บทนำ
Heaven
ชนาพรสวมชุดเดรสสีขาวยาวจรดข้อขา ปลายกระโปรงสะบัดไหวพลิ้วไปมายามหมุนร่างสำรวจหาทิศ ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันคลุ้ง สองเท้าเปลือยก้าวไปตามเส้นทางขมุกขมัวอันลึกลับ ยิ่งย่างกรายถลำลึกไกลจากจุดเริ่มต้นมากเท่าไหร่ อุณหภูมิรอบกายยิ่งลดต่ำลงจนคนหลงทางรู้สึกหนาวเหน็บ แขนขาวสองข้างยกกอดให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายตัวเอง หันรีหันขวางเห็นแต่ความว่างเปล่าราวกับว่าเธออยู่ ณ ที่นี้เพียงลำพังผู้เดียว
ทว่าชั่วอึดใจควันหนาตาก็จางลงและเลือนหายไปในที่สุด ปรากฏให้เห็นร่างของเด็กเพศชายอายุประมาณห้าขวบเศษ ส่วนสูงราวร้อยแปดเซนติเมตร หน้าฝรั่ง มีลูกตาสีครามเป็นประกายสดใส กำลังนั่งไถรถของเล่นในมือไปมาอย่างสนุกสนาน
เมื่อคนเคว้งคว้างได้พบเพื่อนตัวน้อย เธอไม่รีรอ รีบสาวเท้าพุ่งไปทางเป้าหมายอย่างมีความหวังแล้วย่อตัวลงนั่งคุกเข่าข้างๆ เด็กชายคนดังกล่าว
“ที่นี่คือที่ไหนเหรอจ๊ะ”
คำถามของผู้ใหญ่แปลกหน้าลอยหายไปกับสายลม เด็กน้อยไม่ชำเลืองหางตามองเธอเลยด้วยซ้ำ เอาแต่ก้มหน้า ส่งเสียงบรื้นๆ และไถรถของเล่นในมือแล่นไปแล่นมากลางอากาศ
คนโดนเด็กเมินขมวดคิ้วยุ่งพลางนับหนึ่งถึงสิบวินาทีในใจแล้วปั้นรอยยิ้มกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม เธอเอื้อมมือไปสัมผัสหัวไหล่เล็กนั้นอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าคนตัวจิ๋วจะตกใจกลัว ได้ผล เด็กชายทิ้งของเล่นในมือเขาแล้วหันมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาระแวงระคนสงสัย เขาเอียงคอเล็กน้อย คงกำลังคิดว่าเธอเป็นใครอยู่ในใจสินะ
ชนาพรฉีกยิ้มจนตาเป็นสระอิไปให้คนอายุน้อยกว่า เพื่อสื่อว่าเธอมาดี ไม่มีพิษภัย
“สวรรค์ฮะ” เด็กชายตอบคำถามด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว ก่อนจะลุกยืนและจูงมือเธอให้เดินตามหลังเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง
หญิงสาวหยุดฝีเท้าตามคนตัวเล็กข้างกาย ก้มหน้าไปเห็นเขายืนยิ้มตาหยีก็ยิ่งงงงัน เด็กชายพาเธอมาทำอะไรที่นี่ พอลองชะโงกดูด้านล่างหน้าผาก็เจอเหวลึก ทำเอาหล่อนใจหวิวขาสั่นพั่บๆ มันเป็นสถานที่อันตราย ไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กเล็กเลยสักนิด ทว่าเมื่อเงยหน้ามาเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติตระการตาปรากฏอยู่ และสัมผัสได้ถึงกระแสลมเย็นๆ ที่พัดโกรกมา เธอก็ลืมนึกถึงอันตรายของมันไปเสียสนิทใจ
และในระหว่างที่หญิงสาวกำลังดื่มด่ำกับภูเขาลูกมหึมา ก้อนเมฆบนเวหาสีทองระยับ ดวงอาทิตย์สุกสกาวกำลังลาลับขอบฟ้า และผืนป่าอุดมสมบูรณ์อย่างเพลินตาเพลินใจ จู่ๆ เด็กชายก็ปล่อยมือที่จับกันไว้ออก แต่ยังดีที่เธอคว้ามือน้อยนั้นกลับมาได้ทันการณ์
“อ้าว จะไปไหนล่ะ”
“ผมจะไปเกิดแล้วฮะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ อยู่กับฉันก่อน” ชนาพรส่งประกายตาวิ้งๆ หาเพื่อนตัวจิ๋วเพราะยังซึมซับบรรยากาศไม่หนำใจ เธอยอมรับเลยว่ากลัว ถึงที่นี่จะสวยงามแต่วังเวงพิลึก หันมองทางซ้ายและขวามีแต่หมอกขาวเต็มไปหมด ใครจะกล้าอยู่แบบหัวเดียวกระเทียมลีบกันล่ะ ฉะนั้นการมีเพื่อนสักคนอยู่ด้วยกันย่อมอุ่นใจมากกว่า หญิงสาวเลยต้องงัดลูกอ้อนออกมารั้งเด็กห้าขวบที่เปรียบเหมือนเพื่อนคนแรกและคนเดียวของที่นี่ไว้
“ไม่เอา ผมอยากไปเกิดแล้ว”
คำตอบขัดใจส่งผลให้คนร้องขอหน้ามุ่ย พยายามคิดวิธีต่อรองกับเทวดาตัวน้อย
เวรกรรม! ตอนยังมีชีวิตอยู่เธอไม่ค่อยสุงสิงกับเด็กเล็กเสียด้วยสิ
ทว่าใช้สมองไม่นานคนหัวตันก็คิดออกจนได้ หึ เด็กเล็กส่วนใหญ่มักแพ้ทางขนมหวาน ไม่ก็ของเล่น ว่าแต่จะไปหาสิ่งหลอกล่อเหล่านั้นมาจากที่ไหนได้ คนมีแผนการมองสำรวจโดยรอบจนเจอกับต้นไม้ประกายวิ้งสีทองที่ปลูกอยู่ด้านหลัง มือบางจึงจูงมือน้อยเดินเข้าไปดูมันใกล้ๆ
คุณพระช่วย! มีจริงหรือนี่…ต้นไม้สารพัดนึก คนเคยอ่านเจอในวรรณกรรมไตรภูมิพระร่วงแล้วจำลักษณะได้ตาลุกวาว ดอกสีชมพูอ่อนเป็นช่อใหญ่แซมตามกิ่งละม้ายดอกซากุระเต็มต้น แต่นอกจากความสวยงามตายามพบเห็นแล้ว มันยังมีคุณสมบัติพิเศษที่ว่าหากเหล่าเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ปรารถนาสิ่งใด เพียงแค่อธิษฐานจิตใต้ต้นไม้ก็จะได้รับสิ่งที่ต้องการทันที พอประมวลผลได้ดังนั้น ชนาพรจึงยิ้มพราย
“รอแป๊บหนึ่งนะ”
คนมีแผนการปล่อยมือน้อยให้เป็นอิสระแล้วเขยิบกายเข้าไปยืนใต้ต้นไม้สารพัดนึก ก่อนจะหลับตาลง กุมมือตัวเองไว้กลางอกแล้วตั้งจิตอธิษฐาน
“คุณคิดจะทำอะไรเหรอครับ”
ฟุ่บ!
ยังไม่ทันได้อ้าปากตอบ ลูกอมคาราเมลเม็ดโตก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าใส่พุ่มหญ้าไม้กวาดโคเชียเบิร์นนิ่งบุชใต้ต้นไม้สารพัดนึก ใช่แล้ว นางฟ้าองค์ใหม่อธิษฐานขอลูกอมรสโปรดอย่างคาราเมลมาให้เทวดาเด็ก เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่เธอชอบพกติดตัวเอาไว้ประจำเวลาคิดงานไม่ออก ด้วยกลิ่นที่หอม รสชาติหวาน และมีความเหนียวหนึบ ช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเคมีในสมอง ทำให้คนอมรู้สึกสดชื่น ไอเดียเจ๋งๆ จึงพรั่งพรูออกมาราวกับก๊อกน้ำแตก
“อ้า…อยู่ไหนนะ”
มือบางพยายามควานหาลูกอมไปทุกซอกมุมของพุ่มหญ้าไม้กวาดโคเชียเบิร์นนิ่งบุชด้วยประกายตามุ่งมั่น พลางคิดในหัวว่าถ้าใช้ลูกอมคาราเมลล่อ เจ้าตัวเล็กจะต้องยอมอยู่เป็นเพื่อนกันแน่ๆ
“หาอะไรเหรอฮะ”
“อ๊ะ ฉันเจอแล้ว”
ความพยายามของชนาพรสิ้นสุดลง เธอยิ้มแก้มปริเมื่อควานหาจนเจอลูกอมรสคาราเมลเม็ดเป้งในพุ่มหญ้าจนได้ หมายใจจะหยิบมาให้เด็กชายแกะอมไปพลางๆ เพื่อถ่วงเวลา ทว่าใช้แรงเท่าไหร่กลับดึงไม่ขึ้นเสียที
ติดอะไรนะ
หญิงสาวรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดดึงลูกอมคาราเมลเม็ดนั้นขึ้นมาจนหลังแอ่น ทว่านางฟ้าองค์ใหม่มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับลูกอมรสหวาน จนไม่ทันสังเกตเห็นขอบตาของคนตัวเล็กกว่าว่ามันเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับเทวดาเด็กจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
“ผมไม่รอแล้ว”
เด็กชายยืนโวยวายและปล่อยโฮออกมาในที่สุด ส่งผลให้นางฟ้าชนาพรหยุดมือจากลูกอมมารั้งแขนจิ๋วไว้ แต่เพราะไม่เคยผ่านการมีลูกมาก่อน ซ้ำยังไม่ค่อยสุงสิงกับเด็ก เธอเลยนึกวิธีควบคุมพฤติกรรมของเทวดาตัวน้อยไม่ออก เอายังไงดี เธอจะต้องทำยังไงให้เทวดาเด็กองค์นี้หยุดงอแง
ให้ตายเถอะน่า ตอนยังมีชีวิตอยู่ใครๆ ก็รู้ว่าเธอเกลียดเสียงลูกเด็กเล็กแดงร้องไห้มากขนาดไหน เรียกว่าได้ยินทีไรปวดไมเกรนตุบๆ ทุกที แต่คงเพราะเธอซี้แหงแก๋แล้ว เสียงเด็กแหกปากฮือๆ เลยไม่สามารถกระตุ้นระบบประสาทของเธอได้อีกต่อไป
สู้เขาเป็ด เธอต้องทำให้เด็กนี่หยุดร้องไห้ให้ได้
ในที่สุดชนาพรก็ตัดสินใจโน้มตัวลงไปกอดร่างน้อยนั้นเอาไว้อย่างใจเย็น และภาวนาในจิตให้เขาสงบลง ได้ผล เด็กชายหยุดร้องไห้ฉับพลัน ทว่าพริบตาเดียวร่างจิ๋วก็ดิ้นขลุกขลักพยายามสะบัดตัวหนีจากอ้อมแขนเธอเสียให้ได้
“อย่าดิ้น เป็นเด็กดีนะ”
เทวดาเด็กยอมหยุดยืนนิ่งๆ ตามคำพูดของชนาพร แต่นัยน์ตาตั้งคำถามแสดงความสงสัยในตัวเธอมากมาย
“คุณเป็นคนสติไม่ดีหรือเปล่า”
ชนาพรรีบส่ายหน้าพึ่บพั่บพร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ “ฉัน-สติ-ดี-ร้อย-เปอร์-เซ็นต์”
เด็กชายมองหน้าเธออย่างพิจารณา คนโดนกล่าวหาว่าสติไม่ดีฉีกยิ้มกว้างสู้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะหาว่าชนาพรบ้าหนักกว่าเดิมหรือเปล่า
“คุณสติดีจริงๆ ใช่ไหม”
“ดีแน่นอนจ้ะ” หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างขวางกว่าเดิมจนตาเป็นสระอิให้คนตัวเล็กกว่า นิ้วเรียวหยิกแก้มซาลาเปาสองข้างเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยวระคนเอ็นดู
“คุณไม่ได้โกหกผมแน่นะ”
“ไม่แน่นอน”
วันอาทิตย์ เวลา 13:13 น.
เปลือกตาคู่บางขยับขยุกขยิกก่อนจะค่อยๆ เปิดออก คนหลับใหลมาอย่างยาวนานร่วมสิบชั่วโมงมีอาการปวดหัวตุบๆ สาเหตุเกิดจากพิษแอลกอฮอล์ยังคงตกค้างในร่างกาย หลังจากที่เมื่อคืนหญิงสาวสวมวิญญาณเจ้าแม่ปาร์ตี้ กระดกว้อดก้าประดุจมันคือน้ำแร่เพื่อสุขภาพลงคอไม่ยั้ง
หัวจะระเบิด
ว่าแต่ฝันประหลาดชะมัด เธอฝันเป็นตุเป็นตะว่าตัวเองตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ บังเอิญได้เจอกับเทวดาเด็ก ความพีคคือพอเห็นเทวดาองค์นั้นงอแงเริ่มแหกปากร้องไห้ คนอย่างชนาพร จรัสกุล ที่ปกติต้องปวดไมเกรนจี๊ด หลับตาใช้นิ้วชี้อุดหูสองข้าง กลับเกิดอารมณ์มนุษย์แม่ พุ่งเข้าไปสวมกอดร่างน้อยไว้ด้วยความใจเย็นประดุจธารน้ำไหล
ภาพความทรงจำในงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ย้อนกลับเข้ามาในสมองทีละฉาก หญิงสาวจำได้ว่าตัวเองแค่โชว์สเต็ปแดนซ์เบาๆ พอให้ไม่เสียชื่อหัวหน้ากองสันทนาการเก่าแห่งคณะนิเทศศาสตร์ ส่วนใหญ่จะเน้นนั่งเม้าท์มอยและดื่มกับกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนมากกว่า ทว่าทำไมพอเช้ามาร่างกายของเธอมันถึงรู้สึกระบม เมื่อยล้า และรวดร้าวราวกับผ่านร้อยสมรภูมิรบมาอย่างไรอย่างนั้น
และทันทีที่ขยับเขยื้อนร่าง คนมีอาการแฮงก์ก็ถึงกับต้องร้องลั่น
“โอ๊ย! ปวดจัง”
ชนาพรหน้าบิดเบ้ เอื้อมมือไปนวดคลึงบริเวณบั้นเอวของตัวเองเบาๆ พลางนึกในใจอย่างสงสัย เธอจำได้ว่าเมื่อคืนตนไม่ได้เต้นเลื้อยเป็นงูเหมือนเพื่อนสาวคนอื่นๆ เสียหน่อย ไหงเอวถึงปวดเมื่อยกว่าจุดอื่นขนาดนี้ มือบางเท้ากับเบาะเตียงนอนพลางดันตัวเองพ้นจากใต้ผ้านวม ทว่าในจังหวะที่แผ่นหลังพิงกับหัวเตียง สัมผัสที่เย็นเยียบทำให้คิ้วสวยขมวดเข้าชนกันทันที ความรู้สึกวาบหวิวแปลกๆ ที่ผิวกายส่งผลให้เจ้าของเรือนร่างก้มลงสำรวจความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนอย่างรวดเร็ว ลูกตาดำเลื่อนต่ำลงจนเห็นอวัยวะครึ่งท่อนบนของมนุษย์เพศหญิงในสภาพเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ครบถ้วนทุกสัดส่วน ชัดแจ๋ว เต็มสองลูกตา
ฮึ้ย! เสื้อผ้าหายไปไหนหมด
หัวใจของชนาพรกระตุกวูบ พลันเต้นรัวแรงแทบทะลุออกมานอกอก มือขาวรีบคว้าผ้านวมขึ้นมาคลุมปิดความโป๊เปลือยของตัวเองเอาไว้ พลางใช้สมองประมวลอย่างหนักหน่วงถึงต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่บนเตียงกว้างแบบนี้ แต่เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ…
นี่มันไม่ใช่ห้องของฉัน?
ชนาพรไล่สายตาสำรวจทุกสารทิศ เห็นได้ชัดเลยว่าขนาดและสไตล์การตกแต่งห้องแตกต่างไปจากห้องที่เธอเข้าพัก แล้วไหนจะกระเป๋าเดินทางแบบถือสีดำที่วางอยู่แถวชั้นวางของนั่นอีก มั่นใจเต็มร้อยเลยว่าไม่ใช่ของเธอแน่นอน เพราะกระเป๋าเธอเป็นล้อลากสีชมพูโรสโกลด์
…แล้วมันเป็นกระเป๋าของใคร
การขยับตัวของสิ่งมีชีวิตใต้ผ้านวมอีกฝั่งทำให้ชนาพรหันขวับไปมองทันที หัวใจของหญิงสาวกระเพื่อมไหวดังตึกๆ ลุ้นระทึกไม่ต่างจากตอนถูกเพื่อนบังคับให้ดูหนังผี จำได้ดีว่าจังหวะแฮ่! เธอตกใจจนสลบคาโซฟาไปเลย เดือดร้อนคนแกล้งต้องวิ่งหายาดมยาหอมกันจ้าละหวั่น ซึ่งอาการกริ่งเกรงมันไม่ต่างไปจากตอนนี้เลยสักนิด
ถ้าสมมติเปิดผ้านวมมาเจอคน เธออาจจะเป็นลมไปเลยก็ได้
จมูกรั้นบังคับลมหายใจเข้าและออกช้าๆ พยายามไม่ตีตนไปก่อนไข้ บางทีเธออาจแค่เมาแอ๋จนเดินหลงเข้าห้องพักผิด แล้วรู้สึกว่าอากาศเมืองไทยมันช่างร้อนตับแตกเสียจริง เลยถอดชุดเดรสกับอันเดอร์แวร์ของตัวเองออกจนหมด ท้ายที่สุดความง่วงจัดทำให้เธอเผลอหลับคาเตียงของชาวบ้านไปในที่สุด
ก็แค่นั้นเอง…
แค่นั้น…
…
ฮือ…เสียตัวฟรีตอนอายุยี่สิบหก ไม่ตลกเลยนะ
“กี่โมงแล้วเนี่ย”
…!
“ปวดหัวชะมัดยาด”
เสียงนี้มัน…
ชนาพรหันขวับ เบิกตาโตเป็นไข่นกกระจอกเทศยามได้ยินเสียงบุรุษเพศ คนถูกปล้นพรหมจารียื่นมือไปอีกฝั่งของผ้าห่ม หมายใจจะเปิดดูหน้าตาผู้ชายฉวยโอกาส แต่จำต้องหยุดมือค้างอยู่กลางอากาศเพราะความใจฝ่อ ไม่กล้าพอ ทว่าตรองดูแล้วในเมื่อมันไม่มีอะไรเสียหายมากไปกว่าที่เผชิญอยู่ หญิงสาวจึงตัดสินใจกระชากผ้านวมออกอย่างรวดเร็ว คอยดูเถิด เธอจะอาละวาดให้ราบเป็นหน้ากลอง
ผ้าห่มผืนหนาร่นลงเผยให้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของเจ้าของเสียง ทว่าคำผรุสวาทที่เธอตระเตรียมไว้กลับไหลลื่นลงคอที่ขาดน้ำทันที
…
แทนคุณ!
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.