บทที่ 77
ตอนที่กู้เจี้ยนหลีไปถึง นางมองเห็นจากไกลๆ ว่าหญิงรับใช้สูงวัยสองคนกำลังกดตัวจีซิงโล่วลงบนม้านั่งยาวแล้วใช้ไม้เรียวหวดก้นเขาอยู่ กางเกงของเด็กน้อยร่นลงกว่าครึ่งเผยให้เห็นก้นน้อยกลมๆ ของเขา พอไม้เรียวหวดลงไป ก้นขาวๆ ก็พลันเกิดรอยแดงเป็นทางรอยแล้วรอยเล่า
ม้านั่งยาวตั้งอยู่กลางลานเรือน ในลานเรือนยังมีสาวใช้หลายคนล้อมวงดูเรื่องสนุกอยู่
“เร็วหน่อย” กู้เจี้ยนหลีหันกลับไปสั่งจี้ซย่าที่เข็นรถเข็นให้
“เจ้าค่ะ!” จี้ซย่ารับคำแล้วเร่งความเร็ว รีบเข็นรถพากู้เจี้ยนหลีเข้าไปทันที
พอเห็นว่ากู้เจี้ยนหลีมาถึงสาวใช้ที่ออกันอยู่ก็พากันนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ละคนล้วนแสดงสีหน้าแตกต่างกันออกไป ตอนแรกกู้เจี้ยนหลีตบแต่งเข้ามาด้วยสภาพการณ์เช่นนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้านายแต่ละเรือนในจวน ลำพังแค่พวกบ่าวรับใช้ยังรอคอยหัวเราะเยาะหยัน ทว่ายามนี้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์แล้วให้ความสำคัญกับกู้จิ้งหยวน ฐานะของกู้เจี้ยนหลีย่อมสูงขึ้นตาม ทั่วทั้งจวนทั้งนายบ่าวทำได้เพียงประจบเอาใจนางเท่านั้น อีกทั้งพอนึกถึงวันวานที่ผู้คนในจวนไม่ได้ปฏิบัติต่อนางอย่างดีด้วยแล้ว ยามนี้จึงล้วนแต่มีความรู้สึกที่ซับซ้อน
“คุณชายหกทำความผิดอะไรหรือ” กู้เจี้ยนหลีถาม
ป้าเจียงหญิงรับใช้สูงวัยที่กำลังหวดก้นจีซิงโล่วในใจคิดว่าภรรยาเอกที่ใดจะรักใคร่ลูกนอกสมรสของสามี ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเด็กซุกซนดื้อรั้นเช่นจีซิงโล่ว ยิ่งเขาถูกหวดแรงเท่าไร กู้เจี้ยนหลีก็ควรจะเบิกบานใจมากเท่านั้น
ดังนั้นป้าเจียงจึงวาดยิ้มบนใบหน้า เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงประจบประแจงทันที “คุณชายหกจับจิ้งหรีดโยนใส่โจ๊กที่เป็นอาหารเช้าวันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงสั่งให้บ่าวสั่งสอนเขาให้หนักสักยก ฮูหยินห้าโปรดวางใจ คุณชายหกซุกซนเช่นนี้บ่าวจะสั่งสอนให้ดีเชียวเจ้าค่ะ”
ป้าฟู่หญิงรับใช้สูงวัยอีกคนที่คอยกดจีซิงโล่วไว้ก็ยิ้มประจบเอาใจตาม “คุณชายหกนิสัยดื้อรั้น ปกติคงจะทำให้ฮูหยินห้าลำบากใจไม่น้อย ฮูหยินห้ามีเมตตาไม่เข้มงวดกับเขาก็จริง แต่จะให้เขาทำตัวเหลวไหลตามใจไม่ได้นะเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าเอ็นดูท่านมาก ต่อไปหากคุณชายหกทำให้ท่านโมโหอีก ท่านคร้านจะลงมือเองก็สั่งบ่าวสักคำแทนได้เจ้าค่ะ”
ป้าฟู่สนใจเพียงพูดกับกู้เจี้ยนหลี ไม่ทันระวังจึงเบาแรงที่มือลง ทำให้จีซิงโล่วสบโอกาสพลิกตัวลงมาจากม้านั่งยาวหนีพ้นจากเงื้อมมือของนางได้
“จะหนีไปไหน!” แขนยาวของป้าฟู่เอื้อมคว้าแขนเล็กๆ ของจีซิงโล่ว เด็กชายหันกลับมากัดหลังมือหญิงสูงวัยจนนางร้องโอ๊ยออกมา รีบเรียกสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างด้วยความเจ็บปวด “นางหนูเช่นพวกเจ้ายังไม่รีบมาช่วยกันอีก!”
ป้าเจียงกับเหล่าสาวใช้ต่างพากันเข้ามาดึงตัวจีซิงโล่ว
หว่างคิ้วของกู้เจี้ยนหลีมุ่นเข้าหากันในชั่วขณะ ทว่าครู่เดียวก็คลายออก นางมองไปที่จีซิงโล่วก่อนเอ่ยปากขึ้น “ซิงโล่ว ดึงกางเกงขึ้นเสีย”
จีซิงโล่วอึ้งงันไปครู่หนึ่ง อาศัยจังหวะที่ป้าฟู่ไม่ทันระวังสะบัดมือนางออก เด็กชายรีบดึงกางเกงขึ้นพลางสาวเท้าออกวิ่งในทันที
ป้าเจียงอ้าปากตะโกนก้อง “เหลียนซิน เหลียนหรุ่ย ไปเฝ้าประตูไว้อย่าให้คุณชายหกออกไปได้!”
“หมัวมัวท่านนี้กำลังจับโจรอยู่หรือ” กู้เจี้ยนหลีเพียงเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม ทั่วทั้งลานเรือนที่กำลังโกลาหลก็เงียบเสียงลงในทันใด
“ไม่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ…” ป้าเจียงพลันรู้สึกเก้อกระดากขึ้นมา ที่นางทำทีว่าจะจัดการลงโทษจีซิงโล่วสุดกำลังก็เพื่อประจบเอาใจกู้เจี้ยนหลี เหตุใดกลายเป็นว่าเอาใจไม่ถูกจุดไปเสียได้
จีซิงโล่ววิ่งผ่านกู้เจี้ยนหลีไปแล้ว ยามนี้หันกลับมามองนางอย่างระแวดระวัง
กู้เจี้ยนหลีหันไปหาเด็กชายพลางยื่นมือออกไปจับไหล่เขาไว้ จีซิงโล่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงปล่อยให้นางดึงตนเองมาด้านหน้า กู้เจี้ยนหลีโน้มตัวลงช่วยจัดเสื้อผ้าที่ยับย่นกับกางเกงที่สวมเบี้ยวให้ จากนั้นค่อยสบตากับเด็กชายแล้วเอ่ยถาม
“เหตุใดต้องเอาจิ้งหรีดไปใส่ในโจ๊ก”
“ก็ข้าพอใจ!”
ป้าฟู่ที่อยู่ข้างๆ ส่งเสียงจิ๊จ๊ะก่อนอบรมเสียงห้วน “คุณชายหก ท่านจะพูดจากับมารดาเช่นนี้ไม่ได้ ช่างไม่รู้กฎเกณฑ์เอาเสียเลย!” จากนั้นนางค่อยกล่าวกับกู้เจี้ยนหลียิ้มๆ “ฮูหยินห้าอย่าได้โมโหบุตรนอกสมรสที่มารดาไม่สั่งสอนไปเลยนะเจ้าคะ ไม่คุ้มกัน”
จีซิงโล่วหันไปถลึงตาใส่ป้าฟู่อย่างดุร้าย กล่าวเสียงแข็งว่า “ครั้งหน้าข้าจะใส่ยาเบื่อหนูลงไปในโจ๊กของเจ้า!”
ทั้งที่เป็นเพียงเด็กสี่ขวบ ทว่ามองดูแววตาอาฆาตมาดร้ายของเขาแล้ว ป้าฟู่ยังคงตกใจจนสะดุ้งเฮือก
“ซิงโล่ว” กู้เจี้ยนหลียื่นมือไปหาจีซิงโล่ว ทว่าจู่ๆ เด็กชายกลับปัดมือนางออกอย่างแรงก่อนจะหันหลังวิ่งจากไปราวกับลูกวัวตัวหนึ่ง
หลินหมัวมัวชั่งใจอยู่เป็นนานกว่าจะตัดสินใจยอมขอความช่วยเหลือจากกู้เจี้ยนหลี นึกไม่ถึงว่ายามนี้กระทั่งกู้เจี้ยนหลีเจ้านายตัวน้อยก็ล่วงเกินแล้ว
นางรีบกล่าวว่า “คุณชายหกยังเด็ก เขาไม่รู้ความ ฮูหยินโปรดอย่าถือสา…” จากนั้นก็รีบตามจีซิงโล่วไปอย่างลนลาน
กู้เจี้ยนหลีมองหลังมือที่ถูกเด็กน้อยตีจนแดงแวบหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ให้สาวใช้สองคนนั้นถอยไปเสีย ไม่ต้องขวางเขา”
“นี่…” ป้าเจียงอึ้งงัน ทว่ายังคงทำตาม
ตอนนี้เองซ่งหมัวมัวจึงออกมาจากด้านใน เข้ามารับหน้ากู้เจี้ยนหลีด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินห้า เหตุใดจึงมาแต่เช้าเล่าเจ้าคะ เจ้านายในจวนกำลังกินอาหารเช้าร่วมกันที่ข้างใน เมื่อครู่ทุกคนยังพากันนึกห่วงอาการบาดเจ็บที่ขาของท่าน อยากจะไปเยี่ยมท่านกันหมด”
“ทุกคนช่างใส่ใจยิ่งนัก” กู้เจี้ยนหลีพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนให้จี้ซย่าเข็นนางเข้าไป
รถเข็นจอดลงที่หน้าธรณีประตู จากนั้นจี้ซย่าจึงประคองกู้เจี้ยนหลีเข้าไปในห้องโถง เหล่าสมาชิกสตรีล้วนหันมามองทางประตู ด้านฮูหยินผู้เฒ่ารีบสั่งสาวใช้ยกเก้าอี้มาให้กู้เจี้ยนหลี เอ่ยอย่างสนิทสนมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ดูสิ ขาเจ้าเหตุใดยังไม่หายอีก ข้าเห็นเจ้าเดินเช่นนี้แล้วปวดใจยิ่งนัก!”
กู้เจี้ยนหลีนั่งลงก่อนจะเอ่ยปากเสียงนุ่มนวล “ขายังบาดเจ็บอยู่ไม่สะดวกคารวะ ท่านอย่าได้ถือสาเลยนะเจ้าคะ”
“ไม่หรอกๆ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยตอบซ้ำๆ
ยามนี้ฮูหยินใหญ่ก็เอ่ยแทรกขึ้นมา “น้องสะใภ้ห้ากินอาหารเช้าแล้วหรือยัง หากยังก็ทันมากินกับพวกเราพอดี”
ฮูหยินสามเองก็กล่าวขึ้น “ใช่แล้ว อาหารของพวกเราเพิ่งจะยกมา ทุกคนยังไม่ได้แตะเลยแม้แต่น้อย”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ในเรือนเตรียมอาหารไว้แล้ว อีกครู่หนึ่งข้าจะกลับไปกินกับนายท่านห้า” กู้เจี้ยนหลีปฏิเสธเสียงนุ่มนวล เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าไม่ได้กลับมานานจนละเลยไม่ได้ดูแลซิงโล่ว ทำให้เขาก่อเรื่อง รบกวนทุกท่านแล้ว”
“เด็กคนนี้แต่ไหนแต่ไรก็ทำตัวเหลวไหลเช่นนี้อยู่แล้ว มิใช่ความผิดของน้องสะใภ้ห้าสักหน่อย!” ฮูหยินใหญ่กล่าว
“ใช่แล้ว” ฮูหยินสามเองก็เออออตาม
กู้เจี้ยนหลียิ้มน้อยๆ พลางตอบ “ทว่ายามนี้อย่างไรข้าก็เป็นมารดาของเขา หากวันหน้าเขาก่อเรื่องก่อกวนทุกท่านอีก ขอให้พวกท่านส่งสาวใช้มาแจ้งสักคำ ข้าจะทำโทษเขาให้ดีเอง” นางเว้นจังหวะครู่หนึ่งแล้วค่อยกล่าวต่อ “อย่างไรก็เป็นคุณชายคนหนึ่ง ถึงวัยที่รู้ความแล้ว จะให้มายืนถอดกางเกงตีก้นต่อหน้าบ่าวทั้งเรือนก็คงไม่งามนัก” แววตาอ่อนโยนของหญิงสาวมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งหลัก “แน่นอน ข้ารู้ว่าทุกท่านล้วนแต่หวังดีกับคุณชายหก ต้องการจะบ่มเพาะให้เขาเป็นเด็กเรียบร้อย”
บรรยากาศในห้องโถงพลันนิ่งค้าง ไม่มีผู้ใดคิดว่ากู้เจี้ยนหลีจะออกหน้าพูดแทนจีซิงโล่ว ในโลกนี้มีสตรีที่รักใคร่บุตรนอกสมรสของสามีที่เกิดตั้งแต่ก่อนตนเองตบแต่งเข้ามาด้วยหรือ ซ้ำยังเป็นบุตรที่น่ารังเกียจเช่นจีซิงโล่วอีก
ในใจทุกคนพากันขบคิด พวกเขาต่างคิดว่ากู้เจี้ยนหลีไม่ได้สนใจจีซิงโล่วอย่างแท้จริง เพียงใช้เรื่องของเด็กคนนั้นเป็นข้ออ้างหาเรื่องให้พวกเขาลำบากใจ!
ทว่าจะทำอย่างไรได้ ใครใช้ให้จวนก่วงผิงป๋อเคยผิดต่อสตรีผู้นี้เล่า แม้ทุกคนจะรู้สึกไม่พอใจ เบื้องหน้าก็ยังคงยิ้มแย้มเออออตาม
คนจิตใจต่ำช้าไหนเลยจะเชื่อว่าโลกนี้ยังมีคนใจงามหลงเหลือ
กู้เจี้ยนหลีคาดเดาความคิดของพวกเขาออก ทว่านางไม่ได้ใส่ใจจึงไม่คิดจะอธิบาย หลังเอ่ยแจกแจงชัดเจนเป็นที่เรียบร้อยนางก็ยันตัวลุกจากเก้าอี้ บนใบหน้าประดับยิ้มบางอย่างเหมาะสม
“นายท่านห้าคงจะตื่นแล้ว ข้าคงต้องกลับก่อน ไม่รบกวนทุกท่านกินอาหารเช้าแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้นมาส่งนางถึงประตูด้วยตนเอง คนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นตามเช่นกัน ยังมีบางคนที่ปากหวาน คอยกล่าวว่า “ช้าหน่อย” “ระวังด้วย” “จัดเสื้อดีๆ ระวังเป็นหวัด” “ครั้งหน้าออกมาข้างนอกสวมเสื้อผ้าหนาหน่อยจึงจะดี” ไม่หยุดหย่อน…
ฮูหยินรองมองแผ่นหลังกู้เจี้ยนหลีที่นั่งรถเข็นจากไป ในใจรู้สึกขมขื่นขึ้นมา นางไม่ได้ประคบประหงมอีกฝ่ายเช่นผู้อื่น เพียงยืนเงียบอยู่ด้านข้าง นางเอ่ยสิ่งใดไม่ออกทั้งสิ้น ทั้งเก้อกระดากทั้งเสียใจภายหลัง หากตอนแรกไม่เกิดเรื่องขึ้น กู้เจี้ยนหลีก็จะกลายเป็นลูกสะใภ้ของนางในเวลาอันรวดเร็วแล้ว ทว่ายามนี้ไม่เพียงไม่ใช่ลูกสะใภ้ ยังกลายเป็นสะใภ้ในรุ่นเดียวกัน ซ้ำยังถึงขั้นนับได้ว่าผูกปมแค้นต่อกันไว้ด้วย ที่ทำให้รู้สึกปวดใจยิ่งกว่าคือกระทั่งบุตรชายก็ยังขุ่นเคืองนาง
จะโทษใครได้เล่า
ฮูหยินรองถอนใจแรงๆ คราหนึ่ง ในใจคร่ำครวญไม่หยุด นางเองก็ทำผิดอย่างไม่มีทางเลือกเช่นกัน! ยามนั้นเปลี่ยนแปลงราชโองการเป็นความต้องการของในวัง นางจะกล้าขัดประสงค์ของโอรสสวรรค์ได้อย่างไร
จีซิงโล่ววิ่งหนีจากมาเต็มแรง พอถอดรองเท้าได้ก็กระโจนขึ้นเตียงทันที
จีซิงหลันที่นั่งเล่นอยู่กับพื้นรีบปล่อยโส่วจวี* สีสันสดใสในมือแล้วลุกขึ้นวิ่งเหยาะๆ มาที่เตียงก่อนดึงชายเสื้อจีซิงโล่วเอาไว้ เอ่ยเรียกเสียงอ้อแอ้
“พี่ชาย ท่านถูกตีอีกแล้วหรือ เจ็บหรือไม่”
“ไม่เจ็บ!” จีซิงโล่วตอบเสียงห้วน
จีซิงหลันเอียงศีรษะน้อยๆ พูดอย่างทึ่มทื่อว่า “สรุปแล้วถูกตีหรือไม่ ถ้าถูกตีแล้วเหตุใดถึงไม่เจ็บล่ะ”
หลินหมัวมัวที่เพิ่งตามมาถึงรีบเข้าไปจะถอดกางเกงของจีซิงโล่ว ปากก็พร่ำพูดไม่หยุด “โธ่เอ๊ย บ่าวมองจากไกลๆ ก็เห็นแล้วว่าถูกตีจนบวม รีบถอดกางเกงให้บ่าวดูนะเจ้าคะ ทายาสักหน่อยจะได้ดีขึ้น…”
จีซิงหลันที่อยู่ด้านข้างร้องอย่างตกใจ “พี่ชาย ท่านถูกตีก้นมาหรือ”
จีซิงโล่วทะลึ่งตัวลุกพรวด เขายืนอยู่บนเตียง ชี้นิ้วใส่หลินหมัวมัวพลางตวาด “เจ้าออกไปเลยนะ!”
หลินหมัวมัวรู้นิสัยเด็กคนนี้ดีจึงรีบกล่าว “เจ้าค่ะๆๆ บ่าวจะไปหายามาทาให้ อีกครู่หนึ่งจะกลับมา”
พอหลินหมัวมัวจากไปแล้ว จีซิงหลันที่ยืนอยู่ข้างเตียงค่อยเงยหน้าขึ้นพลางจับมือน้อยของพี่ชายแกว่งไปมา “พี่ชาย ให้ข้าดูหน่อยสิ”
จีซิงโล่วปัดมือนางทิ้งด้วยความรำคาญ ทำให้จีซิงหลันล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
จีซิงโล่วมองนางแวบหนึ่งก่อนก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ทว่าสุดท้ายก็ฝืนหันกลับ ปล่อยให้จีซิงหลันลุกขึ้นตบๆ ก้นตนเองแล้วกลับมาดึงกางเกงของเขาเพื่อปีนขึ้นเตียง จากนั้นนางก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วถอนหายใจแรงๆ ขมวดคิ้วน้อยๆ พลางเอ่ยเสียงค่อย
“พี่ชาย ไม่มีคนอื่นแล้ว ถ้าเจ็บก็ร้องออกมาได้!”
จีซิงโล่วลอบมองนางอีกแวบก่อนแค่นเสียงหึ จากนั้นก็ไม่สนใจนางอีก
จีซิงหลันเตี้ยกว่าจีซิงโล่วครึ่งศีรษะ นางเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นสองแขนออกมากอดพี่ชายไว้ก่อนใช้มือน้อยๆ ลูบหลังเขาพลางปลอบ
“พี่ชายไม่เจ็บนะ!”
“เจ็บ!” จู่ๆ จีซิงโล่วก็ส่งเสียงออกมาก่อนจะร้อง “โฮ”
ทว่าเพียงหลุดร้องออกมาคราเดียวก็กลั้นเสียงแล้วกอดน้องสาวไว้ ออกแรงมุดหน้าเช็ดน้ำตากับไหล่นางในทันที
“แล้วจะทำอย่างไร” จีซิงหลันเบะปาก เริ่มอยากร้องไห้แล้วเหมือนกัน
“ทำไม่เคยได้…เลียนแบบไม่เหมือนเลย…ฮือๆๆ…” จีซิงโล่วร้องไห้พลางงึมงำคำพูดที่ชวนให้จับต้นชนปลายไม่ถูกในลำคออยู่เช่นนั้น
กู้เจี้ยนหลีที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงร้องไห้ของจีซิงโล่วก็ค่อยๆ มุ่นคิ้ว จีซิงโล่วเลียนแบบอะไรอยู่กัน
ในตอนนี้เองฉางเซิงรีบวิ่งเข้ามาเรียกนาง “ฮูหยิน นายท่านเรียกหาท่านอยู่ขอรับ!”
ด้านกู้เจี้ยนหลีพลันกระจ่างแจ้ง ดูท่าที่นางคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้จะไม่ผิด จีซิงโล่วกำลังเลียนแบบจีอู๋จิ้งจริงๆ!
ทุกอย่างที่เด็กชายทำล้วนเป็นการเลียนแบบจีอู๋จิ้งเพื่อแสดงว่าตนเองเป็นบุตรของเขา และเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
บทที่ 78
กู้เจี้ยนหลีไม่ทันส่งสัญญาณให้ฉางเซิงเงียบเสียง ถึงขั้นยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรด้วยซ้ำ จีซิงโล่วก็วิ่งออกจากห้องมาหยุดตรงหน้านางรวดเร็วราวกับลมกรด จากนั้นก็ชี้หน้านางด้วยท่าทางดุดันพลางตวาดกร้าว
“ท่านแอบฟัง!”
กู้เจี้ยนหลีมองตอบจีซิงโล่วนิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตอนที่ท่านพ่อเจ้าดุคนเขาจะกระทำทั้งรอยยิ้ม แต่ไหนแต่ไรไม่เคยตวาดเสียงดัง”
จีซิงโล่วนิ่งงันไปทั้งอย่างนั้น
เห็นสีหน้ามึนงงของเด็กชาย กู้เจี้ยนหลีก็รู้แล้วว่าตนเองเดาไม่ผิด
จีซิงหลันวิ่งตามมาด้านหลัง ทว่าวิ่งมาถึงประตูกลับไม่ทันระวังสะดุดธรณีประตูเข้าจึงต้องตะเกียกตะกายลุกขึ้นก่อนออกวิ่งต่อ
กู้เจี้ยนหลีจูงนางให้มายืนข้างๆ ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วปัดๆ ฝุ่นตรงก้นให้ก่อนกล่าวขึ้นเสียงนุ่ม “ครั้งหน้าเวลาหลันหลันวิ่งจะต้องระวังหน่อยนะ”
จากนั้นนางก็ลูบหน้าผากของจีซิงหลันเล็กน้อยก่อนให้จี้ซย่าไปเอาเสื้อบุนวมตัวน้อยมาแล้วสวมให้เด็กหญิงด้วยตนเอง
“หลายวันมานี้หลันหลันไม่สบาย อยู่ในห้องให้มากหน่อยจะดีกว่า เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
“อื้มๆ! เข้าใจแล้ว หลันหลันเป็นเด็กดี หลันหลันเชื่อฟังมาก!” จีซิงหลันกอดแขนกู้เจี้ยนหลีพลางยกยิ้มจนตาโค้ง
ด้านหลินหมัวมัวพอหายาแก้ฟกช้ำเจอแล้วก็รีบกลับมา เมื่อเห็นว่ากู้เจี้ยนหลีอยู่ที่นี่ก็รีบออกหน้าแทนจีซิงโล่วอีกครั้ง
“ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายหกพูดอะไรไม่รู้จักหนักเบามิใช่ไม่เคารพท่าน ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจ จริงๆ คุณชายหกชอบท่านมากนะเจ้าคะ ระยะนี้ที่ท่านไม่อยู่เขายังคิดถึงท่านด้วย”
“เหตุใดถึงพูดมากเพียงนี้!” จีซิงโล่ววิ่งไปผลักหลินหมัวมัวทีหนึ่ง
จีซิงหลันวิ่งไปดึงพี่ชายไว้พลางเอ่ย “พี่ชายๆ! อย่าผลักหมัวมัว อย่าโกรธท่านแม่นะ!”
นางกอดเอวพี่ชายไว้จากข้างหลัง ศีรษะน้อยๆ ซบลงบนหลังเขา
กู้เจี้ยนหลีมองดูจีซิงหลันอย่างติดจะประหลาดใจ นี่นับเป็นครั้งแรกที่แม่หนูน้อยเรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ อย่างจริงจัง ถึงแม้จะไม่ได้เรียกระหว่างที่สนทนากับนางโดยตรงก็เถอะ
กู้เจี้ยนหลีกล่าวกับจีซิงโล่วว่า “ซิงโล่ว ไข้หวัดของน้องสาวเจ้ายังไม่หายดี ยามเช้าเช่นนี้อากาศหนาวมาก หากนางอยู่ด้านนอกต่ออีกจะป่วยหนักกว่าเดิม ยังไม่พาน้องสาวเข้าห้องไปอีกหรือ”
จีซิงโล่วลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็บ่นว่า “ยุ่งยาก” คำหนึ่งแล้วหันกลับไปจูงมือน้อยๆ ของน้องสาวพาเข้าห้อง เพราะก้าวเท้ายาวมากจึงทำให้จีซิงหลันที่จูงมือไว้เดินตุปัดตุเป๋ไปมา
กู้เจี้ยนหลีให้จี้ซย่าประคองตนเองเดินตามเข้าไป ในห้องปูพรมขนกระต่ายสีขาวราวกับหิมะ ด้านบนวางของเล่นเด็กหลากสีสันไว้ระเกะระกะ จีซิงโล่วปีนขึ้นเตียงแล้วคลุมโปงถึงศีรษะโดยมีจีซิงหลันยืนอยู่ข้างเตียงด้วยความงุนงง
“หลินหมัวมัว เอายามาให้ข้าเถิด” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยขึ้น
หลินหมัวมัวมองกู้เจี้ยนหลีอย่างประหลาดใจแวบหนึ่งแล้วค่อยส่งยาแก้ฟกช้ำให้ กู้เจี้ยนหลีนั่งลงริมเตียงก่อนจะตบหลังจีซิงโล่วเบาๆ พลางกล่าว
“ตอนนี้อากาศหนาว ถ้าไม่ทายาแก้ฟกช้ำสักหน่อยจะบวมเอาได้นะ”
จีซิงโล่วที่คลุมโปงอยู่ร้องหึออกมาอย่างไม่เป็นมิตรนัก “ท่านหลอกเด็ก! ข้าไม่ได้เพิ่งถูกตีในหน้าหนาวครั้งแรก ตอนที่หนาวกว่านี้ถูกตียังไม่เป็นไร ผ่านไปก็หายดีแล้ว!”
กู้เจี้ยนหลีเผยอปากน้อยๆ รู้สึกปวดใจขึ้นมาโดยพลัน
จีซิงโล่วเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง เพียงสี่ขวบก็ถูกตีมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จริงอยู่ที่เด็กคนนี้เจ้าอารมณ์ พูดจาไม่น่าฟัง ซ้ำยังดื้อรั้นจนทำให้ผู้อื่นปวดหัว ทว่าเขาไม่ได้ผิดอะไร ที่ผิดคือคนที่ควรสั่งสอนไม่ได้สั่งสอนเขาเท่านั้น
ในใจกู้เจี้ยนหลีกระจ่างแจ้ง หากจีซิงโล่วเป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกของจีอู๋จิ้ง คนในจวนย่อมไม่มีทางกล้าแตะต้องเขาถึงขั้นที่เป็นอยู่ แต่เพราะความไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยของจีอู๋จิ้ง หรือกล่าวอีกอย่างคือเพราะคนเป็นบิดาปล่อยเลยตามเลย ผู้อื่นจึงดูถูก เหยียดหยาม และรังแกเขา เด็กคนนี้ถึงต้องใช้วิธีที่โง่งมของตนเองเพื่อให้ได้รับความสำคัญจากผู้อื่น
บุตรนอกสมรสช่างเป็นฐานะที่อ่อนไหวนัก
กู้เจี้ยนหลีหันไปมองทางจีซิงหลันที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ
จีซิงหลันเห็นอีกฝ่ายมองมาก็ฉีกยิ้มสดใส เอ่ยอย่างรู้ความทันที “ท่านอย่าโกรธนะ ไม่โกรธพี่ชายได้หรือไม่”
กู้เจี้ยนหลีรู้สึกปวดใจยิ่งกว่าเดิม จีซิงหลันอายุยังน้อย เรื่องมากมายยังไม่เข้าใจ รอจนนางโตขึ้นสักหน่อยจึงจะรู้ว่าฐานะบุตรนอกสมรสนี้จะสร้างความลำบากให้กับตนเองเท่าไร
จู่ๆ กู้เจี้ยนหลีก็นึกเรื่องหนึ่งที่ตนเองละเลยมาตลอดขึ้นได้…หากจีอู๋จิ้งไม่อยู่แล้ว นางย่อมต้องจากจวนก่วงผิงป๋อไป ถึงเวลานั้นเด็กสองคนนี้จะทำอย่างไร นางไม่มีสิทธิ์พาพวกเขาไปจากที่นี่สักหน่อย
นางอดไม่ได้ที่จะนึกกล่าวโทษบิดาที่ไม่ยอมทำหน้าที่เช่นจีอู๋จิ้ง ในความเป็นจริงแล้วไม่ควรมีสิ่งที่เรียกว่าบุตรนอกสมรสเกิดขึ้นด้วยซ้ำ หากจีอู๋จิ้งชอบพอมารดาของเด็กสองคนนี้จริงๆ รับเข้าเรือนมาให้เด็กทั้งสองเป็นบุตรอนุก็ยังดีกว่าปล่อยให้เป็นบุตรนอกสมรสเช่นนี้มากนัก ทว่ากู้เจี้ยนหลีไม่กระจ่างแจ้งเรื่องจีอู๋จิ้งกับมารดาผู้ให้กำเนิดเด็กทั้งสองนัก ซ้ำยังไม่กล้าคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ต่อให้ไม่คิดเรื่องนี้ชั่วคราว จีอู๋จิ้งก็ไม่ควรไม่สนใจไม่ไถ่ถามเรื่องเด็กสองคนนี้แม้แต่น้อยกระมัง
“เหตุใดท่านถึงร้องไห้ล่ะ!” จีซิงหลันมองดูกู้เจี้ยนหลีอย่างตื่นตระหนก รีบใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบจีซิงโล่วที่อยู่ในโปงผ้าห่มแรงๆ พลางว่าอย่างร้อนรน “ท่านทำท่านแม่โกรธจนร้องไห้แล้ว!”
จีซิงโล่วที่อยู่ในผ้าห่มตัวแข็งค้าง จากนั้นก็แง้มผ้าห่มมุมหนึ่งออกลอบมองกู้เจี้ยนหลี เห็นนางตาแดงจริงๆ ก็เบ้ปาก พูดขึ้นเสียงเบา
“พวกสตรีขี้แยกันทั้งนั้น!”
“ไม่ใช่นะ ไม่ได้ร้องไห้” กู้เจี้ยนหลีโน้มตัวลงกอดจีซิงหลันที่ตัวนุ่มนิ่มและหอมเล็กน้อย จากนั้นนางก็หันไปถามฉางเซิงที่อยู่ตรงประตูว่า “นายท่านห้าเรียกหาข้าด้วยเหตุใดหรือ”
“ไม่ทราบขอรับ นายท่านเพียงแต่ให้มาเรียกท่าน”
กู้เจี้ยนหลีคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “เจ้าไปเรียนนายท่านห้าให้ทีว่าข้าอยู่กับซิงโล่วซิงหลันที่นี่ ให้เขาตามมา ซิงหลันโดนลมมากไม่ได้ วันนี้ไม่ไปเรือนหน้าแล้ว มาจัดสำรับอาหารเช้าที่นี่แทน”
ฉางเซิงเพิ่งจะจากไป จีซิงโล่วก็จับจ้องมาทางกู้เจี้ยนหลีด้วยความระแวดระวังพลางแค่นเสียงหึ “ท่านคิดจะเอาท่านพ่อมาขู่ข้าอีกแล้ว!”
กู้เจี้ยนหลีแกว่งขวดยาน้อยๆ ในมือพลางถาม “อีกสักครู่บิดาพวกเจ้าจะมากินอาหารด้วย หากเจ้าเจ็บจนนั่งไม่ได้จะทำอย่างไร”
“อย่างไรก็ไม่ต้องให้ท่าน…” จีซิงโล่วพึมพำ
กู้เจี้ยนหลีเองก็หาได้ดึงดัน เพียงส่งขวดยาให้หลินหมัวมัว “จัดการเถิด” จากนั้นนางจึงลูบใบหน้านุ่มนิ่มของจีซิงหลันพลางกล่าว “จับตาดูพี่ชายด้วยล่ะ”
“อื้ม!” จีซิงหลันพยักหน้าโดยแรง
กู้เจี้ยนหลีไปนั่งลงข้างโต๊ะโดยมีจี้ซย่าช่วยประคอง ระหว่างรอจี้ซย่ายกสำรับอาหารเข้ามานางก้มลงหยิบโส่วจวีสีสันสดใสขึ้นแกว่งไปมา ก่อนหน้านี้นางชอบเล่นเจ้าสิ่งนี้มาก ทั้งยังชอบทำเอง ในห้องนอนมีวางไว้อยู่หลายลูกทีเดียว
ตอนที่จีอู๋จิ้งมาถึง จีซิงโล่วกำลังใส่กางเกงหลังจากทายาแก้ฟกช้ำเรียบร้อยแล้ว
จีอู๋จิ้งมองเด็กน้อยแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินมานั่งลงตรงข้ามกู้เจี้ยนหลี เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “เช้าเพียงนี้เจ้าไปที่ใดมา”
“ซิงโล่วมีเรื่อง ข้าไปรับเขากลับมา”
จีอู๋จิ้งเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “เจ้าไม่ไปรับ เขาก็วิ่งกลับมาเองได้”
กู้เจี้ยนหลีไม่ชอบท่าทางไม่ใส่ใจที่เขามีต่อบุตรชายตนเอง ทว่าตอนที่นางกำลังจะเอ่ยปากจี้ซย่าก็ยกอาหารเช้าเข้ามา กู้เจี้ยนหลีจึงได้แต่อดกลั้นไว้ก่อน รอกินอาหารเรียบร้อยแล้วค่อยว่ากัน
นางมองไปทางจีซิงโล่วที่ค่อยๆ ปีนขึ้นนั่งอย่างระมัดระวัง ก้นเพิ่งแตะโดนเก้าอี้ก็ตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย ทั้งที่เจ็บมากแต่ก็ทำเป็นว่าไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด อีกทางหนึ่งจีซิงหลันก็ไอออกมายกใหญ่ กู้เจี้ยนหลีจึงรีบหันไปช่วยตบหลังให้เด็กหญิงเบาๆ
จีอู๋จิ้งกินโจ๊กปลาอย่างเชื่องช้าพลางมองดูกู้เจี้ยนหลีด้วยความรู้สึกแปลกพิกลแวบหนึ่ง ทว่าตอนที่กู้เจี้ยนหลีช้อนตาขึ้นมอง เขาก็กลับไปก้มลงกินโจ๊กปลาต่อแล้ว
กินไปกินมาท่าทางของกู้เจี้ยนหลีก็ค่อยๆ เชื่องช้าลงอย่างห้ามไม่อยู่ นี่เป็นเพราะจู่ๆ นางก็นึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับจีซิงโล่วและจีซิงหลันขึ้นมาได้ ในบรรดาข่าวลือเหล่านั้นส่วนใหญ่ว่ากันว่าเด็กสองคนนี้เป็นบุตรนอกสมรสของจีอู๋จิ้ง ทว่าก็มีบางส่วนที่ลือกันว่าเป็นลูกชู้
มือของนางพลันสั่นจนทำช้อนร่วงลงในชามเกิดเสียงดังกังวาน นางลนลานรีบคว้าช้อนที่ร่วงลงไปในน้ำแกงทว่าปลายนิ้วกลับถูกลวกเข้า
จีอู๋จิ้งโน้มตัวมาคว้าข้อมือกู้เจี้ยนหลีไว้แล้วใช้ผ้าเช็ดน้ำแกงบนมือนาง ก่อนจะหยิบช้อนที่เตรียมไว้สำรองบนโต๊ะยัดใส่มือนาง จากนั้นก็กลับไปจดจ่อกับการกินโจ๊กปลาต่อโดยปราศจากวาจาใด
กู้เจี้ยนหลีช้อนตามองท่าทางเชื่องช้ายามกินโจ๊กปลาของจีอู๋จิ้งอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะมองอยู่เนิ่นนาน ทันใดนั้นก็ยืนกรานปฏิเสธข่าวลือที่ตนได้ยินมาในใจอย่างหนักแน่น
ไม่มีทาง
ซิงโล่วกับซิงหลันไม่มีทางเป็นลูกชู้ คนหยิ่งทะนงเช่นจีอู๋จิ้งไม่มีทางกระทำเรื่องเช่นนี้แน่
ตอนนี้เองจู่ๆ จีซิงหลันก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก มือน้อยๆ ของนางยกขึ้นเท้าคาง เอียงศีรษะมองไปทางกู้เจี้ยนหลีแล้วเอ่ยยิ้มๆ ด้วยความเบิกบาน
“โอ้โห ท่านแม่ชอบท่านพ่อมากเลยนะนี่!”
“อะไรนะ” กู้เจี้ยนหลีนิ่งอึ้ง มองไปทางแม่หนูน้อยอย่างตะลึงงัน
จีซิงหลันยกยิ้มจนตาโค้ง “ท่านแม่มองท่านพ่อนานมากเลย!”
“เจ้า…เจ้าอย่าพูดเหลวไหล” ชั่วขณะนั้นกู้เจี้ยนหลีไม่รู้จะว่ากล่าวเด็กน้อยที่พูดอะไรไม่คิดอย่างไรดี เพียงหันมองไปทางจีอู๋จิ้งอย่างรวดเร็วแวบหนึ่งแล้วถอนสายตากลับ
จีอู๋จิ้งยกมุมปากเล็กน้อยจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น จากนั้นก็อุ้มจีซิงหลันขึ้นจากเก้าอี้มานั่งตักตนเองพลางถามอย่างเกียจคร้าน
“ซิงหลันอยากกินอะไร”
จีอู๋จิ้งมีท่าทีสนิทสนมกับเด็กน้อยอย่างหาได้ยาก ถูกบิดากอดไว้เช่นนี้ จีซิงหลันรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก นางเอ่ยตอบเสียงอ้อแอ้
“หลันหลันกินเองได้!”
“อืม” จีอู๋จิ้งรับคำ จากนั้นก็ขยับจานชามใบน้อยของเด็กหญิงมาวางตรงหน้าให้นางนั่งกินอาหารบนตักตนเอง
กู้เจี้ยนหลีมองดูจีซิงโล่วที่ถูกเมินแวบหนึ่ง เห็นเขาก้มหน้าก้มตากินด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ด้วยเหตุนั้นหลังจากกินอาหารเช้ากู้เจี้ยนหลีที่ต้องการให้พ่อลูกคู่นี้บ่มเพาะสายสัมพันธ์จึงเสนอให้จีซิงโล่วท่องกลอนให้จีอู๋จิ้งฟัง ส่วนตนเองกอดจีซิงหลันนั่งเล่นโส่วจวีอยู่บนพรมขนกระต่ายนุ่มนิ่ม
น้ำแกงในสำรับอาหารเช้ารสชาติเลี่ยนอยู่บ้าง ยามนี้กู้เจี้ยนหลีจึงอยากกินลูกกวาดขึ้นมา นางโยนโส่วจวีขึ้นสูงก่อนรับไว้แล้วเอ่ยถามจีซิงหลัน
“หลันหลันอยากกินลูกกวาดหรือไม่”
“อื้มๆ!”
จีซิงหลันพยักหน้ารับตามที่กู้เจี้ยนหลีหวังไว้ นางจึงสั่งให้จี้ซย่าไปเอาลูกกวาดสองสามกล่องที่เก็บไว้ออกมาวางเรียงลงบนพรมขนกระต่ายตามลำดับ
ตอนที่กู้เจี้ยนหลีได้เอาลูกกวาดใส่ปากสมใจ ไม่รู้นางคิดไปเองหรือไม่ แต่คล้ายจะเห็นจีอู๋จิ้งยกยิ้มอย่างมีเลศนัยเล็กน้อย
“หยุดท่องได้แล้ว ข้าลืมไปแล้ว จำไม่ได้หรอกว่าเจ้าท่องถูกหรือไม่ ไปเล่นกับน้องสาวไป” จีอู๋จิ้งเอ่ย
ประกายผิดหวังพาดผ่านในดวงตาของจีซิงโล่วแวบหนึ่ง ทว่ายังคงขยับไปนั่งกินลูกกวาดกับจีซิงหลันอย่างเชื่อฟัง
“พี่ชายกิน!” จีซิงหลันยัดลูกกวาดเม็ดหนึ่งใส่ปากพี่ชาย
จีอู๋จิ้งมานั่งขัดสมาธิลงอย่างเกียจคร้านพลางค้นดูลูกกวาดแต่ละกล่องอย่างสนอกสนใจ
“ลูกกวาดที่อยู่ในมือท่านอร่อยที่สุดแล้ว” กู้เจี้ยนหลีกล่าวขึ้น
นั่นเป็นลูกกวาดถั่วดำเม็ดสุดท้าย กู้เจี้ยนหลีกำลังจะหยิบ ทว่าถูกจีอู๋จิ้งตัดหน้าไปเสียก่อน
จีอู๋จิ้งเหลือบมองนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็ป้อนลูกกวาดเม็ดนั้นใส่ปากนางอย่างเป็นธรรมชาติ
เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยที่รีบร้อนมาถึงเห็นฉากนี้เข้าพอดี นางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงชาติก่อน จีอู๋จิ้งซื้อร้านลูกกวาดกับผู้มีฝีมือในการทำลูกกวาดทั้งเมืองหย่งอันมาสร้างถนนลูกกวาดสายหนึ่ง ให้ผู้มีฝีมือเหล่านั้นรังสรรค์ลูกกวาดไม่ซ้ำกันในแต่ละวันเพื่อส่งมาให้กู้เจี้ยนหลี
นับจากวันนั้นทั่วทั้งเมืองหลวงก็ไม่มีผู้ใดได้กินลูกกวาดอีก
บทที่ 79
หลังจากกลับมาเกิดใหม่เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยมักไม่กล้าคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อน เพียงแค่นึกถึงเรื่องดีๆ ที่จีอู๋จิ้งทำให้กู้เจี้ยนหลี ในใจก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด
นางเกลียดตนเองที่ถอนหมั้น รู้สึกเสียใจจนไส้ดำคล้ำไปหมดแล้ว ผู้คนมากมายมักหาข้ออ้างให้ตนเองตามความเคยชิน เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยไม่กล้าพอที่จะโกรธเกลียดตนเองถึงที่สุดจึงหันไปเกลียดบิดามารดาที่ไม่ห้ามยามนางถอนหมั้น เกลียดคนต่ำช้าอย่างอดีตสามีที่จงใจอาจเอื้อมเกี่ยวดอง ซ้ำยังถึงขั้นเกลียดหลัวมู่เกอสหายสนิทในวันวานจนกัดฟันกรอด
ในตอนแรกหลัวมู่เกอบอกนางว่าจีอู๋จิ้งอุ้มลูกชู้กลับมาสองคนทำเอานางกลัวจนไม่กล้าตบแต่งให้เขา ยามนี้ค่อยนึกขึ้นได้ว่าจีอู๋จิ้งจะมีลูกชู้หรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ขอเพียงได้ครองตำแหน่งภรรยาของกั๋วฟู่ เขาจะสำเริงสำราญอยู่ด้านนอกเช่นไรก็ได้ทั้งนั้น จะฉุดคร่าสตรีก็ช่างเถิด อย่างไรคนที่ถูกฉุดก็ไม่ใช่นาง หากเห็นลูกชู้คู่นั้นขัดหูขัดตาก็คิดวิธีฆ่าทิ้งให้สิ้นเรื่องเสีย
พอนึกถึงหลัวมู่เกอ เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยก็โกรธจนหายใจแทบไม่ออก ความสุขทั้งชีวิตนางถูกหลัวมู่เกอทำลายสิ้นไม่เป็นชิ้นดี! ดังคำกล่าวที่ว่าเตือนให้คืนดีดีกว่ายุยงให้เลิกรา ยอมพังศาลเจ้าสิบแห่งดีกว่าทำลายงานแต่งหนึ่งงานหลัวมู่เกอผู้นี้เป็นทั้งสหายสนิทของนางและศิษย์น้องของจีอู๋จิ้ง เหตุใดจึงจงใจพูดเรื่องไม่ดีของจีอู๋จิ้งต่อหน้านาง ต่อให้เป็นความจริงก็ควรจะปกปิดไว้สิจึงจะถูก!
“ท่านป้าอวิ๋นเยวี่ย!” จีซิงหลันเรียกพลางลุกขึ้นยืน
เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยพลันได้สติกลับมา นางรีบวาดยิ้มพลางก้าวเข้าไป ทว่าขณะจะข้ามผ่านธรณีประตูก็มองไปทางจีอู๋จิ้งคราหนึ่ง สุดท้ายจึงหดขากลับแล้วเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน
“นายท่านห้า ผู้บัญชาการเฉินแห่งสำนักประจิมมาเจ้าค่ะ”
จีอู๋จิ้งมุ่นคิ้วน้อยๆ เผยสีหน้ารำคาญออกมา ทว่าเขายังคงไปพบเฉินเหอที่เรือนหน้า
เฉินเหอยังไม่ได้นั่งลง เขายืนอยู่ข้างโต๊ะสามขาทรงสูง ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ตัวเสวี่ยถวนซึ่งอยู่บนโต๊ะด้วยท่าทางเกียจคร้าน ตอนที่จีอู๋จิ้งมาถึง เจ้าแมวน้อยพลันสะดุ้งตัวกระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของเฉินเหอทันที
“มีอะไร” จีอู๋จิ้งเอ่ยถามโดยไม่ได้เข้าไปหา เพียงยืนพิงอยู่กับกรอบประตู
เฉินเหอหันกลับมาพิจารณาจีอู๋จิ้งตั้งแต่หัวจรดเท้าหนึ่งคราก่อนเอ่ยขึ้น “สีหน้าของศิษย์พี่ดูดีขึ้นไม่น้อย”
“เจ้ามาจากสำนักประจิมเพียงเพื่อกล่าววาจาไร้สาระหรือ”
เฉินเหอส่ายหน้ายิ้มๆ พลางตอบ “วันนี้ข้าเป็นตัวแทนฝ่าบาทมาเยี่ยมเยียนศิษย์พี่เชียวนะ อีกทั้งยังนำยาและสมุนไพรล้ำค่าที่ฝ่าบาทพระราชทานมาด้วย มีทั้งโสม เห็ดหลิงจือ และบัวหิมะพันปี ฝ่าบาทยังตรัสอีกว่าหากขาดสิ่งใดในตำรับยาให้ไปขอจากสำนักหมอหลวงได้ทุกเมื่อ”
จีอู๋จิ้งยกยิ้ม “ยาของข้ามิใช่ว่าเมื่อก่อนก็ขอจากสำนักหมอหลวงหรือ พูดเหลวไหลอะไรกัน”
เฉินเหอรู้สึกจนใจอยู่บ้าง “ศิษย์พี่ นี่เรียกว่าตอบแทนน้ำใจซึ่งกันและกัน ยิ่งกว่านั้นยังเป็นพระกรุณาธิคุณ”
“ยังมีเรื่องอื่นอีก?”
เฉินเหอเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “ศิษย์น้องเช่นข้ารู้สึกประหลาดใจยิ่งนักที่นิสัยเช่นศิษย์พี่ยังไม่ถูกผู้อื่นตีตาย”
จีอู๋จิ้งแค่นหัวเราะ กล่าวตอบอย่างไม่ยี่หระว่า “เพราะไม่มีใครฆ่าข้าได้อย่างไรเล่า”
เฉินเหอวาจาติดขัด เงียบไปครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวต่อ “เวลานี้ฝ่าบาทต้องการกำลังคน”
“ข้าจับดาบไม่ไหวแล้ว” จีอู๋จิ้งเดินเข้ามานั่งลงเอนพิงเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ จากนั้นก็หยิบถ้วยชาที่วางคว่ำบนถาดรองออกมาวางตั้งบนโต๊ะ แล้วหมุนนิ้วให้ถ้วยชาหมุนตามเสียงดังขลุกๆๆ ท่าทีเกียจคร้านหยิบโหย่งอย่างยิ่ง
“พิษของศิษย์พี่…”
“ไร้ยาถอน รักษาไม่หาย”
“แต่ว่า…”
จีอู๋จิ้งชะงักมือ ถ้วยชาที่หมุนอยู่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกลิ้งตกลงบนพื้นแตกกระจายเสียงดังเพล้ง
“เจ้าจะให้ข้ากระอักเลือดให้ดู?” หางตาของจีอู๋จิ้งชี้ขึ้น แววเย็นชาในดวงตาจิ้งจอกฉายชัด
เสวี่ยถวนร้อง ‘เมี้ยว!’ ตกใจกลัวจนต้องมุดเข้าไปในข้อพับแขนของเฉินเหอ
“อย่ากลัว อย่ากลัว…” เฉินเหอรีบก้มมองมันพลางยกมือลูบหลังปลอบโยนอย่างนุ่มนวล รอจนเสวี่ยถวนสงบลงเขาค่อยเงยมองจีอู๋จิ้งอีกครั้งด้วยแววตาเฉยชา เอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่านทำมันกลัวแล้ว” จากนั้นเขาก็อุ้มมันจากไป
คราวนี้ทำให้จีอู๋จิ้งเป็นฝ่ายหมดคำจะพูดแทน เขามองแผ่นหลังของเฉินเหอที่กำลังจากไป รู้สึกโกรธจนแค่นหัวเราะ
จีอู๋จิ้งยื่นมือออกมา ลองออกแรงน้อยๆ บนฝ่ามือก็พลันปรากฏรอยสีดำราวกับน้ำวน ก่อนจะค่อยๆ เก็บมือกลับ เขารู้ดีว่าเป็นเพราะเรื่องคราวก่อนที่ถูกจางอีหลุนลอบสังหารแต่กลับพลิกมาสังหารอีกฝ่ายคืนลอยเข้าหูจีหลันเข้า อีกทั้งวันที่เขาเข้าวังไปรับกู้เจี้ยนหลีเองก็ได้แสดงฝีมือ ทำให้จีหลันคิดว่าเขายังคงสามารถรับใช้ต่อได้
“หูตาคับแคบจริงๆ” จีอู๋จิ้งเอ่ยอย่างเชื่องช้า
วรยุทธ์ที่เขาใช้ที่ผ่านมาเป็นเพียงสามสี่ส่วนของวรยุทธ์ที่แท้จริงเท่านั้น
กระบี่ของจีอู๋จิ้งว่องไวมาก ท่าทางยามตวัดกระบี่แล่เนื้อเถือหนังเป็นที่สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทุกแห่งหน แต่กลับไม่มีผู้ใดรู้ว่าอาวุธที่เขาถนัดมือที่สุดคือดาบ เขาถนัดใช้ดาบหนัก น่าเสียดายที่ในโลกนี้ไม่มีใครควรค่าให้เขาชักดาบออกมาอีกแล้ว
กู้เจี้ยนหลีเล่นเป็นเพื่อนจีซิงหลันกับจีซิงโล่วต่ออีกพักใหญ่ หลักๆ นางจะเล่นเป็นเพื่อนจีซิงหลันโดยมีจีซิงโล่วนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้ารำคาญ กู้เจี้ยนหลีสอนจีซิงหลันถักเชือกแบบใหม่หลายแบบ ซ้ำยังรับปากว่าครั้งหน้าจะสอนทำโส่วจวีที่งามกว่านี้ให้
ตอนนี้เองจี้ซย่าเดินเข้ามานั่งลงบนพรมขนกระต่ายข้างๆ กู้เจี้ยนหลีพลางกล่าวว่า “ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวเพิ่งได้ยินมาว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งฮองเฮาในเทศกาลกำเนิดบุปผาเจ้าค่ะ”
“เทศกาลกำเนิดบุปผา? เช่นนั้นก็อีกไม่กี่วันแล้ว” กู้เจี้ยนหลีส่งมือทั้งคู่ที่มีเชือกสีแดงพันรอบไปตรงหน้าจีซิงหลันเพื่อให้นางพันเล่น
“เจ้าค่ะ อีกไม่กี่วันแล้ว บ่าวได้ยินมาว่าเดิมทีฝ่าบาทต้องตาคุณหนูสกุลหลง”
“อวี๋จวิน?” กู้เจี้ยนหลีอึ้งไปครู่หนึ่ง หลงอวี๋จวินเป็นหลานสาวของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับแต่งตั้งจริงๆ ทว่ากู้เจี้ยนหลีรู้สึกว่าวังหลวงเปี่ยมด้วยอันตรายจึงไม่ต้องการให้หลงอวี๋จวินเข้าวังเท่าไร
ฝ่ายจี้ซย่ากล่าวยิ้มๆ ต่อว่า “ทว่าคุณหนูสกุลหลงได้หมั้นหมายแล้ว ว่าที่สามีมาจากสกุลอวี๋เจ้าค่ะ”
กู้เจี้ยนหลีคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พลันกระจ่าง หลงอวี๋จวินเองก็คงไม่ต้องการเข้าวังเช่นกัน ดังนั้นจึงรีบร้อนหมั้นหมายเพื่อให้พ้นจากคราวเคราะห์ ผ่านไปครู่ใหญ่นางค่อยพึมพำขึ้นเบาๆ
“เช่นนี้ก็ดี…เช่นนั้นจะแต่งตั้งผู้ใดเป็นฮองเฮา” กู้เจี้ยนหลีเพิ่งถามออกมา ในใจก็พอจะเดาคำตอบได้แล้ว
“ซุนอิ่นจู๋ น้องสาวของซุนอิ่นหลันอดีตคู่หมั้นเมื่อครั้งฝ่าบาทยังไม่ขึ้นครองบัลลังก์เจ้าค่ะ”
กู้เจี้ยนหลีพยักหน้าอย่างไม่ประหลาดใจนัก พี่น้องสกุลซุนเป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดีฝ่ายขวา ได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮาก็มิใช่เรื่องน่าแปลกใจ กู้เจี้ยนหลีเชื่อว่าที่ซุนอิ่นหลันจะได้ขึ้นเป็นฮองเฮาไม่ใช่เพราะนางเป็นน้องสาวของซุนอิ่นหลัน แต่เป็นเพราะนางคือบุตรสาวอัครเสนาบดีฝ่ายขวา
ก่อนหน้านี้กู้เจี้ยนหลีเคยข้องเกี่ยวกับซุนอิ่นหลันไม่มากแต่กลับเคยสนทนากับซุนอิ่นจู๋ในงานเลี้ยงอยู่บ้าง ซุนอิ่นจู๋มีนิสัยร่าเริง อายุเท่ากับกู้เจี้ยนหลี ซึ่งก็คือเพิ่งจะสิบห้าปีเท่านั้น
จีซิงหลันกะพริบตาปริบๆ เอียงศีรษะน้อยๆ ของตนเองขณะมองดูสีหน้ากู้เจี้ยนหลี จากนั้นก็ยกมือขึ้นแตะปากพลางหาวติดต่อกัน
“หลันหลันง่วงแล้วหรือ” กู้เจี้ยนหลีรีบเก็บงำอารมณ์พลางถามขึ้น
“อื้มๆ!” จีซิงหลันพยักหน้าแรงๆ “ข้าอยากนอนสักงีบแล้ว ครั้งหน้าท่านมาเล่นกับข้าอีกได้หรือไม่”
“ได้สิ หลันหลันนอนสักหน่อยนะ” กู้เจี้ยนหลีเก็บเชือกบนมือก่อนจะลุกขึ้นโดยมีจี้ซย่าคอยประคอง หลังจากมองดูจีซิงหลันมุดเข้าผ้าห่มไปแล้วก็ก้มลงมองจีซิงโล่วพลางกล่าว “ซิงโล่ว อย่ากวนตอนน้องสาวเข้านอนเล่า หากเจ้าง่วงก็นอนสักหน่อยเถิด”
“หึ ท่านไม่ต้องมายุ่ง!” จีซิงโล่วหันหน้าหนี
กู้เจี้ยนหลีรู้ว่าจีซิงโล่วเอาใจใส่จีซิงหลันมาก นางยิ้มน้อยๆ พลางลูบแก้มของเด็กชายก่อนให้จี้ซย่าประคองเดินจากไป
หลังจากประตูปิดลงจีซิงหลันก็ดึงผ้าห่มออกแล้วปีนลงจากเตียง เดินตุปัดตุเป๋มาจับมือพี่ชายไว้พลางเอ่ย “พี่ชายเล่นโส่วจวีเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
จีซิงโล่วตาโตด้วยความประหลาดใจก่อนถาม “เจ้าหลอกนาง?”
จีซิงหลันรีบยกมือน้อยๆ ปิดปากจีซิงโล่วแล้วตอบเสียงค่อยว่า “ผู้ใหญ่ล้วนไม่ชอบเล่นกับเด็ก เมื่อครู่ท่านแม่คิดเรื่องอื่นจนเหม่อลอยแล้ว! นางคงเบื่อมากแน่ๆ อืม…หลันหลันเลยมาเล่นกับพี่ชาย ให้ท่านแม่ไปทำสิ่งที่นางชอบแทน!”
จีซิงโล่วมองดูโส่วจวีสีสันสดใสที่น้องสาวยัดใส่มือแล้วขมวดคิ้ว อยากบอกยิ่งนักว่าตนเองก็ไม่ได้ชอบเล่นเจ้าสิ่งนี้…
กู้เจี้ยนหลีได้ยินว่าเฉินเหอจากไปแล้วจึงมาหาจีอู๋จิ้ง
“นายท่านห้า ซิงโล่วถูกตีแล้ว ถูกโบยต่อหน้าบ่าวตั้งมากมาย” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยร้องเรียน
“อ้อ” จีอู๋จิ้งรับคำอย่างสบายๆ
ท่าทางไม่ยี่หระของจีอู๋จิ้งทำให้กู้เจี้ยนหลีนึกฉุนอยู่บ้าง นางนั่งฮึดฮัดอยู่ข้างๆ โดยไม่ส่งเสียง หลุบตามองชายกระโปรงตนเองอยู่อย่างนั้น
ผ่านไปเนิ่นนานจีอู๋จิ้งจึงเหลือบตาขึ้นมองนางแวบหนึ่งแล้วค่อยกล่าวกับจี้ซย่า “เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมา”
จี้ซย่าแสดงความสามารถทางวาทศิลป์เต็มที่ ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาอย่างครบถ้วน กระทั่งคำพูดที่แต่ละคนเอ่ยขึ้น ทั้งสีหน้าและแววตาล้วนแสดงออกมาอย่างถึงพริกถึงขิง
“…จากนั้นพวกเราก็กลับมาเจ้าค่ะ”
จีอู๋จิ้งยกยิ้มพลางถามว่า “เจ้าชื่ออะไรนะ”
จี้ซย่านิ่งงัน นางลอบมองไปทางกู้เจี้ยนหลีเร็วๆ แวบหนึ่งก่อนตอบ “บ่าวมีนามว่าจี้ซย่าเจ้าค่ะ”
“หากไปแสดงในคณะกายกรรม เจ้าต้องหาเงินได้มากกว่าที่นายของเจ้ามอบให้แน่” จีอู๋จิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผู้อื่นไม่อาจคาดเดาอารมณ์
“ไม่กล้าเจ้าค่ะ…” จี้ซย่าหวาดกลัวจนตัวสั่นเทา รีบคุกเข่าก้มหน้านิ่ง
กู้เจี้ยนหลีลอบสังเกตสีหน้าของจีอู๋จิ้งแล้วกล่าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “จี้ซย่า เจ้าไปทำงานในครัวก่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ!” จี้ซย่าราวกับได้รับอภัยโทษใหญ่หลวง รีบร้อนลุกขึ้นค้อมเอวถอยออกไปทันที
“นายท่านห้า ซิงโล่ว…”
จู่ๆ จีอู๋จิ้งก็เอ่ยปากขึ้น “เข็นรถเข็นไปถึงธรณีประตูก็หยุดลง ประคองฮูหยินขึ้น ประคองฮูหยินเข้าไปในโถง ฮูหยินผู้เฒ่าจัดที่นั่งให้ ฮูหยินนั่งลง…”
คราแรกกู้เจี้ยนหลีฟังคำพูดจีอู๋จิ้งอย่างมึนงง ต่อมาจึงนึกออกว่าเขากำลังกล่าวสิ่งที่จี้ซย่ารายงานซ้ำอีกรอบ
“มีอะไรหรือ” กู้เจี้ยนหลีถามอย่างงุนงง
จังหวะนั้นฉางเซิงเดินเข้าประตูมาพอดี จีอู๋จิ้งจึงชี้นิ้วไปทางเขาพลางกล่าวขึ้นว่า “ไป ไปรื้อธรณีประตูทั้งหมดในจวนออกเดี๋ยวนี้”
“หา?” ฉางเซิงอึ้งงันไปชั่วขณะก่อนจะรีบหันกายเดินจากไป ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ขอเพียงเป็นคำสั่งของจีอู๋จิ้ง เขาทำตามก็พอแล้ว
“นายท่านห้า!” กู้เจี้ยนหลีผุดลุกขึ้น ทว่าเผลอวางเท้าซ้ายลงกับพื้นจึงเจ็บจนต้องสูดลมหายใจหนาวเหน็บ
เหตุการณ์นี้ทำให้ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนต่อจากนั้นกู้เจี้ยนหลีไม่กล้าหัดเดิน เอาแต่ค้ำไม้เท้าและใช้รถเข็นอยู่เช่นนั้น
อากาศฤดูวสันต์อบอุ่น บุปผาผลิบาน กู้เจี้ยนหลีนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองไปทางจีซิงหลันที่กำลังกระโดดโลดเต้นในลานเรือนด้วยสายตาอิจฉา
จีอู๋จิ้งที่ยืนอยู่ด้านหลังนางเอ่ยขึ้นว่า “หากเจ้ายังไม่หัดเดิน ระวังขาจะยาวไม่เท่ากัน”
“หมายความว่าอย่างไร” กู้เจี้ยนหลีหันไปมองเขา
“ขาเป๋อย่างไรเล่า”
กู้เจี้ยนหลีตะลึงงัน ตกใจจนหน้าซีด หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้นราวกับกำลังปลอบใจตนเอง “คงไม่หรอก…”
“ลุกขึ้น” จีอู๋จิ้งคว้าไหล่นางไว้แล้วดึงให้ลุกจากเก้าอี้
กู้เจี้ยนหลียืนอยู่ตรงหน้าเขา แทบจะลงน้ำหนักที่ขาขวาเพียงข้างเดียว
จีอู๋จิ้งถอยหลังพลางกล่าวว่า “เดินมานี่ ไม่อย่างนั้นจะตีก้น ถอดกางเกงแล้วค่อยตี”
กู้เจี้ยนหลีมุ่นคิ้ว นางลองก้าวขาซ้ายออกไปทว่ายังไม่กล้าเหยียบลงพื้นโดยแรงจึงหดกลับตามเดิม ก่อนจะมองจีอู๋จิ้งด้วยความหวาดระแวงแล้วกล่าวเสียงเบา
“รออีกหน่อยเถิด หากล้มจะทำอย่างไร”
“ล้มบ้างก็เป็นเรื่องปกติ” จีอู๋จิ้งตอบ
“ไม่ได้หรอก!” กู้เจี้ยนหลีรีบกล่าว “หากกระทบกระเทือนถึงครรภ์จะทำอย่างไร!”
“อะไรนะ” จีอู๋จิ้งอึ้งงัน
กู้เจี้ยนหลีใบหน้าแดงก่ำ “ระ…ระดูของข้าไม่มาสองเดือนแล้ว อาจจะท้อง…”
Comments
comments
No tags for this post.