บทที่ 5 พฤติกรรมอย่างลูกนก
ตอนที่จ้าวฉงอีกลับมาถึงตำบลตงหลีพร้อมเรื่องหนักอกหนักใจ บนท้องฟ้ายังไม่ปรากฏแสงสีขาว ภายในบ้านสกุลซูบรรยากาศเงียบสงบ ทุกคนต่างยังนอนหลับสนิท
เมื่อเดินผ่านเรือนหน้า จ้าวฉงอีคิดถึงบุรุษหน้าตาหล่อเหลาเกินเหตุทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งถูกส่งตัวมาช่วงพลบค่ำของเมื่อวานขึ้นมาได้ ยามนั้นเจ้าหน้าที่ที่ว่าการที่พาเขามาส่งดูเหมือนจะบอกว่านายพรานไปเจอเขาบนภูเขาสินะ?
บังเอิญปานนั้นเชียว…เป็นบนภูเขาเช่นกันหรือ
เวลานี้จ้าวฉงอีค่อนข้างอ่อนไหวกับคำว่า ‘ภูเขา’ นางครุ่นคิดแล้วเดินย่องเข้าไปในเรือนหน้า
บุรุษผู้นั้นถูกหามมานอนพักอยู่ในห้องหนึ่งของเรือนหน้า ศิษย์ฝึกหัดตัวน้อยที่เฝ้ายามตอนกลางคืนอยู่ด้านนอกหลับสนิท ทั้งยังกรนเสียงดังครอกๆ ไม่รู้ตัวสักนิดเลยว่ามีคนเดินเข้ามา
จ้าวฉงอีเดินเข้าไปในห้องอย่างใจเย็นยิ่ง จากนั้นก็หลุบสายตามองสำรวจบุรุษที่ยังหลับสนิท
คราบสกปรกบนใบหน้าเขาถูกเช็ดล้างจนสะอาดแล้ว เผยให้เห็นรูปลักษณ์ดุจภาพวาด ขนตาดกดำทอดตัวเป็นเงาใต้ดวงตา ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าไร้สีเลือดนั้นดูเย็นเยียบยิ่งกว่าหิมะจนไม่อาจละสายตา สันจมูกโด่งตรงดูดุดัน แผ่ความรู้สึกว่าคงอยู่ร่วมกันได้ยาก…ทว่าริมฝีปากที่ค่อนข้างอวบอิ่มกลับลบเลือนความรู้สึกรุนแรงนี้ไปได้อย่างน่าอัศจรรย์
นับว่าเป็นใบหน้าที่ติดตรึงอยู่ ณ ส่วนลึกในใจจ้าวฉงอีเลยทีเดียว!
ทว่าใบหน้าที่งดงามเช่นนี้ไม่รู้ว่าถูกใครกรีดเป็นรอยเสียได้ เมื่อเห็นบาดแผลที่ยังไม่ตกสะเก็ดบนแก้มข้างซ้ายของเขา จ้าวฉงอีก็รู้สึกปวดใจขึ้นมานิดหน่อย…
นี่มันฝีมือไอ้คนเลวหน้าไหนกันแน่ ลงมือโหดร้ายกับใบหน้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
ลุ่มหลงอยู่กับรูปโฉมอันหล่อเหลาประเดี๋ยวเดียว จ้าวฉงอีก็ได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมว่าจุดประสงค์ที่ตนเองมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่เพราะต้องการตรวจสอบว่าคนผู้นี้น่าสงสัยหรือไม่ นางค่อยๆ เลิกผ้าห่มขึ้นแล้วกวาดสายตามองแวบหนึ่ง มีคนมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาเรียบร้อยแล้ว เวลานี้เขาสวมชุดนอนค่อนข้างเก่าซึ่งคงจะเป็นของท่านพ่อซู นางเหลียวมองไปรอบๆ หาเสื้อผ้าที่ถูกเปลี่ยนออกไปไม่พบจึงดึงสายตากลับมาอยู่บนร่างเขาอีกครั้ง
นางลังเลชั่วขณะก็ก้มตัวลงเตรียมถอดเสื้อผ้าของเขาออก ตั้งใจว่าจะดูอาการบาดเจ็บสักหน่อย ถ้าหากเป็นบาดแผลจากอาวุธที่ค่อนข้างพิเศษก็ยังพอมองเห็นเบาะแสบางอย่างได้ คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะคลายคอเสื้อของเขาออก จู่ๆ คนที่นอนหลับสนิทมาตลอดกลับขยับตัวเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้น
ดวงตาสองคู่สบประสาน
“…” พอจ้องมองดวงตาสีดำเข้มดุจน้ำหมึกคู่นั้น จ้าวฉงอีก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าท่าทางของตนเองดูเหมือนจะ…ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก
บุรุษที่นอนอยู่บนเตียงคอเสื้อแหวกกว้าง เผยให้เห็นช่วงกระดูกไหปลาร้าที่งดงามประณีต มีเสน่ห์เย้ายวนใจเหลือเกิน ส่วนมือของนางกำลังสอดเข้าไปในคอเสื้อของเขา…ดูเหมือนคนเจ้าชู้มักมากฉวยโอกาสยามหญิงงามหลับใหลคิดกระทำเรื่องชั่วช้าเลยน่ะสิ!
“ท่าน…” นางอ้าปากเตรียมเอ่ยวาจา
คำกล่าวว่า ‘ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ใช่คนเลว’ ยังไม่ทันจบประโยค บุรุษบนเตียงนอนผู้นั้นก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง สองมือกระชับปิดคอเสื้อที่แหวกเปิด เขยิบตัวหนีไปชิดขอบเตียงโดยพลัน…
“ท่านระวัง…” จ้าวฉงอีเห็นเขาโงนเงนจนใกล้จะร่วงลงจากขอบเตียงจึงรีบเดินเข้าไปหาเพื่อฉุดเขาเอาไว้
ไม่คาดคิดว่าเขาจะมือเท้าปวกเปียกไม่มีเรี่ยวแรงสักนิด พอถูกจ้าวฉงอีฉุดเช่นนี้ก็โผเข้าสู่อ้อมกอดนางไปทั้งตัว
คนทั้งสองต่างตัวแข็งทื่อไปชั่วอึดใจ
จ้าวฉงอีรีบร้อนผลักเขาออกห่างเล็กน้อย เห็นร่างกายเขาแลดูอ่อนแอนักก็ช่วยพยุงเขาดีๆ อีกรอบหนึ่ง
“ท่าน…รู้สึกอย่างไรบ้าง” จ้าวฉงอีกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยถาม
บุรุษผู้นั้นเม้มริมฝีปากไม่ตอบอะไร เพียงมองนางอย่างระแวดระวังอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามยามนี้ใบหน้าของเขาขาวซีด กลีบปากแห้งตึง ท่าทางเหมือนถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมชัดเจน มองดูแล้ว…น่ารังแกอยู่นิดหน่อย
“…อา ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ใช่คนเลว” จ้าวฉงอีเอ่ยปลอบขวัญเขาอย่างร้อนรน จากนั้นก็สังเกตเห็นเขาหลุบตาลง สายตาหยุดอยู่ที่มือของนางซึ่งวางบนหัวไหล่เขา…สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือคอเสื้อเขาลื่นหลุดออก ด้วยเหตุนี้มือของนางจึงลูบอยู่บนหัวไหล่ขาวผ่องและเนียนละเอียดโดยตรง การกระทำเช่นนี้รวมถึงคำพูดของนางราวกับจะบอกว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง* ชัดๆ!
ขณะคิดจะเก็บมือกลับมาอย่างลนลาน จู่ๆ นางกลับสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่สูงผิดปกติเล็กน้อยจากฝ่ามือ นางจึงเงยหน้ากล่าวด้วยความจริงใจเต็มเปี่ยม
“คุณชาย ท่านอย่าเข้าใจผิด ที่นี่เป็นโรงแพทย์ ท่านได้รับบาดเจ็บ ข้าเห็นท่านกำลังตัวร้อน จึงเตรียมจะช่วยระบายความร้อนให้”
นัยน์ตาของบุรุษตรงหน้าเป็นประกาย ขยับริมฝีปากเอ่ยออกมาคำหนึ่ง “…ขอบคุณมาก”
เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย
นางพลันรู้สึกผิดต่อการกระทำของตนเองนิดหน่อย…
จ้าวฉงอีที่มโนธรรมตื่นรู้กะทันหันช่วยดึงกระชับคอเสื้อให้เขา จากนั้นก็หันกลับไปรินน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งให้ พอเห็นเขาคล้ายไม่มีเรี่ยวแรงจะยกมือ นางยังยกถ้วยน้ำชาป้อนให้ถึงริมฝีปากอย่างเอาใจใส่ยิ่ง
บุรุษผู้นั้นหลุบตาลงและชะงักไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะดื่มน้ำชาจากมือของนาง
ต้องบอกเลยว่าคนงามกระทั่งยามดื่มน้ำยังเจริญหูเจริญตา!
“ตอนนี้ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง ยังไม่สบายตรงที่ใดอีกหรือไม่” จ้าวฉงอีเห็นเขาดื่มน้ำอย่างเชื่อฟังก็ถามเขาเพิ่มเติมด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“ปวดศีรษะมาก เนื้อตัวก็ปวด…แล้วก็ยังไม่ค่อยมีแรง” เขาเอ่ยอย่างอ่อนแรงเล็กน้อย เพียงเพราะการเคลื่อนไหวต่อเนื่องเมื่อครู่นี้ บนหน้าผากก็มีเหงื่อผุดออกมาแล้ว เส้นผมจึงเปียกชื้นไปด้วย ยิ่งดูบอบบางไร้กำลังมากขึ้นไปอีก
จ้าวฉงอีรู้สึกสงสารจับใจขึ้นมาในบัดดล จึงกล่าวอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ว่า “บนร่างท่านมีแต่บาดแผล ตกลงใครทำร้ายท่านกันแน่ อำมหิตเกินไปแล้ว!”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ช้อนตามองนางแวบหนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ ก็หลุดยิ้มออกมา
เขามีรูปลักษณ์ภายนอกใกล้เคียงกับคำว่าไร้ที่ติ เมื่อใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดจะเผยความเย็นชาที่ผลักไสผู้คนให้ไกลห่างออกไปพันหลี่* แต่เวลาเขายิ้มแย้มขึ้นมากลับทำให้คนราวกับอาบไล้ด้วยสายลมฤดูใบไม้ผลิ หัวใจหลอมละลาย…
หัวใจจ้าวฉงอีก็หลอมละลายเช่นกัน…ชั่วพริบตาเดียวคล้ายละสายตาออกไปไม่ได้แล้ว
“ข้าจำไม่ได้แล้ว” เขาตอบ
“อะไรนะ” จ้าวฉงอีได้สติกลับมาโดยพลัน “ท่านจำไม่ได้แล้วว่าถูกใครทำร้าย?”
“อืม” เขาส่งเสียงตอบรับ ดูท่าทางหดหู่เล็กน้อย
ความสงสัยในใจจ้าวฉงอีหายวับไปทันที เอ่ยปากปลอบใจว่า “ไม่ต้องห่วง เอาไว้ข้าจะไปถามที่ว่าการดู หัวหน้ามือปราบหลี่จากที่ว่าการอำเภอเป็นคนส่งตัวท่านมา บอกว่านายพรานเจอท่านบนเขา ตอนนั้นท่านบาดเจ็บสาหัสทั้งยังสลบไม่ได้สติ จึงส่งท่านมาที่โรงแพทย์ก่อน”
“บนเขา?” ดูเหมือนเขาจะลองคิดทบทวน จากนั้นก็ก้มหน้าเอามือกุมศีรษะอย่างเจ็บปวด “ข้า…นึกไม่ออกแล้ว…”
“ถ้าอย่างนั้นท่านยังจำอะไรได้บ้างหรือไม่” จ้าวฉงอีหยั่งเชิงถามต่ออย่างอดทน
สำหรับคนงาม นางมีความอดทนเสมอ
ใครจะรู้ว่าเขากลับส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้า…จำอะไรไม่ได้แล้ว”
ดวงตาจ้าวฉงอีเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย หมายความว่าอย่างไร สูญเสียความทรงจำหรือ
“แล้วท่านยังจำได้หรือไม่ว่าตนเองเป็นใคร บ้านช่องอยู่ที่ใด” นางถามต่อ
บุรุษผู้นั้นเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้าอย่างเชื่องช้าท่ามกลางสายตาเป็นกังวลของจ้าวฉงอี “…จำไม่ได้สักอย่าง”
…สูญเสียความทรงจำจริงๆ หรือนี่
จ้าวฉงอีเห็นใบหน้าเขาฉายแววหดหู่และสับสน หัวใจรักหยกถนอมบุปผาพลันผุดขึ้นมา “ถ้ายังนึกอะไรไม่ออกก็อย่าเพิ่งไปนึกเลย รักษาบาดแผลบนร่างกายให้หายก่อนเถอะ ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นเดี๋ยวก็นึกออกขึ้นมาเอง ข้าจะพยุงท่านนอนลงก่อนนะ”
นางกล่าวจบก็พยุงชายหนุ่มนอนลงอย่างระมัดระวัง
บุรุษผู้นั้นหลุบตาลงแล้วค่อยๆ เอนกายตามการพยุงของนางอย่างเหนื่อยอ่อน ทว่าดูเหมือนจะกระเทือนถึงบาดแผลโดยไม่ทันระวัง เขาสะดุ้งเบาๆ ราวกับเกิดการตอบสนองสะท้อนกลับ พอมือของเขาออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ดึงจ้าวฉงอีที่ไม่ได้ตั้งตัวลงมาด้วย
จ้าวฉงอีพอถูกเขาฉุดก็ล้มทับบนตัวเขาทันที
“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่!” ในตอนนี้เองเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวด้วยความตกใจปนสงสัยของท่านพ่อซูก็ดังมาจากนอกประตู
ประกายเย็นเยียบในดวงตาบุรุษผู้นั้นเลือนหายวูบ มือที่กำลังยกป้อแป้ไปตรงท้ายทอยนางชะงักเบาๆ แล้วทิ้งลงข้างตัวอย่างสิ้นแรง
จ้าวฉงอีรีบร้อนลุกขึ้น หันหน้ากลับไปมองก็เห็นท่านพ่อซูกำลังยืนโมโหเดือดดาลอยู่หน้าประตู
“ข้าแค่จะพยุงเขานอนลง ไม่ทันระวังเลยเท้าลื่นนิดหน่อย” จ้าวฉงอีย้อนคิดถึงท่าทางที่ย่ำแย่ไปสักหน่อยเมื่อครู่ จึงรีบอธิบายออกไปประโยคหนึ่ง เห็นสีหน้าท่านพ่อซูยังไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไรนักก็กล่าวเสริมว่า “เขาตัวค่อนข้างร้อนเจ้าค่ะ”
พอท่านพ่อซูได้ยินดังนั้น สุดท้ายแล้วผู้เป็นหมอมีหัวใจดั่งบิดามารดรก็มองข้ามความโกรธไปชั่วคราว เร่งเดินเข้ามาในห้องแล้วช่วยจับชีพจรให้บุรุษที่นอนอยู่บนเตียง
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” จ้าวฉงอีถาม “เมื่อครู่เขาบอกว่าปวดศีรษะมาก ตามเนื้อตัวก็ปวด ทั้งยังไม่ค่อยมีแรง”
“ก็ทั้งถูกดาบฟันทั้งถูกพิษ ฟื้นขึ้นมาได้ก็เก่งแล้ว” ท่านพ่อซูตอบอย่างหงุดหงิด
“ถูกพิษ?” จ้าวฉงอีตะลึงงัน “เขายังถูกพิษด้วยหรือ”
“อืม ไม่ใช่พิษหายากอะไรหรอก หลังจากถูกพิษร่างกายจะอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ในตรอกเริงรมย์การสั่งสอนสตรีที่ไม่เชื่อฟัง…แค่กๆๆ…” เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองพูดสิ่งที่ไม่สมควรต่อหน้าบุตรสาว ท่านพ่อซูก็รีบหยุดชะงักกลางคันแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เอาเป็นว่าการถอนพิษยุ่งยากเล็กน้อย ไม่ถึงสิบวันหรือครึ่งเดือนคงขจัดออกไม่หมดหรอก”
จ้าวฉงอีย่อมฟังเข้าใจแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางเติบโตมาในค่ายโจร ภายหลังเป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่มองนางเป็นสตรีคนหนึ่ง คำพูดหยาบคายลามกที่สมควรและไม่สมควรฟังล้วนเคยผ่านหูมาหมด นางเหลือบมองบุรุษที่ใบหน้าขาวซีดหลุบตาลงไม่เอ่ยคำใดตรงหน้าอย่างเห็นใจอยู่บ้าง…
พิษชนิดนี้ค่อนข้างชั่วร้ายจริงๆ ทั้งยังดูหมิ่นกันเกินไปแล้ว
“ว่าแต่เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ท่านพ่อซูขมวดคิ้วถาม
เพราะรู้อยู่แล้วว่าซูเสี่ยวหม่านติดตามท่านพ่อซูร่ำเรียนวิชาแพทย์และคอยช่วยงานในโรงแพทย์มาตลอด จ้าวฉงอีจึงตอบอย่างใจเย็น
“เมื่อวานข้าเห็นคุณชายท่านนี้ได้รับบาดเจ็บหนัก เป็นห่วงว่าตกกลางคืนเขาจะตัวร้อน ก็เลยมาดูสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ศิษย์ฝึกหัดตัวน้อยที่ตามท่านพ่อซูเข้ามาด้วยเผยสีหน้าละอายใจและเลื่อมใสออกมาทันใด “สมกับเป็นศิษย์พี่หญิง อาจารย์มอบหมายให้ข้าเฝ้ายามกลางคืน ข้ากลับเผลอหลับไปเสียได้…”
ท่านพ่อซูเหลือบมองศิษย์ฝึกหัดตัวน้อยที่ยืนคอตกก่อนเอ่ยว่า “ไปคัดตำรา ‘จินกุ้ย’* สิบจบ”
ศิษย์ฝึกหัดตัวน้อยรับคำด้วยสีหน้าระทมทุกข์ “ขอรับ”
ท่านพ่อซูหันกลับไปมองจ้าวฉงอี หัวคิ้วขมวดมุ่น “เจ้าบาดเจ็บน้อยกว่าเขาหรือไร ต้องให้เจ้ามากังวลเช่นนี้หรือ กลับห้องไปพักผ่อนเลย!”
จ้าวฉงอีตอบรับอย่างเชื่อฟัง หมุนกายเตรียมเดินจากไป ปรากฏว่าชายเสื้อกลับถูกดึงไว้ นางหยุดชะงักในพริบตา มองไปทางบุรุษที่นอนอยู่บนเตียง มือของเขากำลังดึงชายเสื้อของนาง เนื่องจากถูกพิษ พละกำลังของเขาจึงแทบไม่เหลืออยู่เลย พอมองใบหน้านั้นของเขาแล้วจ้าวฉงอีก็ไม่อาจมองข้ามไปได้ จึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรไป”
บุรุษผู้นั้นกะพริบตาช้าๆ “เจ้าก็ได้รับบาดเจ็บหรือ”
จ้าวฉงอีตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ไม่คาดคิดว่าตัวเขาเองบาดเจ็บถึงเพียงนี้กลับยังเป็นห่วงนางด้วย จึงตอบกลับด้วยความซาบซึ้งใจเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ท่านพักผ่อนให้ดี เอาไว้ข้าจะมาหาท่านอีก”
บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น?
เมื่อนึกถึงตนเองที่ยามนี้บาดเจ็บสาหัสจนขยับตัวไม่ได้ ทั้งยังอยู่ใต้การควบคุมของผู้อื่น บุรุษที่รู้สึกว่าถูกกล่าวกระทบกระเทียบพลันเส้นเลือดบนหน้าผากกระตุกเล็กน้อย
จ้าวฉงอีเห็นอีกฝ่ายยังไม่ยอมปล่อยมือก็ก้มตัวลงมองอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยด้วยท่าทางค่อนข้างแข็งทื่อ “เจ้า…จะอยู่เป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่”
จ้าวฉงอีนิ่งอึ้งไป
“เหลวไหล!” จ้าวฉงอียังไม่ทันเอ่ยปาก ท่านพ่อซูที่อยู่ข้างๆ ก็มีโทสะแล้ว “เสี่ยวหม่าน กลับห้องไป!”
เสี่ยวหม่าน? บุรุษที่นอนอยู่บนเตียงนัยน์ตาฉายแววล้ำลึก แฝงด้วยความสับสนเบาบาง ตาเฒ่าผู้นี้เหตุใดถึงเรียกนางว่าเสี่ยวหม่าน
จ้าวฉงอีกลับแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วย “คุณชายผู้นี้สูญเสียความทรงจำแล้ว อยู่ตัวคนเดียวในสถานที่ไม่คุ้นเคยคงอดหวาดกลัวไม่ได้ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเขาสักพักแล้วกันเจ้าค่ะ”
“สูญเสียความทรงจำ?” ท่านพ่อซูตกตะลึงแล้วเข้าไปจับชีพจรให้เขาอีกรอบ “แปลกนัก…” เขาเอ่ยพึมพำทั้งยังตรวจดูศีรษะของคนตรงหน้า “บนศีรษะไม่มีบาดแผลเลย ไม่น่าจะใช่เพราะศีรษะกระแทกนะ…”
บุรุษผู้นั้นเม้มริมฝีปาก มืออีกข้างเริ่มกำแน่นกว่าเดิม
“รู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด” จ้าวฉงอีถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดเล็กน้อย
ท่านพ่อซูส่ายหน้า “ศีรษะมนุษย์มีโครงสร้างซับซ้อนที่สุดแล้ว คลาดเคลื่อนเล็กน้อยก็สามารถผิดพลาดใหญ่หลวงได้ ตอนนี้ยังหาสาเหตุไม่พบ รอดูต่อไปอีกหน่อยแล้วกัน…” ท่านพ่อซูกล่าวก่อนจะหยุดชะงักกลางคัน หันไปถลึงตาใส่นาง “เหตุใดเจ้ายังไม่กลับห้องไปอีก!”
“ข้าต้องอยู่เป็นเพื่อนเขา” จ้าวฉงอีตอบอย่างมีเหตุมีผล
“อย่าวุ่นวาย หญิงสาวอย่างเจ้ามาอยู่ที่นี่มันใช้ได้ที่ใดกัน ชายหญิงไม่ควรสัมผัสชิดใกล้ รีบกลับไปเสีย!” ท่านพ่อซูจ้องนางเขม็ง
“ในสายตาหมอไม่แบ่งแยกชายหญิง” จ้าวฉงอีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง แม้นางจะไม่ใช่หมอก็ตาม แต่เสี่ยวจิ่ววิชาแพทย์ยอดเยี่ยมมาก คำพูดที่เสี่ยวจิ่วพูดติดปากอยู่บ่อยๆ ก็คือประโยคนี้
ท่านพ่อซูสะอึกไปเล็กน้อย บุตรสาวที่แต่ก่อนน่ารักและเชื่อฟังที่สุด จู่ๆ ก็หันมาต่อต้านกันแล้ว? เขาปรายตามองใบหน้าโดดเด่นเหนือธรรมดาของบุรุษที่นอนอยู่บนเตียงอย่างระแวงแล้วก็เข้าใจขึ้นมาในบัดดล!
ท่านพ่อซูที่นึกว่าตนเองเข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้งยิ่งไม่มีทางปล่อยให้บุตรสาวรั้งอยู่ตามลำพังแล้ว เขาขนคิ้วกระดิกพลางเอ่ยขึ้น
“บาดแผลบนตัวเจ้ายังไม่หายดี อีกอย่างเขาสูญเสียความทรงจำแล้ว เจ้าอยู่ต่อจะมีประโยชน์อะไร เขารู้จักเจ้าหรือ”
“ลูกนกตอนเพิ่งเกิดจะถือว่าสิ่งแรกที่มองเห็นเป็นแม่ของตนเอง ข้าเป็นคนแรกที่เขามองเห็นตอนลืมตาขึ้นมา ดังนั้นเขาคงไม่อยากแยกจากข้าสักเท่าไรกระมัง” จ้าวฉงอีกล่าวด้วยท่าทางมีเหตุมีผล
“…” ท่านพ่อซูนิ่งเงียบเหมือนคนใบ้
“…” บุรุษที่นอนอยู่บนเตียงมือสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม ระงับความรู้สึกอยากสังหารคนเอาไว้อย่างยากลำบาก
แน่นอนว่าสุดท้ายจ้าวฉงอีก็ตระหนักดีว่ายามอาศัยใต้ชายคาผู้อื่นจำต้องก้มศีรษะ รวมถึงความน่าเกรงขามที่มาจากบิดา ต่อให้เป็นแม่ทัพใหญ่มีบารมีน่าครั่นคร้าม แต่ในขณะที่นางยังคงอยู่ในฐานะซูเสี่ยวหม่านก็ต้องเป็นบุตรสาวที่เชื่อฟังอย่างเลี่ยงไม่ได้…
ก่อนจะเดินออกจากห้องไปจ้าวฉงอียังส่งสายตาปลอบโยนให้บุรุษบนเตียงนอน บอกใบ้ให้รู้ว่านางจะมาหาเขาอีก ท่ามกลางการจับจ้องด้วยแววตาคมกริบของบิดา
“…” บุรุษผู้นั้นมองนางจากไปเงียบๆ
ท่านพ่อซูมองบุตรสาวจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ด้วยสีหน้าซับซ้อน ลอบทอดถอนใจประโยคหนึ่งว่าบุตรสาวโตแล้วไม่อาจรั้งไว้
เมื่อหันหน้ากลับไปมองคนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียง สายตาก็เผยความระแวดระวังเต็มเปี่ยม ประหนึ่งว่ามองเห็นภัยพิบัติกระนั้น เขาเตรียมจะเอ่ยตักเตือน แต่พอเห็นสภาพใบหน้าขาวซีดร่างกายอ่อนปวกเปียกของภัยพิบัติผู้นี้ก็รู้สึกว่าการกระทำของตนเองเหมือนคนชั่วไม่มีผิด สุดท้ายจึงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยความคับข้องใจเหลือประมาณ
เดินไปถึงหน้าประตูยังสั่งกำชับศิษย์ฝึกหัดตัวน้อย “ไปต้มยาตามใบสั่งยาที่ข้าเขียนเมื่อวานเสีย ก่อนดื่มยาให้เขากินโจ๊กรองท้องสักหน่อย อย่าปล่อยให้ท้องว่างล่ะ”
ศิษย์ฝึกหัดตัวน้อยขานรับอย่างนอบน้อม
บุรุษที่อยู่ภายในห้องแม้ร่างกายอ่อนแอ ทว่าโสตประสาทกลับยังเฉียบคม เขาหัวเราะเบาๆ
คนผู้นี้นับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง
ทว่าบุตรสาวของเขานั้น…
บุรุษผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดถึงตอนตนเองเพิ่งฟื้นคืนสติเมื่อครู่ ทันทีที่ลืมตาก็เห็นหญิงสาวรูปโฉมงดงามที่กำลัง ‘ดูแล’ ตนเองจ้องมองมาด้วยสีหน้าขัดเขินทำอะไรไม่ถูก แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่านั้นคือ…หญิงสาวผู้นี้มีใบหน้าดุจเดียวกับแม่ทัพหญิงจ้าวฉงอี!
สีหน้าของบุรุษผู้นั้นมืดมนขึ้นเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าจ้าวฉงอีเคยเห็นเขาหรือไม่ เขากลับเคยเห็นหน้านางจากที่ไกลๆ ครั้งหนึ่ง
วันนั้นนางได้รับชัยชนะกลับมา ทุกตรอกในเมืองหลวงล้วนว่างเปล่า ผู้คนพากันไปต้อนรับแม่ทัพจ้าวเคลื่อนทัพกลับมา นางขี่ม้าศึกสีน้ำตาลแดงดั่งเปลวเพลิง พร้อมผูกดาบศึก ‘คุนอู๋’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวไว้บนหลัง ยิ้มแย้มโบกมือทักทายไปตลอดทาง ดึงดูดสายตาเลื่อมใสชื่นชมของคนหนุ่มสาวกับถุงหอมปักลายและผ้าเช็ดหน้ามานับไม่ถ้วน…ยังมีบุรุษโยนพัดพับไปให้ด้วยซ้ำ ช่างคึกคักมีชีวิตชีวา มีหน้ามีตาอย่างที่สุดโดยแท้
ในตอนนั้นเขายืนอยู่บนชั้นสองของหอตำราติดกับถนนกำลังจัดการธุระ จึงได้มองดูนางจากระยะไกล
มาพบหน้ากันอีกครั้งก็คือการต่อสู้อันดุเดือดบนหน้าผาในคืนนั้น เขาได้เปิดหูเปิดตาเห็นท่วงทีสง่างามของแม่ทัพหญิงผู้นั้นแล้ว บาดแผลบนร่างกว่าครึ่งในเวลานี้ต้องขอบคุณนางที่มอบให้
…สรุปว่านางจำข้าได้หรือไม่
ยังมีสายตาก่อนเดินออกไปนั่นอีก มันหมายความว่าอย่างไร บอกใบ้ว่านางจะมาหาข้าอีกใช่หรือไม่
ยามนี้ผู้อื่นมีอำนาจชี้เป็นตาย เขาเป็นแค่เนื้อบนเขียง โจวเวินหรานที่เผชิญคลื่นใหญ่ลมแรงมาจนชินชาตัดสินใจว่าจะนิ่งเฉยรอดูสถานการณ์ ศัตรูไม่ขยับเขยื้อนเขาไม่เคลื่อนไหว ถ้าหากศัตรูขยับ…เขาค่อยพลิกแพลงรับมือตามสถานการณ์เอาแล้วกัน
เขายังรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่เมื่อครู่ตาเฒ่านั่นมาถึงประจวบเหมาะเกินไป มิเช่นนั้นฉวยจังหวะขณะอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวก็มีโอกาสโจมตีสำเร็จในคราวเดียวได้ถึงแปดส่วน
วันนี้เกรงว่าคงหาโอกาสลงมืออีกได้ยากแล้ว
ว่าแต่…เหตุใดตาเฒ่าผู้นั้นถึงเรียกนางว่าเสี่ยวหม่าน
จ้าวฉงอีมีบิดาเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดกัน นางมิใช่เติบโตมาในค่ายลั่วเยี่ยนโดยไร้บิดามารดาหรอกหรือ
เขาเคยได้ยินประวัติความเป็นมาของแม่ทัพจ้าวผู้นี้ กล่าวกันว่าเป็นหญิงสาวกำพร้าทั้งบิดาและมารดา เมื่อครั้งเยาว์วัยยอมรับหัวหน้าค่ายลั่วเยี่ยนจ้าวอวิ๋นจู่เป็นบิดาบุญธรรมเพื่อให้มีอาหารประทังชีวิต ปรากฏว่านางมีแก่นกระดูกน่าอัศจรรย์ยิ่งและพรสวรรค์เลิศล้ำเหนือคนทั่วไป ทักษะวิทยายุทธ์ที่มีเรียกได้ว่าเป็นสีครามเกิดจากต้นคราม แต่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม* จ้าวอวิ๋นจู่ให้ความสำคัญกับนางเต็มที่ ก่อนสิ้นลมไม่ได้มอบค่ายลั่วเยี่ยนให้บุตรสาวแท้ๆ ของตนเองอย่างจ้าวหนานชิว กลับมอบให้บุตรสาวบุญธรรมอย่างจ้าวฉงอี ส่วนจ้าวฉงอีก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง นางนำกำลังคนค่ายลั่วเยี่ยนไปขอพึ่งบารมีฝ่าบาทที่ตอนนั้นยังไม่ขึ้นครองบัลลังก์ สยบความวุ่นวายในบ้านเมือง สร้างผลงานการรบอย่างเลื่องชื่อ ภายหลังฝ่าบาทได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้วก็มีราชโองการให้กวาดล้างเภทภัยโจรผู้ร้ายแต่ละท้องที่ ค่ายโจรน้อยใหญ่ถูกถอนรากถอนโคน ค่ายลั่วเยี่ยนในเวลานั้นกลับกลายเป็นกองทัพสกุลจ้าวของฝ่าบาท ช่างน่าเกรงขามหาใดเปรียบ
คืนนั้นเขาเห็นนางถูกลอบยิงธนูจนบาดเจ็บต่อหน้าต่อตา ตอนพลัดตกหน้าผากลับไม่อาจคว้าตัวนางได้ทันท่วงที เขายังอารมณ์เสียอยู่ไม่น้อย อย่างไรเสียฝ่าบาทก็มีรับสั่งมาว่าต้องจับเป็น ไม่อาจทำร้ายนางถึงแก่ชีวิต ผลสุดท้ายนางยังมีแรงกระโดดโลดเต้น เขากลับเจอแผนการชั่วของคนถ่อย ถูกพิษจนขยับไม่ได้และอยู่ใต้การควบคุมของผู้อื่น…
ผู้บัญชาการโจวคิดถึงตรงนี้ก็หลับตาลงเงียบๆ เขาต้องฟื้นฟูร่างกายสะสมกำลัง!
บทที่ 6 เด็กเกเร
ตอนจ้าวฉงอีเดินออกจากห้อง ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว นางยืดเส้นเอ็นและกระดูกเล็กน้อย จากนั้นก็เหลียวซ้ายแลขวา สังเกตเห็นเสื้อผ้ามีคราบเลือดเป็นด่างดวงกองอยู่ตรงมุมหนึ่งด้านข้าง นางจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นเสื้อผ้าสีเทาขะมุกขะมอม เมื่อลองยื่นมือออกไปสัมผัส เนื้อผ้านี้ไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่เปรอะเปื้อนคราบเลือดเต็มไปหมด ตรงช่วงหน้าอกหน้าท้อง บนหัวไหล่และบนแขนต่างถูกกรีดขาด อีกทั้งรอยขาดยังไม่ใช่เล็กๆ ด้วย มองแวบแรกก็รู้ว่าถูกอาวุธมีคมทำร้าย…จากเสื้อผ้าชุดนี้ก็สามารถคาดเดาได้ว่าเจ้าของเสื้อผ้าผ่านสถานการณ์เสี่ยงอันตรายเช่นไรมา
จ้าวฉงอีลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง คิดในใจว่าโลกนี้อันตรายยิ่ง ฝ่าบาทต้องแบกรับภาระหนักอึ้งและฝ่าฟันอีกยาวไกลจริงๆ
“เสี่ยวหม่าน เจ้ากำลังทำอะไร” ขณะกำลังถอนหายใจ จู่ๆ น้ำเสียงเย็นเยียบน่าขนลุกของบิดาก็ดังมาจากด้านหลัง
จ้าวฉงอีหิ้วเสื้อผ้าขึ้นมาแล้วหันกลับไปตามเสียงโดยไม่รู้ตัวก็มองเห็นใบหน้าดุร้ายเหมือนมารดาเลี้ยงใจยักษ์ของท่านพ่อซู…
“ข้า…” นางเผยอปากเล็กน้อย
“เจ้าทำตัวสำรวมหน่อย! หรือเจ้ายังจะซักเสื้อผ้าให้เจ้าหนุ่มนั่นด้วย?” ท่านพ่อซูเผยสีหน้าเดือดดาลเพราะความผิดหวัง
จ้าวฉงอีก้มศีรษะมองเสื้อผ้าที่ตนเองถืออยู่ในมือ ตระหนักได้แล้วว่าบิดาเข้าใจผิด นางลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ถ้าหากข้าบอกว่าข้าแค่ดูเฉยๆ ท่านจะเชื่อหรือไม่”
ท่านพ่อซูโกรธยิ่งกว่าเดิม “ข้าสอนเจ้าว่าอย่างไร! เป็นคนต้องกล้าทำกล้ารับสิ!”
“อ้อ…” จ้าวฉงอีล้มเลิกไม่คิดต่อต้าน
“ท่าทีเจ้านี่มันอะไร!”
“…” จ้าวฉงอีนิ่งเงียบไป นางก้มศีรษะลง “ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะสำรวมกิริยา ข้าไม่สามารถซักเสื้อผ้าให้ชายอื่นส่งเดชได้”
“…” ท่านพ่อซูสำลักเบาๆ รู้สึกอยู่ตลอดว่ามีตรงที่ใดไม่ถูกต้อง แต่ท่าทียามยอมรับผิดของนางก็ดีมาก ทำให้สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เพียงแค่กระแอมแล้วเอ่ยอย่างอัดอั้นอยู่บ้าง “รู้ก็ดีแล้ว รีบกลับห้องไปเสีย!”
จ้าวฉงอียอมกลับไปตามคำพูดของบิดา
นอกจากฮ่องเต้ก็ไม่มีใครกล้าตะโกนใส่นางเช่นนี้มานานแล้ว มันก็…ค่อนข้างแปลกใหม่ทีเดียว
พอเดินออกจากเรือนหน้าก็ได้กลิ่นหอมหวานของโจ๊กโชยมา คงเป็นยายเฒ่าเฝิงกำลังทำอาหารเช้าอยู่
ยายเฒ่าเฝิงเป็นหญิงม่ายคนหนึ่ง นางไร้บุตรชายและบุตรสาว อีกทั้งยังไร้ที่ไปด้วย จึงมาอยู่กับสกุลซูคอยทำหน้าที่เป็นบ่าวรับใช้
ในตำบลตงหลีสกุลซูก็ไม่นับว่าเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งร่ำรวย ถึงแม้จะเปิดโรงแพทย์ แต่เด็กน้อยในบ้านต้องเรียนหนังสือ นี่เป็นเรื่องที่ต้องการค่าใช้จ่ายก้อนโต ท่านพ่อซูยังเป็นคนดีที่ภายนอกดูเย็นชาแต่จิตใจอบอุ่น บ้านใครกำลังลำบากมาขอยาถามหาหมอก็ไม่ยอมเก็บเงินของผู้นั้น บางครั้งยังต้องจ่ายค่ายาเองด้วยซ้ำ…ตามหลักแล้วไม่มีทางหาคนมาเป็นบ่าวรับใช้ไหว ความจริงเป็นเพราะยายเฒ่าเฝิงถูกครอบครัวสามีขับไล่ออกมา ส่วนบ้านเดิมก็ไม่อนุญาตให้นางกลับไป พอท่านพ่อซูเห็นว่านางน่าสงสารเหลือเกินจึงยอมรับนางเอาไว้ แต่ละเดือนให้ค่าแรงทำงานเป็นเงินสามเฉียน* รวมถึงอาหารการกินและความเป็นอยู่
แม้จะไม่ได้เขียนสัญญาขายตัว แต่ยายเฒ่าเฝิงปักใจแน่วแน่แล้วว่าจะอยู่ที่สกุลซู ปกติเป็นคนมือเท้าขยันขันแข็งยิ่งนัก สิ่งสำคัญที่สุดคือยายเฒ่าเฝิงมีฝีมือการทำครัวเป็นเลิศ บะหมี่ไก่ฉีกชามนั้นที่นางกินตอนเพิ่งตื่นขึ้นมาก็เป็นฝีมือของยายเฒ่า เมื่อย้อนคิดถึงรสสัมผัสนั้นนางก็พลันรู้สึกน้ำลายสอขึ้นมา
จ้าวฉงอีเร่งเดินทางมาตลอดทั้งคืน อยู่ในช่วงหิวท้องร้องพอดี จึงเลียริมฝีปากแล้วสูดดมกลิ่นหอมระหว่างมุ่งหน้าไปห้องครัว
“คุณหนูรอง ท่านมาได้อย่างไร” ยายเฒ่าเฝิงที่กำลังยุ่งอยู่หันมาเห็นนางก็รีบเช็ดไม้เช็ดมือเดินออกมาต้อนรับ
“ยายเฒ่าเฝิง ข้าหิวแล้ว มีอะไรกินหรือไม่” จ้าวฉงอีแย้มยิ้มพลางเอ่ยถาม
“มีๆๆ โจ๊กกินได้แล้ว ซาลาเปาก็สุกได้ที่ รอเดี๋ยวยายเฒ่าเฝิงเอาให้ท่านนะ” ยายเฒ่าเฝิงยิ้มจนเห็นริ้วรอยเต็มใบหน้า รีบหมุนกายเดินไปตักโจ๊ก ตอนยกชามโจ๊กหันกลับมาเห็นจ้าวฉงอีตรงไปเปิดเข่งนึ่งเองก็ตกอกตกใจยกใหญ่ “เอ๊ะ คุณหนูรอง ท่านอย่าจับสิ ระวังจะลวกมือนะ!”
จ้าวฉงอีอยากบอกว่าตนเองหนังหยาบเนื้อหนาไม่ถูกลวกง่ายๆ หรอก แต่ตอนนี้นางคือซูเสี่ยวหม่าน จึงทำได้แค่เก็บมือกลับอย่างเก้อเขินแล้วมายืนรอด้านข้าง
ยายเฒ่าเฝิงยกซาลาเปากับโจ๊กมาอย่างว่องไว จ้าวฉงอีกล่าวขอบคุณเสร็จก็ก้มหน้ากินคำโตทันที
ยายเฒ่าเฝิงนั่งมองนางกินอยู่ข้างๆ ดวงตาฉายแววรักใคร่เมตตาเต็มเปี่ยม มองเสียจนจ้าวฉงอีรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ท่าทางเวลากินจึงสุภาพขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
ซาลาเปาข้างในเป็นไส้เนื้อหมู แป้งบางไส้แน่น ทั้งยังมีน้ำแกงด้วย พอกัดอยู่ในปากแล้วน้ำแกงลวกลิ้นยังตัดใจคายไม่ลง…
กินหมดไปชิ้นหนึ่งแล้วก็เหมือนว่ายังไม่หนำใจ
ยายเฒ่าเฝิงมองออกจึงหันกายกลับไปหยิบมาเพิ่ม
“กินให้มากหน่อย กินได้ถือว่ามีบุญแล้ว เด็กสาวอวบสักหน่อยดูมีบุญวาสนายิ่ง” ยายเฒ่าเฝิงเอ่ยพลางหัวเราะชอบใจ
จ้าวฉงอีเห็นด้วยอย่างยิ่ง จากนั้นก็กัดซาลาเปาลูกโตอีกชิ้น
ตอนเดินพุงยื่นออกจากห้องครัว ในมือยังมีเกาลัดคั่วน้ำตาลอีกหลายลูก พอกินดื่มอิ่มหนำสำราญใจก็เริ่มง่วงนอน จ้าวฉงอียืดตัวบิดขี้เกียจ อ้าปากหาวหวอดเดินกลับห้องซูเสี่ยวหม่าน ระหว่างเดินกลับยังปอกเกาลัดคั่วน้ำตาลกินไปด้วย
อืม ทั้งหอมหวานทั้งเหนียวนุ่มเลย
เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูห้องก็มองเห็นเงาร่างลับๆ ล่อๆ ซ่อนตัวอยู่ตรงซอกมุม นางเลิกคิ้วขึ้นก่อนโยนเปลือกเกาลัดออกไปอย่างไม่ตั้งใจ
เปลือกเกาลัดลอยหวือจนแทบไร้น้ำหนักจากมือจ้าวฉงอีออกไปกระแทกใส่เงาร่างลับๆ ล่อๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ตรงมุมนั้นอย่างแม่นยำ ประหนึ่งมีดวงตางอกออกมาก็ไม่ปาน
ออกแรงไม่เบาไม่หนัก แต่ทำให้เจ็บนิดหน่อย
เงาร่างนั้นอุทาน “โอ๊ย” ออกมาคำหนึ่งแล้วกระโดดพรวดวิ่งออกมาจากซอกมุม เอามือกุมก้นพร้อมถลึงตาใส่อย่างขุ่นเคือง “ท่านเอาอะไรโยนใส่ข้า!”
ไม่ใช่ซูปั้นซย่าแล้วจะเป็นใครได้
จ้าวฉงอีแบมือด้วยรอยยิ้มจนตาหยี ในมือยังมีเกาลัดอยู่สองลูก “จะกินหรือไม่”
ซูปั้นซย่าส่งเสียงฮึดฮัด “ท่านนี่ช่างเป็นที่รักของใครต่อใครเสียจริง”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพวกนั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของที่ยายเฒ่าเฝิงเก็บไว้เอง ซูปั้นซย่านึกภูมิใจว่าตนเองมีนิสัยร้ายกาจยิ่ง ยายเฒ่าเฝิงมองเห็นนางเป็นต้องหลบ เกาลัดคั่วน้ำตาลอะไรนั่น นางไม่เห็นชอบเลย!
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่พอนางยกมือขึ้นก็แย่งเกาลัดคั่วน้ำตาลสองลูกนั้นไป แล้วยังถลึงตาใส่อีกฝ่ายราวกับแสดงท่าทีเหนือกว่า
“เมื่อคืนนี้ท่านไปที่ใดมาล่ะ” ซูปั้นซย่ากินเกาลัดคั่วน้ำตาลไปพลางซักถามเสียงอู้อี้
“เมื่อคืนนี้?” จ้าวฉงอีนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“หึ อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ เมื่อคืนตอนข้ามาหา ท่านก็ไม่อยู่ในห้อง ข้าเลิกผ้าห่มดูแล้ว ข้างใต้ผ้าห่มเป็นผ้านวมผืนหนึ่ง!” ซูปั้นซย่าท่าทางลำพองใจ “วันนี้ข้ามาตั้งแต่เช้าเลย ท่านก็ยังไม่อยู่ในห้อง บอกมาเถอะ ท่านไปที่ใดมาหรือ”
จ้าวฉงอีเพ่งพิศเด็กหญิงผู้นี้ครู่หนึ่ง เป็นเด็กหญิงหน้าตางดงามคนหนึ่งทีเดียว ดวงตากับจมูกยังคล้ายกับนาง…อืม คงต้องบอกว่าคล้ายซูเสี่ยวหม่าน
เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะถูกเจ้าตัวพบเห็นเข้าเสียแล้ว
ซูปั้นซย่าเห็นนางไม่ตอบก็ยิ่งพูดจาอวดดีกว่าเดิม ทึกทักไปเองว่าจับจุดอ่อนของนางได้ “พูดมาสิ ดึกดื่นปานนั้นท่านไม่อยู่ในห้อง ไปที่ใดมากันแน่”
จ้าวฉงอีมองดูเจ้าเด็กเกเรคนนี้ แย้มยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าต้องหลบหน้าข้าด้วย ไปทำเรื่องน่าละอายใจอะไรมาใช่หรือไม่”
ซูปั้นซย่าตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมเหลียวซ้ายแลขวา ท่าทางคล้ายคนร้อนตัว
“หืม?” เห็นเด็กหญิงท่าทางเหมือนที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง จ้าวฉงอียิ่งเพิ่มแรงกดดัน
ซูปั้นซย่าไหนเลยจะต้านทานแรงกดดันจากแม่ทัพใหญ่จ้าวได้ แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ พี่รองถึงกลายเป็นคนน่ากลัวเช่นนี้ แต่ก็ก้มศีรษะลงเพราะแบกรับไม่ไหว ยืนคอตกพลางบ่นพึมพำ
“ขออภัยได้หรือไม่เล่า…”
“หมายความว่าเจ้าทำเรื่องบางอย่างที่ผิดต่อข้าสินะ” จ้าวฉงอีอยากซักไซ้เด็กหญิงผู้นี้มานานแล้ว เพราะนางทำเหมือนตนเองมีความลับเล็กๆ อยู่กับตัวตลอด ผลสุดท้ายคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันไปหานางเลย นางกลับเป็นฝ่ายเข้ามาติดกับเอง
เอ๊ะ ‘เข้ามาติดกับเอง’ คำนี้ทำให้จ้าวฉงอีนึกถึงผู้บัญชาการโจวแห่งหน่วยเทียนฉีผู้นั้นขึ้นมา รังสีข่มขวัญที่แผ่ออกมายิ่งรุนแรงขึ้น
ดวงตาซูปั้นซย่าสั่นไหวไม่หยุด นางต้านทานแรงกดดันไม่ไหวจริงๆ “ข้าไม่รู้ว่าท่านจะขึ้นเขาลึกไปเพื่อหลบพี่เจิ้ง…” พูดไปพูดมาก็เบะปาก “พี่เจิ้งไม่ใช่คนโหดโฉดชั่วที่ใดสักหน่อย เขาดูเป็นคนใช้ได้ออก…”
นัยน์ตาจ้าวฉงอีเข้มกว่าเดิมเล็กน้อย ซูเสี่ยวหม่านทำเพื่อหลบ ‘พี่เจิ้ง’ คนนี้ถึงได้ขึ้นเขาลึกไป?
“แสดงว่าเจ้าไปบอกพี่เจิ้งว่าข้าอยู่ที่ใดโดยพลการ?” จ้าวฉงอีคาดเดา
ซูปั้นซย่ายอมรับเงียบๆ อย่างหมดอาลัยตายอยาก
จ้าวฉงอีเลิกคิ้ว กำลังตั้งใจจะสอบถามว่า ‘พี่เจิ้ง’ เป็นคนเช่นไรกัน ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งวิ่งพรวดเข้ามาจากด้านข้าง เข้าไปบิดหูของซูปั้นซย่าด้วยความรวดเร็วฉับไวท่ามกลางสายตาตกตะลึงของจ้าวฉงอี
“โอ๊ย เจ็บๆๆ ท่านแม่ๆๆ ท่านปล่อยมือเถอะ…” ซูปั้นซย่าร้องโอดครวญ
“เจ้าคนสารเลวเจิ้งจื่ออั๋งนั่นดีตรงที่ใดกัน! ก็แค่อันธพาลขี้เกียจสันหลังยาวคนหนึ่งเท่านั้น! เขามันคางคกอยากกินเนื้อหงส์* เจ้าก็ดีเหลือเกินนะ กลับไปช่วยเหลือคนนอก เจ้านี่มันพวกสายตาตื้นเขิน อันธพาลนั่นให้ผลประโยชน์อะไรเจ้ามา ถึงได้ทำร้ายพี่สาวเจ้าเช่นนี้!” ท่านแม่ซูบิดหูซูปั้นซย่าอย่างแรง กัดฟันกรอดต่อว่าเป็นฉากๆ ด้วยความโมโหจนแทบหายใจไม่ทัน
จ้าวฉงอีจับใจความถ้อยคำที่มีประโยชน์บางส่วนได้จากคำพูดของท่านแม่ซู ‘พี่เจิ้ง’ ที่ซูปั้นซย่ากล่าวถึงผู้นี้มีนามว่าเจิ้งจื่ออั๋ง เป็นอันธพาลขี้เกียจสันหลังยาว อย่างน้อยในสายตาท่านแม่ซูก็เป็นเช่นนี้ ทั้งยังเป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์ตัวหนึ่ง
ส่วนทางซูปั้นซย่าทั้งเจ็บทั้งน้อยใจจึงร้องไห้โฮ ร้องไปร้องมาก็เงยหน้าขึ้นมองพี่สาวที่แต่ก่อนจะคอยห้ามทัพเสมอ ทว่าบัดนี้อีกฝ่ายกำลังกอดอกมองดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ นางพลันเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ…
จ้าวฉงอีรับสายตาจากเด็กหญิงเอาไว้อย่างไม่สะทกสะท้าน และยังมีความรู้สึกว่าตนคว้าชัยได้โดยไม่ต้องต่อสู้อย่างเต็มเปี่ยมด้วย
ชิ เด็กเหลือขอจะสู้กับนาง นางยังไม่ทันออกกระบวนท่า เจ้าเด็กเกเรคนนี้ก็ขัดแข้งขาตนเอง เป็นทหารพ่ายดั่งเขาถล่มเสียแล้ว พลังต่อสู้เทียบกับจ้าวหนานชิวตอนเด็กๆ ยังห่างชั้นอีกไกลนัก ตอนนั้นนางตีจ้าวหนานชิวไปตั้งหลายยก ถึงทำให้อีกฝ่ายยอมรับนางได้
“เสี่ยวหม่าน เมื่อครู่เจ้าไปที่ใดมาหรือ” ขณะท่านแม่ซูบิดหูบุตรสาวคนเล็กอยู่ก็ยังไม่ลืมหันหน้ามาแสดงความห่วงใยบุตรสาวคนโต
“เมื่อครู่ข้ารู้สึกหิวนิดหน่อย จึงไปที่ห้องครัวขอของกินจากยายเฒ่าเฝิงเจ้าค่ะ” จ้าวฉงอีตอบด้วยใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดู
“บนตัวเจ้าแผลยังไม่หายดีเลยนะ อย่าเที่ยววิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว กลับไปพักผ่อนเถอะ อีกเดี๋ยวข้าจะไปเปลี่ยนยาให้เจ้า” ท่านแม่ซูตอบอย่างรักใคร่เมตตา
จ้าวฉงอีพยักหน้าตอบอย่างเชื่อฟัง
“นางพูดโกหก! นางไม่ได้กลับห้องทั้งคืนเลยต่างหาก!” ซูปั้นซย่าค่อยๆ ตั้งสติได้ก็ตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความโกรธ
จ้าวฉงอีกะพริบตาปริบๆ ปั้นสีหน้าประหลาดใจ “ข้าเพิ่งไปห้องครัวหายายเฒ่าเฝิงมานะ เจ้ายังกินเกาลัดคั่วน้ำตาลที่ข้านำกลับมาด้วยเลยไม่ใช่หรือ”
“แล้ว…แล้วอย่างไรเล่า อย่างไรท่านก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องทั้งคืนอยู่ดี! ท่านแม่ ข้าพูดความจริงนะ!” ซูปั้นซย่าหันกลับไปมองท่านแม่ซู กล่าวฟ้องอย่างขุ่นเคือง “เมื่อคืนนี้ข้ามาหานางแล้ว นางไม่อยู่ในห้อง!”
“เมื่อวานหลังอาหารเย็นท่านแม่ให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าไม่ใช่หรือ ผลสุดท้ายข้าหันหน้าไปเจ้าก็หายวับไม่เห็นเงาแล้ว ชั่วขณะนั้นข้านอนไม่หลับจึงไปเรือนหน้าดูว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่ ถึงได้ไม่อยู่ในห้องน่ะสิ เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ” จ้าวฉงอีแอบเอาคืนอีกฝ่ายอย่างแนบเนียน
นางไม่ใช่คนมุทะลุที่มันสมองเรียบง่ายพัฒนาแต่แขนขาพรรค์นั้น ตำราพิชัยสงครามก็เคยอ่านมาไม่น้อยเช่นกัน จะใช้ต่อกรกับเด็กเกเรไร้ความคิดลึกซึ้ง ถือว่ามีกำลังเหลือเฟือ
ซูปั้นซย่าโกรธจนตาแทบถลน นึกไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้จะรอฟ้องนางอยู่ ขณะกำลังโมโหเดือดดาล จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารที่ส่งมาจากด้านข้าง นางหันหน้ากลับไปอย่างอกสั่นขวัญแขวนก็เห็นดวงตาเปี่ยมด้วยโทสะของท่านแม่ซู
“ซูปั้นซย่า! เจ้าบอกว่าจะขอลาหยุดมาดูแลพี่สาว ข้ารับปากแล้ว แต่เจ้าดูแลพี่สาวตนเองเช่นนี้น่ะหรือ! ได้ ไม่ไปสำนักศึกษาใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปแล้ว ไสหัวกลับห้องไปปิดประตูสำนึกผิดเสีย!” ท่านแม่ซูบิดหูซูปั้นซย่าเดินจากไปอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะไปยังไม่ลืมหันมากำชับประโยคหนึ่ง “เสี่ยวหม่าน เจ้ากลับห้องพักผ่อนสักหน่อยนะ ข้าไปเอากล่องยาก่อน อีกประเดี๋ยวจะมาเปลี่ยนยาให้”
จ้าวฉงอีขานรับอย่างเชื่อฟัง สายตามองส่งท่านแม่ซูลากตัวซูปั้นซย่าที่ร้องห่มร้องไห้จากไป ขณะซูปั้นซย่าสะอื้นคร่ำครวญก็ยังไม่ลืมหันมาถลึงตาใส่นางอย่างแค้นเคือง
จ้าวฉงอียิ้มตาหยีพร้อมโบกไม้โบกมือให้อีกฝ่าย เก็บซ่อนตัวตนหลังเอาคืนสำเร็จ
ซูปั้นซย่าร้องไห้เสียงดังลั่นกว่าเดิมทันใด…
จ้าวฉงอีได้ยินแล้วก็ขบคิดอย่างพึงพอใจว่าเด็กเกเรก็แค่ต้องอบรมสั่งสอนให้ดี
เพียงแต่พอนึกถึงซูเสี่ยวหม่านที่ไม่รู้เป็นหรือตายและไร้ร่องรอยแน่ชัด หัวใจจ้าวฉงอีก็หนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย…ยังมีเบาะแสเหล่านั้นเกี่ยวกับแคว้นหนานเซียงที่ค้นพบบนภูเขา ทำให้ในใจนางผุดการคาดคะเนอย่างหนึ่งขึ้นมารางๆ
การหายตัวไปของซูเสี่ยวหม่านจะเกี่ยวข้องกับแคว้นหนานเซียงหรือไม่
แน่นอนว่าเงื่อนไขข้อแรกคือ…ต้องยืนยันว่าซูเสี่ยวหม่านยังมีชีวิตอยู่
สกุลซูไม่มีท่าทีผิดปกติกับตัวปลอมอย่างนางเลยสักนิด เช่นนั้นก็แน่ใจได้ว่ายังไม่พบตัวซูเสี่ยวหม่าน เจ้าหน้าที่ทางการเหล่านั้นที่ขึ้นเขามาเมื่อคืนคงจะไปเก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุ…
จ้าวฉงอีแหงนมองท้องฟ้า ตัดสินใจว่าเอาไว้จะหาโอกาสไปที่ว่าการดูสักหน่อย ตอนนี้ยังเร็วเกินไป อาจจะสืบไม่พบอะไรก็ได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ก.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.