บทที่ 3
ห้องของนายท่านห้าไม่เพียงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นยาแต่ยังมืดทึม คนทั่วทั้งจวนไม่มีใครยอมเฉียดกรายเข้าใกล้
ซ่งหมัวมัวเพียงเหลือบมองนายท่านห้าที่นอนอยู่บนเตียงแวบเดียวก็ถอนสายตากลับด้วยความหวาดกลัว จากนั้นลอบมองสำรวจกู้เจี้ยนหลีพลางรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ หากมิใช่เพราะเกิดเหตุไม่คาดฝัน สตรีวัยปักปิ่น ตรงหน้านี้ย่อมได้รับแต่งตั้งเป็นท่านหญิง ด้วยชาติตระกูล รูปโฉม และชื่อเสียงเช่นนั้น คนงามเฉิดฉันกลับต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ ช่างน่าเสียดายจริงๆ
ทว่าเรื่องเหล่านี้บ่าวไพร่เช่นนางจะออกปากอย่างไรได้ ที่ทำได้มีเพียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินห้าโปรดรอสักครู่ ประเดี๋ยวหลินหมัวมัวของเรือนนายท่านห้าจะมาปรนนิบัติท่าน ส่วนบ่าวต้องขอตัวกลับไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าก่อนแล้ว”
กู้เจี้ยนหลีเพิ่งรู้ยามนี้เองว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนของเรือนนายท่านห้า นางพยักหน้ารับเบาๆ “ลำบากหมัวมัวแล้ว”
ภายในห้องเงียบลงในที่สุด กู้เจี้ยนหลีได้ยินเพียงเสียงลมหายใจตนเอง นางเหลือบมองนิ้วมือของตนผ่านชายผ้าคลุมหน้า บริเวณที่เล็บเพิ่งฉีกไปมีรอยช้ำเลือดปรากฏให้เห็น
หญิงสาวนั่งรอไม่ขยับเขยื้อนเกือบหนึ่งชั่วยาม ทว่ากลับไม่มีผู้ใดเข้ามาปรนนิบัติ นางจึงยกนิ้วหัวแม่มือที่ได้แผลขึ้นดูดเบาๆ ใต้ผ้าคลุม ก่อนจะเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวด้วยตนเอง
สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือเทียนมงคลคู่หนึ่ง
ในห้องมืดยิ่ง ตรงบานหน้าต่างแขวนม่านหนาที่ทั้งกันลมและบดบังแสงสว่างเอาไว้
เสียง ‘เปรี๊ยะ’ ดังขึ้นอย่างชัดเจนท่ามกลางความเงียบ กู้เจี้ยนหลีหันมองตามเสียงไปทางกระถางไฟที่ตั้งห่างจากหัวเตียงไม่ไกลนัก ดวงตาคู่งามหยุดนิ่งครู่หนึ่งเป็นเชิงเตรียมใจก่อนเลื่อนสายตาไปทางบุรุษบนเตียงอย่างระแวดระวัง
จากนั้นดวงตาของกู้เจี้ยนหลีพลันปรากฏแววประหลาดใจ
ในใจนางรู้สึกกลัวอยู่บ้างจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม เพียงแค่เหลือบมองแวบเดียวก่อนรีบร้อนก้มหน้าหนี ทว่าเพียงแค่แวบหนึ่งนี้สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือคนตรงหน้าขาวมาก
มิใช่สามเศียรหกกรเช่นในฝัน ยิ่งมิได้มีกายมหึมาเช่นที่คิดภาพเอาไว้ ในทางกลับกันร่างกายของเขาผ่ายผอมอยู่บ้าง ทว่ารูปร่างกลับสูงไม่น้อย
กู้เจี้ยนหลีหลุบตา นึกย้อนไปถึงองคาพยพทั้งห้าของนายท่านห้าสกุลจีที่ผ่านตามาเพียงแวบเดียวนั้น นางเห็นไม่ชัดเจน จำได้เพียงว่าผิวของเขาขาวราวกับหิมะ
ก็จริง นายท่านห้าสกุลจีป่วยติดเตียงมาสี่ปีแล้ว ย่อมต้องร่างกายผ่ายผอมผิวขาวซีดเป็นธรรมดา
กู้เจี้ยนหลีเม้มปากเล็กน้อยก่อนช้อนนัยน์ตาสั่นไหวขึ้น มองไปทางนายท่านห้าสกุลจีอีกครั้งอย่างขลาดกลัว
ดวงตาของเขาปิดอยู่ รูปตาเรียวรี ใต้หางตาซ้ายมีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง ริมฝีปากที่ปิดสนิทคลับคล้ายคลับคลาจะวาดเป็นรอยยิ้ม
กู้เจี้ยนหลีถึงกับชะงัก เห็นได้ชัดว่ารูปโฉมของนายท่านห้าสกุลจีต่างจากที่นางนึกฝันเอาไว้มาก หญิงสาวจึงโน้มกายเข้าใกล้อีกเล็กน้อยเพื่อมองเครื่องหน้าของเขาอย่างละเอียด
ครู่หนึ่งจากนั้นกู้เจี้ยนหลีจึงส่ายศีรษะช้าๆ
รูปโฉมเช่นนี้ปรากฏอยู่บนใบหน้าบุรุษกลับดูงดงามเกินไปอยู่สักหน่อย
บุรุษควรจะมีรูปโฉมองอาจคมคายเช่นท่านพ่อสิจึงจะถูก
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นปอยผมที่เดิมเกล้าไว้ของนางพลันหลุดลงมาปัดผ่านสันจมูกของนายท่านห้าสกุลจี และตกลงตรงเบ้าตาของอีกฝ่ายพอดิบพอดี
กู้เจี้ยนหลีพลันตื่นตระหนก เผยอปากหลุดเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ ตอนนี้ค่อยรู้สึกตัวว่าตนเข้าใกล้ใบหน้าของเขามากเกินไป ถือว่าเสียมารยาทอย่างยิ่ง สองแก้มจึงขึ้นสีแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว
นางรีบขยับนั่งตัวตรง จัดผมที่ทำเรื่องน่าอายปอยนั้นให้เข้าทรงก่อนจะลอบเลื่อนสายตากลับไปมองคนบนเตียงอีกครั้ง พอเห็นว่าเขาเพียงนอนนิ่งไม่รับรู้สิ่งใดเช่นเดิมจึงค่อยยกมือขึ้นทาบอกพลางถอนหายใจเบาๆ
ตอนนั้นเองเสียงฝีเท้าที่ฟังดูรีบร้อนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กู้เจี้ยนหลีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายตัดสินใจไม่คลุมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวกลับไป เปิดเผยโฉมหน้านั่งรออยู่เช่นนั้น
ผู้มาใหม่เป็นสตรีใบหน้าเปื้อนยิ้มผู้หนึ่ง นางเอ่ยถ้อยคำมงคลอวยพรกู้เจี้ยนหลีเสียหลายประโยคก่อน แล้วจึงค่อยแนะนำตัวว่าเป็นแม่นมของคุณชายหกและคุณหนูสี่ เมื่อครู่กำลังกล่อมคุณหนูสี่เข้านอนจึงมาช้า
กู้เจี้ยนหลีฟังแล้วหรี่ตาลงรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง หลินหมัวมัวจึงรีบอธิบายต่อ “บ่าวลืมเรียนให้ฮูหยินทราบเสียได้ คุณชายหกกับคุณหนูสี่เป็นบุตรบุญธรรมของนายท่านห้าเจ้าค่ะ”
หญิงสาวพลันนึกขึ้นได้ทันทีว่านายท่านห้าผู้นี้มีบุตรบุญธรรมฝาแฝดชายหญิงอยู่คู่หนึ่ง ว่าไปแล้วเขายังเคยมีคู่หมั้นอีกด้วย สัญญาหมั้นหมายครั้งนั้นบิดามารดาเป็นผู้กำหนด ฝ่ายหญิงมาจากสกุลเยี่ย ต่อมาเพราะนายท่านห้าสกุลจีเริ่มฆ่าคนเป็นผักปลา ชื่อเสียงในเมืองหลวงย่ำแย่ลงทุกวัน คุณหนูสกุลเยี่ยจึงต้องการถอนหมั้นมาโดยตลอด สี่ปีก่อนคราวที่นายท่านห้าผู้นี้ออกไปปฏิบัติภารกิจแล้วถูกพิษจนป่วยเรื้อรัง เขาได้พาเด็กแฝดกลับมาคู่หนึ่ง คุณหนูสกุลเยี่ยยืนกรานเสียงแข็งว่าคนใจดำอำมหิตเช่นเขาไม่มีทางใจดีรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นบุตรบุญธรรม เด็กแฝดคู่นี้เห็นทีจะเป็นบุตรของเขากับหญิงอื่น เผลอๆ อาจเป็นบุตรที่เกิดจากการคบชู้ จะอย่างไรนางก็ไม่ยอมอ่อนข้อจนได้ถอนหมั้นไปในที่สุด จากนั้นร่างกายของนายท่านห้าสกุลจีก็ย่ำแย่ลงทุกวัน นอนติดเตียงจนถึงตอนนี้ก็สี่ปีแล้ว ไหนเลยจะมีเวลาหาสตรีมาหมั้นหมายตบแต่งอีก
ที่กู้เจี้ยนหลีรู้เรื่องนี้เป็นเพราะในปีนั้นคุณหนูสกุลเยี่ยโวยวายก่อเรื่องเสียใหญ่โต ตัวนางก็ได้ยินได้ฟังเรื่องราวจากปากสาวใช้ขณะกำลังอิงแอบอยู่กับตักพี่สาวนั่นเอง
“นายท่านห้าชอบอยู่เงียบๆ คนคอยปรนนิบัติในเรือนจึงมีไม่มากนัก ปกติล้วนเป็นฉางเซิงคอยรับใช้ใกล้ชิดนายท่านห้า ทว่ายามนี้ฮูหยินแต่งเข้ามาแล้ว เขาจึงไม่สะดวกเข้าออกเรือนใน ไว้พรุ่งนี้จะให้เขามาคารวะฮูหยินเจ้าคะ”
ใบหน้ากลมๆ ของหลินหมัวมัวผู้นี้แต้มรอยยิ้มอยู่ตลอด ชวนให้รู้สึกมีความสุขตาม สามเดือนมานี้กู้เจี้ยนหลีไม่ได้ยิ้มแย้มบ่อยนัก ซ้ำยังไม่ได้พบเจอใบหน้าเปื้อนยิ้มสักเท่าไร พิศดูใบหน้ายิ้มๆ ชวนมองของอีกฝ่ายมากเข้า ใจนางก็รู้สึกดีขึ้นมากอย่างน่าประหลาด ทั้งคิ้วตาตลอดจนริมฝีปากล้วนแต่ทอแววยิ้มแย้มตามหลายส่วน ยามเอ่ยเสียงนุ่มนวลเบาๆ “ต่อไปต้องรบกวนหลินหมัวมัวแล้ว”
หลินหมัวมัวเอ่ยถ้อยคำตามมารยาทด้วยรอยยิ้มอีกหลายประโยคก่อนกล่าว “เรือนเรามีคนน้อย ฮูหยินโปรดอย่าถือสา”
กู้เจี้ยนหลีเอียงศีรษะมองไปทางนายท่านห้าสกุลจีที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่ด้วยกลัวเสียงสนทนาจะดังรบกวนเขา
การกระทำนี้ล้วนอยู่ในสายตาหลินหมัวมัว นางพากู้เจี้ยนหลีเดินมานั่งที่เตียงหลัวฮั่น หลังฉากกั้น แล้วจึงแนะนำเรื่องในเรือนอย่างคร่าวๆ นางกล่าวว่าในเรือนของนายท่านห้าคนน้อย จำนวนคนก็นับว่าน้อยจนกู้เจี้ยนหลีตกใจจริงๆ ทั้งเรือนมีเจ้านายสามคน บ่าวเองก็มีทั้งหมดสามคน นอกจากหลินหมัวมัวซึ่งเป็นแม่นมของนายน้อยทั้งสองกับฉางเซิงซึ่งเป็นบ่าวรับใช้ใกล้ชิดนายท่านห้าแล้ว มีเพียงสาวใช้อีกคนนามว่าลี่จื่อ สมองนางใช้การได้ไม่ดีนัก แต่ได้อยู่ปรนนิบัติเพราะเป็นน้องสาวของฉางเซิง
“ฮูหยิน จะรับอาหารหรือไม่เจ้าคะ”
ยามนี้เลยเวลากินข้าวมานานแล้ว กู้เจี้ยนหลีก็มิได้เกร็งเช่นตอนเพิ่งเข้ามานั่งรอแล้วเช่นกัน พอได้ยินคำถามของหลินหมัวมัวจึงรู้สึกหิวขึ้นมานิดหน่อย หลินหมัวมัวรีบออกไปสั่งการที่ด้านนอก รอจนสำรับอาหารยกมาจึงค่อยพยุงกู้เจี้ยนหลีเดินอ้อมฉากกั้นออกมา
แม้อาหารจะธรรมดา ทว่าล้วนเป็นสิ่งที่กู้เจี้ยนหลีมิได้แตะต้องอีกหลังจากสกุลกู้เกิดเรื่อง
หญิงสาวค่อยๆ กินเข้าไปทีละคำน้อยๆ
ขณะเกี๊ยวเนื้อนุ่มละมุนเข้าปากกู้เจี้ยนหลีพลันนึกถึงสภาพการณ์ของตระกูลตนเองขึ้นมาพานให้จมูกแสบร้อน นางก้มศีรษะกลบเกลื่อนแววเศร้าสร้อยในดวงตา เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งแววตาหลงเหลือเพียงความนุ่มนวลใจเย็น
หลังยกสำรับออกไปแล้วหลินหมัวมัวที่เข้ามาปรนนิบัติกู้เจี้ยนหลีอาบน้ำสางผมเรียบร้อยก็ต้องรีบกลับไปดูแลคุณชายหกกับคุณหนูสี่ ยามนี้ในห้องจึงเหลือเพียงนางคนเดียวที่ต้องเผชิญหน้ากับจีอู๋จิ้ง…บุรุษที่นางไม่เคยพบ ซ้ำยังหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย และมิใช่คนที่นางยินยอมพร้อมใจจะตบแต่งด้วยผู้นี้อีกครั้ง
บนร่างของหญิงสาวที่เพิ่งอาบน้ำอวลไปด้วยกลิ่นอายหอมละมุนและความชุ่มชื้น กระโปรงสีแดงสดพลิ้วไหวยามนางก้าวเดินเชื่องช้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงใหญ่ ก่อนมุ่นคิ้วมองไปทางร่างที่นอนอยู่บนนั้น
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งกู้เจี้ยนหลีจึงโน้มกายลงหอบผ้าห่มมงคลลายนกยวนยางขึ้นมา ทว่าไม่ทันระวังลากผ้าห่มที่คลุมอยู่บนร่างจีอู๋จิ้งมาด้วยเล็กน้อย นางตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบร้อนหอบผ้าห่มมงคลลายนกยวนยางไปวางไว้ที่เตียงหลัวฮั่นก่อนจะวกกลับมาที่เตียงใหญ่อีกครั้งอย่างลนลาน
เพราะเพิ่งอาบน้ำสางผม ผมของกู้เจี้ยนหลียามนี้จึงปล่อยสยาย นางทัดผมไว้ที่หลังหูก่อนเพื่อสงบจิตสงบใจ แล้วจึงค่อยโน้มกายลงห่มผ้าให้จีอู๋จิ้งอย่างระมัดระวัง ทว่าระหว่างนั้นกลับสัมผัสโดนหลังมืออีกฝ่ายด้วยความบังเอิญ ทำเอานางตกใจจนหดมือกลับ
ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบบิดาก็ไม่ถูกเนื้อต้องตัวนางแล้ว จู่ๆ ก็สัมผัสตัวบุรุษแปลกหน้าเข้า ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดคับข้องอยู่บ้าง
นางหลุบตามองมือของจีอู๋จิ้ง มือของเขาไม่ใหญ่แต่กลับเรียวยาว มองเห็นข้อนิ้วได้ชัดเจนมากเป็นพิเศษ แต่มองได้แวบเดียวกู้เจี้ยนหลีก็ถอนสายตาแล้วเดินไปทางเตียงหลัวฮั่นเงียบๆ
จะให้นางกับจีอู๋จิ้งนอนร่วมเตียงนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เคราะห์ดีที่หลังฉากกั้นมีเตียงหลัวฮั่นอีกหลัง แม้จะนอนไม่สบายเท่าเตียงใหญ่ แต่ก็นับว่าดีกว่าเตียงไม้ที่นางนอนมาตลอดสามเดือนมากนัก
หากเป็นการออกเรือนตามปกตินางย่อมไม่ดื้อดึงไม่ร่วมเตียงกับสามี แต่เหตุผลที่นางไม่ยินยอมจะร่วมหลับนอนบนเตียงเดียวกับจีอู๋จิ้งนั้นยากที่จะกล่าวออกมาตามจริงได้ นางเพียงแค่…กลัวว่าหากจีอู๋จิ้งเป็นอะไรไปยามดึกดื่นค่ำคืน ตอนเช้าตื่นมากว่านางจะรู้ตัวก็นอนร่วมเตียงกับศพมาคืนหนึ่งเต็มๆ แล้ว!
เวลานี้เป็นช่วงที่หนาวที่สุดในรอบปี ต่อให้ในห้องเผาถ่านให้ความอบอุ่น ทว่ากระถางไฟใบนั้นห่างจากเตียงหลัวฮั่นพอสมควร กู้เจี้ยนหลีค่อยๆ ขดตัวพลางมองไปทางเทียนมงคลคู่นั้นด้วยท่าทีเหม่อลอย
วันนี้เป็นวันที่นางถึงวัยปักปิ่น นางยังจำได้ว่าบิดาเคยสัญญาไว้ด้วยเสียงหัวเราะกังวานว่าจะจัดพิธีปักปิ่นให้นางอย่างยิ่งใหญ่ ในพิธีนี้นางจะได้รับแต่งตั้งเป็นท่านหญิง
วันนี้ยังเป็นวันที่นางออกเรือน ทว่าไม่ว่าจะคำอวยพรจากบิดามารดา บทสนทนาชื่นมื่นระหว่างพี่น้อง การคารวะสามคุกเข่าเก้าคำนับ การคล้องแขนร่ำสุรามงคล หรือพิธีผูกเงื่อนผมทั้งหมดนี้ล้วนไม่มี…ไม่มีเลยสักอย่าง
แต่จะคิดเรื่องเหล่านี้ไปเพื่ออะไรกัน
นางยังไม่รู้เลยว่าจะรักษาอาการป่วยให้บิดาได้อย่างไร จะล้างมลทินให้บิดาได้เมื่อไร และยิ่งไม่รู้ว่าควรรับมือเช่นไรกับสภาพการณ์ในจวนก่วงผิงป๋อตอนนี้
หญิงสาวขยับตัวไปมาใต้ผ้าห่ม มุดคางเข้าไปภายในเพื่อเสาะหาความอบอุ่น ก่อนนอนนางยังหันไปมองจีอู๋จิ้งที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่อีกแวบหนึ่งผ่านฉากกั้น ความรู้สึกที่ต้องร่วมห้องกับบุรุษซึ่งเหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายชวนให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างห้ามไม่อยู่
กู้เจี้ยนหลีรีบหดศีรษะเข้าไปในผ้าห่มทันที
คืนนั้นนางนอนหลับไม่สนิทนัก แม้ไม่ได้ฝันร้ายถึงภูตผีปีศาจ แต่กลับรู้สึกว่าถูกดวงตาเรียวรีเช่นดวงตาจิ้งจอกคู่หนึ่งจดจ้องอยู่ตลอดเวลา ทำเอาไม่กล้าลืมตา เอาแต่ขดตัวเป็นก้อนกลมใต้ผ้าห่มอยู่อย่างนั้น
ดึกมากแล้ว ทว่าตะเกียงในเรือนรองกลับไม่มีทีท่าจะดับลง
ฮูหยินรองขมวดคิ้ว ทั้งกังวลทั้งรำคาญใจ นางเป็นมารดาของจีเสวียนเค่อ หากสกุลกู้ไม่เกิดเรื่อง กู้เจี้ยนหลีย่อมตบแต่งเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ของนางในฤดูร้อนปีหน้า ยามนี้มิได้เป็นลูกสะใภ้ แต่กลับกลายเป็นน้องสะใภ้ไปเสียแล้ว
“ฮูหยิน…” หงซิ่งสาวใช้คนสนิทเห็นสีหน้าของนางก็ยกโจ๊กบำรุงกระเพาะชามหนึ่งเข้ามาวาง “สองสามวันมานี้อากาศเย็น ฮูหยินกินโจ๊กอุ่นกระเพาะสักหน่อยนะเจ้าคะ”
“เหตุใดนางถึงแต่งเข้าจวนมาได้” ฮูหยินรองยิ่งคิดยิ่งมีน้ำโห “ไม่ใช่ว่าทำเช่นนี้เพื่อบีบให้นางเป็นฝ่ายขัดราชโองการยกเลิกการแต่งงานนี้เองหรอกหรือ แล้วเหตุใดคนจึงเข้ามาอยู่ในเรือนแล้วเล่า”
ที่ฮูหยินรองเป็นกังวลไม่ใช่เพราะความประดักประเดิดที่ลูกสะใภ้กลายเป็นน้องสะใภ้ แต่เพราะไม่รู้จะอธิบายกับจีเสวียนเค่ออย่างไร ยามนั้นบุตรชายคุกเข่าขอร้องคนในจวนให้ออกหน้าช่วยเหลืออู่เสียนอ๋อง ทุกคนก็หลอกให้เขาไปรับญาติห่างๆ ที่เมืองหนานอันพร้อมสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องอู่เสียนอ๋องให้
ส่งจีเสวียนเค่อจากไป บีบให้กู้เจี้ยนหลีขัดราชโองการ ทั้งกำจัดกู้จิ้งหยวนตามประสงค์ของคนในวัง และยังทำให้กู้เจี้ยนหลีเป็นฝ่ายยกเลิกการแต่งงานเอง พอจีเสวียนเค่อกลับมา ทุกอย่างก็จบลงเป็นที่เรียบร้อย
เพียงแต่คิดคำนวณมาดีเพียงใดก็ไม่คิดว่ากู้เจี้ยนหลีจะยอมเอาชีวิตตนเองมาแลกแต่ไม่ยอมขัดราชโองการ ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้หากจีเสวียนเค่อกลับมาพบว่าคู่หมั้นกลายเป็นอาสะใภ้แล้วก่อเรื่องขึ้นมาเล่า มารดาเช่นนางไหนเลยจะไม่รู้ว่าบุตรชายผู้นี้มีนิสัยดึงดันเพียงใด ทั้งยังมีรักลึกซึ้งต่อกู้เจี้ยนหลีถึงเพียงไหน
พอคิดถึงใบหน้างามล้ำดวงนั้นของกู้เจี้ยนหลี ฮูหยินรองก็สะบัดแขนเสื้อปัดโจ๊กร้อนๆ ร่วงลงพื้นโดยพลัน “ช่างเป็นนางจิ้งจอกที่ทำเป็นแต่ยั่วยวนผู้อื่น!”
“ฮูหยินอย่าเพิ่งใจร้อน ครั้งนี้นายท่านห้านอนไม่ได้สติมาครึ่งปีแล้ว นับว่านานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา บ่าวได้ยินมาว่าเมื่อวานซืนเขายังไอเป็นเลือดด้วย กว่าคุณชายสามจะกลับมาอย่างน้อยๆ ก็สิบวัน…”
แววตาฮูหยินรองพลันวูบไหวเล็กน้อย
เวลาสิบวัน…ทำเรื่องอะไรได้มากมายทีเดียว
บทที่ 4
เช้ามืดวันต่อมากู้เจี้ยนหลีตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพราะความหนาว ผ้าห่มมงคลลายนกยวนยางไม่รู้หล่นลงไปกองที่พื้นตั้งแต่เมื่อใด แต่ไหนแต่ไรท่านอนของกู้เจี้ยนหลีล้วนแต่เป็นระเบียบ ตอนนอนอยู่ในท่าเช่นไรตอนตื่นก็มักจะยังอยู่ในท่าเช่นนั้น ซ้ำยังไม่มีนิสัยชอบถีบผ้าห่ม ทว่านางก็มิได้ติดใจอะไร เพียงแต่หอบผ้าห่มขึ้นมาปัดฝุ่นเล็กน้อยแล้วนำกลับไปวางไว้ที่เตียงใหญ่ เพราะหากให้ผู้อื่นรู้เข้าว่าเมื่อคืนนางนอนที่เตียงหลัวฮั่นก็คงจะไม่งาม
ยามนี้เทียนมงคลบนโต๊ะยังไม่ดับสนิท กู้เจี้ยนหลีพลันนึกขึ้นมาได้ ยามพี่สาวออกเรือน เถาซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงเคยกล่าวว่าเทียนมงคลในคืนวันแต่งงานจะต้องสว่างถึงเช้าวันใหม่ บ่าวสาวจึงจะครองรักกันจนแก่เฒ่า ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนแต่จะราบรื่น นางเดินไปนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มองเปลวเทียนพลิ้วไหวอย่างใช้ความคิด ผ่านไปพักใหญ่แพขนตาของหญิงสาวจึงค่อยสั่นไหวตามเปลวเทียนตรงหน้า
เวลานี้กู้เจี้ยนหลีไม่กล้านอนต่อแล้ว นางนั่งรอให้ฟ้าสว่างอยู่ในห้องมืดสลัวอย่างเงียบงัน ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสภาพการณ์ในจวนก่วงผิงป๋อ เดิมทีนางต้องตบแต่งให้จีเสวียนเค่อ เรื่องในจวนหลังนี้ย่อมทำความเข้าใจมาบ้างแล้ว
ท่านป๋อผู้เฒ่าแห่งจวนก่วงผิงป๋ออายุมากแล้ว มีบุตรชายทั้งหมดห้าคนและบุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายทั้งห้าภรรยาคนแรกเป็นผู้ให้กำเนิด ส่วนบุตรสาวคนเล็กเกิดจากภรรยาคนใหม่หรือก็คือฮูหยินผู้เฒ่าของจวนในยามนี้ ในบรรดาบุตรชายทั้งห้า นายท่านใหญ่เป็นขุนนางตำแหน่งไม่ใหญ่ไม่เล็ก นายท่านรองและนายท่านสามไม่โดดเด่นมากนัก นายท่านสี่เสียไปตั้งแต่ยังเด็ก นายท่านห้าก็ใกล้จะหมดลมหายใจ ส่วนรุ่นหลานมีที่โดดเด่นอยู่บ้าง จีเสวียนเค่อนับว่าโดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขา
เหตุใดจึงคิดถึงจีเสวียนเค่ออีกแล้วเล่า…กู้เจี้ยนหลีมุ่นคิ้วน้อยๆ ก่อนหันไปมองจีอู๋จิ้งที่นอนอยู่บนเตียง
ว่าไปแล้วคนที่มีอำนาจที่สุดในตระกูลของจวนก่วงผิงป๋อก็คือจีอู๋จิ้งในกาลก่อน เขาไม่มีตำแหน่งขุนนางใดๆ แต่กลับมีอำนาจมากมายเสียจนขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งราชสำนักหวั่นเกรง
ฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์จากการแย่งชิงบัลลังก์ ยามเพิ่งนั่งบัลลังก์มังกรราชสำนักอ่อนแอไม่มั่นคง ดังนั้นจึงก่อตั้งหน่วยเสวียนจิ้งขึ้น มอบหมายหน้าที่ให้คอยกำจัดคนสมควรตายที่ไม่อาจสั่งประหารได้อย่างเปิดเผยทิ้งเสีย
จีอู๋จิ้งก็คือหัวหน้าหน่วยเสวียนจิ้งรุ่นที่สอง ในปีที่เขาเข้าพิธีสวมหมวก อักษร ‘จิ้ง’ นี้เป็นโอรสสวรรค์ประทานให้ด้วยตนเอง หากกล่าวว่าหน่วยเสวียนจิ้งเป็นดาบในมือฮ่องเต้ เช่นนั้นจีอู๋จิ้งก็คือส่วนที่คมกริบที่สุดบนดาบเล่มนี้
เขาเคยสังหารโจรกบฏ เคยสังหารขุนนางผู้ภักดี เคยคร่าชีวิตมือสังหาร และยังเคยปลิดชีพเชื้อพระวงศ์ขั้นชินอ๋อง
หากจีอู๋จิ้งเพียงทำหน้าที่ตามบัญชาของโอรสสวรรค์ชื่อเสียงก็คงไม่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ แต่กลับมีเสียงเล่าลือว่าคนผู้นี้คลั่งไคล้หลงใหลในการสังหารคน ซ้ำยังลือกันว่ามีคนเคยเห็นเขาดื่มกินเลือดเนื้อผู้อื่นกับตา ยังว่ากันว่าทั้งตัวเขาซ่อนอาวุธลับไว้เต็มไปหมด ขอเพียงเขามองไปที่ใครพร้อมหัวเราะเบาๆ เกรงว่าแม้แต่แสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่คนผู้นั้นก็คงไม่ทันได้เห็นแล้ว
ปีหนึ่งยามฮ่องเต้เสด็จออกนอกวัง ตอนที่ชาวบ้านพากันคุกเข่าหมอบกราบตามท้องถนน จู่ๆ ก็มีมือสังหารลงมืออย่างอุกอาจ จีอู๋จิ้งได้ถลกหนังของอีกฝ่ายออกต่อหน้าธารกำนัล เขาสวมชุดแดงทั้งตัวอยู่บนหลังม้า ใช้กระบี่ยาวเกี่ยวหนังมนุษย์ผืนนั้นขึ้นมองพลางกล่าวยิ้มๆ ว่าจะนำไปทำโคมไฟ เหตุการณ์นั้นชาวบ้านที่เห็นด้วยตาล้วนแต่ขนพองสยองเกล้า
ยังมีอีกปีหนึ่งที่ทูตจากต่างแคว้นมาพูดจายั่วยุ เขายังคงสวมชุดแดงทั้งตัว กอดอกพิงเสาตรงระเบียงพลางหัวเราะ ทูตผู้นั้นยังพูดต่อไปอีก ทว่ายังไม่ทันจบคำก็เลือดออกทวารทั้งเจ็ด ตายคาที่เสียแล้ว
ส่วนจีอู๋จิ้งเพียงแต่แบมือ สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ‘หาใช่ฝีมือข้า’
ไม่ใช่ฝีมือเขา แล้วจะเป็นฝีมือผู้ใด
บุคคลร้ายกาจในวันวานผู้นั้นยามนี้ทำได้เพียงนอนรอความตายอยู่บนเตียงไปวันๆ กู้เจี้ยนหลีอดมิได้ที่จะทอดถอนใจ อาจเพราะนึกถึงบิดาที่นอนติดเตียงไม่ได้สติอยู่เช่นกัน ยามนางมองไปทางจีอู๋จิ้งอีกครั้ง แววตาหวาดกลัวที่เคยปรากฏก่อนหน้านี้จึงเลือนหายไปหลายส่วน
จริงด้วย อย่างไรเขาก็เป็นคนใกล้ตายผู้หนึ่ง มีสิ่งใดให้กลัวกัน อย่างน้อยก่อนไปถึงปรโลกก็ยังไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว
รอจนฟ้าสางหลินหมัวมัวก็เข้ามาปรนนิบัติกู้เจี้ยนหลีอาบน้ำแต่งตัว แม้การแต่งงานครั้งนี้จะพิเศษอยู่สักหน่อย ทว่าวันนี้นางก็ยังคงต้องไปคารวะผู้ใหญ่อยู่ดี
ระหว่างเดินอยู่ใต้ชายคากู้เจี้ยนหลีรู้สึกไม่วางใจจึงเอ่ยถามหลินหมัวมัวขึ้นว่า “ท่านมากับข้าเช่นนี้ เตรียมการปรนนิบัติคุณชายหกกับคุณหนูสี่แล้วใช่หรือไม่”
“ฮูหยินโปรดวางใจ ตอนบ่าวออกมานายน้อยทั้งสองยังหลับอยู่ ลี่จื่อคอยดูแลแทนเจ้าค่ะ” หลินหมัวมัวยังกล่าวเสริมอีกว่า “นางหนูลี่จื่อผู้นี้แม้จะทึ่มทื่อไปบ้าง แต่เรื่องง่ายๆ ที่กำชับไว้นางล้วนทำได้ดีเจ้าค่ะ”
กู้เจี้ยนหลีพยักหน้า “ไว้ตอนกลับเรือนข้าจะไปดูพวกเขาเสียหน่อย”
หลินหมัวมัวที่เดินตามอยู่ข้างหลังครึ่งฝีก้าวลอบมองแผ่นหลังเหยียดตรงสง่างามของกู้เจี้ยนหลีอย่างประหลาดใจ เดิมนางคิดว่านายหญิงที่แต่งเข้ามาจะเป็นสตรีที่เอาแต่ร่ำไห้เสียงสะอื้น คิดไม่ถึงว่ากู้เจี้ยนหลีจะสงบเสงี่ยมถึงเพียงนี้ นี่เหมือนกับสตรีที่รู้ทั้งรู้ว่าตนเองกำลังรอความตายเสียเมื่อไรกัน อีกฝ่ายไม่เพียงไม่มีน้ำตาสักหยด ยามถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน หากเพียงแค่นี้ก็แล้วไปเถอะ นี่ยังเป็นห่วงเป็นใยนายน้อยทั้งสองอีก พิธีรีตองใดล้วนไม่ขาดตกบกพร่อง ราวกับตัดสินใจจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ให้ดีเสียอย่างนั้น
ยิ่งพอคิดว่าสตรีผู้นี้เพิ่งอายุสิบห้าปี หลินหมัวมัวก็ยิ่งประหลาดใจ
เมื่อถึงที่หมายซ่งหมัวมัวเปิดม่านพลางรายงานว่าฮูหยินห้ามาถึงแล้ว จากนั้นกู้เจี้ยนหลีค่อยก้าวเข้ามาในห้องโถง ทำลายบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะไปในพริบตา สายตานับไม่ถ้วนต่างหยุดลงที่นาง มองสำรวจทั่วทั้งร่างราวกับอยากจ้องให้ทะลุปรุโปร่ง
สมาชิกสตรีในจวนก่วงผิงป๋อนี้ กู้เจี้ยนหลีรู้จักแทบทุกคนอยู่แล้ว
นางทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่มองมาราวกับรอชมเรื่องสนุกเหล่านั้น เดินช้าๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าแล้วคารวะอย่างถูกต้องตามแบบแผน ท่าทางสงบนิ่งเหมาะสมไร้ข้อผิดพลาดใด
“ลุกขึ้นเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้ารับก่อนสั่งให้ซ่งหมัวมัวมอบเงินรับขวัญให้
จากนั้นกู้เจี้ยนหลีจึงหันไปเผชิญหน้ากับบรรดาสะใภ้ทั้งสาม เรียกขานพวกนางว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สาม” ตามลำดับ
สีหน้าฮูหยินรองประดักประเดิดอย่างเห็นได้ชัด
คำเรียกขานถูกต้องตามแบบแผน ทว่าบรรยากาศในห้องโถงกลับแปลกพิกลยิ่งนัก
ตอนนั้นเองจู่ๆ คุณหนูใหญ่จีเยวี่ยหมิงก็เอ่ยปากขึ้นมา “เจี้ยนหลี ไม่ได้เจอกันสามเดือนกว่า ยามนี้พบกันอีกครั้งมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมาย คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นพี่สะใภ้ของข้า แต่แต่งเข้ามาเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ท่านอาห้าแทน”
จีเยวี่ยเหวินกับจีเยวี่ยเจินพากันมองไปที่ผู้พูดด้วยสายตาพิลึกพิลั่น
บรรยากาศที่ชวนประดักประเดิดอยู่แล้วทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
กู้เจี้ยนหลีพลันนึกถึงถ้อยคำของผู้เป็นบิดาขึ้นมา
‘เสวียนเค่อเป็นคนหนุ่มที่ไม่เลวทีเดียว ดูท่าคงจะมีอนาคตไกล ทว่าหากเจ้าจะตบแต่งให้เขาย่อมหนีไม่พ้นต้องทำความรู้จักกับครอบครัวของเขา จวนก่วงผิงป๋อได้ชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง ทว่าภายในกลับฟอนเฟะหมดแล้ว นิสัยของคนจวนนั้นเกรงว่าเจี้ยนหลีของพ่อจะไม่พึงใจสักเท่าไร’
กู้เจี้ยนหลีมองไปทางจีเยวี่ยหมิง
จีเยวี่ยหมิงรู้สึกลนลานขึ้นมา เดิมทีทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนแต่ยกยอกู้เจี้ยนหลี ผู้ที่อยากจะตีสนิทกับนางยังแทบหาโอกาสไม่ได้ ยามนี้ตระกูลของนางเกิดเรื่อง ตัวนางเองยังตกต่ำถึงขั้นต้องแต่งเข้ามาเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ผู้อื่น ศักดิ์ศรีที่ถูกกดไว้เนิ่นนานของจีเยวี่ยหมิงคล้ายต้องการที่ระบาย นางจึงอดใจไม่ไหวถากถางไปหลายประโยค
ทว่ากู้เจี้ยนหลีกลับเพียงแค่ยกยิ้มบางและกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูหมิง เจ้าเรียกผิดแล้ว”
จีเยวี่ยหมิงพลันชะงัก หันมองไปทางกู้เจี้ยนหลีอย่างไม่อยากเชื่อ
กู้เจี้ยนหลีกลับเลื่อนสายตาไปทางฮูหยินใหญ่ก่อนแล้ว นางเอ่ยขึ้นเสียงนุ่มนวลว่า “หากข้าจำไม่ผิด คุณหนูหมิงเข้าพิธีปักปิ่นตั้งแต่สองสามเดือนก่อนแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ตอนนี้ควรจะเข้าใจกฎระเบียบแตกฉานแล้ว จะได้ไม่ทำสิ่งใดผิดพลาดยามอยู่ข้างนอก”
เดิมทีเสียงของกู้เจี้ยนหลีก็อ่อนหวานอยู่แล้ว ยามเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก็ยิ่งน่าฟังมากเป็นพิเศษ แม้จะเป็นถ้อยคำตำหนิกลับฟังดูรื่นหูเป็นอย่างยิ่ง
หลายวันมานี้ฮูหยินใหญ่กำลังกังวลเรื่องการหมั้นหมายของจีเยวี่ยหมิง วาจานี้ของกู้เจี้ยนหลีนับว่าแทงใจนางเข้าอย่างจัง นางไม่ได้มีใจทวงความเป็นธรรมให้กู้เจี้ยนหลี แต่ไม่ชอบใจที่บุตรสาวปฏิบัติตนไม่เหมาะสมต่อหน้าธารกำนัล โดยเฉพาะเมื่อบุตรสาวผู้นี้ยืนอยู่กับกู้เจี้ยนหลีที่รุ่นราวคราวเดียวกันแต่แตกต่างกันเสียจน…
ฮูหยินใหญ่สีหน้าบึ้งตึงตำหนิบุตรสาวตนเองทันที “ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่เอาเสียเลย เจ้าเป็นถึงพี่สาวคนโต ยังไม่รีบนำน้องสาวทั้งหลายคารวะอาสะใภ้ห้าอีก!”
ท่าทีดุดันของมารดาทำเอาจีเยวี่ยหมิงกลัวจนกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมกลับไปทันที หญิงสาวกัดฟัน ย่อกายคารวะกู้เจี้ยนหลีอย่างไม่เต็มใจ “เยวี่ยหมิงคารวะอาสะใภ้ห้า”
จีเยวี่ยเหวินและจีเยวี่ยเจินต่างก็คารวะตามโดยพร้อมกัน
ด้านคุณชายใหญ่ของจวนอย่างจีเสวียนเซิ่นก็นำเหล่าน้องชายคารวะกู้เจี้ยนหลี ในจวนมีคุณชายทั้งหมดห้าคน นอกจากจีเสวียนเค่อแล้วทุกคนล้วนอยู่กันพร้อมหน้า
กู้เจี้ยนหลีไม่มีท่าทีอันใด ในใจกลับอดคิดไม่ได้ว่าจีเสวียนเค่อจงใจหลบเลี่ยงไม่พบหน้าในวันนี้เพราะเกรงจะทำตัวไม่ถูกใช่หรือไม่
ในห้องโถงยังมีลูกหลานซึ่งเป็นญาติฝั่งฮูหยินผู้เฒ่าอยู่อีกสองสามคน ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ามิได้มีท่าทีอยากให้กู้เจี้ยนหลีทำความรู้จักกับพวกเขา หญิงชราเพียงนวดหว่างคิ้วเล็กน้อยแล้วให้ทุกคนกลับไปได้ กล่าวว่าระยะนี้อากาศหนาว ไม่จำเป็นต้องมาคารวะทุกวัน แล้วยังกำชับกู้เจี้ยนหลีเป็นพิเศษว่าให้ดูแลจีอู๋จิ้งให้ดี
กู้เจี้ยนหลีกระจ่างแจ้งดี วันหน้าไม่ว่าผู้อื่นจะมาคารวะตอนเช้าหรือไม่ มีเพียงนางเท่านั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่าปฏิเสธไม่ต้อนรับ
รอยยิ้มบางชวนมองบนใบหน้าของกู้เจี้ยนหลีไม่เปลี่ยนแปลงแม้สักนิด ในใจเองก็ราบเรียบไร้คลื่นลม
ขณะกำลังจะจากมานั้นกู้เจี้ยนหลีสัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาอย่างไม่ปิดบังสักนิด พอนางหันกลับไปมองก็ประสานเข้ากับสายตาไม่ประสงค์ดีของคุณชายสกุลจ้าวพอดิบพอดี
กู้เจี้ยนหลีขมวดคิ้วพลางถอนสายตากลับ ในใจคิดว่าวาจาของบิดานางในยามนั้นไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย
ตอนกลับไปถึงเรือนของนายท่านห้า กู้เจี้ยนหลีไม่ได้กลับห้องในทันทีแต่แวะไปดูคุณชายหกและคุณหนูสี่วัยสี่ขวบก่อน เด็กทั้งสองยังคงนอนหลับอยู่ นางเองก็ไม่ได้ส่งเสียงปลุกพวกเขา เพียงแค่ก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างเบามือเบาเท้า
เด็กน้อยทั้งสองอยู่ในวัยน่ารักน่าชังราวกับก้อนแป้งขาว ท่าทางยามหลับใหลยิ่งชวนให้คนเอ็นดู โดยเฉพาะเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนอยู่ด้านนอกซึ่งเหมือนแมวน้อยตัวนุ่มนิ่มไม่มีผิด มองดูนานเข้าใจก็ค่อยๆ อ่อนยวบตาม
“ฮูหยิน ท่านกลับไปพักก่อนเถิดเจ้าค่ะ ไว้นายน้อยทั้งสองตื่นแล้วบ่าวจะพาไปหาท่านเอง”
กู้เจี้ยนหลีมองเด็กแฝดที่กำลังหลับปุ๋ยอีกครั้งก่อนจะตัดใจเดินจากมา เดิมนางคิดไว้อย่างดีว่าหากอยู่เล่นกับเด็กทั้งสองทั้งวันได้ก็ไม่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับจีอู๋จิ้งตามลำพังแล้ว น่าเสียดายที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังหลับสบาย…
หลังจากกลับมาที่ห้องกู้เจี้ยนหลีเอนกายพิงหน้าต่าง หยิบหนังสือส่งๆ มาเปิดอ่านเล่มหนึ่ง หากเนื้อหาในหนังสือดึงดูดความสนใจได้ นางอาจจะลืมไปว่าในห้องยังมีบุรุษอีกคน
ตอนที่อ่านหนังสือไปได้สองในสามส่วนหญิงสาวเอียงศีรษะมองออกไปข้างนอก เห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้ม คล้ายกำลังจะมีหิมะตก
ขณะนั้นเองมีเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้อง สายตาของหญิงสาวกลับมาจดจ่ออยู่ที่หน้าหนังสืออีกครั้งแล้วจึงถามออกไปส่งๆ “หมัวมัวมีอะไรหรือ”
“น้าสะใภ้ห้า” น้ำเสียงของบุรุษเต็มไปด้วยแววประจบเอาใจ
กู้เจี้ยนหลีพลันตื่นตระหนก รีบเงยหน้าขึ้นมองในทันใด
จ้าวเฟิ่งเสียนก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว
กู้เจี้ยนหลีเห็นดังนั้นก็วางหนังสือในมือลงกับโต๊ะอย่างแรงก่อนเอ่ยถามเสียงเคร่งขรึม “ที่นี่เป็นที่ที่เจ้าเข้ามาได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ!”
ผู้มาใหม่เห็นได้ชัดว่าถูกท่าทางทรงอำนาจที่ปรากฏขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้ชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่าก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น เขายังคงเดินเข้าใกล้กู้เจี้ยนหลีมากขึ้นพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “น้าสะใภ้ห้า เมื่อเช้าไม่ได้ทักทายท่าน เฟิ่งเสียนรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย จึงแวะมาคารวะท่านถึงที่ด้วยตนเอง”
กาลก่อนกู้เจี้ยนหลีไม่มีทางได้ประสบพบเจอกับคนเช่นนี้ กล่าวให้ถูกต้องก็คือต่อให้เป็นคนที่ต่ำช้ากว่านี้อยู่ต่อหน้านางก็จำต้องแสดงท่าทีสุภาพนุ่มนวลออกมา ทว่าสามเดือนที่ผ่านมานางได้เจออันธพาลในท้องที่อยู่หลายครั้ง สีหน้าวาจาเช่นที่จ้าวเฟิ่งเสียนกระทำอยู่นี้นางคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าอะไร
กู้เจี้ยนหลียกถ้วยชาใกล้มือขึ้นปาลงตรงข้างเท้าของจ้าวเฟิ่งเสียน ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ออกไป! หากยังไม่ออกไปอีกข้าจะร้องเรียกคนเข้ามาแล้ว”
จ้าวเฟิ่งเสียนยังคงเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ตอนท่านน้าห้ายังแข็งแรงดีชมชอบคนตายเกลียดชังคนเป็นที่สุด เรือนของเขาอยู่ลับตาคน ท่านเรียกใครมาไม่ได้หรอก”
ชายหนุ่มหลิ่วตา มองพิจารณากู้เจี้ยนหลีตั้งแต่หัวจรดเท้าคราหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “อีกอย่างท่านเข้าใจเฟิ่งเสียนผิดไปแล้ว เฟิ่งเสียนชื่นชมน้าสะใภ้ห้ามานาน เพียงแค่อยากมาสนทนากับท่านเท่านั้น เรื่องต่ำช้าอื่นใด…ข้าไม่ทำหรอก”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ก.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.