X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 5-6

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 5

แม้เรือนของจีอู๋จิ้งจะอยู่ลับตาคน ทว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวัน ซ้ำยังใกล้จะล่วงเข้าเที่ยงวันแล้ว กู้เจี้ยนหลีจึงสงบจิตสงบใจ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เช่นนั้นอยากคุยอะไรกับข้า”

นางหยิบถ้วยชาสีขาวเกลี้ยงอีกใบขึ้นมา จิบชาคำหนึ่งโดยไม่กระโตกกระตาก หลังจากวางถ้วยชาลงแล้วปลายนิ้วยังแตะค้างก่อนเลื่อนไปมาเล็กน้อยอยู่บนขอบถ้วย

“เฟิ่งเสียนเพียงอยากจะบอกน้าสะใภ้ห้าว่ายามนี้ท่านมิได้อยู่ตัวคนเดียว หากต้องการสิ่งใดท่านมาหาเฟิ่งเสียนได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร และไม่ว่าจะตอนกลางวันหรือกลางคืน…”

กล่าวมาถึงตอนนี้เสียงของเขาพลันกดต่ำ ในน้ำเสียงแฝงความต่ำช้าที่ไม่อาจคาดเดาอยู่ขุมหนึ่ง

ใบหน้ามักมากเช่นนี้ของจ้าวเฟิ่งเสียนชวนให้กู้เจี้ยนหลีอยากจะอาเจียน ทว่านางทำได้เพียงสะกดกลั้นความโกรธก่อนพูดอย่างใจเย็นว่า “จริงอยู่ที่เรือนท่านน้าห้าของเจ้าอยู่ลับตาคนไปหน่อย แต่ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว เจ้าจะอยู่กินข้าวด้วยกันหรือ หากเป็นเช่นนี้จะได้บอกห้องครัวสักหน่อย”

เสียงอ่อนหวานของสตรีกระทบโสตประสาททำเอาจ้าวเฟิ่งเสียนอ่อนระทวยไปทั้งตัว ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มว่า “น้าสะใภ้ห้าเหตุใดจึงไม่เชื่อว่าเฟิ่งเสียนไม่มีเจตนาร้าย ที่วันนี้เฟิ่งเสียนมาหาก็เพียงเพื่อมาดูว่าท่านใช้ชีวิตอย่างไร เป็นการแสดงความจริงใจเท่านั้น”

เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวขึ้นหน้ามาอีกสองก้าวแล้วเหลือบมองไปที่เตียงคราหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อเสียงแผ่วเบา “คืนก่อนที่ท่านจะแต่งเข้ามา ท่านน้าห้าไอเป็นเลือด ที่จวนเชิญหมอหลวงจากในวังมาตรวจดู เขาบอกว่าท่านน้าห้าคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงปีใหม่ เวลานี้ห่างจากปีใหม่เพียงสิบวันเท่านั้น ถึงตอนนั้นคนในจวนจะทำสิ่งใดกับท่านท่านก็คงรู้ดี หากท่านยินยอม ไม่สู้เรามาร่วมมือกันวางแผนแมวดาวสับเปลี่ยนรัชทายาท…”

ถ้อยคำที่เหลือแม้เขาไม่ได้กล่าวต่อกู้เจี้ยนหลีกลับฟังเข้าใจแล้ว อีกฝ่ายคิดจะใช้บุญคุณช่วยชีวิตกักขังนางไว้ในฐานะอนุนอกเรือน

“น้าสะใภ้ห้า ท่านลองใคร่ครวญให้ดีเถิด…ถึงเวลาอาหารแล้ว เฟิ่งเสียนขอตัวก่อนนะขอรับ” จ้าวเฟิ่งเสียนประเดี๋ยวก้าวประเดี๋ยวหยุดหันกลับมาส่งสายตาหวานเชื่อมราวกับตัดใจไม่ลง ก่อนจะจากไปด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ ก้าวออกนอกเรือนทางประตูข้าง เมื่อเห็นว่ารอบข้างไร้ผู้คนค่อยเดินอย่างสง่าผ่าเผยไปที่เส้นทางหลัก ในหัวยังคงเต็มไปด้วยใบหน้างดงามของกู้เจี้ยนหลี ในใจรู้สึกคันยุบยิบจนตัดสินใจไปสำเริงสำราญที่หอคณิกา

แผ่นหลังเหยียดตรงของกู้เจี้ยนหลีที่ยังอยู่ในห้องพลันอ่อนยวบ นางเอนพิงพนักเก้าอี้กุหลาบ อย่างอ่อนแรงพลางเหม่อมองไปยังเศษถ้วยชาที่แตกละเอียดบนพื้น

หากทำลายใบหน้านี้เสีย เรื่องยุ่งยากคงจะไม่มากมายเช่นนี้กระมัง

หรือควรจะเล่าเรื่องที่จ้าวเฟิ่งเสียนมาหาถึงที่เพื่อขอให้ผู้อื่นช่วยเหลือ

ทว่าคนจวนก่วงผิงป๋อเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าอยากให้นางตายๆ ไปเสียเพื่อไม่ให้ลากพวกเขาเดือดร้อนไปด้วย เดิมทีนางอยู่ที่นี่ก็โดดเดี่ยวไร้พรรคไร้พวกอยู่แล้ว

ในขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นกู้เจี้ยนหลีกลับได้ยินเสียงพูดคุยของเด็กแว่วมา

หลินหมัวมัวอุ้มจีซิงหลันไว้ในอ้อมอกโดยมีจีซิงโล่วเดินตามไม่ห่าง หลังจากเข้ามาในห้องนางวางจีซิงหลันลงก่อนกล่าวกับกู้เจี้ยนหลีด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยิน บ่าวพาคุณชายหกกับคุณหนูสี่มาแล้วเจ้าค่ะ”

จีซิงโล่วผู้เป็นพี่ชายตั้งแต่เข้าห้องมาก็เอาแต่ก้มหน้า ส่วนจีซิงหลันผู้เป็นน้องสาวก็เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังหลินหมัวมัว ท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย

หลินหมัวมัวดันตัวเด็กน้อยที่หลบหลังตนเองออกมาด้านหน้า เอ่ยกับนางเสียงนุ่มว่า “ต่อไปฮูหยินก็เป็นท่านแม่ของพวกท่านแล้ว ลองเรียกดูสิเจ้าคะ”

จีซิงหลันเงยหน้าขึ้นมองกู้เจี้ยนหลีอย่างสงสัยใคร่รู้ ตากลมโตกะพริบปริบๆ ปากเล็กอ้าออกน้อยๆ คล้ายอยากลองเรียกแต่ก็ยังคงลังเล

กู้เจี้ยนหลีลุกขึ้นยืนก่อนเดินเข้าไปใกล้อย่างแผ่วเบา จากนั้นย่อตัวลงนั่งตรงหน้าเด็กทั้งสอง ยื่นมือออกไปลูบศีรษะจีซิงหลันเล็กน้อยก่อนเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ถ้าไม่อยากเรียกตอนนี้ยังไม่ต้องเรียกก็ได้”

จีซิงหลันเอียงศีรษะน้อยๆ มองกู้เจี้ยนหลีอย่างสนอกสนใจ รู้สึกว่าสตรีตรงหน้าผู้นี้งดงามมาก เสียงก็ไพเราะ เด็กน้อยจึงฉีกยิ้มให้อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

หลินหมัวมัวกล่าวซ้ำอีกครั้ง “คุณหนูหลัน ลองเรียกดูเถิดเจ้าค่ะ”

“ท่านมะ…”

จู่ๆ จีซิงโล่วที่เอาแต่ก้มหน้าก็ผลักจีซิงหลันทีหนึ่ง ทำให้กู้เจี้ยนหลีต้องรีบคว้าตัวเด็กน้อยไว้อย่างว่องไว

จีซิงหลันหันมองพี่ชายฝาแฝดจากในอ้อมกอดของกู้เจี้ยนหลีก่อนเบะปากอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ทว่าพอจีซิงโล่วถลึงตากลับมาก็ไม่กล้าร้องไห้โวยวาย

จีซิงโล่วแค่นหัวเราะทีหนึ่งก่อนพูดอย่างหงุดหงิด “ข้าจะกินข้าวแล้ว!”

“นี่…” หลินหมัวมัวหันไปมองกู้เจี้ยนหลี

กู้เจี้ยนหลีพยักหน้า “ท่านไปเถอะ”

หลินหมัวมัวรับคำ ก่อนรีบยกกระโปรงวิ่งออกไปตระเตรียมอาหารอย่างว่องไว

กู้เจี้ยนหลีไม่สนใจจีซิงโล่ว แต่กลับอุ้มจีซิงหลันขึ้นมาก่อนพาไปนั่งที่ริมหน้าต่าง จากนั้นใช้ท้องนิ้วแตะลงบนปลายจมูกเล็กเบาๆ พลางเอ่ยถามเสียงนุ่มว่า “เจ้าชื่อซิงหลันใช่หรือไม่”

“โอ๊ะ! ท่านรู้ได้อย่างไร” เด็กน้อยทำตาโตด้วยความประหลาดใจ

“ข้าไม่เพียงรู้ว่าเจ้าชื่อซิงหลัน ยังรู้ด้วยว่าเจ้าอายุสี่ขวบแล้ว”

จีซิงหลันเอียงศีรษะเล็กน้อย ออกเสียงตอบไม่ชัดเจนว่า “โอ๊ะ ไยท่านจึงรู้เยอะนัก ข้าสี่ขวบแล้วจริงๆ”

ขณะที่พูดเด็กน้อยยังชูนิ้วทั้งห้าขึ้นประกอบ ศีรษะเล็กๆ หันมองตามมือตนเอง ครุ่นคิดอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็หุบนิ้วลงนิ้วหนึ่ง

กู้เจี้ยนหลีอดหัวเราะไม่ได้ นางขยับเข้าไปหอมแก้มของเด็กน้อยเบาๆ “ซิงหลันของเราช่างงดงามจริงๆ”

จีซิงหลันมองกู้เจี้ยนหลีด้วยแววตาใสซื่อ จู่ๆ ก็เตะรองเท้าให้หลุดพลางคว้าแขนเสื้อตรงไหล่ของอีกฝ่ายไว้ จากนั้นยืนขึ้นอย่างไม่มั่นคงเท่าใดแล้วขยับเข้าไปตรงหน้ากู้เจี้ยนหลีเพื่อหอมแก้มนางคืนฟอดหนึ่ง

“ท่านก็งดงาม งดงามมากเหมือนกันเลย!”

พอเด็กน้อยได้เปิดปากพูดก็เจื้อยแจ้วไม่หยุด ทั้งใบหน้าน่าเอ็นดู เสียงนุ่มนิ่มน่ารัก ล้วนทำให้คนชื่นชอบได้ไม่ยาก

จีซิงโล่วที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเห็นพวกนางสองคนผลัดกันพูดคุยชื่นมื่นราวกับเขาไม่มีตัวตน จึงเดินไปทางตู้เสื้อผ้าที่อยู่ด้านข้างก่อนออกแรงเตะสองทีเพื่อให้เกิดเสียงดัง

จีซิงหลันหันไปมองตามคาด ทว่ากู้เจี้ยนหลีกลับดึงความสนใจนางกลับมาได้อย่างง่ายดายและยังคงทำเหมือนจีซิงโล่วไม่มีตัวตนต่อ

จีซิงโล่วโมโหขึ้นมาแล้ว เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเศษถ้วยชาบนพื้นแล้วนั่งยองๆ ลงเล่น จำได้ว่าทุกครั้งที่ทำเช่นนี้หลินหมัวมัวจะรีบเข้ามาอุ้มเขาอย่างตื่นตระหนกเกินเหตุพลางร้องเตือนอย่างตกใจ ‘ทูนหัวของบ่าว ระวังได้แผลนะเจ้าคะ!’

ทว่าหยิบเศษถ้วยชาเล่นอยู่พักใหญ่สองคนที่อยู่ตรงหน้าต่างกลับไม่มีใครสนใจ

กู้เจี้ยนหลีลอบมองจีซิงโล่วแวบหนึ่ง ขยับปากเอ่ยชื่อเขาโดยไร้เสียง

ซิงโล่ว? แสงโคมไฟส่องตระการราวบุปผา ดุจดาราเหนือสายธารทัศน์ไม่สิ้น เที่ยวชมงานเสรีดุจโบยบิน กาน้ำหยด อย่าเร่งรินจนสิ้นวัน

นางเดาว่าชื่อที่ฟังดูพิเศษของเด็กผู้นี้น่าจะมาจากกลอนบทนี้

ยามถึงเวลาอาหารกลางวัน จีซิงโล่วกินข้าวเงียบๆ ส่วนน้องสาวกลับถูกสตรีผู้นั้นอุ้มนั่งตัก

“ข้าอิ่มแล้ว!” เด็กชายพูดจบก็กระโดดลงจากเก้าอี้ไปอย่างรวดเร็ว

หลินหมัวมัวร้องอุทานก่อนยกชายกระโปรงวิ่งตามไป ดูท่าวิธีการเช่นนี้จะไม่ได้เพิ่งทำเป็นครั้งแรก

จีซิงหลันสูดบะหมี่เข้าปากไปเส้นหนึ่งก่อนใช้มือเล็กๆ ลูบมุมปากตนเอง จากนั้นเงยหน้ามองกู้เจี้ยนหลี ถามเสียงอู้อี้ว่า “พี่ชายเป็นอะไรไป”

“พี่ชายอิ่มแล้ว ซิงหลันกินนี่ต่ออีกหน่อยเถิด”

“ตอนบ่ายยังเล่นกับท่านต่อได้หรือไม่…” จีซิงหลันยู่ปากเล็กๆ ของตนเอง

“ได้แน่นอนอยู่แล้ว”

เมื่อใช้การดูแลเด็กน้อยเป็นข้ออ้าง กู้เจี้ยนหลีก็ไม่ต้องอยู่กับจีอู๋จิ้งตามลำพังไปตลอดแล้ว แน่นอนว่าจีซิงหลันน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ ย่อมนับเป็นกำไรด้วยเช่นกัน

ส่วนจีซิงโล่วนางมองออกว่าเด็กผู้นั้นถูกสั่งสอนมาแบบผิดๆ แต่นิสัยที่บ่มเพาะจากสิ่งรอบตัวเป็นเวลานานไม่อาจแก้ไขได้ง่ายๆ ในวันสองวัน

กู้เจี้ยนหลีพาจีซิงหลันนอนกลางวันด้วยตนเอง อันที่จริงนางแทบจะอยู่นอนกลางวันเป็นเพื่อนเด็กน้อยไม่ไปที่ใดด้วยซ้ำ ทว่านางยังต้องฝืนใจทำหน้าที่หนึ่งก่อน…

เมื่อก่อนหน้าที่ป้อนข้าวป้อนน้ำจีอู๋จิ้งเป็นของฉางเซิง ทว่ายามนี้เขาไม่สะดวกเข้ามาในเรือน หน้าที่นี้จึงตกเป็นของกู้เจี้ยนหลี ยามเช้าที่ผ่านมาหญิงสาวต้องออกไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าแต่เช้าจึงรอดตัวไปได้ ยามนี้กลับไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้ว

กู้เจี้ยนหลียกโจ๊กชามหนึ่งเข้าไปในห้อง ยืนอิดออดอยู่ข้างฉากกั้นพลางมองไปทางเตียงใหญ่ กระทั่งรู้สึกว่าชามโจ๊กเริ่มร้อนลวกมือจึงค่อยก้าวเข้าไปนั่งลงที่ข้างเตียง

นางวางชามโจ๊กลงตรงโต๊ะเล็กใกล้หัวเตียง จากนั้นวางผ้าไว้บนหมอนข้างใบหน้าอีกฝ่าย ตอนที่ยังไม่ออกเรือนนางเคยป้อนข้าวป้อนน้ำให้บิดาที่ไม่ได้สติเช่นกันจึงนับว่ามีประสบการณ์บ้างแล้ว

“อย่าลนลานเชียว หากหกก็เช็ดเอา ลองป้อนไปสักพักก็ป้อนได้เอง ตอนนี้เขาสลบไสลไม่ได้สติ ตีเจ้าไม่ได้ คิด…คิดเสียว่าป้อนโจ๊กให้ท่านพ่อก็แล้วกัน…” กู้เจี้ยนหลีพึมพำรอบหนึ่ง ในที่สุดก็ยกชามแล้วตักโจ๊กขึ้นเป่าเล็กน้อย ก่อนป้อนเข้าปากจีอู๋จิ้งอย่างระมัดระวัง

นี่ง่ายกว่าที่นางคาดเดาไว้ตอนแรกมากนัก

จู่ๆ กู้เจี้ยนหลีก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เพียงป้อนข้าวป้อนน้ำ แล้ววันต่อๆ ไปหน้าที่เช็ดตัวนางก็ต้องทำด้วยหรือไม่

มือบางพลันสั่นเทา พานให้โจ๊กที่ตักขึ้นมาแล้วหยดลงบนใบหน้าของคนบนเตียง กู้เจี้ยนหลีตื่นตระหนก รีบร้อนใช้นิ้วมือปาดโจ๊กทิ้ง พอตั้งสติได้ค่อยเปลี่ยนมาใช้ผ้าเช็ดซ้ำอีกรอบแทน

รอจนป้อนโจ๊กหมดชาม กู้เจี้ยนหลีจึงถอนใจยาวเหยียด

นี่เป็นเพียงอาหารกลางวันเท่านั้น ยังมีอาหารเย็นอีกมื้อ…

คืนที่สองหลังจากแต่งเข้าจวนก่วงผิงป๋อ กู้เจี้ยนหลียังคงหอบผ้าห่มไปนอนที่เตียงหลัวฮั่นเช่นเดียวกับเมื่อวาน

ตอนกลางคืนกู้เจี้ยนหลีจุดตะเกียงไว้ดวงหนึ่งแล้วจึงเข้านอน นางนอนตะแคงขดตัวอยู่บนเตียงหลัวฮั่น แม้หลับตาไม่ขยับเขยื้อนแต่กลับหลับไม่ลงอยู่นาน

ดังนั้นตอนที่มีคนปีนหน้าต่างเข้ามานางจึงตื่นขึ้นในทันที

“ใคร!” กู้เจี้ยนหลีลุกขึ้นนั่งพลางคว้ามีดสั้นที่ซ่อนไว้ใต้หมอนมาถือเอาไว้

“น้าสะใภ้ห้า นี่ท่านนอน…นอนบนเตียง…หลัวฮั่นอย่างนั้นหรือ หึๆ ชีวิตรักชื่นมื่นของคู่ข้าวใหม่ปลามัน ท่านน้าห้า…ให้ท่านไม่ได้ เฟิ่งเสียนทำแทนให้ดี…ดีหรือไม่” จ้าวเฟิ่งเสียนเดินโงนเงนไปมา ทั้งตัวมีแต่กลิ่นสุรา

กู้เจี้ยนหลีลอบอุทานว่า “แย่แล้ว” ตอนกลางวันคนผู้นี้ยังปฏิบัติตามกฎ ทว่ายามนี้เขาเมาสุรา นิสัยต่ำช้าในตัวเกรงว่าจะแสดงออกมาจนหมดเปลือก

หญิงสาววิ่งไปทางประตูพลางตะโกนเสียงดัง “หลินหมัวมัว! ฉางเซิง!”

น่าเสียดายที่สตรีอายุน้อยเช่นนางวิ่งเร็วไม่เท่าจ้าวเฟิ่งเสียน เขาตามมาไม่กี่ก้าวก็ถึงประตูก่อนหน้านาง ซ้ำยังพิงหลังบังประตูเอาไว้

ชั่วขณะนั้นกู้เจี้ยนหลีคิดถึงผู้เป็นบิดาขึ้นมา

หากบิดาของนางยังสบายดี จะไม่มีทางปล่อยให้นางถูกรังแกเช่นนี้แน่

“อย่า…อย่าหนีเลย…อึก…” จ้าวเฟิ่งเสียนเดินเข้าใกล้กู้เจี้ยนหลีมากขึ้น “น้าสะใภ้ห้า ให้เฟิ่งเสียน…อยู่กับท่าน…”

กู้เจี้ยนหลีกำมีดสั้นในมือแน่น ถอยหลังไปพลางปั้นหน้าเย็นชาตำหนิอีกฝ่ายไปพลาง “ข้าอาวุโสกว่าเจ้า เจ้าจะมาทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ไม่ได้!”

ทันใดนั้นขาเรียวสะดุดอะไรบางอย่างทำให้กู้เจี้ยนหลีล้มไปด้านหลัง นางหันไปมองจีอู๋จิ้งที่นอนอยู่บนเตียง รู้ตัวโดยพลันว่าตนเองถอยมาจนถึงเตียงใหญ่ด้านในสุดของห้องแล้ว

นางพูดต่อด้วยน้ำเสียงลนลาน “ท่านน้าห้าของเจ้าก็อยู่ที่นี่! วันนี้เขาฟื้นขึ้นมาครั้งหนึ่ง คิดจะล่วงเกินภรรยาเขาต่อหน้า ไม่กลัวเขาตื่นขึ้นมาคิดบัญชีกับเจ้าหรือ”

จ้าวเฟิ่งเสียนหัวเราะหึๆ ยังคงเดินโซเซมาข้างหน้า แม้จะสะดุดขาตนเองจนล้มลงกับพื้นก็ไม่รีบร้อนลุกขึ้น เพียงเงยหน้ามองกู้เจี้ยนหลีพลางฉีกยิ้ม “ท่าน…ท่านน้าห้าจะตายอยู่แล้ว ไม่รับรู้สิ่งใดหรอก ต่อให้ข้าถอดกางเกงถ่ายเบารดหน้าเขาสักยกเขาก็…อึก!”

รอยยิ้มบนใบหน้าจ้าวเฟิ่งเสียนพลันแข็งค้าง ดวงตาเมามายค่อยๆ กลับมามีสติอีกครั้ง ความหนาวเหน็บขุมหนึ่งพลันเข้าจู่โจม เพียงครู่เดียวก็หายเมาเป็นปลิดทิ้ง ทั้งร่างเริ่มสั่นเทิ้ม

กู้เจี้ยนหลีรู้สึกงุนงง จากนั้นค่อยๆ หันไปมองข้างกายตนเองอย่างเพิ่งจะรู้ตัว ที่นางมองเห็นคือดวงตาเรียวรีดุจดวงตาจิ้งจอกที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มคู่หนึ่ง ดวงตาที่เรียวรีเมื่อรวมกับหางตาที่ชี้ขึ้นเล็กน้อยก็พลันมีเสน่ห์ขึ้นอย่างน่าประหลาด อีกทั้งไฝใต้ตาเม็ดนั้นยังช่วยแต่งแต้มกลิ่นอายเย้ายวนเพิ่มขึ้นอีกถึงสามส่วน

บทที่ 6

“หนวกหูยิ่งนัก…”

น้ำเสียงของจีอู๋จิ้งเดิมทีก็เย็นชาอยู่แล้ว ยามนี้เพราะไม่ได้พูดมานาน พอรีบร้อนเอ่ยปากเสียงจึงแหบพร่าอย่างน่าสยดสยอง เพียงได้ยินเสียงเขากู้เจี้ยนหลีก็พลันรู้สึกคล้ายถูกอสรพิษตัวเย็นเฉียบเลื้อยผ่านกระดูกสันหลัง

เหงื่อเย็นผุดพรายเต็มหน้าผากจ้าวเฟิ่งเสียนก่อนหยดลงบนพื้น สองตาเบิกโตด้วยท่าทางราวกับเห็นผี เขานั่งนิ่งอยู่กับพื้นเช่นนั้น ทว่าลำคอกลับยื่นมาข้างหน้าอย่างเครียดเกร็ง

“ท่าน…ท่านน้าห้า…”

“ชู่…” จีอู๋จิ้งค่อยๆ ยกมือขึ้น จรดนิ้วชี้ลงบนริมฝีปาก ในห้องมีเพียงแสงจากตะเกียงดวงเดียว เมื่อไม่มีแสงสว่างมากนัก สีหน้าของเขาจึงยิ่งดูขาวซีดขึ้นไปอีก

จ้าวเฟิ่งเสียนไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงหอบหายใจ

กู้เจี้ยนหลีที่อยู่ด้านข้างหันมองจีอู๋จิ้ง ปิดปากเงียบกริบตามไปอีกคนโดยไม่รู้ตัว

จีอู๋จิ้งลดมือลงก่อนหยัดฝ่ามือไว้กับเตียง จากนั้นค่อยๆ ดันตนเองลุกอย่างเชื่องช้า ขยับขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง มือทั้งสองวางไว้บนหน้าตักอย่างสบายๆ บุรุษผู้นี้แขนขายาว ชุดนอนสีขาวราวหิมะบนร่างสวมไว้อย่างหมิ่นเหม่ คอเสื้อมิได้ทาบปิดสนิท ทำให้แผงอกโผล่พ้นออกมาให้เห็น

เพราะหลับไปนาน มือเท้าใช้การได้ไม่คล่องแคล่ว การกระทำหลายอย่างของจีอู๋จิ้งจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ในสายตากู้เจี้ยนหลีแล้วยาวนานราวกับปล่อยเวลาผ่านไปหนึ่งคืนเต็มๆ ด้วยซ้ำ นางอดไม่ได้ที่จะขยับถอยหลังไปจนหลังติดเสาเตียง ไม่มีทางให้ถอยต่ออีก ในดวงตาคู่งามยามมองจีอู๋จิ้งทั้งฉายแววตกใจระคนโล่งใจ ทั้งฉายแววหวาดกลัวระคนตื่นตระหนก

จีอู๋จิ้งเหลือบมองจ้าวเฟิ่งเสียน เขาเลิกคิ้วขึ้นพลางยกยิ้ม ไฝใต้ตาเม็ดนั้นก็คล้ายจะขยับขึ้นตาม

เขากำลังแย้มยิ้ม ทว่าจ้าวเฟิ่งเสียนกลับเหน็บหนาวซึมลึกถึงกระดูก

“พูดสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่อีกสักรอบซิ”

จ้าวเฟิ่งเสียนตะเกียกตะกายเข้าไปคุกเข่าอยู่หน้าเตียง มือทั้งสองคว้าขอบเตียงไว้มั่น “ท่านน้าห้าข้าผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ! เมื่อครู่เป็นเฟิ่งเสียนเมาสุราจนพูดจาเหลวไหลเอง!”

จีอู๋จิ้งเพียงมองอีกฝ่ายคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ปราศจากแววโมโหโกรธา

ยิ่งเป็นเช่นนี้จ้าวเฟิ่งเสียนยิ่งหวาดกลัวจนหัวหด เขาเงยหน้ามองจีอู๋จิ้ง ทั้งร่างแข็งทื่ออยู่กับที่ สักพักใหญ่จึงค่อยกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ยามนี้ลมหนาวปลายเดือนสิบสองพลันโชยเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดไว้ พัดผ่านแผ่นหลังชุ่มเหงื่อของจ้าวเฟิ่งเสียนพอดี ชวนให้รู้สึกราวกับตกลงไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ

“พูด” จีอู๋จิ้งกล่าวย้ำเป็นครั้งที่สองอย่างเกียจคร้าน

“ท่าน…ท่านน้าห้าจะตายอยู่แล้ว ไม่รับรู้สิ่งใดหรอก ต่อ…ต่อให้…” จ้าวเฟิ่งเสียนกล้ำกลืนฝืนกล่าวคำพูดก่อนหน้านี้ซ้ำอีกครั้ง ทว่ากล่าวได้เพียงครึ่งเดียวก็ตัวสั่นสะท้านไม่กล้ากล่าวต่อแล้ว

“พูดต่อ” จีอู๋จิ้งเหลือบมองคราหนึ่ง น้ำเสียงยามเอ่ยวาจาไร้ความรู้สึก

“ท่าน…ท่านน้าห้าจะตายอยู่แล้ว ไม่รับรู้สิ่งใดหรอก ต่อให้ข้าถอดกางเกงถ่ายเบารดหน้าเขาสักยกเขาก็…” จ้าวเฟิ่งเสียนใช้ความกล้าทั้งหมดกล่าวถ้อยคำเมื่อครู่ ก่อนจะคุกเข่าโขกศีรษะทั้งน้ำตา หน้าผากโขกลงพื้นเสียงดังตึงตัง

“ท่านน้าห้าไว้ชีวิตเฟิ่งเสียนด้วย ต่อไปเฟิ่งเสียนไม่กล้าทำอีกแล้ว!”

มือทั้งสองบนตักจีอู๋จิ้งเลื่อนกลับไปยันเตียงไว้อีกครั้ง ก่อนจะโน้มกายท่อนบนมาด้านหน้าอย่างเชื่องช้าพลางกล่าว “ขาดไปคำหนึ่ง”

“อะ…อะไรนะ”

จ้าวเฟิ่งเสียนเงยหน้ามองจีอู๋จิ้งทั้งน้ำมูกน้ำตาอย่างทึ่มทื่อ ไม่เข้าใจว่าอะไรคือขาดไปคำหนึ่ง ทว่าด้วยสถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุดเช่นนี้ สมองเขาจึงตื่นตัวเกินกว่าปกติ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ประมวลผลได้เร็วที่สุดในชีวิต

“ท่าน…ท่านน้าห้าจะตายอยู่แล้ว ไม่รับรู้สิ่งใดหรอก ต่อให้ข้าถอดกางเกงถ่ายเบารดหน้าเขาสักยกเขาก็…อึก!”

จ้าวเฟิ่งเสียนพูดใหม่อีกครั้งโดยไม่ลืมเติมเสียงสะอึกจากฤทธิ์สุราในตอนท้าย

มุมปากของจีอู๋จิ้งยกขึ้นน้อยๆ หางตาที่ชี้ขึ้นเจือรอยยิ้มอยู่สามส่วนยามหัวเราะอย่างพึงพอใจ “เช่นนี้จึงจะถูกต้อง”

จีอู๋จิ้งหัวเราะแล้ว จ้าวเฟิ่งเสียนกลับร้องไห้แทบไม่ออก ทำได้เพียงกระแอมก่อนร้องเรียกซ้ำๆ “ท่านน้าห้า…ท่านน้าห้า ท่านน้า…”

“รู้หรือไม่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่หลานพูดผิดไป”

จ้าวเฟิ่งเสียนกล่าวเสียงสะอื้น “ใช่ขอรับๆ ท่านน้าพูดถูกทั้งหมด”

จีอู๋จิ้งเอื้อนเอ่ยเชื่องช้า “เทียบกับคนเป็นแล้วข้าชมชอบคนตายมากกว่า แต่ที่ชอบที่สุด…คือคนตายที่ข้าฆ่าเองกับมือ”

เสียงสะอื้นแหบๆ ของจ้าวเฟิ่งเสียนพลันหยุดชะงัก เขารีบนึกย้อนกลับไปอย่างรวดเร็ว

‘ตอนท่านน้าห้ายังแข็งแรงดีชมชอบคนตายเกลียดชังคนเป็นที่สุด เรือนของเขาอยู่ลับตาคน ท่านเรียกใครมาไม่ได้หรอก’

นี่เป็นคำพูดที่เขากล่าวตอนลอบมาหากู้เจี้ยนหลีเมื่อช่วงกลางวัน

น้ำมูกของชายหนุ่มไหลยืดยาว สะอึกสะอื้นพูดขึ้นว่า “ท่านน้า…”

จีอู๋จิ้งมุ่นคิ้ว ดวงตาที่เหลือบมองอีกฝ่ายฉายแววรังเกียจ “ช่างเถิด ไสหัวไปเสีย”

“ขอรับๆๆ เฟิ่งเสียนจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” จ้าวเฟิ่งเสียนราวกับได้รับอภัยโทษ ตะเกียกตะกายลุกขึ้นพร้อมทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ ลนลานวิ่งออกนอกเรือน ขณะข้ามธรณีประตูเขายังล้มคะมำหน้าทิ่มพื้น แต่ก็รีบลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่วว่องไว

“ปิดประตู”

เสียงแหบพร่าของจีอู๋จิ้งดังมาจากด้านหลัง พอจ้าวเฟิ่งเสียนได้ยินก็ก้มหน้าวิ่งกลับมา ใช้มือที่สั่นระริกปิดบานประตูจนสนิท จากนั้นก็รีบหันหลังวิ่งจากไป ระหว่างทางเพราะลนลานจนลืมดูทางจึงล้มลงอีกรอบ พอลุกขึ้นได้ก็ออกวิ่งต่ออีกครั้ง…

สมองเขาคงมีปัญหาแล้วจริงๆ ถึงกำเริบเสิบสานตอนจีอู๋จิ้งยังเหลือลมหายใจสุดท้ายอยู่ เหตุใดไม่รออีกฝ่ายตายสนิทก่อนค่อยก่อเรื่องกันนะ…

ภายในห้อง แผ่นหลังกู้เจี้ยนหลียังคงพิงเสาเตียง สองมือกุมมีดสั้นไว้แน่น เพราะออกแรงมากเกินไป เล็บที่ฉีกก่อนหน้านี้จึงคล้ายจะมีเลือดซึมออกมาอีก ทว่านางกลับไม่รู้สึกเจ็บ

รอดพ้นคราวเคราะห์มาได้ครั้งหนึ่งเดิมทีก็ควรจะดีใจ แต่เมื่อมองไปทางจีอู๋จิ้งกลับคล้ายตกอยู่ในวังวนแห่งความหวาดกลัวอีกขุมหนึ่ง หญิงสาวเครียดเกร็งไปทั้งร่าง ไหล่บอบบางสั่นสะท้านอยู่เนืองๆ

ยามนี้จีอู๋จิ้งค่อยหันมามองนางพลางเลิกคิ้ว ดวงตาเย็นชาสำรวจผ่านๆ ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ยังถือมีดสั้นไว้ด้วยเหตุใด เมื่อครู่แทงสุนัขต่ำช้าไม่ได้จึงอยากแทงข้าชดเชยอย่างนั้นหรือ”

ตอนเริ่มพูดเขาไม่แสดงสีหน้าใดแท้ๆ ไม่รู้เพราะเหตุใดยามพูดจบถึงได้คล้ายผุดยิ้มขึ้นมาเสียได้

“ไม่ ไม่ใช่…” กู้เจี้ยนหลีปล่อยมืออย่างลนลาน มีดสั้นเล่มนั้นพลันร่วงลงไปอยู่ที่พื้นเสียงดัง

กู้เจี้ยนหลีรู้สึกตื่นตระหนกไปหมด นางเคยนึกภาพจีอู๋จิ้งฟื้นขึ้นมาในสักวันก็จริงอยู่ แต่ถึงเคยนึกอย่างไรก็มิได้คาดคิดว่ายามที่เขาฟื้นขึ้นมาจะเป็นเช่นนี้

ใจเย็น…ใจเย็นๆ

กู้เจี้ยนหลีไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี หรือควรจะบอกเขาว่าตนเองคือภรรยาที่จวนก่วงผิงป๋อหามาตบแต่งให้เขาระหว่างที่ไม่ได้สติ ทว่านี่กลับไม่จริงเสียทั้งหมด สายสนกลในมากมายไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ในไม่กี่ประโยคเสียหน่อย

“ข้า ข้า…ท่าน…” นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจี้ยนหลีผู้สุขุมใจเย็นเกิดอาการติดอ่างขึ้นมา

ทันใดนั้นนางพลันรู้สึกตัวว่าตนเองนั่งอยู่มุมเตียง จึงรีบร้อนลุกขึ้นกล่าวเสียงสั่นเครือ “ข้าจะไปตามหมอมาให้…”

นางอยากหนีไปจากตรงนี้เต็มที

ทว่าเพิ่งจะสาวเท้าไปได้ก้าวหนึ่งข้อมือกลับถูกจีอู๋จิ้งคว้าไว้เสียก่อน

มือของเขาเย็นมาก แม้จะเป็นคนป่วยใกล้ตายที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ทว่าแรงกลับไม่น้อย เพียงออกแรงดึงกู้เจี้ยนหลีก็ถลาเข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่าย ขาข้างหนึ่งของหญิงสาวยังคงยืนอยู่ข้างเตียงใหญ่ ส่วนอีกข้างงอลงยันเข่ากับขอบเตียง ร่างเพรียวบางนุ่มนิ่มล้มลงในอ้อมแขนของจีอู๋จิ้ง คางมนกระแทกกับไหล่เขาอย่างแรงทีหนึ่ง ข้อมือข้างหนึ่งยังคงถูกเขายึดไว้ ส่วนอีกข้างชะงักค้างตรงข้างกายของเขา ไม่รู้ว่าควรวางลงตรงที่ใด

จีอู๋จิ้งยังคงนั่งขัดสมาธิเช่นเดิม ไม่ขยับเปลี่ยนอิริยาบถแม้แต่น้อย มือข้างหนึ่งรั้งกู้เจี้ยนหลีเอาไว้มั่น จากนั้นวางมืออีกข้างลงบนเอวของนางก่อนจะลูบไปมา

ต่อให้กำลังเกร็ง เอวของสตรีก็ยังคงนุ่มนิ่มอยู่ดี

กู้เจี้ยนหลีรู้สึกว่าเสียงของคนตรงหน้าเย็นเยียบดั่งอสรพิษ มือของเขาก็เช่นกัน อสรพิษตัวนั้นกำลังเลื้อยไปตามข้างเอวนาง นางได้แต่อดกลั้นสุดชีวิต ทว่าร่างกายกลับสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม ตอนที่กำลังเกร็ง สติก็ยิ่งแจ่มใส นางรู้สึกได้ว่านิ้วมือเรียวยาวของเขากำลังรุกล้ำสาบเสื้อของตนเอง

ชั่วขณะนั้นกู้เจี้ยนหลีมิได้คิดว่าตนเองกำลังถูกล่วงเกิน แต่กลับไพล่ไปคิดถึงโคมไฟหนังมนุษย์

จีอู๋จิ้งพลันปล่อยมือ

กู้เจี้ยนหลียืนได้ไม่มั่นคงจึงเอนล้มลงตรงข้างกายเขา สองมือยันเตียง หงายหลังไปเล็กน้อย หอบหายใจโดยไร้เสียงอยู่สองทีก่อนมองไปทางจีอู๋จิ้งอย่างระมัดระวัง

จีอู๋จิ้งถือผ้าเช็ดหน้าสีขาวพื้นหนึ่งจ่อไว้ตรงริมฝีปากพลางไอโขลก ผ้าสีขาวราวหิมะค่อยๆ ถูกย้อมด้วยสีแดง โลหิตสดๆ อาบย้อมจนเปียกชุ่มไปครึ่งผืน

ผ้าผืนนั้นเป็นผ้าเช็ดหน้าของกู้เจี้ยนหลี

กู้เจี้ยนหลีอึ้งงัน เข้าใจแจ่มแจ้งในตอนนี้เองว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายรั้งนางเข้าใกล้เพื่อจะหยิบผ้าเช็ดหน้าไปจากข้างเอวนาง

กู้เจี้ยนหลีเริ่มสงบจิตสงบใจได้ในที่สุด ยามนี้เปิดปากถามอีกฝ่ายเสียงเบาว่า “ท่าน…ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

จีอู๋จิ้งหยุดไอแล้ว เขาใช้ท้องนิ้วปาดคราบเลือดตรงมุมปากทิ้งไป จากนั้นก้มลงมองผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดแวบหนึ่งก่อนพับผ้าผืนนั้นแล้วค่อยๆ วางลงข้างกายอย่างไม่รีบร้อน กล่าวตอบเสียงแหบแห้ง “ตอนนี้เวลาใดแล้ว ผ่านปีใหม่ไปหรือยัง”

“วันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนสิบสอง” กู้เจี้ยนหลีตอบเสียงเบา

มือที่กำลังวางผ้าเช็ดหน้าชะงักไปเล็กน้อย ขณะที่เจ้าของมือข้างนั้นขมวดคิ้วโดยที่นางไม่ทันสังเกต “เร็วเกินไป”

กู้เจี้ยนหลีไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงสิ่งใด นางค่อยๆ ขยับนั่งหลังตรงพลางถาม “ท่านจะดื่มน้ำหรือไม่ หิวหรือไม่ ข้าจะไปตามหมอมาให้เดี๋ยวนี้”

จีอู๋จิ้งขยับตัวเล็กน้อย ช้อนตาขึ้นจ้องหน้ากู้เจี้ยนหลีด้วยท่าทีเกียจคร้าน พลันรู้สึกว่าคุ้นเคยอยู่บ้าง ในดวงตาปรากฏแววประหลาดใจแวบหนึ่ง จากนั้นยื่นมือไปจับคางหญิงสาวให้เงยหน้าขึ้นมาแล้วหรี่ตาพินิจใบหน้านางอยู่เช่นนั้น “เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับหลีกุ้ยเฟย”

กู้เจี้ยนหลีชะงักไปครู่หนึ่งก่อนตอบ “นางเป็นน้าหญิงของข้า”

ปลายนิ้วของจีอู๋จิ้งลูบคางของอีกฝ่ายอย่างใช้ความคิดก่อนเอ่ยต่อ “บุตรสาวคนเล็กของกู้จิ้งหยวน?”

“เจ้าค่ะ”

ใบหน้านี้ของกู้เจี้ยนหลีถอดแบบมาจากมารดา ซ้ำยังคล้ายคลึงกับหลีกุ้ยเฟยไม่น้อย

บนนิ้วมือของจีอู๋จิ้งมีหนังด้านบางๆ อยู่ สัมผัสเพียงแผ่วเบาก็ทำให้คางของหญิงสาวเกิดรอยแดง กู้เจี้ยนหลีใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ตัวสั่นเทายามถูกนิ้วมืออีกฝ่ายลูบคลำ

จีอู๋จิ้งร้อง “อ้อ” ออกมา แย้มยิ้มอย่างกระจ่างแจ้งก่อนจะเอ่ยถามอีก “บิดาเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

“ท่านพ่อยังสบายดี!” ยามกล่าวถึงบิดาเสียงของกู้เจี้ยนหลีคล้ายจะดังขึ้นเล็กน้อย ทว่าเมื่อคิดถึงอาการของบิดานางในยามนี้แววตาก็พลันเศร้าสร้อย

จากนั้นนางคล้ายนึกบางอย่างได้จึงเงยหน้ามองจีอู๋จิ้งอีกคราอย่างตกตะลึง เขาไม่ได้สติไปครึ่งปี แล้วรู้ได้อย่างไรว่าท่านพ่อเกิดเรื่อง

กู้เจี้ยนหลีอยากจะถามเขา ทว่าด้านนอกกลับมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงของหลินหมัวมัว “ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”

จีอู๋จิ้งปล่อยนางพลางเปลี่ยนมาลูบคางตนเองแทน “ปลา”

“หา?” กู้เจี้ยนหลีฟังไม่เข้าใจ

“ข้าบอกว่าข้าอยากกินปลา” จีอู๋จิ้งเอนพิงด้านหนึ่งของเตียงอย่างเกียจคร้าน ท่าทางคล้ายจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

“ได้ ข้าจะไปบอกให้” กู้เจี้ยนหลีรีบลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว จึงเจอเข้ากับหลินหมัวมัวที่กำลังจะเคาะประตูพอดี

“นายท่านห้าฟื้นแล้ว ไปตามหมอมาเถิด”

หลินหมัวมัวอึ้งงันไปครู่หนึ่งก่อนตบเข่าฉาด “ดีเหลือเกิน! บ่าวจะรีบบอกให้เรือนชั้นนอกเชิญหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”

หญิงสูงวัยจากไปอย่างยินดีปรีดา กู้เจี้ยนหลีที่รั้งอยู่ใต้ชายคากลับไม่ยินดีสักเท่าไร นางเงยหน้าขึ้นมองโคมไฟที่แขวนอยู่อย่างเหม่อลอย ยามนั้นลมเย็นหอบหนึ่งพลันพัดผ่าน ครู่หนึ่งหญิงสาวจึงค่อยรู้สึกหนาวเหน็บ นางมุ่นคิ้วพลางยกมือขึ้นลูบตนเอง ทว่าความเย็นจากปลายนิ้วกลับแพร่กระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: