X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 147-148

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 147

 

หรือว่าเรื่องที่ข้าพูดกับพี่สาวเมื่อครู่นี้จะถูกบ่าวรับใช้ในจวนอ๋องมาได้ยินเข้า แล้วก็นำคำที่ข้าพูดไปเล่าต่อให้กู้เจี้ยนหลีฟัง?

จีผิงเจวียนพลันใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย

ไม่ ไม่ใช่หรอกกระมัง

เหตุที่นางพูดถ้อยคำเหล่านั้นกับจีผิงเหลียนอย่างไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดเป็นเพราะสถานที่นั้นลับตาคน ก่อนนางเอ่ยปากก็ได้สังเกตรอบข้างแล้วว่าไม่มีใคร! เหตุใดจึงถูกบ่าวรับใช้ในจวนมาได้ยินเข้าได้เล่า

ในใจจีผิงเจวียนบริภาษบ่าวรับใช้ผู้ถ่ายทอดคำพูดที่ตนนึกคิดเอาเองไปถึงบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรแล้วด้วยซ้ำ วันนี้มีงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดในจวน เป็นบ่าวรับใช้คนใดกันแน่ที่ไม่รู้ความถึงเพียงนี้ ทำให้แขกเหรื่อและเจ้าภาพอารมณ์ไม่ดี นี่เป็นการไม่รู้ความหรือตั้งใจยุแยงตะแคงรั่วกันแน่

ประเดี๋ยวก่อน…หรือจะไม่ใช่เรื่องที่ข้าพูดกับพี่สาวตามลำพังในวันนี้ลอยไปเข้าหูกู้เจี้ยนหลี แต่เป็นเวลาอื่น

จะอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางปากมากลับหลังกู้เจี้ยนหลี ระหว่างเดินทางมาตอนนางนั่งอยู่ในรถม้าร่วมกับหรงหวั่นอินก็เคยพูดถึงกู้เจี้ยนหลี หรือว่าหรงหวั่นอินจะเอาคำพูดไปบอกต่อ?

ทันใดนั้นจีผิงเจวียนก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วเช่นกัน

ในหัวสมองของนางคิดไปหลากหลายอย่าง แต่ก็เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น นางฉีกยิ้มแสร้งทำไขสืออย่างรวดเร็ว เอ่ยปากพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“วาจานี้ของท่านหญิงชวนให้คนตกใจโดยแท้ ผิงเจวียนไม่ทราบว่ายังต้องอยู่เป็นแขกต่ออีกหรือไม่! ไม่ทราบอีกเช่นกันว่าเป็นคนถ่อยคนใดกันแน่ที่จงใจปากมากต่อหน้าท่าน รับบทยุแยงทำให้คนแตกคอกัน แต่วันนี้ในจวนมีคนมาก ความก็มากตาม อาจมีใครได้ยินอะไรผิดไปก็เป็นได้ ท่านหญิงอย่าได้หลงเชื่อความข้างเดียว ยิ่งอย่าได้โมโหโทโสเพราะการเล่าลือที่ผิดเพี้ยนไปเชียว ข้าเป็นเพียงบุตรสาวสายรองตัวเล็กๆ ต่อให้มีความกล้าเป็นร้อยเท่า ข้าก็ไม่กล้าพูดจาส่งเดช!”

แขกเหรื่อที่มุงอยู่รอบๆ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่กล้าปริปากง่ายๆ ต่างก็รอดูสถานการณ์ก่อนเช่นกัน

จีผิงเหลียนนั่งอยู่ด้านข้าง นางใจคอไม่ดีเล็กน้อยแต่ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาทางสีหน้า ยังคงวางท่าเป็นท่านหญิงอยู่ดังเก่า

“นี่เกิดเรื่องอะไรกัน” ชายาก่วงเสียนอ๋องพาสาวใช้รุดมา ฮูหยินในเมืองหลวงที่รุ่นราวคราวเดียวกับนางก็ตามมาด้วยสองสามคน

จีผิงเหลียนยิ่งใจหล่นวูบ รีบลุกขึ้นสอบถาม “เหตุใดท่านแม่จึงมาตรงนี้เล่าเจ้าคะ”

“ท่านหญิงเซิ่งอี๋ส่งคนไปแจ้งให้ข้ามาที่นี่” ชายาก่วงเสียนอ๋องตวัดสายตามองจีผิงเจวียน ก่อนมองไปยังกู้เจี้ยนหลีอย่างคล้ายสอบถาม

ในใจจีผิงเหลียนกับจีผิงเจวียนล้วนรู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว เหตุใดกู้เจี้ยนหลีผู้นี้ถึงไม่คำนึงแม้แต่น้อยว่าวันนี้เป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของบิดาตนเอง ถึงกับจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ให้ได้

“รบกวนชายาก่วงเสียนอ๋องแล้ว เพียงแต่คุณหนูห้าของจวนท่านได้กล่าววาจาไม่ค่อยเหมาะสม ท่านนับว่าเป็นมารดาใหญ่ของนาง เจี้ยนหลีได้แต่เชิญท่านมาตัดสิน”

ชายาก่วงเสียนอ๋องพอจะตระหนักได้เลาๆ ว่าถ้าถึงขั้นทำให้กู้เจี้ยนหลียกเรื่องขึ้นมาถกได้ เรื่องราวดูคล้ายจะร้ายแรงพอตัว

นางจึงถามว่า “มิทราบว่าผิงเจวียนพูดอะไรผิดไป”

กู้เจี้ยนหลีกระตุกมุมปากเบาๆ

“แม้รูปโฉมของกู้เจี้ยนหลีจะกลับมาดีดังเดิมแล้วอย่างไรเล่า มิใช่ยังเป็นที่น่าขบขันเหมือนเดิมหรือไร พี่หญิงคนดีของข้าดีกว่ากู้เจี้ยนหลีเป็นร้อยเท่า ไม่มีทางแต่งงานกับคนเช่นนั้นให้ถูกย่ำยีเปล่าๆ ไปทั้งชาติแน่นอน จีเจาผู้นั้นโตมาในสำนักประจิม สำนักประจิมมีแต่พวกขันทีไม่สมประกอบ ขันทีถ้าไม่เป็นพวกสุนัขที่ถูกคนเหยียบไว้ใต้เท้าข่มเหงรังแก แม้แต่จะนับเป็นคนยังไม่ได้ ก็เป็นพวกเฒ่าหนังเหนียวชอบพูดจาส่อเสียดวิปริตน่าสะอิดสะเอียน เห็นได้ชัดว่าจีเจาเป็นอย่างหลัง ไม่รู้เลยว่าปกติเฆี่ยนตีปู้ยี่ปู้ยำกู้เจี้ยนหลีอย่างไร”

กู้เจี้ยนหลีทวนคำพูดของจีผิงเจวียน

ถ้อยคำดุจเดียวกันกับที่ออกจากปากจีผิงเจวียนทำให้คนรู้สึกว่าเจ็บแสบใจดำ ไร้ยางอายทั้งยังสกปรก กู้เจี้ยนหลีใช้น้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้าถ่ายทอดออกมาโดยไม่เจือปนอารมณ์ใดๆ นางถ่ายทอดความด้วยการออกเสียงที่ชัดเจนโดยไม่เน้นคำใดทั้งสิ้น และไม่หลีกเลี่ยงบรรดาคำหยาบคายที่ไม่ควรออกมาจากปากกุลสตรีชั้นสูงด้วยเช่นกัน

ทั้งๆ ที่นางไม่มีท่าทีเดือดดาล เสียงก็นุ่มเบา แต่กลับทรงพลัง ไร้โทสะแต่ไม่เสียความทรงอำนาจ ภายใต้การให้เกียรติสอดแทรกด้วยการประณามตำหนิด้วยท่าทางอันสูงส่ง

จีผิงเหลียนที่เดิมทียังไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่มีสีหน้าไม่น่าดูในทันที วาจานี้ของกู้เจี้ยนหลีลากเอานางออกมาด้วยแล้ว! เดิมนึกว่าอีกฝ่ายเพียงจะระบายแค้นกับลูกอนุคนหนึ่ง แต่จีผิงเหลียนมีฐานะทัดเทียมกับกู้เจียนหลี อีกฝ่ายกระทำการโดยไม่คำนึงถึงหน้าตาของสองตระกูลปานนี้ได้อย่างไร

เมื่อกู้เจี้ยนหลีพูดจบ รอบข้างก็เงียบกริบ

ดวงตาแต่ละคู่ลอบมองไปยังจีอู๋จิ้ง วาจาเหล่านี้ที่ออกมาจากปากของกู้เจี้ยนหลี คนโดยรอบหาได้รู้สึกไม่คุ้นเคยเสียเท่าไร คำเหล่านี้พวกเขาล้วนเคยได้ยินคนวิพากษ์วิจารณ์มาไม่มากก็น้อย เพียงแต่ถ้อยคำไม่ได้ยากจะฟังเข้าหูเท่านี้ เดิมนึกว่าจีผิงเจวียนพูดอะไรกระตุกต่อมโทสะกู้เจี้ยนหลี คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่นางปั้นเรื่องใส่ร้ายจะเป็นจีอู๋จิ้ง!

จีอู๋จิ้งมาด้วยกันกับกู้เจี้ยนหลี ทว่าเขาไม่ได้เดินเคียงมากับนาง เพียงตามหลังอยู่สองสามก้าวอย่างเกียจคร้าน เมื่อเข้ามาในกลุ่มคนก็หาโต๊ะว่างนั่งลง เวลานี้กำลังหมุนถ้วยชาบนโต๊ะศิลาเล่นด้วยท่าทางเบื่อหน่าย

จีผิงเจวียนมีท่าทีตอบสนองขึ้นมาแล้ว ตีให้ตายก็ไม่ยอมรับ! นางทำตาแดง แสดงสีหน้าสลดน่าสงสารที่ได้รับความไม่เป็นธรรมออกมาอย่างรวดเร็ว

“ท่านหญิง ท่านปรักปรำกันแล้ว! ข้าเป็นเพียงบุตรสาวอนุตัวเล็กๆ ไหนเลยจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์ท่าน! ยิ่ง…ยิ่งไม่กล้าพูดเช่นนั้นถึงหัวหน้าจี!” นางสะอื้นเบาๆ ร่ำไห้เสียดูน่าสงสารจับใจ

จีผิงเหลียนรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน ในเมื่อกู้เจี้ยนหลีลากนางออกมาแล้ว นางย่อมไม่อาจหลบพ้นไปได้ง่ายๆ จึงเอ่ยปากว่า “ท่านหญิงเซิ่งอี๋ ข้าไม่รู้ว่าท่านได้ยินวาจานี้จากที่ใด แต่ในเมื่อในวาจานี้เอ่ยถึงข้าด้วย ข้าก็จำต้องอธิบายให้ชัดเจน ที่มาเยือนในวันนี้พวกข้ามาเพื่ออวยพรวันเกิด ไม่ได้มาหาเรื่องอย่างเด็ดขาด ต่อให้น้องสาวคนนี้ของข้าไม่รู้ความไปบ้าง ก็ไม่มีทางพูดคำเหล่านี้แน่นอน”

ชายาก่วงเสียนอ๋องมีสีหน้าเข้มขึ้น นางไม่ใคร่เชื่อนักว่าบุตรสาวสายตรงผู้ดีเลิศกับบุตรสาวสายรองผู้ปากหวานน่าเอ็นดูจะพูดคำหยาบคายเหล่านี้ลับหลัง นี่เหมือนเป็นการตบหน้านางว่าสั่งสอนลูกได้ไม่ดี

จีผิงเจวียนพูดทั้งน้ำตา “ไม่รู้ว่าใครต้องการปรักปรำทำร้ายข้า! ในเมื่อท่านพูดเสียเป็นตุเป็นตะก็พูดออกมาเลยว่าใครเป็นคนนำความมาบอก! ลากคนชั้นต่ำผู้นั้นออกมา ข้าจะประจันหน้ากับเขา! ดูซิว่าเขามีความแค้นอะไรกับข้ากันแน่ ถึงได้ต้องการทำร้ายข้าเช่นนี้!”

จีผิงเหลียนเองก็เอ่ยว่า “ท่านหญิงเซิ่งอี๋ช่วยพาตัวผู้ที่ถ่ายทอดความมายืนยันต่อหน้าด้วย วันนี้ฝ่าบาทก็ประทับอยู่ อย่างมากก็แค่กราบทูลเชิญมาทรงตัดสิน ทางที่ดีขอให้เป็นบ่าวรับใช้ถ่ายทอดความผิดพลาดไป เมื่อเป็นการเข้าใจผิดกันก็ไม่ถึงขั้นทำลายไมตรีของพวกเราสองตระกูล”

จีผิงเจวียนยืนกรานหนักแน่นว่าไม่เคยพูด คิดจะโยนเรื่องให้บ่าวรับใช้ จีผิงเหลียนก็มีความคิดเดียวกัน มิหนำซ้ำยังกำลังเตือนกู้เจี้ยนหลีด้วยว่าให้เลิกราเสีย อย่าได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก่อนจะสายไป

จีอู๋จิ้งวางถ้วยชาที่หมุนมาเป็นนานลง เขาแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง หางตายกขึ้น พูดอย่างเนิบนาบ “ข้าก็คือคนชั้นต่ำผู้นั้น”

จีผิงเจวียนตะลึงงัน ไม่ใช่ถูกบ่าวรับใช้ได้ยินแล้วนำความไปถ่ายทอดต่อกู้เจี้ยนหลี แต่เป็นจีอู๋จิ้งได้ยินเองกับหู?

จีอู๋จิ้งเปิดเปลือกตาขึ้น มองไปยังจีผิงเจวียน จากนั้นก็ยกมุมปากข้างหนึ่งยิ้มให้นางก่อนจะพูดอย่างไม่ยี่หระด้วยน้ำเสียงสบายๆ ถึงขั้นติดจะหยอกล้อพลางลุกขึ้นยืน

“หึ เฒ่าหนังเหนียวชอบพูดจาส่อเสียดวิปริตน่าสะอิดสะเอียนอย่างข้าเปลี่ยนไปเป็นคนชั้นต่ำแล้วหรือ ขอบคุณที่ชม”

“ข้า…ข้า…” จีผิงเจวียนที่แต่ไรมาพลิกลิ้นเก่งเป็นเลิศพูดอะไรไม่ออกในทันที ตกใจจนหน้าซีด สองขาสั่นพั่บๆ ยืนแทบไม่อยู่

จีอู๋จิ้งยิ้มไม่บ่อย พอเขายิ้มทีก็มีคนไม่รู้ตั้งเท่าไรหวาดผวาจนขวัญหนีดีฝ่อ กลัวว่าเสี้ยวเวลาถัดไปเขาจะถูกมารเข้าสิงแล้วตัดหัวคนขึ้นมา คนที่ล้อมอยู่ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างห้ามตนเองไม่ได้

กู้เจี้ยนหลีเอ่ยปากอีกครั้ง “บังเอิญแท้ ข้าเองก็อยู่ด้วย ท่านหญิงเหวินเหลี่ยนกับคุณหนูห้าสกุลจีอยากจะยืนยันกันอย่างไร จะบอกว่าข้ากับจีเจาล้วนหูแว่วไป หรือว่าจงใจปรักปรำพวกท่าน วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของบิดา ข้า ปฏิบัติต่อพวกท่านในฐานะแขกผู้มีเกียรติ ไม่เคยคิดเลยว่าพวกท่านจะพูดเรื่องเช่นนี้จ่อหูพวกข้ากลางจวน ผู้ที่ไม่สนใจมิตรภาพตลอดหลายปีของสองตระกูลดูคล้ายว่าจะไม่ใช่สกุลกู้ของพวกข้า” นางเบนหน้าเล็กน้อยไปสั่งหญิงรับใช้สูงวัยที่ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ด้านหลัง “หลิวหมัวมัว รบกวนวิ่งสักเที่ยว ไปเชิญใต้เท้าเฉินแห่งสำนักประจิมมา ให้เขาช่วยมาแจกแจงทีว่าเหล่าใต้เท้าในสำนักประจิมมีลักษณะเช่นไรกันแน่ เรื่องที่คุณหนูห้าสกุลจีพูดเป็นความจริงหรือไม่”

“ไม่ ไม่…” จีผิงเจวียนไหนเลยจะยังเหลือความมั่นใจยืนกรานเด็ดขาดเต็มปากเต็มคำว่าไม่เคยพูดเหมือนอย่างเมื่อครู่นี้อีก ความกล้าที่รวบรวมออกมาถูกสะกิดเบาๆ ก็แตกสลายแล้ว

ชั่วแล้วยังโง่ ทั้งยังขี้ขลาด

สีหน้าจีผิงเหลียนก็พลอยเริ่มไม่น่ามอง แววตานางกระเพื่อมไหว คิดหาแผนการรับมืออย่างเร่งด่วน แต่ในสมองกลับว่างเปล่า เหลือเพียงความหวาดหวั่นสับสน

ที่สุดแล้วชายาก่วงเสียนอ๋องก็อาบน้ำร้อนมามากกว่า เรื่องมาถึงขั้นนี้นางก็ตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้ว

“นางเด็กเลวอย่างเจ้าพลอยทำให้พี่สาวเจ้าเสียคนไปด้วย!” นางฟาดฝ่ามือลงบนหน้าจีผิงเจวียนไปหนึ่งฉาดด้วยสีหน้าเศร้าสลด เดือดดาล และยังมีความผิดหวังจากมารดาผู้รักและเมตตา

จีผิงเจวียนถูกฝ่ามือนี้ทำเอามึนงง

แม้นางจะเป็นบุตรสาวสายรอง แต่จะอย่างไรก็เป็นบุตรสาวของท่านอ๋อง ยามอยู่ที่บ้านเกิด นอกจากต้องเอาใจมารดาใหญ่กับพี่สาวสายตรง เวลาออกนอกจวนนางมิใช่ล้วนเดินยืดอกเชิดหน้าหรือไร ครั้งนี้นางคิดหาวิธีตามมาเมืองหลวงก็เพื่อวางแผนเผื่อการแต่งงานของตนเอง วันนี้ถูกตบหน้าต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้จะให้นางกู้หน้าอย่างไร

“ข้าปฏิบัติต่อเจ้าราวบุตรสาวในอุทร เลี้ยงเจ้าไว้ข้างกาย ให้เจ้าได้เล่าเรียนเหมือนกับพี่สาวสายตรงของเจ้า ของกินของใช้ก็มีให้เจ้าอย่างไม่ขาดแคลน เหตุใดเจ้ายังสลัดสันดานต่ำช้าจากมารดาแท้ๆ ของเจ้าไม่หลุดเสียที!” ชายาก่วงเสียนอ๋องตวาดตำหนิเสียงดัง หยิบเอาลักษณะท่าทางของชายาอ๋องออกมา ในท่าทางนี้ยังคงมีความผิดหวังเสียใจของผู้เป็นมารดาอยู่เช่นเดิม

เมื่อถูกเอ่ยถึงมารดาบังเกิดเกล้า จีผิงเจวียนก็ขอบตาแดงก่ำอย่างรวดเร็ว ความอดสูและความเดือดดาลไม่มีที่ให้เก็บซ่อน ทว่านางกลับไม่มีสิทธิ์โต้เถียงแม้แต่คำเดียว

ชายาก่วงเสียนอ๋องหยิบผ้าเช็ดหน้าซับหางตาก่อนมองไปยังกู้เจี้ยนหลี ไม่ได้เอ่ยคำใด ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วถึงเอ่ยขึ้น

“ข้ามาเมืองหลวงคราวนี้ไม่ควรพานางมาด้วยเลย ทำให้ท่านหญิงกับหัวหน้าจีไม่สบายใจแล้ว ข้าอบรมสั่งสอนไม่เข้มงวดเอง ในใจรู้สึกผิดนัก จะทุบตีจะลงโทษก็สุดแล้วแต่สกุลกู้ ต่อให้ตีนางจนตาย ข้าก็ไม่มีความไม่พอใจแม้เพียงกระผีกเดียว!”

บนหน้ากู้เจี้ยนหลีมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้มีอารมณ์รุนแรงจนเกินควร นางกล่าวว่า “ท่านเอ่ยหนักไปแล้ว ผู้น้อยอย่างข้ารับการขออภัยจากท่านไม่ไหว ส่วนคุณหนูห้าของจวนท่าน…นางเป็นคนในจวนท่าน ข้าไม่มีเหตุผลให้ตีนางให้ตาย นางควรได้รับโทษอย่างไรย่อมต้องยึดตามกฎตระกูลของจวนท่าน แม้ข้าจะอยู่ในเมืองหลวง กลับเคยได้ยินข่าวมาช้านานว่าท่านดูแลบ้านได้เป็นอย่างดี กฎตระกูลของจวนท่านยิ่งเข้มงวดกวดขัน มอบให้ท่านจัดการ ข้าย่อมจะวางใจ”

กู้เจี้ยนหลีไม่ห่วงแม้แต่น้อยว่าชายาก่วงเสียนอ๋องจะปล่อยจีผิงเจวียนไป จีผิงเจวียนเป็นเพียงบุตรสาวสายรอง วันนี้ทำให้จีผิงเหลียนเดือดร้อนไปด้วย ชายาก่วงเสียนอ๋องจะละเว้นนางง่ายๆ ได้อย่างไร มารดาใหญ่มีวิธีจัดการกับบุตรสาวสายรองอยู่ถมถืดไป

ส่วนจีผิงเหลียนนั้น กู้เจี้ยนหลีมองอีกฝ่ายปราดหนึ่ง

นางไม่ได้คิดจะจัดการกับจีผิงเหลียนด้วยระดับเท่ากับที่แก้เผ็ดจีผิงเจวียน อย่างน้อยวาจาเหล่านั้นก็ไม่ใช่จีผิงเหลียนพูดจริงๆ เรื่องในวันนี้เพียงพอจะทำให้อีกฝ่ายขายหน้าแล้ว ช่วงที่อยู่ในเมืองหลวงนี้จะต้องไม่มีความสุขอย่างแน่นอน ส่วนว่าวันหน้าอีกฝ่ายจะกู้ชื่อเสียงกลับคืนได้หรือไม่ นั่นก็ต้องดูความสามารถของตัวจีผิงเหลียนเองแล้ว

กู้เจี้ยนหลีมองไปยังจีอู๋จิ้ง พลันเห็นเขามีสีหน้าไม่สู้ปกตินัก ก้นบึ้งดวงตาปรากฏประกายแดงก่ำแปลกประหลาด

ชั่วพริบตาถัดมาขันทีที่อยู่ห่างไปไกลพลันเปล่งเสียงเล็กแหลมร้องลั่น “มีมือสังหาร! คุ้มกันฝ่าบาท…”

บทที่ 148

 

คนที่อยู่ในสวนแห่งนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรี แต่ละคนตกใจจนใบหน้างามถอดสี อุทานไม่ขาดเสียง ที่ไกลๆ ยังได้ยินเสียงฝีเท้ารีบเร่งแต่เป็นระเบียบเรียบร้อยขององครักษ์ด้วย

กู้เจี้ยนหลีมุ่นคิ้วน้อยๆ ด้วยความประหลาดใจก่อนจะคลายออกในชั่วพริบตา นางคาดไว้อยู่ก่อนแล้วว่าวันนี้จะต้องเกิดเรื่องขึ้น จึงไม่ได้แปลกใจมากนัก

นางหันไปมองจีอู๋จิ้งอีกครั้ง กลับเห็นเขาหน้าซีด กำมือขวาป้องปากไอเบาๆ

กู้เจี้ยนหลีตกใจ จีอู๋จิ้งไม่ได้ไอเป็นเลือดมานานมากแล้ว นางเร่งฝีเท้าเดินไปถึงเบื้องหน้าเขาแล้วรีบถามทันที “เกิดอะไรขึ้น!”

จีอู๋จิ้งไออีกสองทีถึงค่อยกล่าวเสียงแหบแห้ง “ประคองข้านั่งลง”

กู้เจี้ยนหลีประคองเขาเดินไม่กี่ก้าวไปนั่งลงบนม้านั่งศิลาที่ด้านข้าง นางกำลังจะยืดตัวขึ้น ข้อมือก็ถูกจีอู๋จิ้งออกแรงบีบเบาๆ ทีหนึ่ง นางช้อนตามองสีหน้าเขา จีอู๋จิ้งส่งสายตาให้นางวางใจ

กู้เจี้ยนหลีอึ้งงัน

เขาแกล้งทำ!

องครักษ์ล้อมสวนดอกไม้ในเรือนหลังไว้อย่างแน่นหนาจนแม้แต่น้ำก็ซึมผ่านไม่ได้ ไม่อนุญาตให้คนข้างในออกไป แน่นอนว่าสตรีที่อยู่ในนี้ไม่ได้รับรู้เหตุการณ์ที่ด้านนอก จึงไม่มีใครกล้าออกไป ทว่าบิดา สามี หรือไม่ก็บุตรชายของพวกนางล้วนอยู่กันที่เรือนหน้า พวกนางถูกกักตัวอยู่ในนี้ก็อดที่จะเริ่มเป็นห่วงบุรุษในครอบครัวไม่ได้

แรกๆ ยังมีสองสามคนวิพากษ์วิจารณ์ ผ่านไปไม่นานนักก็ไม่มีใครพูดอะไรแล้ว แต่ละคนนิ่งเงียบ ทั้งๆ ที่มีคนมากถึงเพียงนี้ ทั้งสวนกลับเงียบงันยิ่ง

เวลากลายเป็นยาวนานยากจะทานทนเช่นกัน

ผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้ จู่ๆ ก็ได้ยินคนร้องขึ้นเสียงดังที่เรือนหน้า “จีหลันปิตุฆาตสังหารพี่น้อง ลอบแก้พระราชโองการชิงบัลลังก์! องค์ชายรองยังทรงมีพระชนม์ชีพ รอองค์ชายรอง…อ๊าก!”

สิ้นเสียงหวีดร้อง เสียงป่าวร้องของบุรุษก็ขาดไปอย่างเฉียบพลัน

เหล่าสตรีในสวนดอกไม้ยิ่งจิตใจตึงเครียด

ผ่านไปเนิ่นนาน เลยยามอู่ที่ต้องเริ่มงานเลี้ยงอาหารกลางวันไปนานแล้ว เฉินเหอได้พาคนมายังเรือนหลังด้วยตนเอง คนในสวนไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น พากันมองมายังเฉินเหอ

“มีพระราชโองการให้ฮูหยินและคุณชายน้อยสองสามท่านไปที่เรือนหน้า” เฉินเหอกล่าวเรียบๆ

ขันทีน้อยผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเขากางคำสั่งลายพระหัตถ์ บีบเสียงอ่านรายนามที่เขียนอยู่บนนั้นออกมา ผู้ที่ถูกเรียกชื่อหวาดหวั่นพรั่นใจขึ้นมาทันที ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่

“ผู้บัญชาการเฉิน ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง ทรงเรียกหาพวกข้าด้วยกิจอันใด”

เฉินเหอเพียงกล่าวว่า “ท่านไปถึงเรือนหน้าก็จะทราบเอง”

ท่าทีไม่ยอมปริปากบอกอะไรทั้งสิ้นเช่นนี้ของเฉินเหอยิ่งทำให้คนใจระส่ำระสาย

ขันทีน้อยอ่านรายนามจบ บรรดาเด็กและคนชราเดินออกไปด้านนอกด้วยใจกระวนกระวาย ทันใดนั้นก็มีเด็กชายอายุราวสิบเอ็ดสิบสองคนหนึ่งร้องไห้ลั่นออกมา ชักขาวิ่งไปทางด้านหลัง วิ่งไปพลางโวยวายไปพลาง

“พวกเจ้าจะฆ่าข้า! ข้าไม่ตามพวกเจ้าไปหรอก! เมื่อวานข้าได้ยินท่านพ่อข้าบอกแล้วว่า…”

อาวุธลับในมือเฉินเหอลอยผ่านฝูงชน กระแทกเข้าที่ท้ายทอยของเด็กชาย ร่างของเด็กชายแข็งทื่อ รูม่านตาทั้งสองข้างขยายตัวอย่างรวดเร็ว

มารดาของเขาร้องอุทานก่อนจะกระโจนตัวไปหาทั้งน้ำตา

ในดวงตาเฉินเหอปรากฏแววรังเกียจขณะกล่าวว่า “อู๋ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วง คุณชายน้อยยังไม่ตาย” เขาถอยไปด้านข้างหนึ่งก้าวแล้วยกมือขึ้น “ทุกท่านเชิญไปได้แล้ว”

กู้เจี้ยนหลีนั่งลงข้างจีอู๋จิ้ง นางลอบจับมือเขามาวางหงายบนตักตนเองข้างใต้โต๊ะแล้วใช้นิ้วเขียนเป็นตัวอักษรว่า ‘สวรรคต?’ เขียนเสร็จนางก็วางมือตนเองบนฝ่ามือจีอู๋จิ้ง รอเขาตอบกลับ

จีอู๋จิ้งยกยิ้มอย่างแทบไม่สังเกตเห็น พลิกฝ่ามือ เลื่อนนิ้วไปด้านในต้นขาของกู้เจี้ยนหลีแล้วเขียนคำว่า ‘ไม่’ อย่างอ้อยอิ่ง

กู้เจี้ยนหลีตกใจแล้ว

นางมองสำรวจคนโดยรอบอย่างรวดเร็ว เห็นว่าทุกคนมีสีหน้าตึงเครียด ไม่มีใครให้ความสนใจทางด้านนี้โดยสิ้นเชิง ถึงค่อยวางใจลงได้เล็กน้อย นางตวัดตามองจีอู๋จิ้งอย่างเข่นเขี้ยว ไม่สนแล้วเช่นกันว่าจีหลันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ จับมือจีอู๋จิ้งไว้แน่น ไม่ให้เขารุ่มร่ามอีก

ฝ่ามือจีอู๋จิ้งถูกมือสองข้างของกู้เจี้ยนหลีกอบกุมไว้แน่น รู้สึกเพียงว่ามือของนางทั้งนุ่มทั้งลื่น กุมมือเขาอยู่ด้วยแรงกำลังที่พอดี สบายเหลือเกิน

ผ่านไปอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามกู้ไจ้หลีก็พาบ่าวรับใช้ของจวนอ๋องรีบรุดมา บนหน้านางประดับด้วยรอยยิ้ม คอยดูแลพาแขกเหรื่อเข้าประจำที่นั่งด้วยท่าทีรู้สึกผิด

“ท่านหญิงเซิ่งอัน ฝ่าบาท…” ชายาก่วงเสียนอ๋องเอ่ยปากหยั่งเชิง

“ทางฝ่าบาทเผชิญหน้ากับมือสังหารสองสามคน ทว่ามือสังหารถูกจับกุมตัวแล้ว ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง”

แขกเหรื่อเข้าประจำที่นั่ง งานเลี้ยงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ครั้นมองเห็นอาหารชั้นเลิศเต็มโต๊ะ คนทั้งหมดล้วนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง เป็นเพราะว่า…เหล่าคนที่ถูกเฉินเหอพาตัวไปยังไม่ได้กลับมา ผู้ที่สายข่าวไวหน่อยก็มีบ่าวรับใช้นำข่าวจากเรือนหน้ากลับมารายงานแล้ว

มือสังหารบ้างถูกสำเร็จโทษคาที่ บ้างถูกจับเป็น เฉินเหอใช้ลูกไม้บีบให้สารภาพจนมือสังหารหลุดซัดทอดถึงพรรคพวกของจีเหยียน ด้วยเหตุนี้ถึงได้มีเหตุการณ์ที่เฉินเหอพาคนมาเรือนหลังเพื่อ ‘เชิญตัว’ สมาชิกครอบครัวของกลุ่มกบฏ

เป็นตามนี้จริงหรือ กู้เจี้ยนหลีกังขาในใจ เหตุใดนางจึงรู้สึกว่านี่เป็นเพียงหลุมพรางที่จีหลันวางไว้ กู้จิ้งหยวนจัดงานเลี้ยงครั้งใหญ่ ผู้ทรงอำนาจในเมืองหลวงล้วนมาร่วมงาน มีวันใดจะกำจัดให้หมดสิ้นในคราวเดียวได้ดีไปกว่าวันนี้เล่า

ทว่ากู้เจี้ยนหลีมีเรื่องที่คิดไม่ตกอยู่เช่นกัน ต่อให้จีหลันต้องการกวาดล้างในคราวเดียว ก็ไม่น่าจะสั่งให้คนป่าวร้องประจานความผิดที่เขากระทำปิตุฆาตสังหารพี่น้องและแก้พระราชโองการ

เว้นเสียแต่ว่า…วันนี้จีเหยียนมีแผนลอบสังหารจีหลันจริงๆ ทว่าจีหลันมีแผนที่เหนือชั้นกว่า ใช้แผนซ้อนแผน หากจีเหยียนวางแผนลอบสังหารจีหลันจริง เช่นนั้น…

กู้เจี้ยนหลีหันหน้าไปมองจีอู๋จิ้งที่กำลังกินปลาแล้วเอ่ยถามว่า “อยากเติมเกลือหน่อยหรือไม่”

จีอู๋จิ้งเปิดเปลือกตามองนางปราดหนึ่งอย่างลึกซึ้ง พลันคลี่ยิ้มตอบว่า “คร้านจะเติม”

กู้เจี้ยนหลีคิดเล็กน้อยก่อนส่งเสียง “อ้อ”

ครั้นโจรกบฏถูกพาตัวไป จีหลันก็จัดขบวนเสด็จกลับวังตามไปติดๆ ซุนอิ่นจู๋นั่งบนราชรถ เหลียวหน้ากลับมามองด้วยท่าทางติดจะผิดหวัง

จีหลันมองนางปราดหนึ่งก่อนกล่าวว่า “ฮองเฮาดูเหมือนมีเรื่องในใจ ไม่อยากจะจากไป”

ซุนอิ่นจู๋ตะลึงงัน ทำหน้าหงอยเหงาห่อเหี่ยวทันควัน “ในวังน่าเบื่อเหลือเกิน หม่อมฉันไม่ได้เห็นภาพที่ครึกครื้นปานนี้มาพักใหญ่แล้ว ฝ่าบาท พวกเราอยู่ต่ออีกสักครู่ไม่ได้จริงๆ หรือเพคะ”

นางกำแขนเสื้อจีหลัน ท่าทางน่าสงสารราวกับเด็กน้อย

จีหลันดันมือนางออกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

จวบจนมองไม่เห็นราชรถแล้ว หลินเซ่าถังถึงได้กลับเข้าจวนอ๋องด้วยอารามผิดหวัง วันนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จีหลันเพิ่งจากไป แขกที่มาร่วมงานก็ทยอยกันขอตัวกลับอย่างเร่งรีบ หลินเซ่าถังอาศัยจังหวะชุลมุนไปยังเรือนหลัง ตามหาตัวจีอู๋จิ้งพบในมุมลับตาคนมุมหนึ่ง แขกเหรื่อเยอะเกินไป กู้เจี้ยนหลีช่วยส่งแขกอยู่ จีอู๋จิ้งนั่งอยู่ในศาลารับลมริมทะเลสาบคนเดียว เขาเท้าแก้มด้วยมือข้างหนึ่ง หลับตาพักเอาแรง

หลินเซ่าถังเอ่ยถาม “เหตุใดท่านหัวหน้าจึงไม่ยื่นมือเข้าช่วย”

จีอู๋จิ้งไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมอง ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ก็ยามนี้ข้าสู้เฉินเหอไม่ได้นี่”

“ท่าน!” หลินเซ่าถังรู้สึกแน่นหน้าอก น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ความจริงใจของท่านหัวหน้ามีเพียงเท่านี้เองหรือ”

จีอู๋จิ้งหาวหวอดแล้วถึงกล่าวอีกว่า “เฮ้อ ตอนนี้ข้ามีชีวิตอยู่ได้ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย จะเอาชีวิตเข้าสู้กับเฉินเหอได้อย่างไร ความสามารถของเขาล้วนมาจากการสั่งสอนของข้า จุดอ่อนของกระบวนท่าของข้า เขาก็กระจ่างแจ้งดียิ่งเช่นกัน”

หลินเซ่าถังเอ่ยถาม “หากครั้งหน้าเฉินเหอไม่ได้อยู่ข้างกายจีหลัน ท่านจะลงมือหรือไม่ ท่านหัวหน้าอย่าได้ลืมเชียวว่าจีหลันเป็นศัตรูร่วมกันของพวกเรา ท่านเองก็คงไม่อยากอดทนต่อความแค้นที่ถูกแย่งภรรยาเช่นกันกระมัง ขอเพียงท่านพยักหน้า ครั้งหน้าข้าจะวางแผนกันเฉินเหอออกไป”

“กันเฉินเหอ?” จีอู๋จิ้งเหยียดยิ้ม

“เฉินเหอก็มีจุดอ่อน ซ้ำยังร้ายแรงถึงตาย” แววตาหลินเซ่าถังค่อยๆ เป็นสีเข้มขึ้น

แมวตัวนั้น

จีอู๋จิ้งหุบยิ้มแล้ว คราวนี้ถึงได้เหลือบตาขึ้นมองหลินเซ่าถัง ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็พลันยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นเป็นรอยยิ้มพิกลอีกครั้ง

“เจ้ากับเฉินเหอเหมือนกันมากทีเดียว หากฆ่าจีหลันไม่ได้จริงๆ เจ้าลองเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนคนงามตามอย่างเฉินเหอดูสิ”

หลินเซ่าถังถูกการพูดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของจีอู๋จิ้งทำเอาหงุดหงิด เขากำลังจะเอ่ยต่อ จีอู๋จิ้งกลับชิงเอ่ยปากตัดหน้า

“ให้เวลาข้าสองสามวัน ข้าจะลองโน้มน้าวเฉินเหอดู”

หลินเซ่าถังตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวด้วยความลังเล “หากโน้มน้าวจนเฉินเหอยอมให้พวกเราใช้ประโยชน์ได้ย่อมเป็นการดีที่สุด”

มีบ่าวรับใช้เดินมาจากไกลๆ หลินเซ่าถังไม่ควรอยู่นาน จึงรีบร้อนจากไปโดยไม่พูดอะไรให้มากความอีก หลังเขาไปแล้วจีอู๋จิ้งถึงค่อยเก็บสีหน้าเกียจคร้านลง เขาหรี่ตา วางหัวแม่มือลงบนเส้นชีพจรตนเอง

ยังขาดอีกสิบสองวัน

จีผิงเหลียนกับจีผิงเจวียนนั่งอยู่ในรถม้าที่มุ่งหน้ากลับบ้าน คนทั้งสองนั่งเงียบไม่มีใครพูดอะไร พวกนางสองคนล้วนมีอาการใจลอย ในดวงตามีโทสะและความเคียดแค้นแฝงอยู่

รถม้าโคลงเคลง จีผิงเหลียนยันผนังรถม้าประคองตัว นางเก็บใจที่ล่องลอยกลับมา มองไปยังน้องสาวที่อยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยปากอย่างอดสงสารไม่ได้

“เรื่องวันนี้บานปลายจนกลายเป็นเช่นนี้ เจ้าอย่าได้โทษที่ท่านแม่ตบเจ้าเลย”

จีผิงเจวียนยิ้มเยาะตนเอง กล่าวว่า “มีวาจานี้จากพี่หญิง ผิงเจวียนสบายใจขึ้นมากแล้ว ทุกอย่างที่ผิงเจวียนทำลงไปก็เพื่อทำให้พี่หญิงเบิกบานใจเท่านั้นเอง”

จีผิงเหลียนมองใบหน้าที่ถูกตบจนบวมของจีผิงเจวียนแล้วเริ่มจะใจอ่อน นางผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลงแล้วกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ พี่รู้ความคิดของเจ้า หลังกลับถึงบ้านท่านแม่ต้องลงโทษเจ้าแน่ เจ้าอย่าได้นึกตำหนิว่าพี่ไม่ช่วยขอความเมตตาแทนเจ้า แต่เรื่องนี้จะไม่แล้วกันไปแค่นี้แน่นอน”

จีผิงเจวียนมองนางด้วยความประหลาดใจ “พี่หญิงพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ว่ากู้เจี้ยนหลีในยามนี้ไม่ได้ตกยาก จะแตะต้องนางง่ายๆ ไม่ได้!”

“เจ้ากลัวนาง แต่ข้าไม่กลัว” จีผิงเหลียนยิ้มเย็น “จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว ทูตจากแคว้นต่างๆ กำลังเดินทางมา พระราชบัลลังก์ของฝ่าบาทไม่มั่นคง ความทะเยอทะยานของพวกต่างแคว้นมีไม่น้อยมาแต่ไหนแต่ไร ปีนี้ฝ่าบาทจะต้องทรงต้อนรับทูตจากต่างแคว้นเป็นอย่างดีแน่นอน หากคนเถื่อนจากต่างแคว้นกลุ่มนั้นร้องขอสตรีนางหนึ่งจากฝ่าบาท…”

จีผิงเจวียนอ้าปากค้าง มองพี่สาวสายตรงของตนเองด้วยความตกตะลึง นางพลันค้นพบว่าเมื่อก่อนตนเองหาได้มองพี่สาวผู้นี้ออกปรุโปร่ง พี่สาวผู้นี้ร้ายกาจกว่าที่นางคิด

 

กู้เจี้ยนหลีที่ถูกสองพี่น้องสกุลจีวางแผนเล่นงานไม่ได้ล่วงรู้เรื่องนี้โดยสิ้นเชิง นางกำลังมองเถาซื่อด้วยอาการตกตะลึงขณะเอ่ยถาม

“ข้าไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง ใครนะเจ้าคะ หรงฮูหยินสู่ขอให้ใคร”

ในใจเถาซื่อสับสนอลหม่านไปหมดแล้วเช่นกัน นางกล่าวว่า “ไม่ได้ว่ากล่าวสู่ขออย่างชัดเจน เพียงแต่ถ้อยคำที่หรงฮูหยินพูดกับข้าตามลำพังเป็นความหมายนั้น! ต้องการสู่ขอพี่สาวเจ้าให้ซื่อจื่อน้อยของสกุลหรง ยามนี้สองแม่ลูกยังอยู่ในโถงด้านข้างอยู่เลย!”

ซื่อจื่อน้อยสกุลหรง? หรงหยวนโย่ว?

ในห้วงสมองกู้เจี้ยนหลีมีแต่ภาพเจ้าหนูน้อยที่ตามหลังต้อยๆ ในสมัยเด็ก ตอนยังเล็กหรงหยวนโย่วร่างกายอ่อนแอ ตัวผอมบางกว่าเด็กวัยเดียวกันพอสมควร ดูไปแล้วเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อยละมุนละม่อม

ขณะกู้ไจ้หลีได้ข่าวก็มึนงงเช่นกัน นางยุ่งมาทั้งวัน เพิ่งจะอาบน้ำคลายความเหนื่อยล้า เปลี่ยนมาสวมชุดสะอาดตัวนุ่ม นั่งเขียนคิ้วอยู่หน้าคันฉ่องอย่างง่วงงุน ครั้นได้ยินคำรายงานจากจี้ชุนผู้เป็นสาวใช้ มือนางก็หยุดชะงักจนวาดคิ้วเบี้ยวแล้ว

“คุณหนู ซื่อจื่อน้อยสกุลหรงต้องการพบท่านเจ้าค่ะ…จะพบหรือไม่เจ้าคะ” จี้ชุนถาม

กู้ไจ้หลีหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคิ้วที่วาดเบี้ยวอย่างระมัดระวังก่อนบอกด้วยเสียงอ่อนโยน “พบ เจ้าไปเชิญเขาเข้ามา”

“หา?” จี้ชุนนึกสงสัยว่าตนเองจะฟังผิดไป “ท่านจะพบเขาในห้องนอน? นี่…นี่ผิดขนบธรรมเนียมกระมัง ไปที่โถงด้านหน้าดีหรือไม่เจ้าคะ”

กู้ไจ้หลีแย้มยิ้มช้าๆ ให้ตนเองในคันฉ่อง เสียงนางทั้งเบาทั้งเกียจคร้าน “ไม่เป็นไรหรอก ตอนเขายังเล็กใช่ว่าไม่เคยเข้าห้องนอนข้าเสียเมื่อไร”

จี้ชุนรู้สึกว่าผิดขนบธรรมเนียม แต่คุณหนูสั่งมาเช่นนี้ นางก็ได้แต่กัดฟันทำตาม

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: