บทที่ 6
“ศิษย์พี่ระวัง!”
เมื่อดาบที่ผ่านการเคลือบยาพิษเล่มนั้นฟันมาถึง เมิ่งอวิ๋นเจิงรู้สึกตัวช้าไปชั่วครึ่งลมหายใจ
เขาได้ยินศิษย์น้องมู่ไคเวยร้องเตือนเสียงหลง ได้กลิ่นของยาพิษกระจายไปทั่ว ดาบเล่มนั้นเป็นประกายสีเขียวยามต้องแสงแดดที่ส่องลอดผ่านป่าและใบไม้ลงมา คงเป็นเพราะยาพิษเจอแสงแดด บวกกับการกวัดแกว่งที่รวดเร็วปานสายฟ้าและไม่หยุดหย่อนทำให้สถานการณ์พลิกแพลง เขาได้กลิ่นเหม็นคาวที่ฉุนขึ้นในฉับพลัน ลมที่เกิดจากการเหวี่ยงดาบฟาดฟันของอีกฝ่ายบาดมาถึงผิวหน้า คมดาบห่างจากช่วงคอของเขาไม่ถึงครึ่งนิ้วมือ
แต่เขากลับประชิดเข้าใกล้แทนที่จะล่าถอย กลับใช้มือเปล่ารับดาบ หลังจากแย่งดาบอาบยาพิษเล่มนั้นของอีกฝ่ายมาได้แล้ว ก็ออกท่ากรงเล็บพยัคฆ์ชิงใจ กรีดผิวเนื้อและตะปบกระดูกซี่โครงของคนร้ายไว้สามซี่ ยกตัวอีกฝ่ายขึ้นก่อนจะเหวี่ยงลงบนพื้นดัง ‘โครม!’ กระดูกซี่โครงของคนผู้นั้นหัก สันหลังถูกทำลาย หมดลมไปในทันที
“ศิษย์พี่!” หลังมู่ไคเวยวิ่งไปจัดการกับคนโฉดชั่วที่อีกฟากหนึ่งของป่า ก็เหินกลับมาเร็วเสียจนยังไม่ทันได้ยินเสียงฟ้าร้อง
“ไม่เป็นไร” ผู้ที่เมิ่งอวิ๋นเจิงจับได้คือหัวหน้าใหญ่ และเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงสุดในกลุ่มคนป่าเถื่อนของพื้นที่ทางตอนใต้แห่งนี้ แต่ไม่ว่าจะมีวรยุทธ์สูงเพียงใด เมื่อเทียบกับฝีมือของเขาก็ยังห่างชั้นกันมาก ไม่ควรจะปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสเข้ามาประชิดได้
เหตุผลที่มาทำคดีถึงทางตอนใต้นี้ สืบเนื่องจากในราชสำนักของฮ่องเต้ซิงอวี้แห่งเทียนเฉามียาลูกกลอนที่ไม่ทราบที่มาแน่ชัดปะปนเข้ามา ยาลูกกลอนที่ถูกตรวจสอบนี้ ตามคำวินิจฉัยของหมอหลวงที่เป็นผู้ตรวจบอกว่าเป็นยาขนานลับที่ใช้ปลุกอารมณ์ระหว่างบุรุษสตรี แม้ว่าจะไร้พิษ แต่หากกินเข้าไปจำนวนมากก็จะเสพติด ค่อยๆ บ่อนทำลายร่างกายไปทีละนิดจนถึงแก่น
ฮ่องเต้ซิงอวี้ที่ถูกลอบวางยา และป้อนยามานานสามเดือนจึงมีโทสะเป็นอย่างมาก สั่งประหารนางสนมที่วางยาปลุกกำหนัดโอรสสวรรค์ด้วยวิธีการแยกร่าง แม้จะเป็นยามค่ำคืนก็เรียกตัวมือปราบเทวดาและหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบานเข้าวังไป และสั่งให้ทั้งสองร่วมกันสืบสวน
เมิ่งอวิ๋นเจิงกับศิษย์น้องและพี่น้องชาวหน่วยประตูหกบานแยกย้ายคนออกเป็นหลายสาย ใช้ยาสืบหาคน ตามหาเส้นทางที่ยาลูกกลอนเล็ดลอดเข้ามาในเมืองหลวงและปะปนเข้ามาในวังหลังของฮ่องเต้ สุดท้ายก็หาที่มาของยาได้ ยาลูกกลอนกระตุ้นอารมณ์ที่ทำให้ผู้คนเสพติดมาจากมือของคนโฉดชั่วในแดนป่าเถื่อนทางใต้กลุ่มนี้ พวกเขามีที่ทาง มียา และมีคน นอกจากจะทำยาปลุกกำหนัดแล้ว ยังทำยาลูกกลอนจากฝิ่นที่ทำให้คนเสพติดได้ง่ายมาใช้ควบคุมบริวาร
อันตรายของยาพิษนี้มากเกินจะจินตนาการ ครั้นฮ่องเต้ซิงอวี้คิดว่าตนอาจจะถูกคนควบคุมเอาไว้ ไม่อาจกระทำตามใจตนดั่งหุ่นไม้ที่ถูกเชิด ยามค่ำคืนก็หวาดผวาไม่อาจนอนหลับอย่างสงบสุข จึงสั่งให้เมิ่งอวิ๋นเจิงและมู่ไคเวยร่วมมือกับทหารที่ประจำการชายแดนทางใต้กับเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่น กำจัด ‘เนื้อร้าย’ ที่กระทำความชั่วอยู่ในแดนป่าเถื่อนทางใต้และเป็นภัยต่อราชสำนักให้สิ้นซาก
หลังจากเตรียมการอยู่ทางใต้ได้เดือนกว่า วันนี้จึงได้โจมตีแหล่งกบดานของโจร และจับกุมหัวหน้าโจร
ภูเขาแห่งนี้กว้างใหญ่มาก เป็นแหล่งซุกซ่อนโรคระบาดจำนวนนับไม่ถ้วน เมิ่งอวิ๋นเจิงคุมตัวหัวหน้าทั้งหลายไปให้เจ้าหน้าที่ทางการดูแล ใช้วิชาตัวเบาเหินเข้าป่าลึกไปเพื่อเสาะหา
ทุกอย่างสงบนิ่ง ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เมื่อหนึ่งเค่อผ่านไป เขากำลังจะกลับไปสมทบกับคนอื่น กลับเห็นศิษย์น้องตามมาข้างหลัง เขาหันกลับไป ศิษย์น้องรออยู่ที่นั่นพลางเอียงศีรษะชั่งใจ
เอาเถิด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้วิชาตัวเบาเพียงก้าวลงบนพื้นโคลนที่มีใบไม้ทับถมหนาเป็นชั้น เคลื่อนไปมาด้วยการเดินบนเส้นทาง
มู่ไคเวยปล่อยมือที่กอดอกลง เดินตามมาติดๆ พลางเอ่ยขึ้น “ใจของศิษย์พี่ไม่อยู่ที่นี่”
เมิ่งอวิ๋นเจิงเดินเชิดหน้ายืดอกต่อไป ไม่ว่าเขาจะมีรูปร่างหนาสูง มีเท้าใหญ่เท่าเรือ แต่ยามย่างเท้าลงบนซากใบไม้ที่เปียกแฉะและพื้นโคลนหนาเตอะ ล้วนเดินมั่นคงแผ่วเบาไม่ทิ้งร่องรอย
มู่ไคเวยพูดขึ้นอีก “การโจมตีของฝ่ายนั้นไม่ควรจะคุกคามศิษย์พี่ได้”
“อืม” เมิ่งอวิ๋นเจิงรับคำคราหนึ่ง แต่สองตายังมองตรง ฝีเท้าไม่หยุดหย่อน
“ข้าถึงได้บอกว่าใจของศิษย์พี่ไม่อยู่ที่นี่” หญิงสาวรำพึง
“…อืม” กรามเขาเปิดออกเล็กน้อย
“ไม่เพียงวันนี้ที่เป็นเช่นนี้ ตั้งแต่วันนั้นที่ออกจากเมืองหลวง ศิษย์พี่ก็ทำตัวแปลกๆ เงียบขรึมไม่กล่าววาจา ไม่ทราบว่าท่านเห็นว่าตัวเองเป็นคนเคร่งขรึมเย็นชา ไม่ชมชอบยิ้มหรือกล่าววาจาอยู่แล้วหรืออย่างไร แต่ท่านเห็นว่าข้าเป็นใครกัน พวกเรายามมีเรื่องวิวาทก็สู้เคียงกัน ยามมีภัยก็ร่วมกันเผชิญ ท่านรู้ข้า ข้ารู้ท่าน ศิษย์พี่มีเรื่องในใจ ยังคิดว่าข้าดูไม่ออกหรือ”
“…อืม” ครั้งนี้เงียบไปนาน กว่าจะได้ยินเขารับคำอีกครั้ง อีกทั้งเมื่อมองจากระยะใกล้ จะเห็นว่าใบหน้าคมคายปานใช้มีดสลักเจือสีแดงระเรื่อ
มู่ไคเวยกลอกตาไปมา เงียบไปนานหลายชั่วอึดใจ พลันถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่คงไม่ได้ทะเลาะกับแม่นางเจียงมาใช่หรือไม่”
“พลั่ก! พลั่ก พลั่ก!”
เมิ่งอวิ๋นเจิงทำงานมาตลอดกลางวัน เคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางเงาดาบคมกระบี่ ยังคงรักษาความสะอาดของรองเท้ายาวเอาไว้ได้ แต่อยู่ดีๆ เท้าก็จมลง ทำให้มีโคลนติดขึ้นมา
“ข้าเปล่า!” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง น้ำเสียงฟังดูราวกับเค้นลอดไรฟัน ก้มมองเห็นบนรองเท้ายาวเปื้อนคราบโคลนเลนสามหยด อารมณ์ที่ปั่นป่วนดุจพายุฝนกลายเป็นพายุหิมะน้ำค้างแข็งไปแล้วจริงๆ
มู่ไคเวยหัวคิ้วขมวดมุ่นราวกับไม่ค่อยแน่ใจ “ก็ใช่ เพราะถ้าหากทะเลาะกัน แม่นางเจียงไม่มีทางเตรียมถุงเครื่องหอมสำหรับขับไล่งูและแมลงให้ท่าน ขนาดข้ายังได้ส่วนแบ่งมาตั้งสองถุง เดินทางไปมาในป่าของแดนเถื่อนทางใต้แห่งนี้ ถุงเครื่องหอมนี้มีประโยชน์มาก ยุงมดไม่กล้าเข้าใกล้” พูดพลางตบถุงเครื่องหอมสีแดงเข้มที่ห้อยไว้ข้างเอว
เมื่อเห็นถุงเครื่องหอมบนตัวของศิษย์น้อง หางตาเมิ่งอวิ๋นเจิงก็อดหดเกร็งเล็กน้อยไม่ได้
นึกถึงความรู้สึกของโม่เอ๋อร์ที่มักจะต้อง ‘เสียสละของรัก’ ให้เขาทุกครั้ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจ
หญิงสาวผู้นั้นเย็บถุงเครื่องหอมไว้ทั้งหมดสี่ถุง เขาเข้าใจเจตนาของนาง ที่ต้องการให้เขากับศิษย์น้องแบ่งกันคนละครึ่ง
ของเขาเป็นสีเขียวแก่ ของศิษย์น้องเป็นสีแดงเข้ม เขาพกใบหนึ่งติดตัวไว้ อีกใบผูกไว้บนหลังม้า ศิษย์น้องก็ทำเช่นเดียวกัน ใบหนึ่งใช้เอง อีกใบใช้ป้องกันยุงและแมลงกัดต่อยให้ม้า
เมื่อถึงวันที่ต้องแบ่งถุงเครื่องหอมที่ทำจากผ้าสีแดง ในใจก็รู้สึกหนักอึ้ง ความเห็นแก่ตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็เกิดขึ้น เขาอยากแอบเก็บเอาไว้เอง
เขาได้เป็นเจ้าของขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมทั้งตะกร้าแล้ว คิดว่าเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอใจแล้ว นึกไม่ถึงว่าใจคนจะผันแปรไปมา แม้แต่ใจของตนเองก็ยังยากที่จะคาดเดา
“กลับถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่ต้องใช้ถุงเครื่องหอมอีก เจ้าต้องเอามาคืนข้า” สีหน้าเขายังคงไม่สบอารมณ์ ออกเดินอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง
มู่ไคเวยเริ่มฟังเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว หัวเราะคิกคักเดินตามไป
ทำงานเสร็จสิ้นในครั้งนี้ มู่ไคเวยเริ่มมีแก่ใจจะพูดคุย จึงกล่าวว่า “ได้ ยืมมาแล้วต้องคืน จะได้มีให้ยืมอีก ถึงตอนนั้นเครื่องหอมคงไม่หอมแล้ว ศิษย์พี่ค่อยขอให้แม่นางเจียงใส่ดอกไม้และหญ้าหอมเข้าไปแล้วกัน นางรู้ว่าท่านตั้งใจใช้งานมากถึงเพียงนี้ ไม่ทำให้ความตั้งใจของนางสูญเปล่า ย่อมดีใจเป็นแน่ ศิษย์พี่บอกว่าไม่ได้ทะเลาะกับแม่นางเจียง เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อระหว่างท่านกับนางไม่มีเรื่องใด แสดงว่า…เรื่องต้องมาจากผู้อื่นแล้ว? หรือว่าแม่นางเจียงกำลังสนใจใคร ถึงได้ทำให้ท่านว้าวุ่นใจ?”
“ไม่มี!” วาจานี้เมื่อกล่าวออกไป เมิ่งอวิ๋นเจิงก็ชะงัก
…ไม่มี?
ไฉนจึงไม่มี เพราะเหตุใดจึงไม่มี ไม่มีได้อย่างไร
ต้องถามว่าเขาไปเอาความมั่นใจจากไหนมากล่าวสองคำนั้นได้อย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนี้
ฝีเท้าเขาหยุดลงอย่างกะทันหัน คนที่เดินตามหลังมาติดๆ อย่างมู่ไคเวยจึงหน้ากระแทกแผ่นหลังกว้างของเขา
หญิงสาวร้องครางอย่างเจ็บปวด ลูบคลำจมูกของตนเอง เห็นศิษย์พี่ตนมีสีหน้าหนักอึ้ง นางก็ยั้งถ้อยคำรุนแรงเอาไว้ เพียงทำเสียงขึ้นจมูกและเอ่ยอย่างระอา
“ศิษย์พี่ท่านคงนึกออกแล้วสินะ” พลางดึงดั้งจมูก “ท่านถ่วงเวลาไม่ยอมแสดงออกกับผู้อื่น แต่กลับเข้าไปทำความสนิทสนม พูดให้น่าเกลียดก็คงต้องบอกว่า ‘จับจองหลุมไว้แต่ไม่ยอมถ่ายอุจจาระ’ แม่นางผู้นั้นหลายปีมานี้คอยเอาใจท่าน ปะชุนเสื้อเก่า ตัดเสื้อใหม่ ตัดรองเท้าให้ท่าน เย็บถุงเครื่องหอม ทำขนม ต้มชาทำโจ๊กให้ท่าน ตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่ในบ้านถึงนอกบ้าน อะไรที่นางดูแลได้นางก็ดูแล ย่อมชมชอบท่านอยู่แล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าเมิ่งอวิ๋นเจิงแข็งค้างดุจพานพบฤดูใบไม้ผลิมาสามครั้ง
คิ้วดุจภูผาของเขาเลิกสูงขึ้น ดวงตาเป็นประกายราวกับเพิ่งผ่านการล้างด้วยน้ำ บางสิ่งที่ดูอ่อนโยนเต้นเป็นระลอกอยู่ในดวงตา หางตาจึงเบิกกว้างกลมขึ้น ริมฝีปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อย ลำคอและไหล่บ่าที่แข็งค้างไม่ได้เกร็งเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
ได้รับราชโองการให้ลงมาทำงานทางตอนใต้ในครั้งนี้ หาหลักฐานและพยานได้แล้ว ผู้คนที่มาช่วยก็มีเป็นจำนวนมาก มีหลายเรื่องที่แม่ทัพทางชายแดนใต้และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเตรียมการไว้พร้อม เรื่องราวจึงเป็นไปตามความคาดหมาย เหลือเพียงตัดสินคดีเท่านั้น เขาไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องว้าวุ่นใจ แต่ว่าหัวใจกลับเหมือนลูกมะเขือที่จับน้ำค้างแข็ง ทั้งช้ำและเหี่ยวแห้ง ราวกับทุกอย่างผิดพลาดไปหมด
เขาคิดแล้วคิดอีก คำนึงแล้วคำนึงอีก ว่าเหตุใดจึงรู้สึกว้าวุ่นใจเช่นนี้ พลันในใจเขาก็ได้คำตอบ
คิดไปคิดมา ก็คิดถึงวันก่อนออกจากเมืองหลวง เขาตะลึงมองดูเงาร่างบางของหญิงสาวที่วิ่งจากไปโดยไม่มีคำพูดใดจะกล่าว
เขาคงจะทำอะไรผิดเป็นแน่…
ภาพที่เขาอยู่ร่วมกับหญิงสาวผู้นั้นในเวลาต่างๆ ปรากฏขึ้นในหัวฉากแล้วฉากเล่า ทั้งเวลาที่มีความสุข ประหลาดใจ อบอุ่นใจ สงบสุข อิ่มเอิบใจ…ศิษย์น้องพูดถูก หญิงสาวผู้นั้นดูแลเขาอยู่เงียบๆ ไม่ปล่อยให้เขาขาดแคลนสิ่งใด มองลงไปทั่วทั้งตัวเขา ตั้งแต่เสื้อฤดูร้อน เข็มขัด ถุงเครื่องหอม และรองเท้ายาวที่อยู่ข้างล่างสุด…อ้อ ยังมีขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมสองชิ้นสุดท้ายที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อ ทั้งหมดล้วนเป็นของที่หญิงสาวทำขึ้นมาให้เขา
คนผู้หนึ่งจะโง่งมได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ นาง…นางไม่สนใจเขาที่ใดกัน
‘ย่อมชมชอบท่านอยู่แล้ว’
คำพูดนี้ดียิ่ง ได้ยินแล้วรู้สึกยินดีจากใจจริงและช่างไพเราะเสนาะหู ส่วนความรู้สึกที่เขามีต่อนางก็…ก็…
“ตึง! ปัง…”
“อ๊า…เฮ้ยๆๆ ศิษย์พี่ ท่านเป็นอะไรไป”
ชายร่างสูงใหญ่แข็งแรงล้มลงโดยไม่มีอะไรบ่งบอกล่วงหน้า เท้าข้างหนึ่งย่ำลงในแอ่งโคลน
มู่ไคเวยยื่นมือออกไปฉุดไว้ตามสัญชาตญาณ ไม่รู้ว่าแอ่งโคลนนั้นลึกเท่าใด แต่เขาย่ำลงไปเต็มแรง ทำให้โคลนเลนก้อนใหญ่กระเด็นใส่หน้านาง
“ศิษย์น้อง…ข้า ข้าผิดไปแล้ว…ไม่ใช่เช่นนั้น…” เมิ่งอวิ๋นเจิงขาจมลงไปในโคลนครึ่งแข้ง ขาอีกข้างคุกเข่าลงบนซากใบไม้ ใบหน้าสีเลือดเหือดหาย
เขาคิดได้เสียทีว่าตนทำอะไรผิด!
“ข้าบอกนางว่าข้าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับนาง ระหว่างข้ากับนาง ไม่ใช่เรื่องระหว่างชายหญิงเลยแม้แต่น้อย” พลางหอบหายใจ “ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งทำความรู้จักมาจนถึงตอนนี้ ข้าได้บอกไปอย่างชัดเจนครั้งแล้วครั้งเล่า” ความจริงก็คือบอกไปชัดเจนมาก!
‘นาง’ ในวาจาของศิษย์พี่ มู่ไคเวยใช้หัวเข่าขบคิดก็ทราบว่าเขาหมายถึงใคร
มู่ไคเวยเองก็หน้าซีดขาวเช่นเดียวกับเขา แต่ในความขาวนั้นปนเขียวคล้ำปนแดงก่ำ หน้าผากเต้นตุบราวกับถั่วผัดในหม้อร้อน โมโหศิษย์พี่ตนเองที่ความรู้สึกช้าและถูกหญิงสาวเอาใจจนเสียนิสัย
“ศิษย์พี่ ท่าน…ที่แท้ท่านโง่งมได้ถึงเพียงใดกัน! แต่ละเรื่องของท่านล้วนมีบิดาข้าเป็นแบบอย่าง เขาไม่ได้แต่งงานใหม่…เรื่องใหญ่เช่นการแต่งงานนี้ท่านก็จะเอาอย่างบิดาข้าหรือ” มู่ไคเวยเอ่ยเสียงต่ำอย่างข่มกลั้น มีความรู้สึกแค้นใจเหล็กที่มิอาจหลอมเป็นเหล็กกล้า*
เมิ่งอวิ๋นเจิงตกตะลึง อ้าปากแต่ไม่มีคำพูดใดออกมา เห็นได้ชัดว่าถูกแทงใจดำ
“เฮ่อ…” มู่ไคเวยระบายลมหายใจร้อนออกมาหนักๆ กุมมือจนนิ้วพันกันยุ่งเหยิง
จากนั้นนางก็คลายมือออกช้าๆ ลูบบ่าของบุรุษอย่างช้าๆ สูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวอีกว่า “ประสกท่านนี้ ข้าผู้เป็นศิษย์น้องไม่อาจช่วยท่านได้ ท่านต้องดูแลตนเอง โปรดถนอมตัวด้วย แต่เรื่องของแม่นางที่ขายโจ๊กในตรอกซงเซียง ผู้น้อยว่าผู้น้อยยังพอจะช่วยเหลือได้”
หมายความว่าอย่างไร
ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างผุดขึ้นในใจ เมิ่งอวิ๋นเจิงหรี่ตามอง
มู่ไคเวยกล่าวอีกว่า “ในเมื่อศิษย์พี่บอกไปอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ได้สนใจนาง เช่นนั้นก็ไม่ต้องยืนกรานแล้ว และหน่วยประตูหกบานของข้าก็มีแต่คนดีๆ ไฉนจึงไม่ให้ปุ๋ยดีไปตกที่นาคนอื่น* บ้างเล่า ระหว่างพวกเขากับแม่นางมีท่านจับจองหลุมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย มิสู้แบ่งปุ๋ยเข้านาเขาบ้าง กลับไปข้าจะช่วยเป็นธุระผูกด้ายแดงให้ ดูว่าใครจะมีวาสนา ได้รับความชื่นชมจากแม่นาง”
เปรี้ยง…เมิ่งอวิ๋นเจิงรู้สึกเหมือนเบื้องหน้ามีสายฟ้าผ่าฟาดเปรี้ยง สว่างจ้าจนสองตาเขาพร่ามัว ในหูดังลั่นอึงอล!
“เจ้ากล้า?” คำถามโกรธเกรี้ยวดุจสายอสนีบาต บนหน้าผากกว้างปรากฏเส้นเลือดดำ
ฉายา ‘อสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวง’ ไม่ได้ได้มาโดยบังเอิญ นางไม่กลัวเกรงความพิโรธดั่งสายฟ้าฟาด
“เหตุใดจะไม่กล้าเล่า” นางหัวเราะร่า “วาจาออกจากปาก สี่อาชายากตามทัน ต้องดูว่าศิษย์พี่จะตามทันหรือไม่”
พอเอ่ยคำพูดทิ้งท้าย มู่ไคเว่ยก็ก้าวเท้าวิ่ง ใช้วิชาตัวเบาอย่างคล่องแคล่วว่องไว แต่ก่อนจะออกวิ่งไปข้างหน้า ยังจงใจเล่นลูกไม้ นางใช้ฝ่ามือกดลงบนไหล่ของบุรุษโดยแรง หยิบยืมพลังมาใช้ เหินคราเดียวไปไกลหลายจั้ง แต่กลับกดหน้าแข้งของบุรุษให้จมลึกลงในแอ่งโคลน
สำหรับเมิ่งอวิ๋นเจิงแล้ว ศิษย์น้องป่าวประกาศความตั้งใจไว้ชัดเจนมาก ในเมื่อนางพูดออกมาเช่นนั้น นางก็จะทำให้ถึงที่สุด
แต่ว่าขอเพียงไล่ตามให้ทัน…ขอเพียงตามให้ทัน วาจาของนางเมื่อครู่นี้ เรื่องเช่น ‘เป็นธุระผูกด้ายแดง’ เหล่านั้น นางก็จะทำเหมือนไม่เคยกล่าวมาก่อน หักลบกลบล้างไป
จะปล่อยให้นางชนะได้ตัวแม่นางขายโจ๊กไปได้อย่างไรกันเล่า!
ต่อให้แม่นางผู้นั้นเป็นน้ำที่อุดมสมบูรณ์ ก็ต้องไหลเข้านาดินโคลนอย่างเขา ไม่ว่าใครก็ห้ามแซงหน้าแม้แต่ก้าวเดียว!
เมิ่งอวิ๋นเจิงกู่ร้องคราหนึ่งและจ้องอย่างแน่วแน่ ฝ่ามือใหญ่ทุบลงบนดิน เรือนร่างสูงใหญ่พลันลุกขึ้นจากพื้น เหินขึ้นไปบนยอดไม้
ไม่ง่ายเลยกว่าเหตุการณ์วุ่นวายในป่าจะสงบลงได้ แล้ววิหคก็แตกตื่นส่งเสียงร้องขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุดฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวแสนที่จะบีบคั้นผู้คนก็ได้ผ่านพ้นไป เป็นลมของฤดูใบไม้ร่วงที่นำความสดชื่นมาให้ ดวงอาทิตย์ขับสีเหลืองทองให้กับใบไม้แก่ที่กระจัดกระจายอยู่ตามยอดไม้ อารมณ์ความรู้สึกที่รายล้อมด้วยบรรยากาศหม่นหมองแช่ค้างอยู่ในวันเวลาอันเย็นสบายและอบอุ่นของฤดูใบไม้ร่วง ราวกับสายลมได้นำพารอยยิ้มมา ทำให้สบายและสดชื่นขึ้นมาก
และแล้วเทศกาลจงชิว ก็ใกล้เข้ามา เป็นช่วงเวลาที่พระจันทร์เต็มดวง ผู้คนอยู่กันพร้อมหน้า แต่ก่อนหน้าจะถึงเทศกาลที่ดีที่สุดอย่างเทศกาลจงชิว ราษฎร์ในเมืองหลวงต่างไม่ยอมพลาด ‘เทศกาลตักจันทร์’ ที่ปีหนึ่งมีเพียงหนเดียว
‘เทศกาลตักจันทร์’ เริ่มต้นขึ้นในช่วงสามวันก่อนถึงกลางเดือนแปด ในสามวันนี้ เนื่องจากแม่น้ำสายย่อยหนึ่งของแม่น้ำลั่วอวี้ไหลลดเลี้ยวเข้าเมือง รวมกับความเกี่ยวพันทางภูมิลักษณ์ แม่น้ำสายย่อยจึงไหลมาก่อตัวเป็นทะเลสาบตามธรรมชาติอยู่ที่เฉิงหนาน ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งราชวงศ์เทียนเฉาพระราชทานนามให้ว่าทะเลสาบ ‘เยาเยวี่ย (เชิญจันทร์)’ ทุกครั้งที่พระจันทร์ขึ้นถึงกลางฟ้า ผิวหน้าของทะเลสาบเยาเยวี่ยที่ใสดุจกระจกจะสะท้อนภาพเงาจันทร์ แสงที่สะท้อนลงน้ำเป็นประกาย ดวงจันทร์ในน้ำดูราวกับเป็นพระจันทร์จริง บนฟ้ามีแสงจันทร์พราวพร่าง ในทะเลสาบมีแสงจันทร์ระยิบระยับ มักดึงดูดนักกวีโคลงกลอนให้กระโจนเข้าหา
เจียงหุยเสวี่ยแต่งโคลงไม่เป็น ยิ่งไม่เข้าใจเรื่องกาพย์กลอน แต่หลังจากพาโม่เอ๋อร์มาอยู่อาศัยในเมืองหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่ดึกขนาดนี้แล้วนางยังเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามของ ‘ท้องฟ้าและทะเลสาบร่วมกันทอแสง’ ที่ทะเลสาบเยาเยวี่ย
และผู้ที่เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกไม่ยอมกลับก็ไม่ได้มีแต่นางเพียงผู้เดียว
เทศกาลตักจันทร์ที่เมืองหลวงมีอยู่ ไม่อาจสืบทราบความเป็นมาที่แท้จริงได้ เพียงทราบกันคร่าวๆ ว่าทุกอย่างเริ่มต้นจากการเล่นสนุกในหมู่เศรษฐีชนชั้นสูง
เมืองหลวงใต้เบื้องพระบาทของโอรสสวรรค์ คือสถานที่ที่ดีที่สุด มีเชื้อพระวงศ์และเศรษฐีคหบดีอยู่กันมากมาย เป็นช่วงเวลาอันสงบสุขนับตั้งแต่ก่อตั้งบ้านเมืองมา หลายครอบครัวคหบดีที่มั่งคั่งเหลือกินเหลือใช้และร่ำรวยจนไม่อาจสรรหาคำมาพรรณนา ได้นำสิ่งของใส่ลงในกล่องจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อทำเป็นของขวัญหมั้นหมาย กล่องเหล่านั้นจะเคลือบด้วยน้ำมันจากเมล็ดถงที่สามารถกันน้ำได้ จากนั้นของขวัญหมั้นหมายเหล่านี้ก็จะถูกนำไปวางในทะเลสาบเยาเยวี่ย ท่ามกลางแสงจันทร์บนฟ้า รัศมีจันทร์กว้างไกล แล้วให้หญิงสาวนั่งเรือไปตักขึ้นมา ทำกันจนกลายเป็น ‘เทศกาลตักจันทร์’
มาวันนี้ ของขวัญหมั้นหมายในเทศกาลตักจันทร์ยังคงเป็นของขวัญไร้ราคาค่างวดจากคนชั้นสูงและเศรษฐีคหบดีในเมืองหลวง แต่จะว่า ‘ไร้ราคาค่างวด’ ก็คงไม่ใช่ ด้านบนกล่องไม้กันน้ำที่ใส่ของขวัญหมั้นหมายชนิดต่างๆ ล้วนสลักชื่อของผู้ที่ส่งมอบมันออกมา รูปแบบภายนอกของกล่องไม้ที่แต่ละบ้านนำมาวางก็ไม่ค่อยเหมือนกัน เหล่าชนชั้นสูงและเศรษฐีต่างอยากแย่งชิงหน้าตา จะได้มีหน้ามีตายามเดินอยู่ในเมืองหลวง เทศกาลตักจันทร์จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้สร้างหน้าตาให้กับตนเอง ที่สำคัญก็คือ ‘การตักจันทร์’ นี้ เมื่อตักกล่องไม้ใส่ของขวัญหมั้นหมายขึ้นมา ที่แท้ด้านในจะใส่ของสิ่งใดไว้
คืนนี้เจียงหุยเสวี่ยได้มาล่องเรือในทะเลสาบเยาเยวี่ย ไล่เก็บของขวัญหมั้นหมายไปทีละชิ้นๆ หญิงสาวเข้าใจในที่สุดว่าเพราะเหตุใดปีที่แล้วโม่เอ๋อร์ถึงได้อิจฉาหนิวนิว เด็กที่เล่นด้วยกันกับสาวน้อยในเรือนหมู่
เทศกาลตักจันทร์ปีที่แล้ว หนิวนิวตักของขวัญหมั้นหมายขึ้นมาได้ไม่น้อย ถือกลับมายังเรือนหมู่และเปิดดูพร้อมกับโม่เอ๋อร์ เด็กสาวทั้งสองทางหนึ่งเปิดกล่องไม้ ทางหนึ่งก็โห่ร้องและหัวเราะอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ภายหลังนางมาดู ของเล่นที่ใช้เป็นของขวัญหมั้นหมายสารพัดชนิดน่าตื่นตาตื่นใจมาก มีชาดแดงและแป้งประทินโฉมของหญิงสาว ปิ่นปักผมและต่างหูประดับหยกมุกฝีมือประณีตงดงาม มีกำไล สร้อย และดอกไม้กำมะหยี่ มีถุงเครื่องหอม เข็มขัด และผ้าเช็ดหน้าหอมที่เย็บปักอย่างสวยงามวิจิตร มีแม้กระทั่งตั๋วเงินและก้อนเงินวางอยู่ในกล่อง แม้จะไม่ใช่ของสวยงามแต่ก็เป็นที่ชื่นชอบ
ปีที่แล้วพอนางเห็นของขวัญหมั้นหมายที่หนิวนิวแกะออกมา มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
มาปีนี้ เดิมนางไม่คิดจะเข้าร่วม แม้ว่าจะสนใจแต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อน
จะลงทะเลสาบไป ‘ตักจันทร์’ ได้ ก่อนอื่นต้องมีเรือเล็กสักลำ พอถึงเทศกาลตักจันทร์ คนปล่อยเช่าเรือตามริมทะเลสาบจะมากขึ้น แต่ว่าราคาก็จะยิ่งทบเท่า ทบเท่า ทบเท่าทวีคูณ เพียงมองดูอย่างเดียวก็รู้สึกเจ็บเข้าเนื้อ นางยังต้องใช้เงินเหล่านั้นซื้อของใช้จำเป็นและตัดชุดฤดูหนาวให้โม่เอ๋อร์อีก ไม่อยากจะสิ้นเปลืองเช่นนั้น
แต่เมื่อสองวันก่อน ท่านยายเฉียวมาเอ่ยปากชวนนางกับโม่เอ๋อร์ให้ไปล่องเรือ ‘ตักจันทร์’ ด้วยกัน บอกว่าลูกค่าเก่าท่านหนึ่งของร้านแป้งย่างช่วยเป็นธุระหาเรือยาวสองลำที่ค่าเช่าราคางามมาให้ท่านยายเฉียว กระทั่งนายเรือที่มีหน้าที่ถ่อและพายเรือก็ตามติดมาด้วย ดังนั้นจึงกะจะให้ปั้งโถวพาโม่เอ๋อร์และหนิวนิวนั่งเรือยาวลำหนึ่ง ส่วนท่านยายเฉียวกับนางนั่งอีกลำหนึ่ง
ตอนแรกเจียงหุยเสวี่ยกล่าวปฏิเสธ แต่ท่านยายเฉียวคว้ามือนางไว้แล้วโน้มน้าวอีกครั้ง…
‘ตอนแรกที่เจ้าเข้ามาอยู่ในเรือนหมู่ เอวกับขาของตาแก่เฉียวยังใช้การไม่ค่อยได้ มารดาของปั้งโถวดูแลร้านตามลำพังไม่ไหว เห็นทีร้านแป้งย่างเฉียวจี้ของเราจะต้องปิดกิจการเสียแล้ว แต่ตอนนั้นเจ้าให้ตำรับยามา บอกว่าสามารถเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก บำรุงเลือดลม ยายแก่อย่างข้าก็ได้ลองยามาหมดทุกขนานแล้ว ไม่นึกว่าจะเจอยาที่รักษาได้จริงๆ ตอนที่ตาแก่เฉียวเริ่มรักษาโรค ยังต้องคอยดื่มยาถี่ๆ สองปีมานี้พักฟื้น สิบวันครึ่งเดือนค่อยดื่มยาที โรคเจ็บขาจากพิษเย็นสั่งสมก็หยุดกำเริบแล้ว ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้า คนที่ควรจะขอบคุณคือพวกข้าต่างหาก เจ้าจะมัวเกรงใจอะไรเล่า’
ตำรับยารักษาโรคเอวและขาที่ท่านยายเฉียวพูดถึงนั้น สมัยที่นางเป็นเด็ก นางเคยเห็นในตำราแพทย์ของท่านยาย
ล้วนอาศัยความทรงจำอันดี นางที่ตอนนั้นอายุเพียงหกขวบได้ท่องตำราแพทย์ที่สืบทอดมานานในเผ่าไว้จนขึ้นใจ เมื่อชีวิตนางสงบสุขดีแล้ว นางจึงค่อยๆ เขียนเนื้อหาในตำราแพทย์ขึ้นมาจากความทรงจำของนาง มีบางตำรับที่นางยังจำได้อย่างแม่นยำ บางตำรับก็ตกหล่นขาดหาย
ที่น่าแปลกก็คือตั้งแต่นางย้อนทบทวนความทรงจำในวัยเยาว์ ลองค้นหาสิ่งที่นางเคยร่ำเรียนมาก่อนในห้วงสมอง ทุกอย่างช่างยากเย็น แต่พอนางจับอะไรบางอย่างได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาพ หรือจะเป็นเสียง หลังจากนั้นนางก็เริ่มจำได้ จากจุดเล็กๆ มารวมกันกลายเป็นลายเส้น และจากลายเส้นก็จะกลายเป็นภาพทั้งหมด สิ่งต่างๆ เหล่านี้ค่อยๆ มา เป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องเค้นบังคับ
ภายหลังท่านยายเฉียวจึงใช้ ‘ทีเด็ด’ ผลักโม่เอ๋อร์ออกมาข้างหน้า
‘หนึ่งปีมีเทศกาลตักจันทร์เพียงหนเดียว เจ้าเอาแต่อุดอู้อยู่ในบ้านไม่ออกไปหาความสุข แต่คงไม่ห้ามโม่เอ๋อร์ไม่ให้ออกไปด้วยใช่หรือไม่ แต่จะว่าก็ว่าเถิด เจ้ายอมให้นางออกไป แล้วไม่ไปเสียเองนั่นจะได้อย่างไร’
วันนั้นโม่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างจ้องมองนาง ดวงตาที่สุกใสส่องประกายดูไร้เดียงสาและคาดหวังรอคอย เปี่ยมไปด้วยแวววิงวอนร้องขอ…เฮ่อ พ่ายแพ้ราบคาบ นางหักใจปฏิเสธไม่ลงจริงๆ สุดท้ายจึงตอบรับคำเชิญของท่านยายเฉียว ไปล่องเรือในทะเลสาบเยาเยวี่ย เข้าร่วมกิจกรรม ‘ตักจันทร์’ อันดีงาม
‘การตักจันทร์’ มีเรื่องที่กำหนดไว้โดยไม่มีลายลักษณ์อักษรประการหนึ่งก็คือกล่องไม้ที่ลอยอยู่บนผิวทะเลสาบเป็นของที่ให้สตรีไปเก็บขึ้นมา บุรุษก็สามารถไปร่วมล่องทะเลสาบด้วยได้ แต่หากไป ‘ตักจันทร์’ ตามอย่างสตรี ใครรู้เข้าก็จะถูกหัวเราะเยาะ
เจียงหุยเสวี่ยคิดในใจว่าโม่เอ๋อร์กับหนิวนิวอยู่กับปั้งโถว เด็กสาวทั้งสองย่อมต้องมีหน้าที่ ‘ตักจันทร์’ ส่วนนางกับท่านยายเฉียว…แม้ท่านยายเฉียวจะเป็นสตรี แต่ก็ไม่ใช่หญิงสาวแล้ว นางกลัวว่าหญิงชราจะไม่กล้าเอื้อมมือไปเก็บ จึงลงแรงเก็บเผื่อท่านยายเฉียวด้วย
กล่องไม้ที่ลอยอยู่รอบเรือยาวของพวกนาง นางไม่ปล่อยให้หลุดรอดแม้สักชิ้น ทั้งยังขอไม้พายด้ามยาวจากนายเรือมาทั้งตัก ทั้งยก ทั้งเกี่ยว และพาย ตั้งอกตั้งใจจนใบหน้าเล็กแดงระเรื่อ ดวงตาเป็นประกาย
เอ๊ะ มีคนใช้ไม้ถ่อเรือกวาดเอากล่องไม้ที่อยู่ไกลมาให้นาง
เจียงหุยเสวี่ยช้อนตาขึ้น เห็นเรือเล็กลำหนึ่งอยู่ไม่ไกล ผู้ที่ยืนอยู่บนหัวเรือและใช้ไม้ถ่อช่วยนาง เป็นบุรุษหนุ่มท่าทางเหมือนบัณฑิต กำลังส่งยิ้มบางๆ ให้นาง
“ขอบคุณคุณชาย” เพื่อตอบรับตามมารยาท นางก็ยิ้มให้เล็กน้อย
“ข้าน้อยหลัวอี้ซิน หลัวที่มีอักษรเหวย อี้ซินที่มาจากคำว่ารักเดียวใจเดียวไม่เปลี่ยนแปลง พื้นเพเป็นคนเมืองหลวง อายุยี่สิบสาม ชอบอ่านหนังสือ ไม่มีนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ บ้านอาศัยอยู่ตรอกหย่งชุนแห่งเฉิงตง ชื่นชมในตัวแม่นาง” แล้วก็คารวะหนึ่งครา
…หา? เจียหุยเสวี่ยตะลึงงัน
เพราะเป็นครั้งแรกของการมา ‘ตักจันทร์’ ที่ทะเลสาบเยาเยวี่ย นางคิดว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ เมื่อเรือในทะเลสาบพายมาเจอกัน ดูจากมารยาทหรือขนบธรรมเนียมแล้ว คนหนุ่มสาวจะบอกชื่อและพูดคุยกันก็เป็นเรื่องสมควร อย่างไร…อย่างไรเสียท่านยายเฉียวก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย แล้วยังเงยหน้าชมจันทร์ ก้มหน้าวักน้ำอย่างมีความสุข ไม่ได้มองมาทางนางแม้แต่ครั้งเดียว
ผนวกกับนางเปิดกิจการขายโจ๊กในตรอกซงเซียง คุ้นเคยกับการพบปะผู้คนตั้งนานแล้ว ท่ามกลางผู้คนมีการคบหาแลกเปลี่ยน ให้พูดคุยกับชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง สำหรับนางไม่ใช่เรื่องยากอะไร
นางขบริมฝีปาก กล่าวทักทายบัณฑิตเช่นกัน “ข้าน้อยเจียงหุยเสวี่ย อายุล่วงยี่สิบ เกิดที่เผ่าในชายแดนตะวันตก หนังสือตำราชั้นสูงเคยอ่านไม่มาก แต่ชอบอ่านหนังสือข้างทาง และ…และไม่มีนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ บ้านอาศัยอยู่ในตรอกซงเซียงแห่งเฉิงเป่ย…”
“ข้าน้อยทราบ ข้าน้อยทราบ” บัณฑิตหนุ่มฉีกยิ้มสว่างไสว
หืม…เขาทราบหรือ เจียงหุยเสวี่ยในใจสับสน แต่ก็ไม่ได้ถามมากความ หลังจากเช็ดกล่องไม้ที่บัณฑิตผู้นั้นกวาดมาให้แห้งแล้ว เรือยาวก็เปลี่ยนทิศทาง ทำให้จิตใจนางถูกกล่องไม้กล่องอื่นที่ลอยมาดึงดูดไป
เห็นเหยื่อแล้วก็ดีใจ!
นางรู้สึกว่าน่าขัน แต่ก็เข้าใจข้อดีของการตักจันทร์ที่ทำให้หญิงสาวต่างพากันชื่นชอบ
เอ๊ะ มีคน ‘เขี่ย’ กล่องไม้ที่อยู่ไกลๆ มาทางนางอีกแล้ว
เรือลำที่อีกฝ่ายนั่งก็เป็นเรือยาวเช่นกัน คนผู้นั้นศีรษะล้านเลี่ยน บนศีรษะส่องสว่างท่ามกลางแสงจันทร์…อ้อ! นางจำอีกฝ่ายได้แล้ว เขาคืออาจารย์อู๋จาก ‘ร้านตีเหล็กอู๋จี้’ จาก ‘ถนนตีเหล็กตลอดสาย’ นางเคยซื้อกรรไกรและมีดหั่นผักจากเขา คนผู้นี้ฝีมือดีเยี่ยมยิ่ง จนเป็นที่กล่าวขวัญกันว่าเป็นบุคคลที่ร้ายกาจที่สุดใน ‘ถนนตีเหล็กตลอดสาย’
ไม่รอให้อีกฝ่ายเปล่งเสียง นางก็ยิ้มและทักทายขึ้นก่อน “อาจารย์อู๋วันนี้มีเวลาว่าง ออกมาชมจันทร์เหมือนกันหรือ”
แล้วก็เห็นอาจารย์ตีเหล็กที่อายุราวสามสิบกว่าเขี่ยใบหู แล้วก็ลูบคลำหัวล้าน สักพักค่อยเอ่ยขึ้น…
“…เอ่อ ข้า…ข้าแซ่อู๋นามเถี่ย ปีนี้สามสิบสาม บ้านอยู่ที่ถนนตีเหล็ก กิจการตีเหล็กทำมาค้าขึ้นดี ปีหนึ่งได้เงินมาไม่น้อย มีอาหารและเสื้อผ้าไม่ขาดแคลน แต่…แต่ภรรยาด่วนจากไป ทิ้งลูกสาวอายุสิบสองปีไว้หนึ่งคน ข้าเห็นว่าแม่นาง…ท่าน ท่านชอบเด็กใช่หรือไม่”
เจียงหุยเสวี่ยอ้าปากค้าง หางตาชำเลืองไปทางท่านยายเฉียวโดยไม่ทันรู้ตัว หญิงชรายังคงชมจันทร์ เล่นน้ำอย่างสุขสำราญ
นางต้องรับมือด้วยตัวเองแล้ว
“น้องหลันลูกสาวของอาจารย์อู๋ ข้าเคยเจอมาก่อน เป็นแม่นางน้อยที่ดีมาก น้องหลันเล่นกับโม่เอ๋อร์ของข้าก็เข้ากันได้ดี ทั้งสองล้วนชอบวาดรูป น้องหลันเคยบอกว่าสมัยที่มารดาของนางยังอยู่เคยสอนนางไว้หลายอย่าง ทั้งวาดรูป อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ลูกสาวบ้านอาจารย์อู๋ ใครจะไม่ชมชอบ”
“ใช่ ใช่…มารดาของนางล้วนสอนมาดี นางพูดถูก พูดถูกจริงๆ ข้า…ข้า…ฮือๆๆ…” ชายหัวล้านพลันนั่งจ้ำลงกับพื้นเรือ ร้องไห้เสียงดัง “มารดาของอาหลัน ไฉนเจ้าถึงรีบจากไป ทิ้งข้าสองพ่อลูกไว้ไม่ไยดี เหตุใดเจ้าถึงใจร้ายเช่นนี้ ฮือๆๆ…”
เจียงหุยเสวี่ยตกใจก่อนเป็นอย่างแรก ตามด้วยลอบระบายลมหายใจออกจากปาก
ด้วยระยะห่างเพียงหนึ่งลำเรือ นางพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาจารย์อู๋อย่าเศร้าเสียใจไปเลย น้องหลันรูปร่างหน้าตาเหมือนมารดา แต่ว่าใกล้ชิดกับบิดาของนาง ท่านมีลูกสาวที่ดีเช่นนี้ ใครๆ ก็ต้องชอบอยู่แล้ว”
“ฮือ…ใช่ แม่นางพูดถูก…ฮือๆ…” พลางปาดน้ำตาโดยแรง
แม้ว่าจะรู้จัก แต่ก็ไม่ได้คุ้นเคยกัน ไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ประจวบกับนายเรือหันเรือยาวจากไปพอดี เจียงหุยเสวี่ยจึงทำคารวะน้อยๆ ชายที่ร้องไห้น้ำมูกน้ำตา ถือเป็นการแสดงมารยาท
นางคิดว่าเรื่องราวคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ เรือที่มา ‘ตักจันทร์’ ในทะเลสาบเยาเยวี่ยมีเป็นจำนวนมาก นับเท่าใดก็นับไม่ถ้วน เรือที่ตามกล่องไม้ใส่ของขวัญหมั้นหมายกล่องเดียวกันก็มีอยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ต้องพึ่งพาอาศัยความสามารถ แต่การที่มีคนกวาดของขวัญหมั้นหมายมาให้อยู่บ่อยครั้ง เพื่อให้นางตักของได้ง่าย เช่นนี้…นางจะความรู้สึกช้าอย่างไรก็ต้องรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ
หลังจากที่นางแยกอาจารย์อู๋ช่างตีเหล็กก็เผชิญสถานการณ์เดียวกันนี้อีกสามครั้งติดกัน ผู้ที่มาล้วนเป็นบุรุษ มีทั้งชาวบ้าน ทั้งคนมีการศึกษา นางเริ่มรู้สึกไม่เป็นสุข จึงเลิก ‘ตักจันทร์’ แล้ว นั่งลงตรงหน้าท่านยายเฉียว กดดันให้หญิงชรากล่าววาจาออกมา
“…ท่านยาย?” ความเคลือบแคลงล้นใจ รู้สึกวิตกกังวล แต่น้ำเสียงที่นางใช้ถามไม่อาจดัดให้ฉุนเฉียวและแข็งกระด้างได้ ยังคงเป็นเสียงอ่อนโยนมาก แต่ฟังดูสิ้นความอดทนและระอาใจเล็กน้อย
ท่านยายเฉียวรู้ว่าความจริงถูกเปิดเผยแล้ว จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ได้อีก ฉีกยิ้มพลางหัวเราะแหะๆ จนคิ้วทั้งสองโก่งเป็นสะพานโค้ง ดวงตาหรี่ลงเป็นเส้นบาง ยิ้มจนริ้วรอยบนใบหน้าปรากฏชัดขึ้นมา
“ไอ้หยา! แม่นางคนดี ยายทำเช่นนี้ก็เพราะคิดแทนเจ้า เจ้าดูตัวเจ้าสิ เป็นสาวใหญ่อายุยี่สิบมาเป็นปีแล้ว วันทั้งวันก็ขลุกอยู่แต่ในตรอกซงเซียง ไม่ยอมออกไปที่ใด แล้วจะได้ทำความรู้จักคนหนุ่มดีๆ บุรุษดีๆ จากที่ใดกันเล่า” แล้วดึงมือหญิงสาวมาตีเบาๆ
“ฟังคำยายนะ มา ‘ตักจันทร์’ ครานี้ให้พูดคุยกับคนให้มากหน่อย ใครนั่งเรือผ่านมา เจ้าก็ไม่ต้องเอียงอาย พูดคุยให้มากเข้าไว้ถึงจะดี ก็แค่ดูกันเอาไว้ ไม่แน่ อาจพบพานคนที่ดูแล้วถูกใจ พาเราไปขึ้นฝั่ง เจ้าชอบใครให้บอกยาย ยายจะช่วยทำให้ถูกต้องเหมาะสมเอง”
…ดูกัน? คนที่ดูแล้วถูกใจ?
เจียงหุยเสวี่ยหมดคำพูดอย่างสิ้นเชิง นาง…นาง ‘ถูกหลอกให้ขึ้นเรือโจร’ สินะ!
“ท่านยาย!” นางร้องอย่างร้อนใจ แทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เวลานี้หญิงสาวจึงค่อยสังเกตเห็นว่าบนทะเลสาบมีเรือชนิดต่างๆ ประมาณสิบลำไล่ตามเรือที่นางอยู่ ทั้งจากระยะไกลบ้างใกล้บ้าง เกือบจะกลายเป็นรูปแบบของการโอบล้อม บนเรือทุกลำล้วนมองเห็นเงาร่างของบุรุษยืนอยู่ที่หัวเรือ ไม่พบเห็นสตรีสักนาง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาเพื่อ ‘ตักจันทร์’
นางมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วอีกครั้ง มองเห็นบัณฑิตหนุ่มที่แนะนำตัวเองในตอนแรก แล้วก็เห็นเรือของอาจารย์อู๋จอดอยู่รอบนอกยังไม่จากไปไหน ยังมีเหล่าบุรุษที่เมื่อครู่เพิ่งเข้ามาคุยกับนางอย่างต่อเนื่อง พวกเขาต่างไม่มีเจตนาที่จะจากไป เหมือนว่า…ราวกับว่า…จะรอไปจนกว่านางจะตัดสินใจ
“ท่านยาย ตกลงว่า…ตกลงว่าคืนนี้มากันกี่คนกันแน่ อ้อ ไม่…ท่านไม่ต้องบอกข้า ข้าจะกลับแล้ว…อ๊ะ โม่เอ๋อร์กับหนิวนิวยังอยู่บนเรืออีกลำ ข้าจะพาพวกนางกลับไป นี่ก็ดึกมากแล้ว” นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ฝืนทำใจให้สงบ อยากให้นายเรือช่วยด้วยการพายเรือยาวฝ่าวงออกไปตามหาโม่เอ๋อร์
ท่านยายเฉียวหัวเราะคิกคักพลางกล่าวให้นางสบายใจ “ไม่ต้องรีบร้อน ถึงปั้งโถวจะอายุแค่สิบสาม แต่วิชาทางน้ำดีเยี่ยม ทั้งรู้จักดูแลผู้อื่น ยังมีนายเรือช่วยดูแล โม่เอ๋อร์กับหนิวนิวต้องเล่นกันอย่างสนุกสนานมากเป็นแน่ เจ้าไม่ต้องรีบกลับไปหา พอตกดึก ปั้งโถวจะพาพวกนางสองคนกลับเอง ส่วนเจ้า…เฮ่อ เจ้าค่อยๆ ดูของเจ้าไป เถิด”
เจียงหุยเสวี่ยส่ายหน้าซ้ำๆ กล่าวคำเนิบช้า “ไม่จำเป็น ข้าทราบว่าท่านยายทำเพื่อข้า ความปรารถนาดีของท่าน…ข้ารับรู้แล้ว ข้าไม่ต้องการดูต่อ ต้องกลับแล้วจริงๆ”
ท่านยายเฉียวชอบผูกด้ายแดงและวางแผนให้ผู้อื่น ในตรอกซงเซียงหญิงชราขึ้นชื่อในเรื่องนี้เป็นอันมาก หลายปีมานี้ เจียงหุยเสวี่ยเห็นชายหญิงบางคนเป็นคู่กันได้สำเร็จเพราะมีท่านยายผูกด้ายให้ แต่ไม่นึกเลยว่าเจตนาของท่านยายจะส่งมาถึงนางด้วย
เดิมนางคิดว่า…คิดว่าที่ลานเล็กในวันนั้นที่เมิ่งอวิ๋นเจิงอยู่ด้วย และนางได้กล่าวไปอย่างชัดเจนต่อหน้าทุกคน เมื่อท่านยายทราบชัดแล้ว ก็คงไม่มีทางเข้าใจผิด และพยายามจับคู่ให้พวกเขาทั้งสองอีก นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ท่านยายต้องการหาบุรุษมาให้นางดูใจก่อนค่อยปล่อยคนขึ้นฝั่ง
ท่านยายเฉียวกล่าวรำพึง “ก็ได้ ในเมื่อครั้งนี้ไม่พบผู้ที่ถูกใจ ไว้รอวันที่สิบห้า คืนจันทร์เต็มดวงก็ได้ เจ้าตามยายไปโรงน้ำชา พวกเรายังทำได้อีกครั้งที่นั่น เจ้ามาแล้วข้าจะเลี้ยงน้ำชาเจ้า เจ้าก็แค่…ก็แค่…” ทันใดนั้นเครื่องหน้าท่านยายก็แข็งค้าง
เจียงหุยเสวี่ยไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของท่านยาย และก็ไม่มีแก่ใจจะฟังเสียงร้องเรียกที่ดังขึ้นจากด้านหลัง อย่างไรเสียในทะเลสาบมีเรือลอยลำอยู่มากมาย และมีคนโดยสารมากถึงเพียงนั้น ผู้ที่ร้องเรียกตะโกนจะน้อยได้อย่างไร
นางแค่ได้ยินว่ายังต้องไปที่โรงน้ำชาในคืนวันเทศกาลจงชิว พลันตื่นตระหนกตากลมโต ในหูลั่นอึงอล เพียงรู้ตัวว่ากำลังส่ายหน้าอย่างแรงให้ท่านยายเฉียว
“ท่านยาย ข้าไม่ไป ไม่ต้องหรอก อย่างไรข้าก็ไม่ไป! ท่าน…ท่านอย่าได้ยกโม่เอ๋อร์มาอ้างอีก อย่าได้ทำเช่นในคืนวันนี้ เช่นนี้…เช่นนี้ไม่ดี อย่างไรข้าก็ไม่ไป”
“หุยเสวี่ย…” ท่านยายเฉียวมีสีหน้าท่าทางประหลาด แต่น้ำเสียงยังคงมั่นคง เพียงลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “เจ้าอยากหันไปดูก่อนหรือไม่ ดูว่าบุรุษผู้นี้ต้องตาเจ้าหรือไม่”
ในที่สุดก็พบว่าสายตาของท่านยายเฉียวไม่ถูกต้อง เพราะว่ามันจ้องเลยศีรษะนางไปทางด้านหลัง
เมื่อครู่นี้มีชายคนหนึ่งที่เข้ามาพูดคุยด้วยพยายามจะกระโดดขึ้นเรือยาวของนาง พอถูกท่านยายเฉียวด่าทอค่อยรีบชักเท้ากลับไปอย่างเชื่อฟัง เวลานี้ในหัวเจียงหุยเสวี่ยว้าวุ่นเป็นอย่างมาก นึกว่าเหตุการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง มีใครสักคนกระโดดขึ้นมาแล้ว และอยู่ข้างหลังนางนี่เอง
นางหันหลังกลับไป ขึ้นเสียงตะโกนว่า “ข้าไม่อยากดูตัว ไม่ว่าใครข้าก็ไม่ดู คุณชายโปรดลงไป…ฮึก!”
มีชายผู้หนึ่งขึ้นมาบนเรือนางจริงๆ
คนผู้นั้นยืนอยู่ข้างหลังนาง ด้วยระยะห่างไม่ถึงหนึ่งก้าว
เขายืนอยู่ใกล้มาก แต่นางไม่รู้เลยว่าเขาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด และขึ้นมาจากไหน
เขาเหวี่ยงเสื้อคลุมตัวบางไปไว้ข้างหลัง เงาร่างสูงใหญ่ที่ไหล่กว้างเอวแคบเป็นเงาร่างที่นางคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าอะไร
เมื่อยืนใกล้กับเขาขนาดนี้ ระดับสายตานางปกติจะหยุดอยู่บนไหล่บ่าอันกว้างใหญ่ของเขา ยามนี้แขนแกร่งดุจเหล็กของเขาสอดประสานกันอยู่บนอก สองขากว้างเสมอไหล่ แผ่นหลังเหยียดตรง ท่าทียืนอย่างสงบนิ่งดูโอหังและคุกคามผู้คน นางกวาดตาขึ้นอย่างงุนงง มองดูใบหน้างามสง่าที่แสงโคมในทะเลสาบแยกให้เห็นเป็นเงามืดสว่าง
“ทะ…ท่านเมิ่ง…”
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เห็นได้ชัดว่าแต่ละคำล้วนลอดไรฟันออกมา
นางมาทำอะไรที่นี่ เจียงหุยเสวี่ยก็คิดอยู่
นางมองเขาตาพร่า พอได้สติก็ก้มศีรษะมองดูกล่องไม้สิบกว่ากล่องที่นางตักขึ้นมาอย่างเอาจริงเอาจัง จากนั้นก็มองไปเรือทั้งสองฝั่งที่ไล่ตามเรือยาวมา…เฮ่อ
ดวงตาของนางกลับมาหยุดอยู่บนใบหน้าของบุรุษที่หน้าตึงจนแข็ง แล้วยิ้มเจื่อน “ข้าก็…ไม่ค่อยแน่ใจ”
ติดตามต่อได้ในเล่ม…
Comments
comments
No tags for this post.