บทที่ 9 คำว่าหรูอวี้
เมื่อรถม้าจอดหน้าประตูบ้านสกุลซู จ้าวฉงอีก้าวลงจากรถม้าก็มองเห็นเงาร่างดูลับๆ ล่อๆ ของใครบางคน หากไม่ใช่ซูปั้นซย่าที่น่าจะหันหน้าเข้าผนังสำนึกผิดอยู่แล้วจะเป็นใครได้
ซูปั้นซย่าสังเกตเห็นว่าตนเองถูกพบตัวแล้วก็ไม่ร้อนรนสักนิด ทั้งยังมองนางด้วยสายตายั่วยุอีกด้วย
จ้าวฉงอีเลิกคิ้วขึ้น นึกในใจว่าเป็นไปได้แปดส่วนที่เจ้าเด็กเกเรนี่ไปฟ้องอีกแล้ว
เป็นไปตามคาดจริงๆ พอเงยหน้าขึ้นถึงได้เห็นท่านแม่ซูยืนทำหน้าดุอยู่ในลานบ้าน
ซูเจ๋อหลันลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สุดท้ายก็…ถูกจับได้อย่างที่คิดไว้เลย
ทั้งที่พยายามกลับมาให้เร็วที่สุดแล้วเชียว
“ซูเจ๋อหลัน เจ้าไม่รู้หรือไรว่าน้องสาวเจ้าสุขภาพไม่ดี เหตุใดถึงพานางออกไปตะลอนๆ ข้างนอก” ท่านแม่ซูก้าวมาข้างหน้าก็บิดหูซูเจ๋อหลัน
ซูเจ๋อหลันที่น่าสงสารรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง เวลาอยู่ต่อหน้ามารดากลับหวาดกลัวจนแทบจะขดเป็นก้อนกลม
จ้าวฉงอีก้าวออกไปหนึ่งก้าว ขัดขวางท่านแม่ซูไว้
“ข้าเป็นฝ่ายขอให้พี่ใหญ่พาออกไปเองเจ้าค่ะ” จ้าวฉงอีอธิบายอย่างมีคุณธรรมน้ำใจยิ่ง
“เสี่ยวหม่านยังเด็กไม่รู้ความ ซูเจ๋อหลัน หรือเจ้าก็พลอยไม่รู้ความไปด้วย? เจ้าไม่รู้หรือว่าสภาพร่างกายน้องสาวเจ้าเป็นเช่นไร” ท่านแม่ซูยังถลึงตาใส่บุตรชายคนโต
จ้าวฉงอีรู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาบ้างแล้ว ท่านแม่ซูผู้นี้จะลำเอียงจนเกินไปหน่อยแล้วนะ…ซูเสี่ยวหม่านไม่เคยเป็นฝ่ายทำผิดตลอดกาล ถ้าหากมีความผิดก็เป็นความผิดของคนอื่นใช่หรือไม่
“ข้าอายุสิบเก้าแล้ว” จ้าวฉงอีตอบสีหน้าจริงจัง
ใช่สิ ซูเสี่ยวหม่านอายุเท่ากับนาง ตอนนี้ก็อายุสิบเก้าแล้ว จะว่าอย่างไรก็ตามอายุสิบเก้าก็ไม่นับว่าเป็นเด็กเล็ก สามารถแต่งงานได้แล้ว
พอเอ่ยประโยคนี้ออกไป ซูเจ๋อหลันพลันคิดถึงเรื่องที่น้องสาวเริ่มมีใจใฝ่หาความรักก็ดึงตัวนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่พูดถูกแล้ว เจ้ายังเด็ก”
“…”
อย่างไรก็ตามหลังมีเรื่องชวนขบขันนี้แทรกเข้ามา ท่านแม่ซูก็เพียงตำหนิเบาๆ เรื่องที่ซูเจ๋อหลันพาน้องสาวออกไปนอกบ้าน
จ้าวฉงอีแย้มยิ้มก่อนปรายตามองไกลๆ ไปยังซูปั้นซย่าที่ซ่อนอยู่หลังประตูแวบหนึ่ง
สายตาของจ้าวฉงอีมองจนบั้นท้ายซูปั้นซย่าปวดแปลบขึ้นมาอีกครั้ง และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซูปั้นซย่ายังรู้สึกถึงความหนาวยะเยือกที่คุ้นเคยนั่นด้วย นางรีบเผ่นหนีไปไม่กล้ารั้งรออยู่อีก
ณ เรือนหน้า โจวเวินหรานประสาทตึงเครียดอยู่ตลอด เฝ้ารอให้จ้าวฉงอีมาหาเขาอีกครั้ง และยังนึกจำลองสถานการณ์ในสมองซ้ำไปซ้ำมาว่าถ้านางมาหา เขาสมควรมีท่าทีตอบสนองเช่นไร
ปรากฏว่าจ้าวฉงอีกลับไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด ราวกับลืมไปแล้วว่ามีคนเช่นเขาผู้นี้อยู่ พอเห็นว่าท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้วผู้บัญชาการโจวจึงอดขุ่นเคืองขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ สายตาที่มองเขาก่อนเดินออกจากห้องไปวันนั้นบอกเป็นนัยว่านางจะกลับมาหาเขาอีกชัดๆ
ผลสุดท้ายน่ะหรือ…
ก็แค่นี้?
ผู้บัญชาการโจวไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
ขณะกำลังไม่สบอารมณ์ จู่ๆ ได้ยินเสียงด้านนอกมีคนเคาะประตู โจวเวินหรานประสาทตึงเครียดฉับพลัน มาแล้วๆ พูดถึงเฉาเชา เฉาเชาก็มา!*
ประตูถูกผลักเปิดออก
ผู้ที่เดินเข้ามาคือซูเจ๋อหลันบุตรชายคนโตสกุลซู…โจวเวินหรานท้อแท้ใจอยู่บ้าง เหมือนพลังที่สะสมมาเนิ่นนาน สุดท้ายกลับคล้ายกำหมัดชกใส่ปุยนุ่นอย่างนั้น
แม้ว่าในเวลานี้จะนอนพักรักษาตัวเงียบๆ อยู่บนเตียงไปที่ใดไม่ได้ ทว่าสุดท้ายแล้วผู้บัญชาการโจวก็มีฐานะเป็นคนทำงานด้านข่าวกรอง เขาทำความเข้าใจทุกเรื่องที่จำเป็นต้องรู้จากศิษย์ฝึกหัดตัวน้อยซึ่งคอยมาส่งข้าวส่งยาเรียบร้อยแล้ว
เรื่องที่ทำให้เขาฉงนสนเท่ห์ที่สุดคือ…ศิษย์ฝึกหัดคนนั้นบอกว่าจ้าวฉงอีคือคุณหนูรองของสกุลซูนามว่าซูเสี่ยวหม่าน
ซูเจ๋อหลันทำหน้าตึงเดินเข้ามา ถึงเขาจะเป็นวิญญูชน แต่พอคิดว่าบุรุษที่ล้มหมอนนอนเสื่อผู้นี้อาศัยเพียงหน้าตาก็ล่อลวงหัวใจน้องสาวของเขาไปได้แล้วก็ยังคงรักษาสีหน้าปกติไว้ไม่ได้อยู่ดี เขายื่นมือส่งหยกประดับที่นำกลับมาจากที่ว่าการให้อีกฝ่ายตรงๆ พร้อมกล่าวอย่างเย็นชา
“นี่คือหยกประดับของเจ้า”
โจวเวินหรานมองเห็นหยกประดับ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขาไม่ลืมว่าตอนนี้ตนเองต้องสูญเสียความทรงจำ จึงรับหยกชิ้นนั้นมาด้วยสีหน้างุนงง
“หยกประดับ…ของข้า?”
พอเห็นคนเจ็บมีสีหน้างุนงง ใบหน้าซูเจ๋อหลันก็ไม่บึ้งตึงเท่าเดิมแล้ว อย่างไรเสีย…หน้าตาดูดีก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้าตัวสักหน่อย
เขากระแอมเบาๆ “หัวหน้ามือปราบหลี่ที่ที่ว่าการฝากข้าเอามาคืนเจ้า เขาบอกว่าตอนนายพรานบนภูเขาพบเจ้า ร่างกายเจ้าบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ คงเป็นเพราะเจอกับโจรภูเขาเข้า ตอนนั้นบนร่างเจ้าห้อยหยกประดับชิ้นนี้ เขากลัวว่าจะหล่นหายจึงดึงมาเก็บไว้ก่อน พอรู้ว่าเจ้าได้สติแล้วก็ฝากข้าเอากลับมาให้” เขาอธิบายแล้วหยุดชะงักชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยเตือนอีกว่า “บนหยกประดับชิ้นนี้มีตัวอักษรด้วย เจ้าลองดูว่าจะนึกอะไรออกบ้างหรือไม่”
“ขอบคุณมาก” โจวเวินหรานหลุบสายตาลงมองตัวอักษรบนหยก ท่าทางคล้ายพยายามนึกถึงบางสิ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “…ข้ายังนึกอะไรไม่ออกเลย”
ซูเจ๋อหลันเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าหดหู่ก็แข็งใจตำหนิอย่างรุนแรงไม่ลง ทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ช่างเถิด เจ้าก็พักรักษาอาการบาดเจ็บอย่างสบายใจไปแล้วกัน อย่าเพิ่งไปคิดอะไรมาก”
“รบกวนท่านแล้ว” โจวเวินหรานเอ่ย
ซูเจ๋อหลันส่ายหน้าแล้วหมุนกายเดินออกไป
โจวเวินหรานมองส่งซูเจ๋อหลันจากไป มือลูบไล้หยกประดับที่ได้กลับคืนหลังทำหายไป บนหยกสลักตัวอักษรสองตัวคือ ‘หรูอวี้’
คนในครอบครัวนี้เป็นคนดีกันทั้งนั้น โจวเวินหรานคิดอย่างสุขุม แต่ซูเสี่ยวหม่านผู้นั้นดูแปลกๆ นิดหน่อย…ตกลงนางใช่จ้าวฉงอีหรือไม่กันแน่ หากนางคือจ้าวฉงอี ต่อให้ก่อนหน้านี้ไม่อาจยืนยันว่าข้าคือใคร ตอนนี้เห็นหยกประดับชิ้นนี้ก็น่าจะรู้ฐานะของข้าแล้วกระมัง
นาง…จะทำอย่างไร
โจวเวินหรานส่งเสียง ‘จิ๊’ เบาๆ สีหน้ากลัดกลุ้มบูดบึ้งอยู่บ้าง เขาไม่ได้ลิ้มรสชาติในยามที่อำนาจชี้เป็นตายอยู่ในมือผู้อื่น ส่วนตนเป็นเพียงเนื้อบนเขียงมานานแล้ว
น่าอึดอัดจริงๆ
“ฮัดชิ่ว!” หลังกินอาหารเย็นจ้าวฉงอีที่ถูกท่านแม่ซูคุมตัวส่งกลับห้องมาพักผ่อนแล้วจามออกมาหนหนึ่ง นางถูจมูกพลางบ่นพึมพำ “นี่ใครกำลังคิดถึงข้าขึ้นมาอีกเนี่ย เข้ากับคนอื่นได้ดีเกินไป ช่วยไม่ได้จริงๆ ล่ะนะ”
จ้าวฉงอีมั่นใจในตนเองด้วยเหตุผลพิลึกพิลั่น นางเดินมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เพ่งพินิจใบหน้าที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งในคันฉ่อง ยังนึกภาพแทบไม่ออกเลยว่าบนโลกนี้จะมีใครคนหนึ่งหน้าตาเหมือนนางทุกประการเช่นนี้ได้อย่างไร…
ผ่านไปพักใหญ่นางก็พรูลมหายใจยาวๆ
ตอนนี้ซูเสี่ยวหม่านอยู่ที่ใดกันนะ
คนของหน่วยเทียนฉีก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล นางยังต้องอาศัยฐานะซูเสี่ยวหม่าน ถึงจะปิดบังหูตาของพวกเขาได้
จ้าวฉงอีนวดคลึงพวงแก้ม จู่ๆ ก็รู้สึกคล้ายว่าตนเองลืมเรื่องบางอย่างไป…เป็นเรื่องอะไรกันนะ นางเอียงศีรษะคิดทบทวนก็ยังคิดไม่ออก จึงโยนเรื่องนี้ออกไปจากสมอง คงไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใดกระมัง ถึงอย่างไรถ้าหากเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ก็คงไม่มีทางลืมง่ายดายปานนี้
นางลุกขึ้นเคลื่อนไหวคลายเส้นเอ็นและกระดูกพักหนึ่ง ขณะเตรียมตัวจะนอนพักผ่อน อยู่ดีๆ ก็มีเสียง ‘ก๊อกๆๆ’ ดังมาจากตรงหน้าต่างราวกับมีอะไรกำลังเคาะหน้าต่างอยู่ นางลุกขึ้นขยับเข้าใกล้ริมหน้าต่างอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็ผลักหน้าต่างออกไปด้วยความว่องไว คว้าสิ่งที่ก่อกวนอยู่ด้านนอกไว้ทันทีแล้วถือโอกาสปิดหน้าต่างให้สนิท
“กรู๊วๆ” เจ้าสิ่งที่ถูกนางจับไว้ในมือเอียงศีรษะ ดวงตาดั่งเมล็ดถั่วดำคู่หนึ่งกะพริบวิบวับ ท่าทางเชื่องดีเหลือเกิน
นกพิราบสีเทาแซมขาวตัวหนึ่งหรือ ช่างอ้วนท้วนสมบูรณ์จริงๆ ทั้งยังขนเรียบลื่นเป็นมันเงา
สองฝ่ายต่างมองตากันปริบๆ จ้าวฉงอีสับสนไปชั่วขณะ ก่อนสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าบนขานกพิราบผูกกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ เอาไว้ สายตาพลันฉายแววตกตะลึง นางยื่นมือไปแกะกระบอกไม้ไผ่แล้วปล่อยนกพิราบส่งสารตัวนั้น
ในกระบอกไม้ไผ่มีจดหมายฉบับหนึ่ง
จ้าวฉงอีเปิดจดหมายด้วยสีหน้าจริงจัง ระหว่างนั้นนางก็คิดฟุ้งซ่านไปหลายเรื่อง เป็นกองทัพสกุลจ้าวมีปัญหา หรือเกิดอะไรขึ้นกับหนานชิว หรือว่าเสี่ยวจิ่วมีข่าวสำคัญอะไร หรือว่าจะ…
พอนางอ่านจดหมายฉบับนั้น การคาดคะเนที่ไม่เกี่ยวข้องกันสารพัดอย่างพลันหยุดชะงักลงกลางคัน
พูดง่ายๆ ว่า…นี่เป็นจดหมายรักฉบับหนึ่ง
นี่เป็นจดหมายรักที่เขียนถึงซูเสี่ยวหม่าน เขียนมาหนึ่งหน้ากระดาษเต็มๆ ล้วนเป็นถ้อยคำและประโยคหวานเลี่ยนชวนให้ใจว้าวุ่นอย่าง ‘เจ้าคือแก้วตา เจ้าคือดวงใจของข้า หนึ่งวันไม่เห็นหน้าเจ้า ข้าก็คิดถึงเหลือเกิน’ ทำนองนี้
…กระทั่งพวกนักรบที่ไม่แตกฉานด้านบทประพันธ์กลอนกวีอย่างจ้าวฉงอียังมองสภาพเหมือนสุนัขผายลมไม่ทะลุ ของจดหมายฉบับนี้ออกเลย ระคายลูกตามากจริงเชียว
จ้าวฉงอีมองข้ามเนื้อความทั้งหมดไปยังส่วนลงนามท้ายจดหมาย ซึ่งลงท้ายด้วยสามตัวอักษร ลายมือดุจสุนัขคลานว่า ‘เจิ้งจื่ออั๋ง’
หืม? แซ่เจิ้ง? เจิ้งจื่ออั๋ง?…คางคกที่อยากกินเนื้อหงส์ตัวนั้น?
จ้าวฉงอีเหลือบมองนกพิราบตัวอ้วนที่กระโดดขึ้นมาบนโต๊ะแวบหนึ่ง เจ้าพิราบกำลังแหงนหน้ามองนางอย่างโง่งม ทั้งยังใช้จะงอยปากไซ้ขนปีกเล็กน้อยเป็นครั้งคราว คล้ายกำลังรอให้นางเปิดหน้าต่างปล่อยมันออกไป
จ้าวฉงอีมองสำรวจนกพิราบตัวอ้วนขึ้นๆ ลงๆ แล้วหัวเราะออกมากะทันหัน
“กรู๊วๆ” นกพิราบตัวอ้วนเอียงศีรษะมองคล้ายไม่เคยรับรู้ว่าโลกนี้แสนอันตราย
จ้าวฉงอียื่นมือไปคว้าเจ้านกพิราบไว้มั่น จากนั้นก็เปิดประตูเดินออกไป
เพิ่งเดินออกจากลานบ้านก็มองเห็นซูเจ๋อหลัน หลังซูเจ๋อหลันส่งหยกประดับคืนเจ้าของเดิมแล้วก็กำลังเดินออกมาจากเรือนหน้า พอเขามองเห็นน้องสาวก็จ้องนางด้วยสีหน้าระแวดระวังทันที
“เวลานี้เจ้าไม่พักผ่อนอยู่ในห้อง วิ่งมาเรือนหน้าอีกเพราะเหตุใด”
จ้าวฉงอีมีสีหน้าแปลกประหลาด “ข้าไม่ได้จะไปเรือนหน้าเลยนะ…”
“อย่ามาเถียงข้างๆ คูๆ เจ้าจะมาดูคุณชายผู้นั้นกระมัง” ซูเจ๋อหลันมีท่าทางประหนึ่งข้ามองเจ้าออกทะลุปรุโปร่งแล้ว
มาดูคุณชาย…ผู้นั้น? อ๋อ!
จ้าวฉงอีเข้าใจกระจ่างโดยพลัน นางนึกอยู่แล้วว่าตนเองลืมเรื่องอะไรไปสักอย่าง! ตอนนั้นนางรับปากคุณชายผู้นั้นว่าจะไปเยี่ยมเขาอีก ถึงแม้นึกเรื่องนี้ออกแล้ว ทว่าเวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับซูเจ๋อหลัน นางย่อมกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ และ…เดิมทีนางก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปเรือนหน้าเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้นางจึงชูนกพิราบในมือตัวนั้นขึ้นมาให้เขาดู
“เปล่าสักหน่อย ข้าจะไปห้องครัว”
ครั้นซูเจ๋อหลันมองเห็นนกพิราบตัวอ้วนในมือนาง เขาก็ถอนหายใจพลางชื่นชมออกมาประโยคหนึ่งโดยไม่รู้ตัว “พิราบอ้วนท้วนดีจริง! มันมาจากที่ใดกัน”
“มันบินมาถึงห้องของข้าเองเลย” จ้าวฉงอีแย้มยิ้มบางๆ
เจ้านกพิราบตัวสั่นเทาหลังจากรู้ตัว
“เจ้าตั้งใจจะเอาไปที่ห้องครัวให้ยายเฒ่าเฝิงตุ๋นน้ำแกงหรือ” ซูเจ๋อหลันถามขึ้นประโยคหนึ่งตามสัญชาตญาณ
นกพิราบตัวอ้วนยิ่งสั่นสะท้านหนักกว่าเดิม
จ้าวฉงอีมีสีหน้าประหลาดใจ “ท่านอยากกินนกพิราบน่ารักเช่นนี้หรือ”
“…ไม่อย่างนั้นเล่า”
“แน่นอนว่าจะเลี้ยงน่ะสิ!” จ้าวฉงอีตอบอย่างสมเหตุสมผล
ซูเจ๋อหลันถูกน้องสาวมองด้วยสีหน้าตำหนิว่าท่านโหดร้ายจริงๆ จนเขาเริ่มรู้สึกสงสัยในตนเองขึ้นมา “แต่เจ้าจะพามันไปห้องครัวไม่ใช่หรือ”
“ข้าแค่อยากไปหายายเฒ่าเฝิงขอกรงไม้ไผ่สักกรงมาเลี้ยงมันต่างหาก” จ้าวฉงอีย้อนระลึกถึงสีหน้าของคุณหนูซุน นางเอียงศีรษะเล็กน้อย บนใบหน้าเผยให้เห็นทั้งความไร้เดียงสาและความจริงจังขึ้นมา
…คงจะน่ารักทีเดียว คุณหนูสกุลซุนทำเช่นนี้แล้วน่ารักมากเลย จ้าวฉงอีครุ่นคิดอย่างพึงพอใจไม่น้อย
ซูเจ๋อหลันโบกมืออย่างเหนื่อยล้าอยู่บ้าง “ไปเถอะๆ ได้กรงมาก็รีบกลับห้องไปพักผ่อนเสีย เดี๋ยวท่านแม่เห็นเข้าจะบ่นอีก”
“เข้าใจแล้ว” จ้าวฉงอีรับปากอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นก็จับนกพิราบตัวอ้วนไว้แล้วหมุนกายเดินไปยังห้องครัว
บทที่ 10 ขนมฟักเชื่อม
จ้าวฉงอีหยิบกรงไม้ไผ่กรงหนึ่งมาจากห้องครัวแล้วโยนนกพิราบตัวอ้วนเข้าไป จากนั้นก็ปิดประตูกรงอย่างเย็นชาไร้น้ำใจ เตรียมหิ้วกรงนกเดินกลับห้องของตนโดยมีดวงตาดั่งเมล็ดถั่วดำของนกตัวนี้จ้องเขม็ง ก่อนกลับยังหยิบเมล็ดข้าวโพดกำหนึ่งมาป้อนมันอีกด้วย ยายเฒ่าเฝิงยังมอบขนมฟักเชื่อมถุงเล็กๆ ให้นางอย่างกระตือรือร้น
จ้าวฉงอีขอบคุณยายเฒ่าเฝิง นางหิ้วกรงนกพร้อมถือข้าวโพดกับขนมฟักเชื่อมกลับไปเต็มไม้เต็มมือ
ก่อนหน้านี้นางคาดเดาว่าซูเสี่ยวหม่านถูกคนของแคว้นหนานเซียงลักพาตัวไป บางทีอาจเพราะเข้าใจผิดว่าซูเสี่ยวหม่านคือนาง ดังนั้นถ้าคนที่ลักพาตัวซูเสี่ยวหม่านไม่คิดพานางกลับหนานเซียงก็คงพานางกลับเมืองหลวง นางตั้งใจจะฝากคนของเสี่ยวจิ่วให้ช่วยจับตาดูเส้นทางที่มุ่งหน้าไปเมืองหลวงสักหน่อย รวมถึงชายแดนติดหนานเซียงว่ามีร่องรอยของซูเสี่ยวหม่านบ้างหรือไม่ กำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะส่งจดหมายให้เสี่ยวจิ่วอย่างไรดี นี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกหรือ!
นกพิราบส่งสารที่ถูกเลี้ยงไว้ในบ้านทั่วไปล้วนใช้ประโยชน์จากสัญชาตญาณหวนคืนรัง แต่เสี่ยวจิ่วชอบทำของแปลกพิลึกพิลั่นบางอย่าง นางศึกษาค้นคว้ากรงนกพิราบแบบหนึ่งขึ้นมาได้ สามารถทำให้นกพิราบส่งสารหลงทาง จำบ้านของมันไม่ได้ และจำนางได้คนเดียว…ขอแค่ใส่แผ่นเหล็กขนาดเล็กชิ้นหนึ่งลงในกระบอกไม้ไผ่ที่ใช้ส่งสารก็ทำได้แล้ว
จ้าวฉงอียิ้มตาหยียามป้อนอาหารให้นกพิราบตัวอ้วน จากนั้นก็วางแผนว่าจะไปเรือนหน้าเยี่ยมเยียนคุณชายที่เสียความทรงจำผู้นั้นสักครู่ พอเอ่ยถึงเรื่องนี้นางเลยนึกได้ว่าเกือบลืมไปแล้ว ยังดีที่ซูเจ๋อหลันเตือนสติ
พอเดินมาถึงหน้าประตูนางยังหันกลับไปหยิบขนมฟักเชื่อมที่ยายเฒ่าเฝิงให้มาแล้วค่อยเดินออกไปด้วยฝีเท้าว่องไว
ซูเจ๋อหลันเฝ้ามองจ้าวฉงอีเดินไปห้องครัว ทั้งยังหิ้วกรงนกกลับห้องตนเอง ด้วยเหตุนี้เขาเลยวางใจและไปพักผ่อน ไม่คาดคิดว่าน้องสาวจะตอบโต้อย่างกะทันหันเลยสักนิด
ดังนั้นจ้าวฉงอีจึงเดินอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคมาตลอดทางและเข้าเรือนหน้าไปอย่างเปิดเผย
ตอนนางผลักประตูเดินเข้ามา โจวเวินหรานกำลังรู้สึกกระหายน้ำพอดี เขาลุกขึ้นมารินน้ำชาดื่มสักถ้วย เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเขาก็หันขวับกลับไป
ครั้นมองเห็นใบหน้าที่บ่นถึงมาทั้งวันอย่างไม่ทันตั้งตัว โจวเวินหรานก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง ถ้วยน้ำชาในมือพลันร่วงลงบนโต๊ะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“เอ๊ะ ท่านระวังหน่อยสิ” จ้าวฉงอีเห็นภาพตรงหน้าก็รีบเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาประคองเขานั่งลง
โจวเวินหรานนั่งลงอย่างตัวแข็งทื่อเล็กน้อย ในมือซ่อนเศษเครื่องเคลือบแหลมคมชิ้นหนึ่งเอาไว้
จ้าวฉงอีหันไปหยิบถ้วยใบใหม่มารินน้ำชาให้เขาอีกครั้ง
โจวเวินหรานรับถ้วยใบนั้นมาเงียบๆ แล้วก้มศีรษะดื่ม ความจริงน้ำชาก็แค่แตะริมฝีปาก ไม่ไหลผ่านลำคอลงไปแม้แต่หยดเดียว…นี่เป็นความรู้สึกระมัดระวังที่เกิดจากการทำงาน ถ้าหากว่ามีพิษเล่า
“วันนี้รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง” จ้าวฉงอีสอบถามอย่างห่วงใย
โจวเวินหรานสบตานางแวบหนึ่ง พยักหน้าตอบรับอย่างเชื่องช้า “รบกวนแม่นางต้องเป็นห่วงแล้ว”
จู่ๆ จ้าวฉงอีก็รู้สึกร้อนตัวขึ้นมา ความจริงแล้วนางไม่ได้เป็นกังวลเรื่องของเขามากนัก…เสี่ยวจิ่วมักพูดเสมอว่านางเป็นคนทำอะไรไม่รู้จักคิด ไม่ว่าเรื่องใดล้วนไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจ พอในใจร้อนรน นางก็รีบควักถุงขนมฟักเชื่อมของยายเฒ่าเฝิงออกมา
“ท่านจะลองชิมดูหรือไม่” นางเปิดถุงผ้าเล็กๆ ออก
นี่คือ…เอามาให้ข้าหรือ
โจวเวินหรานเหลือบมองของในถุงผ้าแวบหนึ่ง ยังคงไม่ขยับเขยื้อน
เขาไม่ขยับ แต่จ้าวฉงอีกลับน้ำลายสอนิดๆ แล้ว ขนมฟักเชื่อมพวกนั้นเป็นประกายแวววาว ผิวนอกคล้ายมีน้ำค้างแข็งจับตัวกันชั้นหนึ่ง มองดูล่อตาล่อใจเหลือเกิน เลยอดใจไม่ไหวขอกินก่อนเพื่อแสดงความเคารพแล้ว
พอขนมเข้าปากก็รับรู้ได้ว่าขนมฟักเชื่อมทั้งเหนียวนุ่มและหอมหวาน นางกินจนดวงตาสองข้างหรี่ลง
โจวเวินหรานเห็นนางกินถึงได้ยื่นมือไปหยิบชิ้นหนึ่งแล้วค่อยๆ เอาใส่ปาก
“มันอร่อยมากเลยใช่หรือไม่!” จ้าวฉงอีอดใจไม่ไหวจึงมองหาแนวร่วม
โจวเวินหรานขบเคี้ยวขนมฟักเชื่อมในปากอย่างเชื่องช้า รสสัมผัสในปากนั้นค่อนข้างประหลาด มีความหวานเลี่ยนและยังเจือกลิ่นหอมแปลกๆ เล็กน้อย แต่เห็นนางเฝ้ามองด้วยสีหน้าคาดหวัง…ก็เหมือนจะอร่อยมากจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก นับเป็นการแสดงออกให้รู้ว่าเห็นด้วยกับความคิดนาง
“นี่เป็นขนมที่ยายเฒ่าเฝิงทำ ฝีมือการทำครัวของยายเฒ่าเฝิงดีมากเลย เกาลัดคั่วน้ำตาลที่นางทำก็อร่อย หากครั้งหน้ามีอีกข้าจะเอามาให้ท่านลองชิมนะ” จ้าวฉงอีเอ่ยพลางยิ้มตาหยี นางมีความสุขกับการแบ่งปันมากทีเดียว โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายยังเป็นถึงคนงาม
โจวเวินหรานจ้องมองนางอย่างเงียบงัน จู่ๆ ก็เอ่ยปากว่า “เมื่อครู่คุณชายซูมาที่นี่ด้วย นำหยกประดับมาให้ข้าชิ้นหนึ่ง”
จ้าวฉงอีพยักหน้าตอบ นางหยิบขนมฟักเชื่อมใส่ปากอีกชิ้นพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว วันนี้ข้ากับพี่ใหญ่ไปที่ว่าการมาด้วยกัน หัวหน้ามือปราบในที่ว่าการฝากพี่ใหญ่นำกลับมาให้ บอกว่าเดิมทีเป็นของที่ห้อยอยู่บนตัวท่าน แต่เห็นท่านหมดสติไปกลัวจะหล่นหายก็เลยดึงออกมาเก็บไว้ วันนี้ได้ยินว่าท่านฟื้นแล้วจึงส่งกลับคืนเจ้าของเดิม” กล่าวจบนางก็มองหน้าเขา “ท่านเห็นหยกประดับชิ้นนั้นแล้ว นึกอะไรออกบ้างหรือไม่”
โจวเวินหรานส่ายหน้า จับสังเกตสีหน้าของนาง เขาตัดสินใจแล้วว่าหากจ้าวฉงอีชักสีหน้า เขาก็จะยืนกรานหนักแน่นว่าตนสูญเสียความทรงจำ…ไม่เชื่อหรอกว่านางจะลงมือกับคนที่ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างได้ลง เขารู้ว่าจ้าวฉงอีมีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่งคือให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำใจ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านไปบ้าง แล้วก็ไม่นิยมรังแกคนอ่อนแอ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่มั่นใจว่านางจะขึ้นเขามาปราบโจรจนประสบความสำเร็จกับการเฝ้าตอรอกระต่าย
…แม้ตอนนี้ผลลัพธ์ที่เป็นอยู่ยังซับซ้อนยากจะอธิบาย แต่อย่างน้อยเขาก็คาดเดาครึ่งแรกได้แม่นยำ!
ใครจะรู้ว่าพอจ้าวฉงอีปัดๆ เศษเกล็ดน้ำตาลบนมือแล้วจะเอ่ยว่า “หยกประดับของท่านให้ข้าดูได้หรือไม่”
“เจ้ายังไม่ได้ดูหรือ” โจวเวินหรานตะลึงงัน
“พี่ใหญ่เขาเป็นวิญญูชนน่ะสิ รับการไหว้วานจากผู้อื่นให้ส่งมันคืนเจ้าของเดิม จะให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเช่นข้าดูได้อย่างไร ถึงเป็นน้องสาวก็ไม่ยอม” จ้าวฉงอีเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ซูเจ๋อหลันก็มีนิสัยเช่นนี้ เพราะฉะนั้นจ้าวฉงอีจึงไม่พยายามเอ่ยปากขอดูหยกประดับ
โจวเวินหรานคิดไม่ถึงว่าเขาใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบคนเดียวอยู่นานสองนาน คิดฟุ้งซ่านไปว่าจ้าวฉงอีเห็นหยกประดับของเขาแล้วจะมีท่าทีอย่างนั้นอย่างนี้ ผลสุดท้าย…นางกลับยังไม่ได้เห็นมันเลยหรือ
เขาเริ่มลังเลขึ้นมาเล็กน้อย หรือข้าสมควรหาเหตุผลสักข้อปฏิเสธไม่ให้นางดู แต่…ถ้าหากคนสูญเสียความทรงจำเช่นข้าปฏิเสธไปยามนี้จะยิ่งดูไม่เหมาะสม หรือว่านี่จะเป็นแค่การหยั่งเชิงของนาง?
ภายในหัวโจวเวินหรานความคิดหมุนวนเร็วรี่ แต่เพียงเวลาชั่วพริบตาเขาก็ตัดสินใจได้แล้ว
เขาหยิบหยกประดับชิ้นนั้นจากในอกเสื้อส่งให้นาง
จ้าวฉงอีรับหยกประดับมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พินิจพิจารณาอย่างละเอียดประเดี๋ยวหนึ่งก็เอาไปส่องสะท้อนกับแสงเทียน เป็นหยกสีขาวเกลี้ยงเกลาที่เปล่งประกายแวววาว บนหยกแกะสลักลวดลายเมฆและค้างคาวคล้ายคทาหรูอี้ ทั้งยังแกะสลักอักษรไว้สองตัว หน้าตาเหมือนกับตราประทับอันหนึ่ง ฝีมือประณีตวิจิตรยิ่งนัก
จ้าวฉงอีมองดูอักษรสองตัวนั้น อ่านออกเสียงเบาๆ “หรูอวี้”
โจวเวินหรานจ้องมองสีหน้าของนางไม่ละสายตา เส้นประสาทตึงเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“เป็นชื่อของท่านหรือไม่” จู่ๆ จ้าวฉงอีก็มองไปที่เขาพร้อมเอ่ยถาม
โจวเวินหรานกำลังจ้องนางเขม็ง ไม่คาดคิดว่านางจะมองมากะทันหันจึงรีบเบนสายตาหนีทันใดราวกับเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับ จากนั้นก็เห็นนางพลันโน้มตัวมาข้างหน้า เขาบีบเศษกระเบื้องในมือแน่นขึ้นตามสัญชาตญาณ…หากเข้ามาใกล้อีกนิดเขาก็จะฉวยโอกาสตอนอีกฝ่ายไม่ทันระวังได้ หืม?
จ้าวฉงอีใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดพรายบนหน้าผากให้เขา “ท่านเป็นอะไรไป เหตุใดเหงื่อออกมากถึงเพียงนี้ ไม่สบายตรงที่ใดหรือ”
นางคิดแล้วก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อยว่าในเวลาเช่นนี้สมควรใช้ผ้าเช็ดหน้า แต่จนใจที่นางเป็นคนหยาบกระด้าง มักจะลืมพกผ้าเช็ดหน้ามาด้วย ทำได้แค่ใช้แขนเสื้อ…ถึงอย่างไรก็ดูบุ่มบ่ามล่วงเกินคนงามไปไม่น้อยแล้ว
กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวโชยมาปะทะใบหน้า โจวเวินหรานรู้สึกว่าร่างกายตนเองแข็งทื่อเป็นก้อนหินไปเรียบร้อย สมองถึงกับใช้งานไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง
…ไม่ถูกสิ นี่จะต้องเป็นแผนลวงของนางแน่ อุบายหญิงงามอะไรทำนองนั้น จะดูถูกข้าเกินไปแล้วจริงๆ!
“คุณชาย? คุณชาย?” จ้าวฉงอียื่นมือมาโบกตรงหน้าเขา “สีหน้าท่านดูไม่ค่อยดี ข้าประคองท่านขึ้นเตียงนอนพักดีกว่า”
“…ขอบคุณมาก” โจวเวินหรานขยับริมฝีปาก ได้ยินตนเองตอบกลับไปเช่นนี้
จ้าวฉงอีประคองเขาขึ้นไปบนเตียงแล้วยังพยุงเขานอนลง ถึงค่อยส่งหยกประดับในมือคืนให้
“เนื้อหยกประดับชิ้นนี้ดีมากเลย บางทีตัวอักษรที่สลักไว้บนหยกอาจเกี่ยวข้องกับชื่อของท่าน ถ้าหากยังนึกไม่ออกท่านก็อย่าเพิ่งไปคิดมากเลย พิษนั่น…ทำร้ายสุขภาพนัก ท่านถอนพิษออกให้หมด พักรักษาตัวจนหายดีแล้วค่อยว่ากันเถอะ” จ้าวฉงอีใช้น้ำเสียงนุ่มนวลปลอบโยนเขาอย่างเต็มที่
หลักๆ เป็นเพราะมองคนงามใต้แสงตะเกียงแล้ว…อืม ดูงามยิ่งกว่าเดิม
นางทนเห็นคนงามทุกข์ทรมานไม่ได้จริงๆ
สายตาโจวเวินหรานเป็นประกายวิบวับ “ได้”
จ้าวฉงอีจึงช่วยเหน็บมุมผ้าห่มให้เขา “เช่นนั้นท่านก็พักผ่อนให้ดีๆ เดี๋ยวข้าจะมาเยี่ยมท่านอีก”
โจวเวินหรานมองนางโน้มตัวลงมาส่งยิ้มให้ ยังช่วยเหน็บมุมผ้าห่มให้เขาอีก แล้วก็จะออกไปทั้งอย่างนี้
จะออกไปทั้งอย่างนี้?
นางจำหยกประดับที่ข้าพกติดตัวไม่เคยห่างชิ้นนั้นไม่ได้? นางไม่รู้ว่าโจวเวินหรานผู้บัญชาการหน่วยเทียนฉีมีอีกชื่อว่าหรูอวี้?
ผ่านไปพักใหญ่โจวเวินหรานก็หัวเราะเบาๆ ทีหนึ่งแล้ววางเศษกระเบื้องเคลือบในมือไว้ใต้หมอน ก่อนจะตะแคงตัวมองถุงผ้าเล็กๆ บนโต๊ะที่ใส่ขนมฟักเชื่อมแวบหนึ่ง
นี่นางเอาไว้ให้ข้าใช่หรือไม่…เมื่อครู่นางกินแล้วดวงตาหยีโค้ง มองดูก็รู้ว่าชอบกินมาก
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนตุลาคม 2568)
Comments
comments
No tags for this post.