X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสวมรอยรักแม่ทัพหญิง

ทดลองอ่าน สวมรอยรักแม่ทัพหญิง บทที่ 7-8

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 7 รอยแผลเป็น

จ้าวฉงอีอ้าปากหาวหวอด ขยี้ตาหันหลังเดินกลับห้องไป คิดถึงท่านแม่ซูที่บอกว่าอีกประเดี๋ยวจะมาเปลี่ยนยาให้ นางก้มหน้าลงคลายคอเสื้อมองดูตำแหน่งที่พันแผลบนร่างกาย ต่อให้นางมีใบหน้าดุจเดียวกับซูเสี่ยวหม่าน ทว่าซูเสี่ยวหม่านเป็นหญิงสาวผู้ได้รับความรักเหลือล้นจากครอบครัว นางกลับใช้ชีวิตอย่างขรุขระกว่านั้นมากนัก เรื่องอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง บนหัวไหล่นางมีบาดแผลจากธนูสองจุดซึ่งเป็นแผลที่หลงเหลือจากการถูกลอบทำร้ายในสนามรบ บนแผ่นหลังยังมีแผลเป็นขนาดใหญ่จากคมดาบ…บางทีอาจเป็นบาดแผลใหม่ที่เพิ่งได้มาตอนนางร่วงตกหน้าผา บาดแผลเก่าผ่านมานานหลายปีเหล่านั้นพลอยโดนปกปิดไปด้วยแล้ว คนสกุลซูห่วงกังวลจนว้าวุ่นไปหมด ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเหล่านี้เลยกระมัง

นางดึงกระชับคอเสื้อให้เรียบร้อย รอท่านแม่ซูมาเปลี่ยนยา รอไปรอมาก็นอนตะแคงหลับคาเตียงไปแล้ว

อย่างไรเสียก็วิ่งวุ่นมาทั้งคืน บนร่างยังมีอาการบาดเจ็บ ต่อให้เป็นหนังทองแดงกระดูกเหล็กก็เหนื่อยล้าอยู่บ้างเหมือนกัน

นอนหลับไปคราวนี้สบายดีเหลือเกิน ไม่ปรากฏความฝันอื่นใดเลยสักนิด ขณะนอนหลับสนิทนั้นจู่ๆ นางก็รู้สึกได้ว่าข้างกายมีคนอยู่ จ้าวฉงอีลืมตาอย่างตื่นตัวโดยพลัน มืออีกข้างยื่นไปคลำดาบตามสัญชาตญาณ กลับคลำพบความว่างเปล่า…ตอนนี้เองถึงนึกขึ้นได้ว่าดาบคุนอู๋ของนางร่วงตกหน้าผาตามมาด้วยกัน ยังไม่ได้ตามหากลับมา

ท่านแม่ซูที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงสะดุ้งตกใจกับการลืมตาอย่างกะทันหันของนาง “นี่เจ้าเป็นอะไรไป”

จ้าวฉงอีคงจะบอกว่าตกใจตื่นเพราะรู้สึกว่ามีคนแปลกหน้าอยู่ข้างกายไม่ได้…นางเผยรอยยิ้มเก้อเขิน “ฝันร้ายน่ะเจ้าค่ะ…”

แต่ความจริงการนอนตื่นนี้นับว่าหลับเต็มอิ่ม ทั้งยังหลับลึกมาก ไม่ฝันเห็นอะไรสักอย่างเดียว

จากนั้นนางก็ย้อนคิดว่าก่อนหน้านี้ฝันอะไรแปลกประหลาดอย่างนั้นได้คงเพราะว่างเกินไปจริงดังคาด วาจาบิดาบุญธรรมไม่เคยหลอกนางอยู่แล้ว

“ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว ความฝันหลอกลวงทั้งนั้น” ท่านแม่ซูฟังจบก็ลูบศีรษะนางด้วยความรักทะนุถนอมพร้อมเอ่ยปลอบเสียงแผ่วเบา

…เคยเปิดหูเปิดตากับภาพอันโหดร้ายยามท่านแม่ซูสั่งสอนเด็กเกเรมาแล้ว ท่านแม่ซูที่พูดจาเสียงเบานุ่มนวลกลับทำให้นางรับไม่ค่อยได้เท่าไร

จ้าวฉงอีอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย จึงตัดบทเบี่ยงประเด็นสนทนา “ท่านมาเมื่อใดกัน เหตุใดไม่ปลุกข้าล่ะ”

“เพิ่งมา เห็นเจ้าหลับสบายอยู่เลยไม่ได้ปลุก สุดท้ายเจ้าก็ตื่นขึ้นมาเอง” ท่านแม่ซูยิ้มพลางเอ่ย นางหมุนกายไปหยิบกล่องยาบนโต๊ะด้านข้าง “ในเมื่อตื่นแล้วก็ถอดเสื้อผ้าออกเสีย ข้าจะเปลี่ยนยาให้เจ้า”

จ้าวฉงอีคิดถึงบาดแผลใหม่เหล่านั้นที่ทับซ้อนกับบาดแผลเก่าบนร่าง ถ้าอีกฝ่ายพบพิรุธเข้าล่ะ…

นางยังต้องยืมตัวตนนี้ไปอีกสักระยะ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจัดการเองแล้วกัน”

“แผลบนหลังเจ้าจะจัดการอย่างไร เจ้ามองเห็นหรือเอื้อมถึงรึ” ท่านแม่ซูชำเลืองมองนาง “รีบถอดเสื้อผ้าเร็ว ข้าคือแม่เจ้านะ มีอะไรน่าอายกัน”

จ้าวฉงอีเห็นดังนั้นก็รู้ว่าตนเองเปลี่ยนความคิดของอีกฝ่ายไม่ได้ จึงต้องกัดฟันยอมถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นก็นอนคว่ำลงบนหมอน ขณะนางร่วงจากหน้าผาก็ตั้งใจปกป้องส่วนสำคัญเอาไว้ บาดแผลที่ค่อนข้างสาหัสส่วนใหญ่จะอยู่บนแผ่นหลัง สำหรับบาดแผลอื่นนั้นล้วนได้มาจากตอนต่อสู้กับเจ้าคนสารเลวโจวเวินหราน

ท่านแม่ซูยกกล่องยามา แกะผ้าที่พันรอบบาดแผลไว้ออกมาทีละชิ้น จากนั้นขอบตาก็แดงเรื่อขึ้นมาทันที “แผลนี้เหตุใดถึงเปิดอีกแล้วล่ะ…”

จ้าวฉงอีร้อนตัวเล็กน้อย ไม่ได้ส่งเสียงตอบ

ท่านแม่ซูทำความสะอาดบาดแผลอย่างระมัดระวัง ก่อนจะใส่ยาให้ใหม่แล้วค่อยพันแผลให้เรียบร้อย

จ้าวฉงอีวิตกกังวลอยู่ตลอด เห็นท่านแม่ซูช่วยพันแผลให้นางจนเสร็จโดยไม่สงสัยอะไรถึงได้โล่งอก

“ข้าลงโทษปั้นซย่าไปแล้ว นางอายุยังน้อยไม่รู้ความ…” จู่ๆ ท่านแม่ซูก็เอ่ยปากแล้วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยต่อ “พวกเจ้าเป็นพี่น้องกัน เจ้าอย่าได้คิดแค้นนางเลยนะ”

จ้าวฉงอีตะลึงงัน ก่อนหน้านี้ท่านแม่ซูสั่งสอนซูปั้นซย่าต่อหน้าก็เพื่อทำให้นางเห็นกระมัง นี่คงกลัวว่าระหว่างพวกนางพี่น้องจะเกิดเรื่องบาดหมางกันสินะ…ถ้าหากเป็นซูเสี่ยวหม่านคงจะให้อภัยน้องสาว แต่นางไม่ใช่ซูเสี่ยวหม่าน ไม่มีสิทธิ์ไปให้อภัยเจ้าเด็กเกเรคนนั้นแทนซูเสี่ยวหม่าน

นางจึงแย้มยิ้มพลางว่า “ปั้นซย่ายังเด็ก สั่งสอนให้ดีๆ หน่อยก็รู้ความแล้วเจ้าค่ะ”

พอท่านแม่ซูได้ยินเช่นนี้คงเข้าใจว่านางให้อภัยซูปั้นซย่าแล้ว กลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าจุดที่จ้าวฉงอีเน้นย้ำคือ ‘สั่งสอนให้ดีๆ หน่อย’ ต่างหาก

ยามนี้ซูปั้นซย่าที่ถูกลงโทษให้หันหน้าเข้าผนังสำนึกผิดจู่ๆ ก็ตัวสั่นขึ้นมา รู้สึกถึงความหนาวยะเยือกระลอกหนึ่ง ประหนึ่งถูกบางสิ่งจ้องเขม็งอยู่

หลังกินอาหารกลางวันแล้วจ้าวฉงอีกำลังวางแผนจะหาข้ออ้างไปที่ว่าการดูหน่อยก็เห็นซูเจ๋อหลันเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก นางนึกขึ้นได้ว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่ในที่ว่าการมากทีเดียว จึงร้องเรียกเขาไว้

“พี่ใหญ่”

เทียบกับการเรียกท่านพ่อท่านแม่ การเรียกว่าพี่ใหญ่กลับไม่มีแรงกดดันในใจ ในอดีตตอนอยู่ค่ายลั่วเยี่ยนคนที่นางเคยเรียกว่าพี่ใหญ่ก็มีไม่น้อย เพียงแต่ภายหลังฝีมือนางเก่งกาจรุดหน้า เจ้าพวกนั้นจึงไม่กล้าเกลี้ยกล่อมนางให้เรียกว่าพี่ใหญ่แล้ว

ต่อมานางกลายเป็นหัวหน้าใหญ่และแม่ทัพใหญ่ ผู้ที่กล้าเป็นพี่ใหญ่ของนางยิ่งมีน้อยนิด

ไร้คู่ต่อกรก็เงียบเหงาเช่นนี้

ซูเจ๋อหลันหันกลับมาก็เห็นจ้าวฉงอีที่ยืนอยู่ในลานบ้าน เขารีบสาวเท้าเดินเข้ามาหา “เหตุใดไม่นอนพักผ่อนดีๆ ลุกขึ้นมาทำอะไร”

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จ้าวฉงอีได้รับบาดเจ็บเพียงแค่นี้ก็ถูกคนมากมายกดดันให้นอนพักผ่อน นางไม่ชินเอาเสียเลย เมื่อก่อนเวลาอยู่ในสนามรบนางถูกคนลอบโจมตี แผ่นหลังรับดาบไปหนึ่งแผล หากมิใช่เพราะนางหลบได้ว่องไวคงถูกฟันร่างขาดเป็นสองส่วนแล้ว แน่นอนว่าถึงแม้จะโชคดีหลบไปได้พอสมควร แต่ก็ได้รับบาดเจ็บไม่เบา ถัดมาไม่กี่วันก็ยังต้องเข้าสู่สนามรบอย่างฮึกเหิมห้าวหาญ…จึงทำให้เสี่ยวจิ่วตามด่าทอนางเสียยกใหญ่

ตอนนี้บาดแผลแค่นี้จะหนักหนาสักเท่าไรกันเชียว

“ท่านแม่เรียกข้าลุกขึ้นมากินข้าว ข้าเพิ่งกินอิ่มมา” จ้าวฉงอีตอบไปสองประโยคก็ถามต่อโดยไม่รอเขาเอ่ยปาก “พี่ใหญ่ นี่ท่านจะไปที่ใดหรือ”

“เมื่อวานหัวหน้ามือปราบหลี่ส่งคนเจ็บมาคนหนึ่ง ท่านพ่อบอกว่าเขาสูญเสียความทรงจำแล้ว ข้าจะไปที่ว่าการดูว่ามีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่ ถือโอกาสบอกหัวหน้ามือปราบหลี่เรื่องคนผู้นั้นสูญเสียความทรงจำด้วยเลย” ซูเจ๋อหลันตอบ

“ข้าไปกับท่านแล้วกัน” จ้าวฉงอีกล่าวด้วยดวงตาเป็นประกาย

“เหลวไหล ร่างกายเจ้ายังบาดเจ็บไม่หาย ไปวิ่งเพ่นพ่านเพื่อการใด” ซูเจ๋อหลันกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย

“ข้าก็เป็นคนถามจนรู้เรื่องคุณชายผู้นั้นสูญเสียความทรงจำนะ” จ้าวฉงอีตอบอย่างไม่ยินยอม “ข้าเข้าใจสภาพของเขาค่อนข้างแน่ชัด พาข้าไปด้วยคนเถอะ”

ซูเจ๋อหลันขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด คิดถึงสิ่งที่บิดาสั่งกำชับและเป็นกังวล “เสี่ยวหม่าน คนผู้นั้นที่มาไม่แน่ชัด ทั้งยังสูญเสียความทรงจำอีก ยังไม่รู้เลยว่าที่บ้านเขามีภรรยาแล้วหรือไม่…”

จ้าวฉงอีฟังความนัยแอบแฝงของเขาไม่ออก นางมีสีหน้างุนงง “เพราะอย่างนั้นถึงต้องไปที่ว่าการสอบถามดูว่ามีเบาะแสอะไรหรือไม่น่ะสิ”

ชาติกำเนิดของคุณชายผู้นั้นเป็นเช่นไรก็แค่ผลพลอยได้อยู่แล้ว เหตุผลหลักๆ คือนางอยากไปดูว่าเมื่อคืนเจ้าหน้าที่ทางการเหล่านั้นพบเบาะแสบ้างหรือไม่ แล้วก็…ตามหาซูเสี่ยวหม่านเจอหรือยัง

ซูเจ๋อหลันได้ยินแล้วแทบจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างหวาดหวั่น ที่แท้ท่านพ่อกล่าวไว้ไม่มีผิดเลย น้องสาวบังเกิดความรักหยั่งรากลึกถึงขั้นนี้แล้วหรือ

“เสี่ยวหม่าน รูปโฉมของคนผู้หนึ่งไม่สามารถตัดสินทุกอย่างได้…” ซูเจ๋อหลันเอ่ยเตือนด้วยความลำบากใจเล็กน้อย

จ้าวฉงอีเห็นเขามัวแต่กังวลเรื่องอื่นจนพูดไม่ตรงประเด็น จึงอดปวดเศียรเวียนเกล้าไม่ได้ จำต้องบอกกับเขาตรงๆ “ข้าต้องไปที่ว่าการ หากท่านไม่พาข้าไป ข้าก็จะหาทางไปเอง ท่านเลือกเอาแล้วกัน”

ซูเจ๋อหลันรู้สึกว่าวันนี้น้องสาวดูแปลกพิกลและพูดจารบเร้า…หรือว่าหญิงสาวที่เพิ่งรู้จักความรักล้วนไม่ฟังคำเตือนของผู้อื่นกันหมดแล้ว? ทั้งที่เสี่ยวหม่านเป็นคนนิสัยอ่อนโยนและขี้กลัว วันนี้นางทำตัวแปลกเกินไปแล้วจริงๆ เขารู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย แต่เขาเอ็นดูเสี่ยวหม่านมาตลอด เห็นนางยืนกรานเช่นนี้ก็จำใจพยักหน้ารับอย่างจนปัญญา

“เจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะไปหารถม้า” สุดท้ายซูเจ๋อหลันก็ยอมประนีประนอม

“ท่านคงไม่ทิ้งข้าไว้แล้วไปคนเดียวหรอกนะ?” จ้าวฉงอีมองเขาอย่างสงสัย

ซูเจ๋อหลันเกือบอดใจไม่ไหวเคาะศีรษะนางเข้าแล้ว ยังดีที่นึกได้ว่านางบาดเจ็บอยู่ จึงตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “วาจาของวิญญูชน สี่อาชายากตามทัน ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว จะไม่คืนคำแน่”

จ้าวฉงอีถึงค่อยวางใจแล้วพยักหน้าปล่อยเขาไป

ซูเจ๋อหลันถูกนางยั่วยุจนทั้งขันทั้งฉุน

ถ้าหากไปที่ว่าการเอง ซูเจ๋อหลันจะไม่มีทางทำอะไรเอิกเกริก แต่พอคิดถึงน้องสาวที่ยังไม่หายดี เขาจึงตั้งใจยืมรถม้ามาคันหนึ่งเพื่อจะพาน้องสาวไปด้วยกัน

ตอนจ้าวฉงอีเดินออกจากประตูบ้านสกุลซู กำลังเตรียมเหยียบขึ้นรถม้าก็พลันเหลือบไปเห็นบุรุษหนุ่มสวมชุดแขนสั้นสีน้ำตาลอ่อนบนถนนฝั่งตรงข้ามกำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้าซับซ้อน

เขามีคิ้วดกเข้มดวงตากลมโต เพียงแค่ริมฝีปากหนาเล็กน้อย ขับเน้นให้ดูเป็นคนค่อนข้างซื่อตรงจริงใจ

จ้าวฉงอีเห็นเขามองนางก็คิดว่าเขาคงจะรู้จักซูเสี่ยวหม่าน จึงแย้มยิ้มแล้วผงกศีรษะให้เขาครั้งหนึ่ง

บุรุษผู้นั้นเห็นรอยยิ้มของนางแล้วก็เดินมาข้างหน้าก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จากนั้นไม่รู้ว่านึกถึงอะไรขึ้นมาจึงหันหลังกลับผลุนผลันวิ่งหนีไป…

จ้าวฉงอีสับสนอยู่บ้าง…นี่เขาเป็นอะไรไป

“เสี่ยวหม่าน กำลังมองอะไรอยู่หรือ” ซูเจ๋อหลันเห็นนางรีรอไม่ยอมขึ้นมาก็เอ่ยถาม

จ้าวฉงอีส่ายหน้า “ไม่มีอะไร เห็นคนแปลกๆ นิดหน่อย”

นางตอบแล้วก็หันหลังก้าวขึ้นรถม้า

บทที่ 8 หน่วยเทียนฉีส่งคนมา

ตอนซูเจ๋อหลันพาจ้าวฉงอีมาถึงที่ว่าการ ข้างในนั้นกำลังงานยุ่งเลยทีเดียว

ซูเจ๋อหลันกับหลี่เจี่ยนหัวหน้ามือปราบของที่นี่เป็นสหายสนิทกัน หลังเขาสั่งกำชับจ้าวฉงอีไม่ให้เดินเพ่นพ่านก็ปลีกตัวเดินไปพูดคุยกับหลี่เจี่ยนอีกทางหนึ่ง

“แม่นางเสี่ยวหม่านบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงออกมาได้“ หลี่เจี่ยนเอ่ยขึ้น

“สาวน้อยต้องคอยตามใจ นอนพักอยู่ตลอดเลยรู้สึกเบื่อ โวยวายว่าอยากออกมาสูดอากาศสักหน่อยน่ะ” ซูเจ๋อหลันยิ้มอย่างจนใจอยู่บ้าง เขาไม่มีทางบอกอยู่แล้วว่าเป็นเพราะคนเจ็บที่เจ้าส่งไปนั่นหน้าตาดีเกินไปจนล่อลวงเอาหัวใจของสาวน้อยไปเรียบร้อย แล้วชื่อเสียงดีงามของน้องสาวเขายังต้องการมันอยู่หรือไม่เล่า!

ในครอบครัวหลี่เจี่ยนก็มีน้องสาว ทั้งยังเป็นหัวโจกจอมซุกซนด้วย จึงเข้าใจเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยกมือขึ้นตบไหล่ปลอบใจซูเจ๋อหลัน นึกในใจว่าแม่นางเสี่ยวหม่านมองดูท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยน ที่แท้ก็เป็นสาวน้อยชอบให้ตามใจหรือนี่…

ขณะครุ่นคิดอยู่นั้นเขาเผลอเหลือบมองแม่นางเสี่ยวหม่านแวบหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าแม่นางเสี่ยวหม่านก็กำลังมองมาที่ตนเช่นกัน พอสบสายตากันอยู่ดีๆ นางก็ส่งยิ้มหวานมาให้ ทำเอาหัวใจหลี่เจี่ยนเต้นดังโครมครามเพราะรอยยิ้มนาง คำปลอบใจจ่อมาถึงริมฝีปากกลับเปลี่ยนไปจากเดิมทันใด

“สาวน้อยก็ต้องเอาอกเอาใจสิ!”

นับตั้งแต่จ้าวฉงอีก้าวเข้ามาในที่ว่าการก็คอยสังเกตสีหน้าของเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอยู่ตลอด โดยเฉพาะหลี่เจี่ยนหัวหน้ามือปราบที่ซูเจ๋อหลันสนทนาด้วย ยามเห็นหลี่เจี่ยนมองมา นางส่งยิ้มบางๆ ให้เขา และเห็นหลี่เจี่ยนยิ้มตอบนางโดยไม่รู้ตัวจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง…

เมื่อวานตอนกลางคืนพวกเขาขึ้นเขาไปเก็บกวาดรังโจรนั่น คงยังไม่พบตัวซูเสี่ยวหม่านเป็นแน่ มิเช่นนั้นเมื่อพี่ชายหัวหน้ามือปราบมองเห็นนางแล้วคงไม่มีทางสงบเยือกเย็นเช่นนี้ได้

ตอนนี้การไม่มีข่าวก็คือข่าวดี

ความเป็นไปได้ที่ซูเสี่ยวหม่านยังมีชีวิตอยู่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว

หลังได้คำตอบที่ตนเองต้องการ จ้าวฉงอีก็หันกลับไปมองสิ่งของที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นกำลังทำความสะอาด นางสังเกตเห็นลูกธนูวางกองรวมกันอยู่ในมุมหนึ่งก็เดินเข้าไปดูอย่างแนบเนียน

ส่วนทางฝั่งซูเจ๋อหลันไม่ทันเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของสหายสนิท ได้ยินคำพูดประโยคนั้นก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลกประหลาดเล็กน้อย

“ครั้งก่อนหลังดื่มสุราเจ้าบอกกับข้าว่าเด็กสาวอย่างนี้ไม่ควรเลี้ยงดูแบบตามใจแต่เล็ก”

หลี่เจี่ยนกระแอมเบาๆ นั่นมิใช่เพราะน้องสาวบ้านเขาถูกตามใจจนเกินเหตุไปหรอกหรือ เดือดร้อนถึงเขาจนที่ผ่านมาหาภรรยาไม่ได้เสียที ถึงได้ระบายความรู้สึกออกไปต่างหาก

“คราวนี้แม่นางเสี่ยวหม่านต้องเจอเรื่องร้ายแรงมา จะขอให้ตามใจสักหน่อยก็สมควรอยู่” เขากล่าวแล้วปรับสีหน้าให้จริงจังกว่าเดิม “โจรภูเขาพวกนั้นหลบหนีไปได้คนหนึ่ง ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับมาแก้แค้นหรือไม่ ช่วงนี้บอกแม่นางเสี่ยวหม่านว่าอย่าออกไปข้างนอกตามลำพังล่ะ”

ซูเจ๋อหลันรับคำด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนเอ่ยขึ้นอีกว่า “คนเจ็บที่เจ้าส่งไปเมื่อวานฟื้นแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะสูญเสียความทรงจำไปหมด กระทั่งตนเองเป็นใครก็จำไม่ได้ ทางเจ้ายังมีเบาะแสอะไรอีกหรือไม่”

“สูญเสียความทรงจำ?” หลี่เจี่ยนรู้สึกปวดศีรษะ “ตอนนายพรานเจอตัวเขา คนผู้นี้ก็บาดเจ็บสาหัสหมดสติไปแล้ว คงเจอโจรภูเขามาเหมือนกัน เบาะแสอื่นก็ไม่มีแล้ว อ้อ จริงสิ บนตัวเขามีหยกประดับห้อยเอวชิ้นหนึ่ง บนหยกมีตัวอักษรอยู่ด้วย ตอนนั้นข้ากลัวว่าจะหล่นหายจึงดึงออกมาเก็บไว้ก่อน ในเมื่อเขาฟื้นแล้ว เจ้าก็เอากลับไปให้เขาแล้วกัน ลองดูว่าจะนึกอะไรออกบ้างหรือไม่”

หลี่เจี่ยนกล่าวแล้วก็เรียกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมา ให้เขาไปหยิบหยกประดับห้อยเอวชิ้นนั้น

ซูเจ๋อหลันมองเห็นในที่ว่าการมีคนเดินสวนกันไปมาวิ่งวุ่นไม่หยุดจึงถามขึ้นว่า “นี่พวกเจ้ากำลังยุ่งเรื่องอะไรกันหรือ”

“ใต้เท้าสั่งกำชับมา เมื่อวานตอนกลางคืนพวกเราจึงไปเก็บกวาดรังโจรบนภูเขานั่น ถ้าเป็นตอนกลางวันเกรงว่าจะทำให้ผู้คนตื่นตระหนกน่ะสิ” หลี่เจี่ยนลดเสียงลงเอ่ยตอบ

ซูเจ๋อหลันพยักหน้าบอกให้รู้ว่าเข้าใจดี ขณะกำลังพูดคุยกันพอเขาหันกลับไปก็มองเห็นน้องสาวซึ่งเดิมทีรออยู่ข้างๆ อย่างเชื่อฟังไม่รู้ว่าขยับเข้าไปใกล้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นตั้งแต่เมื่อไร ในมือยังหยิบลูกธนูเปื้อนเลือดดอกหนึ่งขึ้นมาลูบเบาๆ เขาตกใจหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เห็นหลี่เจี่ยนก็มองตามไปเช่นกันจึงรีบกล่าวอย่างรู้สึกผิด

“น้องสาวข้าไม่รู้ความเอง” กล่าวจบก็เร่งฝีเท้าเดินไปหยุดข้างกายจ้าวฉงอีแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เหตุใดเจ้าถึงหยิบสิ่งนี้ขึ้นมา นี่เป็นหลักฐานสำคัญ จะหยิบขึ้นมาส่งเดชไม่ได้”…อีกอย่างลูกธนูมีคราบเลือดหยดย้อย สาวน้อยอย่างนางถือเอาไว้ไม่กลัวเลยหรือไร!

จ้าวฉงอีสำรวจดูลูกธนูไปหลายดอกแล้ว ลูกธนูเหล่านี้ส่วนใหญ่ค่อนข้างเก่าเก็บ คงเป็นของที่ยึดมาจากในรังโจร ทว่าพวกมันเป็นของธรรมดาที่ไม่อาจถอดชิ้นส่วนได้ แต่…ลูกธนูเปื้อนเลือดในมือนางดอกนี้กลับแตกต่างออกไป ลักษณะเหมือนกับลูกธนูถอดชิ้นส่วนได้ที่นางหยิบขึ้นมาในตอนนั้นทุกประการ และน่าจะมีเพียงไม่กี่ดอก ขณะคิดใคร่ครวญก็เห็นซูเจ๋อหลันเดินปรี่เข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง ต้องการหยิบลูกธนูในมือของนางออกไป นางจึงกำลูกธนูดอกนั้นไว้แน่นไม่ยอมปล่อย…

ซูเจ๋อหลันลองดึงก็ไม่ขยับ ดึงอีกครั้งก็ยังดึงออกมาไม่ได้ จึงถลึงตาใส่ซูเสี่ยวหม่านอย่างอดไม่อยู่ ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย…เสี่ยวหม่านพละกำลังมากมายปานนี้เชียวหรือ

“ไม่เป็นไร รวบรวมลูกธนูเช่นนี้ได้พอสมควร ไม่ใช่หลักฐานสำคัญอะไรหรอก อย่าทำให้แม่นางเสี่ยวหม่านตกใจกลัวสิ” หลี่เจี่ยนที่อยู่ข้างๆ รีบพูดจาไกล่เกลี่ย

ทันทีที่ได้ยินหัวหน้ามือปราบผู้นี้เอ่ยว่าลูกธนู ‘ไม่ใช่หลักฐานสำคัญอะไร’ จ้าวฉงอีก็รู้ว่าพวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นพิรุธจากลูกธนูดอกนี้มาตั้งแต่แรก มือนางออกแรงกดเบาๆ ส่วนก้านและหัวธนูแว่วเสียงดัง ‘กริ๊ก’ ก่อนจะแยกออกจากกัน

ซูเจ๋อหลันไม่คาดคิดว่าอยู่ดีๆ ลูกธนูจะหักได้ ชั่วขณะนั้นไม่ทันเก็บแรงกลับมาจึงถอยหลังไปหลายก้าวติดๆ กัน พอเงยหน้ามองตัวการเริ่มเรื่องอีกครั้งกลับเห็นว่าคนตรงหน้ายืนทรงตัวได้มั่นคงดี…เขาพลันปวดศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้หลี่เจี่ยนจะบอกว่าไม่ใช่หลักฐานสำคัญอะไร แต่ว่าถูกน้องสาวเขาทำหักเช่นนี้…ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี

เขาเข้าใจว่าเป็นเพราะการยื้อยุดของตนเองกับน้องสาวทำให้ลูกธนูดอกนี้หัก พอกำลังจะกล่าวขออภัยต่อหลี่เจี่ยนกลับเห็นน้องสาวก้มหน้ามองส่วนหัวธนูที่ยังกำอยู่ในมือแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“เอ๊ะ ในลูกธนูยังมีกลไกด้วย”

“อะไรนะ” หลี่เจี่ยนรู้สึกสนใจขึ้นมาจริงดังคาด เขาก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง เตรียมจะหยิบหัวธนูมาดู ปรากฏว่าไม่ทันระวังแตะโดนมือนางเข้า ใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันตา จึงชักมือกลับไปอย่างเก้อเขิน

จ้าวฉงอีกลับไม่ถือสาแม้แต่น้อย และไม่สังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของเขาด้วย เพียงแค่ส่งหัวธนูในมือให้เขา “ท่านดูสิ หัวธนูนี้ไม่ได้ถูกดึงยื้อจนหักนะ ตรงนี้มีแกนกดลับอยู่” นางกล่าวพลางเงยหน้ามองซูเจ๋อหลัน “พี่ใหญ่ ท่านส่งลูกธนูที่หักไปให้ข้าดูหน่อย”

ซูเจ๋อหลันหัวคิ้วขมวดโดยพลัน “เจ้าเป็นสาวเป็นนางแท้ๆ จะเข้ามายุ่งวุ่นวายเพื่อการใด”

หลี่เจี่ยนกลับไม่เห็นด้วย ยามนี้เขามองหน้าสหายสนิทด้วยความไม่พอใจ “พี่ซู เจ้าพูดเช่นนี้จะใจแคบไปหน่อยแล้ว แม่ทัพจ้าวผู้เลื่องชื่อระบือไกลของแคว้นซย่าจิ่งเราก็เป็นแม่ทัพหญิงนะ ในสนามรบไม่ด้อยไปกว่าบุรุษเลยสักนิดเดียว”

ซูเจ๋อหลันสำลักเล็กน้อย จู่ๆ ก็รู้สึกว่าวันนี้ท่าทีของหลี่เจี่ยนแปลกๆ ไปสักหน่อย…ดูเหมือนเอาใจใส่ออกหน้าออกตา อีกอย่างเหตุใดเจ้าถึงหน้าแดงเล่า

จ้าวฉงอีกลับเห็นด้วยอย่างยิ่งยวด ท่าทางราวกับปกติวีรชนล้วนมีความเห็นตรงกัน พยักหน้าติดกันหลายครั้งพร้อมกล่าวสนับสนุน

“ใช่แล้วๆ”

ซูเจ๋อหลันอดจ้องน้องสาวอย่างขุ่นเคืองแวบหนึ่งไม่ได้

หลี่เจี่ยนกลับแย่งลูกธนูมาจากมือซูเจ๋อหลันทันควัน ก่อนจะส่งให้จ้าวฉงอี “แม่นางเสี่ยวหม่าน เจ้าดูสิ”

จ้าวฉงอีรับส่วนก้านธนูนั่นจากมือเขา แสร้งทำทีลูบคลำอยู่พักหนึ่ง ถึงค่อยกดเข้ากับส่วนหัวธนูในมือตนเองเบาๆ แว่วเสียงดัง ‘กริ๊ก’ แล้วชิ้นส่วนทั้งสองก็ประกอบรวมกันเป็นลูกธนูที่สมบูรณ์อีกครั้ง

หลี่เจี่ยนเห็นดังนั้นก็รู้สึกอัศจรรย์ใจนัก “แม่นางเสี่ยวหม่าน นี่มัน…”

จ้าวฉงอีส่งลูกธนูในมือที่ประกอบเสร็จเรียบร้อยให้หลี่เจี่ยน

หลี่เจี่ยนรับมาพิจารณาดูอย่างละเอียดอยู่นาน ถึงได้ค้นพบร่องรอยผิดสังเกตบนลูกธนูดอกนั้น “ออกแบบได้ประณีตเหลือเกิน…”

จ้าวฉงอีเห็นเขาเอาแต่ถอนหายใจอย่างตกตะลึง เนิ่นนานไม่คิดเชื่อมโยงไปยังทิศทางที่นางต้องการเสียที นางลังเลอยู่ว่าจะบอกให้ละเอียดอีกนิดดีหรือไม่ แต่ในฐานะซูเสี่ยวหม่านแห่งตำบลตงหลี ถ้าหากนางปากมากกว่านี้ก็จะดูน่าสงสัยขึ้นมาน่ะสิ

ขณะกำลังลังเลก็มีคนสองคนเดินเข้ามาจากข้างนอกกะทันหัน พวกเขาล้วนมีรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดขุนนางสีครามเข้มเกือบดำเหมือนกัน จ้าวฉงอีมองแค่แวบเดียวก็หลบไปอยู่ด้านหลังซูเจ๋อหลัน…ราวกับสาวน้อยที่ทั้งขี้ขลาดและหวาดกลัวคนแปลกหน้า

ซูเจ๋อหลันเห็นน้องสาวหวาดกลัวก็รีบปกป้องนางไว้ด้านหลังแล้วยืนขวางจนบังได้มิดชิด

สองคนนั้นเดินเคียงไหล่กันเข้ามา สีหน้าเย็นชาบึ้งตึง ทั่วร่างกายและบนใบหน้าเขียนไว้เด่นหราว่าคนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ พอบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ว่าการที่ยุ่งอยู่กับงานมองเห็นสองคนนี้ก็ต่างเดินอ้อมไป ส่วนพวกเขาก็ไม่ได้สนใจไยดีใครหน้าไหน เดินตรงเข้าไปยังห้องโถงด้านใน

“สองคนนั้นเป็นคนใหญ่คนโตของหน่วยเทียนฉี มาจากเมืองหลวง หยิ่งยโสน่าดูเชียวล่ะ” หลี่เจี่ยนรอให้พวกเขาเดินเข้าไปแล้วถึงได้ลดเสียงลงบอกเล่าแผ่วเบา “พวกเขาเหมือนกำลังตามหาใครบางคนอยู่ แต่หาไม่เจอสักที…” เขาขยิบตาให้ซูเจ๋อหลัน อธิบายให้ฟังว่าเพราะเหตุใดสองคนนั้นจึงมีสีหน้าไม่พอใจ

ซูเจ๋อหลันก็เคยได้ยินชื่อของหน่วยเทียนฉี หลังจากฟังคำอธิบายแล้วก็พยักหน้ารับรู้โดยไม่ได้เอ่ยถามมากความอันใด นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาสมควรจะรู้

จ้าวฉงอีรอจนสองคนนั้นเดินหายลับไปแล้วถึงได้กล้าชะโงกศีรษะออกมา

ตามหาคน? หาใครกัน หาข้าใช่หรือไม่

แต่ตอนนี้สิ่งที่ยืนยันได้เพียงอย่างเดียวคือพวกเขาไม่ได้เปิดเผยภาพใบหน้าของนางและมอบรางวัลแก่ผู้พบเบาะแส มิเช่นนั้นหลี่เจี่ยนเห็นหน้านางแล้วคงไม่มีทางนิ่งเฉยได้ถึงเพียงนี้

การพบเจอคนของหน่วยเทียนฉีในที่ว่าการ บอกตามตรงว่าจ้าวฉงอีก็ไม่แปลกใจเท่าไรนัก อย่างไรเสียนางก็รู้มาแต่แรกแล้วว่าการกวาดล้างโจรภูเขามีผลงานของพวกเขารวมอยู่ในนั้นด้วย พี่ใหญ่ของพวกเขาอย่างโจวเวินหรานออกโรงเองเลยนะ! ทว่าตอนนี้พอเห็นหน้าพวกเขาแล้วจ้าวฉงอีก็พักความคิดอยากจะชี้แนะเตือนสติหลี่เจี่ยนต่อเอาไว้ก่อน ในเมื่อเรื่องนี้มีหน่วยเทียนฉีเข้ามาแทรกก็ไม่จำเป็นต้องให้นางปากมากอีก

โจวเวินหราน เจ้าหมอนั่นแม้นิสัยใจคอกับชื่อเสียงล้วนไม่ดีงาม แต่ความสามารถในการทำงานนับว่าไม่เลวเลย ถ้าไม่อย่างนั้นเขาอาศัยแค่มิตรภาพน้อยนิดในวัยเยาว์กับฮ่องเต้คงไม่มีทางได้รับความโปรดปรานมาง่ายดายถึงเพียงนี้ และยังเข้ามารับผิดชอบหน่วยงานสำคัญอย่างหน่วยเทียนฉีแทนฮ่องเต้เช่นนี้ นับเป็นคนสนิทของฮ่องเต้อย่างแท้จริง

“แม่นางเสี่ยวหม่าน เจ้าไม่ต้องกลัวนะ สองคนนั้นเป็นคนใหญ่คนโตจากเมืองหลวง ครั้งนี้สามารถกวาดล้างโจรภูเขากลุ่มนั้นได้อย่างราบรื่นก็ต้องขอบคุณพวกเขามากเลยล่ะ” หลี่เจี่ยนเห็นแม่นางน้อยสกุลซูผู้นั้นแอบเหม่อลอยอยู่หลังพี่ชาย คิดว่าคงตกใจกลัวเข้าแล้ว จึงเอ่ยปลอบโยนนาง

จ้าวฉงอีกะพริบตาปริบๆ ค่อยพยักหน้าตอบ พอเห็นเขาท่าทางพูดคุยด้วยง่ายก็ถามทันที “ศพของโจรภูเขาพวกนั้นเล่า”

หลี่เจี่ยนแทบสำลัก ไม่คิดว่าสาวน้อยหน้าตางดงามจะถามคำถามโหดร้ายเช่นนี้ออกมาได้ แต่คิดว่าบางทีเป็นเพราะนางต้องเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรงคราวนั้นมา จะเกลียดชังพวกโจรภูเขาก็สมเหตุสมผลอยู่ จึงกล่าวปลอบโยนต่อสักหน่อย

“ศพพวกนั้นถูกรวบรวมมาครบก็เผาทิ้งในที่เกิดเหตุไปแล้ว”

“ทั้งหมดเลยหรือ” จ้าวฉงอีซักถามต่อ

“ทั้งหมดเลย” หลี่เจี่ยนพยักหน้า

จ้าวฉงอีรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง หากไม่สามารถตรวจดูศพเหล่านั้นกับตาตนเองก็ไม่มีวันรู้ว่าตกลงพวกเขาเป็นชาวหนานเซียงหรือไม่กันแน่…ทว่าในเมื่อเรื่องนี้มีคนของหน่วยเทียนฉียื่นมือเข้ามา นางก็คงไม่จำเป็นต้องมากังวลอีก

ในตอนนี้เองเจ้าหน้าที่ที่ว่าการไปนำหยกประดับกลับมาแล้ว หลี่เจี่ยนมอบมันให้ซูเจ๋อหลัน “เช่นนั้นรบกวนพี่ซูส่งหยกประดับนี้คืนเจ้าของเดิมแล้ว”

ซูเจ๋อหลันส่งเสียงตอบกลับพร้อมรับหยกประดับมา เมื่อเห็นจ้าวฉงอีมองตามด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็รีบร้อนเก็บหยกไป ไม่ยอมปล่อยให้นางเห็นผ่านตา…ในเมื่อรู้ว่าน้องสาวเกิดความคิดที่ไม่เหมาะไม่ควร เขาในฐานะพี่ชายคนโตแน่นอนว่าต้องหยุดยั้งความคิดของนาง!

ซูเจ๋อหลันครุ่นคิดอย่างเย็นชาไร้น้ำใจ

หลังเก็บหยกประดับเรียบร้อย เห็นภายในที่ว่าการงานยุ่งล้นมือไปหมด ซูเจ๋อหลันจึงพาน้องสาวกล่าวอำลา เผื่อเลี่ยงไม่ให้นางสร้างความวุ่นวายเพิ่ม…อีกอย่างพาน้องสาวออกมาด้วย เขาจะกลับไปช้ามากไม่ได้ มิเช่นนั้นมารดารู้เข้าต้องตีเขาขาหักแน่

จ้าวฉงอีสืบเบาะแสตามที่ต้องการได้แล้ว ทั้งยังหวั่นเกรงคนจากหน่วยเทียนฉีเล็กน้อย อย่างไรเสียพวกเขาก็ปรากฏตัวแล้ว โจวเวินหรานยังจะอยู่อีกไกลได้หรือ ดังนั้นนางจึงก้าวขึ้นรถม้าอย่างเชื่อฟัง ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเพิ่ม

 

ระหว่างรถม้าวิ่งไปเสียงดังกุกกัก จ้าวฉงอีเลิกผ้าม่านขึ้น กวาดมองไปรอบๆ ตลอดเส้นทาง

บนท้องถนนมีบรรยากาศตึงเครียดอย่างบอกไม่ถูก ในฝูงชนคล้ายมีสายลับเพิ่มขึ้นมามากมาย พวกเขาแฝงตัวอยู่ท่ามกลางชาวบ้านธรรมดา แยกแยะตัวตนออกมาได้ยากพอสมควร ทว่าระหว่างเคลื่อนไหวอาจเผยให้เห็นพิรุธบางอย่าง

“บนถนนมีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมากเลย” ซูเจ๋อหลันที่บังคับรถม้าอยู่ด้านหน้าพลันเอ่ยขึ้น จากนั้นก็สั่งกำชับน้องสาวอีกรอบ “เสี่ยวหม่าน เมื่อครู่หัวหน้ามือปราบหลี่ก็บอกแล้ว ตอนกวาดล้างโจรภูเขามีพวกมันหลบหนีมาได้คนหนึ่ง ระยะนี้เจ้าพยายามอย่าออกไปที่ใดตามลำพัง”

จ้าวฉงอีเอ่ยตอบรับอย่างไม่ใส่ใจนัก พอสังเกตเห็นมีคนมองมาทางนี้นางจึงปล่อยผ้าม่านลง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: