X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 141-142

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 141

 

ปีนี้กู้จิ้งหยวนเพิ่งจะอายุสี่สิบ ตามหลักแล้วมิใช่ช่วงอายุที่ควรจัดงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดใหญ่โต แต่เนื่องเพราะเหตุการณ์เมื่อปีกลาย คนไม่มากก็น้อยต้องการถือโอกาสในวันนี้ประจบประแจงและดึงเขาเข้าเป็นพวก หรือไม่ก็กล่าวว่าต้องการชดเชยต่อความเงียบเหงาในยามที่กู้จิ้งหยวนตกยาก ยิ่งกว่านั้นจีหลันยังได้สั่งให้กรมพิธีการเป็นผู้จัดงาน และเขาก็จะมาร่วมงานด้วยตนเอง เรื่องนี้ยิ่งเป็นข่าวสารแจ้งแก่ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักว่าถึงแม้กู้จิ้งหยวนจะส่งมอบอำนาจทางการทหารส่วนใหญ่ไปแล้วก็ยังคงเป็นขุนนางคนสำคัญที่ฝ่าบาททรงพึ่งพาอาศัยและไว้วางพระทัย

มิหนำซ้ำสิ้นปีใกล้มาเยือน ชินอ๋องจากที่ต่างๆ และคนจากต่างแคว้นก็จะทยอยกันเดินทางเข้าเมืองหลวง พวกเขาได้รับข่าว จากเดิมไม่มีแผนจะมาอวยพรวันเกิดแก่กู้จิ้งหยวนก็ต้องเปลี่ยนความคิด มุ่งหน้ามายังจวนอู่เสียนอ๋อง

งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดในวันนี้จะต้องมีแขกเหรื่อมารวมตัวกันคลาคล่ำเป็นแน่แท้ ทั้งยังล้วนเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งสิ้น

รถม้าแล่นไปยังจวนอ๋อง กู้เจี้ยนหลีนั่งอยู่ในรถม้า ตรวจดูของขวัญที่เตรียมไปให้บิดาอย่างละเอียด ในนั้นมีงาแกะสลักรูปกวางเซียน หยกแกะสลักรูปกระเรียนคู่ และยังมีเสื้อผ้าครบชุดที่นางเย็บเองกับมือ แม้จะตรวจสอบหลายรอบแล้ว แต่นางอยู่ในรถม้าไม่มีอะไรทำ จึงรื้อเสื้อผ้าออกมาตรวจดูฝีเข็มอีกรอบ

จีอู๋จิ้งเท้าคางมองนางได้ครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้ว เอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “กู้เจี้ยนหลี กระโปรงที่เจ้าเย็บให้ข้าเล่า”

กู้เจี้ยนหลีนึกอยู่ครู่หนึ่งถึงนึกออกว่าตอนแรกนางเคยรับปากจะเย็บกระโปรงให้จีอู๋จิ้งจริงๆ นางเตรียมผ้าไหมแดงสำหรับตัดกระโปรงไว้แล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่…

นางกล่าวอย่างร้อนตัวอยู่บ้าง “ข้าไม่เคยเย็บกระโปรง ทำไม่ค่อยเป็น ซ้ำท่านก็ไม่มีกระโปรงพอดีตัวให้ข้าเทียบขนาด จึง…จึงวางทิ้งเอาไว้” นางชิงพูดขึ้นอีกครั้งต่อหน้าบึ้งตึงของจีอู๋จิ้ง “รอกลับบ้านไปข้าจะวัดสัดส่วนท่านแล้วทำออกมาให้ท่านแน่นอน”

จีอู๋จิ้งหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะพิงผนังรถม้าแล้วหลับตาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ท่าทางเหมือนไม่อยากสนใจนางแล้ว

กู้เจี้ยนหลีมุ่นคิ้ว

นางรู้ว่าบิดาไม่ชอบจีอู๋จิ้งเสมอมา และยิ่งต้องการพานางกลับบ้าน หนีไปให้ไกลจากจีอู๋จิ้งอยู่ทุกเมื่อ ซึ่งสาเหตุที่บิดาเป็นเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะเขาคิดว่าจีอู๋จิ้งไม่ใช่คนดี ไม่มีทางดีต่อนาง เป็นเพราะเขารักนาง รู้สึกว่านางได้รับความไม่เป็นธรรม ที่เมื่อวานนางโน้มน้าวจีอู๋จิ้งให้ตามมาด้วยก็เพราะหวังให้บิดาเห็นว่านางกับจีอู๋จิ้งอยู่ร่วมกันด้วยดี จะได้เป็นห่วงน้อยลง

จีอู๋จิ้งไปถึงงานโดยที่ใบหน้าดำทะมึนมิใช่เรื่องดี

กู้เจี้ยนหลีรู้ดีเช่นกันว่าจีอู๋จิ้งมิใช่คนที่จะแยแสกาลเทศะ หากเขาอารมณ์ไม่ดีก็ไม่สนใจใครหน้าไหนรวมถึงเวลาและสถานที่ใดทั้งนั้น เรื่องประเภทยิ้มแย้มเอาใจมิใช่เรื่องที่เขาจะทำ

กู้เจี้ยนหลีคิดเล็กน้อยก่อนเก็บชุดที่ทำให้บิดาเข้ากล่อง นางกระเถิบตัวไปนั่งข้างชายหนุ่ม คล้องแขนเขาด้วยท่าทางสนิทชิดเชื้อแล้วร้องเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ท่านอา ท่านอา?”

จีอู๋จิ้งแค่นหัวเราะพลางชักแขนกลับ

กู้เจี้ยนหลีได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานของเด็กน้อยแว่วๆ นางเปิดหน้าต่างบานน้อยชะเง้อมองก็เห็นเด็กสองสามคนเล่นสนุกกันอยู่ไกลๆ บนทางน้ำที่แข็งเป็นน้ำแข็ง นั่งบนไม้กระดานแผ่นยาวแล้วไถลลงจากที่สูง

“ฉางเซิง หยุดรถ!”

“หยุด…” ฉางเซิงจอดรถม้าเข้าข้างทาง หันหน้ามารอรับคำสั่งพร้อมกับจี้ซย่า

กู้เจี้ยนหลีเปิดประตูรถม้า จี้ซย่ารีบประคองนางแล้วสอบถาม “ฮูหยิน มีอะไรหรือเจ้าคะ”

กู้เจี้ยนหลีกระซิบสั่งไปหลายคำ

จีอู๋จิ้งที่อยู่ในตัวรถม้าลืมตาด้วยความประหลาดใจ เขามีโสตประสาทยอดเยี่ยม ครั้นได้ยินเรื่องที่กู้เจี้ยนหลีพูดกับจี้ซย่าและฉางเซิงชัดเจน สีหน้าก็พิกลขึ้นมาทันควัน

กู้เจี้ยนหลีหันหน้ามายิ้มหวาน

จีอู๋จิ้งปรายตามองนางปราดหนึ่งด้วยท่าทางเดียดฉันท์ จากนั้นก็ลงรถม้าตามนางไป

เด็กไม่กี่คนนั้นถูกฉางเซิงไล่ไปแล้ว ทว่าทิ้งไม้กระดานของพวกเขาไว้

กู้เจี้ยนหลีนั่งลงบนไม้กระดาน รวบเก็บชายกระโปรงอย่างระมัดระวัง เสียดายกระโปรงตัวใหม่ที่ตั้งใจตระเตรียมไว้เป็นพิเศษอยู่บ้าง โชคดีที่ช่วงนี้อากาศหนาว นางกังวลว่าหิมะจะตก จึงได้เตรียมชุดสำรองไว้บนรถม้าด้วยอีกชุด

นางหันหน้ามองไปยังจีอู๋จิ้งที่ยืนอยู่ริมลำธารแล้วกวักมือเรียกเขาอย่างระมัดระวังยิ่ง ก่อนชี้ไม้กระดานอีกแผ่นที่ข้างกายแล้วพูดด้วยท่าทางจริงจัง

“ข้าเห็นเด็กไม่กี่คนนั้นเล่นกันจนหัวเราะไม่ขาดเสียง คิดว่าน่าจะสนุกดี พวกเราก็มาลองกันเถอะ”

“เจ้าไม่กลัวไปสายแล้ว?” จีอู๋จิ้งพูดพลางก้าวลงไปบนแผ่นน้ำแข็ง ขึ้นเหยียบบนไม้กระดาน

เทียบกับไปสาย ข้ากลัวว่าหน้าดำทะมึนของท่านจะไปทำให้บิดาเป็นกังวลมากกว่า ทว่ากู้เจี้ยนหลีไม่ได้บอกไปตามตรง นางจับกิ่งไม้แห้งยันกับแผ่นน้ำแข็ง พยายามไถลไปข้างหน้า

นางยังไม่ลืมพูดกับจีอู๋จิ้งว่า “ท่านไม่เห็นหรือว่าเด็กพวกนั้นเล่นกันอย่างไร ต้องนั่งลง จับกิ่งไม้ดันแผ่นน้ำแข็งเหมือนกับถ่อเรือ มิใช่ให้ท่านยืนอยู่ด้านบนเช่นนี้”

กู้เจี้ยนหลีใช้กิ่งไม้ดันตัวเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ไม้กระดานกระแทกถูกหินก้อนหนึ่ง ตัวนางก็กระเทือนตาม จากนั้นไม้กระดานก็เบี่ยงทิศทางไถลไปถึงขอบน้ำแข็ง ติดอยู่ในโคลนแข็งไปที่ใดไม่ได้

นางนิ่วหน้า มือที่กำกิ่งไม้ออกแรงมากขึ้น หมายจะเบนกลับทิศทางที่ถูกต้อง แต่กลับไม่มีทักษะ กระเสือกกระสนอยู่เป็นนาน ไม้กระดานก็ยังคงติดอยู่ในโคลนแข็งเช่นเดิม

กู้เจี้ยนหลีขมวดคิ้วด้วยอารามท้อใจ คิดจะยืนขึ้นก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นหลังหู “โง่งมสิ้นดี”

นางยังไม่ทันหันหน้าไป แขนก็ถูกจีอู๋จิ้งจับไว้ เขาดึงเบาๆ คว้าตัวหญิงสาวที่นั่งอยู่บนไม้กระดานมายืนอยู่เบื้องหน้าตนเอง

กู้เจี้ยนหลีก้มหน้ามองไม้กระดานที่เหยียบอยู่กับจีอู๋จิ้งข้างใต้เท้าแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างลุกลี้ลุกลน “ไม่ใช่ยืน ยืนจะหกล้มได้ง่าย ต้องนั่ง…อ๊ะ!”

ลมพัดสวนมาปะทะหน้า เสื้อผ้าปะทะลมจนเกิดเสียงเป็นระลอก ความเร็วที่ไวเกินไปทำให้ต้นไม้แห้งสองข้างลำธารเล็กเคลื่อนถอยหลังไม่หยุด กู้เจี้ยนหลีหวาดกลัวจนตัวเกร็งใจเกร็ง แต่จีอู๋จิ้งดันอยู่ข้างหลังนาง นางมองไม่เห็นจึงคว้าจับข้อมือเขาอย่างสะเปะสะปะ กุมไว้แน่นไม่กล้าปล่อย

ลำธารเล็กคดเคี้ยว ด้านหน้ามีโค้งอยู่โค้งหนึ่ง อีกด้านของโค้งเป็นหินภูเขาขนาดมหึมา

“จะชนแล้ว! จะชนแล้ว!” ขณะเลี้ยวกู้เจี้ยนหลีก็โหวกเหวกโวยวายลั่น หากมิใช่เพราะหวาดกลัวตัวเกร็งจนการตอบสนองช้าไปบ้าง นางคงได้กระโดดลงจากไม้กระดานนี้เป็นแน่

ครั้นเห็นว่ากำลังจะชนกับหินภูเขาอยู่รอมร่อ นางก็หลับตาลงอย่างความรู้สึกช้า สายลมที่ปะทะหน้าทำให้นางรู้สึกได้ถึงการเลี้ยวโค้ง ไม้กระดานยังไถลไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กู้เจี้ยนหลีหน้าซีด เม้มปากแน่น หักห้ามตนเองไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา

อดทนไว้

จีอู๋จิ้งเอี้ยวศีรษะมองขนตาที่สั่นน้อยๆ ของนางจากด้านหลัง เขากระตุกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นเบาๆ เอ่ยปากด้วยท่าทางเรื่อยเฉื่อย “แย่ล่ะ หยุดไม่อยู่แล้ว จะชนเดี๋ยวนี้แล้ว”

กู้เจี้ยนหลีพลันลืมตา

ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งที่ยิ่งโตก็ยิ่งเอียง งอกขวางอยู่บนลำธารสูงขึ้นไปครึ่งตัวคน พวกเขากำลังจะชนเข้ากับลำต้นหนาๆ นั้นอยู่รอมร่อแล้ว

“ไม่เอา!” กู้เจี้ยนหลีร้องขึ้นมา ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่านางเอาแรงและความไวมาจากที่ใด หันตัวกลับทั้งที่อยู่บนไม้กระดานแคบๆ ซุกหน้าลงกับอ้อมอกจีอู๋จิ้งแล้วกอดเอวเขาไว้แน่น

จีอู๋จิ้งตะลึงงันไปชั่วครู่ จากนั้นถึงตอบสนองอย่างว่องไว

ไม้กระดานไถลลงไปตามแผ่นน้ำแข็งด้วยความเร็วอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จีอู๋จิ้งพากู้เจี้ยนหลีกระโดดขึ้นเพียงทีเดียวก็ไปนั่งอยู่บนลำต้นไม้ที่พาดเอียงแล้ว

กู้เจี้ยนหลีมองไม้กระดานที่ไถลลงไปต่อแล้วพลันนึกเสียวสันหลัง นางผลักจีอู๋จิ้งทีหนึ่งด้วยอารามคับข้องใจ เอ่ยปากต่อว่า “ท่านน่ารำคาญนัก จงใจทำให้ข้าตกใจอีกแล้ว!”

จีอู๋จิ้งพูดด้วยท่าทางไขสือ “กู้เจี้ยนหลี เจ้ามีเหตุผลหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยู่ของข้าสบายๆ บนรถม้า เป็นเจ้าลากข้าลงมาเล่นอะไรเป็นเด็กสามขวบ ผลคือตนเองตกใจแทบตายไม่พอ ยังจะฝืนไว้ไม่ยอมร้อง จิ ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่ลืมวางท่าเสียจริงๆ”

เดิมกู้เจี้ยนหลีก็ตกใจอยู่แล้ว นางไม่อยากได้ยินคำเหน็บแนมจากจีอู๋จิ้งอีก จึงใช้สองมือออกแรงปิดหูตนเอง ไม่ฟังที่เขาพูด

ด้วยเพราะคับข้องใจและเสียวสันหลังอยู่เล็กน้อย กู้เจี้ยนหลีมองแผ่นน้ำแข็งที่เบื้องล่าง อยากร้องไห้อยู่ครามครันทว่าร้องไม่ได้ มิเช่นนั้นเครื่องประทินโฉมที่วันนี้บรรจงแต่งแต้มมาคงได้เลือนหายพอดี

นางหันหน้าไปมองริมฝีปากที่เดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบของจีอู๋จิ้ง นางปิดหูอยู่จึงไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร แต่มองเห็นรอยยิ้มในดวงตาเขาแล้ว

กู้เจี้ยนหลีกระดกมุมปาก

จีอู๋จิ้งหยุดพูด ดึงมือที่ปิดหูของนางออกแล้วหยิกใบหูที่แดงเพราะความหนาวของนางเบาๆ แล้วเอ่ยเรียก “กู้เจี้ยนหลี…”

กู้เจี้ยนหลีพยักหน้า ขานรับในลำคอเบาๆ

จีอู๋จิ้งมองดูท่าทางนุ่มนิ่มติดจะเซ่อซ่าของนางแล้วพลันเลิกคิ้วคลี่ยิ้ม

กู้เจี้ยนหลีมองเขาโดยตลอด เห็นเขายิ้มแล้ว นางก็ยิ้มจนตาโค้ง ดวงตาอันงดงามโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยวชวนพิศ

“กู้เจี้ยนหลี เจ้ายิ้มอะไร” จีอู๋จิ้งถาม

นางหลุบตาลง เม้มปากก่อนช้อนตาขึ้นมองจีอู๋จิ้งอย่างรวดเร็ว นางไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด เพียงใช้รอยยิ้มที่เจิดจ้ายิ่งกว่าเป็นคำตอบ

“โง่จริง” จีอู๋จิ้งแค่นหัวเราะ สองมือครอบบนหูของหญิงสาว ช่วยป้องใบหูที่ต้องอากาศหนาวจนแดงให้นาง

กู้เจี้ยนหลีนึกว่าเขาจะหยิกนาง ใช้เวลาอยู่ชั่วครู่ถึงรู้ว่าเขากำลังทำอะไร นางจึงยื่นมือไปป้องหูของเขา ให้ความอบอุ่นแก่เขาด้วยเช่นกัน

ฉางเซิงกับจี้ซย่ารออยู่ที่เดิมเป็นนานสองนานก็เริ่มไม่วางใจ จึงได้เดินเลาะมาตามทิศทางการไหลของลำธาร

ฉางเซิงกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าฮูหยินจะชอบเล่นอะไรเด็กๆ พรรค์นี้ด้วย”

“ห้ามพูดไม่ดีถึงฮูหยินแม้แต่ครึ่งคำ” จี้ซย่าใบหน้าไร้อารมณ์

ฉางเซิงถูกทำเอาสะอึก เขานึกทบทวนอยู่นานถึงค่อยเอ่ยถามอย่างมั่นใจเต็มที่ “นางเด็กคนนี้ ข้าพูดไม่ดีถึงฮูหยินตั้งแต่เมื่อไร นั่นข้าแค่บรรยาย! บรรยาย! มีตรงที่ใดพูดถึงนางไม่ดีแม้แต่ครึ่งคำ!”

จี้ซย่าร้อง “อ้อ”

ฉางเซิงฉุนกึก ตนเองอธิบายอยู่เป็นนาน อีกฝ่ายเพียงตอบรับส่งๆ คำเดียว? จี้ซย่าเดินเร็วขึ้นเล็กน้อย เขาตามหลังอยู่ก้าวหนึ่ง จึงชี้แผ่นหลังนางพลางทำปากพูดโดยไร้เสียงด้วยท่าทางดุร้าย ‘นางเด็กน่าตาย ถ้าข้ามีโอกาสจะต่อยเจ้าให้ตายเชียว!’

แต่แล้วจู่ๆ จี้ซย่าก็พลันหยุดเดิน ฉางเซิงไม่ระวัง นิ้วทิ่มเข้ากับท้ายทอยนาง จี้ซย่าจึงหันกลับมาถลึงตามองเขา ฉางเซิงสบตากับนางชั่วพริบตาหนึ่งแล้วยิ้มจนตาโค้งทันที พูดทั้งที่ตาหยี

“เมื่อครู่มีใบไม้แห้งร่วงลงบนศีรษะเจ้า!”

จี้ซย่าไม่สนใจเขา ชี้ไปยังสองคนซึ่งนั่งอยู่บนลำต้นไม้ที่พาดเอียงไกลๆ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจอยู่บ้าง “นายท่านห้ากับฮูหยินกำลังทำอะไรกันอยู่”

ฉางเซิงตั้งใจมองแล้วมองอีกถึงค่อยตอบอย่างไม่แน่ใจ “สองคนนี้ดูเหมือนจะเล่นกันจนหูแข็ง จึงได้อุ่นหูให้กัน!”

จี้ซย่ามองคนทั้งสองที่นั่งอยู่บนลำต้นไม้ด้วยความแคลงใจ จีอู๋จิ้งสวมชุดแดงตัวบางไว้หลวมๆ ตามปกติ ส่วนกู้เจี้ยนหลีสวมชุดกระโปรงหรูฉวินสีดอกซิ่งอ่อนทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงสด พวกเขาอยู่ชิดกันมาก เสื้อคลุมของกู้เจี้ยนหลีแนบติดกับจีอู๋จิ้ง สีแดงของเสื้อคลุมกลมกลืนเข้ากับสีแดงบนตัวจีอู๋จิ้งจนแยกออกได้ไม่ชัดเจน

จี้ซย่าอึ้งงัน สายตามีประกายลึกลับซับซ้อน

“เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดไม่จาเล่า เจ้ามองดูดีๆ ข้าไม่ได้พูดผิดกระมัง” ฉางเซิงกล่าวอีกว่า “แต่ไม่ถูกสิ ในเมื่อหนาวจนต้องป้องหูแล้ว กลับเข้ารถม้าไม่อุ่นกว่าหรือ”

จี้ซย่าหันหน้ากลับไปมองฉางเซิงพลางถามว่า “ฉางเซิง ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”

“ยี่สิบห้าอย่างไรเล่า”

จี้ซย่าแย้มยิ้ม “มิน่าถึงยังไม่ได้แต่งภรรยา”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฉางเซิงฟึดฟัด “นางเด็กอย่างเจ้าก็ระวังไว้เถอะว่าข้าจะหันไปขอให้ฮูหยินยกเจ้าให้ข้า!”

บทที่ 142

 

รถม้าขบวนหนึ่งเคลื่อนไปบนถนนหลวงอย่างเอิกเกริก เดิมทีก่วงเสียนอ๋องกับเซียงซีกงต่างคนต่างพาครอบครัวมุ่งหน้าไปอวยพรวันเกิดยังจวนอู่เสียนอ๋อง ทว่าบังเอิญได้พบกันระหว่างทางจึงร่วมเดินทางมาด้วยกัน ก่วงเสียนอ๋องจีโส่วเสียนมีบรรพบุรุษร่วมมารดากับอดีตฮ่องเต้ เซียงซีกงหรงเฮ่อหยางมีมารดาเป็นพี่สาวร่วมอุทรกับปฐมฮ่องเต้ สองตระกูลมีที่ดินศักดินากว้างใหญ่ไพศาลอยู่ไกลจากเมืองหลวง จะมาเข้าเฝ้าเพียงช่วงปีใหม่ในทุกปี

เหล่าคนหนุ่มเดินทางโดยการขี่ม้า จีเจี๋ยบุตรชายก่วงเสียนอ๋องยิ้มพลางเอ่ยปาก “น้องหยวนโย่ว พวกเราไม่ได้พบกันหลายปีทีเดียว”

จีซวี่ผู้เป็นน้องชายกล่าวเออออตาม “ไม่ได้พบกันหลายปีจริงๆ ตอนยังเล็กพวกเราเจอกันบ่อยครั้ง แต่ปีก่อน สองปีก่อน…ราวสามปีได้ที่ไม่ได้พบกับซื่อจื่อ น้อย”

ซื่อจื่อน้อยที่ถูกกล่าวถึงคือหรงหยวนโย่วหลานชายสายตรงของเซียงซีกง

หรงหยวนโย่วมีรูปร่างหน้าตาดีเป็นที่สุด คิ้วทรงดาบ ตาเป็นประกาย ริมฝีปากดั่งแต้มด้วยชาด ในท่วงทีสุภาพเรียบร้อยละมุนละม่อมแฝงด้วยความฮึกเหิมของคนหนุ่ม เสมือนหนึ่งกระบี่วิเศษที่กลับเข้าฝักแต่เข้าไม่ทั้งหมด ประกายแหลมคมปรากฏให้เห็นอยู่รางๆ เสียงของเขาก็น่าฟังเหลือเกิน เสนาะโสตราวกับเสียงสายธารใสที่น้ำแข็งละลายปริแตกในต้นวสันตฤดู

เขาอมยิ้มกล่าวว่า “หลายปีก่อนมารดาป่วยหนัก หยวนโย่วต้องเฝ้าไข้ ไม่กล้าจากไปที่ใดโดยพลการ ปีนี้มารดาอาการดีขึ้นมาก ถึงตามบิดามาเมืองหลวงได้”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ท่านป้าแข็งแรงก็ดีแล้ว”

ครั้นแล้วไม่กี่คนก็เริ่มถกกันถึงเรื่องความขึ้นลงของชะตาชีวิตกู้จิ้งหยวน ทว่าคุยกันได้ไม่กี่คำก็เปลี่ยนมาพูดถึงเรื่องที่เบาสมองลง นัดแนะกันไปตีคลี

ซื่อจื่อและเหล่าคุณชายสนทนาสรวลเสเฮฮากันบนหลังม้า ส่วนเหล่าคุณหนูของสองตระกูลนั่งเบียดพูดคุยสนุกสนานกันในรถม้าคันเดียว

ท่านหญิงเป่าซั่วหรงหวั่นอินน้องสาวฝาแฝดของหรงหยวนโย่วกล่าวว่า “ข้ากับพี่ชายไม่ได้มาเมืองหลวงหลายปีจนไม่รู้เรื่องราวสำคัญในเมืองหลวงแล้ว มีเรื่องสนุกใดบ้างหรือไม่”

ท่านหญิงเหวินเหลี่ยนจีผิงเหลียนน้องสาวของจีเจี๋ยจึงเอ่ยตอบ “มีอยู่มากมายเชียว ต้องเล่าอย่างละเอียดจึงจะใช้ได้ ทว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องในบ้านของอู่เสียนอ๋องนั่นล่ะ แม้น้องหญิงจะอยู่ห่างไกล แต่เรื่องของอู่เสียนอ๋องเจ้าน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง”

“พอทราบอยู่ เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึง!”

“เช่นนั้นเจ้ารู้เรื่องของสองหลีแห่งเมืองหย่งอันหรือไม่” จีผิงเจวียนน้องสาวของจีผิงเหลียนรีบพูดแทรก “บ้านสามีของหลีคนพี่ฉวยโอกาสยามสกุลกู้ตกยาก ฉากหน้าต้องการหย่านางแล้วแต่งงานใหม่ ซ้ำลับหลังยังจะจับหลีคนพี่ไปเป็นอนุนอกเรือน หลีคนพี่เองก็มีนิสัยใจเด็ดเช่นกัน นางดื่มยาขับเลือดขับเด็กออก ล้วนกล่าวกันว่าอดีตสามีของหลีคนพี่ถูกหน่วยเสวียนจิ้งประหารหลังจากก่อความผิด แต่ก็ได้ยินอีกว่าอันที่จริงถูกหลีคนพี่ฆ่าตาย ต่อมาอู่เสียนอ๋องได้อำนาจกลับคืน ไม่จำเป็นที่เขาต้องลงมือด้วยตนเองโดยสิ้นเชิง เพื่อจะประจบเขา มีคนไม่รู้ตั้งเท่าไรข่มเหงกดหัวตระกูลอดีตสามีของหลีคนพี่จนจมโคลน”

หรงหวั่นอินฟังแล้วก็ตะลึงลาน

“ส่วนหลีคนน้อง…นั่นยิ่งน่าสนใจ การหมั้นหมายกับจีเซ่าที่มีอยู่แต่เดิมเป็นอันล้มเหลวไม่พอ ยังถูกบีบให้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแต่งงานกับท่านอาห้าของจีเซ่าอีก ใช่แล้ว ก็คือจีเจาหัวหน้าหน่วยเสวียนจิ้งที่ฆ่าคนไม่กะพริบตาและชอบถลกหนังคนมาทำเป็นโคมไฟที่สุดผู้นั้นนั่นล่ะ!”

หรงหวั่นอินสูดหายใจเย็นเยือก อุทานถามด้วยความตกใจ “เช่นนั้น…เช่นนั้นนางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

“ยังมีชีวิตอยู่ ได้ยินว่าจีเจาถึงกับดีต่อนางไม่เลว แต่ข้าไม่อยากพูดเรื่องนี้กับเจ้าเลย” จีผิงเจวียนลดเสียงลง “นางเสียโฉมแล้ว ถูกลูกชู้ของจีเจาเอาไข้ทรพิษมาติดจนทิ้งรอยตะปุ่มตะป่ำไว้เต็มหน้า!”

“ผิงเจวียน!” จีผิงเหลียนมองน้องสาวปราดหนึ่งอย่างกึ่งตำหนิ

จีผิงเจวียนสงวนกิริยาลงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยว่า “นี่ข้ากำลังเล่าเรื่องในเมืองหลวงให้น้องหวั่นอินฟังอยู่ ประเดี๋ยวไปถึงจวนอู่เสียนอ๋องก็ต้องได้พบพี่น้องสกุลกู้ รู้เรื่องพวกนางไว้มากหน่อยก็ช่วยกันไม่ให้น้องหวั่นอินพูดอะไรผิดไปมิใช่หรือ”

หรงหวั่นอินพยักหน้าช้าๆ “พี่ผิงเจวียนพูดถูกต้อง ล้วนเป็นเพราะหวังดีต่อข้า เพียงแต่…เจี้ยนหลีเสียโฉมแล้วจริงหรือ มี…มีรอยตะปุ่มตะป่ำทั้งหน้า?”

นางมองไปยังสองพี่น้องสกุลจีอย่างไม่อยากจะเชื่อ จวบจนจีผิงเหลียนพยักหน้า นางถึงค่อยๆ รับข่าวนี้ได้แล้วเอ่ยถามว่า “พวกท่านได้เห็นเองกับตาแล้วหรือ ร้ายแรงหรือไม่”

“ปกติข้ากับพี่หญิงก็อยู่ที่ที่ดินศักดินา ไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง ย่อมจะไม่สามารถเห็นเองกับตา ทว่าคนที่ได้เห็นเองกับตาในเมืองหลวงมีไม่รู้ตั้งเท่าไร ในงานแต่งงานของหลงอวี๋จวินเมื่อสามเดือนกว่าก่อนหน้านี้อย่างไรเล่า เวลานั้นคุณหนูสกุลถังออกวาจาส่อเสียดอยู่หลายครั้ง หมายจะทำให้กู้เจี้ยนหลีขายหน้า แต่กู้เจี้ยนหลีก็ไม่หวั่น ปลดผ้าคลุมหน้าลงด้วยตนเอง ให้ทุกคนได้เห็นกันอย่างเปิดเผย” จีผิงเจวียนกล่าว

จีผิงเหลียนถอนหายใจ “ช่างน่าเสียดายนัก”

แม้นางจะกล่าวเช่นนี้ ในสีหน้ากลับไม่มีแววเสียดายสักเท่าไร ภายนอกนางคงกิริยาเรียบร้อยภูมิฐานตามฐานะท่านหญิงไว้ แต่ภายในใจก็อยากรู้อยากเห็นต่อใบหน้าของกู้เจี้ยนหลีในยามนี้เช่นกัน

“คุณหนูถังผู้นั้นเป็นผู้ใด เหตุใดต้องเหน็บแนมกู้เจี้ยนหลีด้วย” หรงหวั่นอินถามด้วยความสงสัย

จีผิงเจวียนรีบเล่าถึงความขัดแย้งระหว่างถังหงฮุ่ยกับกู้เจี้ยนหลีและจีเสวียนเค่อ

หรงหวั่นอินหยิบขนมหวานบนโต๊ะเล็กมากินชิ้นหนึ่ง ยิ้มจนตาโค้งให้จีผิงเจวียน “พี่ผิงเจวียนเก่งยิ่งนัก ตัวอยู่ไกลถึงทางใต้ กลับรู้เรื่องใหม่ๆ ในเมืองหลวงมากเพียงนี้!”

จีผิงเจวียนรู้สึกเช่นกันว่าตนเองชักจะพูดมากไปแล้ว จึงยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด

เตาอุ่นภายในรถม้าร้อนอยู่บ้าง หรงหวั่นอินแง้มหน้าต่าง ทางหนึ่งคุยกับพี่น้องสกุลจีถึงเรื่องราวใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงสามปีมานี้ อีกทางก็มองทิวทัศน์ข้างนอกรถม้าพลางหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ยามมายังเมืองหลวงในตอนที่นางยังเล็ก

“เอ๊ะ นั่นเป็นรถม้าของตระกูลใด มุ่งหน้าไปจวนอู่เสียนอ๋องเช่นกันใช่หรือไม่”

จีผิงเจวียนชะเง้อมองไปก็เห็นจีอู๋จิ้งประคองกู้เจี้ยนหลีขึ้นรถม้าก่อนก้าวตามขึ้นไปพอดี ฉางเซิงกับจี้ซย่านั่งอยู่ด้านหน้า กำลังเร่งให้รถม้าแล่นไปข้างหน้า เนื่องจากอยู่ไกลกันพอสมควร นางมองเห็นไม่ชัด จึงชะโงกหน้าออกไปร้องเรียกจีซวี่มาสอบถามใกล้ๆ

จีซวี่มุ่นคิ้วโคลงศีรษะ พูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ข้าได้ยินท่านพี่บอกว่าอาจจะเป็นรถม้าของจีเจา”

จีผิงเจวียนสะดุ้งตกใจ รีบหดศีรษะกลับไป เพียงแค่ได้ยินชื่อก็ทำให้แม่นางทั้งสามในรถม้าหวาดกลัวอยู่ครามครันแล้ว

ผ่านไปครู่ใหญ่หรงหวั่นอินก็ถามว่า “แสดงว่า…คนที่ถูกประคองขึ้นรถม้าเมื่อครู่นี้คือกู้เจี้ยนหลี?”

เป็นพักใหญ่จีผิงเหลียนถึงได้ตอบรับ “น่าจะใช่กระมัง…”

 

กู้เจี้ยนหลีกลับขึ้นรถม้า ถอดเสื้อคลุมออกมาตรวจดูอย่างละเอียด ครั้นเห็นว่ายังอยู่ในสภาพดีไม่ได้เปื้อนโคลนหิมะและไม่มีรอยยับก็วางไว้ด้านข้างด้วยความพอใจ จากนั้นก็รื้อชุดสำรองออกมาจากในหีบใต้ม้านั่งยาว

นางก้มหน้าแก้สายรัดตรงหน้าอก สายรัดสีเหลืองอ่อนเส้นยาวผูกเป็นเงื่อนผีเสื้อ นางเพิ่งจะดึงสายได้เล็กน้อยก็หยุดมือ เหลือบตาขึ้นมองไปยังจีอู๋จิ้งอย่างระแวดระวัง

จีอู๋จิ้งเท้าคาง ตั้งใจจะดูนางเปลี่ยนชุดอย่างสนอกสนใจ

กู้เจี้ยนหลีตื่นตัวขึ้นมาทันที เนื่องด้วยจีอู๋จิ้งหาความจริงจังไม่ได้เอาเสียเลย เกรงว่าเขาจะลวนลามนางในรถม้า นางจึงก้มตัวลงค้นในหีบ หาผ้าคลุมไหล่ผืนหนึ่งออกมา

“ยื่นมือมาให้ข้า” กู้เจี้ยนหลีกล่าว

จีอู๋จิ้งมองนางปราดหนึ่ง คาดเดาความคิดของนางได้ปรุโปร่ง เขาแค่นหัวเราะทีหนึ่ง สุดท้ายก็ยื่นมือทั้งสองข้างให้นาง ปล่อยให้นางใช้ผ้าคลุมไหล่อ่อนนุ่มมัดมือเขาเอาไว้

กู้เจี้ยนหลีตัวสั่นระริกอยู่หลายทีถึงค่อยกัดฟันออกแรงรัดผ้าจนแน่น ผูกเป็นเงื่อนตาย มัดสองมือเขาไว้แล้วก็ยังไม่พอ นางยังจับชายผ้าคลุมไหล่ที่เหลือพันอ้อมผ่านคอมาปิดตาเขาไว้อย่างหมิ่นเหม่ด้วย

เสร็จแล้วนางก็กระตุกมุมปาก เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความพออกพอใจ

กู้เจี้ยนหลีเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงหรูฉวินเอวสูงสีแดงอ่อนตรงหน้าอกใช้สายรัดแถบกว้างสีน้ำเงินเข้มรัดไว้ จับคู่กับผ้าคลุมไหล่สีเดียวกัน นางยกชายกระโปรงขึ้น มองดูรองเท้าที่ใส่อยู่กลับเห็นว่าไม่เข้ากับชุดตัวนี้แล้ว ทว่ายังดีที่รถม้าต้องจอดตรงประตูข้าง นางสามารถกลับไปเปลี่ยนคู่ใหม่ที่ห้องนอนเดิมของนางได้ นี่เป็นการกลับบ้านตนเอง มิใช่ไปเป็นแขกยังบ้านผู้อื่น

หลังจัดการตนเองเรียบร้อย กู้เจี้ยนหลีก็มองจีอู๋จิ้ง เขาพิงผนังรถม้าอยู่เงียบๆ เรียบร้อย สองมือที่ถูกมัดไว้ห้อยอยู่ตรงหน้าอกในท่าที่ชวนอึดอัด

นางมองดูสภาพถูกมัดอย่างน่าสงสารเช่นนี้ของเขา ในใจให้เกิดความรู้สึกสุขีปรีดิ์เปรมอย่างน่าประหลาด

“กู้เจี้ยนหลี เจ้าจะแก้มัดข้าได้เมื่อไร” จีอู๋จิ้งถามอย่างหมดความอดทน

กู้เจี้ยนหลีเท้าแก้ม ใบหน้าอมยิ้ม แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้ายังเปลี่ยนไม่เสร็จเลย”

จีอู๋จิ้งหยุดส่งเสียงแล้วหลับตาลงเสียเลย

จนกระทั่งรถม้าใกล้ถึงจวนอ๋อง กู้เจี้ยนหลีถึงได้แก้ปมที่หลังศีรษะของเขาออก ยามนางมัดใช้แรงพอสมควร ยามแก้จึงมิวายต้องเปลืองแรง รถม้าจอดลงที่ประตูข้างของจวนอ๋องแล้ว นางก็ยังคงก้มหน้าออกแรงแก้ผ้าคลุมไหล่บนข้อมือชายหนุ่มอยู่

จี้ซย่าร้องเรียกอยู่ด้านนอกเป็นรอบที่สอง “ฮูหยิน ถึงแล้วเจ้าค่ะ”

“รู้แล้ว” กู้เจี้ยนหลีตอบรับ รู้สึกร้อนใจหนักกว่าเดิม ทว่ายิ่งร้อนใจก็ยิ่งแก้ไม่ออก นางได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจของฝูงชนแว่วๆ คิดในใจว่าหากหยุดอยู่ตรงนี้นานเกินไปคงดึงดูดสายตาคนเป็นแน่!

นางพูดอย่างหัวเสีย “นายท่านห้า ท่านแก้ปมเสีย!”

จีอู๋จิ้งแค่นหัวเราะ กล่าวด้วยน้ำเสียงมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ไม่”

“ท่านอา…” กู้เจี้ยนหลีมุ่นหัวคิ้ว เริ่มออดอ้อน

จีอู๋จิ้งเบนสายตาหลบ ท่าทางคร้านจะสนใจนาง

“ท่านอาคนดี ท่านอาแก้ปมให้ที ข้าไม่กล้ามัดท่านอาอีกต่อไปแล้ว…” นางออดอ้อนอีกครั้ง

จีอู๋จิ้งไม่สะทกสะท้าน

กู้เจี้ยนหลีแววตากระเพื่อมไหว คิดแผนการรับมืออย่างฉับไว เกลี้ยกล่อม? หลอกล่อ? บังคับ?

นางหลุบตาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหักใจ ตัดสินใจได้เด็ดขาดในที่สุดว่าจะใช้กลเม็ดที่จีอู๋จิ้งสอนนางในตอนแรก…บีบ ‘สิ่งนั้น’

“ซี้ด กู้เจี้ยนหลี!” จีอู๋จิ้งสีหน้าเปลี่ยนในพริบตา ออกแรงที่มือจนกระทั่งผ้าคลุมไหล่ที่มัดสองมือของเขาอยู่ขาดวิ่นในทันใด

กู้เจี้ยนหลีหยุดมือก่อนจะหันไปเปิดประตูรถม้าอย่างรวดเร็ว ชิงส่งมือให้จี้ซย่าประคองแล้วมุดออกจากรถม้าก่อนจีอู๋จิ้งจะคว้าตัวนางได้ทัน

ทั้งๆ ที่ชั่วขณะก่อนยังหวาดหวั่นอย่างยิ่ง แต่เมื่อลงมาจากรถม้า กู้เจี้ยนหลีก็เริ่มวางท่าอีกครั้ง มองไปยังด้านในรถม้าด้วยท่าทางเยือกเย็นเป็นธรรมชาติ รอจีอู๋จิ้งลงมาโดยแสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ขณะจีอู๋จิ้งลงมา ตรงข้อพับแขนพาดเสื้อคลุมของกู้เจี้ยนหลีไว้ เขาปรายตามองนางปราดหนึ่งก่อนจะสวมเสื้อคลุมให้นางด้วยท่าทางหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม แม้แต่หมวกเสื้อคลุมก็สวมให้นางด้วย

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบๆ “อากาศหนาวเย็น ฮูหยินระวังด้วย”

คำพูดนี้ของเขาบ่าวชายและสาวใช้ของจวนอ๋องที่เฝ้าประตูข้างอยู่ได้ยินแล้วรู้สึกเพียงว่าท่านเขยช่างเอาใจใส่โดยแท้! ทว่าคำพูดนี้กู้เจี้ยนหลีฟังแล้วกลับคิ้วกระตุก ฟังออกเพียงอันตรายจากการที่เขารอคิดบัญชีในภายหลัง

นางดึงดันจะรักษาความเยือกเย็นให้คงอยู่ต่อไป จึงคล้องแขนจีอู๋จิ้งเดินเข้าจวนอ๋องจากประตูข้างพร้อมกันกับเขา ฝีเท้าย่างก้าวตามสบาย ภายในใจกลับเต้นระรัว คิดหาวิธีเกลี้ยกล่อมเขา

กู้เจี้ยนหลีเสียเวลาระหว่างทาง ขณะมาถึงจวนอ๋องก็มีแขกเหรื่อมาชุมนุมกันคลาคล่ำแล้ว

ในวันงานแต่งงานของหลงอวี๋จวิน นางปลดผ้าคลุมหน้าของตนเอง ถูกผู้คนมองเห็นใบหน้าแล้ว แต่ก็เป็นเพียงคนส่วนน้อยที่ไปร่วมงานในวันนั้นเท่านั้น ซ้ำคนที่ไปร่วมงานแต่งงานก็น้อยกว่าที่มางานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดในวันนี้มากนัก เรื่องเมื่อวันนั้นแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหย่งอันนานแล้ว ลือกันว่ากู้เจี้ยนหลีเสียโฉม และยังลือกันถึงความเยือกเย็นแข็งแกร่งของนาง

ผู้ที่ไม่เคยเห็นใบหน้าที่เสียโฉมของกู้เจี้ยนหลียิ่งสงสัยใคร่รู้ ไม่เพียงสงสัยใคร่รู้ ยังไม่เชื่อด้วยว่านางจะไม่แยแสโดยสิ้นเชิง ล้วนอยากจะมาพิสูจน์ให้รู้ชัดในวันนี้ มาดูว่าอดีตคนงามอันดับหนึ่งจะกลายมามีใบหน้าตะปุ่มตะป่ำเช่นไร

เหตุใดกู้เจี้ยนหลียังไม่มาปรากฏโฉมเสียที แขกเหรื่อทั้งหลายรอแล้วรอเล่า…

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: