X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 71

จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรบัญชาที่พวกเขาได้รับมาคือการลอบสังหาร กลุ่มคนฝ่ายตรงข้ามเห็นได้ชัดว่าเป็นทหารที่ประจำการอยู่ที่ชายแดน มากคนก็มากความ หากลือออกไปว่าฮ่องเต้โส่วตี้เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ก็ส่งคนไล่ล่าสังหารพี่ชายอย่างเปิดเผยเช่นนี้คงจะไม่เหมาะนัก

“หัวหน้า ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ชายฉกรรจ์รูปร่างบึกบึนผู้หนึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ข้างๆ จีเสวียนเค่อ บนร่างชายผู้นี้แม้สวมชุดเกราะสีแดงเช่นทหารชายแดน ยามเอ่ยปากกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายเยี่ยงโจร

“ไม่เป็นไร” จีเสวียนเค่อฉีกชายเสื้อมาพันรอบนิ้วที่ขาด จากนั้นก็ออกแรงกำหยกประดับไว้แล้วบรรจงเก็บให้เข้าที่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเกือบจะทำหยกประดับหาย หยกประดับชิ้นนี้มักจะหล่นลงจากเอวอย่างไร้สาเหตุทั้งที่เชือกผูกไว้แน่นหนา ราวกับกำลังบอกโดยนัยว่ามันไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว ทว่าทุกครั้งเขาล้วนเก็บหยกประดับชิ้นนี้กลับมาอยู่ดี

จีเสวียนเค่อพลิกตัวลงจากหลังม้าก่อนเดินมาคำนับจีเหยียน

“เจ้า…เจ้าคือจีเซ่า? รีบลุกขึ้นเถิด” จีเหยียนประหลาดใจไม่น้อย พินิจมองดูจีเสวียนเค่อตลอดร่าง

“เป็นพระกรุณายิ่งที่องค์ชายยังทรงจดจำกระหม่อมได้” จีเสวียนเค่อลุกขึ้นด้วยความรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน

“แน่นอน บัณฑิตที่ได้เป็นจ้วงหยวนตั้งแต่อายุเพียงสิบห้าปี มีหน้ามีตาสุดประมาณ เสด็จพ่อยังเคยเอาบทความของเจ้ามาให้ข้าอ่านด้วย” จีเหยียนยิ่งมองดูจีเสวียนเค่อก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ

ในความทรงจำของเขา จีเสวียนเค่อเป็นดั่งหยกงาม สง่าดุจสนเขียวต้องลม ตำราวิชาความรู้เต็มท้อง เปี่ยมด้วยกลิ่นอายเยี่ยงบัณฑิต เขาลองคำนวณดูในใจ พบว่ายามนี้จีเสวียนเค่อเพิ่งจะอายุสิบเจ็ด ทว่ากลางหว่างคิ้วกลับปราศจากแววสุภาพอ่อนโยนในกาลก่อน แทนที่ด้วยแววเฉียบคมที่เผยให้เห็นหลังเผชิญคลื่นลมหิมะกระหน่ำมาแล้ว

“องค์ชายตรัสชมเกินไปแล้ว ยามนี้ไม่ควรรั้งอยู่ที่นี่นาน เรารีบไปจากที่นี่เถิดพ่ะย่ะค่ะ” จีเสวียนเค่อโบกมือเป็นสัญญาณ คนที่อยู่ด้านหลังก็จูงม้ามาให้ทันที

คนของจีเสวียนเค่อเหล่านี้มิใช่ทหารที่เข้าร่วมกองทัพอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ระหว่างทางที่จีเสวียนเค่อจากเมืองหลวงมาได้รู้จักกับชาวบ้านจำนวนหนึ่ง เขาตั้งใจรับคนเหล่านี้มาไว้ใช้สอยทั้งยังรับคนมาตลอดทาง ทำให้ยามนี้มีสมัครพรรคพวกอยู่ไม่น้อย พื้นที่แถบนี้มีหิมะตกอยู่ตลอด หมู่บ้านแถบใกล้เคียงมักจะมีหิมะตกหนักจนชาวบ้านปิดประตูไม่อาจออกไปหาอาหาร บางคราเขาจึงมักจะนำคนของเขาเหล่านี้เข้าไปหาของป่า ส่วนที่เหลือจากการตุนเสบียงจะนำมามอบให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณภูเขาลูกนี้

วันนี้ที่พบจีเหยียนเข้านับเป็นเรื่องบังเอิญ ที่เขาตัดสินใจออกหน้าช่วยเหลืออย่างเฉียบขาดเองก็อาจนับได้ว่าเป็นการวางแผนเผื่อวันข้างหน้า

จีเสวียนเค่อให้คนของตนสละม้าให้จีเหยียนและผู้ติดตามที่เหลืออยู่เพียงห้าคน จีเหยียนกับซุนอิ่นหลันขี่ม้าตัวเดียวกัน พายุหิมะโหมพัดจนซุนอิ่นหลันต้องฝังตนเองลงกับแผ่นหลังของจีเหยียน โอบเอวเขาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ถูกพัดร่วงลงไป

จีเหยียนก้มลงมองมือของซุนอิ่นหลันตรงเอวตนเองแวบหนึ่ง สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงย่อมถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมฟุ้งเฟ้อ ร่างกายนุ่มนิ่มอย่างมาก ทว่านิ้วมือของสตรีผู้นี้กลับเต็มไปด้วยร่องรอยหิมะกัด จีเหยียนพลันดึงสายบังเหียนหยุดม้าก่อนลงมาสับเปลี่ยนตำแหน่งกับนางให้นางนั่งข้างหน้าแทน

ซุนอิ่นหลันไม่เข้าใจจึงมองเขาด้วยสายตาพิลึกพิลั่น ทว่าเดิมทีตลอดทางมานี้นางกับจีเหยียนสนทนากันไม่ถึงห้าประโยค นางไม่อยากถามเขาจึงเพียงก้มหน้าอย่างอ่อนโยน สองมือกำอานม้าส่วนที่โค้งขึ้นน้อยๆ ตรงหน้าแน่น

จีเหยียนขึ้นม้าอีกครั้ง สองแขนโอบรอบเอวซุนอิ่นหลันพร้อมถือโอกาสดึงเสื้อคลุมหนังสัตว์ในถุงที่แขวนอยู่ข้างตัวม้ามาโยนคลุมมือคู่นั้นของนาง จากนั้นก็ควบม้าโผนทะยานตามผู้อื่นจนทัน

กู้เจี้ยนหลีเข็นรถเข็นมาหยุดอยู่ใต้ต้นหลิวในลานเรือน จากนั้นก็เงยหน้าน้อยๆ มองดูยอดไม้ เมื่อครู่นางคล้ายจะมองเห็นจากไกลๆ ว่าต้นหลิวกำลังผลิหน่อ พอเข้ามาดูอย่างละเอียดใกล้ๆ จึงค้นพบว่ามองผิดไป ยามนี้เพิ่งจะพ้นเดือนหนึ่งไม่ทันไร ฤดูเหมันต์ปีนี้ก็หนาวมาก ดูท่าคงไม่ผลิหน่อไวถึงเพียงนี้

กู้ไจ้หลีกลับมาที่เรือนยามตะวันรอน เห็นน้องสาวนั่งเหม่ออยู่ใต้ต้นหลิวจึงก้าวเข้าไป

“เหตุใดจึงอยู่ที่นี่คนเดียว”

“พี่หญิง” กู้เจี้ยนหลีถอนสายตากลับมาส่งยิ้มให้พี่สาว

“ลมทำท่าจะพัดแรงแล้ว เข้าห้องก่อนเถิด” กู้ไจ้หลีเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังรถเข็นของน้องสาวแล้วเข็นพาอีกฝ่ายกลับเข้าห้อง

กู้เจี้ยนหลีถามขึ้น “พักนี้ทุกคนในเรือนต่างยุ่งมาก มีเพียงข้าที่ช่วยอะไรไม่ได้ ว่างยิ่งนัก ต้นหลิวจะผลิหน่อ ข้ากลับจะเหี่ยวเฉาแล้ว”

กู้จิ้งหยวนกลับมามีอำนาจอีกครั้ง คนมากมายล้วนพากันขวัญหนีดีฝ่อเสียใจภายหลัง โดยเฉพาะพวกที่เคยเหยียบย่ำยามกู้จิ้งหยวนลำบาก ยามนี้ล้วนแล้วแต่กลายเป็นนกตื่นธนู* เมื่อก่อนหลบลี้หนีหน้าไกลเพียงใด เดี๋ยวนี้ก็กระตือรือร้นเอาอกเอาใจเพียงนั้น เทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงส่งมาไม่ขาด ของขวัญก็หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน เคราะห์ดีที่คนเหล่านั้นยังคำนึงถึงว่าคนสกุลกู้ยังพำนักอยู่ในเรือนคับแคบไม่สะดวกรับแขก ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะกรูกันเข้ามาจนธรณีประตูพัง ทุกวันนี้เถาซื่อต้องรับมือกับเทียบเชิญและของขวัญที่ส่งมา คัดกรองอย่างละเอียดแล้วรับไว้เพียงส่วนน้อย ที่เหลือส่วนมากล้วนแต่ถูกส่งคืน

จวนอ๋องกำลังบูรณะซ่อมแซม กู้ไจ้หลีต้องคอยดูแลเรื่องการซ่อมแซมจวนอ๋องจึงไม่สามารถดูแลกิจการหอสุราได้ชั่วคราว กระทั่งกู้ชวนเองก็ต้องไปช่วยงานที่จวนอ๋องอยู่บ่อยครั้ง

กู้จิ้งหยวนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยามนี้ฮ่องเต้โส่วตี้เพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ ในราชสำนักเกิดเรื่องมากมายทำให้เขายุ่งจนหายหน้าหายตา บางครั้งยังสะสางงานจนค่ำมืดไม่กลับเรือน

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีเพียงกู้เจี้ยนหลีที่ยังว่าง นางอยากจะช่วยอะไรบ้าง แต่ไม่ว่าเถาซื่อหรือกู้ไจ้หลีล้วนอ้างว่านางต้องดูแลร่างกายให้ดี ไม่อนุญาตให้นางเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป

“ตอนนี้รักษาบาดแผลที่ขาจึงจะสำคัญที่สุด จะปล่อยให้มีอาการแทรกซ้อนตามมาไม่ได้ เมื่อเทศกาลกำเนิดบุปผา มาถึงจะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงได้” กู้ไจ้หลีเข็นรถเข็นมาหยุดตรงหน้าธรณีประตู

กู้เจี้ยนหลีลุกขึ้นจับบานประตูไว้ ปล่อยให้พี่สาวประคองพาเข้าห้อง

นางเอ่ยสนทนาสัพเพเหระ “หากเป็นเมื่อก่อนคงใส่ใจการคบค้าสมาคมที่ยุ่งยากซับซ้อนพวกนี้ ทว่าผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงดีร้ายถึงขีดสุดมาแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหาใช่เรื่องจำเป็น”

กู้ไจ้หลีรินชาสองถ้วย เลื่อนถ้วยหนึ่งไปให้น้องสาว จากนั้นก็จิบชาร้อนคำหนึ่งก่อนเอ่ย “เรื่องเกี่ยวกับศักดิ์ศรีบางเรื่องยังคงต้องทำอยู่”

กู้ไจ้หลีเพิ่งจะกล่าวจบ จี้ซย่าก็รีบวิ่งเข้ามารายงาน “ฮูหยินผู้เฒ่าจวนก่วงผิงป๋อมาเจ้าค่ะ!”

“นางหรือ” ในใจกู้เจี้ยนหลีผุดความประหลาดใจขึ้นแวบหนึ่ง เดาออกในทันทีว่าคนจวนก่วงผิงป๋อมาที่นี่ด้วยเหตุใด

 

ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าพบหน้ากู้เจี้ยนหลีไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชาเช่นในตอนแรกแล้ว บนใบหน้าของนางระบายยิ้มจนเกิดรอยยับย่นไปทุกส่วน คว้ามือกู้เจี้ยนหลีไปกุมไว้อย่างสนิทสนม เรียกขานว่า ‘ลูกสะใภ้คนดี’ แทบทุกคำ

“เจ้ากลับมาพำนักอยู่บ้านเดิม แม่ไม่ได้ไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อย เพียงแต่เจ้ากับอู๋จิ้งพักอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว แม่คิดถึงพวกเจ้ามาก ควรจะกลับจวนได้แล้ว!”

กู้เจี้ยนหลีฟังนางแทนตนเองว่า ‘แม่’ ทุกคำแล้วรู้สึกเก้อกระดากยิ่งนัก

น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าหวานเชื่อมราวกับเคลือบน้ำผึ้งไว้ยามกล่าวต่อ “คุณหนูสี่กับคุณชายหกล้วนคิดถึงเจ้า เอาแต่พูดถึงเจ้าอยู่ที่จวนทุกวันเชียว!”

กู้เจี้ยนหลีไม่ได้พบเด็กสองคนนั้นนานแล้ว ใบหน้านุ่มนิ่มน่ารักทั้งสองพลันปรากฏในความคิดทำให้นางยกมุมปากอย่างห้ามไม่อยู่

ฮูหยินผู้เฒ่าสังเกตสีหน้าของกู้เจี้ยนหลีโดยละเอียด เห็นอีกฝ่ายยิ้มแล้วในใจก็รู้สึกเบิกบานถึงที่สุด น้ำเสียงยามเอ่ยวาจายิ่งหวานเชื่อมขึ้น

“เจี้ยนหลี เจ้าจะกลับจวนเมื่อไรหรือ คนทั้งจวนล้วนแต่คิดถึงเจ้านะ!”

บนใบหน้ากู้เจี้ยนหลีประดับยิ้มบาง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะห่างเหิน “เรื่องนี้ไม่แน่ใจหรอกเจ้าค่ะ รอนายท่านห้ากลับมาแล้วข้าจะถามเขาดู”

แม้จะกล่าวเช่นนี้กู้เจี้ยนหลีกลับรู้ดีว่านางไม่อาจพักอยู่ที่บ้านเดิมถาวรได้ ผ่านไปไม่เท่าไรก็คงต้องกลับไปที่จวนก่วงผิงป๋อแล้ว

“ได้ๆๆ!” ฮูหยินผู้เฒ่าตอบรับเต็มปากเต็มคำ “เจ้าพักให้สบายเถิด จำได้ว่าคนที่จวนคิดถึงก็พอแล้ว แม่รู้ว่าขาเจ้าบาดเจ็บจึงเตรียมยาบำรุงมาให้ด้วย อ้อ ช่วงนี้อากาศกลับมาเย็นอีก แม่ทำเสื้อคลุมกันลมมาให้เจ้าตัวหนึ่ง ใส่ไว้จะได้อบอุ่น ระวังอย่าให้ป่วยไข้เล่า”

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจเจ้าค่ะ” กู้เจี้ยนหลีรับคำอย่างเกรงอกเกรงใจ

หลังจากส่งฮูหยินผู้เฒ่ากลับไปแล้วกู้เจี้ยนหลีก็ประสานสายตากับกู้ไจ้หลีแล้วยกยิ้ม ทั้งจนใจและโล่งใจไปพร้อมกัน

“เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าต้องกลับห้องไปตรวจบัญชีกับผังจวนสักหน่อย จวนอ๋องมีหลายส่วนที่ทรุดโทรมอย่างหนักต้องสร้างขึ้นใหม่” กู้ไจ้หลีลุกขึ้นยืน

ก่อนกู้ไจ้หลีจะจากไปได้ช่วยกู้เจี้ยนหลีเติมถ่านลงในกระถางไฟ ทั้งยังตรวจดูน้ำในกา พอเห็นว่ายังร้อนอยู่จึงค่อยจากไปอย่างวางใจ

กู้เจี้ยนหลีนั่งอยู่ข้างโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเรียกให้จี้ซย่ามาพยุงตนเองเข้าไปนั่งริมหน้าต่างในห้องชั้นใน ก่อนจะให้อีกฝ่ายวางตะเกียงบนโต๊ะแล้วนั่งทำงานเย็บปักอย่างคนไม่มีอะไรทำ

“มีอะไรค่อยเรียกบ่าวนะเจ้าคะ บ่าวจะไปเฝ้าหม้อต้มยาในครัวต่อแล้ว” ทุกวันจี้ซย่าจะตั้งใจต้มน้ำแกงบำรุง แทบจะนั่งยองเฝ้าหม้อในครัวทั้งวัน

กู้เจี้ยนหลีหันไปมองทิวทัศน์ยามเย็นที่อาบย้อมด้วยแสงอาทิตย์อัสดงผ่านทางหน้าต่างอย่างติดจะเหม่อลอย

อันที่จริงตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้นขึ้นสองสามวันมานี้นางแทบจะไม่ได้พบหน้าจีอู๋จิ้งเลย อีกฝ่ายมักจะทำตัวลับๆ ล่อๆ บางครานางหลับไปแล้ว รอจนครึ่งคืนหลังเขาจึงจะกลับมา บางคราก็จะอยู่กินอาหารกับนาง ทว่ามักจะมีท่าทีอ่อนเพลียไม่กล่าวอะไรมากนัก

กู้เจี้ยนหลีไม่รู้ว่าเขากำลังทำสิ่งใด

นางเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งก็ก้มหน้าลง ก่อนจะหยิบสนับเข่าที่ทำค้างไว้ครึ่งหนึ่งออกมาจากในตะกร้าเก็บเครื่องมือเย็บปักแล้วลงมือเย็บต่อ สนับเข่านี้เตรียมไว้สำหรับบิดา นางเห็นเขามักจะออกจากเรือนเร็วและกลับมาช้า จึงรู้สึกเป็นห่วงว่าเขาจะหนาว

เวลากู้เจี้ยนหลีจดจ่อกับการทำสิ่งใดขึ้นมามักจะไม่ค่อยสนใจสิ่งอื่นรอบข้าง ดังนั้นเมื่อจีอู๋จิ้งนั่งลงที่อีกมุมหนึ่งของโต๊ะ นางจึงค่อยรู้ตัวว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้ว

กู้เจี้ยนหลีอึ้งไป นางช้อนตามองเขาพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ท่านกลับมาแล้วหรือ”

“นี่ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังกล่าววาจาเหลวไหลอยู่หรือไร” จีอู๋จิ้งยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางพลางมองกู้เจี้ยนหลีเย็บสนับเข่า

กู้เจี้ยนหลีนิ่งเงียบครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่วาจาเหลวไหลแต่เป็นคำทักทายอย่างสุภาพ เป็นมารยาท”

ว่าแล้วนางก็ก้มหน้าลงเย็บสนับเข่าต่อ

จีอู๋จิ้งยกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจก่อนพลิกดูด้ายหลากสี ผ้าเช็ดหน้าที่ปักได้เพียงครึ่งหนึ่ง ตลอดจนถุงหอมในตะกร้าตามใจ

กู้เจี้ยนหลีปล่อยให้เขาทำตามใจโดยไม่สนใจ

“กู้เจี้ยนหลี นี่คือสิ่งใด” จีอู๋จิ้งถามขึ้นอย่างเชื่องช้า

กู้เจี้ยนหลีช้อนตามอง เห็นชายหนุ่มใช้นิ้วหนีบผ้าซับระดูแกว่งไปมาก็ตกใจจนปล่อยสนับเข่าร่วงลง รีบแย่งของจากมือเขามาวางลงบนตักใต้โต๊ะอย่างรวดเร็วก่อนขมวดคิ้วมองเขา

“ท่านห้ามแตะต้องสิ่งนี้นะ!”

เดิมทีจีอู๋จิ้งไม่ได้ใส่ใจ ทว่าจู่ๆ กลับถูกนางแย่งของไปจึงประหลาดใจอยู่บ้าง ถามขึ้นว่า “มิใช่เพียงแถบผ้าผืนหนึ่งหรือ ไม่ได้จะแย่งเจ้าสักหน่อย ต้องทำถึงขั้นนี้เลยหรือไร”

กู้เจี้ยนหลีรู้สึกเก้อกระดาก ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ผ้าผืนนี้จี้ซย่าเพิ่งจะทำให้นางเพียงครึ่งเดียว ลายปทุมบนนั้นยังปักไม่เรียบร้อย

จีอู๋จิ้งกวาดสายตามองตะกร้าแวบหนึ่ง จากนั้นก็หยิบผ้าซับระดูออกมาใหม่อีกผืน ผืนนี้เป็นกู้เจี้ยนหลีทำเอง เป็นสีชมพูอ่อน ลวดลายบนผืนผ้ายังปักไม่เรียบร้อยเช่นกัน

“เอาคืนมานะ!” กู้เจี้ยนหลียื่นมือไปแย่ง

จีอู๋จิ้งจะปล่อยให้นางแย่งไปอีกได้อย่างไร ร่างกายท่อนบนของเขาเอนไปด้านหลังพลางถือผ้าผืนนั้นไว้ตรงหน้า พินิจมองดูอย่างสนอกสนใจก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ซ่อนจดหมายรักไว้หรือ”

กู้เจี้ยนหลีอึดอัดคับข้องใจ “นี่เป็นของใช้ของสตรี ท่านจะมาหยิบจับส่งเดชไม่ได้! รีบคืนมานะ!”

จีอู๋จิ้งมองนางแวบหนึ่งอย่างประหลาดใจก่อนเลื่อนสายตาไปหยุดที่แถบผ้าในมือตนเอง ครู่หนึ่งก็พลันกระจ่างแจ้ง

“ที่แท้เป็นสิ่งนี้นี่เอง” เขาคลำผ้าซับระดูโดยละเอียดก่อนกล่าวอย่างจริงจัง “เนื้อผ้าเช่นนี้ไม่นุ่มพอนี่นา”

“เอาคืนมา…” กู้เจี้ยนหลีกำหมัดทุบโต๊ะ

“เจ้านี่ใส่เข้าไปอย่างไร” จู่ๆ จีอู๋จิ้งก็นึกสนอกสนใจ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อยก่อนกะขนาดกับหว่างขาไปเรื่อย

บทที่ 72

กู้เจี้ยนหลีเหม่อมองการกระทำของเขา รู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง หากมิใช่ว่านางทั้งเคยเห็นและเคยสัมผัสมาด้วยตนเอง คงจะนึกสงสัยขึ้นมาจริงๆ แล้วว่าจีอู๋จิ้งเคยถูกตอน

จีอู๋จิ้งลองกะขนาดอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เข้าใจวิธีการใส่แถบผ้านี้เสียที จึงจับเชือกสี่เส้นตรงขอบทั้งสองข้างไว้พลางถาม

“ต้องผูกกับขา? จะไม่หลุดลงมาหรือ”

กู้เจี้ยนหลีไม่สนใจความเจ็บปวดที่ขาซ้าย นางยันมือกับโต๊ะเพื่อพยุงตนเองลุกขึ้น จากนั้นก็แย่งผ้าซับระดูมาจากมือชายหนุ่มด้วยท่าทีเครียดเกร็ง จีอู๋จิ้งกำลังสนอกสนใจอยากจะพินิจดูต่ออีกสักหน่อย ทว่าเห็นท่าทางยืนขาเดียวของนางแล้วก็ได้แต่ปล่อยมืออย่างไม่ค่อยเต็มใจ ให้นางยื้อแย่งกลับไปได้

กู้เจี้ยนหลีวางผ้าซับระดูทั้งสองผืนลงในกล่องใบเล็กที่ด้านข้างแล้วลงกลอนโดยแรง เห็นได้ชัดว่าเริ่มโกรธบ้างแล้ว

จีอู๋จิ้งกล่าวอย่างจริงจัง “กู้เจี้ยนหลี ข้าคิดว่าเนื้อผ้าเช่นนี้นุ่มไม่มากพอจริงๆ”

กู้เจี้ยนหลีช้อนตาขึ้นสบสายตาใคร่รู้ของอีกฝ่าย เดิมกำลังจะเอ่ยปากอย่างกรุ่นโกรธ ทว่าเมื่อสายตาสบประสานกันนางกลับชะงักงัน นางไม่พบแววหยาบโลนอันน่ารังเกียจในดวงตาของเขา จู่ๆ ในใจพลันเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด นึกขึ้นได้รางๆ ว่าตนเองอาจเข้าใจบางอย่างผิดไป

นางค่อยๆ ก้มหน้าพลางหยิบสนับเข่ากับเข็มด้ายขึ้นมา จากนั้นก็อธิบายให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนตามปกติ “ไม่ใช่ผูกกับขาแต่ผูกกับเอว จะใช้ผ้าที่นุ่มเกินไปไม่ได้…เพราะ…เพราะไม่ซับน้ำ…”

อย่างไรก็รู้สึกเก้อกระดากอยู่ดี เมื่อกล่าวใกล้จบเสียงจึงเบาลง

จีอู๋จิ้งอึ้งไปเล็กน้อย แววตกตะลึงพาดผ่านในดวงตาวูบหนึ่งยามมองกู้เจี้ยนหลีอย่างลึกล้ำ ทว่าเพียงครู่เดียวเขาก็หัวเราะเล็กน้อยอย่างมีเลศนัยจนหางตาชี้ขึ้น จากนั้นก็เอนพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้านพลางมองดูหญิงสาวที่ก้มหน้าทำงานเย็บปักอยู่ ก่อนเอ่ยปากเรียกอย่างเชื่องช้า

“กู้เจี้ยนหลี…”

กู้เจี้ยนหลีรอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ไม่กล่าวต่อเสียทีจึงช้อนตามองอย่างงุนงง

จีอู๋จิ้งหรี่ตามองนางโดยไม่เอ่ยปากอีก บางทีวาจาครึ่งหลังที่เดิมคิดจะกล่าวอาจเก็บงำไว้ไม่กล่าวต่อด้วยสาเหตุบางประการ หรือบางทีอาจไม่มีวาจาครึ่งหลังตั้งแต่แรก เพียงแค่รู้สึกว่าชื่อของนางไพเราะจึงอยากเอ่ยเรียกสักหน่อยเท่านั้น

กู้เจี้ยนหลีรู้สึกว่าหัวข้อสนทนานี้ชวนให้รู้สึกเก้อกระดากยิ่งนักจึงพยายามเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “สองสามวันมานี้ท่านทำอะไรอยู่หรือ”

“ดื่มกิน หาความสำราญเข้าหอคณิกา” จีอู๋จิ้งเอ่ยไปเรื่อยด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“อ้อ” กู้เจี้ยนหลีรับคำพลางเย็บสนับเข่าต่อ นางปักเข็มเล่มบางทะลุเนื้อผ้าก่อนดึงเส้นด้าย ตอนที่ปักเข็มที่สองซ้ำ เข็มเงินเพิ่งแทงทะลุผ้าเข้าไปได้ครึ่งเดียวก็ชะงักการกระทำ จากนั้นนางก็หันหน้ามามองจีอู๋จิ้งแล้วถาม “จริงหรือ”

จีอู๋จิ้งมองตาอีกฝ่าย เงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบ “ไม่จริง”

“อ้อ” กู้เจี้ยนหลีรับคำอีกคราก่อนก้มลงปักเข็ม เย็บสนับเข่าต่อทีละเข็มๆ

จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นว่า “กู้เจี้ยนหลี ข้าก็อยากได้”

กู้เจี้ยนหลีอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนมองสนับเข่าในมือแล้วเอ่ยตอบ “เช่นนั้นสิ่งนี้ให้ท่าน?” ทว่าอีกฝ่ายยังไม่ทันเอ่ยอะไรนางก็ชิงส่ายหน้าพลางกล่าวต่อ “ท่านคงจะไม่ชอบสีเทาเช่นนี้ รอข้าทำให้ท่านพ่อเรียบร้อยแล้วจะทำสีแดงไม่ก็สีขาวให้ท่านคู่หนึ่งดีหรือไม่”

จีอู๋จิ้งรับคำ นับว่าเห็นด้วยอย่างฝืนๆ แล้ว

ผ่านไปอีกครู่หนึ่งจู่ๆ กู้เจี้ยนหลีก็นึกเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนก่วงผิงป๋อมาเยือนวันนี้ขึ้นมาได้จึงกล่าวว่า “จริงสิ วันนี้ท่านแม่มาที่นี่ บอกให้พวกเรากลับไป”

“ใคร”

“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านแม่ของท่านอย่างไรเล่า”

จีอู๋จิ้งขมวดคิ้วพลางถาม “เจ้าเรียกนางว่าท่านแม่?”

กู้เจี้ยนหลีหวนคิดครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าพลางตอบว่า “ไม่ได้เรียก”

สีหน้าของจีอู๋จิ้งแทบจะบึ้งตึงในทันที กล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว “คนแก่หนังเหนียวคู่นั้นเจ้าไม่ต้องเรียกท่านแม่ และไม่ต้องเรียกท่านพ่อ”

กู้เจี้ยนหลีสังเกตสีหน้าเขาแวบหนึ่งก่อนพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”

ออกเรือนแล้วกลับไม่เรียกบิดามารดาของสามีว่าท่านพ่อท่านแม่เช่นนี้ช่างอกตัญญูเสียเหลือเกิน ทว่าจีอู๋จิ้งไม่ให้นางเรียก นางก็จะไม่เรียก อย่างไรทั่วทั้งจวนก่วงผิงป๋อนางก็สนใจจีอู๋จิ้งเพียงผู้เดียว ไม่ต้องพูดถึงว่ายามนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกรังแกอีกต่อไปแล้ว จึงยิ่งไม่ต้องสนใจผู้อื่นในจวนก่วงผิงป๋อ

แววดุดันในดวงตาจีอู๋จิ้งเบาบางลงบ้างแล้ว เขามองดูกู้เจี้ยนหลีแวบหนึ่งก่อนจะค่อยๆ เก็บซ่อนแววดุดันที่เหลืออยู่จนหมดสิ้น กลับมามีท่าทีสบายๆ อีกครา จากนั้นก็โน้มตัวมายื่นมือตบใบหน้างามเบาๆ พลางกล่าวยิ้มๆ

“พวกเรามีท่านพ่อกู้คนดีที่ดุราวกับเสือผู้เดียวก็พอแล้ว”

นี่ชมหรือว่ากันแน่

กู้เจี้ยนหลีมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ระคนหมดคำจะพูด

นางไม่อยากฟังจีอู๋จิ้งกล่าววาจาเหลวไหลต่อ คิดจะหาบางอย่างให้อีกฝ่ายทำ จึงจับมือคู่นั้นไว้ก่อนยกขึ้นโดยที่ข้อศอกทั้งสองเท้ากับโต๊ะท่ามกลางสายตาติดจะประหลาดใจของอีกฝ่าย

จีอู๋จิ้งมองนางด้วยความประหลาดใจ รอดูการกระทำของนาง

กู้เจี้ยนหลีหยิบด้ายสีสันสดใสออกมาม้วนหนึ่ง พอหาปลายด้ายเจอก็ยัดใส่มือหนึ่งของจีอู๋จิ้ง ให้เขาใช้นิ้วหัวแม่มือกดปลายด้ายไว้กับฝ่ามือ จากนั้นก็พันด้ายไปมาทีละทบๆ

อันที่จริงกู้เจี้ยนหลีไม่แน่ใจว่าจีอู๋จิ้งผู้เอาแน่เอานอนไม่ได้จู่ๆ จะระบายอารมณ์ โมโหจนไล่นางออกไปหรือไม่ ทว่านางหมดหนทางจริงๆ จึงหาเรื่องให้เขาทำส่งๆ แต่ที่ทำให้นางประหลาดใจคือนางพันด้ายสีสันสดใสรอบมือเขาทบแล้วทบเล่าเขากลับยังรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เขาหลุบตามองด้ายสีสันสดใสที่พันไปมารอบมือทั้งสองของตนเอง ใบหน้าไร้ความรู้สึก บางคราวยังเหลือบตามองนางด้วยท่าทีสบายๆ

กู้เจี้ยนหลีช้อนตาขึ้นมอง ประสานสายตากับเขาพอดิบพอดี

“ทำต่อสิ” จีอู๋จิ้งกล่าวเสียงยานคาง ทั้งผ่อนคลายทั้งมีความอดทนอย่างมาก

กู้เจี้ยนหลีพันด้ายต่อไปทีละทบตามคำเขา

ทบแล้วทบเล่า พันต่อไปเรื่อยๆ

แสงอาทิตย์อบอุ่นยามตะวันรอนส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่างที่เปิดไว้ กระทบลงบนร่างของคนทั้งสอง

จีอู๋จิ้งมองดูกู้เจี้ยนหลีที่กำลังจดจ่ออย่างไม่ใส่ใจนัก แสงเงาอันอ่อนโยนทอลงบนใบหน้าของนาง ทำให้ใบหน้าขาวเนียนดุจหยกใสกระจ่างผุดผ่อง แสงเงายังทอลงกระทบแพขนตานางจนเกิดเงาทอดยาววาดโค้งสองสาย

วันนี้กู้จิ้งหยวนกลับเรือนเร็วอย่างหาได้ยาก เดิมทีอยากไปดูอาการบาดเจ็บที่ขาของบุตรสาวคนรอง ทว่ายังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ก็มองเห็นเงาร่างของกู้เจี้ยนหลีกับจีอู๋จิ้งผ่านทางหน้าต่างจากที่ไกลๆ เห็นทั้งสองกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันพลางพันด้ายอยู่ กู้จิ้งหยวนพลันชะงัก ยืนขมวดคิ้วมองพวกเขานิ่งค้างอยู่นาน ไม่ทันได้เข้าไปเยี่ยมบุตรสาวก็หันกายจากไป

 

ไม่เพียงกู้จิ้งหยวนที่กลับมาเร็วในวันนี้ ยังมีจีอู๋จิ้งที่ไม่หายตัวไปกลางคัน เขานอนหลับอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียงราวกับแมวตัวโตตัวหนึ่ง

กู้เจี้ยนหลีนอนอยู่ด้านใน ก่อนนี้นางเคยชินกับการนอนตะแคง ยามนี้เพราะบาดแผลที่ขาจึงทำได้เพียงนอนหงาย รู้สึกไม่ชินอย่างมาก เมื่อรวมกับความรู้สึกเจ็บแผลอยู่เนืองๆ ทำให้นอนอยู่นานก็ไม่หลับเสียที

จีอู๋จิ้งพลิกตัวมามองนางคราหนึ่ง จากนั้นก็ขยับเข้าใกล้ ซุกใบหน้าลงกับไหล่ของนางอย่างเกียจคร้านพลางพาดแขนกับเอวบาง เพราะขาของนางได้รับบาดเจ็บ จีอู๋จิ้งจึงไม่ได้พาดขากับตัวนางอีก เพียงพาดแขนไว้อย่างเดียว

ผ้าห่มแทบจะคลุมศีรษะของเขามิด

กู้เจี้ยนหลีดึงผ้าห่มลงเล็กน้อยจนเผยใบหน้าของชายหนุ่ม เขาจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด

ท่ามกลางความมืดกู้เจี้ยนหลีมองดูเครื่องหน้าของจีอู๋จิ้งก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง

คืนนี้กู้เจี้ยนหลีหลับไม่สนิทนัก นางฝันร้าย ฝันเห็นตนเองตกน้ำ นางพยายามดิ้นรน ทว่ากลับมีบางสิ่งกดทับร่างเอาไว้ ทับเสียจนนางขยับตัวไม่ได้ ตัวนางในความฝันคล้ายจะรู้ตัวรางๆ ว่าสิ่งที่อยู่บนร่างนางคือแขนของจีอู๋จิ้ง นางลองผลักดูทว่ากลับผลักไม่ออก ซ้ำยังรู้ตัวท่ามกลางความสะลึมสะลือว่าตนเองพลิกตัวไม่ได้เพราะจะกระแทกโดนขา นางจึงคลายมือที่จับข้อมือจีอู๋จิ้งไว้ ไม่ผลักเขาอีก เพียงวางมือไว้เบาๆ แล้วหลับต่อ

ตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างนักกู้เจี้ยนหลีรู้สึกเจ็บจนตื่น เป็นความเจ็บที่ทั้งแปลกประหลาดและคุ้นเคยไปพร้อมกัน นางมองม่านมุ้งเหนือศีรษะด้วยดวงตาสะลึมสะลืออยู่พักใหญ่จึงค่อยตื่นเต็มตา

รอจนสตินางกลับมาครบถ้วนแล้วก็เบิกตาโพลง รีบลุกขึ้นโดยพลัน นางดึงผ้าห่มบนร่างออกก่อนมองคราบเลือดบนผ้าปูเตียงด้วยความตกตะลึง บนผ้าปูเตียงสีม่วงอมชมพูใช้ด้ายเงินปักลายดอกติงเซียง ดูสง่างามไว้มากมาย ยามนี้ดอกติงเซียงกลับถูกย้อมสีแดงกลายเป็นดอกเหมยไปเสียแล้ว

กู้เจี้ยนหลีตกใจจนยกมือปิดปาก

ไม่ใช่ว่านางจำกำหนดที่ระดูจะมาไม่ได้จนไม่ได้ตระเตรียมการล่วงหน้า แต่เพราะตั้งแต่ครอบครัวนางตกระกำลำบาก ไม่ว่าอารมณ์ความรู้สึกหรืออาหารการกินล้วนเกิดความเปลี่ยนแปลงไม่น้อย ระดูของนางจึงไม่มากว่าสี่เดือนแล้ว เรื่องเช่นนี้นางรู้สึกไม่สะดวกใจจะเอ่ยปากจึงไม่ได้บอกคนในครอบครัว ซ้ำยังไม่ได้พบหมออีกต่างหาก

“เหตุใดยามนี้ถึง…”

กู้เจี้ยนหลีลนลานอยู่บ้าง เป็นความลนลานที่คล้ายกับยามระดูมาคราแรกไม่น้อย นางถึงขั้นเห็นว่ากางเกงนอนสีขาวราวกับหิมะของจีอู๋จิ้งซึ่งนอนอยู่ด้านข้างเปื้อนเลือดไปด้วย

“กู้เจี้ยนหลี” จีอู๋จิ้งเพิ่งจะตื่นนอนก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

กู้เจี้ยนหลีรีบร้อนดึงผ้าห่มมาคลุมขาไว้ พยายามปกปิดสุดความสามารถ

จีอู๋จิ้งหาวคราหนึ่งก่อนลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน “ไม่ต้องปิดแล้ว ข้าได้กลิ่นคาวเลือดตั้งแต่สองชั่วยามก่อนแล้ว”

“แล้วท่านก็ไม่ปลุกข้า…” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยเสียงเบาราวกับยุงบิน

จีอู๋จิ้งกล่าวอย่างสบายๆ “ข้าดูแล้วไม่ใช่เลือดจากแผลที่ขาเจ้านี่”

“ท่าน!” กู้เจี้ยนหลีไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อแล้ว ได้แต่ก้มหน้าไม่ตอบคำ

จีอู๋จิ้งลงจากเตียงแล้วสวมรองเท้าอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะไปหยิบเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านมาให้นางพลางถาม “เจ้าสิ่งนั้นวางไว้ที่ใด ใช่สองผืนที่ข้าเห็นเมื่อช่วงเย็นหรือไม่”

“ไม่ใช่ อยู่ในช่องล่างสุดในตู้เสื้อผ้า…”

จีอู๋จิ้งเอามาวางให้นางบนเตียงทั้งหมดก่อนจะถามขึ้น “ยังอยากได้สิ่งใดอีก”

กู้เจี้ยนหลีลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยเสียงเบา “น้ำ ขอน้ำอุ่น”

จีอู๋จิ้งหมุนกายเดินออกไปด้านนอก ตอนเดินถึงประตูจู่ๆ ก็หยุดฝีเท้า ร้อง “เอ๋?” ด้วยความสงสัยคราหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ากลับมามองโดยไม่ขยับร่างกายส่วนอื่นแม้แต่น้อยพลางถาม “กู้เจี้ยนหลี เหตุใดเจ้าไม่เรียกจี้ซย่า”

กู้เจี้ยนหลีถอนใจคราหนึ่งขณะมองดูจีอู๋จิ้งอย่างหมดอาลัยตายอยาก เอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “จีอู๋จิ้ง ท่านช่างน่ารำคาญจริงๆ”

“ไม่เรียกท่านอา ก็เรียกนายท่านสักคำเถอะ”

“ท่านอานายท่านห้า ช่วยข้าหน่อยเถิด แล้วข้าจะสอนท่านใส่ผ้าซับระดูดีหรือไม่เจ้าคะ” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยโดยใช้น้ำเสียงเช่นเดียวกับยามหลอกล่อจีซิงหลัน

จีอู๋จิ้งเงียบไปพักใหญ่กว่าจะเอ่ยปากอีกครั้ง “กู้เจี้ยนหลี เด็กน้อยเช่นเจ้าเสียคนแล้ว”

“เป็นเพราะท่านอาสอนมาดี”

จีอู๋จิ้งยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้ากลับไปแล้วเดินออกจากห้อง

ฟ้ายังไม่สว่างนัก บ่าวรับใช้ยังไม่ตื่นนอน ย่อมยังไม่มีน้ำอุ่นตระเตรียมไว้ จีอู๋จิ้งจึงต้องต้มน้ำเอง รอจนเขายกน้ำถังหนึ่งกลับเข้าห้องมา กู้เจี้ยนหลีก็ลงจากเตียงมานั่งบนม้านั่ง ซ้ำยังเปลี่ยนผ้าปูเตียงใหม่ทั้งหมดเรียบร้อย

หลังจากจีอู๋จิ้งวางถังไม้ลงตรงหน้ากู้เจี้ยนหลี นางก็เอ่ยปากด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ถังเดียวไม่พอ ท่านช่วยต้มให้ข้าอีกสักถังได้หรือไม่”

จีอู๋จิ้งหัวเราะจนดวงตาพราวระยับ กล่าวขึ้นว่า “กู้เจี้ยนหลี ข้ออ้างกันข้าออกห่างของเจ้าใช้ไม่ได้เอาเสียเลย”

กู้เจี้ยนหลีเม้มปากไม่ตอบคำ

“ด้านนอกทั้งมืดทั้งหนาว ร่างกายนี้ของข้าเพิ่งจะดีขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าจะทำร้ายข้าเช่นนี้ไม่ได้” จีอู๋จิ้งโน้มตัวลง ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากนางเล็กน้อย “มีเมตตาสักหน่อยสิ หลีหลีน้อยของข้า”

กู้เจี้ยนหลีถูกจิ้มหน้าผากจนศีรษะเอนไปด้านหลัง นางขยับหลบไปด้านหนึ่งพลางคลึงหน้าผากที่ถูกเขาจิ้ม จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองผิวน้ำที่กระเพื่อมน้อยๆ บนนั้นสะท้อนภาพใบหน้าหมดอาลัยตายอยากของนางและรอยยิ้มของจีอู๋จิ้ง

บทที่ 73

กู้เจี้ยนหลีอยากจะเรียกจี้ซย่าเข้ามาเหลือเกิน ทว่าเรียกแล้วจีอู๋จิ้งจะยอมโอนอ่อนตามหรือ นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนอยากร้องไห้ นางต้องโง่งมไปแล้วแน่ๆ เมื่อเย็นวานจึงคิดว่าจีอู๋จิ้งเพียงแค่สนอกสนใจ คิดว่าการใช้ชีวิตกับเขาไม่ได้ยากเย็นปานนั้น นางทั้งลองใช้เหตุผล ทั้งลองออดอ้อนให้เขาละเว้น ทั้งลองคล้อยตามความคิดของเขาแล้ว ทว่าผลเป็นอย่างไรเล่า

คนน่ารังเกียจผู้นี้เห็นได้ชัดว่าแต่ไหนแต่ไรล้วนไม่เคยหยุดหยอกเย้านางเลย

จู่ๆ กู้เจี้ยนหลีก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมา

แผลที่ขาเริ่มปวดขึ้นมารางๆ นางค้อมเอวลงคลำไม้ดามที่ขาซ้าย จากนั้นก็นั่งหลังตรงเหม่อลอยครู่หนึ่งแล้วค้อมเอวลงไปคลำอีกครั้ง

จีอู๋จิ้งหลุบตามองนางก่อนหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง ถามขึ้นว่า “ออดอ้อนไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนมาแกล้งทำตัวน่าสงสารแทนหรือ”

กู้เจี้ยนหลีเงยหน้าถลึงตามองเขาอย่างติดจะกรุ่นโกรธ ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงน้อยๆ พองแก้มขาวนุ่มนิ่มด้วยความโมโห

“โกรธจริงๆ แล้ว?” จีอู๋จิ้งบีบแก้มนิ่มของนางพลางยกยิ้มไม่ยี่หระ

กู้เจี้ยนหลีหลบอีกครั้งด้วยไม่อยากสนใจเขา

นางหันไปหยิบเสื้อคลุมกันลมที่ด้านหลังแล้วฮึดฮัดฟุบลงกับโต๊ะ ก่อนจะคลุมเสื้อบนร่างตนเองมิดไปถึงศีรษะ เอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “ข้าไม่เอาน้ำแล้ว จะนอนแล้ว”

คิดจะฟุบนอนอยู่กับโต๊ะเช่นนี้เชียว

จีอู๋จิ้งกวาดตามองมือตนเองคราหนึ่ง จากนั้นก็นั่งยองลงหยิบผ้าฝ้ายสีขาวที่พาดกับขอบถังมาจุ่มน้ำอุ่นแล้วบิดให้หมาดท่ามกลางไออุ่นเหนือผืนน้ำ

กู้เจี้ยนหลีได้ยินเสียงน้ำหยดติ๋งๆ ก็พลันตื่นตกใจ นางลอบแง้มช่องมองผ่านรอยแยกของเสื้อคลุมกันลมที่คลุมศีรษะตนเองไว้ เห็นว่าจีอู๋จิ้งกำลังนั่งยองๆ บิดผ้าตรงหน้าตนเองก็ตกใจจนหน้าซีด ถึงขั้นลืมโกรธไปสนิท

เดิมทีคิดว่าจีอู๋จิ้งจงใจจะดูเรื่องขบขันของนางจึงรั้งอยู่ไม่ยอมจากไป หรือว่าเขาจะลงมือช่วยนางเอง…

จู่ๆ กู้เจี้ยนหลีก็ส่งเสียงร้องไห้ออกมา

ได้ยินเสียงร้องไห้ของนาง จีอู๋จิ้งเองก็ตกใจตามไปด้วย เขาเงยหน้ามองสบดวงตาคลอน้ำของอีกฝ่าย เห็นว่านางเบะปากพลางมองดูผ้าในมือเขาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม จีอู๋จิ้งมองตามสายตานางจนมาหยุดอยู่ที่ผ้าอุ่นๆ ก็กระจ่างแจ้งโดยพลัน

เขาช้อนตามองดูหญิงสาวอีกครั้ง ทั้งจนใจและหมดคำจะพูดไปพร้อมกัน

เขาเอ่ยถาม “ตอนที่เจ้าเช็ดให้ข้า ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้ มีเพียงเจ้าที่เช็ดให้ข้าได้ ข้าเช็ดให้เจ้าไม่ได้หรือไร”

เดิมทีกู้เจี้ยนหลีเพียงแค่สะอื้นเบาๆ ยามนี้พอได้ยินวาจาของเขาก็พลันร่ำไห้หนักกว่าเดิม นางเติบใหญ่มาถึงตอนนี้เคร่งครัดกับเรื่องความเหมาะสมที่สุดจึงหลั่งน้ำตาต่อหน้าผู้อื่นน้อยครั้งมาก ต่อให้ลับหลังผู้คนจะลอบหลั่งน้ำตาก็น้อยมากที่จะร้องไห้ออกเสียง ยามนี้นางสนใจเรื่องความเหมาะสมไม่ไหวแล้ว แทบจะทนไม่ไหวสะอึกสะอื้นออกมาอย่างคับแค้นใจในคราเดียว

“ท่าน…ท่านไม่มีเหตุผลเลย!” นางกล่าวโทษทั้งสะอึกสะอื้นจนฟังไม่ได้ความ เอ่ยปากครั้งนี้กลับสำลักอากาศเสียเองจนไอต่อเนื่องอย่างห้ามไม่อยู่

จีอู๋จิ้งลุกขึ้นตบหลังกู้เจี้ยนหลีเบาๆ อย่างจนใจ ส่วนกู้เจี้ยนหลีขยับหลบเป็นครั้งที่สาม

จีอู๋จิ้งยัดผ้าที่บิดหมาดแล้วใส่มือนางด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็หมุนกายเดินกลับเตียงโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ เดิมทีเขาก็เพียงไม่มีอะไรทำ กลัวว่ายามนางค้อมตัวลงจะกระทบไม้ดามที่ขาซ้ายเท่านั้น

เจ็บจนตายก็สมควรแล้ว

จีอู๋จิ้งปลดมุ้งลงด้วยสีหน้าเย็นชาแล้วขึ้นเตียงนอนไป

กู้เจี้ยนหลีมองม่านมุ้งที่สั่นไหว คลองสายตาพร่ามัวด้วยหยดน้ำ นางใช้หลังมือเช็ดน้ำตาลวกๆ พลางมองไปทางมุ้งเตียงอย่างหวาดระแวง

มุ้งเตียงมีทั้งหมดสองชั้น ชั้นในทำจากผ้าเนื้อบางโปร่งแสง ชั้นนอกเป็นมุ้งผ้าต่วนหนักอึ้งสีเขียวไข่เป็ดปักลายทิวทัศน์มุมไกลของขุนเขาและม่านหมอก มุ้งผ้าต่วนทั้งหนาและหนัก บดบังแสงได้ จะปลดลงก็ต่อเมื่อหวาดกลัวอากาศหนาวของฤดูเหมันต์หรือยามนอนกลางวันเท่านั้น

กู้เจี้ยนหลียังคงมองมุ้งเตียงไม่ขยับเขยื้อน ต่อให้มุ้งที่สั่นไหวเบาๆ หยุดนิ่งก็ยังมองต่อโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา เหม่อมองต่อไปอยู่เช่นนั้น

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร กระทั่งผ้าฝ้ายในมือเริ่มเย็น นางค่อยรู้ตัวขึ้นมาว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว

“นายท่านห้า?” นางเอ่ยเรียกอย่างระมัดระวังคราหนึ่ง

จีอู๋จิ้งไม่ตอบคำ

กู้เจี้ยนหลีเม้มปากพลางก้มมองผ้าในมือแล้วโยนลงไปในน้ำอุ่นใหม่ จากนั้นค่อยก้มลงหยิบ ทว่าส่วนยอดของไม้ดามซึ่งขนาบสองข้างของขาซ้ายที่งออยู่กลับกระแทกเข้ากับหัวเข่า ทำเอานางเจ็บจนร้องออกมา

นางใช้สองมือประคองขาซ้ายขึ้นมาให้ตรง จากนั้นค่อยหยิบผ้าในถังใหม่อีกครั้ง นางค้อมเอว พยายามบิดผ้าให้อยู่ใกล้ผิวน้ำที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังเกินไป ทุกคราวที่บิดผ้านางจะเงยมองไปทางมุ้งผ้าต่วนสีเขียวไข่เป็ดแวบหนึ่ง พอเห็นว่ามันไม่ขยับค่อยบิดผ้าต่ออย่างวางใจ

เพราะขาเคลื่อนไหวไม่สะดวก กู้เจี้ยนหลีจึงถอดกางเกงออกด้วยกิริยาที่ติดขัดถึงที่สุด จากนั้นก็รีบร้อนคลุมเสื้อคลุมกันลมบังร่างกายไว้แล้วหันมองไปทางเตียงอย่างรวดเร็ว นางนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งค่อยเช็ดล้างทำความสะอาดโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ตอนที่เปลี่ยนกางเกงนอนตัวใหม่ยังใช้เรี่ยวแรงไปมากอีก ในใจนางรู้สึกไม่สงบ กังวลว่าจีอู๋จิ้งจะเดินออกมาตามใจจึงเร่งรีบยิ่งขึ้น ยิ่งรีบร้อนก็ยิ่งเผลอถูกขาซ้ายโดยไม่ทันระวัง กว่าจะจัดระเบียบเรียบร้อยก็เจ็บเสียจนมีเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก

กู้เจี้ยนหลีเอนพิงพนักเก้าอี้เมื่อผ่อนคลายลง ก่อนจะมองไปทางเตียงพลางพรูลมหายใจ นางพักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประคองตนเองด้วยไม้เท้าที่วางไว้ข้างกายแล้วเคลื่อนตัวไปที่ข้างเตียงอย่างเชื่องช้า

นางแง้มมุ้งผ้าต่วนชั้นนอกสุดเปิดออก มองดูใบหน้าจีอู๋จิ้งผ่านม่านมุ้งสีม่วงอ่อนที่ชั้นใน เห็นว่าเขานอนคว่ำอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้านไม่ขยับเขยื้อน

กู้เจี้ยนหลียังแง้มมุ้งชั้นในออกให้มองเห็นชัดกว่าเดิม

จีอู๋จิ้งนอนกอดหมอนหลับสบาย ดูคล้ายหลับสนิทไปนานแล้ว

กู้เจี้ยนหลีคลายกังวลลงในที่สุด นางวางไม้เท้าไว้ด้านข้างก่อนนั่งลงริมเตียง หยิบหมอนจากมือจีอู๋จิ้งอย่างระมัดระวัง ทั้งยังเปลืองแรงไปกับการดึงผ้าห่มที่มุมเตียงมาคลุมให้เขาอีก

นางมองเสี้ยวหน้ายามหลับของเขาพลางพึมพำ “ดูเหมือนข้าจะเข้าใจท่านผิดไป ขออภัยด้วย”

จีอู๋จิ้งไม่ได้ยินวาจานี้ของนาง

กู้เจี้ยนหลีรู้ดีว่าเขาไม่ได้ยินจึงเอ่ยออกไป นางเอนกายลงนอนแล้วมองดูลวดลายทิวทัศน์มุมไกลของขุนเขาและม่านหมอกที่ปักลงบนมุ้งพักใหญ่ก่อนจะผล็อยหลับไปอีกครั้ง

ตอนที่จี้ซย่ายกยาเข้ามามองเห็นเสื้อผ้าสกปรกที่กู้เจี้ยนหลีถอดไว้ก็เข้าใจโดยพลันว่าผู้เป็นนายเป็นอะไรไป นางจึงวางยาลงแล้วหันกายออกวิ่งเหยาะๆ ไปต้มโจ๊กพุทราแดงที่ห้องครัว

ทว่าขณะที่เพิ่งล้างพุทราแดงจนสะอาดแล้วใส่ลงไปในหม้อจู่ๆ นางก็ชะงักการกระทำ เบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง

เดี๋ยวก่อน…เหตุใดฮูหยินไม่เรียกข้าเข้าไปปรนนิบัติ ผู้ใดหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่กับผ้าซับระดูให้นาง แล้วผู้ใดต้มน้ำให้นาง ยามนี้ขาของฮูหยินเคลื่อนไหวไม่สะดวก เช็ดทำความสะอาดก็ไม่สะดวก เช่นนั้นเป็นผู้ใดคอยช่วยเหลือนางล่ะ

หรือว่า…

จี้ซย่าตกตะลึงจนมือสั่น ทำหม้อร่วงลงพื้นตกแตกกระจาย

ตอนที่กู้เจี้ยนหลีตื่นนอน มองไปทางจีอู๋จิ้งแล้วก็รู้สึกเก้อกระดากขึ้นมา ทว่าเขากลับทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ไม่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อยามรุ่งสางแม้แต่น้อย กู้เจี้ยนหลีก้มหน้าคลึงดวงตาเล็กน้อย เพราะร้องไห้หนักสองตาของนางจึงบวมอยู่บ้าง

หลังจากนั้นจีอู๋จิ้งไม่ได้หยอกเย้าอะไรกู้เจี้ยนหลีมากนัก กล่าวให้ถูกต้องคือไม่ได้สนใจนางสักเท่าไร เขายังคงพักอยู่ที่นี่ ทว่ามักจะหายไปไม่เห็นเงาคน หากนางคุยกับเขาเขาก็จะตอบ บางครั้งยังล้อนางเล่นสักประโยคสองประโยค

กู้เจี้ยนหลีรู้สึกว่าจีอู๋จิ้งกำลังโกรธ ทว่าบางครั้งเขายังคงกล่าวเหลวไหลล้อเล่นด้วยท่าทีเกียจคร้าน นางจึงรู้สึกว่าเขาไม่ได้โกรธ เพียงแต่อารมณ์ไม่ดีเท่านั้น

อารมณ์ของกู้เจี้ยนหลีหม่นหมองลงจึงอดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยบรรเทาในทุกคืนวันออกไปนั่งเฝ้ารอต้นหลิวผลิหน่อที่ลานเรือนด้านหลังอยู่บ่อยๆ เพราะความเจ็บปวดที่ขา เวลาจึงผ่านไปเชื่องช้ายิ่ง รอจนวันที่ต้นหลิวผลิหน่ออ่อนออกมาในที่สุดเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว

ระหว่างนั้นคนจากจวนก่วงผิงป๋อมาเยือนสามสี่ครั้ง ล้วนแล้วแต่แสดงออกว่าอยากรับกู้เจี้ยนหลีกลับจวนด้วยท่าทีสนิทสนม ทั้งยังเตรียมของบำรุงล้ำค่ามามอบให้นางบำรุงร่างกายมากมาย ในฐานะตระกูลเชื้อพระวงศ์ตกอับ จวนก่วงผิงป๋อไม่นับว่ามากอำนาจร่ำรวยทรัพย์สิน ของที่มอบให้หากคำนวณราคาดูแล้วนับว่าแสดงความจริงใจอย่างเต็มที่

หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้จวนอ๋องก็บูรณะซ่อมแซมจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ครอบครัวสกุลกู้จึงพากันเก็บของเพื่อย้ายกลับไป

แรกเริ่มเมื่อครั้งกู้จิ้งหยวนเกิดเรื่อง บ่าวในจวนล้วนแต่กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง คนส่วนใหญ่ต้องการหลบหนีหายนะ แต่ก็มีส่วนน้อยที่ไม่อาจติดตามรับใช้ต่อจึงจากไปอย่างไม่เต็มใจ ยามนี้ต่างพากันกลับมาทีละคนสองคน ร่ำไห้ร้องตะโกนแสดงความภักดี ป่าวร้องถึงความจนใจ

เถาซื่อรวบรวมสติแยกแยะโดยละเอียดแล้วรับกลับมาเพียงบ่าวเก่าไม่กี่คนและซื้อบ่าวใหม่มาอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งยังเลือกคนมาคอยอบรมสอนกฎระเบียบให้บ่าวใหม่ ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด นางไม่กลัวบ่าวใหม่งุ่มง่ามโง่งม ขอเพียงภักดีก็พอ

เดิมทีกู้เจี้ยนหลีตั้งใจจะตามครอบครัวกลับไปพำนักที่จวนอ๋องสักระยะ ทว่าวันหนึ่งก่อนจะเตรียมตัวกลับจวนอ๋องนั้นเองจวนก่วงผิงป๋อกลับส่งคนมาแจ้งนางว่าจีซิงหลันล้มป่วยแล้ว

กู้เจี้ยนหลีพลันรู้ตัวว่าตนเองไม่อาจอยู่ที่บ้านเดิมได้ต่อไปแล้ว จึงทำใจแข็งตัดสินใจกลับจวนก่วงผิงป๋อก่อน รอจนจีซิงหลันหายป่วยแล้วนางค่อยกลับจวนอ๋องไปดูสักหน่อย วันเวลายังอีกยาวไกล โอกาสยังมีมากมาย ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน นางจึงไปถามความเห็นจีอู๋จิ้ง

เขาเพียงแค่ตอบอย่างเกียจคร้านว่า “แล้วแต่สิ”

“อะไรนะ เจ้าจะกลับไปตอนนี้ ไม่กลับจวนอ๋องกับพ่อหรือ” กู้จิ้งหยวนขมวดคิ้ว บนใบหน้าฉายแววไม่ยินยอม

กู้เจี้ยนหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยตอบเสียงอ่อนโยน “หลันเอ๋อร์ไม่สบาย ลูกต้องกลับไปดูสักหน่อย อีกอย่างเอาแต่พำนักอยู่ที่บ้านเดิมจะตกเป็นขี้ปากผู้อื่นได้ ท่านพ่อเองก็คงไม่อยากได้ยินผู้อื่นวิจารณ์ว่าเลี้ยงบุตรสาวออกมาหยิ่งยโสใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“มิใช่ลูกแท้ๆ ของเจ้าสักหน่อย เจ้าเป็นเพียงแม่เลี้ยงเท่านั้น”

“มีเถาซื่อเป็นแบบอย่าง ลูกย่อมต้องทำตาม”

กู้จิ้งหยวนอยากเอ่ยอะไรสักอย่าง ทว่าพอนึกถึงเถาซื่อก็กลับเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยแค่นเสียงหึก่อนกล่าว “เจ้าหย่ากับเขา เรื่องยุ่งยากทั้งหลายก็จบสิ้นแล้ว!”

“ท่านพ่อ พวกเรามิใช่ว่าตกลงกันแล้วหรือเจ้าคะ” กู้เจี้ยนหลีมุ่นคิ้ว เอ่ยเสียงอ่อนลงเล็กน้อย

กู้จิ้งหยวนมองดูบุตรสาวที่ถือไม้เท้าค้ำไว้ก่อนกลืนวาจาพร่ำบ่นกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์

ทั้งครอบครัวพากันมาส่งกู้เจี้ยนหลีกับจีอู๋จิ้งถึงหน้าประตูเรือน รถม้าจอดรออยู่ด้านนอก ม้าเทียมรถกำลังก้มหัวพลางเหยียบดินโคลนบนพื้น จี้ซย่าพยุงกู้เจี้ยนหลีเดินมาถึงหน้ารถม้า

กู้เจี้ยนหลีวางไม้เท้าบนรถม้าก่อนจะเหยียบลงบนแท่นเหยียบ นางก้มศีรษะลงมองขาตนเองเล็กน้อย รู้สึกว่ารถม้ายังคงสูงเกินไปสักหน่อย

กู้จิ้งหยวนตีหน้าขรึมเดินฮึดฮัดเข้าไป ทว่ายังไม่ทันเดินถึงตัวจีอู๋จิ้งกลับกระโดดลงมาจากรถม้า สอดแขนเข้าใต้ข้อพับก่อนจะอุ้มกู้เจี้ยนหลีขึ้นจนนางต้องจับเขาไว้ตามสัญชาตญาณ

กู้จิ้งหยวนมองภาพบุตรสาวตนเองจับไหล่จีอู๋จิ้งแล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ทว่าเขาเข้าใจดีว่าเรื่องเช่นการอุ้มกู้เจี้ยนหลีนี้จีอู๋จิ้งทำกลับเหมาะสมกว่าตน

จีอู๋จิ้งอุ้มกู้เจี้ยนหลีขึ้นรถม้าแล้ว นางก็นั่งลงบนที่นั่งยาว

กู้จิ้งหยวนมองดูจีอู๋จิ้งที่อยู่ในรถม้าแล้วถามขึ้นอย่างไม่เป็นมิตรนัก “จีเจา เจ้าบอกข้ามาตามตรงว่าพิษในตัวเจ้าถอนได้หรือไม่กันแน่ เจ้าจะมีชีวิตต่อไปได้อีกนานเท่าไร ถึงสามปีหรือไม่”

จีอู๋จิ้งเหลือบตามองกู้จิ้งหยวนอย่างเกียจคร้าน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อตาช่างห่วงใยบุตรเขยเช่นข้าเสียจริง”

“หึ” กู้จิ้งหยวนแค่นเสียงหนักหน่วง “แน่นอน ข้าจะคำนวณเวลาสำหรับหาบ้านสามีใหม่ให้เจี้ยนหลีของข้าล่วงหน้า!”

“ท่านพ่อ!” กู้เจี้ยนหลีรีบร้อนออกหน้าปรามไม่ให้บิดาเอ่ยต่อ

รอยยิ้มในดวงตาจิ้งจอกของจีอู๋จิ้งค่อยๆ เลือนหาย เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างเชื่องช้าก่อนหันหน้ามามองกู้เจี้ยนหลีที่อยู่ข้างกาย

บ้านสามีใหม่? เหอะ

 

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: