X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสวมรอยรักแม่ทัพหญิง

ทดลองอ่าน สวมรอยรักแม่ทัพหญิง บทที่ 3-4

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 3 ความฝัน

พอท่านแม่ซูเดินออกมาก็ประสานกับสายตาหลายคู่ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปทันใด เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “เหตุใดถึงมามุงกันอยู่ตรงนี้! ออกไปเลย ออกไป อย่ามารบกวนเสี่ยวหม่านพักผ่อน!”

“ท่านแม่ มีแค่พี่รองที่เป็นลูกแท้ๆ ของท่าน พวกเราได้ท่านเก็บมาเลี้ยงใช่หรือไม่” ซูเทียนตงเงยหน้าเล็กๆ ขึ้นถามอย่างจริงจัง

“ใช่แล้วๆ เก็บมาจากใต้สะพานใหญ่ตรงถนนข้างหน้านั่นอย่างไรเล่า” ท่านแม่ซูแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วหันไปถลึงตาใส่บุตรชายคนโต “ไหนเจ้าลองว่ามา เสี่ยวหม่านเพิ่งฟื้น เจ้าก็รีบร้อนซักไซ้นาง มีใครที่ใดเขาเป็นพี่ใหญ่อย่างเจ้าบ้าง!”

ซูเจ๋อหลันลูบจมูกป้อยๆ

ท่านแม่ซูยังหันหน้าไปมองท่านพ่อซู ถามด้วยความกังวลเล็กน้อย “เมื่อครู่ท่านจับชีพจรให้เสี่ยวหม่าน นางเป็นอย่างไรบ้าง”

“เลือดลมพร่อง ร่างกายอ่อนแอนิดหน่อย จะต้องรักษาตัวให้ดีๆ”

“นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรือไร ตอนเสี่ยวหม่านถูกพาตัวกลับมาจากใต้หน้าผาก็แทบจะเป็นมนุษย์โลหิตแล้ว บนร่างไม่มีผิวหนังส่วนใดไร้รอยแผล…” พูดไปพูดมาท่านแม่ซูก็ดวงตาแดงเรื่อขึ้นมาอีก “เจ้าพวกโจรภูเขาสารเลวฝูงนั้นสมควรถูกกวาดล้างแล้ว!” นางยังย้ำเตือนท่านพ่อซูกับลูกๆ ว่า “เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามถามเสี่ยวหม่านอีก เสี่ยวหม่านของข้าน่าสงสารมากพอแล้ว ไม่ต้องให้นางย้อนคิดถึงเรื่องน่ากลัวพวกนั้นแล้ว”

“ท่านแม่ เรื่องอื่นจะไม่ถามก็ได้ แต่เรื่องที่เสี่ยวหม่านขึ้นเขาลึกไปคนเดียวอย่างไรก็ต้องถามให้รู้เรื่อง นางไม่ใช่คนนิสัยกล้าหาญไม่กลัวอะไรเช่นนี้…”

“เจ้าก็บอกแล้วว่านางไม่ใช่คนกล้าหาญไม่กลัวอะไรเช่นนี้ ยังจะถามอะไรอีก!” ท่านแม่ซูถลึงตาใส่เขาพลางพูด “เรื่องนี้พอแค่นี้ล่ะ ใครก็ห้ามพูดถึงต่อหน้าเสี่ยวหม่านอีก!”

ท่านแม่ซูเป็นใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร ลั่นวาจาตัดสินใจเฉียบขาด ซูเจ๋อหลันพยักหน้าอย่างจนใจ “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ภายในห้องจ้าวฉงอีนอนมองมุ้งเตียง ฟังเสียงพูดคุยข้างนอกที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป ความจริงเสียงของพวกเขาเบามากแล้ว แต่ว่าจ้าวฉงอีเป็นผู้ฝึกยุทธ์ โสตประสาทย่อมดีกว่าผู้อื่นสักหน่อย จึงได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง…

ข้าหน้าตาเหมือนแม่นางซูผู้นั้นถึงเพียงใดกันนะ กระทั่งมารดาผู้รักทะนุถนอมนางปานนั้นยังแยกตัวจริงตัวปลอมไม่ออก

ข้างนอกเงียบสงบลงแล้ว จ้าวฉงอียกมือขึ้นลูบคลำแก้มตนเอง ราวกับว่าสัมผัสอันอ่อนโยนแต่แห้งกร้านจากมือของท่านแม่ซูที่เพิ่งลูบแก้มตนเองนั้นยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้า เรื่องนี้สำหรับนางแล้ว…ช่างเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่โดยแท้

ถึงอย่างไรก็ไม่เคยมีใครลูบแก้มนางด้วยความอ่อนโยนทะนุถนอมถึงเพียงนั้นและบอกนางว่าไม่ต้องกลัวมาก่อน เพราะว่าในสายตาคนทั้งหลาย นาง…จ้าวฉงอีสมควรเป็นคนที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน

นางเป็นบุตรสาวบุญธรรมที่จ้าวอวิ๋นจู่ให้ความสำคัญที่สุด เป็นหัวหน้าใหญ่ของค่ายลั่วเยี่ยน เป็นแม่ทัพใหญ่ของฮ่องเต้ นางจะกลัวได้อย่างไรกันเล่า…

หลังท้องอิ่มก็เผชิญกับความง่วงถาโถมเข้าใส่ จ้าวฉงอีดิ้นรนเล็กน้อยอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ทว่าการพลัดตกลงมาจากหน้าผาสูงปานนั้นก็มิใช่เรื่องล้อเล่นจริงๆ ต่อให้ร่างกายนางแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็เป็นร่างที่มีเลือดเนื้อ ความเหนื่อยล้าและความอ่อนเพลียที่กรีดร้องอยู่ข้างในทำให้นางล้มเลิกการต่อต้าน สุดท้ายก็จมดิ่งลงในภวังค์ยามหลับฝันอันสับสนงุนงง

จ้าวฉงอีฝันเห็นบางสิ่งที่ไม่ได้ฝันถึงมานานแล้ว

บนถนนสายใหญ่ที่ไม่นับว่าคึกคักมากนัก ภาพเหตุการณ์บนถนนขมุกขมัว เด็กหญิงรูปร่างผอมบางดูอ่อนแอไร้ทางสู้เดินโซซัดโซเซติดตามสตรีนางหนึ่งที่มีผิวพรรณสีออกเหลือง

“ถังหูลู่จ้า ถังหูลู่ทั้งหอมทั้งหวาน…” ริมถนนมีคนกำลังร้องเร่ขายของ

เด็กหญิงมองถังหูลู่เคลือบน้ำตาลแวววาวเหล่านั้นตาปริบๆ นางกลืนน้ำลาย ทว่าสองเท้ากลับไม่กล้าเชื่องช้าลงเลยสักนิดเดียว แต่จู่ๆ สตรีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นั้นก็หยุดฝีเท้าลง นางควักถุงเงินออกมาซื้อถังหูลู่หนึ่งไม้แล้วส่งให้เด็กหญิง

เด็กหญิงดวงตาเป็นประกายขึ้นมาในพริบตา นางฉีกมุมปากแย้มยิ้ม รับถังหูลู่มาอย่างดีอกดีใจ

สตรีผู้นั้นมองนางแวบหนึ่ง สายตาแลดูแปลกพิกล จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กหญิงด้วยท่าทางค่อนข้างแข็งทื่อ “แม่จะไปซื้อข้าวสาร เจ้ารออยู่ตรงนี้นะ”

เด็กหญิงถือถังหูลู่ไว้พลางพยักหน้าตอบอย่างเชื่อฟัง สายตามองส่งสตรีผู้นั้นเดินจากไปแล้วก้มศีรษะลงนับถังหูลู่ในมืออย่างมีความสุข บนไม้เหลาเรียวบางเสียบผลซานจา* เคลือบน้ำตาลทั้งหมดแปดลูก

ท่านพ่อสองลูก ท่านแม่สองลูก น้องชายสองลูก ข้าก็ได้กินสองลูก!

เด็กหญิงกินไปลูกหนึ่งอย่างเริงร่า รออยู่นานสองนานก็ไม่เห็นมารดากลับมา นางอดใจไม่ไหวกินไปอีกหนึ่งลูกแล้วนับจำนวนผลซานจาซ้ำๆ ยังเหลือหกลูก…อืม น้องชายยังเล็ก บางทีคงกินถังหูลู่มากเกินไปไม่ได้ เด็กหญิงจึงกินเพิ่มอีกลูกหนึ่ง

แต่เพราะเหตุใดท่านแม่ถึงยังไม่กลับมานะ…

เด็กหญิงมองถังหูลู่ที่เหลือแล้วกลืนน้ำลายไปพลางมองทางแยกบนถนน

…มองจนกระทั่งฟ้ามืด

ในมือเด็กหญิงถือถังหูลู่ที่เหลืออยู่ห้าลูกเอาไว้ ยังคงเฝ้ารอตาปริบๆ

 

เมื่อจ้าวฉงอีตื่นขึ้นมาจากความฝัน นางเหม่อลอยไปพักหนึ่ง ราวกับว่ายังมีความรู้สึกตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกของเด็กหญิงในความฝันผู้นั้นหลงเหลืออยู่…ความตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกพวกนั้นคล้ายจะเป็นเรื่องราวในชาติก่อนไปแล้ว นับตั้งแต่มาถึงค่ายลั่วเยี่ยนนางก็ไม่เคยหวนคิดถึงอดีตอีกเลย แล้วยังไม่เคยฝันเห็นอะไรเช่นนี้ด้วย เพราะบิดาบุญธรรมบอกว่าแม้นางจะมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้วรยุทธ์ แต่นับว่าเริ่มต้นเรียนช้าไป จึงเคี่ยวกรำนางเป็นพิเศษ ทุกวันพอลืมตาขึ้นมาก็ฝึกวิชา ต่อเนื่องไปจนกระทั่งเหนื่อยสายตัวแทบขาด การนอนหลับก็ไม่ต่างอะไรกับการสลบไสล ฝันรึ? ไม่เคยเลยสักครั้ง

จากคำกล่าวของบิดาบุญธรรม หากยังมีเรี่ยวแรงไปฝันได้ แสดงว่ายังฝึกฝนไม่เข้มงวดพอ

ช่วงนี้ว่างมากเกินไปจริงๆ สินะ…

ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ ภายในห้องจึงมืดสลัวอยู่บ้าง จ้าวฉงอีส่ายหน้าแล้วจับขอบเตียงพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง นางก้มมองชุดนอนบนร่างของตน จากนั้นก็ไปหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งจากตู้มาผลัดเปลี่ยน ถึงได้ผลักประตูเดินออกจากห้อง

พอก้าวพ้นประตูก็พบกับลานบ้าน แม้จะไม่กว้างขวางนักแต่เก็บกวาดเป็นระเบียบเรียบร้อย จ้าวฉงอีเดินออกจากลานบ้านก็ยังคงมองไม่เห็นใครอยู่ดี นางอดแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้

ขณะกำลังครุ่นคิด ด้านหน้าพลันมีเสียงคนดังลอยมา

“คนผู้นี้บาดเจ็บสาหัสเกินไปแล้ว ท่านหมอซู ท่านรีบมาดูหน่อยว่ายังช่วยได้หรือไม่!” มีคนตะโกนเสียงดังลั่น

ถัดมาจึงเป็นเสียงคนจ้อกแจ้กจอแจระลอกหนึ่ง

จ้าวฉงอีเดินไปตามเสียง ถึงได้สังเกตเห็นว่าเรือนหน้าดูเหมือนจะเป็นโรงแพทย์ เวลานี้ในโรงแพทย์มีคนจำนวนหนึ่งมารวมตัวกัน เจ้าหน้าที่ที่ว่าการสองคนหามร่างคนผู้หนึ่งเข้ามา ซูเจ๋อหลันกำลังพูดคุยกับพวกเขา ส่วนคู่แฝดมังกรหงส์ของสกุลซูก็มามุงดูความคึกคักอยู่ข้างๆ ด้วย

“พี่ซู นายพรานคนหนึ่งเจอคนผู้นี้บนเขา ทั้งตัวมีแต่บาดแผลทั้งยังหมดสติด้วย คิดว่าคงไปเจอโจรภูเขามา คงต้องรบกวนท่านหมอซูดูอาการให้แล้ว” เจ้าหน้าที่ที่ว่าการคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“ท่านพ่อข้ากำลังสอบถามอาการคนป่วยอยู่ หามร่างเขาเข้าไปก่อนเถอะ” ซูเจ๋อหลันเหลือบมองบุรุษที่นอนอยู่แวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายเลือดไหลท่วมร่างจึงรีบเบี่ยงกายหลบเปิดทางให้

เจ้าหน้าที่ที่ว่าการทั้งสองจึงหามร่างคนเข้าไป

จ้าวฉงอีถือโอกาสเหลือบมองบุรุษที่นอนอยู่บนแผ่นบานประตู จากนั้นก็พลันตกตะลึงไปชั่วขณะ

คนผู้นั้นนอนหลับตาอยู่บนแผ่นบานประตู ใบหน้าขาวซีด ผมหลุดลุ่ย บนร่างล้วนเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ ว่ากันตามหลักแล้วสภาพน่าอนาถอย่างที่สุดเช่นนี้คงไม่มีทางน่ามองเป็นแน่ แต่เพราะเขามีใบหน้าหล่อเหลาน่ามองมากเหลือเกิน ทำให้แม้ว่าจะนอนอยู่บนแผ่นบานประตูไม้เก่าซอมซ่อในสภาพย่ำแย่ก็ยากจะบดบังความสง่างามของเขาไปได้

…หน้าตาหล่อเหลามากจริงๆ

จ้าวฉงอีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจชื่นชมอย่างจริงใจ

“เสี่ยวหม่าน เจ้าไม่พักผ่อนอยู่ในห้องดีๆ เล่า มาถึงเรือนหน้าด้วยเหตุใดกัน” ในตอนนี้เองจู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงเป็นกังวลของท่านแม่ซูดังมา

จ้าวฉงอีหันหลังไปพร้อมคลี่ยิ้มให้ “ข้าเพิ่งตื่น เห็นในเรือนไม่มีใครเลยออกมาดู”

ทันใดนั้นท่านแม่ซูก็จ้องเขม็งไปทางซูปั้นซย่าที่มุงดูความคึกคักอยู่ที่เรือนหน้า นางเอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “ปั้นซย่า เจ้าทำอะไรอยู่ตรงนั้นเล่า ให้เจ้าคอยเฝ้าพี่สาวไว้ไม่ใช่หรือ!”

ซูปั้นซย่าได้ยินเสียงก็ทำแก้มป่องวิ่งออกมา เบ้ปากพลางเอ่ยว่า “เมื่อครู่พวกหัวหน้ามือปราบหลี่ส่งคนบาดเจ็บสาหัสคนหนึ่งมาที่โรงแพทย์ ข้าเลยออกมาดูว่าต้องช่วยอะไรหรือไม่ต่างหาก”

“เจ้าจะช่วยอะไรได้ แม้แต่สมุนไพรก็รู้จักชื่อไม่หมด มาสร้างปัญหาหรือไร!” ท่านแม่ซูเคาะศีรษะนาง

ซูปั้นซย่าขยับหลบอย่างไม่พอใจ อ้าปากเตรียมจะโต้เถียง แต่ครั้นเหลือบมองจ้าวฉงอีแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่านึกถึงเรื่องอะไรขึ้นมาได้ ท่าทางจึงคล้ายห่อเหี่ยวลง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร

จ้าวฉงอีมองท่าทางของซูปั้นซย่า อืม…ดูเหมือนสาวน้อยคนนี้น่าจะทำเรื่องน่าละอายใจมาแน่

การหายตัวไปของซูเสี่ยวหม่านคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางกระมัง

บทที่ 4 ค้นพบอะไรบางอย่าง

สามีภรรยาสกุลซูเปิดโรงแพทย์แห่งหนึ่งที่ตำบลตงหลีก็นับว่าพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง สกุลซูมีบุตรทั้งหมดสี่คน บุตรชายคนโตซูเจ๋อหลันเป็นบัณฑิตที่มีอัธยาศัยค่อนข้างดี บุตรสาวคนรองซูเสี่ยวหม่านนิสัยอ่อนโยนขี้กลัว ติดตามบิดาเรียนรู้วิชาแพทย์จนมีฝีมือพอใช้ได้ บุตรชายคนเล็กซูเทียนตงกับบุตรสาวคนเล็กซูปั้นซย่าเป็นคู่แฝดมังกรหงส์ ตอนนี้ต่างเรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาซือสู ในตำบล ครอบครัวนี้มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งชื่อยายเฒ่าเฝิง

เพียงช่วงเวลาอาหารเย็น จ้าวฉงอีก็ทำความเข้าใจสถานการณ์ของสกุลซูได้กระจ่างแล้ว

ท่านแม่ซู จ้าวฉงอี และคู่แฝดมังกรหงส์กินอาหารเย็นร่วมกัน เพราะอาการบาดเจ็บของคนที่ถูกส่งตัวมาเมื่อตอนพลบค่ำสาหัสเกินไป ต้องจัดการรักษาบาดแผล ท่านพ่อซูจึงกำลังยุ่งอยู่ที่เรือนหน้า ซูเจ๋อหลันก็รั้งอยู่ที่นั่นคอยช่วยเหลือ

“คนผู้นั้นช่างหน้าตาดีจริงๆ นะ” หลังดื่มน้ำแกงอุ่นๆ ไปคำหนึ่งซูปั้นซย่าก็ทอดถอนใจถึงคนเจ็บที่ถูกส่งตัวมาตอนพลบค่ำผู้นั้น

“ความคิดตื้นเขิน” ซูเทียนตงวิจารณ์

“เทียนตง เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้ล่ะ เจ้าอิจฉาริษยาที่ผู้อื่นเขาหน้าตาดีกว่าเจ้ากระมัง!” ซูปั้นซย่าส่งเสียงฮึดฮัดคำหนึ่งพลางพูด

“…ข้าขอเตือนสติเจ้านะ พวกเราหน้าตาเหมือนกัน” ซูเทียนตงเหลือบมองนางอย่างพูดไม่ออกอยู่บ้าง

ซูปั้นซย่าได้ยินเข้าก็สำลัก นางยังหันหน้าไปมองจ้าวฉงอี “พี่รอง ท่านก็มองเห็นสินะ? คนผู้นั้นหน้าตาดีมากเลยใช่หรือไม่”

จ้าวฉงอีคิดทบทวนถึงรูปลักษณ์ของบุรุษผู้นั้นครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเต็มที่ “หน้าตาดีจริงๆ”

“เจ้าดูสิ พี่รองก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน!” ซูปั้นซย่าหันขวับไปทางซูเทียนตง ท่าทางราวกับได้รับชัยชนะ

ซูเทียนตงคร้านจะสนใจนาง ถึงแม้จะเป็นคู่แฝดมังกรหงส์ แต่เขามักรู้สึกว่าระดับสติปัญญาของตนเองกับซูปั้นซย่ายังห่างชั้นกันอยู่มาก อาจเป็นเพราะตอนอยู่ในครรภ์มารดาได้รับจัดสรรมาไม่เท่ากัน เขาเฉลียวฉลาดเกินไป เลยส่งผลให้ซูปั้นซย่าเกิดมาเป็นเหมือนคนโง่อย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ซูเทียนตงจึงตัดสินใจว่าจะไม่ถือสาหาความนาง

“ท่านแม่…ท่านดูเทียนตงสิ เขามองข้าด้วยสายตาแปลกๆ อีกแล้ว!” ซูปั้นซย่าถูกเขามองด้วยสายตาแปลกพิลึกจนขนลุก กล่าวฟ้องมารดาอย่างโมโห

ซูเทียนตงถอนสายตาเวทนาในสติปัญญาของนางกลับมา ก้มหน้ากินข้าว ทำท่าทางข้าเป็นเด็กดีว่าง่ายอย่างยิ่ง

“เอาล่ะ เลิกเถียงกันได้แล้ว กินข้าว!” ท่านแม่ซูยื่นคำขาดแล้วคีบซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งใส่ชามของจ้าวฉงอีอีกครั้งพลางเอ่ยด้วยความรักและเมตตา “ร่างกายเสี่ยวหม่านยังไม่แข็งแรง กินให้มากหน่อย”

จ้าวฉงอีมองอาหารในชามที่ถูกวางสุมเป็นกองสูงแวบหนึ่ง “ขอบคุณเจ้าค่ะ”

ท่านแม่ซูตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็หลุดหัวเราะ “กับแม่จะมาเกรงใจอะไรเล่า”

ทางฝั่งนี้เป็นภาพมารดาเมตตาบุตรสาวกตัญญู ส่วนโต๊ะอาหารอีกฝั่งหนึ่งซูปั้นซย่าขยิบตาให้ซูเทียนตง ลอบกระซิบกระซาบคุยกัน

“เจ้าพูดถูก พวกเราอาจไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านแม่”

ซูเทียนตงคีบซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งให้นางเงียบๆ

ซูปั้นซย่ารู้สึกพอใจขึ้นแล้ว “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าพวกเราจะใช่หรือไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านแม่ แต่เจ้าต้องเป็นน้องชายแท้ๆ ของข้าแน่นอน”

“…”

ซูเทียนตงอยากจะคีบซี่โครงหมูกลับมาเสียเลย แต่ลองคิดๆ ถึงสติปัญญาของนางก็ช่างเถิด ถือว่าเขาติดค้างนางแล้วกัน!

หลังโต้เถียงกันจนอาหารเย็นผ่านพ้นไป จ้าวฉงอีก็เอ่ยปากรับรองกับท่านแม่ซูอยู่หลายครั้งว่าร่างกายนางไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ท่านแม่ซูถึงได้วางใจไปทำงานอื่น

นางมองส่งท่านแม่ซูเดินจากไป พอหันหน้ากลับมาซูปั้นซย่าที่รับปากมารดาว่าจะคอยอยู่เป็นเพื่อนนางก็ลากตัวซูเทียนตงเผ่นหนีแต่แรกแล้ว ในลานบ้านจึงเหลือแค่จ้าวฉงอีคนเดียว ขณะที่นางเห็นซูปั้นซย่าลอบย่องหนีไปอย่างลับๆ ล่อๆ ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ถ้านางคาดเดาไม่ผิด แม่เด็กน้อยผู้นี้คล้ายจงใจหลบหน้านาง…คงร้อนตัวกระมัง

ภายในลานบ้านเงียบสงบลงแล้ว จ้าวฉงอีเงยหน้ามองท้องฟ้า คืนวันนี้กับคืนวันที่ต่อสู้บนหน้าผาไม่เหมือนกัน ยามนี้แสงจันทร์สว่างไสวยิ่งนัก นางยืนอยู่ในลานบ้านตามลำพังครู่หนึ่งถึงค่อยๆ เดินกลับห้องของซูเสี่ยวหม่าน

พอเดินเข้าห้องปิดประตูเรียบร้อย จ้าวฉงอีเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะหยิบผ้าห่มผืนหนึ่งจากในตู้ออกมาพับทบกันเรียบร้อยแล้วก็ยัดเข้าไปใต้ผ้าห่มบนเตียงนอน มองแวบแรกราวกับข้างในนั้นมีคนนอนอยู่ หลังลุกมาพิจารณาดูก็จัดให้เข้าที่อีกหน่อย จนกระทั่งไม่มีพิรุธใดแน่แล้วถึงได้ลุกขึ้นปัดมืออย่างพึงพอใจ ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย

บิดาบุญธรรมบอกว่าตั้งแต่เด็กความสามารถในการฟื้นตัวของร่างกายนางก็เหมือนสัตว์ประหลาดตัวน้อยไม่มีผิด การต่อสู้อย่างดุเดือดกับโจวเวินหรานในคืนนั้นได้บาดแผลบนร่างมาหลายแห่ง ทั้งยังพลัดตกจากหน้าผาสูงถึงเพียงนั้น ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงไม่ตายก็ต้องพิการไปแล้ว ต่อให้โชคดีไม่พิการ ทว่าไม่ถึงสิบวันหรือครึ่งเดือนจะไม่มีทางลงจากเตียงไหวอย่างเด็ดขาด แต่ตอนนี้จ้าวฉงอีรับรู้ได้ว่าตนเองไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว นอกจากเวลาเคลื่อนไหวยังปวดเนื้อเมื่อยตัวอยู่บ้าง…ทว่าสำหรับนางแล้วความเจ็บปวดเพียงแค่นั้นสามารถมองข้ามไปได้

จ้าวฉงอีเปิดหน้าต่างกวาดสายตามอง ก่อนจะปีนออกจากหน้าต่างไปจากบ้านสกุลซูเงียบๆ

บังเอิญว่ายามนี้มีรถม้ากำลังจะออกจากตำบล จ้าวฉงอีทะยานร่างขึ้นไปนั่งอยู่ด้านหลังรถม้าแล้วออกจากตำบลตงหลีมาได้อย่างราบรื่น

เดินย่ำอยู่ใต้แสงจันทร์มาสักพัก จ้าวฉงอีก็หวนกลับมายังภูเขาลูกเดิมอีกครั้ง

ขณะก้าวผ่านต้นพุทราป่าข้างทางต้นนั้นก็ยื่นมือเด็ดมาสองลูกแล้วเดินไปแทะไป ระหว่างกำลังกัดพุทราเสียงดังกร้วมๆ ก็พลันสังเกตเห็นเส้นทางเบื้องหน้าถูกปิดตายไปแล้ว และยังแปะแผ่นกระดาษปิดผนึกของทางการด้วย…

ดูท่าวันนั้นหลังจากนางตกหน้าผาไป โจรภูเขาที่อยู่บนเขาลูกนี้คงถูกกวาดล้างแล้ว ก็จริง ผู้บัญชาการหน่วยเทียนฉีลงมือเอง การกวาดล้างรังโจรย่อมไม่ใช่เรื่องยากเลย

เมื่อเดินข้ามแผ่นกระดาษปิดผนึก จ้าวฉงอีระวังตัวขึ้นมาเล็กน้อย นางโยนแกนพุทราในมือทิ้งไป แทรกซึมเข้าสู่ส่วนลึกของภูเขา

ตอนผ่านเส้นทางบนเขาที่คับแคบ คลำทางมาถึงรังโจรแห่งนั้นก็พบว่าที่นั่นว่างเปล่าดังคาด หลงเหลือเพียงเศษซากความเละเทะยุ่งเหยิง ทั้งยังมีคราบเลือดประปรายประหนึ่งผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมา จ้าวฉงอีเดินจนเริ่มเหนื่อยล้าบ้างแล้ว นางทรุดตัวลงนั่งพร้อมยกมือเท้าคาง สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึมจริงจัง…

เสี่ยวหม่านจะไปที่ใดได้นะ ยังอยู่หรือตายแล้ว?

จ้าวฉงอีกำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก นางจึงรีบลุกขึ้นไปซ่อนตัว

มีคนสองคนเดินเข้ามา เป็นเจ้าหน้าที่ทางการจากที่ว่าการ

“มีอะไรหรือไม่ เจออะไรเข้าแล้วใช่หรือไม่” มีคนหนึ่งเอ่ยปากถาม

“เมื่อครู่ข้าเหมือนเห็นมีคนเข้ามา…” อีกคนตอบกลับ

คนทั้งสองสำรวจสอดส่องไปทั่วแต่ก็ไม่พบสิ่งใด

“เจ้าคงตื่นตูมมากเกินไปกระมัง”

“อืม คงจะตาฝาดไป…”

“ถึงจะบอกว่าหนีไปได้คนหนึ่ง แต่ที่นี่ถูกกวาดล้างไม่เหลือ ในเมื่อคนผู้นั้นหนีออกไปแล้วคงไม่มีทางกลับมาติดกับดักเองอีกหรอก…เช่นนี้จะต้องโง่เง่าเพียงใดกัน”

พวกเขาพูดคุยกันพลางเดินออกไป

จ้าวฉงอีที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดลูบจมูกป้อยๆ รู้สึกคล้ายว่าตนเองถูกเอ่ยถึง ใช่แล้ว นางก็คือเจ้าโง่ที่เข้ามาติดกับเองคนนั้น…

รอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าด้านนอกเดินห่างออกไป จ้าวฉงอีกำลังเตรียมตัวไปจากที่นี่ ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่าใต้เท้าเหมือนเหยียบอะไรบางอย่างอยู่ ยังไม่ทันส่งเสียงร้องนางก็รีบยกเท้าขึ้นมองดูแวบหนึ่ง ที่แท้เป็นลูกธนูหนึ่งดอก นางจึงเก็บมันขึ้นมาแล้วเดินออกไปอย่างช้าๆ

หลังออกมาจากรังโจรแล้วจ้าวฉงอีเดินลงเขาอย่างเชื่องช้าพร้อมหมุนเล่นลูกธนูในมือที่ก่อนหน้านี้เก็บมาได้ดอกนั้น ระหว่างใคร่ครวญหาร่องรอยของซูเสี่ยวหม่านนางก็พลันหยุดชะงักไปกะทันหัน หลุบตาลงมองลูกธนูในมือแล้วค่อยๆ ลูบคลำก้านธนู

เมื่อครู่ไม่ใช่ภาพลวงตา ตรงตำแหน่งหนึ่งในสามของลูกธนูมีรอยปุ่มนูนขนาดเล็กจุดหนึ่ง พอออกแรงกดเบาๆ ก็เกิดเสียงดัง ‘กริ๊ก’ ขึ้นมา หัวธนูกับก้านธนูถูกถอดออกจากกันอย่างสมบูรณ์ ความเกียจคร้านบนใบหน้าของนางหายวับไปทันที

จ้าวฉงอีหลุบตาลงคลำไปที่ปีกธนูอีกครั้ง เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ปีกธนูก็สามารถถอดออกไปได้

นางจ้องมองธนูที่ถูกถอดเป็นสามส่วนด้วยสีหน้าเย็นชา ธนูชนิดนี้นางเคยเห็นในสนามรบมาก่อน มันเป็นอาวุธที่กองทัพอันเกรียงไกรกองหนึ่งของแคว้นหนานเซียงจะได้รับจัดสรรไว้ใช้งานกันถ้วนหน้า เนื่องจากหัวธนูค่อนข้างพิเศษ มูลค่าในการสร้างสูงลิ่ว เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของกองทัพจึงออกแบบลักษณะที่สามารถถอดออกไปได้เช่นนี้ จะได้นำกลับไปใช้งานซ้ำได้สะดวก

ทว่าโจรผู้ร้ายที่อยู่กลางเขาลูกนี้จะเกี่ยวพันกับแคว้นหนานเซียงได้อย่างไร…

จ้าวฉงอีคิดทบทวน ก่อนจะหมุนกายย้อนกลับไปใหม่ ปรากฏว่ามองเห็นเจ้าหน้าที่ทางการจำนวนมากเดินขึ้นมาตามเส้นทางบนภูเขาแต่ไกลๆ นางจำต้องหลบเลี่ยง

จนกระทั่งพวกเขาเดินผ่านไปแล้วนางก็ไม่ได้วิ่งกลับไปที่รังโจรอีก แต่เก็บธนูที่ถอดเป็นสามส่วนได้ดอกนั้นขึ้นมาแล้วหันหลังเดินลงเขา ระหว่างทางนางอาศัยแสงจันทร์เหนือศีรษะมองดูพื้นดิน บนพื้นดินมีรอยเกือกม้าสับสนวุ่นวาย ช่วงหลายวันนี้คนที่ขึ้นลงเขามีค่อนข้างมาก เส้นทางบนเขาจึงมีรอยเกือกม้าปะปนเต็มไปหมด

นางเพ่งพินิจอย่างละเอียดครู่ใหญ่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ จึงเดินตามรอยเกือกม้าลงจากภูเขา ขณะใกล้จะถึงบริเวณตีนเขานางพลันหยุดชะงักฝีเท้าลง สังเกตเห็นรอยเกือกม้าบางส่วนที่พิเศษกว่ารอยอื่นข้างๆ กองใบไม้แห้ง

จ้าวฉงอีเดินเข้าไปใกล้แล้วย่อกายลง ยื่นมือปัดใบไม้แห้งออก ข้างใต้นั้นมีรอยเกือกม้าชัดเจนทีเดียว ตำแหน่งตรงกลางของร่องรอยมีเครื่องหมายจันทร์เสี้ยวเลือนราง

นั่นเป็นร่องรอยที่เหลืออยู่จากส่วนร่องของตะปูบนเกือกม้า เป็นสิ่งที่มีเฉพาะบนเหล็กเกือกม้าชนิดหนึ่งของแคว้นหนานเซียง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: