บทที่ 145
หรงหยวนโย่วตามสองพี่น้องสกุลกู้ไปไม่ทัน กลับถูกสาวใช้ข้างกายมารดาตามหาจนเจอเสียก่อน สาวใช้ส่งเสื้อคลุมให้เขาตามคำสั่งของฮูหยิน ที่ดินศักดินาของเซียงซีกงอยู่ที่เมืองชิงหนาน เป็นจุดใต้สุดของแคว้นต้าจี ตลอดทั้งปีไม่มีฤดูหนาว ทุกครั้งที่มาเมืองหลวงตอนยังเล็ก หรงหยวนโย่วเห็นหิมะตกก็จะรู้สึกอัศจรรย์ใจ ต้องได้เป็นไข้หวัดเสียทุกปี แม้ว่าปัจจุบันเขาจะเติบโตแล้ว มารดาก็ยังไม่วางใจ กลัวเขาจะหนาว
หรงหยวนโย่วรับเสื้อคลุมมาแล้วเริ่มครุ่นคิด เขารู้ดีว่าเรื่องแต่งงานนี้ต้องถูกขัดขวางเป็นแน่ หากเขาถามกู้ไจ้หลีแล้วภายหลังถูกทางบ้านขัดขวาง จะเป็นการไม่ดีต่อนาง เขาควรไปโน้มน้าวมารดาของตนให้ได้ก่อนจะดีกว่า จึงตามสาวใช้ไปพบมารดาทันที
หรงฮูหยินป่วยหนักสามปีเพิ่งจะดีขึ้นปีนี้ แต่จะอย่างไรก็แข็งแรงไม่เท่าเมื่อก่อน มาสถานที่ที่หนาวเย็นอย่างเมืองหย่งอันจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก พอนางมาถึงเถาซื่อก็จัดห้องส่วนตัวให้นางพักผ่อนชั่วคราว ทำร่างกายให้อบอุ่นก่อน
ในห้องจุดถ่านไฟไว้อย่างเพียงพอ หรงฮูหยินเอนตัวอยู่บนตั่งคนงาม* อย่างอ่อนล้า กอดเตาอุ่นมือไว้ในอ้อมแขน กาลเวลาและความเจ็บป่วยทิ้งร่องรอยไว้บนตัวนาง แต่หาได้สูญเสียความงดงามในวันวานและความน่าเกรงขามของภรรยาเอกผู้สืบทอดตระกูลไป
“ท่านแม่รู้สึกอุ่นขึ้นหรือยังขอรับ” หรงหยวนโย่วเอ่ยถาม
“เจ้าไม่ไปรำลึกความหลังกับมิตรสหายเก่าก่อน ไม่ตามบิดาเจ้าไปพบหน้าเหล่าผู้อาวุโส แล่นมาทำอะไรที่นี่” หรงฮูหยินถาม
หรงหยวนโย่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เดินมานั่งลงข้างมารดาบนตั่ง
หรงฮูหยินมองเขาปราดหนึ่งด้วยความแปลกใจแล้วเอ่ยถามว่า “เรื่องอันใดทำความลำบากให้เจ้าเข้าแล้ว”
“หยวนโย่วใคร่ขอร้องท่านแม่ช่วยหาแม่สื่อไปเจรจาสู่ขอ”
หรงฮูหยินรีบวางเตาในมือลง ลุกขึ้นนั่งตัวตรง
“นี่เพิ่งเข้าจวนมาได้มิพ้นครึ่งชั่วยามก็มีหญิงสาวที่เข้าตาช่างเลือกคู่นี้ของบุตรชายข้าแล้ว?” หรงฮูหยินยิ้มก่อนจะเอ่ยถาม “หญิงสาวในวัยเหมาะสมที่ชิงหนานไม่มีใครเป็นที่ถูกใจบุตรชายข้าสักคน คุณหนูของตระกูลใดในเมืองหลวงมีความสามารถมากเพียงนี้กัน”
หรงหยวนโย่วร้อนตัวอยู่บ้าง เขาชะงักไปเล็กน้อยถึงค่อยเอ่ยปากตอบ “สกุลกู้ขอรับ”
“สกุลกู้? ยามมาพักที่จวนสกุลกู้ในเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน ข้าเห็นคุณหนูรองสกุลกู้ดูไม่เลว ใช่ว่าไม่เคยมีความคิดจะชิงตัวกลับไปเป็นสะใภ้ เพียงแต่เวลานั้นพวกเจ้าอายุยังน้อย ต่อมาไม่ได้มาเมืองหลวงหลายปี นางเองก็แต่งงานแล้ว ข้ายังรู้สึกเสียดายนัก ประเดี๋ยวก่อน…” หรงฮูหยินหน้าเปลี่ยนสี “คนที่เจ้าถูกใจคือคุณหนูใหญ่ที่หย่าร้างแล้วกลับมาอาศัยอยู่ที่บ้าน?”
“ใช่แล้วขอรับ” หรงหยวนโย่วสีหน้าสงบนิ่ง
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!” หรงฮูหยินปัดเตาที่ข้างมือตกลงพื้น
สาวใช้สองคนในห้องก้มหน้าลงอย่างฉับไว ไม่กล้าหายใจแรง
หรงหยวนโย่วหลุบตาลง นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ในห้องเงียบลง ผ่านไปครู่ใหญ่หรงฮูหยินก็ถามอีก “วันนี้เจ้าได้พบนางเป็นการส่วนตัวแล้วหรือ”
“มิใช่ นางไม่ได้รับรู้ความในใจของหยวนโย่ว”
หรงฮูหยินโมโหจนหัวเราะออกมา เอ่ยถามว่า “แสดงว่าบุตรชายข้ามีใจอยู่ฝ่ายเดียว? ยังไม่ทันเกี้ยวสาวได้ก็ชิงแล่นมาร่ำร้องเป็นเรื่องเป็นราวต่อหน้าข้าแล้ว”
“จะอย่างไรหยวนโย่วก็ต้องถามความเห็นของท่านแม่ก่อน” หรงหย่วนโย่วกล่าว
“พูดเสียน่าฟัง” หรงฮูหยินยิ้มเย็น “ถามความเห็นข้า? มาเกลี้ยกล่อมยายแก่ขวางหูขวางตาอย่างข้าให้ได้ก่อนจะไปตามเกี้ยวสาวมากกว่ากระมัง”
“ท่านแม่ไม่แก่”
หรงฮูหยินปรายตามองบุตรชายอย่างหมดคำพูด เอนตัวกลับไปพิงตั่งแล้วยื่นมือไปหาสาวใช้อย่างเกียจคร้าน สาวใช้รุ่นเยาว์รีบส่งเตาอุ่นมืออีกใบให้ ก่อนจะย่อตัวลงเก็บเตาที่ถูกนางปัดคว่ำ
“เจ้ามีแผนจะทำให้นางเห็นด้วยอย่างไร”
ในดวงตาสงบนิ่งของหรงหยวนโย่วปรากฏแววว้าวุ่น
หรงฮูหยินถอนหายใจหนักๆ ก่อนโบกมือ “เอาล่ะ ออกไปได้แล้ว อย่าปล่อยโอกาสอันดีในการผูกไมตรีในวันนี้ให้พลาดไป”
หรงหยวนโย่วมองสีหน้ามารดาแล้วก็รู้สึกยินดีในทันที รีบลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านแม่มากขอรับ!”
หรงหยวนโย่วจากไปแล้ว หัวคิ้วหรงฮูหยินค่อยขมวดมุ่น ในใจให้งุ่นง่านนัก สกุลหรงกับสกุลกู้มีฐานะทัดเทียมกัน เพียงแต่…กู้ไจ้หลีหรือ
แม่สามีจำนวนมากยามเลือกลูกสะใภ้จะไม่ชอบคนที่มีรูปโฉมงามเย้ายวนเกินไป เกรงว่าหน้าตาที่ยั่วยวนไม่มีสง่าราศีจะเอาไปอวดใครไม่ได้ ยิ่งเกรงว่าจะทำให้บุตรชายลุ่มหลงหมกมุ่นกับสตรีจนเสียปณิธาน แต่หรงฮูหยินคิดว่าแม้กู้ไจ้หลีจะมีรูปโฉมงามพริ้งเพริศเกินไป ทว่าบุคลิกลักษณะกิริยาท่าทางสามารถข่มรูปโฉมงดงามนี้อยู่ อุปนิสัยและความประพฤติก็ไม่เลวเช่นกัน
แม้กู้ไจ้หลีจะเคยผ่านการแต่งงานมาครั้งหนึ่ง หรงฮูหยินก็รู้สึกเพียงว่าคะแนนลดลงเล็กน้อย กลับไม่ได้ถือสามากนัก บุรุษแต่งภรรยารับอนุ ภรรยาตายก็แต่งภรรยาใหม่ ไม่ตายแต่ไม่พอใจยังหย่าแล้วแต่งคนใหม่ได้ แล้วเหตุใดสตรีต้องเสียเวลาทั้งชีวิตไปกับบุรุษคนเดียว
หรงฮูหยินคิดจากใจจริงว่าหญิงที่คุมสามีไม่อยู่แล้วถูกรังแกในระหว่างแต่งงานเป็นพวกไร้ประโยชน์ หญิงที่รู้ว่าบุรุษที่แต่งงานด้วยไม่ใช่คนแต่กลับไม่คิดขอหย่าแล้วหนีไปให้ไกลเพื่อหยุดยั้งความเสียหายให้ทันกาลเป็นพวกโง่เง่า หญิงที่สามีตายแล้วเฝ้ารักษาพรหมจารี อาศัยเงินจากราชสำนักประทังชีวิตยิ่งเป็นพวกไม่เอาไหน
สิ่งที่หรงฮูหยินถือสาอย่างแท้จริงคือ…กู้ไจ้หลีอายุมากกว่าหรงหยวนโย่วถึงสี่ปี!
หากปีนี้หรงหยวนโย่วอายุเลยยี่สิบห้ายี่สิบหก แต่งภรรยาที่แก่กว่าเขาสี่ปีก็ใช่จะไม่ได้ ทว่าเขาเพิ่งอายุสิบหก หรงฮูหยินห่วงว่าบุตรชายจะเกิดนึกครึ้มชั่วครู่ชั่วยามแล้วตัดสินใจผิดด้วยความที่ยังเด็กเกินไป…
หลังกู้เจี้ยนหลีกับพี่สาวปลีกตัวมาจากทางบิดาก็ไปดูแลแขกเหรื่อสตรี จะอย่างไรกู้เจี้ยนหลีก็เป็นบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้ว จึงไม่ต้องวุ่นกับงานเท่าพี่สาว นางดูแลรับรองสตรีที่รู้จักจำนวนหนึ่ง เพียงครึ่งชั่วยามก็หาข้ออ้างออกมาก่อน
กู้เจี้ยนหลีรู้จากปากบ่าวรับใช้ก่อนแล้วว่าจีอู๋จิ้งไปอยู่ในศาลารับลมตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือที่เปล่าเปลี่ยวลับตาคนในเรือนหลังคนเดียว เช้านี้เขาไม่อยากกินอะไร งานเลี้ยงอาหารกลางวันก็ต้องรอถึงยามอู่กว่าจะเริ่ม นางกลัวเขาจะหิวจึงนำของกินจำนวนหนึ่งไปยังศาลา
วันนี้อากาศดียิ่ง แสงแดดเพียงพอและไม่มีลม แต่เมื่อขึ้นมาอยู่ที่สูง อุณหภูมิกลับลดลงและมีลมแล้ว
กู้เจี้ยนหลีวางโจ๊กปลาลงบนโต๊ะศิลา ดันไปให้จีอู๋จิ้งพลางกล่าวว่า “กินก่อนสักนิด ไม่รู้อีกประเดี๋ยวงานเลี้ยงกลางวันจะลากยาวไปถึงเมื่อไร”
จีอู๋จิ้งจับช้อนคนโจ๊กปลา ชิมไปหนึ่งคำแล้วคนต่อด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
“เมื่อครู่ข้าเห็นหลานชายสกุลเฉินดูน่าสนใจไม่หยอก…” กู้เจี้ยนหลีเท้าคาง เล่าเรื่องสนุกที่ได้ยินมาเมื่อครู่ก่อนให้ชายหนุ่มฟังไม่หยุด
บนหน้าจีอู๋จิ้งไม่มีอารมณ์ใดๆ กินโจ๊กสลับกับตอบรับเป็นครั้งคราว
ข้างนอกศาลาหนาวยิ่ง ผ่านไปครู่เดียวโจ๊กปลาก็เย็นชืดแล้ว จีอู๋จิ้งเองก็เพิ่งจะกินได้เพียงสี่ห้าคำ เขาวางช้อนลงก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ใคร่พอใจ
“ไม่อร่อย”
“เช่นนั้นข้าจะไปดูว่ายังมีอะไรอร่อยอีกหรือไม่” กู้เจี้ยนหลีสั่งให้จี้ซย่าเก็บกล่องข้าว เสร็จแล้วก็พานางเดินลงบันไดสูงไป
เมื่อลงมายืนอยู่ที่บันไดขั้นล่างสุด กู้เจี้ยนหลีก็เงยหน้ามองชายหนุ่มที่อยู่ในศาลาปราดหนึ่งแล้วถึงเดินหน้าต่อไป
จี้ซย่าอดทนแล้วอดทนเล่าแต่ก็ยังคงอดไม่ไหว กล่าวขึ้นเสียงเบา “ฮูหยิน บ่าวเห็นนายท่านห้าไม่สนใจบรรดาเรื่องสนุกที่ท่านเล่าแม้แต่น้อย เหตุใดท่านต้องเล่าเสียมากมายปานนั้นด้วยเจ้าคะ”
“ข้าชอบเล่าให้เขาฟังนี่” กู้เจี้ยนหลียิ้มจนตาเป็นเส้นโค้ง
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็พูดอีกว่า “เขาก็ชอบฟังข้าเล่าเช่นกัน”
จี้ซย่าโคลงศีรษะ “แสดงว่าจี้ซย่าโง่เขลาแล้ว มองไม่ออกสักนิดว่านายท่านห้าชอบฟัง…”
กู้เจี้ยนหลียกยิ้มมุมปาก ไม่ได้อธิบายอันใด ผู้อื่นจะมองออกหรือไม่ จะรู้หรือไม่ล้วนไม่เป็นไร ตัวนางรู้ดีแก่ใจก็พอแล้ว
คราวนี้กู้เจี้ยนหลีนำก๋วยเตี๋ยวเส้นปลามาสองชาม นางนั่งลงฝั่งตรงข้ามจีอู๋จิ้งแล้วตั้งอกตั้งใจกิน ไอร้อนจากเส้นก๋วยเตี๋ยวระผ่านหน้า ทำให้แก้มนางแดงก่ำขึ้นมา
เดิมทีจีอู๋จิ้งไม่อยากกิน แต่ถูกท่าทางตั้งอกตั้งใจกินของกู้เจี้ยนหลีดึงดูดสายตาจนเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะจับตะเกียบขึ้นมากินเงียบๆ
หมู่เขาที่อยู่ห่างไปไกลมีหิมะขาวโพลนปกคลุม เสียงแขกเหรื่อหัวเราะพูดคุยดังเซ็งแซ่ลอยแว่วมาจากด้านล่าง ในศาลารับลมที่ล้อมรอบด้วยดอกเหมยแดงบนภูเขาจำลอง คนทั้งสองหลบความครึกครื้นมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้อนควันฉุยอยู่ตรงข้ามกัน ติดดินมีชีวิตชีวามากกว่าสวรรค์ชั้นฟ้าบนภูเขาหิมะ ให้บรรยากาศเหมือนแดนเซียนเหนือโลกีย์มากกว่าบริเวณงานเลี้ยงด้านล่าง
เมื่อคนทั้งสองใกล้จะกินเสร็จ จี้ซย่าก็วิ่งไปนำผลไม้มาให้พวกเขาอย่างรู้งาน
กู้เจี้ยนหลีหยิบคันฉ่องอันเล็กออกมาส่องใบหน้า เครื่องประทินโฉมยังสมบูรณ์ดี ปิ่นระย้าที่ปักอยู่ในเรือนผมกลับเอียงอยู่บ้าง นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยัดคันฉ่องใส่มือจีอู๋จิ้งให้เขาชูไว้ แล้วตนเองก็หามุมเหมาะๆ ส่องคันฉ่องจัดมวยผมและปิ่นให้เรียบร้อย
“กู้เจี้ยนหลี เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าข้าคล้ายจะเป็นสาวใช้ของเจ้าแล้ว” จีอู๋จิ้งพูดด้วยน้ำเสียงยานคาง
กู้เจี้ยนหลีตั้งใจจัดมวยผม ตอบส่งๆ โดยไม่ได้มองเขา “ดูแลการกินการดื่มของท่าน ข้าเหมือนเป็นแม่นมท่านมากกว่าอีก”
จีอู๋จิ้งแค่นหัวเราะ “แม่นม? เช่นนั้นเจ้าก็อุ้มข้าเข้าอก ปลดเสื้อแล้วให้นมข้าสิ”
มือของกู้เจี้ยนหลีหยุดชะงัก เดิมนึกว่าชินกับวาจาทะลึ่งตึงตังของจีอู๋จิ้งไปนานแล้ว แต่ทุกครั้งก็ยังคงถูกเขาทำให้พ่ายแพ้ด้วยความลามกไร้ยางอายที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
นางถลึงตาใส่เขา จากนั้นก็พูดด้วยท่าทางเป็นจริงเป็นจัง “จีเจา อันที่จริงข้ามีโรคแฝงอยู่ หูมักจะหนวกเป็นครั้งคราว เมื่อครู่ท่านพูดอะไรข้าฟังไม่ได้ยิน พูดอีกรอบก็ไม่ได้ยิน”
จีอู๋จิ้งร้อง “อ้อ” มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาเช่นกัน เขากล่าวว่า “นั่นสิ ข้ามองออกนานแล้วว่าเจ้ามีโรคแฝงอยู่ มา แลบลิ้นออกมาให้อาดูหน่อยว่ามีวิธีรักษาหรือไม่”
กู้เจี้ยนหลีกลั้นขำ แลบปลายลิ้นเล็กออกมาอย่างให้ความร่วมมือ ริมฝีปากแดงงามหยาดเยิ้ม ปลายลิ้นนุ่มชื้นสีชมพูโผล่ออกมาจากช่องระหว่างริมฝีปาก
จีอู๋จิ้งพลันชะโงกตัวไปกัดปลายลิ้นที่ยื่นออกมาของนาง
กู้เจี้ยนหลีเบิกตาโตด้วยความตกใจทันที นางผลักเขาออกแล้วหันหน้าไปมองทางด้านล่างอย่างรวดเร็ว สาวใช้ขบวนหนึ่งถือแจกันดอกไม้เดินผ่านมาตรงด้านล่างภูเขาจำลองพอดี แต่พวกนางไม่ได้สังเกตเห็นว่าบนภูเขาจำลองมีคนอยู่
หัวใจกู้เจี้ยนหลีกลายเป็นกลองใบน้อย ไม้กลองสองอันทุบลงบนหน้ากลองจนเกิดเสียงดังโครมคราม
ครั้นสาวใช้เหล่านั้นเดินผ่านไปแล้ว กู้เจี้ยนหลีก็ลดเสียงลงแล้วเอ่ยตำหนิ “ท่านมาทำรุ่มร่ามอยู่ข้างนอกได้อย่างไร!”
จีอู๋จิ้งเอื้อมมือไปกุมสองแก้มของนางพลางพูดด้วยใบหน้าทะเล้น “หลีหลีน้อยของอาหน้าแดงอีกแล้ว อาจะประคบเย็นให้เจ้า จะได้ไม่ทำให้คนนอกเห็นแล้วหัวเราะเยาะเอาได้”
กู้เจี้ยนหลีแค่นเสียงด้วยอารามโกรธขึ้ง ปัดสองมือของจีอู๋จิ้งออก นางยกชายกระโปรงลุกขึ้นจากม้านั่งหินแล้วเดินไปที่ม้านั่งยาวด้านข้าง ก่อนจะพิงเสาสลักลายของศาลา เอาหน้าแนบลงไปเพื่อลดอุณหภูมิ
ดอกเหมยแดงที่ยื่นเข้ามาจากนอกศาลาลอยอยู่เหนือศีรษะกู้เจี้ยนหลี ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ดอกเหมยแดงร่วงโปรยปราย ตกลงบนเรือนผมดำขลับและลาดไหล่ของนาง
จีอู๋จิ้งเลียปากกล่าวว่า “ผู้อื่นอยู่ใกล้ๆ แต่มองไม่เห็นพวกเราทำเรื่องเหลวไหลกัน มิใช่น่าสนุกมากหรือไร”
กู้เจี้ยนหลีอุดหู
จีอู๋จิ้งดึงตัวนางให้หันมาแล้วกดนางเข้ากับเสาแดงสลักลาย ก่อนจะกัดลงบนริมฝีปากแดงที่หมายมาดมานาน
ดอกเหมยแดงบดบังเงาร่างของคนทั้งสอง
กู้เจี้ยนหลีได้ยินเสียงสาวใช้หัวเราะอยู่ไกลๆ ได้ยินเสียงเหล่าคุณชายปราศรัยทักทายกัน และยังมีเสียงฝีเท้าที่ทั้งเข้ามาใกล้และเดินไกลออกไป
จีอู๋จิ้งวางมือทาบตรงหน้าอกนางเพื่อฟังเสียงหัวใจที่เต้นระรัว
กู้เจี้ยนหลีได้ยินแล้วเช่นกัน นางอยากจะผลักมือเขาออก กลับทำได้เพียงกำแขนเสื้อเขาไว้
จีอู๋จิ้งโน้มหน้าไปข้างหูนาง หัวเราะเบาๆ แล้วลดเสียงลงพูดเสียงทุ้ม “อันที่จริงตอนอาสอนเจ้าป้องกันตัวได้เก็บกระบวนท่าไว้ท่าหนึ่ง ท่าไม้ตายไม่ใช่บีบ ‘สิ่งนั้น’ แต่เป็นกัด ‘สิ่งนั้น’ เจ้าอยากลองเรียนดูหรือไม่”
มาแล้ว ความแค้นในรถม้าเมื่อเช้าจะถูกชำระแล้ว
บทที่ 146
กู้เจี้ยนหลีมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะกะพริบตาอย่างแช่มช้าแล้วหลุบตาลง ริมฝีปากที่บวมแดงของนางส่งความรู้สึกซาบซ่านที่ต่างออกไปมาเป็นระยะ ปากและลิ้นเปียกชื้นเหนียวหนืด นางอดที่จะเม้มปากไม่ได้ ฟันสวยกัดกลีบปากนุ่มชื้นเบาๆ นางก้มหน้าลงด้วยการตอบสนองที่ค่อนข้างเชื่องช้า หน้าผากสัมผัสกับแผ่นอกจีอู๋จิ้งเบาๆ มือที่กำสาบเสื้อของเขาอยู่ค่อยๆ เลื่อนลงไปถึงบั้นเอว กำเสื้อบริเวณนั้นแล้วมือก็เขยิบอย่างเชื่องช้าจากข้างบั้นเอวไปด้านหลัง กอดเอวเขาไว้เบาๆ แอบอิงอยู่ในอ้อมอกชายหนุ่มทั้งตัวด้วยท่าทางว่านอนสอนง่ายโอนอ่อนผ่อนตาม
จีอู๋จิ้งหลุบตามองนางอย่างใจเย็น พูดอย่างเย็นชา “กู้เจี้ยนหลี เจ้าเล่นลูกไม้อะไรอีก รีบโมโหสิ จะร้องไห้ขี้มูกโป่งทุบตีคนก็ดี จะเชิดคางปะทะคารมกับข้าก็ได้เช่นกัน”
“ไม่…” กู้เจี้ยนหลีพูดเสียงอู้อี้ ตัวอ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมอกเขา
“ยืดตัวขึ้นมา อย่าบังคับให้ข้าผลักเจ้า” จีอู๋จิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายจะหมดความอดทน
“ไม่เอา…” นางกระชับมือที่กอดอยู่หลังบั้นเอวเขา สองมือกุมกัน โอบรัดไว้แน่น
จีอู๋จิ้งเงียบไปก่อนจะขู่ว่า “หากยังไม่หยุดทำตัวอ่อนปวกเปียกแนบติดกับตัวอา อาจะตีก้นแล้วนะ”
กู้เจี้ยนหลียังคงไม่ไหวติง
จีอู๋จิ้งจึงเอ่ยว่า “ยืดตัวขึ้นมา มีคนมาแล้ว”
ได้ยินดังนี้กู้เจี้ยนหลีก็มีการตอบสนองในที่สุด จีอู๋จิ้งรู้สึกได้ชัดเจนว่าร่างกายนางแข็งทื่ออยู่ชั่วขณะ ทว่าเพียงไม่นานกู้เจี้ยนหลีก็จับได้ว่าเขาหลอกนาง
จีอู๋จิ้งหน้าบึ้งตึง กล่าวว่า “กู้เจี้ยนหลี อย่าทำบิดพลิ้ว ได้ยินที่ข้าเพิ่งพูดไปหรือไม่”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับท่าทีนี้ของนางอย่างยิ่ง นางควรต้องโมโหต้องตื่นตระหนก ทะเลาะกับเขาถึงจะสนุก
กู้เจี้ยนหลีไม่ตอบคำ กลับเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าเคยนึกว่าการเป็นคู่รักเทพเซียน คือการชมบุปผาหน้าวสันต์ ชมจันทร์หน้าสารท ต่อบทกลอนท่องบทกวี กินดื่มเที่ยวชมภูผานทีไปทั่วสารทิศด้วยกัน”
จีอู๋จิ้งหลุบตามองนางพลางเอ่ยถามว่า “ต่อจากนั้นเล่า”
“ต่อจากนั้นเวลานี้ถึงเพิ่งรู้ว่าไม่ค่อยเหมือนกับที่เคยคิดไว้สักเท่าไร”
จีอู๋จิ้งเก็บความเกียจคร้านลง ในดวงตาจิ้งจอกที่หรี่น้อยๆ กลับมีแววจริงจังซ่อนอยู่ เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ยังคงไม่อินังขังขอบว่า “ไม่ชอบหรือ”
กู้เจี้ยนหลีส่ายหน้าเบาๆ เสียงก็เบาเช่นกัน “ชอบ ชอบมาก”
นางคลายมือที่โอบรอบเอวเขาออกช้าๆ ก่อนจะถอยหลังก้าวหนึ่ง ผละออกจากอ้อมกอดของเขา จากนั้นก็เงยหน้ามองดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นแล้วค่อยๆ เผยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยท่าทางจริงจังยิ่งยวด
“หากท่านอาไม่คิดเอาของอะไรก็ไม่รู้มายัดใส่ปากข้าอยู่ทุกวันก็จะชอบยิ่งกว่าเดิม” พูดจบนางก็หันหลัง ยกชายกระโปรงวิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังทิ้งคำพูดไว้อีกประโยคว่า “เสียเวลาอยู่ตรงนี้นานเกินไป ต้องลงไปแล้ว!”
จีอู๋จิ้งกัดฟันกรอด
ของอะไรก็ไม่รู้?
เฮอะ ไม่ช้าก็เร็วจะทำให้เจ้าต้องขอร้องข้าให้เอาของอะไรก็ไม่รู้ยัดใส่ปากเจ้าให้จงได้!
จีอู๋จิ้งมองแผ่นหลังที่วิ่งหนีไปของกู้เจี้ยนหลีแล้วพลันยิ้มออกมา เขาตามไปทันในไม่กี่ก้าว เอามือโอบเอวนางเดินจากไปพร้อมกัน
กู้เจี้ยนหลีลอบมองสีหน้าเขาแล้วก็วางใจ
มุมตรงนี้เปล่าเปลี่ยวลับตาคน เป็นนานกว่าจะมีบ่าวรับใช้ผ่านมา กู้เจี้ยนหลีกับจีอู๋จิ้งเดินไปยังสวนดอกไม้อันครึกครื้น ระหว่างทางบังเอิญเจอคนเพียงไม่กี่คน
คนทั้งสองเลี้ยวผ่านประตูวงเดือน จู่ๆ ก็ได้ยินคนพูดถึงกู้เจี้ยนหลีแว่วๆ กู้เจี้ยนหลีกับจีอู๋จิ้งมองไปตามเสียง เห็นเงาคนสองคนลอบคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้
สองคนนั้นคือจีผิงเหลียนกับจีผิงเจวียน
“แม้รูปโฉมของกู้เจี้ยนหลีจะกลับมาดีดังเดิมแล้วอย่างไรเล่า มิใช่ยังเป็นที่น่าขบขันเหมือนเดิมหรือไร” จีผิงเจวียนจับผ้าเช็ดหน้าป้องปากยิ้ม “สตรีเรานี้ชาติตระกูลรวมถึงรูปโฉมวิชาความรู้ทั้งสำคัญและก็ไม่สำคัญ หากกล่าวถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นย่อมเป็นการแต่งงานกับคนที่ดี”
จีผิงเจวียนประเมินมองสีหน้าของจีผิงเหลียน นางต่างจากพี่สาวซึ่งเกิดจากภรรยาเอกและเป็นถึงท่านหญิง จีผิงเจวียนเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุ มีฐานะเป็นบุตรสาวสายรอง นางตามพี่สาวสายตรงมาเข้าเฝ้ายังเมืองหลวงได้อย่างราบรื่นสมใจเป็นเพราะนางสังเกตท่าทีคนเก่ง กล่อมท่านแม่ใหญ่และพี่สาวสายตรงเสียอยู่หมัด บนรถม้าขณะเดินทางมา หรงหวั่นอินถามถึงเรื่องกู้เจี้ยนหลี แม้จีผิงเหลียนจะมีท่าทางเรียบร้อยเป็นกุลสตรี แต่จีผิงเจวียนกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่าหญิงสาวล้วนชอบการเปรียบเทียบ ล้วนเป็นท่านหญิงเหมือนกัน ใครไม่อยากอยู่เหนือกว่าท่านหญิงคนอื่นบ้างเล่า
เดิมทีจีผิงเจวียนยังคาดเดาความคิดพี่สาวได้ไม่ปรุโปร่ง แต่ขณะกู้เจี้ยนหลีตามบิดาไปรับเสด็จนั้นมีหน้ามีตาโดยแท้ นางสังเกตสีหน้าจีผิงเหลียนอย่างเงียบๆ ก็เห็นแววไม่ชอบใจวาบผ่านในดวงตาของผู้เป็นพี่สาว
“อย่าพูดจาส่งเดช” จีผิงเหลียนกล่าว แม้ปากนางจะพูดเช่นนี้ ในดวงตากลับไม่มีแววตำหนิติเตียนน้องสาว กระทั่งมีแววเห็นด้วยอยู่รางๆ เสียด้วยซ้ำ
จีผิงเจวียนยิ่งรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร จึงยิ่งเริ่มปากกล้า
“พี่หญิงคนดีของข้าดีกว่ากู้เจี้ยนหลีเป็นร้อยเท่า ไม่มีทางแต่งงานกับคนเช่นนั้นให้ถูกย่ำยีเปล่าๆ ไปทั้งชาติแน่นอน” จีผิงเจวียนป้องปากยิ้มเยาะ “จีเจาผู้นั้นโตมาในสำนักประจิม สำนักประจิมมีแต่พวกขันทีไม่สมประกอบ ขันทีถ้าไม่เป็นพวกสุนัขที่ถูกคนเหยียบไว้ใต้เท้าข่มเหงรังแก แม้แต่จะนับเป็นคนยังไม่ได้ ก็เป็นพวกเฒ่าหนังเหนียวชอบพูดจาส่อเสียดวิปริตน่าสะอิดสะเอียน เห็นได้ชัดว่าจีเจาเป็นอย่างหลัง ไม่รู้เลยว่าปกติเฆี่ยนตีปู้ยี่ปู้ยำกู้เจี้ยนหลีอย่างไร!”
จีผิงเหลียนปรายตามองน้องสาวอย่างเดียดฉันท์ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าเข้าใจอะไรๆ ไม่น้อยทีเดียว”
จีผิงเจวียนแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจคำเหยียดหยามของพี่สาว ยังคงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเอาใจเช่นเดิม “น้องได้ยินพวกบ่าวรับใช้ซุบซิบกัน”
“อย่าเอาแต่ฟังพวกปากมากพูดเหลวไหล” จีผิงเหลียนตำหนิด้วยท่าทางเคร่งขรึม “คำที่เจ้าพูดวันนี้เลยเถิดอยู่บ้าง ไม่เหมาะไม่ควร วันหน้าห้ามทำอีก”
“เจ้าค่ะ น้องไม่กล้าแล้ว” จีผิงเจวียนยิ้มพลางกล่าวขออภัย แต่ในใจกลับยิ้มเย็น
เสแสร้งอะไรกัน
จีผิงเจวียนเข้าใจพี่สาวผู้เสแสร้งแกล้งทำคนนี้ยิ่งกว่าใคร ภายนอกรักษามารยาทวางท่าเรียบร้อย ข้างในลึกๆ มิใช่ทนเห็นผู้อื่นได้ดีไม่ได้เช่นกันหรือไร แม้เบื้องหน้าพี่สาวจะตำหนินาง แต่ในใจกลับชอบฟังนางพูดคำเหล่านี้ นางรู้เช่นกันว่าบรรดาคำที่ตนเองพูดหาใช่ความจริงทั้งหมด มีส่วนที่เกินจริงอยู่ ก็แค่แสร้งเป็นคนถ่อยเพื่อกล่อมให้พี่สาวเบิกบานใจเท่านั้นเอง
จีผิงเหลียนกับจีผิงเจวียนเดินไปไกลแล้ว กู้เจี้ยนหลีถึงได้ปล่อยมือจีอู๋จิ้ง นางพินิจมองสีหน้าเขาอย่างละเอียด ก่อนจะใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยขึ้น
“น้องสาวสายรองที่ประจบพี่สาวสายตรงคนหนึ่ง สิ่งที่พูดล้วนเป็นถ้อยคำเลื่อนเปื้อน ถือเป็นจริงเป็นจังไม่ได้”
“ห้ามข้าเพราะกลัวข้าจะฆ่าคนหรือ” จีอู๋จิ้งเอ่ยถาม สีหน้าเขาย่ำแย่เป็นที่สุด ในดวงตาจิ้งจอกที่หรี่น้อยๆ มีประกายอึมครึมเหี้ยมเกรียมที่ไม่ได้เห็นมานาน
กู้เจี้ยนหลีส่ายหน้า นางก็งุนงงสับสนอยู่เช่นกัน เป็นครั้งแรกที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี มีทั้งความกังวลและความลังเล
จีอู๋จิ้งหันหน้ามามองสำรวจสีหน้าเหม่อลอยของกู้เจี้ยนหลี เขาแค่นหัวเราะทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่ยี่หระ
“กู้เจี้ยนหลี เหตุใดทุกคนล้วนคิดว่าเจ้าแต่งงานกับข้าแล้วจะกลายเป็นที่น่าขบขัน ต้องถูกกระทำย่ำยีไปทั้งชาติ หากผู้ที่เจ้าแต่งงานด้วยไม่ใช่ข้า แต่เป็นหลานชายผู้นั้นของข้า ผู้อื่นก็จะชมว่าเป็นคู่รักเทพเซียนใช่หรือไม่ เหมือนอย่างที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้…ชมบุปผาชมพระจันทร์อะไรนั่น?” ในสีหน้าของจีอู๋จิ้งมีแววหงุดหงิดรำคาญใจระคนอยู่ เขากล่าวอีกว่า “บุปผาเอยพระจันทร์เอยมีอะไรน่าชม บุปผาเอยต้นหญ้าเอยน่าเกลียดจะแย่ น่ามองสู้เจ้ายังไม่ได้เลย พระจันทร์ก็ขาวผ่องไม่สู้ก้นเจ้า”
กู้เจี้ยนหลีนิ่งงันไป ถ้อยคำที่เดิมทีอยากเอื้อนเอ่ยถูกเขาทำเอาติดอยู่ในลำคอ
“ท่านพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว!” นางสบสายตาเขา พยายามทำให้ตนเองมองข้ามวาจาหยาบโลนของเขาไปแล้วเอ่ยปากว่า “เช่นนั้นท่านจะหย่ากับข้าแล้วปล่อยข้าไปแต่งงานกับผู้อื่นหรือไม่”
“ไม่” จีอู๋จิ้งตอบเพียงคำเดียว โพล่งออกมาโดยไม่แม้แต่จะคิด
“นั่นก็หมดเรื่องแล้วมิใช่หรือ” นางมุ่นคิ้ว “ท่านมิใช่เคยบอกว่าคนเราเกิดมาทั้งทีพึงใช้ชีวิตตามอำเภอใจหน่อยหรือไร ไม่ต้องกังวลถึงความเห็นของผู้อื่น ทำให้ตนเองสุขใจต่างหากที่สำคัญ”
กู้เจี้ยนหลีเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อ “คนเรามีหลายด้าน มีครบหมดทั้งดีทั้งไม่ดี ด้านไม่ดีมีไม่ใช่น้อยๆ จะสนไปไยว่าพวกเขาจะพูดอย่างไร” นางจูงมือเขาพลางพูด “เอาล่ะ พวกเราไปที่สวนกันได้แล้ว วันนี้เป็นวันเกิดของท่านพ่อ เลี่ยงก่อความวุ่นวายหน่อยจะดีกว่า”
จีอู๋จิ้งมองมือนางปราดหนึ่งแล้วเดินหน้าต่อไปด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
เดินมาได้หกเจ็ดก้าว กู้เจี้ยนหลีก็พลันหยุดฝีเท้า
จีอู๋จิ้งหันหน้ามาเหล่มองนาง เอ่ยถามด้วยสีหน้าระอา “อะไรอีก”
“ไม่ได้ ข้าโมโห อย่างไรก็ยังโมโห” กู้เจี้ยนหลีส่ายศีรษะอย่างติดจะขุ่นเคือง “นางว่าท่านเช่นนั้นได้อย่างไรกัน บอกว่าท่านเป็นพวกเฒ่าหนังเหนียวชอบพูดจาส่อเสียดวิปริตน่าสะอิดสะเอียนได้อย่างไร”
นางทำท่านับนิ้ว หนึ่งนิ้วต่อคำบรรยายหนึ่งคำ พูดถึงตอนท้ายก็ควันแทบออกหูแล้ว
จีอู๋จิ้งตะลึงงัน พินิจมองท่าทางกระหืดกระหอบของนางอย่างค่อนข้างประหลาดใจ ก่อนจะกล่าวอย่างเฉื่อยชา “นางพูดได้ถูกต้องยิ่ง ข้าเป็นพวกเฒ่าหนังเหนียวชอบพูดจาส่อเสียดวิปริตน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ นี่ จิ เจ้ามิใช่เคยด่าข้าเช่นนี้เหมือนกันหรือไร ไม่เคยด่าออกเสียงก็ต้องเคยด่าอยู่ในใจ”
คราวนี้เปลี่ยนเป็นกู้เจี้ยนหลีตะลึงงันแทนบ้าง ข้าเคยด่าด้วยหรือ นางนิ่วหน้า พูดอย่างไม่พอใจ “เอาเป็นว่านางพูดเช่นนี้ไม่ได้!”
นางสะบัดมือเขาออก ก้าวปราดๆ ไปข้างหน้าด้วยอารามโกรธเคือง
“หึๆ” จีอู๋จิ้งหัวเราะเสียงทุ้มอยู่ข้างหลังนาง เขาก้าวขายาวๆ ไล่ตามแม่นางน้อยที่โมโหกระหืดกระหอบพลางกล่าวประชดประชันกลั้วหัวเราะ “กู้เจี้ยนหลี เจ้ามิใช่ใจกว้างเป็นที่สุดหรอกหรือ คนนั้นเมื่อคราวก่อน จำไม่ได้แล้วว่าชื่อกระไร เอาเป็นว่าคนนั้นนั่นล่ะ เจ้าก็ไม่ได้สนใจนางเหมือนกันนี่”
จีอู๋จิ้งพูดจาคลุมเครือ แต่กู้เจี้ยนหลีฟังเข้าใจว่าเขาหมายถึงถังหงฮุ่ย
นางเอ่ยปากโดยไม่หยุดเท้า “หากไม่แก้เผ็ดไม่เอาคืนเนื่องด้วยในใจไม่แยแสโดยสิ้นเชิง นั่นเรียกว่าใจกว้าง แต่หากตนเองโมโหแล้วยังจะไม่เอาคืน นั่นมิใช่ความใจกว้าง แต่เป็นความอดกลั้น เป็นการเอามีดแทงหัวใจ หาเรื่องไม่สบายใจให้ตนเอง”
จี้ซย่าหิ้วกล่องข้าวที่ใส่ผลไม้และขนมของหวานไว้เต็มเดินสวนมา เห็นกู้เจี้ยนหลีมีสีหน้าผิดปกติก็รีบหลบไปรอข้างทาง เมื่อผู้เป็นนายเดินมาใกล้ นางยังไม่ทันพูดอะไร กู้เจี้ยนหลีก็ชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน
“ไป ไปขอยืมบ่าวรับใช้จากพี่สาวข้ามาสักสองสามคน เอาที่หน้าตาดุร้ายหน่อย”
จี้ซย่าเองก็ไม่ได้ถามให้มากความ ไปจัดการตามคำสั่งทันที
ใกล้ถึงยามอู่ แดดออกกำลังดี คล้ายว่ามิใช่ฤดูหนาว แต่เริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แขกเหรื่อสตรีเกือบทั้งหมดล้วนออกมาจากบรรดาโถงบุปผาเดินชมไม้ดอกไม้ประดับชื่อดังล้ำค่าในสวน
สองพี่น้องจีผิงเหลียนและจีผิงเจวียนนั่งรวมกับสตรีเมืองหลวงกลุ่มใหญ่ เล่นปาลูกดอกกันอยู่ ถึงตาของจีผิงเจวียนพอดี นางหยิบลูกดอกมาทำท่าเล็ง
กู้เจี้ยนหลีเดินไปใกล้ เหล่าหญิงสาวที่ล้อมวงอยู่หลีกทางเล็กน้อยให้นางเดินเข้าด้านใน
“คุณหนูห้าสกุลจี” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยปากเรียก
ลูกดอกหลุดออกจากมือจีผิงเจวียน ตกลงพื้นโดยที่ยังห่างจากเป้าอีกไกล นางมองลูกดอกที่ตกอยู่บนพื้นแวบหนึ่งด้วยความเสียดาย แล้วถึงหันมามองกู้เจี้ยนหลี บนหน้าประดับรอยยิ้มหวานพิมพ์ใจดูไร้พิษภัย
“ที่แท้ท่านหญิงเซิ่งอี๋ก็มาแล้ว น่าเสียดายที่ข้าปาได้น่าขายหน้าจริงๆ ทำให้สายตาท่านหญิงแปดเปื้อนแล้ว!”
กู้เจี้ยนหลียิ้มบางๆ แต่รอยยิ้มไปไม่ถึงดวงตา นางกล่าวว่า “ไม่ใช่ การปานี้ไม่ได้ทำให้สายตาข้าแปดเปื้อน แต่ทำให้หูข้าแปดเปื้อนต่างหาก”
รอยยิ้มของจีผิงเจวียนแข็งค้างอยู่บนหน้าในทันใด
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 พ.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.