X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสวมรอยรักแม่ทัพหญิง

ทดลองอ่าน สวมรอยรักแม่ทัพหญิง บทที่ 1-2

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 1 พบกันโดยบังเอิญ

ฤดูใบไม้ร่วงอากาศปลอดโปร่งสดชื่น กระทั่งท้องฟ้าดูแล้วยังกว้างไกลเป็นพิเศษ

รถม้าคันเล็กธรรมดาๆ คันหนึ่งวิ่งกึกกักผ่านเส้นทางบนเขาหลังฝนตก คนบังคับรถม้าเป็นเด็กหนุ่มผู้มีคิ้วหนาตากลมโต มองดูมีชีวิตชีวาเปี่ยมด้วยพลัง เขาสังเกตเห็นว่าเส้นทางบนเขาเบื้องหน้านั้นมีต้นพุทราป่าออกผลเต็มไปหมดอยู่ต้นหนึ่ง ดวงตาพลันสว่างวาบ อยากกินจนน้ำลายไหลทันใด

พอเขาอ้าปากก็เอ่ยว่า “ท่านแม่ทะ…”

“แค่กๆ” ในรถม้ามีคนกระแอมกระไอ ฟังออกมาเป็นเสียงของสตรี

“คุณหนู…” เด็กหนุ่มแก้ไขคำเรียกขานทันควัน

“หนานชิว นี่พวกเราออกมานานเท่าไรแล้ว เหตุใดเจ้ายังไม่เปลี่ยนคำเรียกอีกเล่า” ผ้าม่านรถม้าถูกเลิกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าหญิงงามแลดูบอบบางอ่อนแอ พูดจาต่อว่าเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงหวานหยด

จ้าวหนานชิวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ หันหน้าไปมองหญิงงามในรถม้าแวบหนึ่งแล้วรีบหันกลับมาประหนึ่งกลัวว่าจะมีอะไรบาดตาก็ไม่ปาน

“คุณหนู ท่านก็พูดดีๆ สิขอรับ”

หญิงงามถอนหายใจเบาๆ พลางยกมือเท้าคาง ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก “ตอนนี้ถึงที่ใดแล้ว”

“ผ่านเขาลูกนี้ไปก็น่าจะเป็นตำบลไป๋หลี่แล้ว” จ้าวหนานชิวทนรับอีกฝ่ายในสภาพหญิงงามหยาดเยิ้มเช่นนี้ไม่ค่อยได้เท่าไรนัก จึงตอบกลับด้วยความรู้สึกอึดอัดไปหมด

หญิงงามกะพริบตาปริบๆ แล้วผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงในบัดดล “หนานชิว หยุดรถ”

จ้าวหนานชิวได้ยินดังนั้นก็ดึงสายบังเหียนทันที ในขณะเดียวกันยังเหลียวมองรอบข้างด้วยสีหน้าระแวดระวัง “ท่านแม่ทัพมีอะไรหรือ”

“ไปเด็ดพุทรามากินหน่อยสิ” หญิงงามชี้ไปยังพุทราป่าชวนน้ำลายสอข้างทางต้นนั้นก่อนจะถอนหายใจ “อีกอย่างบอกไม่รู้กี่รอบแล้ว อย่าเรียกท่านแม่ทัพ ต้องเรียกคุณหนูต่างหาก”

เพิ่งสิ้นเสียงของนาง ตัวคนก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้าเพลารถม้ายันตัวกระโดดลงไปอย่างอดใจรอไม่ไหว ชายกระโปรงยาวพลิ้วไสวตามแรงลม การเคลื่อนไหวปราดเปรียวสง่างาม แต่ไม่มีกิริยาท่าทางอย่างที่คุณหนูในห้องหอพึงมีแม้แต่น้อย

จ้าวหนานชิวถลึงตามองอย่างตกตะลึงอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็อยากกินพุทราป่าเช่นกันจึงรีบเดินตามไป

พุทราป่าทั้งกรอบทั้งหวาน คนทั้งสองยืนอยู่ใต้ต้นพุทราเด็ดไปกินไป เคี้ยวเสียงดังกร้วมๆ อย่างสุขใจเหลือหลาย

“พุทราป่านี้หวานอร่อยจริงๆ พวกเราเด็ดไปกินระหว่างทางกันสักหน่อยเถอะขอรับ” จ้าวหนานชิวเด็ดไปพลางยัดเข้าปากจนกระพุ้งแก้มบวมตุ่ย กินไปกินมาก็รู้สึกขมขื่นเสียเต็มประดา “ถ้าเป็นเมื่อก่อนพุทราป่าพรรค์นี้ไม่อยู่ในสายตานายหญิงน้อยอย่างข้าหรอก…” จ้าวหนานชิวที่แต่งกายเช่นเด็กหนุ่มในชุดแขนสั้นสีครามเอ่ยคำว่านายหญิงน้อยออกมาโดยไม่รู้สึกว่าขัดแย้งกันเลยสักนิด

หญิงงามกัดพุทราเนื้อกรุบกรอบคำหนึ่งแล้วหัวเราะ เอ่ยเปิดโปงนางอย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อก่อนต้นพลับในค่ายต้นนั้นก็เห็นเจ้ากินไปไม่น้อย เสี่ยวจิ่วยังร้องไห้วิ่งไปฟ้องกับอดีตหัวหน้าค่ายบอกว่าลูกพลับยังไม่ทันสุกก็ถูกเจ้าเด็ดไปเกลี้ยงแล้ว”

“ลูกพลับก็เด็ดกันตอนใกล้สุกแล้วปล่อยให้ค่อยๆ สุกทั้งนั้นไม่ใช่หรือ รอจนสุกงอมคาต้นก็เสียเปรียบนกบนเขาพวกนั้นพอดีสิ” จ้าวหนานชิวตอบกลับอย่างฉะฉานแล้วก็เบะปากขึ้นมาอีก “ถ้าไม่ใช่เพราะผู้บัญชาการหน่วยเทียนฉีนั่นไล่ตามพวกเราไม่ยอมเลิกรามาตลอดทางเหมือนหมาใน พวกเราก็คงไม่ต้องมีสภาพทุลักทุเลถึงขั้นนี้”

เมื่อเอ่ยถึงโจวเวินหรานผู้บัญชาการหน่วยเทียนฉีผู้นั้น จ้าวหนานชิวก็ชิงชังจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ท่านแม่ทัพของนางมีความสามารถในการศึกโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ อีกทั้งยังเอาชนะใจราษฎรได้อย่างล้นหลาม ผู้ใดไม่รู้จักจ้าวฉงอีแม่ทัพหญิงผู้เลื่องชื่อลือนามแห่งแคว้นซย่าจิ่งบ้าง ต่อให้ท่านแม่ทัพของนางขัดราชโองการหลบหนีการแต่งงาน เดิมทีในราชสำนักก็ไม่มีใครยอมเสี่ยงถูกคนประณามเพื่อมาจับกุมขุนนางผู้มีความชอบ แต่เจ้าโจวเวินหรานนั่นชื่อเสียงฉาวโฉ่ไม่กลัวเรื่องนี้อยู่แล้ว ถึงได้กัดไม่ปล่อยมาตลอดทาง

“คนเขาก็ทำงานตามราชโองการ” จ้าวฉงอีแทะพุทราแล้วกล่าวอย่างยุติธรรมประโยคหนึ่ง เห็นจ้าวหนานชิวมองตนเองด้วยสีหน้าประหลาดใจจึงกระแอมเบาๆ “อ้อ ได้ยินว่าผู้บัญชาการโจวผู้นั้นหน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก มีรูปโฉมดุจพานอัน เลยทีเดียว”

จ้าวหนานชิวเบะปาก “หน้าตาดีเพียงใดก็ไม่อาจลบล้างความจริงที่ว่าเขาเป็นพวกเดนสุนัขที่ลงมือโหดเหี้ยม ไม่เคยฟังเหตุผลและไว้หน้าใครไปได้หรอก”

“พูดเช่นนี้ก็เกินไปหน่อยนะ…”

“ท่านแต่งตัวเช่นนี้ก็แล้ว ผู้บัญชาการนั่นยังทำเหมือนได้กลิ่นเลยไล่ตามมาตลอดทางได้ เขาไม่ใช่สุนัข แล้วใครเป็นสุนัข” จ้าวหนานชิวกัดฟันกรอดๆ อย่างดุร้ายราวกับระบายโทสะ

“ที่ข้าแต่งตัวเช่นนี้…ดูไม่ดีหรือ” จ้าวฉงอีรู้สึกแปลกใจ

จ้าวหนานชิวส่ายศีรษะ สีหน้าโศกเศร้าระคนชิงชังเป็นอย่างยิ่ง

จ้าวฉงอีเห็นดังนั้นก็ลูบคลำเครื่องประดับทรงบุปผาตกแต่งด้วยไข่มุกบนศีรษะอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก แล้วยังลองดึงชายกระโปรงพลิ้วไหว

“ข้าแต่งตัวตามอย่างแม่นางน้อยสกุลซุนเลยนะ ข้าเห็นคุณหนูซุนผู้นั้นแต่งตัวเช่นนี้แล้วรู้สึกว่าดูดีอย่างยิ่ง”

คุณหนูซุนมีนามว่าซุนอี๋เวย เป็นบุตรสาวคนเล็กของแม่ทัพซุนผู้เป็นสหายร่วมกองทัพ ถึงแม้แม่ทัพซุนจะรูปร่างหน้าตาห้าใหญ่สามหนา แต่คุณหนูซุนผู้นี้กลับมีหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ทั้งยังดีดพิณปักผ้าเป็นอีก รูปโฉมงดงามโดดเด่นสมคำเล่าลือ ก่อนหน้านี้ไม่นานมีการดูรายชื่อหาบุตรเขยยังได้ผูกวาสนาครองคู่กับบัณฑิตทั่นฮวา ทำให้ผู้คนอิจฉาตาร้อนโดยแท้เชียว

ผู้อื่นจะอิจฉาหรือไม่จ้าวฉงอีไม่ทราบ แต่นางอิจฉาคุณหนูซุนผู้นี้ไม่น้อย

“นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าหน้าตาดีหรือไม่!” จ้าวหนานชิวเคืองโกรธ

“ไม่ใช่หรือ ข้าตั้งใจแต่งตัวมากๆ แล้วนะ” จ้าวฉงอีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

จ้าวหนานชิวย่อมทนดูท่านแม่ทัพของนางอยู่ในสภาพ ‘ดูถูกตนเอง’ เช่นนี้ไม่ได้ จ้าวฉงอีเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ทุกศึกล้วนไร้พ่าย ยามอยู่ในสนามรบแค่ศัตรูได้ยินชื่อก็กลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ จะให้แต่งกายฝืนธรรมชาติเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!

ขณะจ้าวหนานชิวกำลังจะอธิบายกับท่านแม่ทัพให้รู้เรื่อง จู่ๆ นางก็หยุดชะงักแล้วเงี่ยหูตั้งใจฟังครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าพลันเคร่งเครียดขึ้นมา

“ท่านแม่ทัพ มีคนมา รีบไปเร็ว!” นางกล่าวพลางลากจ้าวฉงอีวิ่งหนีไป

เห็นจ้าวหนานชิวมีท่าทางดั่งวิหคตื่นธนู จ้าวฉงอีก็ถอนหายใจแล้วตบไหล่ของอีกฝ่าย “ไม่ต้องกลัว ไม่มีเสียงกีบเท้าม้า เสียงฝีเท้ายังกระจัดกระจาย ไม่ใช่คนจากหน่วยเทียนฉี” ถึงจะกล่าวเช่นนี้ ทว่านางก็ยังยกมือขึ้นสวมผ้าคลุมหน้า แม้ว่าเวลานี้ฝ่าบาทยังไม่ติดประกาศภาพของนางพร้อมพระราชทานเงินรางวัล แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เล่า…

พอได้ยินว่าไม่ใช่หมาในจากหน่วยเทียนฉีที่กัดพวกนางไม่ปล่อยมาตลอดทางฝูงนั้น จ้าวหนานชิวก็สงบนิ่งลงในพริบตา หันกลับไปปีนต้นไม้เด็ดพุทราต่อ นางยังคิดจะเด็ดพุทราจำนวนหนึ่งไปกินระหว่างทางด้วย

ไม่นานนักก็เห็นปลายทางของเส้นทางบนเขามีคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมา มองคร่าวๆ แล้วคงมียี่สิบกว่าคน ในนั้นมีเจ้าหน้าที่ที่ว่าการห้าหกคน ผู้เดินนำหน้ากลับเป็นชายหนุ่มแต่งกายเช่นบัณฑิตในชุดคลุมยาวสีฟ้านวล

“รอยเท้าน้องสาวของข้าหายไปจากตรงนี้…” ชายหนุ่มที่แต่งกายอย่างบัณฑิตผู้นั้นมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก

“แม่นางซูระมัดระวังอยู่เสมอ ต่อให้ขึ้นมาเก็บสมุนไพรก็ไม่เคยขึ้นภูเขาลึกเช่นนี้…เกรงว่าจะเจอโจรภูเขาพวกนั้นเข้าแล้วจริงๆ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่ว่าการเอ่ย

ทันทีที่คำพูดประโยคนี้หลุดออกจากปากเขา ทุกคนก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา

“เดี๋ยวก่อน ข้าตาฝาดไปแล้วกระมัง เหตุใดตรงนั้นมีแม่นางยืนอยู่คนหนึ่งเล่า!” จู่ๆ ก็มีคนชี้ไปข้างหน้าแล้วตะโกนเสียงดังลั่น

คนที่เหลือพากันหันไปมองก็พบว่าข้างหน้าห่างออกไปไม่ไกลมีแม่นางสวมกระโปรงยาวสีชาดยืนอยู่ใต้ต้นพุทราป่า…ถึงแม้จะสวมผ้าคลุมหน้าเห็นรูปโฉมไม่ชัดเจน แต่ดูเรือนร่างเช่นนั้นคงเป็นหญิงงามคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

นี่มันบนภูเขารกร้างกันดาร…จะมีหญิงสาวอยู่ได้อย่างไร

ชายที่แต่งกายอย่างบัณฑิตผู้นั้นลังเลชั่วครู่ ก่อนเดินเข้าไปประสานมือคารวะ “แม่นางท่านนี้ ขอเสียมารยาทถามสักหน่อย ท่านเคยเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ความสูง…เกือบจะเท่าๆ กับท่าน และสวมกระโปรงสีชาดเช่นเดียวกับท่านบ้างหรือไม่…”

ได้ยินมาถึงตรงนี้จ้าวหนานชิวที่กำลังเด็ดพุทราอยู่บนต้นไม้ก็ทนไม่ไหวแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าเกี้ยวพาราสีท่านแม่ทัพของนาง! นางประคองพุทราหอบใหญ่กระโดดลงมาด้านล่าง ตอบด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว

“คนเจ้าชู้มักมากมาจากที่ใดกัน! กินหัวใจหมีดีเสือ มาหรือไร ยังไม่รีบออกไปห่างๆ ท่าน…คุณหนูของข้าอีก”

จ้าวฉงอีได้ยินดังนั้นก็มองจ้าวหนานชิวแวบหนึ่งอย่างปลาบปลื้มใจ สุดท้ายในช่วงเวลาสำคัญอีกฝ่ายก็จำได้และไม่หลุดปากอะไรไป

“คน…เจ้าชู้มักมาก?” ชายที่แต่งกายอย่างบัณฑิตผู้นั้นนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

“พอเห็นคุณหนูของข้า อยู่ดีๆ ก็เข้ามาทักทาย ท่านไม่ใช่คนเจ้าชู้มักมากแล้วจะเป็นผู้ใดกัน” จ้าวหนานชิวกลอกตาใส่เขาแล้วพูดจาเยาะเย้ย

ชายที่แต่งกายอย่างบัณฑิตผู้นั้นตระหนักได้ทันที คำพูดของตนเองเมื่อครู่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดได้โดยแท้ จึงรีบร้อนอธิบาย

“ทั้งสองท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยซูเจ๋อหลัน อาศัยอยู่ที่ตำบลตงหลีตรงเชิงเขานี่เอง น้องสาวของข้าขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรไม่กลับบ้านเสียที ข้าถึงได้ขึ้นเขามาตามหาคน ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินจริงๆ เพียงแค่ตอนน้องสาวข้าขึ้นเขามาสวมกระโปรงสีชาด รูปร่างยังใกล้เคียงกับแม่นางมาก จึงเอ่ยถามเช่นนี้”

จ้าวฉงอีโบกมือให้อย่างมีไมตรียิ่ง “ไม่เป็นไร แต่พวกเราขึ้นเขามาตลอดทางก็ไม่เห็นใครอื่นเลย”

ซูเจ๋อหลันได้ยินก็ผิดหวังเล็กน้อย ทว่ายังคงประสานมือคารวะ “ขอบคุณแม่นางมาก ที่นี่ไม่เหมาะรั้งอยู่นาน แม่นางรีบลงเขาโดยเร็วที่สุดจะดีกว่า”

“เพราะเหตุใด” จ้าวฉงอีถามด้วยความสงสัย

“บนเขาลูกนี้มีรังโจรอยู่ ไม่ปลอดภัยเท่าไรนัก” ซูเจ๋อหลันลดเสียงลงเอ่ยตอบ พอกล่าวจบก็หันกายเดินกลับไปหากลุ่มคนที่รอเขาอยู่ข้างๆ

“พี่ซู แม่นางผู้นั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่ เหตุใดมาอยู่บนเขารกร้างกันดารเช่นนี้” เจ้าหน้าที่ที่ว่าการคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“อาจจะผ่านทางมา ข้าเตือนนางให้รีบลงเขาโดยเร็วแล้ว…” ซูเจ๋อหลันตอบ ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้หันไปมองแม่นางผู้นั้นแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

นางยังยืนอยู่ใต้ต้นพุทราป่า คล้ายกำลังมองมาที่เขาเช่นกัน แต่พอเหลียวมองอีกครั้ง นางกลับหันหน้าไปพูดคุยกับเด็กรับใช้อารมณ์ร้อนผู้นั้น ซูเจ๋อหลันลอบส่ายหน้า คงจะมองผิดไปแล้ว เมื่อครู่เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าดวงตาของแม่นางผู้นั้นเหมือนกับเสี่ยวหม่านไม่มีผิด…คงเพราะข้าเป็นห่วงเสี่ยวหม่านมากไปกระมัง

“ท่านแม่ทัพ ท่านคิดอะไรอยู่หรือ” จ้าวหนานชิวเห็นจ้าวฉงอีมองคนกลุ่มนั้นอย่างใจลอยจึงดึงแขนเสื้ออีกฝ่าย

“เมื่อครู่ชายผู้นั้นบอกว่าบนเขาลูกนี้มีโจรผู้ร้าย” จ้าวฉงอีมองดูคนกลุ่มนั้นเดินจากไปไกลพลางตอบเสียงแผ่วเบา

“อะไรนะ! ที่นี่ถึงกับมีรังโจรด้วย? ฝ่าบาทเคยมีราชโองการลงมาให้กวาดล้างแล้วไม่ใช่หรือ” จ้าวหนานชิวตะลึงงัน

ยามที่บ้านเมืองวุ่นวายชีวิตคนไร้ค่าดั่งหญ้าริมทาง พวกที่หลบหนีเข้าป่าไปเป็นโจรแล้วตั้งตนเป็นราชายึดครองภูเขาก็มีไม่ใช่น้อย หลังฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์ก็มีราชโองการให้กวาดล้าง กลุ่มใดสามารถอภัยโทษได้ก็ประกาศอภัยโทษแล้วรับเข้ากองทัพ กลุ่มใดกระทำเรื่องชั่วร้ายหรือความผิดมหันต์มิอาจอภัยได้ก็กวาดล้างไปเสีย ที่นี่ยังมีเภทภัยจากโจรผู้ร้ายได้อย่างไร

นางมองท่านแม่ทัพที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา พลันเอ่ยขึ้นอย่างระแวดระวังว่า “ท่านแม่ทัพ อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านเลย”

“เจ้าเห็นคนที่เพิ่งจากไปพวกนั้นหรือยัง คนยี่สิบกว่าคน มีเจ้าหน้าที่ที่ว่าการแค่ไม่กี่คน ที่เหลือก็เป็นชาวไร่ชาวนาที่ถือเครื่องมือทำการเกษตรทั้งนั้น ส่วนคนที่เดินนำมา…ยังเป็นบัณฑิต ถ้าหากบนเขาลูกนี้มีโจรผู้ร้ายจริง พวกเขาไปคราวนี้คง…”

“แต่กว่าพวกเราจะสลัดคนของหน่วยเทียนฉีทิ้งไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าหากท่านวู่วามบุกไปกวาดล้างพวกโจรตัวคนเดียวก็เหมือนเข้าไปติดกับเองเลยน่ะสิ!” จ้าวหนานชิวไม่รอให้นางพูดจบก็เอ่ยปากขัดจังหวะด้วยความโมโหจนหายใจแทบไม่ทัน

“เจ้าพูดถูก” จ้าวฉงอีพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ไปเถอะ”

“จะไปที่ใดเจ้าคะ” จ้าวหนานชิวระแวงขึ้นมา

“ลงเขาน่ะสิ”

“จริงหรือ” จ้าวหนานชิวมองนางด้วยความสงสัย ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนักว่าจ้าวฉงอีจะเชื่อฟังถึงเพียงนี้

“กว่าพวกเราจะสลัดคนของหน่วยเทียนฉีไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แน่นอนว่าจะเดินเข้าไปติดกับเองไม่ได้” จ้าวฉงอีแย้มยิ้มพลางบีบแก้มจ้าวหนานชิวเล่น “ข้างหน้าก็เป็นตำบลไป๋หลี่แล้ว พวกเราตกลงกันแล้ว เจ้าส่งข้าถึงตำบลไป๋หลี่ก็จะกลับไป”

“ห้ามบีบแก้มข้านะ!” จ้าวหนานชิวปัดมือนางออกไป หันกายกลับไปบังคับรถม้า

จ้าวฉงอีเดินตามหลังนางไปแล้วก้าวขึ้นรถม้า

รถม้าเคลื่อนตัวเสียงดังกึกกักไปตามเส้นทางบนเขาอีกครั้ง จ้าวหนานชิวบังคับรถม้าได้มั่นคงยิ่ง จ้าวฉงอีนั่งอยู่ในรถม้ากินพุทราป่าอย่างสบายใจ กัดคำเดียวหายไปครึ่งลูก ท่าทางติดอกติดใจเหลือหลาย

“ท่านแม่ทัพ ท่านยินยอมจริงหรือ…” จู่ๆ จ้าวหนานชิวที่นั่งนิ่งเงียบคอยบังคับรถม้าอยู่ด้านนอกมาตลอดก็ปริปากถาม

จ้าวฉงอีตกตะลึงขึ้นมา “เหตุใดจะไม่ยินยอมเล่า”

“ทั้งที่ท่านเป็นขุนนางผู้มีความดีความชอบ ผลงานสู้รบเลื่องลือไปทั่ว กลับจำใจต้องแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ว่าขัดราชโองการหนีการแต่งงาน เพราะแผนการชั่วของแคว้นหนานเซียงกับคำพูดใส่ร้ายของคนถ่อยพวกนั้น…”

วันนั้นมีรายงานด่วนจากชายแดน แคว้นหนานเซียงล่วงล้ำอาณาเขต จ้าวฉงอีรับราชโองการกรีธาทัพออกรบอีกครั้ง บุกตะลุยดุดันปานพายุไปตลอดทาง โจมตีแคว้นหนานเซียงจนถอยหนี แคว้นหนานเซียงที่แต่ไหนแต่ไรมาหยิ่งผยองอวดดีกลับเสนอการเจรจาสงบศึก อีกทั้งเป็นฝ่ายเอ่ยว่าจะส่งองค์ชายรองมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ที่แคว้นซย่าจิ่งเพื่อเป็นตัวแทน ‘ความจริงใจในการเจรจาสงบศึก’ ซึ่งคนที่จะแต่งงานด้วยก็คือจ้าวฉงอี!

ยามนั้นทั้งในและนอกราชสำนักต่างวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วหน้า มีคนกล่าวหาว่าจ้าวฉงอีสมคบกับศัตรู มีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเปิดเผยกับองค์ชายรองแห่งแคว้นหนานเซียง มิฉะนั้นเหตุใดแคว้นหนานเซียงถึงได้เสนอว่าต้องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับนาง แน่นอนยังมีคนเสนอความเห็นว่าไม่สู้ตอบตกลงเรื่องการแต่งงาน จะได้เปลี่ยนอาวุธเป็นผ้าไหมและเครื่องหยก* อย่างไรก็ตามในระหว่างการเจรจาสงบศึกของสองแคว้น ทูตแคว้นหนานเซียงกลับถูกลอบสังหารอย่างคาดไม่ถึง ยิ่งกว่านั้นหลักฐานแต่ละอย่างล้วนพุ่งเป้ามาที่จ้าวฉงอี…

“ไม่ได้ร้ายแรงปานนั้นหรอก เหตุผลหลักคือตัวข้าเองไม่อยากอยู่ดีๆ ก็มีสามีจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์น่ะสิ” จ้าวฉงอีถอนหายใจ พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา พุทราในปากก็ไม่หวานแล้ว

ใครจะคิดว่าในสถานการณ์เช่นนั้นองค์ชายรองนั่นกลับยืนกรานไม่ยอมเลิกราว่าจะต้องจัดพิธีแต่งงานกับนางให้ได้ แล้วยังกล่าวอย่างมีเหตุผลหนักแน่นว่าสังหารทูตก็เพื่อทำลายการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ถ้าหากเขากับนางแต่งงานกันตามสัญญา แผนร้ายของคนชั่วก็ไม่สำเร็จดังใจหมาย อีกทั้งสามารถยืนยันได้ว่านางไม่ได้เป็นคนสังหารทูต!

เหตุผลช่างน่าประทับใจ

จ้าวฉงอีเชื่อเขาสิถึงจะแปลก!

แม้จะไม่รู้ว่าเป็นแผนร้ายอันใด แต่ต้องมีแผนร้ายแน่นอน จ้าวฉงอีจึงหนีมาอย่างไม่ลังเล

ท้องฟ้ามืดสลัวลงไปทุกขณะ แสงสีเรืองรองแผ่ปกคลุมไปทั่ว รถม้าคันเล็กธรรมดาๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าเขตตำบลไป๋หลี่

จ้าวฉงอีกอดห่อสัมภาระกระโดดลงจากรถม้า จากนั้นก็หันกายกลับไปลากห่อของยาวๆ ออกมาจากในรถม้า ของห่อนั้นแทบจะสูงเท่าครึ่งตัวคน มองภายนอกรูปร่างคล้ายกับตัวพิณ นางสะพายของห่อนั้นไว้บนหลังก่อนจะปัดมือเบาๆ พลางเหลียวมองจ้าวหนานชิวแล้วเอ่ยกับอีกฝ่าย

“เอาล่ะ พอแค่นี้ ไม่ต้องส่งแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ” นางกล่าวจบก็คิดทบทวนเล็กน้อยก่อนกำชับเพิ่มอีกว่า “ถ้าหากฝ่าบาทตรัสถามขึ้นมา เจ้าก็บอกว่าข้าพลาดท่าร่วงตกหน้าผาไปแล้ว”

จ้าวหนานชิวสบถด้วยความไม่พอใจ “นี่ท่านจะให้ข้าหลอกลวงเบื้องสูงหรือ!”

“ฝ่าบาทเข้าพระทัยทะลุปรุโปร่งอยู่แล้ว ข้าทิ้งกองทัพสกุลจ้าวกับเจ้าเอาไว้แล้ว พระองค์จะทรงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเองนั่นล่ะ” จ้าวฉงอีโบกมือบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ อุ้มห่อสัมภาระไว้เตรียมจะเดินเข้าตำบลไป๋หลี่ “ถ้ามีวาสนาคงได้เจอกันอีก”

แต่หลังจากนั้นห่อของบนแผ่นหลังของนางพลันหนักอึ้งขึ้นเพราะถูกรั้งตัวไว้แล้ว…

จ้าวฉงอีหันหน้ากลับไปอย่างจนใจเล็กน้อย “วาจาของวิญญูชน สี่อาชายากตามทัน* นะ พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ พอมาส่งถึงที่นี่เจ้าก็จะกลับไป?”

จ้าวหนานชิวดึงห่อของยาวๆ บนหลังนางเอาไว้ ปากอมลมจนแก้มป่อง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นทีละน้อย

“เฮ้อ เจ้าอย่าร้องไห้สิ! เจ้าดูนะ เจ้าก็รู้แล้วว่าข้าพักอยู่ที่ใด กลับไปแล้วเจ้าอยากเจอข้าจริงๆ ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ไม่เลวร้ายถึงเพียงนั้นหรอก จริงๆ เลย ไม่เห็นจะต้อง…”

จ้าวหนานชิวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพร้อมถลึงตาใส่นาง “ข้าร้องไห้ที่ใดกัน!”

“ได้ๆๆ แม่ทัพเสี่ยวจ้าวของพวกเราจะร้องไห้ได้อย่างไรกัน” จ้าวฉงอีรีบเอ่ยปลอบ “หลังข้าไปแล้ว กองทัพสกุลจ้าวนอกจากฮ่องเต้ก็คือเจ้าเป็นใหญ่ที่สุด น่าเกรงขามมากเลยนะ นี่เป็นความฝันของเจ้ามาตั้งแต่เด็กเลยไม่ใช่หรือ”

จ้าวหนานชิวกัดฟันไม่ยอมปริปากพูด

“ข้าจะหลบอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์นั่นแค่มองก็รู้ว่าจงใจหาเรื่องข้า รออีกสักพักเมื่อปลอดภัยแล้วข้าก็จะกลับไป” จ้าวฉงอีกล่าวเสริม

“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” จ้าวหนานชิวมองตาเขียว “ไว้ข้ากลับถึงเมืองหลวงจะเร่งสืบหาความจริงโดยเร็วที่สุดเพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้ท่าน! ถึงตอนนั้นจะรับท่านกลับไปอย่างมีเกียรติสมศักดิ์ศรี!”

“ถ้าอย่างนั้นฝากทุกอย่างไว้กับเจ้าแล้ว” จ้าวฉงอีตบไหล่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเชื่อมั่น

จ้าวหนานชิวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “ท่านอยู่ข้างนอกตัวคนเดียว…”

“ข้าเตรียมค่าเดินทางมาพอแล้ว” จ้าวฉงอีตบห่อสัมภาระตุงๆ ในอ้อมแขน

จ้าวหนานชิวชะงักไปประเดี๋ยวแล้วเอ่ยว่า “…นี่ก็เย็นมากแล้ว ไม่สู้ข้าพักอยู่ในตำบลนี้สักคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางดีกว่า”

“อย่าเลย!” จ้าวฉงอีรีบร้อนปฏิเสธ เห็นนางทำแก้มป่องก็เอ่ยปลอบ “ก่อนหน้านี้พวกเราเกือบถูกเปิดโปงก็เพราะเจ้าไม่ยอมแต่งตัวเป็นสาวใช้ไม่ใช่หรือ ข้าตั้งใจจะปักหลักอยู่ที่ตำบลไป๋หลี่นี่ล่ะ ถ้าเกิดคนของหน่วยเทียนฉีรู้เข้าว่าเจ้าเคยอยู่ค้างที่นี่จะต้องมีการตรวจค้นครั้งใหญ่กันอีกแน่นอน ฉวยโอกาสที่ฟ้ายังไม่มืดรีบไปเถอะ” ครั้นเอ่ยจบแล้วนึกอะไรบางอย่างได้จึงสั่งกำชับเพิ่มว่า “จริงสิ…ตอนกลางคืนบนเขานั่นไม่ค่อยปลอดภัย เจ้าอย่าลืมนะว่าต้องอ้อมไป”

“ข้ากลัวที่ใดกัน!” จ้าวหนานชิวแค่นเสียงขึ้นจมูก

“ข้ากลัว ข้ากลัวนะ!” จ้าวฉงอีรีบบอก “ข้ากลัวว่าคนของหน่วยเทียนฉีจะพบร่องรอย”

“ท่านพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมตงไหลใช่หรือไม่” พอเห็นว่าไม่มีทางต่อรองได้แล้ว จ้าวหนานชิวจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดจะค้างแรมคืนหนึ่งไปแล้วถามยืนยันกับจ้าวฉงอีอีกรอบ

“ใช่ ถูกต้องแล้ว อย่ามัวพูดมากอยู่เลย รีบไปเถอะ” ในที่สุดจ้าวฉงอีก็อดใจไม่อยู่ผลักไสไล่ส่งนาง

จ้าวหนานชิวกลัวถูกคนบอกว่านางขี้บ่นที่สุดแล้ว นางชักสีหน้าทันใด หันหลังไปก็กระโดดขึ้นเพลาตรงหน้ารถม้าบังคับให้รถม้าเลี้ยวกลับ หลังรถม้าวิ่งออกไปไม่กี่ก้าว สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหว เหลียวหลังไปมองจ้าวฉงอี “ท่านรอข้านะ แล้วก็…รักษาตัวด้วย”

จ้าวฉงอีโบกมือให้ด้วยรอยยิ้มจนตาหยี “ได้ ข้าจะรอเจ้า ไว้พบกัน”

“ไว้พบกัน” ในที่สุดรถม้าก็วิ่งไกลออกไป มองเห็นรางๆ ว่าจ้าวหนานชิวเช็ดตาไปด้วย

จ้าวฉงอีมองแล้วมองอีก จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา ยังเป็นคนเจ้าน้ำตาอยู่ดีสินะ

นางหมุนกายเดินเข้าตำบลไป๋หลี่ไปในที่สุด โดยที่ไม่รู้เลยว่าห่างไกลออกไปด้านหลังนาง จ้าวหนานชิวหันหน้ามามองแวบหนึ่ง พอเห็นว่านางเดินเข้าตำบลไป๋หลี่ไปอย่างว่าง่ายถึงได้วางใจบังคับรถม้าจากไป

จ้าวฉงอีเข้ามาในตำบลแล้วไม่ได้ไปโรงเตี๊ยมตงไหล ทว่าไปที่ตลาดม้าซื้อม้าตัวหนึ่ง จากนั้นก็พลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วเร่งควบม้าตรงออกจากตำบลนี้ ห้อตะบึงมุ่งหน้าไปยังเส้นทางบนเขาตอนขามา

ท้องฟ้ามืดสนิทลงไปทุกขณะ ลมภูเขาหนาวสะท้านพัดชุดกระโปรงของนางเสียงดังพึ่บพั่บ ราวกับเสียงดังยามสายลมพัดผ่านธงในสนามรบ ห่อของยาวๆ ที่สะพายไว้บนหลังถูกลมพัดจนเปิดออกมุมหนึ่ง เผยให้เห็นด้ามดาบทำจากหนังสีดำเมี่ยม ผ้าคลุมหน้าของนางปลิวหายไปที่ใดไม่รู้ตั้งนานแล้ว บนใบหน้างามฉายแววเหี้ยมเกรียมเต็มเปี่ยม

ถึงแม้จะมาจากค่ายลั่วเยี่ยน แต่คงเป็นเพราะดำรงตำแหน่งแม่ทัพมานานแล้ว ภายในใจจึงมีความเที่ยงธรรมอยู่บ้าง…พบเจอกันก็ถือว่ามีวาสนา ในเมื่อมีวาสนา เช่นนั้นถือโอกาสไปปราบโจรหน่อยแล้วกัน

ยิ่งกว่านั้น…ชีวิตคนยี่สิบกว่าชีวิตเชียวนะ

จ้าวฉงอีควบม้าขึ้นเขามาตลอดทาง การปราบโจรนางมีประสบการณ์มากพอดู เมื่อครั้งเยาว์วัยท่ามกลางความสับสนนางยอมรับจ้าวอวิ๋นจู่หัวหน้าค่ายลั่วเยี่ยนเป็นบิดาบุญธรรมเพื่อข้าวมื้อหนึ่ง ตอนนั้นค่ายลั่วเยี่ยนก็เป็นค่ายโจรที่มีชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกล นางเติบโตมาในค่ายโจร คงไม่มีผู้ใดรู้จักค่ายโจรดียิ่งกว่านาง

หลังบิดาบุญธรรมจากโลกนี้ไปก็ฝากฝังค่ายลั่วเยี่ยนอันใหญ่โตไว้กับนาง นางนำกำลังคนทั้งหลายในค่ายไปขอพึ่งบารมีซย่าจิ่งอ๋องซึ่งยังไม่ขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ ภายหลังเมื่อสถาปนาแว่นแคว้น ซย่าจิ่งอ๋องมีบัญชาให้กวาดล้างค่ายโจรแต่ละแห่ง นางก็ลงแรงไปมากทีเดียว…เพียงแต่พวกโจรบนเขาลูกนี้ซ่อนตัวได้ลึกลับนัก คาดไม่ถึงว่าระหว่างทางไม่มีเบาะแสใดให้สืบสาว ดูเหมือนเชี่ยวชาญการซ่อนตัวยิ่งกว่าโจรภูเขาทั่วไป ไม่น่าแปลกใจที่สามารถหลุดรอดจากการกวาดล้างไปได้

พอขึ้นเขามาได้ครึ่งทางจ้าวฉงอีสังเกตเห็นกลุ่มคนที่ขึ้นเขามาตามหาคนเมื่อช่วงบ่าย เห็นพวกเขายังเดินเตร็ดเตร่ไปตามเส้นทางบนเขาโดยไม่ได้พบกับโจรภูเขาเหล่านั้น นางค่อยสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย แล้วจึงเดินทางอ้อมพวกเขาไป ลอบขึ้นเขาลึกอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง

 

หน้าทางเข้าตำบลไป๋หลี่ จ้าวหนานชิวบังคับรถม้าย้อนกลับมาอีก นางคิดทบทวนหลายตลบ รู้สึกตงิดใจว่ายังมีตรงที่ใดผิดปกติสักแห่ง นางลงแส้ม้าบังคับรถม้าให้วิ่งเข้าตำบลแห่งนี้มา ก่อนจะสอบถามที่ตั้งโรงเตี๊ยมตงไหลแล้วมองหาไปตลอดทาง

ชื่อโรงเตี๊ยมตงไหลฟังดูยิ่งใหญ่มาก แต่ความจริงก็เป็นแค่โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง จ้าวหนานชิวหยุดรถม้าแล้วสาวเท้าเดินเข้าไป

แม้จะเป็นเวลาอาหารเย็น ทว่าในโรงเตี๊ยมก็มีคนไม่มาก เสี่ยวเอ้อร์เห็นมีแขกมาเยือนจึงกุลีกุจอเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเริงร่า

“นายท่านจะเข้าพักใช่หรือไม่ขอรับ”

“ข้ามาหาคน” จ้าวหนานชิวเอ่ย “ก่อนหน้านี้มีแม่นางแซ่จ้าวคนหนึ่งมาเข้าพักหรือไม่”

ทันใดนั้นรอยยิ้มของเสี่ยวเอ้อร์ก็ดูไม่กระตือรือร้นเท่าเดิมแล้ว เขาแบมือพลางคลี่ยิ้มจืดเจื่อนดุจปลาตายตัวหนึ่ง “ท่านเห็นว่าโรงเตี๊ยมของข้าเหมือนจะมีแขกคนอื่นหรือไม่เล่า”

จ้าวหนานชิวตะลึงงัน ร้อนใจจนขยุ้มสาบเสื้อของเสี่ยวเอ้อร์ขึ้นมา “ไม่มีจริงหรือ นางสวมชุดกระโปรงสีชาด หน้าตา…งดงามไม่น้อย” ประโยคสุดท้ายจ้าวหนานชิวบรรยายอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร อย่างไรเสียใช้คำว่า ‘งดงาม’ มาบรรยายท่านแม่ทัพ ในสายตาของนางไม่ต่างอะไรกับการลบหลู่ดูหมิ่นเลย

แต่ว่าช่วยไม่ได้ นี่คือความจริงที่ไร้อคติส่วนตน

เสี่ยวเอ้อร์ถูกคว้าตัวและขยุ้มสาบเสื้อเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไปไม่มีเหลือแล้ว “แม่นางผู้งดงามจากที่ใดกัน มีแม่นางผู้งดงามข้าจะจำไม่ได้เชียวรึ เจ้ามาก่อเรื่องใช่หรือไม่ ข้าจะแจ้งทางการนะ!”

จ้าวหนานชิวปล่อยมือด้วยสีหน้าบึ้งตึง เค้นเสียงลอดไรฟันว่า “ขออภัย” จากนั้นก็ออกจากโรงเตี๊ยมตงไหลไปพร้อมไฟโทสะลุกโชน

จ้าวฉงอี ท่านมันจอมหลอกลวง!!!

นางปลดเพลารถม้าออกด้วยความโมโหจนหายใจแทบไม่ทันแล้วทิ้งตัวรถม้าไปเสียเลย ก่อนจะหันกลับไปพลิกตัวขึ้นหลังม้า เฆี่ยนแส้อย่างแรงครั้งหนึ่ง ม้าตัวนั้นก็กางสี่เท้าวิ่งเต็มเหยียดมุ่งหน้าออกจากตำบล

นางช่างโง่งมโดยแท้ ถึงได้เชื่อวาจาเหลวไหลของจ้าวฉงอี เจ้าคนสารเลวนั่นเจตนาทิ้งนางไว้เพื่อแอบไปปราบโจรคนเดียวแน่ๆ! นางรู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าคนสารเลวนั่นไม่ได้คุยด้วยง่ายปานนั้น! ที่แท้ตอนลงเขามาอีกฝ่ายก็คิดคำนวณเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว!

…ยังบอกว่าอะไรนะ ตอนกลางคืนขึ้นเขาไม่ปลอดภัย ให้นางจำไว้ว่าต้องอ้อมไป!

บทที่ 2 เสี่ยวหม่านสกุลซู

เป็นอย่างที่จ้าวหนานชิวคิดไว้ ตอนนี้จ้าวฉงอีบุกเข้ามาในรังโจรเรียบร้อย ห่อของชิ้นยาวที่นางสะพายไว้บนหลังมาตลอดหายไปแล้ว มีเพียงดาบเล่มใหญ่ถืออยู่ในมือแทนที่ ด้ามดาบสั้น ด้านคมกว้าง ตัวดาบสีดำขลับตลอดทั้งเล่ม มีเพียงส่วนคมเปล่งประกาย…อีกทั้งมีขนาดใหญ่เกินไป แต่จ้าวฉงอีกลับจับด้ามดาบที่ดูไม่เข้ากับตนเองเลยสักนิดนั่นต่อสู้ฟาดฟันอย่างสาแก่ใจเต็มที่

เพิ่งใช้สันดาบเคาะโจรภูเขาที่ประมือด้วยจนสลบ อยู่ดีๆ นางก็จามออกมา…

เอ๊ะ นี่ใครกำลังคิดถึงข้าหรือไม่

เผลอเหม่อลอยไปเล็กน้อยก็มีธนูลอบทำร้ายพุ่งฉิวออกมา จ้าวฉงอีพลิกดาบเล่มใหญ่สกัดเอาไว้ได้ทันควัน ก่อนจะฝ่าเข้าไปข้างในต่อ ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงคนดังกึกก้องมาจากเบื้องหน้า แล้วก็เห็นกลุ่มคนวิ่งกรูกันเข้ามา นางเก็บงำความรู้สึกในใจไม่กล้าเหม่อลอยตามใจชอบอีก ได้แต่แบกดาบเล่มใหญ่ตะลุยเข้าไป…ปรากฏว่าโจรภูเขาเหล่านี้เป็นดั่งเม็ดทรายกระจัดกระจาย แทบไม่มีความสามารถในการต่อสู้เลย

“บอกมา คนอยู่ที่ใด” จ้าวฉงอีถือดาบชี้ไปทางคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่

คนผู้นั้นเป็นชายรูปร่างผอมบาง บนใบหน้าซีกซ้ายมีรอยแผลเป็นหนึ่งแห่ง เพิ่มความห้าวหาญดุดันให้กับใบหน้าธรรมดานั่นได้หลายส่วน แต่ยามนี้กลับหวาดกลัวจนอยากหนีไปจากตรงนี้ เขายกมือขึ้นด้วยความกลัวจนตัวสั่น ชี้ไปทางที่ตนเองวิ่งออกมา

“อยู่…อยู่ข้างใน…”

“นำทางไป” จ้าวฉงอีเชิดหน้าเล็กน้อย

คนผู้นั้นดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร ทว่าพอเหลือบมองดาบใหญ่สีดำขลับทั้งเล่มในมือนางแวบหนึ่ง ค่อยกวาดตามองพวกพ้องที่นอนกองเกลื่อนพื้นไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ได้แต่หันหลังกลับอย่างตัวสั่นงันงก เดินนำทางอยู่ข้างหน้าอย่างจำนนต่อชะตากรรม

หลังเดินขึ้นบันไดมาตลอดทาง สุดท้ายคนผู้นั้นก็มาหยุดอยู่หน้าเรือนศิลาหลังหนึ่ง คล้ายกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ไม่ยอมก้าวไปข้างหน้าต่อ

จ้าวฉงอีเห็นเขามีท่าทีลังเล ไม่รู้ว่าคิดวางอุบายอะไรอยู่ จึงถีบอีกฝ่ายเข้าไปข้างในเต็มฝีเท้า จากนั้นตนเองก็เดินตามเข้าไปด้วย

ภายในเรือนศิลาบรรยากาศเงียบสงัด เปลวเทียนริบหรี่วูบไหวไปตามแรงลม ขับเน้นให้ข้างในนี้ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง ตำแหน่งตรงกลางเบื้องหน้าเป็นเก้าอี้ขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ว่าปูทับด้วยหนังสัตว์ชนิดใด บนเก้าอี้ตัวนั้นมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ เรือนกายสูงใหญ่ ช่วงไหล่กว้าง เนื่องจากหันหลังให้แสงสว่างจึงมองเห็นรูปโฉมของเขาไม่ชัด เปลวเทียนวูบไหวดึงเงาของเขาให้ทอดยาว ให้ความรู้สึกอันตรายอย่างประหลาด ราวกับจะมีสัตว์ร้ายโผล่ออกมากัดกินคนได้ทุกเมื่อ

จ้าวฉงอีกระชับดาบเล่มใหญ่แน่นกว่าเดิม หันหน้าไปมองคนที่ถูกนางถีบโครมเข้ามาผู้นั้น “คนล่ะ”

ชายที่ถูกถีบเข้ามาล้มคว่ำอยู่กับพื้น มีสีหน้าอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา ยกมือสั่นระริกชี้ไปทางชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้นั้น “อยู่…อยู่นั่นอย่างไรเล่า”

แม้แต่เสียงยังเจือแววสะอื้นไห้ ราวกับได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างที่สุด นี่มิใช่ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วหรือไร!

จ้าวฉงอีเผยสีหน้าฉงนสงสัย “ไม่ใช่ ข้าถามว่าแม่นางผู้นั้นที่พวกเจ้าลักพาตัวมาล่ะ”

“แม่นางอะไรกัน” โจรภูเขาดูงุนงงยิ่งกว่านางเสียอีก

จ้าวฉงอีมุมปากกระตุก

ในเวลานี้เองชายที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงกลางห้องมาตลอดคล้ายหัวเราะออกมาเบาๆ

“แม่ทัพจ้าว ให้ข้าตามหาตั้งนาน” เขาเอ่ยปากขึ้น

พอเขาเอ่ยปาก จ้าวฉงอีก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง ที่แท้บรรดาโจรภูเขาที่วิ่งกรูออกมาอย่างกระจัดกระจายก่อนหน้านี้ไม่ได้ตั้งใจมาประมือกับนางเลย แต่พวกเขากำลัง…หลบหนีต่างหาก!

ช่างบังเอิญนัก นางก็เตรียมจะหนีเช่นกัน แม้กล่าวว่าในสนามรบไม่มีทหารหนีทัพ แต่ตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสนามรบเสียหน่อย ดังนั้นจึงหลบหนีได้โดยปราศจากแรงกดดันในใจ

จ้าวฉงอีไม่เอ่ยอะไรสักคำก็หันหลังวิ่งหนี

คนผู้นั้นราวกับคาดเดาการกระทำของนางได้ล่วงหน้า จึงทะยานร่างไล่ตามไปอย่างกระชั้นชิด

จ้าวฉงอีพลิกมือเหวี่ยงดาบใส่ฉับพลันอย่างไม่เกรงใจสักนิด คนผู้นั้นชักกระบี่มาต้านรับ ชั่วขณะที่คมอาวุธปะทะกันเกิดประกายไฟแปลบปลาบ สุดท้ายแล้วดาบใหญ่ของจ้าวฉงอีน้ำหนักมากกว่าเล็กน้อย จึงกดดันให้คนผู้นั้นถอยหลังไปหนึ่งก้าว จ้าวฉงอีไม่คิดจะต่อสู้พัวพัน โจมตีสำเร็จครั้งหนึ่งก็หันหลังวิ่งหนีออกไปข้างนอก

ยามประมือกันเมื่อครู่จ้าวฉงอีก็คาดเดาฐานะของคนผู้นั้นได้แล้ว มีความเป็นไปได้อยู่แปดส่วนว่าจะเป็นสุนัขตัวที่จ้าวหนานชิวเคยเอ่ยถึง…ไม่สิ เป็นโจวเวินหรานผู้บัญชาการหน่วยเทียนฉี

แต่สุนัขนี่ก็ช่างสุนัขจริงๆ คนผู้นี้คำนวณแม่นยำแล้วว่านางจะอดใจไม่ไหวมากวาดล้างรังโจรแน่ ฉะนั้นถึงได้มาเฝ้าตอรอกระต่าย กระมัง

ในฐานะกระต่ายโง่ที่โผล่มาหาถึงหน้าประตูตัวนั้น จ้าวฉงอีมีไฟโทสะอัดแน่นเต็มท้อง ขณะกำลังนินทาว่าร้ายในใจ จู่ๆ ก็มีไอสังหารชวนพรั่นพรึงพุ่งมาจากด้านหลัง สัญชาตญาณจากการผ่านสนามรบมานับร้อยนับพันครั้งทำให้นางเบี่ยงกายหลบแล้วหมุนกลับไปยกดาบเข้าปะทะทันใด ถึงจะเป็นเช่นนี้ตรงหัวไหล่นางก็รับไปหนึ่งกระบี่ จ้าวฉงอีมีนิสัยไม่ยอมเสียเปรียบมาตั้งแต่เล็ก จึงฟันคืนไปหนึ่งดาบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย และทิ้งรอยแผลขนาดใหญ่ไว้บนร่างเขาเช่นกัน

พระจันทร์ซ่อนเร้นท่ามกลางหมู่เมฆ บนภูเขามืดสนิทจนยื่นมือมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า จ้าวฉงอีสู้ไปถอยไป แต่เจ้าสุนัขนั่นไม่ให้โอกาสหลบหนีกับนางเลยสักนิดเดียว นางจึงต้องกัดฟันโรมรันกับเขา รอกระทั่งนางได้สติกลับคืนมาก็ถูกเขาไล่ต้อนมาถึงริมหน้าผาแล้ว

ยามนี้บนร่างจ้าวฉงอีได้แผลลายพร้อยไปไม่น้อย แน่นอนว่าเจ้าสุนัขตัวนั้นก็บาดเจ็บไม่เบาเหมือนกัน

“จำเป็นด้วยหรือ วันนี้เหลือทางถอยให้ วันหลังค่อยพบกันไม่ได้หรือไร” จ้าวฉงอีจับดาบไว้มั่นพลางเอ่ยด้วยเสียงกระหืดกระหอบ

เจ้าสุนัขนั่นไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกฟาดฟันจนเกิดโทสะขึ้นมาจริงๆ ด้วยหรือไม่ พอได้ยินประโยคนี้ของนางก็โกรธจนหลุดขำ ตอบกลับเสียงแหบพร่า

“ไม่มีปัญหา ถ้าหากท่านแม่ทัพยอมตามข้ากลับเมืองหลวง ตลอดเส้นทางนี้พวกเราก็จะได้พบหน้ากันทุกวันแล้ว เหตุใดต้องรอวันหลังด้วย”

เหอะ ถุย! จ้าวฉงอีอยากจะถ่มน้ำลายใส่เขาสักหน นางยกดาบขึ้นฟันฉับ ในเมื่อไม่ให้โอกาสนางหลบหนี จ้าวฉงอีจึงเริ่มฟาดฟันเขาให้ถึงตาย ไม่กี่ลมหายใจถัดมาบนร่างคนทั้งสองก็มีบาดแผลเพิ่มขึ้นหลายแห่ง ขณะกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ลูกธนูลอบทำร้ายดอกหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากความมืดมิด จ้าวฉงอีเบี่ยงกายหลบตามสัญชาตญาณ ฝ่าเท้ากลับเหยียบลงบนความว่างเปล่า ร่วงตกจากหน้าผาลงไปเสียอย่างนั้น…

ชั่วพริบตาตอนที่ตกลงไป พระจันทร์สุกใสก็ส่องแสงทะลุผ่านหมู่เมฆ จ้าวฉงอีเงยหน้าขึ้นอยากดูสักหน่อยว่าเจ้าคนสารเลวที่ไล่ล่านางมาตลอดทางทั้งยังเป็นเหตุให้นางตกหน้าผาอย่างอ้อมๆ จะมีหน้าตาเช่นไรกันแน่ จะมีรูปโฉมงามดุจพานอันสมคำเล่าลือจริงหรือไม่ แต่กลับมองเห็นเขากระโจนมาถึงขอบหน้าผาพร้อมยื่นมือมาคล้ายอยากจะดึงตัวนางเอาไว้ แสงจันทร์เพียงสะท้อนให้เห็นเค้าโครงใบหน้าหนึ่งอย่างเลือนราง…สุดท้ายก็ยังเห็นอะไรไม่ชัดเจน!

จ้าวฉงอียังย้อนคิดถึงว่าถ้าหากรู้แต่แรกคงไม่สั่งให้จ้าวหนานชิวกราบทูลฮ่องเต้ว่านางตกหน้าผาไปแล้ว อาหารกินไปเรื่อยได้ แต่คำพูดจะเอ่ยไปเรื่อยไม่ได้จริงๆ ตอนนี้ประเสริฐนัก วาจาอัปมงคลกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว!

จ้าวหนานชิวควบม้าห้อตะบึงมาตลอดทาง พยายามอย่างเต็มกำลังเร่งรุดตามให้ทันเวลาและตามหารังโจรที่ซ่อนอยู่กลางเขาลึกนั่นพบจนได้

ทว่าที่นี่กลับดูว่างเปล่าไร้ผู้คน นอกจากร่องรอยการต่อสู้เละเทะทั่วบริเวณก็ไม่เหลืออะไรอยู่เลย นางเดินตามร่องรอยไปจนถึงขอบหน้าผา พบเศษผ้าสีชาดชิ้นหนึ่งจากตรงนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ…นี่มาจากชุดที่จ้าวฉงอีสวมใส่

“จ้าวฉงอี!! เจ้าคนสารเลว!!!”

 

จ้าวฉงอีเบิกตาโพลงโดยพลัน ข้างหูราวกับยังสะท้อนเสียงร้องตะโกนแทบขาดใจของจ้าวหนานชิว…

ยามนี้แสงแดดกำลังดี แผ่ปกคลุมบนร่างนางอย่างอบอุ่นจนทำให้คนรู้สึกเกียจคร้าน ภายในห้องอบอวลด้วยกลิ่นหอมสดชื่น คล้ายจะเป็นกลิ่นของสมุนไพรบางชนิด ทว่ากลับหอมหวนอย่างบอกไม่ถูก

จ้าวฉงอีเพิ่งลืมตาขึ้นก็อดใจไม่อยู่เกือบจะหลับตาลงอีกครั้ง อยากนอนให้เต็มอิ่มสักงีบ…เอ๊ะ ไม่ถูกสิ นี่มันที่ใดกัน

ในที่สุดจ้าวฉงอีก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย นางเหลียวมองไปรอบด้านอย่างใจเย็นพักหนึ่ง ห้องนี้ไม่นับว่าใหญ่โตเท่าไรนัก แต่เก็บกวาดสะอาดเรียบร้อย ชั้นวางกระถางต้นไม้ตรงมุมผนังมีต้นฮุ่ยหลัน ตั้งอยู่กระถางหนึ่ง ท่าทางได้รับการดูแลอย่างดียิ่ง ดอกสีเขียวอ่อนมีกลีบซ้อนกันเป็นชั้นๆ ประหนึ่งผีเสื้อหลายตัวบินวนเวียนร่ายรำ ดึงดูดให้ผู้คนชื่นชมเอ็นดู

นี่ดูเหมือนห้องนอนของหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน แต่ก็มีการตกแต่งเรียบง่ายกว่ามาก ไม่ค่อยเหมือนห้องนอนของคุณหนูสกุลซุนผู้นั้นที่นางเคยเห็นมาเท่าไร

จ้าวฉงอีคิดทบทวนเล็กน้อย ตอนนั้นข้าหลบหลีกลูกธนูที่ถูกยิงมาจากมุมมืดนั่น เลยไม่ทันระวังพลัดตกหน้าผา…นี่หมายความว่า…มีคนช่วยข้าไว้?

นางลุกขึ้นนั่งก้มสำรวจร่างตนเอง ยามนี้นางเปลี่ยนมาสวมชุดนอนสะอาดเอี่ยม บาดแผลก็ถูกจัดการอย่างเหมาะสมเช่นกัน ขณะกำลังใคร่ครวญ จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออก พอนางเงยหน้าขึ้นก็สบประสานกับดวงตาฉายแววประหลาดใจระคนยินดีเปี่ยมล้นคู่หนึ่ง

ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นสตรีออกเรือนแล้วซึ่งดูมีอายุไม่น้อย ถึงกาลเวลาจะทิ้งร่องรอยลึกไว้ตรงหางตาของนางก็ยังคงมองเห็นรูปโฉมอันงดงามเมื่อครั้งเยาว์วัยได้รางๆ เพียงแต่เพราะเป็นคนร่างผอมบางเกินไป ตรงหว่างคิ้วกับมุมปากต่างมีริ้วรอยจางๆ ประทับเอาไว้ มองดูแล้วแฝงความไร้น้ำใจอยู่หลายส่วน ทว่ายามนี้บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู จึงดูเป็นกันเองขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“เสี่ยวหม่านเจ้าฟื้นแล้ว?” นางเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา “เหตุใดถึงลุกขึ้นนั่งเอง ไม่เรียกคนเล่า หิวน้ำหรือไม่ หรือว่าหิวข้าว? ข้าจะให้ยายเฒ่าเฝิงไปที่ครัวเคี่ยวน้ำแกงไก่ ต้มบะหมี่ไก่ฉีกให้เจ้าสักชามดีหรือไม่”

ความห่วงใยท่วมท้นกับการซักถามต่อเนื่องเป็นชุดทำให้จ้าวฉงอีสับสนอยู่บ้าง เสี่ยวหม่าน? เหตุใดถึงเรียกข้าว่าเสี่ยวหม่าน อีกอย่าง…คนตรงหน้านี้คือใครกัน

“เหตุใดถึงมองข้าเช่นนี้เล่า” สตรีผู้นี้เห็นจ้าวฉงอีทำหน้าตกตะลึง บนใบหน้าก็เผยความร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้น รู้สึกไม่สบายตรงที่ใด ยังเจ็บแผลอยู่มากกระมัง” ครั้นเห็นหญิงสาวตรงหน้าแค่มองตนแล้วนิ่งอึ้งไป ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาสักคำ นางจึงกระวนกระวายใจยิ่งกว่าเดิม ยื่นมือมาหมายจะแตะหน้าผากอีกฝ่าย “เสี่ยวหม่าน เสี่ยวหม่าน เจ้าเป็นอะไรไป อย่าทำให้แม่ตกใจสิ…”

…แม่?

จ้าวฉงอีขยับหลบตามสัญชาตญาณ มองดูสีหน้าร้อนใจของสตรีตรงหน้าก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย นี่ข้า…ยังฝันอยู่อีกหรือ ไม่น่ากระมัง ต่อให้ฝันอยู่ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยฝันว่าข้ามีแม่

แน่นอน ทุกคนสมควรมีมารดาผู้ให้กำเนิด จ้าวฉงอีก็ไม่มีทางกระโดดออกมาจากซอกหิน บอกตามตรงว่านางจำเรื่องราวในวัยเด็กไม่ค่อยได้สักเท่าไร จำได้แค่ว่าหลังมารดาคลอดน้องชาย มีอยู่ครั้งหนึ่งมารดาพานางไปตลาด ซื้อถังหูลู่ ให้นางไม้หนึ่งแล้วบอกให้รออยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง…จากนั้นมารดาก็ไม่ได้กลับมาหานางอีกเลย

แต่ดูเหมือนมารดาของนางในความทรงจำจะไม่ได้หน้าตาเช่นนี้

“เสี่ยวหม่าน? เสี่ยวหม่าน?” สตรีผู้นั้นเห็นนางจ้องมองตนเองด้วยสายตาว่างเปล่า ท่าทางราวกับไม่รู้จักกันเลยก็ตกใจจนขอบตาแดงเรื่อ หันหน้าไปตะโกนลั่น “นายท่าน! นายท่าน! ท่านไปตายที่ใดแล้ว! รีบมาดูเร็ว เสี่ยวหม่านจำใครไม่ได้แล้ว!”

เสียงของนางแหลมสูงดังกึกก้อง ไม่นานนักก็มีคนพุ่งเข้ามาสองคน

คนแรกที่พุ่งเข้ามาคือสาวน้อยอายุแปดเก้าขวบ ด้านหลังยังมีเด็กชายที่มีใบหน้าคล้ายกับนางมากตามมาด้วยคนหนึ่ง หากมิใช่เพราะแต่งกายไม่เหมือนกันก็เกือบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ดูแล้วคงเป็น…ฝาแฝดคู่หนึ่ง

“ท่านแม่ พี่สาวเป็นอะไรไปหรือ” สาวน้อยขยับเข้ามาใกล้ เอ่ยถามด้วยสีหน้าประหม่า

สตรีผู้นั้นถือโอกาสดึงสาวน้อยเข้ามาแล้วหันไปถามจ้าวฉงอี “เสี่ยวหม่าน เจ้ายังจำปั้นซย่าน้องสาวของเจ้าได้หรือไม่”

จ้าวฉงอีมองหน้าสาวน้อยผู้นั้น แล้วสลับไปมองเด็กชายที่ตามหลังนางมาอีกคน

“เทียนตงเล่า ยังจำเทียนตงได้หรือไม่” สตรีผู้นั้นยังชี้ไปที่เด็กชายพร้อมเอ่ยถามอีก เห็นนางยังทำหน้าเหมือนไม่รู้จักกันก็กรีดร้องขึ้นมาอีกหน “เทียนตง! รีบไปเรียกท่านพ่อเจ้ามา! พี่สาวเจ้าจำใครไม่ได้แล้ว!”

“…” จ้าวฉงอีรู้สึกปวดหู

ซูเทียนตงชักเท้าวิ่งออกไป ประเดี๋ยวเดียวก็ย้อนกลับมา ด้านหลังยังมีบุรุษวัยกลางคนรูปร่างท้วมตามมาด้วย ทันทีที่เขาก้าวเข้าประตูก็รีบร้อนตรงเข้ามาวางมือบนข้อมือของจ้าวฉงอีเพื่อจับชีพจร

จ้าวฉงอีหลุบตาลงมองนิ้วมือที่วางทาบบนข้อมือตนเอง นางไม่ขยับเขยื้อน กลับยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยด้วย…ท่านหมอผู้นี้มาถึงเร็วจริงๆ

“เสี่ยวหม่าน นี่คือท่านพ่อเจ้า เจ้ายังจำได้หรือไม่” สตรีผู้นั้นนั่งอยู่ข้างๆ คอยจับมือข้างหนึ่งของนางไว้แล้วเอ่ยถามต่ออย่างไม่ยินยอม

จ้าวฉงอีนิ่งเงียบไป…อา ที่แท้ท่านหมอผู้นี้คือ ‘ท่านพ่อ’ นี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่มาถึงเร็วเพียงนี้

ในตอนนี้เองที่ประตูก็มีอีกคนวิ่งเข้ามา เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายคนหนึ่ง

จ้าวฉงอีเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง อ๊ะ ในที่สุดก็มีคนที่ข้ารู้จักแล้ว!

“ซูเจ๋อหลัน?” นางมองหน้าเขาพลางเอ่ยปาก

คนสุดท้ายที่เข้ามาไม่ใช่ใครอื่น เป็นซูเจ๋อหลันบัณฑิตที่บอกว่าจะขึ้นเขาตามหาน้องสาวซึ่งนางเคยพบบนเขามาแล้วก่อนหน้านี้ เพราะว่านางขึ้นเขาปราบโจรผู้ร้ายมาตลอดทาง หวังจะไปช่วยน้องสาวออกมาแทนเขา ผลสุดท้ายถึงได้ถูกเจ้าคนสารเลวโจวเวินหรานทำทีเฝ้าตอรอกระต่าย ดังนั้นภาพจำที่นางมีต่อเขาจึงสลักลึกซึ้งอย่างยิ่ง

“ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ นั่นคือพี่ใหญ่ของเจ้า!” สตรีผู้นั้นตีมือจ้าวฉงอีเบาๆ จากนั้นก็สะดุ้งตกใจ ดวงตาพลันสว่างวาบ “เจ้าจำได้แล้ว? แล้วยังจำได้หรือไม่ว่าข้าเป็นแม่ของเจ้า”

“…ท่านแม่?” จ้าวฉงอีเหลือบมองนางแวบหนึ่ง

“เฮ้อ!” สตรีผู้นั้นเช็ดตาไปรอบหนึ่ง ถือเสียว่าบุตรสาวจำนางได้แล้ว

จ้าวฉงอีเม้มริมฝีปาก ตอนนี้ต่อให้นางจะสมองทึบเพียงใดก็รู้ดีว่าพวกเขาจำคนผิดแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบิดาบุญธรรมมักจะชื่นชมความเฉลียวฉลาดของนางมาตลอด

นางเหลือบมองซูเจ๋อหลันที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าห่วงใยเต็มเปี่ยม หวนคิดถึงตอนพบหน้าเขาและคำพูดที่เขาเอ่ย…

ยามนั้นเขากล่าวว่า ‘ข้าน้อยซูเจ๋อหลัน อาศัยอยู่ที่ตำบลตงหลีตรงเชิงเขานี่เอง น้องสาวของข้าขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรไม่กลับบ้านเสียที ข้าถึงได้ขึ้นเขามาตามหาคน ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินจริงๆ เพียงแค่ตอนน้องสาวข้าขึ้นเขามาสวมกระโปรงสีชาด รูปร่างยังใกล้เคียงกับแม่นางมาก’

หมายความว่านี่ข้า…กลายเป็นน้องสาวของเขาที่หายตัวไปและถูกพากลับบ้านแล้ว?

ทว่าต่อให้สวมเสื้อผ้าสีสันใกล้เคียงและยังรูปร่างคล้ายคลึงกันก็ไม่มีทางมองว่าเป็นอีกคนหนึ่งไปได้จริงๆ เด็ดขาด เว้นแต่…หน้าตาของนางจะเหมือนกับเสี่ยวหม่านที่พวกเขาเอ่ยถึงไม่มีผิดเพี้ยน

นี่มันจะเหลือเชื่อไปหน่อยแล้วกระมัง

เพียงแต่…บังเอิญมาก ไม่คิดเลยว่านางจะมาถึงตำบลตงหลีจนได้ หลังจากขัดราชโองการหนีการแต่งงานครั้งนี้ แม้นางจะบอกกับจ้าวหนานชิวว่าจะพำนักอยู่ตำบลไป๋หลี่ชั่วคราว แต่ความจริงแล้วสถานที่ที่นางอยากจะมา…กลับเป็นตำบลตงหลีแห่งนี้

เพราะถ้าหากไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ ตำบลตงหลีน่าจะเป็นบ้านเกิดของนาง ปีนั้นนางก็ถูกทิ้งอยู่ที่นี่ จริงๆ นางไม่ได้อยากรู้เกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนเองมากถึงเพียงนั้น ทว่าพอขัดราชโองการหลบหนีมา ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีที่ไป ค่ายลั่วเยี่ยนที่บิดาบุญธรรมฝากฝังไว้ก็มอบหมายคืนให้จ้าวหนานชิวไปอย่างดีแล้ว ตอนนี้นางไม่มีภาระหน้าที่ ตัวเบาสบายอย่างหาได้ยาก จึงตั้งใจจะมาดูที่ตำบลตงหลีสักหน่อย…

เมื่อครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของตนเอง จ้าวฉงอีตัดสินใจว่าจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ แต่นางไม่ชอบความรู้สึกของการตกเป็นฝ่ายถูกควบคุมเช่นนี้เลย จำเป็นต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างโดยเร็วที่สุด…อย่างไรก็ตามนางไม่ทันคิดอะไรมากกว่านี้ ท้องก็ส่งเสียงขึ้นมาก่อนแล้ว

โครกคราก…เป็นเสียงร้องแสดงความหิวโหย

“เสี่ยวหม่านหิวแล้ว เจ้าเคี่ยวน้ำแกงไก่อยู่ในครัวไม่ใช่หรือ ไปต้มบะหมี่ให้นางกินสักชามเถอะ” เห็นท่านแม่ซูขอบตาแดงเรื่อ ท่าทางสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่านพ่อซูลอบถอนหายใจเงียบๆ ก่อนเอ่ยเสียงเนิบช้า

ท่านแม่ซูรีบตอบรับแล้วเช็ดน้ำตาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

“เสี่ยวหม่าน” ท่านพ่อซูเห็นท่านแม่ซูออกไปแล้วถึงได้หันกลับมามองจ้าวฉงอี กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ครั้งนี้ทำให้ท่านแม่เจ้าตกใจมาก ครั้งหน้าอย่าได้บุ่มบ่ามเช่นนี้เด็ดขาด”

ในใจจ้าวฉงอียังนึกถึงน้ำแกงไก่ชามนั้น แล้วก็ใคร่ครวญสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้ พยักหน้าฟังเขาสอนสั่งอย่างว่าง่าย ฟังไปฟังมาก็รู้สึกคอแห้งอยู่บ้าง

น้ำถ้วยหนึ่งถูกส่งมาตรงหน้านางได้จังหวะเหมาะพอดี เป็นบัณฑิตที่ชื่อซูเจ๋อหลันผู้นั้น…พี่ชายคนโตของซูเสี่ยวหม่าน

“เสี่ยวหม่าน เจ้าไม่เคยมีนิสัยบุ่มบ่ามเช่นนี้มาก่อน ครั้งนี้เหตุใดถึงได้ขึ้นภูเขาลึกไปคนเดียว” ซูเจ๋อหลันมองหน้านางพลางซักถาม

จ้าวฉงอีรับถ้วยน้ำมาดื่มหมดในคราวเดียวก่อนจะหยั่งเชิงถามประโยคหนึ่ง “ถ้าเกิดข้าบอกว่า…ข้าไม่ใช่ซูเสี่ยวหม่านเล่า”

“พี่รอง ถึงอย่างไรท่านพ่อท่านแม่รวมถึงพี่ใหญ่ก็ตัดใจทำอะไรท่านไม่ลงอยู่แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องไม่ยอมรับกระทั่งว่าตนเองเป็นใครเพื่อหนีการลงโทษหรอกนะ เป็นคนกล้าทำต้องกล้ารับสิ” เด็กชายที่เพิ่งไปเรียกท่านพ่อซูมาผู้นั้นเอามือไพล่หลังวางท่ากล่าววาจาสั่งสอนเป็นจริงเป็นจัง ประหนึ่งเป็นท่านอาจารย์สักคนหนึ่ง

จ้าวฉงอีมุมปากกระตุกเบาๆ เหลือบมองท่านพ่อซูกับซูเจ๋อหลันแวบหนึ่ง สีหน้าคนทั้งสองสื่อความหมายประมาณนี้แน่แล้วเช่นกัน…ทว่าสีหน้าของเด็กหญิงชื่อปั้นซย่าที่ยืนอยู่ตรงหัวเตียงผู้นั้นกลับน่าสนใจอยู่บ้าง คล้ายว่าจะรู้สึกละอายกับไม่สบายใจเล็กน้อย

“เสี่ยวหม่าน เรื่องที่บนภูเขาลึกนั่นมีโจรผู้ร้ายข้าก็เคยบอกเจ้าตั้งหลายครั้งแล้ว เหตุใดเจ้า…” ซูเจ๋อหลันถามขึ้นอีก

จ้าวฉงอีปวดศีรษะเล็กน้อย นางรู้ที่ใดกันว่าเพราะเหตุใดซูเสี่ยวหม่านถึงขึ้นไปบนภูเขาลึก…

“พอแล้ว เสี่ยวหม่านเพิ่งตื่น มีเรื่องอะไรจะต้องซักไซ้นางตอนนี้ให้ได้เลยหรือ”

ประจวบเหมาะว่าตอนนี้ท่านแม่ซูยกบะหมี่เข้ามา เห็นบุตรชายทำท่าทางพร้อมเทศนาก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด จึงไล่พวกเขาออกไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง ตอนหันหน้ากลับมามองจ้าวฉงอี สีหน้าก็เปลี่ยนกลับมาอ่อนโยนมีเมตตาได้อย่างน่าอัศจรรย์

“เสี่ยวหม่าน หิวแย่แล้วกระมัง ได้กินอะไรหน่อยประเดี๋ยวก็ดีขึ้น…เจ้าไม่ต้องลุกขึ้นมา นั่งกินอยู่บนเตียงนั่นล่ะ”

หลังจากวุ่นวายอยู่พักใหญ่ บิดากับบุตรชายบุตรสาวที่เพิ่งเข้ามาเพราะเสียงตะโกนโวยวายของนางก็ถูกไล่ออกไปหมด ภายในห้องเหลือแค่จ้าวฉงอีกับท่านแม่ซูสองคนอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับความห่วงใยและกลิ่นหอมที่โชยมาปะทะใบหน้า จ้าวฉงอีก็เลือก…ก้มหน้ากินบะหมี่

บะหมี่ไก่ฉีกส่งกลิ่นหอมฉุย เส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม น้ำแกงรสหวาน และยังเสริมด้วยผักป่าสดใหม่ ทั้งเป็นช่วงที่นางท้องร้องโครกครากพอดี ท่าทางการกินก็เลยไม่ค่อย…น่ามองเท่าไรนัก

“ช้าหน่อย กินช้าๆ หน่อย อย่ารีบกินสิ เดี๋ยวอาหารจะไม่ย่อยเอานะ” ท่านแม่ซูถูกท่าทางการกินของนางทำเอาตกใจเข้าแล้ว

อาหารไม่ย่อย? ไม่มีทางเสียหรอก กระเพาะของนางดั่งทำจากเหล็กกระนั้น ยามขาดแคลนเสบียงอาหารให้กินรากหญ้าหรือเปลือกไม้ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่นางก็ยังลดความเร็วลงอยู่ดี…อย่างไรเสียตอนนี้ในสายตาของสตรีตรงหน้านางไม่ใช่จ้าวฉงอีที่ผิวหนาเนื้อหนา แต่เป็นซูเสี่ยวหม่านต่างหาก

นางกลับไม่รู้ตัวเลยว่าในสายตาของท่านแม่ซู ความเร็วที่ลดลงของนางก็ยังไม่ต่างอะไรกับการกินมูมมามเช่นกัน

“เด็กน้อยที่น่าสงสาร เจ้ากินช้าๆ หน่อย…” ท่านแม่ซูเริ่มเช็ดน้ำตาอีกแล้ว

จ้าวฉงอีหยุดชะงักไปชั่วขณะ ความเร็วในการกินลดลงอีกเล็กน้อย

ท่ามกลางความห่วงกังวลอย่างจริงจังเกินเหตุของท่านแม่ซู จ้าวฉงอีสวาปามบะหมี่รวมถึงน้ำแกงลงกระเพาะจนหมดเกลี้ยง…ตอนวางชามลงรู้สึกเหมือนกินไม่หนำใจอยู่บ้าง คิดว่ายังกินเพิ่มได้อีกสักชาม! แต่พอมองเห็นสายตาของท่านแม่ซู จ้าวฉงอีก็รู้ว่านางต้องควบคุมการกินอาหารของตนเองแล้ว…

จะว่าไปฝีมือการทำบะหมี่ของเหล่าจ้าวคนครัวในค่ายทหารก็ไม่เลวเลยทีเดียว น่าเสียดายนับตั้งแต่นางขัดราชโองการหนีการแต่งงานก็ถูกเจ้าพวกสุนัขจากหน่วยเทียนฉีไล่ตามจนต้องวิ่งวุ่นไปทั่วมาตลอดทาง นานมากแล้วที่ไม่ได้กินอาหารเต็มอิ่มอย่างนี้สักมื้อ นึกขึ้นมาก็อดเศร้าใจไม่ได้

เพิ่งจะวางชามลง มือของนางก็ถูกท่านแม่ซูกุมเอาไว้

จ้าวฉงอีหนังศีรษะชาหนึบ นึกว่าจะต้องเผชิญกับการซักไซ้แบบเป็นส่วนตัวจากอีกฝ่ายแน่แล้ว ผลปรากฏว่าท่านแม่ซูกลับไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เพียงแค่พยุงนางนอนลงเงียบๆ สอดเก็บมุมผ้าห่มให้อย่างเอาใจใส่ จากนั้นใช้มือที่ค่อนข้างหยาบกร้านลูบแก้มของนาง

“พักผ่อนให้ดี ข้าอยู่ข้างนอกนี่เอง มีอะไรเจ้าก็ร้องเรียกได้ ไม่ต้องกลัวนะ”

จ้าวฉงอีตะลึงงันชั่วอึดใจ จากนั้นก็เม้มริมฝีปากแล้วขานรับคำหนึ่ง

ท่านแม่ซูแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะยกชามเดินออกไป

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: