งบนม้านั่ง โม่เอ๋อร์กลับขดตัวอยู่ข้างเตา นั่งบนม้านั่งตัวที่เล็กกว่า

ตรงนั้นเป็นที่ประจำของโม่เอ๋อร์ บางครั้งเด็กสาวจะนอนดึกตื่นเช้าพร้อมๆ กับนาง เพราะสาวน้อยไม่กล้ากลับห้องไปนอนคนเดียว มักจะขดตัวนั่งงีบสัปหงกอยู่ตรงนั้น ที่ตรงนั้นจะมีเก้าอี้ที่เป็นของโม่เอ๋อร์ และมีโต๊ะน้ำชาธรรมดาทั่วไปอีกตัวหนึ่ง

ตอนนี้บนโต๊ะน้ำชามีของสิ่งหนึ่งซึ่งทำจากไม้วางอยู่ เจียงหุยเสวี่ยไม่เคยเห็นของเล่นนั้นมาก่อน

กลิ่นหอมของอาหารมัดตัวบุรุษที่หิวจนท้องร้องได้อยู่หมัด เมิ่งอวิ๋นเจิงถอนสายตากลับมาทันที เมื่อไอร้อนจากข้าวต้มหม้อไฟชามใหญ่ปะทะหน้าเขา หัวใจเขาก็บีบรัด

น้ำลายล้นเอ่อขึ้นมา เขาหายใจพ่นลมเข้าออกลึกๆ เพื่อระงับความซาบซึ้งใจที่ก่อตัวขึ้น

เอ่อ เป็นความประทับใจจริงๆ…

“ขอบคุณแม่นาง เช่นนั้นผู้แซ่เมิ่งไม่เกรงใจแล้ว” ยังรู้จักขอบคุณสักคำ นับว่าเขามีความตั้งใจแก่กล้า จากนั้นเขาก็มือหนึ่งหยิบช้อนไม้ มือหนึ่งถือตะเกียบ ลงมือกินอาหาร

หม้อไฟร้อนๆ บวกกับรสเผ็ดอ่อนๆ ของผักดอง แม้จะเป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจและกระเพาะของผู้คนอบอุ่นในค่ำคืนอันเหน็บหนาว

มารยาทการกินของเขาไม่หยาบคาย แม้จะหิวจนท้องร้องโครกคราก เมื่ออาหารมาอยู่ตรงหน้า เขาก็กินอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้สวาปามกลืนลงท้อง กลับกินแต่ละคำอย่างตั้งใจ ท่วงท่าจริงจัง ตักข้าวต้มกินคำหนึ่ง คีบผักกินคำหนึ่ง เวลากินไม่พูดจา ไม่นานนักก็ยกชามขอบกว้างใบใหญ่ขึ้นซด ผักดองจานเล็กสามจานก็กินหมดพอดี

เจียงหุยเสวี่ยนึกทบทวน เมื่อมองดูบุรุษตรงหน้ากินอาหาร ในใจนางจะรู้สึกเต็มอิ่มจนถึงขั้นภาคภูมิใจเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าอาหารนั้นเรียบง่ายแทบไม่มีอะไรเลย เขากลับกินอย่างเอร็ดอร่อยปานนั้น นางอดคิดไม่ได้ว่าเวลาที่เขาออกไปทำงาน ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว จะจัดการเรื่องอาหารการกินอย่างไร ใช่อดมื้อกินมื้อหรือไม่ หรือว่าทนกินอาหารแห้งไปก่อนเพื่อความสะดวก

เมื่อเงยหน้าแล้วเห็นหญิงสาวจ้องตนเขม็ง เมิ่งอวิ๋นเจิงก็รู้สึกกระดาก แต่ยังคงรักษาท่าที เพียงยิ้มอย่างสุขุมพลางกล่าว “อาหารมื้อนี้ดียิ่ง รบกวนแม่นางแล้วจริงๆ”

อาหารมื้อนี้…ดียิ่ง? เอ…

เจียงหุยเสวี่ยสะกดกลั้นการถอนหายใจไว้ พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้คำขอบคุณของเขา ดวงตาชำเลืองมองไปที่โต๊ะน้ำชา ตอนนี้เขากินข้าวต้มหม้อไฟเสร็จแล้ว นางจึงถาม…

“ท่านเมิ่งนำของมา…เป็นสิ่งใดกัน ดูแล้วเหมือนของเล่นไม้ที่พวกเด็กๆ เล่นกัน”

นางสังเกตสีหน้าของโม่เอ๋อร์ เดิมใบหน้าน้อยๆ ที่ดูง่วงงุนกลายเป็นตื่นเต็มที่ นัยน์ตารูปเมล็ดซิ่งกลมโต จากเดิมที่จ้องมองบุรุษตาไม่กะพริบ พอฝ่ายหลังลงมือกินข้าวต้มหม้อไฟ ดวงตารูปเมล็ดซิ่งคู่นั้นก็เปลี่ยนมามองสิ่งของบนโต๊ะเล็ก โม่เอ๋อร์จับจ้องไม่วางตา มีประกายของความหลงใหล

เห็นได้ชัดว่าดึงดูดความสนใจของดรุณีน้อยแล้ว

เมิ่งอวิ๋นเจิงวางช้อนไม้และตะเกียบ หันไปหาโม่เอ๋อร์อีกครั้ง เขาหยิบของเล่นไม้บนโต๊ะเล็กขึ้นมาเล่นโดยใช้ทั้งสองมือ แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ของสิ่งนี้เรียกว่า ‘สิบสองห่วง’ ดูนี่ ด้านบนมีห่วงเล็กอยู่ทั้งหมดสิบสองห่วง ห่วงเล็กเหล่านี้ ห่วงหนึ่งเชื่อมต่อกับอีกห่วง ต้องหาทางเคลื่อนห่วงทั้งสิบสองไปยังอีกด้านของวงกลม ปลดห่วงทั้งสิบสองออกจากกัน ถึงจะเรียกได้ว่าสำเร็จ” เขาอธิบายพลางสาธิตให้ดู สิบนิ้วง่วนเป็นพัลวัน ช่วยไม่ได้ที่แก้ไม่ออกสักห่วง ยังคงคล้องต่อกันเป็นทอด

สุดท้ายก็โยนสิบสองห่วงกลับลงไปบนโต๊ะเล็ก สีหน้าหมดความอดทน “ไม่เล่นแล้ว…ไม่เล่นแล้ว จะเล่นอย่างไรก็เล่นไม่ได้ โกหกผู้คนแท้ๆ น่าจะทิ้งไปตั้งนานแล้วจะได้ไม่เกะกะขวางตา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครที่อดทนพอจะแก้สิบสองห่วงนี้ออกจากกันได้”

เมื่อของเล่นนั้นหลุดออกจากมือเขา โม่เอ๋อร์ที่ ‘จ้องตาเป็นมัน’ อยู่ด้านข้างก็มาแย่งไปถือไว้กับอก

ดรุณีน้อยเข้าสู่โลกลืมเลือนตัวตนในทันที ถือของเล่นสิบสองห่วงขึ้นมาเล่น เสียงไม้กระทบกันดังสั้นๆ และถี่รัว แล้วความเร็วก็เปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าดรุณีน้อยกำลังอารมณ์ดี ตื่นเต้นคึกคักอย่างมาก

หลอกล่อกันนี่นา! เจียงหุยเสวี่ยรู้ได้ในทันที

เริ่มแรกเขาวางสิบสองห่วงไว้บนโต๊ะเล็ก เจตนาเดิมคือเพื่อดึงดูดความสนใจโม่เอ๋อร์

แต่นางรู้ว่าน้องสาวตนไม่มีทางลงมือบุ่มบ่าม แม้ว่าจะล่อสายตาหรือชวนให้คันยุบยิบในหัวใจจนยากจะทานทนเพียงใด ทว่ากับคนหรือสิ่งของที่ไม่สนิทสนมคุ้นเคยแล้วโม่เอ๋อร์มักจะสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างก่อนเสมอ และเขาก็รู้นิสัยข้อนี้ของโม่เอ๋อร์เป็นอย่างดี

นางดูออกว่าสิบสองห่วงเป็นของที่เขาตั้งใจนำมาให้โม่เอ๋อร์โดยเฉพาะ แต่เขาไม่ได้มอบให้โดยตรง เขารอให้โม่เอ๋อร์มาแย่งไป เพื่อให้โม่เอ๋อร์ลดความระแวงลงอย่างง่ายดาย

“ขอบคุณท่านเมิ่ง” นางยกชาร้อนมาให้เขา

หญิงสาวงดงามและเพียบพร้อมด้วยสติปัญญา มองเจตนาของเขาออก เมิ่งอวิ๋นเจิงไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย

เขายิ้มออกมาจากใจ น้ำเสียงไม่มีวี่แววของความรำคาญใจเช่นก่อนหน้านี้ แต่กลับสุขุมนุ่มนวล…

“ผู้ที่สมควรขอบคุณคือผู้แซ่เมิ่งต่างหาก ต้องขอบคุณแม่นางโม่เอ๋อร์ที่ในวันนั้นยอมเสียสละขนมแป้งนึ่งให้กับข้า”

“แต่ข้าจำได้…ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมตะกร้านั้น ท่านเมิ่งไม่ได้กินสักชิ้น” คำพูดนี้พอโพล่งออกไป เจียงหุยเสวี่ยก็รู้สึกเสียใจ นางไม่อยากให้น้ำเสียงตนเองฟังดูเหมือนกำลังแค้นใจ หรือกล่าวโทษใคร

ดีที่ท่าทีเขายังเหมือนเดิม เขากล่าวว่า “ลาภปากข้ายังดี ได้กินไปแล้ว” เขาเล่าเรื่องที่ศิษย์น้องมู่ไคเวยแอบเก็บขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมไว้กับตัว แล้วค่อยเอา ‘ของโจร’ ออกมาส่งมอบ “บางครั้งมีเหตุด่วน ไม่ได้กินอาหารให้ตรงเวลาหรือกินให้เต็มอิ่ม อาหารแห้งกินไปเรื่อยๆ ก็กินไม่ลง มีขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมที่ช่วยบรรเทาความหิวโหยในท้องได้ แก้อยากก็ได้ ช่วยได้อย่างมากเวลาที่ออกไปทำงาน”

นางให้โม่เอ๋อร์นำขนมแป้งนึ่งมาให้ เดิมไม่ได้คิดอะไรมาก ยิ่งนึกไม่ถึงว่าเขาจะบอกนางว่า…ช่วยได้อย่างมาก?

ไม่แน่ใจว่าเขาพูดความจริง หรือว่าแค่ล้อนางเล่น เจียงหุยเสวี่ยไม่ปล่อยให้ใจตื่นเต้นยินดีจนเกินไป เพียงพยักหน้าและยิ้มบางๆ “ท่านเมิ่งชอบก็ดีแล้ว”

เขาจึงพยักหน้า ยกชาขึ้นดื่ม ในชามีกลิ่นหอมของพุทราจีน พุทราจีนมีรสหวานและเป็นอาหารธาตุอุ่น มีฤทธิ์ช่วยในการผ่อนคลาย แม่นางผู้นี้จะทำอะไรล้วนให้ความใส่ใจ ชาที่ยกมาให้ในเวลาดึกดื่นต้องไม่ใช่ชาที่ทำให้ตื่นตัว แต่เป็นชาที่ช่วยขับกล่อมประสาท

เขานั่งทิ้งหลังตามสบาย ระบายลมหายใจออกช้าๆ แล้วเอ่ยขึ้น “หลังทำงานเสร็จ ข้าลงจากภูเขาซวงอิงที่ชายแดนตะวันตกมา ระหว่างทางกลับเมืองหลวงก็พบช่างไม้ชราท่านหนึ่งนำของเล่นไม้ที่เขาทำเองมาเร่ขาย มีของหลายชิ้นที่ต้องใช้ความคิดนานพอควรถึงจะแก้ได้ ข้าเห็นแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงซื้อมาชิ้นหนึ่ง” พลางมองไปทางดรุณีน้อยที่กำลังเล่นสิบสองห่วงแล้วทำเสียงดังกุกกัก

เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เมิ่งอวิ๋นเจิงก็ถอนสายตากลับมา “แม่นางเจียงเป็นอะไรไปหรือ”

“อ๊ะ? เอ่อ…เปล่า” ได้ยินคำว่าภูเขาซวงอิง ชีพจรนางก็เต้นถี่รัว สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย ต้องใช้เรี่ยวแรงมากมายกว่าจะทำใจให้สงบได้ “ภูเขาซวงอิงที่ท่านเมิ่งพูดถึง…ข้าเคยได้ยินมาก่อน เหมือนจะเป็นรังโจร ไม่มีใครกล้าไปที่นั่น”

เมิ่งอวิ๋นเจิงเข้าใจในฉับพลัน “ใช่แล้ว เจ้าเป็นคนแถบชายแดนตะวันตก ย่อมเคยได้ยินเรื่องภูเขาซวงอิงที่เป็นรังโจร” มิน่าเล่าจึงตกใจจนหน้าถอดสี เขาทำเสียงให้ฟังดูอ่อนโยนขึ้น “รังโจรที่ภูเขาซวงอิงถูกกวาดล้างไปเมื่อครึ่งปีก่อน ตอนนี้ที่นั่นสงบสุขเป็นอย่างมาก ขึ้นไปบนภูเขาซวงอิงอีกครั้งในครานี้ก็เพื่อตรวจให้แน่ใจว่าโจรรังนั้นไม่ได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่”

“แล้ว…แล้วหลังจากที่กำจัดโจรไปหมดแล้ว ท่านเมิ่งจะขึ้นไปตรวจตราเป็นระยะหรือ”

“ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่ข้าขึ้นไปถึงยอดผาอิงจุ่ย ไม่พบพยานหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น แต่ที่น่าแปลกคือ แม้แต่นกหรือสัตว์ป่าก็ไม่พบเห็นเลยสักตัว” เขาพูดปนหัวเราะ

นั่นเป็นเพราะยังมีทางลาดเขาที่เป็นไหเพาะหนอนกู่ตามธรรมชาติ มีหนอนกู่และสัตว์มีพิษอยู่อาศัยมากมายปานนั้น วิหคหรือสัตว์ใดจะกล้าย่างกราย เจียงหุยเสวี่ยได้แต่ลอบทอดถอนในใจ แต่เมื่อได้ยินเขาบอกว่าไม่พบเห็นเงาคนใดๆ บนภูเขาซวงอิง หัวใจก็รู้สึกสงบลง

วันที่แบกโม่เอ๋อร์กระโดดลงมา มีหลายเรื่องที่ทั้งชัดเจนและทั้งคลุมเครือ ที่ชัดเจนก็คือการตัดสินใจแน่วแน่ว่าอย่างไรก็จะกระโดดแม้ว่าจะต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ที่คลุมเครือก็คือฉากและภาพเหตุการณ์ที่ยังติดอยู่ในหัวสมอง

เจ้าสำนักเหยี่ยนเหมิน…และสตรีที่เป็นผู้ส่งเสริมความชั่วร้ายให้กับเขา…ชายหญิงที่ชวนให้ผู้คนรังเกียจคู่นั้น พวกเขาล้วนล้มลงแล้ว นางเห็นมากับตา พวกเขาล้วนล้มลงแล้ว ชายผู้นั้นถึงกับเลือดไหลออกทางทวารทั้งเจ็ด เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ และเมื่อเขาตายแล้ว เช่นนั้นหญิงผู้นั้นก็จะไร้ที่พึ่งพิง ไม่อาจกระทำเรื่องใดได้ และบางที…แม้แต่สตรีผู้นั้นก็อาจจะตายไปแล้ว ภูเขาซวงอิงถึงได้เงียบสงบ ไม่มีอะไรผิดปกติ

ตอนนี้เมิ่งอวิ๋นเจิงเห็นนางดูเลื่อนลอย ขณะกำลังจะเอ่ยปากถาม เด็กสาวที่ขดตัวเล่นอย่างเอาจริงเอาจังที่มุมห้องพลันส่งเสียงหัวเราะอย่างสุขใจ ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน

“พี่สาว พี่สาว…” โม่เอ๋อร์โบกสิบสองห่วงในมือไปมา ห่วงทั้งหมดล้วนปลดแก้ออกและเลื่อนไปยังอีกด้านตามลำดับ

ดรุณีน้อยเชิดคางเรียวงามขึ้นสูง ใบหน้าเป็นสีแดงเพราะความตื่นเต้น ยามมองพี่สาว สองตาเป็นประกายวิบวับ ยามมองไปทางเมิ่งอวิ๋นเจิง สายตาส่อแววสบประมาท และลำพองใจเป็นอย่างยิ่ง

เจียงหุยเสวี่ยได้สติแล้วก็หลุดหัวเราะออกมา เห็นโม่เอ๋อร์เบิกบานใจไร้กังวล ในใจนางก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู

“ของเล่นสิบสองห่วงเป็นของท่านเมิ่ง โม่เอ๋อร์หยิบโดยไม่ขอเช่นนี้ได้อย่างไร” นางจงใจปั้นหน้าเคร่ง

“อือ…” ดรุณีน้อยเปลี่ยนสีหน้าจากลำพองใจเป็นทำแก้มป่องน้อยๆ

“โม่เอ๋อร์เชื่อพี่ รีบคืนของให้ท่านเมิ่ง ได้ยินหรือไม่”

เมื่อได้ยินพี่สาวขอให้ทำ สีหน้าดรุณีน้อยก็ว้าวุ่นหาใดเปรียบ แต่สุนัขจนตรอกยังกระโดดขึ้นกำแพง โม่เอ๋อร์เมื่อถูกบังคับ หัวเล็กจึงขบคิดอย่างฉับไว แม้แต่วาจาก็กล้าพูดแล้ว สาวน้อยกล่าวกับชายที่เอาแต่ยิ้มไม่ยอมพูดว่า…

“หยิบโดยไม่ขอไม่ได้ เช่นนั้นถ้าขอแล้วก็จะได้ ท่านให้โม่เอ๋อร์ใช่หรือไม่ เป็นของโม่เอ๋อร์ใช่หรือไม่”

มุมปากเมิ่งอวิ๋นเจิงจมลึกขึ้น “ใช่ มันเป็นของโม่เอ๋อร์แล้ว”

ดรุณีน้อยพลันแย้มยิ้มไปถึงดวงตา ยิ้มดุจฤดูใบไม้ผลิเดือนสามได้มาเยือน

โม่เอ๋อร์ไม่พูดอะไรอีก ร่างน้อยๆ ขดกลับเข้าไปอยู่ในมุมอันอบอุ่น ถือสิบสองห่วงเอาไว้และจมจ่อมอยู่ในภวังค์อีกครั้ง หาทางร้อยห่วงที่แก้ออกมาแล้วให้ร้อยกลับเข้าด้วยกันใหม่

รอยยิ้มบนริมฝีปากเจียงหุยเสวี่ยลึกขึ้นเช่นกัน นางมองดูโม่เอ๋อร์ ไม่นานสายตาก็เลื่อนไปจับจ้องบนใบหน้าด้านข้างที่คมคายดุจภูผาของบุรุษโดยไม่อาจควบคุม

โดยไม่คาดคิด ใบหน้าเปิดเผยสัตย์ซื่อนั้นพลันหันมาทางนาง จับได้ว่านางแอบมอง

โอ๊ะ หน้าของนาง…แดงขึ้นอีกแล้ว!

นางขบริมฝีปาก ผุดลุกขึ้นในทันใด หยิบเสื้อคลุมที่เขาพาดไว้ด้านข้างขึ้นมาไว้ในมือ

“…แม่นางเจียง?” คิ้วคมเลิกขึ้น

“ข้า ข้า…คือว่า…เมื่อครู่นี้ข้าเห็นว่าเสื้อคลุมของท่านเมิ่งมีรูเล็กๆ ช่วงนี้ข้าร่ำเรียนทำงานเย็บปักแล้ว พวกท่านยายและท่านอาต่างสอนข้ามากมายหลายอย่าง ข้า…ให้ข้าปะชุนให้ท่านได้หรือไม่”

หญิงสาวทำหน้าแดงใส่เขา ลมหายใจของเมิ่งอวิ๋นเจิงเห่อร้อนขึ้นมา แต่เขากล่าววาจาปฏิเสธไม่ออก และก็ไม่อยากจะกล่าว

บรรยากาศในห้องครัวอบอุ่นและสงบสุข ใกล้เคียงกับบ้านเก่าที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในวัยเยาว์ ในใจเขารู้ดีว่าดึกดื่นเช่นนี้ไม่ควรค้างอยู่ที่นี่โดยไม่ยอมไปสักที แต่ทว่าเขากลับไม่อาจขยับขาทั้งสองได้

อีกสักพักแล้วกัน อีกสักพักก็ยังดี

เขาชอบเห็นพวกนางสองพี่น้องอยู่ร่วมกันเช่นนี้ รู้สึกว่าสาวน้อยน่าสนใจ และรู้สึกว่าหญิงสาวที่จริงก็ชมชอบในการกลั่นแกล้งน้องสาว ทำให้เขาพลอยอยากกลั่นแกล้งตามไปด้วย ราวกับการร่วมมือกัน ‘รังแก’ เด็กเช่นนี้ก็สนุกดี

ใบหูและลำคอเขาร้อนผะผ่าว เขายกมือลูบหลังคอโดยไม่ได้ตั้งใจ กล่าวขึ้นว่า…

“เช่นนั้นต้องรบกวนแม่นางแล้ว”

เรื่องราวที่คาดคิดไม่ถึง ดูเหมือนจะเริ่มต้นขึ้นเช่นนี้

คืนนั้นหญิงสาวปะชุนรูขาดบนเสื้อคลุมให้เขาด้วยฝีเข็มเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อนึกถึงว่าเขามาที่นี่โดยไม่มีใครเชื้อเชิญ ทั้งกินทั้งดื่มแล้วยังให้ผู้อื่นปะชุนเสื้อผ้าให้อีก เช่นนี้ย่อมไม่ถูกต้อง วันหน้าเขาจะเริ่มไปเยือนร้านของเล่นเด็กทุกแห่งในเมืองหลวง เสาะหาของเล่นที่ได้ใช้สมองและพัฒนาทักษะการใช้มือ ส่งไปให้ที่บ้านเก่าในเรือนหมู่

สิ่งของย่อมนำมาให้โม่เอ๋อร์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางผู้เป็นพี่สาวก็จะยิ่งไม่มีทางปฏิเสธ เพราะเขารู้ว่านางชอบเห็นดรุณีน้อยยิ้มแย้มเบิกบาน

ปรากฏว่าหลังจากที่เขาเพิ่งส่งของเล่นที่ซื้อมาจากร้านไปได้ไม่นาน เขาก็ได้รับรองเท้ายาวคู่หนึ่งเป็นการตอบแทนจากนาง

มิน่าเล่า วันนั้นที่เขาไปรอกินโจ๊ก เห็นนางมองดูเท้าของเขาอยู่หลายครา ที่แท้ก็กำลังกะขนาดเท้าของเขาอยู่

แบบของรองเท้ายาวที่นางปักให้เขาเรียบง่ายและทะมัดทะแมง พื้นรองเท้ายาวตัดเย็บขึ้นอย่างหนา บุด้วยพื้นขนสัตว์หนาๆ อีกชั้น ตอนนั้นเขาได้รับคำสั่งให้ไปทำงานทางเหนือ แม้ว่าเมืองหลวงฤดูใบไม้ผลิจะมาเยือน นานาบุปผาล้วนบานสะพรั่ง แต่พื้นที่ทางเหนือที่หนาวเย็นแห้งแล้งมาตลอดยังคงพบเห็นทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็งและเกล็ดหิมะส่องประกาย เขาสวมรองเท้ายาวที่นางตัดเย็บให้ แล้วก็ทราบทันใดว่ารองเท้ายาวที่ตัดเย็บขึ้นจากความเอาใส่ใจและใช้ความทุ่มเทคู่นี้ สามารถทำให้คนรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนพื้นหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่กำลังเดินอยู่บนพื้นหิมะ

จากทางเหนือกลับมายังเมืองหลวง ระหว่างทางเขารวบรวมของเล่นที่สามารถนำกลับไปฝากดรุณีน้อย เพื่อให้เป็นของตอบแทนตามมารยาท

เมื่อไปมาหาสู่กันย่อมต้องมีสัมพันธไมตรี นางเป็นคนรับของฝากแทนน้องสาว แล้วก็หันกลับไปจัดตะกร้าขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมมอบให้เขา

จากนั้นวันหนึ่ง ขณะที่เขาไปทำงานเช่นเดิม เขาก็เจอปิ่นไม้ลายดอกเหมยซึ่งมีการแกะสลักอย่างประณีตงดงามที่แผงขายแห่งหนึ่งในตลาดนัด เพราะว่าทำจากไม้เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ฝังหยกประดับมุก จึงมีราคาค่างวดไม่สูงมาก แต่ว่ามันทำให้เขานึกถึงนาง

เขาจึงซื้อปิ่นไม้ลายดอกเหมยอันนั้นกลับไปให้นาง นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาซื้อของให้นาง ไม่ใช่ซื้อเพื่อทำให้น้องสาวของนางดีใจ ไม่ใช่ซื้อเพื่อตอบแทนตามมารยาท เพียงรู้สึกว่าปิ่นไม้อันนั้นเหมาะสมกับนาง

การกระทำระหว่างบุรุษสตรีเช่นนี้ช่างขาดความรอบคอบจริงๆ แต่นางไม่ได้พูดอะไรมาก ราวกับว่านางเข้าใจความคิดของเขา

ยามที่นางรับปิ่นจากเขา ใบหน้ารูปไข่สีขาวกลายเป็นสีแดงระเรื่อ ข้างแก้มสดใสราวกลีบดอกไม้ ดวงตาที่อ่อนโยนเอ่อน้ำสั่นไหวเป็นประกาย ราวกับกำลังซุกซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ น้ำที่แวววาวเป็นประกายทำให้เขามึนงง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามให้กระจ่างอย่างไร

เมื่อถึงเวลาที่เขาจะออกจากเมืองหลวงไปอีกครั้ง เขาก็ได้รับเสื้อฤดูร้อนที่นางตัดเย็บเองกับมือสามตัว

เสื้อฤดูร้อนที่มีเนื้อผ้าบางสบายและระบายอากาศ เข็มขัดหนังอ่อนหยุ่นเอามาพันไว้รอบเอว ผูกเชือกซ้ำอีกที กลายเป็นชุดที่สะดวกต่อการทำกิจกรรมต่างๆ ในฤดูร้อน กระเป๋าเล็กที่มีอยู่บนเสื้อสามารถใช้สอยได้สารพัด เขาที่วิ่งวุ่นเดินทางไปทั่วออกตกเหนือใต้ ล้วนใช้เสื้อฤดูร้อนสามตัวของนางในการปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จตลอดทั้งฤดูร้อนอันแห้งแล้ง

ภายหลัง คิมหันต์ล่วงเข้าเหมันต์ เหมันต์ลับวสันต์เยือน ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนไปทีละฤดู

หากว่าเขาอยู่ในเมืองหลวง ก็จะแวะไปเยี่ยมเยือนที่บ้านเก่า หากเขาไม่อยู่ ก็ไม่ลืมที่จะฝากฝังคนในบ้านเก่าให้ศิษย์น้องและพี่น้องชาวหน่วยประตูหกบานช่วยดูแล

หนึ่งปีผ่านไป แล้วก็ผ่านพ้นไปอีกปี เวลาห้าปีช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับหงสาที่เหยียบโคลนหิมะแต่ไม่ทิ้งร่องรอยใด แผงร้านขายโจ๊กที่หญิงสาวเปิดในที่สุดก็มีเหล่าลูกค้าชราเพิ่มขึ้นมากลุ่มหนึ่ง เช่นนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่มีลูกค้าเข้าร้าน

ชีวิตผ่านไปอย่างสงบสุข นางเลี้ยงดูน้องสาวตัวเองจนมีผิวขาวสดใส สาวน้อยที่คร้านจะกล่าววาจาแต่มีไหวพริบต่อสิ่งต่างๆ ดีเป็นพิเศษมีรูปร่างเติบโตขึ้นอย่างมาก กลับเป็นพี่สาวอย่างนางที่ยังคงแบบบางร่างน้อย เป็นหญิงงามที่ผ่ายผอม ความสูงเทียบกับน้องสาวของตนเองไม่ติด

ผลของความอดทนละความมุ่งมั่นในช่วงเวลาหลายปีมานี้ของนางที่เลี้ยงดูน้องสาวจนเติบใหญ่ ทำให้สองพี่น้องที่อยู่อาศัยร่วมกันสามารถใช้ชีวิตอย่างมีเสื้อผ้าสวมใส่มีอาหารให้กิน เขาไม่เพียงชื่นชมอย่างยิ่ง เมื่อสงบใจใคร่ครวญดูแล้ว ยังมี…ความรู้สึก ‘เป็นเกียรติ’ ถึงขั้นที่…รู้สึกเหมือนว่า…ลูกสาวที่บ้านได้เติบใหญ่แล้ว?

ราวกับตนเองได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนาง ดูพวกนางสองพี่น้องเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้

ฤดูร้อนมาถึงแล้ว ช่วงกลางฤดูร้อนของปีนี้อากาศร้อนจนผู้คนเหงื่อออกราวฝนตก

เช้าวันนี้เจียงหุยเสวี่ยต้มน้ำบ๊วยดองออกมาหม้อใหญ่ ตักแบ่งใส่กาดินเผาใบใหญ่ห้าใบ แล้วนำไปแช่ไว้ในบ่อน้ำ พอถึงหลังเที่ยง นางก็เกี่ยวกาดินเผาที่แช่ไว้จนเย็นขึ้นมา เตรียมตะกร้าใส่ชามใบเล็ก ใช้รถเข็นเข็นไปยังลานที่พวกเด็กๆ ใช้เรียนวิชาการต่อสู้ โดยมีโม่เอ๋อร์คอยช่วย

ผู้ที่ผ่านมาเห็นล้วนได้ดื่ม ไม่ว่าจะเป็นเหล่าเด็กที่เพิ่งเรียนการต่อสู้เสร็จ หรือว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวที่มีเวลาว่างมานั่งอยู่ใต้เงาร่มไม้ด้านข้างลาน ขอเพียงผ่านเข้ามา ต่างก็ได้รับน้ำบ๊วยดองแช่เย็นชามเล็กไปคลายร้อนและบรรเทาธาตุไฟ

“ท่านก็ดื่มสักหน่อย” เจียงหุยเสวี่ยยื่นน้ำบ๊วยดองไปถึงตรงหน้าเมิ่งอวิ๋นเจิงที่มาสอนการต่อสู้ในวันนี้ ฝ่ายนั้นรับไปถือในมือด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง

สำหรับเมิ่งอวิ๋นเจิง การตอบสนองกับหญิงสาวเช่นนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาจริงๆ หลังจากที่ทั้งสองคุ้นเคยกันแล้ว ห้าปีมานี้ล้วนเป็นเช่นนี้ นางให้อะไรมา เขาก็ถือ เขาให้อะไรตอบ นางก็รับไว้แต่โดยดี ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง

เมื่อชามใบเล็กมาอยู่ในมือของเขา ยิ่งทำให้นิ้วของเขาดูเรียวยาวมีพละกำลัง ราวกับออกแรงบีบเพียงเบาๆ ก็สามารถทำให้ชามแตกคามือ เขาดื่มน้ำหวานรวดเดียวหมด แต่เพราะดื่มเร็วเกินไป ใบหน้าพลันบิดเบี้ยว ริมฝีปากฉีกแยกจนเห็นฟันขาว อดแยกเขี้ยวยิงฟันออกมาไม่ได้

“ฮ่าๆๆๆ…เจ้า…เจ้า…ฮ่าๆๆ…”

ผู้ที่กล้าหัวเราะเยาะเขาเช่นนี้ มีดรุณีน้อยเพียงผู้เดียว…อืม ไม่อาจเรียกว่าดรุณีน้อยแล้วสินะ ตอนนี้เด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว แม้ว่าสติปัญญายังคงไม่ครบถ้วน แต่ศีรษะก็สูงเลยพี่สาวมาได้ประมาณชุ่นหนึ่ง

“โม่เอ๋อร์…” เจียงหุยเสวี่ยปรามน้องสาวตนด้วยสายตา ให้โม่เอ๋อร์สำรวมสีหน้า แต่ปากตนเองกลับเม้มกลั้นยิ้มไว้

เมิ่งอวิ๋นเจิงสูดหายใจคำหนึ่ง กล่าวคำพูดออกมาในที่สุด “เปรี้ยว…สะใจมาก”

“ทุกคนต่างจิบกันคำเล็กๆ ท่านเมิ่งไม่ควรจะดื่มเร็วเช่นนั้นเลย” เจียงหุยเสวี่ยเก็บชามของเขาคืน ตั้งท่าจะเติมให้เขาอีกชาม เห็นกรามเขาค้างเล็กน้อย ยกมือโบกปัด นางจึงหัวเราะออกมา ครั้งนี้นางทำน้ำบ๊วยดอง ใส่น้ำผึ้งและน้ำตาลค่อนข้างน้อย รสชาติเปรี้ยวกำลังดีเพื่อที่จะได้คลายร้อน แต่ว่าจะหวานน้อย ดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่าไยบุรุษที่ติดรสหวานผู้นี้ถึงไม่ชมชอบ

“เอ้า!” โม่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างพลันถีบตัวขึ้นมา ส่งตะกร้าที่ถืออยู่ในมือให้เมิ่งอวิ๋นเจิงอุ้ม “ครึ่งหนึ่งเป็นของเจ้า”

ยังไม่ทันได้เปิดผ้าที่คลุมด้านบนอยู่ออก เมิ่งอวิ๋นเจิงก็ได้กลิ่นหอมของขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมโชยออกมา ทั้งตะกร้าล้วนเป็นของเขา

ทุกครั้งที่เขาจะออกจากเมืองหลวง เจียงหุยเสวี่ยจะทำขนมหรือของกินเล่นที่เก็บรักษาง่ายให้เขาพกติดตัวไป นอกจากขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมแล้ว ยังมีผลไม้แห้งเคลือบน้ำตาลกับขนมเปี๊ยะกรอบไส้เหอเถา ทำให้เขามีอาหารอื่นให้เปลี่ยนรสชาติบ้าง นอกเหนือจากอาหารแห้ง

“อ้อ น่าสนใจ โม่เอ๋อร์เสียสละของรักของหวงครึ่งหนึ่งให้ข้าแล้ว” เขาแหย่หญิงสาวที่ยังคงมีอุปนิสัยราวกับเด็ก เห็นโม่เอ๋อร์ทำแก้มโป่งพองเนื่องจากถูกจี้จุดอ่อน ในใจเขาก็รู้สึกสนุก

“ฮึ!” โม่เอ๋อร์ร้องหึหนักๆ ราวกับมีอะไรติดอยู่ในจมูก เลิกสนใจเขา หันศีรษะวิ่งจากไป ยังคงเป็นเหล่าเด็กๆ ที่เล่นเตะลูกขนไก่กับลูกหนังอยู่ข้างสนาม ที่ดึงดูดความสนใจนางมากกว่า

หลังจากดูให้แน่ใจแล้วว่าโม่เอ๋อร์อยู่ในที่ที่ไม่ไกลจากสายตาแล้ว เจียงหุยเสวี่ยก็ถอนสายตากลับมา บังเอิญสบเข้ากับสายตาของบุรุษเข้าพอดี

เมื่อมองกันในระยะประชิด ในอกพลันเต้นแรงขึ้นหนึ่งครา แต่ไม่ได้ทำให้นางมือเท้าปั่นป่วนเท่ายามที่นางรู้ตัว

ชมชอบเขา เป็นเรื่องของตัวนางเอง ค่อยๆ เคยชินกับความรู้สึกที่ก่อเป็นคลื่นลมเพราะว่าเขา ภายนอกนางเก็บอาการได้ดียิ่ง เขาดูแลพวกนางสองพี่น้อง ที่นางทำไปก็เพียงเพื่อตอบแทน ต่างคนต่างไม่ก้าวล้ำเส้น เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรไม่ดี

เมิ่งอวิ๋นเจิงทำลายความเงียบขึ้น “ทำให้เจ้ามีงานเพิ่มเช่นนี้ รบกวนแล้ว”

นางส่ายศีรษะ “ทราบว่ามีคนชอบ ข้าก็ภาคภูมิใจ ความจริงแล้วข้าพอใจมาก”

นัยน์ตาเขาเป็นประกาย รอยยิ้มบนริมฝีปากหยั่งลึกขึ้น “ข้าจะกินให้อร่อย ขอบคุณ”

เจียงหุยเสวี่ยพยักหน้าคราหนึ่ง โน้มลำคอลงอย่างกระดาก สิ่งที่เข้าสู่สายตาก็คือเสื้อฤดูร้อนสีดำบนตัวเขา เป็นตัวที่นางตัดเย็บให้เขาก่อนหน้านี้ เสื้อผ่านการซักจนสีซีด ชายเสื้อยังมีส่วนที่รุ่ยออกมาสามสี่แห่ง นางเอ่ยขึ้นโดยไม่ต้องคิด…

“ให้ข้าตัดเสื้อให้ท่านเพิ่มเถิด ตอนนี้ฝีมืองานเย็บผ้าของข้าก้าวหน้าขึ้นมาก ขนาดพวกท่านยายยังชื่นชม ข้าว่าข้าต้องทำได้ดีกว่าตัวนี้แน่นอน”

“หากเจ้ายังไม่เหนื่อย เช่นนั้นก็ได้” เขาหลุบตาลง พิศดูปิ่นไม้ลายดอกเหมยบนผมนาง เป็นของที่เขามอบให้ ปิ่นอันนั้นช่างเข้ากับนางจริงๆ อ่อนโยนและงดงาม แต่…อืม…จะดูเรียบง่ายเกินไปหรือไม่ ควรจะซื้อปิ่นประดับมุกหยกมาแลกคืนดีหรือไม่

ทางด้านนี้ หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองเขา พูดเสียงเบา “ข้าไม่เหนื่อย ทำงานของสตรี เช่น ตัดเสื้อ เย็บผ้า น่าสนใจดี หากไปนั่งทำรวมกับพวกท่านยาย ยังได้ยินข่าวเล็กข่าวน้อยทั่วทั้งเมืองหลวง มีสีสันยิ่งกว่าฟังเรื่องของคนเล่านิทานอีก” พูดพลางก้มหน้ามอง “อืม…ยังมีรองเท้ายาว คู่นี้ก็เก่าแล้ว พื้นรองเท้าก็ชำรุดไปตั้งมาก ควรจะเปลี่ยนคู่ใหม่ได้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มทำเลย ท่านเมิ่งกลับมาครั้งหน้าต้องได้เปลี่ยนคู่ใหม่แน่”

เมิ่งอวิ๋นเจิงยิ้มน้อยๆ “ดี เช่นนั้นเงินค่าเส้นด้ายและผ้า ให้ข้าเป็นคนจ่าย”

นางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง คิ้วขนงเรียวงามขมวดเป็นปมน้อยๆ “ไม่ได้ ทุกครั้งที่ท่านกลับมายังเมืองหลวง ก็ไม่ลืมนำของกิน ของใช้ หรือว่าของเล่นกลับมาให้ ท่านไม่คิดเงิน ข้าก็ไม่คิดเงิน อีกอย่างทุกครั้งที่ท่านมากินโจ๊ก ก็วางเงินค่าโจ๊กไว้ข้างชามเปล่าเป็นประจำ เงิน…เงินนั่นก็ให้มาเยอะเกินไป พอข้าจะคืนให้ ท่านก็ไม่ยอมรับไว้ เพราะฉะนั้น..เอาตามนี้ เสื้อผ้าและรองเท้าเป็นข้าอยากทำให้ท่านเอง ข้าอยากให้ท่านเปลี่ยนเป็นชุดใหม่เอง ท่านจะให้เงินไม่ได้นะ”

วาจาของนางทำให้อกซ้ายของเขาเต้นแรงขึ้นมาคราหนึ่ง

หลังเจียงหุยเสวี่ยปล่อยให้วาจาหลุดออกไปโดยไม่ได้กลั่นกรอง พลันรู้สึกว่าตนเองหน้าแดงหัวสมองร้อนรุ่ม

นางฝืนทำท่าทีสงบนิ่ง หลังจากเสยผมไปทัดไว้ที่ใบหู ก็จงใจเปลี่ยนเรื่องพูด “พรุ่งนี้ท่านเมิ่งออกจากเมืองหลวงเดินทางลงใต้ ได้ยินว่าแม่นางมู่ก็ได้รับคำสั่งให้ร่วมเดินทาง ออกจากเมืองไปพร้อมกับท่าน”

“ศิษย์น้องสืบทอดตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีของหน่วยประตูหกบานต่อจากอาจารย์ผู้มีพระคุณเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้กลายเป็นผู้บัญชาการของกลุ่มสี่ปักษีแล้ว ฝ่าบาทชื่นชมนาง สั่งให้นางมาช่วยข้า”

“เวลานี้อากาศทางใต้ทั้งอับชื้นและร้อนอบอ้าว ง่ายต่อการติดโรคระบาด ท่านเมิ่งกับแม่นางมู่โปรดรักษาตัวด้วย”

“เมื่อวานเจ้าให้ถุงเครื่องหอมสำหรับไล่งูและแมลงมาตั้งหลายใบ ข้าจะพกบางส่วนไปด้วย” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดน้ำเสียงของเขาพลันเปลี่ยนเป็นแหบแห้ง

“อืม เช่น…เช่นนั้นก็ดีแล้ว” นางผงกศีรษะอย่างแรง

ยามมองดูใบหน้าของหญิงสาวที่เป็นสีแดงจัดกับดวงตาคู่งามที่ดูคล้ายมีและคล้ายไม่มีเจตนาที่จะหลบสายตาของเขา ในอกเขาเหมือนกับมีอะไรมากดทับ ราวกับว่าเขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างกับนาง แต่ชั่วเวลาหนึ่งกลับไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่

“แม่นางเจียง…” ไม่ทันรู้ตัวเขาก็ร้องเรียกไปแล้ว

“เจ้าค่ะ” นางเกร็งไปทั้งตัว สองมือลอบกุมไว้ด้วยกัน “ท่านเมิ่งมีเรื่องอะไรจะฝากฝังหรือ”

เมิ่งอวิ๋นเจิงอ้าปากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ในเวลากะทันหัน เขาไม่มีเรื่องอะไรจะฝากฝัง เพียงรู้สึกว่านางกับเขารู้จักและไปมาหาสู่กันมานานห้าปี เขาเรียกน้องสาวนางด้วยชื่อตรงๆ เรียกได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงเรียกนางว่า ‘แม่นางเจียง’ ส่วนนางก็ยังคงเรียกเขาว่า ‘ท่านเมิ่ง’

คำถามที่แท้จริงคืออะไร

เรื่องราวไม่ถูกต้อง แต่ว่าไม่ถูกต้องที่ใดกัน

เวลานี้ มีคนบางคนทนดูและฟังต่อไปไม่ไหว อดไม่ได้ที่จะผลัดกันพูดขึ้นคนละที…

“พวกเจ้าสองคนถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้ แล้วจะถ่วงไปอีกนานเท่าใดเล่า เจ้าสองคนไม่รีบ แต่ยายแก่อย่างพวกข้าทนดูมาตั้งสี่ห้าปี ร้อนใจจะตายอยู่แล้ว!”

“ใช่แล้ว…ใช่แล้ว ท่านเมิ่งนี่ล่ะก็ อย่างไรท่านก็นับว่าเป็นเด็กจากตรอกซงเซียงของพวกเรา เป็นลูกผู้ชายแท้ๆ ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้จนมีชื่อเสียง พลอยให้พวกเราได้หน้าไปด้วย แต่ว่า…จะชื่อเสียงดีอย่างไรก็ประพฤติเช่นนี้มิได้! เจ้าเอะอะก็มาที่เรือนหมู่ มาขอแม่นางกินโจ๊กมื้อแล้วมื้อเล่า แต่ไม่ให้อะไรตอบแทนแม่นางสักอย่าง นี่…แฮกๆ จะได้อย่างไรเล่า”

“ท่านเมิ่งไม่ยอมพูด ไม่ทำให้กระจ่าง แม่นางก็เสียเวลากับเจ้ามานานปี นึกดู ท่านเมิ่งปีนี้ก็ปาเข้าไปยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดแล้วนี่? แม่นางจากตอนนั้นที่อายุสิบหกมาตอนนี้ล่วงเลยยี่สิบแล้ว พูดสิ เจ้าพูดออกมา จะเอาอย่างไร”

ตั้งแต่เจียงหุยเสวี่ยอยู่มาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นช่วงเวลาที่น่ากระดากและอับอายที่สุดในชีวิตนาง

สมาชิกในครอบครัวที่มีเวลาว่างและมาพึ่งความเย็นใต้เงาไม้อย่างท่านยายเฉียว รวมถึงท่านอาและท่านป้าอีกหลายท่านที่รู้จักมักคุ้นกัน ดื่มน้ำบ๊วยดองหมดตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ต่างแอบฟังบทสนทนาระหว่างนางกับบุรุษกันอย่างหูผึ่ง

‘เรื่องเช่นนี้ เจ้าเป็นสตรีไม่สะดวกออกปาก…’

ในหัวนางปรากฏถ้อยคำในปีนั้นที่ท่านยายเฉียวบอกกับนางอย่างขำขันปนระอา

‘ไม่จำเป็นต้องรีบ มียายแก่อย่างข้าอยู่ทั้งคน พวกข้าไปถามท่านเมิ่งให้กระจ่างแทนเจ้าก็ได้’

นางนึกว่าหญิงชราเพียงพูดไปอย่างนั้น คงไม่ทำเรื่องวู่วาม แต่ดูจากตอนนี้แล้ว นี่คือการฉวยโอกาส ‘ลงมีด’ ใส่เมิ่งอวิ๋นเจิงโดยตรงตอนที่ทุกคน ‘พร้อมสู้’!

แม้นางอยากจะขุดหลุมแล้วฝังตัวเองลงไปมากเพียงใด แต่ก็รู้สึกว่าหากไม่อธิบายแทนเขา เขาอาจจะถูกบรรดาสตรีใจกล้าแห่งเรือนหมู่กลุ่มนี้ฉีกเป็นชิ้นจริงๆ ก็ได้ นางอ้าปากเอ่ยคำ…

“ข้ากับท่านเมิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิด!”

“ผู้แซ่เมิ่งไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับแม่นางเจียง!”

เวลาช่างลงตัว ยามเจียงหุยเสวี่ยพูดออกมา บุรุษที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นโดยพร้อมเพรียง

ควรจะบอกว่าทั้งสองมีญาณวิเศษ หรือว่าตกลงกันมาอย่างดี?

นางยิ้มขมขื่นในใจ เบิกตามองไปทางเขา เห็นเขาก็กวาดตามองมาเช่นกัน ทั้งสองจ้องมองกันอย่างใกล้ชิด สีหน้าตกตะลึง

สุดท้ายมู่อวิ๋นเจิงก็ละสายตาก่อน กวาดตามองไปยังท่านยาย ท่านอา และท่านป้าที่ออกมาต่อว่าเขาจากซ้ายไปขวารอบหนึ่ง แล้วค่อยกวาดจากขวาไปซ้ายอีกรอบ

สีหน้าเขาราบเรียบ เพียงคิดว่าชื่อเสียงของหญิงสาวเสียหาย เขาจำเป็นต้องปกป้อง น้ำเสียงที่ใช้จึงไม่เหมือนยามปกติ กล่าวอย่างเคร่งขรึมและระมัดระวัง…

“เดิมท่านยายเฉียวปล่อยบ้านเก่าของผู้แซ่เมิ่งให้แม่นางเจียงสองพี่น้องมาลงหลักปักฐานในเมืองหลวง ข้าเพียงแค่คิดถึงบ้านเก่า ยามว่างจึงมายังตรอกซงเซียงเป็นประจำเพื่อสอนการต่อสู้ แบ่งปันวิชาความรู้ ประการแรกเป็นเพราะคิดคะนึงถึงทุกท่านที่เคยช่วยดูแลมารดาข้าที่เป็นม่ายและด่วนจากไป ประการที่สองเพราะรู้สึกว่าแม่นางทั้งสองที่มาอยู่อาศัยในบ้านเก่านับว่ามีวาสนาต่อข้า จึงทำให้ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น เห็นเป็นเช่นคนในครอบครัว เฉกเช่นมิตรสหายและเพื่อนบ้านทุกคนในเรือนหมู่แห่งนี้ ต่างมีที่อยู่ในชีวิตของผู้แซ่เมิ่ง เป็นความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ข้ากับแม่นางเจียงก็เป็นเช่นนี้ และเป็นเพียงเช่นนี้ ขอท่านยาย ท่านอา และท่านป้าทั้งหลายโปรดระมัดระวังคำพูด อย่าได้ทำลายชื่อเสียงของแม่นาง” กล่าวจบ เขาก็โอบแขนประสานสองมือเข้าหากัน ย่อกายโค้งคารวะ

เมื่อขุนนางใหญ่ของราชวงศ์ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญและมีความดีความชอบเช่นนี้แสดงความสุภาพนอบน้อมอย่างยิ่ง ไม่ว่าเหล่าสตรีในเรือนหมู่จะกล้าหาญชาญชัยเพียงใดก็รับมือลำบาก ยามนี้ต่างเริ่มวางตัวกันไม่ถูก คงเหลือแต่ขิงแก่เผ็ดร้อนอย่างท่านยายเฉียวที่นิ่งเฉยไม่หวั่นกลัว

“หุยเสวี่ยเจ้าพูด! ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก ยายจะเอาเรื่องกับเขาให้ถึงที่สุด”

หญิงสาวที่ถูกเอ่ยชื่ออย่างกะทันหันหน้าเผือดขาว ในสีขาวซีดยังเจือสีแดง ตื่นตระหนกไม่น้อยเลยจริงๆ

จะให้นางพูดอะไร

นางไม่ได้คิดอะไรมาก จริงๆ นะ นางเพียงอยาก…อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกนานแสนนานกับทุกคนในเรือนหมู่ กับผู้คนในตรอกซงเซียงแห่งเฉิงเป่ย ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไปวันๆ แล้วก็…แล้วก็มีเขาอยู่เป็นเพื่อนในบางครั้ง เช่นนี้ก็ดีแล้ว เช่นนี้…ก็ดีมากแล้ว

นางไม่ได้คิดอะไรจริงๆ

“…ท่านเมิ่งกับข้า พวกเรา…ไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ…” นางพยักหน้าอย่างแข็งขันครั้งแล้วครั้งเล่า “หากเขาทำให้ท่านยายกับทุกคนเข้าใจผิด ข้าเองก็ย่อมมีส่วนผิดด้วย” นางไม่ทราบว่านางยิ้มออกมาได้อย่างไร แต่จะไม่ยิ้มก็ไม่ได้ เมื่อยิ้มแล้ว ก็จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ทำให้ทุกคนพลอยมองว่าง่ายไปด้วย

นางฉีกยิ้ม รอยยิ้มอย่างเอียงอาย เอ่ยเสียงเบาและพึมพำ “ท่านยายและท่านอา ท่านป้าทั้งหลายชื่นชมว่าข้าร่ำเรียนงานฝีมือได้เร็ว และเรียนได้ดี ข้าก็ภาคภูมิใจ บางครั้งจึงอยากตัดเสื้อ ปักผ้าเช็ดหน้า เสื้อผ้าของสตรีข้าตัดไว้มากพอแล้ว ข้าสวมเองก็ดีอยู่แล้ว ทั้งยังมีพอให้โม่เอ๋อร์ใส่ จากนั้น…จากนั้นข้าก็อยากลองตัดของบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนี้ เสื้อผ้าที่ข้าตัดมาในช่วงหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะออกมาดีหรือแย่เพียงใดล้วนมอบให้ท่านเมิ่ง เขารับของของข้าไป ข้ายังรู้สึกละอาย ทำได้เพียงให้สิ่งอื่นตอบแทน จึงได้ไปมาหาสู่กันเช่นนี้ สร้างความเข้าใจผิดให้กับทุกท่าน ข้ากับท่านเมิ่ง..ไม่มี…เรื่องกำกวมต่อกันจริงๆ” กล่าวจบ นางลอบระบายลมหายใจ สีหน้าซีดเผือดราวกับใกล้จะเป็นลม

แต่นางไม่ได้เป็นลม และจะเป็นไม่ได้

สติสัมปชัญญะนางยังคงแจ่มชัด แสดงคารวะผู้อาวุโสทั้งหลายที่อยู่ในลาน กล่าวพลางยิ้มบางๆ “น้ำบ๊วยดองยังเหลืออยู่อีกกาใหญ่ ข้าเห็นเด็กหลายคนชอบดื่มกันดี จึงน้ำมาแขวนไว้ที่นี่ชั่วคราว อืม…ในครัวยังมีงานต้องทำ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน เดี๋ยวตอนเย็นจะกลับมาเก็บไป”

เมื่อพูดจบ นางไม่มองใครทั้งสิ้น นางไม่กล้ามองใครทั้งนั้น ในตอนที่นางหมุนตัวจากไป แม้แต่โม่เอ๋อร์ก็ยังลืมเรียก

เช่นนี้ไม่ดีเลย

การทำเช่นนี้ขี้ขลาดมาก

นางรู้ดี แต่ยังคงไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าอย่างไร

ดังนั้นเมื่อกลับไปถึงห้องเล็กของตนเอง นางจึงไปขดอยู่ในมุมเล็กที่เป็นที่ประจำของโม่เอ๋อร์ในห้องครัว นั่งบนม้านั่งเล็ก ฝังหน้าลงบนหัวเข่า กอดตัวเองจนกลมเป็นก้อน

ครู่หนึ่ง ผ่านไป มีเสียงฝีเท้าเดินเข้าใกล้นาง เป็นเสียงที่นางคุ้นเคยมาก

คนผู้นั้นเข้ามาใกล้ โอบแขนรอบตัวนาง เอ่ยเสียงอ่อนโยน “พี่สาว…”

นางเงยหน้าขึ้นตามเสียง ยิ้มบางๆ ให้กับใบหน้าที่โศกเศร้าอย่างเห็นได้ชัดของโม่เอ๋อร์ “โม่เอ๋อร์เป็นอะไรไป เหตุใดจึงไม่มีความสุข”

ริมฝีปากแดงนั้นส่งเสียงงึมงำอยู่หลายครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “ก็พี่สาวไม่มีความสุข…”

“ข้ากำลังยิ้มอยู่” เจียงหุยเสวี่ยหรี่ตา ฉีกยิ้มกว้างมากๆ

“พี่สาวกำลังร้องไห้ หน้าก็เปียก” นิ้วมือยื่นมาเช็ดน้ำตาให้นาง ครั้งแล้วครั้งเล่า เช็ดอย่างตั้งใจ

เจียงหุยเสวี่ยยังคงยิ้ม กุมมือเล็กของน้องสาวตนเอาไว้ กล่าวเสียงอ่อนโยน “แม้ว่าจะร้องไห้ แต่ในใจรู้สึกยินดี มีความสุข”

“เพราะอะไร” นางไม่เข้าใจจริงๆ ยิ่งกอดพี่สาวแน่นขึ้น

“เพราะว่ารักด้วยใจจริง” เจียงหุยเสวี่ยลูบเสื้อของน้องสาว หน้าผากแนบกับหน้าผาก ดูเหมือนอารมณ์จะสงบนิ่งขึ้น

รักด้วยใจจริง รับรู้ด้วยใจ แต่เอื้อมไม่ถึง และไม่อาจไปไขว่คว้า ในความยินดีจึงพัวพันรุมเร้าด้วยความสิ้นหวัง ท่ามกลางความหมดหวังกลับได้ลิ้มรสชาติของความรู้สึกที่ชีวิตนี้ยากจะได้มา

ไม่ควรที่จะเสียใจอีก ในเมื่อมีแล้ว ก็ควรจะเป็นสิ่งที่สวยงาม

“พี่สาวหยุดร้องก่อนดีหรือไม่” เด็กสาวที่ไม่เข้าใจเรื่องราวมีความต้องการไม่มาก ขอเพียงพี่สาวสบายดี ตนเองก็สบายใจ

เจียงหุยเสวี่ยยิ้มขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ออกมาจากใจ เสียงหัวเราะเลอค่าดุจหยกงาม

“ได้ ไม่ร้องแล้ว” นางหลับตาลง ทอดถอนใจเบาๆ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: