บทที่ 9
ชั่วขณะแรกที่กู้เจี้ยนหลีตื่นขึ้นมานางรู้สึกงุนงงไม่ทราบว่าตนเองอยู่ที่ใด ตรงหน้านางขมุกขมัวไปหมด มองสิ่งใดได้ไม่ชัดเจน นางถึงกับคิดว่าตนเองมิได้ตื่นขึ้น แต่กำลังฝันถึงแดนเซียนอยู่ด้วยซ้ำ
เมื่อสติสัมปชัญญะค่อยๆ กลับมา ความทรงจำสุดท้ายก็ค่อยๆ ย้อนกลับมาเช่นเดียวกัน
กู้เจี้ยนหลีพลันผุดลุกขึ้นหันมองไปทางอ่างอาบน้ำก่อนร้องเรียกเสียงเบา “นายท่านห้า?”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา
ทั้งห้องข้างนี้เต็มไปด้วยม่านไอน้ำ มองไปทางใดล้วนไม่ชัดเจน
กู้เจี้ยนหลีลูบความชื้นจากไอน้ำบนใบหน้าเล็กน้อยก่อนคลำทางไปยังอ่างอาบน้ำ พอเข้าใกล้จนมั่นใจว่าจีอู๋จิ้งไม่อยู่ด้านในแล้วนางจึงเดินไปผลักหน้าต่างเปิด ไอน้ำมากมายถูกพัดพาออกไปในรวดเดียว ขณะเดียวกันพอลมเย็นตีเข้ามาหญิงสาวก็ย่นคอเล็กน้อย
ยามนี้ทัศนียภาพในห้องค่อยกลับมาชัดเจน
กู้เจี้ยนหลีกวาดสายตารอบห้องอาบน้ำเล็กๆ นี้อีกครั้ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าจีอู๋จิ้งมิได้เป็นลมล้มพับอยู่ตรงมุมใดมุมหนึ่งของห้องจริงๆ จึงรวบชายกระโปรงเดินออกไปข้างนอก
กู้เจี้ยนหลีเพิ่งจะออกมาถึงก็เจอเข้ากับลี่จื่อพอดี อีกฝ่ายยิ้มซื่อๆ ให้นางและพูดขึ้นว่า “กินข้าวเช้าเจ้าค่ะ”
กู้เจี้ยนหลีมองเตียงอันว่างเปล่าแวบหนึ่ง จากนั้นออกเดินไปยังโถงชั้นนอก จีอู๋จิ้งกำลังกินอาหารอยู่ บนใบหน้าปราศจากอารมณ์ นางลอบมองสีหน้าเขาครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม
หญิงสาวรับข้าวมาจากลี่จื่อก่อนจะก้มหน้ากินทีละน้อย จีอู๋จิ้งไม่เอ่ยปาก นางก็ยิ่งไม่คิดเปิดบทสนทนา แม้บรรยากาศยามกินอาหารที่เงียบงันเช่นนี้จะแปลกพิลึกอยู่บ้างแต่ก็ดีกว่าให้พูดคุยกับเขามากนัก
บนโต๊ะมีอาหารจานปลามากมายอีกแล้ว
กู้เจี้ยนหลีคล้ายจะค้นพบว่ายามจีอู๋จิ้งกินปลาจะจดจ่อมากเป็นพิเศษ เขากินอย่างประณีต ซ้ำยังสง่างาม ท่าทางยามใช้ตะเกียบคีบก้างปลาออกมาทีละอันทั้งไหลลื่นและน่ามอง
ระหว่างกำลังกินอยู่นั้นกู้เจี้ยนหลีพลันนึกบางอย่างออก นางเคลื่อนไหวช้าลง กินต่อแบบส่งๆ เพียงคำสองคำก็วางตะเกียบแล้วนั่งอย่างเรียบร้อยรอให้จีอู๋จิ้งกินเสร็จ
จีอู๋จิ้งรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีเรื่องจะพูดกับตนเอง ทว่าเขาไม่รีบร้อน ยังคงละเลียดกินปลาอยู่อย่างนั้น ตอนที่เขากินปลาไม่ว่าใครก็ขัดเขาไม่ได้
ในที่สุดเขาก็วางตะเกียบลง ยกนิ้วชี้ที่ยังอบอวลด้วยกลิ่นหอมของเนื้อปลาขึ้นเลียอีกเล็กน้อยแล้วค่อยเหลือบมองไปยังกู้เจี้ยนหลี “มีอะไรจะคุยกับอาหรือ”
กู้เจี้ยนหลีมุ่นคิ้ว มองข้ามคำเรียกแทนตนเองว่า ‘อา’ แล้วตรงเข้าประเด็นทันที “วันนี้แต่งงานเป็นวันที่สามต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม ข้าอยากกลับไปดูสักหน่อย…”
พอเอ่ยถึงตอนท้ายเสียงของนางกลับเบาลง
เจ้าสาวกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง เพียงแต่กู้เจี้ยนหลีตบแต่งเข้ามาด้วยเหตุผลที่ไม่ธรรมดา หากจีอู๋จิ้งไม่ฟื้นขึ้นมา แน่ชัดว่านางไม่มีโอกาสกลับไปเลยแม้แต่น้อย
แน่นอน แม้อีกฝ่ายจะฟื้นขึ้นมาแล้ว นางก็ไม่มีความคิดจะพาเขากลับไปด้วยกัน
นางจึงกล่าวต่อไปว่า “เมื่อคืนหมอหลวงบอกว่าท่านไม่ควรเดินเหินเป็นเวลานาน ยิ่งไม่อาจทนความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ดังนั้นข้ากลับไปคนเดียวก็ได้ ก่อนฟ้ามืดข้าจะรีบกลับมา…”
จีอู๋จิ้งมองนางพลางลูบคาง พูดขึ้นเสียงเรียบเรื่อยว่า “ฝากทักทายตาเฒ่ากู้จิ้งหยวนแทนข้าด้วย”
กู้เจี้ยนหลียังไม่ทันได้โมโหที่อีกฝ่ายเรียกบิดาตนเองเช่นนั้น ดวงตาก็พลันเปล่งประกาย เขาอนุญาตแล้ว!
นางกล่าวต่ออีกว่า “หลินหมัวมัวยังต้องดูแลคุณหนูสี่กับคุณชายหก ท่านให้ลี่จื่อไปกับข้าด้วยได้หรือไม่”
จีอู๋จิ้งเหลือบมองไปทางลี่จื่อที่นั่งยองๆ เล่นก้อนหินอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะเหลือบมองกู้เจี้ยนหลีอย่างนึกรังเกียจ “สกุลกู้ของเจ้าตกอับจนไม่ได้เตรียมสาวใช้ติดตามเจ้ามาเชียวหรือ”
กู้เจี้ยนหลีคิดจะอธิบาย ทว่ายังไม่ทันเอ่ยปากในแววตาพลันเกิดประกายบางอย่างวูบผ่าน นางกดข่มความตื่นเต้นไว้ พยายามเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สาวใช้ที่จะติดตามมาจากบ้านเดิมของข้าเกิดเรื่องที่บ้านเล็กน้อยจึงตามมาไม่ทัน ข้าจะรีบเขียนจดหมายให้นาง บอกว่าจัดการเรื่องที่บ้านเสร็จแล้วให้รีบตามมา”
หญิงสาวพูดไปพลางสังเกตสีหน้าอีกฝ่ายไปพลาง
จีอู๋จิ้งมือหนึ่งยังคงลูบคาง อีกมือยกตะเกียบขึ้นเขี่ยก้างปลาเล่น หลังกู้เจี้ยนหลีพูดจบเขาเพียงรับคำอย่างส่งๆ ไม่ได้ทำสิ่งใดเพิ่มเติม
“เช่นนั้นข้าไปก่อน” กู้เจี้ยนหลีบอกเขาก่อนลุกขึ้นหมุนกายเดินออกไป แผ่นหลังของนางเหยียดตรง ทุกย่างก้าวเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับวัดระยะมาแล้วอย่างดี ทั้งยังสง่างามอ่อนช้อยอยู่ในที
จีอู๋จิ้งช้อนตาขึ้น จ้องมองแผ่นหลังที่จากไปอย่างเชื่องช้าของกู้เจี้ยนหลี พลันยกมุมปากพลางหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย
ฝ่ายกู้เจี้ยนหลีแม้พยายามเก็บซ่อนความยินดีปรีดาไว้ แต่มุมปากกลับยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
เดิมทีวันนี้ได้กลับบ้านเดิมไปเยี่ยมบิดาก็นับเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งยวดแล้ว นึกไม่ถึงว่านางจะสามารถรับจี้ซย่ากลับมาอยู่ข้างกายได้อีกครั้ง
จี้ซย่าผู้นี้เป็นสาวใช้คนสนิทของนาง อายุเท่ากัน เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ตอนที่สกุลกู้เกิดเรื่อง บ่าวรับใช้ถูกยกเลิกสัญญาและแยกย้ายกันไปทั้งหมด เดิมจี้ซย่าต้องการติดตามกู้เจี้ยนหลีต่อ ทว่าที่ที่ครอบครัวของกู้เจี้ยนหลีพักอยู่กลับเล็กและคับแคบมาก ไม่สามารถเจียดให้จี้ซย่าอาศัยด้วยได้แม้แต่น้อย กู้เจี้ยนหลีจึงใจแข็งปล่อยจี้ซย่ากลับบ้านตนเองไป ภาพยามร่ำไห้ลาจากเมื่อกาลก่อนคล้ายเพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า ยามนี้…นางสามารถเรียกตัวจี้ซย่ากลับมาได้แล้ว
กู้เจี้ยนหลีหยีตามองแสงอาทิตย์อบอุ่นของยามเช้า ร่างกายพลันรู้สึกอบอุ่นตาม
เดิมทียามกู้เจี้ยนหลีตบแต่งเข้ามาพิธีการใดล้วนจัดอย่างเรียบง่ายได้ ทว่ายามนี้จีอู๋จิ้งฟื้นแล้ว คนในจวนพอได้ยินว่ากู้เจี้ยนหลีจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมก็ตระเตรียมเกี้ยวและของขวัญไว้ให้พร้อมสรรพในทันที
แม้จะดูทำส่งๆ อย่างเคย แต่ยังนับว่าพอดูได้
กู้เจี้ยนหลีอยากรีบกลับไปเยี่ยมบิดา จึงมิได้นึกถือสาเรื่องนี้
เรือนเล็กที่สกุลกู้อาศัยอยู่ยามนี้ตั้งอยู่ห่างไกล ทางตรงต้นตรอกที่จะเข้าไปก็แคบมาก แม้แต่เกี้ยวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้จึงต้องหยุดลงตรงมุมถนน พอกู้เจี้ยนหลีลงจากเกี้ยวก็รีบเดินตรงไปทางเรือน กฎระเบียบที่ห้ามมิให้เปิดเผยใบหน้าง่ายๆ ในสามเดือนที่ผ่านมาล้วนทิ้งไว้เบื้องหลังจนหมดสิ้น
“สกุลเฉินของเจ้าทำเรื่องเช่นนี้จะต้องไม่ตายดี!”
ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงตะโกนของเถาซื่อ ในใจกู้เจี้ยนหลีพลันตื่นตระหนก สกุลเฉินเป็นบ้านสามีของพี่สาวนาง สามเดือนมานี้ญาติสนิทมิตรสหายที่คอยซ้ำเติมเมื่อลำบากมีมากพอแล้ว คงมิใช่แม้แต่พี่เขยก็…
พี่สาวกับพี่เขยของนางมิใช่ว่ารักใคร่กลมเกลียวจนคนทั้งเมืองหย่งอันอิจฉาตาร้อนหรอกหรือ!
กู้เจี้ยนหลีขบริมฝีปาก รวบกระโปรงออกวิ่งไปทางเรือน หน้าประตูเรือนยังคงมีคนมารอชมความครึกครื้นมากมายเช่นเคย ภาพนี้ดูแล้วช่างคุ้นตาเสียนี่กระไร
ลี่จื่อที่ตามมาด้วยช่วยผลักคนที่บังทางข้างหน้าออกไป จากนั้นหันมาส่งยิ้มโง่งมให้กู้เจี้ยนหลี
กู้เจี้ยนหลีไม่ทันคิดสิ่งใดให้มากความ นางรีบเปิดประตูเรือนเข้าไปพลางเอ่ยทิ้งไว้เพียงประโยคเดียว “ลี่จื่อ ไล่คนด้านนอกออกไปให้หมด”
“เจ้าค่ะ…” ลี่จื่อรับคำเสียงยืดยานก่อนจะชูกำปั้นใส่กลุ่มคนที่มาชมความครึกครื้นเหล่านั้น พวกเขาเห็นนางเป็นแม่นางน้อยที่สมองดูเหมือนจะใช้การไม่ค่อยได้ผู้หนึ่งจึงไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งหนึ่งหมัดของลี่จื่อชกลงไป คนกลุ่มนั้นก็แตกฮือไปคนละทิศคนละทางด้วยความหวาดกลัว
“เจี้ยนหลี?! กลับมาแล้วหรือ” เถาซื่อเห็นนางเข้าก็ทั้งตกใจและดีใจ รีบเดินเข้ามาหาทันที
กู้เจี้ยนหลีมองฉินหมัวมัวที่ยืนอยู่ในลานเรือนครู่หนึ่ง คนผู้นี้เป็นหมัวมัวผู้ดูแลจากสกุลเฉิน กู้เจี้ยนหลีย่อมรู้จักดี
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องของข้าเลย พี่หญิงเป็นอย่างไรบ้าง”
เถาซื่อโกรธจนตัวสั่น ชี้ไปทางฉินหมัวมัวก่อนตอบ “พวกสกุลเฉินรังแกพี่สาวเจ้า!”
ฉินหมัวมัวมองสำรวจกู้เจี้ยนหลีคราหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นยิ้มๆ “คุณหนูรองสกุลกู้…ไม่สิ ตอนนี้ควรเรียกว่าฮูหยินห้าสกุลจีแล้ว มารดาของท่านอารมณ์ร้ายยิ่งนัก บ่าวนำความเรียนท่านจะดีกว่า ท่านควรเตือนพี่สาวของท่านเสียหน่อยนะเจ้าคะว่าระหว่างสามีภรรยาไม่ควรมีฝ่ายใดวางอำนาจจนเกินไป แต่งงานกันสามปีไม่มีทายาทนี่ไม่เหมาะสมแล้ว สกุลเฉินของเราจะหาคนมาตบแต่งใหม่ก็นับว่าสมเหตุสมผล สภาพการณ์สกุลกู้ของท่านเป็นเช่นนี้ รอจนพ้นปีใหม่ไปเกรงว่าไม่แคล้วต้องรับโทษอีกครา ที่ฮูหยินของเราจัดเรือนให้พี่สาวของท่านอยู่ข้างนอกจวนอย่างสุขสบายก็เพียงแค่อยากให้นางหนีจากเรื่องยุ่งยากไปก่อน…”
ในดวงตาเรียวรีของกู้เจี้ยนหลีเต็มไปด้วยแววเหลือเชื่อระคนกรุ่นโกรธ วาจาเหล่านี้นางไม่อาจไม่ตกใจ
“สกุลเฉินของพวกท่านคิดจะขังภรรยาเอกไว้ต่างอนุนอกเรือน จากนั้นก็แต่งภรรยาใหม่แทนอย่างนั้นหรือ” กู้เจี้ยนหลีเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว เข้าใกล้ฉินหมัวมัวมากขึ้นด้วยท่าทีกดดัน
ดวงตาของฉินหมัวมัวพลันสั่นไหว อธิบายขึ้นอย่างร้อนตัว “ที่กล่าวว่าหย่าร้างภรรยานั้นเป็นเพียงแผนการเฉพาะหน้าเท่านั้นเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่เตรียมเรือนไว้นอกจวนหรอก ทุกอย่างล้วนทำเพียงชั่วคราว เพียงชั่วคราวเท่านั้น…”
“สกุลเฉินของพวกเจ้าอย่าได้แม้แต่จะคิด!” เถาซื่อโกรธจนควันออกหู “ใครคอยสนับสนุนสกุลเฉินของพวกเจ้า ใครช่วยพวกเจ้าสกุลเฉินใช้หนี้จนหมด! ตอนแรกเป็นใครกันที่คุกเข่าสาบานให้ฟ้าดินเป็นพยานว่าจะดีกับไจ้หลีของเรา ตอนนี้พอเกิดเรื่องกลับทำเช่นนี้ให้ผู้อื่นนึกรังเกียจ! อยากจะปัดสัมพันธ์ให้พ้นทาง แต่ก็ตัดใจทิ้งหงส์ฟ้าที่ตนได้ไปครอบครองไม่ลงเลยจะรั้งไจ้หลีไว้ให้เป็นอนุนอกเรือน ไม่มีใครน่ารังเกียจเท่าสกุลเฉินของพวกเจ้าอีกแล้ว! รอให้นายท่านของเราฟื้นขึ้นมาล้างมลทินก่อนเถิด รับรองไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่!”
“อ้อ” ฉินหมัวมัวอุทานออกมา ถ้อยคำต่อจากนั้นเต็มไปด้วยแววถากถางเยาะเย้ย “ล้างมลทิน? กู้ฮูหยิน ใต้หล้านี้เกรงว่าคงมีแต่พวกท่านเท่านั้นล่ะที่เชื่อว่าเขาถูกปรักปรำ…”
วาจานี้ล่วงล้ำมาเหยียบย่ำความบริสุทธิ์ของกู้จิ้งหยวนโดยตรง เถาซื่อจึงยิ่งโกรธเกรี้ยว ชี้หน้าด่าฉินหมัวมัวทันที “นางบ่าวชั้นต่ำเช่นเจ้าลองพูดอีกรอบดูสิ!”
ตอนนั้นเองกู้ไจ้หลีผลักประตูออกมาอย่างแรง ยืนอยู่หน้าประตูด้วยใบหน้าเรียบเฉย จากนั้นค่อยๆ ก้าวออกมา ทั่วร่างบอบบางเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นชาสูงส่ง
“รบกวนฉินหมัวมัวนำหนังสือหย่าฉบับนี้กลับไปด้วย” กู้ไจ้หลียัดจดหมายฉบับหนึ่งใส่มือฉินหมัวมัว “จากนี้สกุลกู้เรากับสกุลเฉินของพวกท่านไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
“นี่…” ฉินหมัวมัวมองหนังสือหย่าในมือตนเองคราหนึ่ง
กู้เจี้ยนหลีมองผู้เป็นพี่ เห็นน้ำตาของนางหยดลงอย่างรวดเร็วขณะหันกายเดินกลับไป
ฉินหมัวมัวคิดจะตามกู้ไจ้หลีไป กู้เจี้ยนหลีกลับเอาตัวเข้าขวาง แตกต่างจากโทสะของเถาซื่อ น้ำเสียงของกู้เจี้ยนหลีกลับเต็มไปด้วยความเย็นชาห่างเหิน “เชิญกลับไปได้แล้ว”
ฉินหมัวมัวมองกู้ไจ้หลีที่เดินจากไปไกลขึ้นทุกที จากนั้นมองไปยังเถาซื่อที่โทสะยังไม่คลาย สุดท้ายก็กลับมามองกู้เจี้ยนหลีซึ่งอยู่ตรงหน้า ถอนหายใจคราหนึ่งก่อนจะหมุนกายเดินจากไป
ทันใดนั้นกู้ชวนที่อยู่ในห้องพลันร้องขึ้นเสียงดัง กู้เจี้ยนหลีกับเถาซื่อต่างตกใจ พากันรีบวิ่งตามไปดู
ดวงตาฉินหมัวมัวพลันสว่างวาบ คิดจะตามไปดูอีกคน ทว่ากลับถูกลี่จื่อคว้าคอเสื้อจากทางด้านหลังโยนออกไปนอกประตูเรือนเสียก่อน
จากนั้นมีเสียงของกู้เจี้ยนหลีดังมาจากด้านใน “ลี่จื่อ รีบไปเชิญท่านหมอมาเร็ว!”
“ได้เลยเจ้าค่ะ!” ลี่จื่อฉีกยิ้ม กระโดดโลดเต้นออกไปตามหาหมออย่างสบายอารมณ์
“เร็วหน่อย!” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยสำทับเป็นครั้งที่สอง
พอลี่จื่อได้ยินเช่นนั้นจากที่กระโดดโลดเต้นอยู่ก็รีบพุ่งออกไปราวกระต่ายออกวิ่ง ผ่านไปครู่เดียวก็ดึงคอเสื้อหมอผู้หนึ่งเป็นการ ‘เชิญ’ กลับมา
ภายในห้องกู้ไจ้หลีเอนพิงหัวเตียงมองสีหน้าเป็นกังวลของเถาซื่อกับกู้เจี้ยนหลี นางยกยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เป็นไรเสียหน่อย”
“ไม่เป็นไรแล้วจะเป็นลมล้มพับกะทันหันได้อย่างไร” เถาซื่อไม่เห็นด้วย
ด้านกู้เจี้ยนหลีเอ่ยถามท่านหมอ “พี่สาวข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ท่านหมอจับชีพจรอยู่นาน ในที่สุดก็ปล่อยมือแล้วประสานมือกล่าว “ยินดีด้วย ฮูหยินท่านนี้ตั้งครรภ์แล้วขอรับ”
ทุกคนในห้องได้ยินแล้วต่างนิ่งอึ้งไปพร้อมกัน
กู้ไจ้หลีเม้มปากแน่นอย่างไม่อยากเชื่อ นางลองมาหลายวิธีการแล้วแต่สามปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยตั้งครรภ์ ยามนี้กลับตั้งครรภ์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
กู้เจี้ยนหลีลอบมองสีหน้าของผู้เป็นพี่สาวก่อนถามย้ำกับท่านหมออีกครั้ง “ท่านมั่นใจหรือ”
“แน่นอนว่ามั่นใจ!”
ท่ามกลางความเงียบหลังจากนั้นกู้ไจ้หลีพลันถอนใจเสียงเบาคราหนึ่งแล้วเอ่ยปากอย่างเรียบเฉย “ท่านหมอ รบกวนท่านเขียนเทียบยาขับเลือดให้ข้าด้วย”
“หา?! นี่…” ท่านหมอมองสีหน้าคนนั้นทีคนนี้ที ก่อนจะกระจ่างแจ้งโดยพลัน
กู้เจี้ยนหลีมุ่นคิ้ว อยากเตือนอีกฝ่ายแต่ไม่รู้ควรเตือนเช่นไร ซ้ำยังไม่รู้ว่าควรเตือนดีหรือไม่ จึงเอาแต่มองสีหน้าเรียบนิ่งของพี่สาว ก่อนจะกุมมือนางเอาไว้พลางถามเสียงอ่อน “พี่หญิง ท่านคิดดีแล้วหรือ”
บทที่ 10
กู้ไจ้หลีพยักหน้ารับ “ไม่มีสิ่งใดควรค่าให้เก็บไว้ระลึกถึงหรอก”
เถาซื่อเผยอปากอ้า อยากจะโน้มน้าวนางอีกแรง ทว่าสุดท้ายก็อดใจไม่เอ่ยออกไป นางเข้าใจลูกเลี้ยงทั้งสอง พูดอีกนัยหนึ่งคือนางเข้าใจวิธีการเลี้ยงลูกของกู้จิ้งหยวน เขามักสอนบุตรสาวว่าเส้นทางที่แตกต่างนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน ทว่าจะเลือกทางใด สิทธิ์ในการตัดสินใจล้วนเป็นของพวกนาง ต่อให้เขาไม่เห็นด้วย เขาก็จะไม่ห้ามปราม ดังนั้นบุตรสาวทั้งสองที่เสียมารดาบังเกิดเกล้าไปตั้งแต่เล็กจึงมีความคิดของตนเองมาแต่ไหนแต่ไร พึ่งพาตนเองเก่งเป็นที่สุด ซ้ำแม่นางน้อยสองคนนี้ยังเป็นจอมดื้อดึง หากเป็นเรื่องที่ตัดสินใจแล้ว ผู้อื่นจะขัดขวางมิได้เด็ดขาด คนในสกุลกู้ล้วนแต่เคยชินแล้ว
พวกนางจะรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง และไม่เข้าไปก้าวก่ายการตัดสินใจของใคร
กู้ไจ้หลีต้มยาด้วยตนเอง จากนั้นยกชามขึ้นดื่มอย่างเยือกเย็น
ยามยาขมไหลลงสู่ลำคอ นางนึกถึงตำรับยาช่วยให้ตั้งครรภ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ตนเองดื่มลงไป ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกราวกับหลุดพ้น
สามปีมานี้นางตั้งมั่นจะมีบุตรสักคนเพื่อสิ่งใดกัน
มิใช่เพียงเพราะคาดหวังหรือชื่นชอบเด็กเล็กเท่านั้นหรอก
กล่าวกันว่าสตรีอยู่บ้านเชื่อฟังบิดา ออกเรือนเชื่อฟังสามี สิ้นสามีเชื่อฟังบุตร ถ้อยคำเรียบง่ายแสนธรรมดานี้ครอบคลุมทั้งชีวิตของสตรีผู้หนึ่ง สตรีมักเป็นฝ่ายต้องโอนอ่อนอยู่เสมอ มารดาจะรุ่งโรจน์ได้ก็ต้องพึ่งบุตร ความหมายของทั้งชีวิตสตรีราวกับมีไว้เพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลเท่านั้น เมื่อมีบุตรของตนเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ หากไม่มีบุตรหรือมีเพียงบุตรสาวกลับต้องแบกรับคำติฉินนินทา หากสามีกล่าวว่าไม่เป็นไรก็ต้องรู้สึกซาบซึ้งยิ่งยวด
ช่างน่าเวทนา
ที่ทนทุกข์ทรมานเสาะหาวิธีมีบุตรมาสามปีก็เพียงเพราะต้องการบรรเทามิให้บ้านสามีเรียกร้องเข้มงวด มิให้ผู้อื่นติฉินนินทา มิให้ตนเองคอยกังวลว่าตำแหน่งภรรยาจะสั่นคลอน มิให้ต้องรู้สึกโทษตนเองทั้งที่ไม่ควรรู้สึกเลยเท่านั้น ความลำบากสามปีนี้ได้ชะล้างความต้องการแรกเริ่มที่เพียงแค่อยากมีบุตรน่ารักๆ สักคนจนหมดสิ้นแล้ว
กู้ไจ้หลีดื่มยาขมจนหยดสุดท้าย มุมปากพลันยกขึ้นบางเบา
ดีจริงๆ ในที่สุดก็จบลงแล้ว
กู้เจี้ยนหลีกุมมือพี่สาวไว้ นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่หญิง ท่านรอข้านะ รอข้าได้หย่าและออกจากจวนก่วงผิงป๋อแล้ว ต่อไปจะอยู่เป็นเพื่อนท่านทุกวัน”
“ได้สิ” กู้ไจ้หลียิ้มมองน้องสาว “บุรุษในโลกก็เหมือนกันหมด ไม่มีใครดีกับข้าได้ครึ่งหนึ่งของน้องหญิงหรอก”
“อื้ม!” กู้เจี้ยนหลีรับคำอย่างจริงใจ
เถาซื่อมองสองพี่น้องที่จับมือสนทนากันโดยไม่เอ่ยวาจา
กู้เจี้ยนหลีขึ้นมานอนบนเตียงกับผู้เป็นพี่ พูดคุยไปพลางจับมือไปพลางเหมือนเมื่อครั้งยังเด็ก พวกนางผลัดกันเล่าเรื่องสนุกในอดีต รวมถึงแผนการมากมายที่หวังจะทำในอนาคต ยามกู้เจี้ยนหลีอยู่กับพี่สาวนางมีเรื่องมากมายให้แลกเปลี่ยนอย่างไม่รู้จบ น่าเสียดายที่เวลากลางวันช่างแสนสั้น นางจำเป็นต้องกลับจวนก่วงผิงป๋อแล้ว
ระหว่างทางกลับไปจวนก่วงผิงป๋อ กู้เจี้ยนหลีเอนศีรษะลงแนบขมับกับด้านหนึ่งของเกี้ยว ศีรษะของนางสั่นไปมาเล็กน้อยตามจังหวะโคลงเคลงยามเกี้ยวเคลื่อนไปข้างหน้า ทว่านางไม่รู้สึกเลยสักนิด เพียงจดจ่ออยู่กับเรื่องมากมายในบ้านตนเอง คิดถึงโทษที่บิดาถูกปรักปรำ คิดถึงความยากลำบากของมารดาเลี้ยง คิดถึงชีวิตในวันข้างหน้าของพี่สาว ตลอดจนคิดถึงน้องชายคนเล็กที่ต้องหยุดเรียนหนังสือไปอย่างน่าเสียดาย
“เจี้ยนหลี! เจี้ยนหลี…” เถาซื่อวิ่งหอบแฮกตามมา
กู้เจี้ยนหลีรีบสั่งให้หยุดเกี้ยวแล้วลงไปหาอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ “ท่านตามมาด้วยเหตุใดกัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ”
นางจากมาได้สักพักใหญ่แล้ว เถาซื่อวิ่งตามมาเช่นนี้จึงหอบหายใจไม่หยุด ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อไปหมด
เถาซื่อจับแขนเรียวของกู้เจี้ยนหลีไว้ พูดปนหอบว่า “วันนี้เอาแต่สนใจเรื่องพี่หญิงของเจ้า ไม่ได้ถามให้ละเอียดเลยว่าเจ้าไปอยู่จวนก่วงผิงป๋อโดนผู้ใดรังแกเอาเปรียบบ้างหรือไม่”
กู้เจี้ยนหลีพลันรู้สึกแสบจมูกขึ้นมา
“ท่านถามไปแล้วมิใช่หรือ ข้าก็ตอบท่านแล้วว่าข้าสบายดี ทุกอย่างล้วนเป็นไปด้วยดี” กู้เจี้ยนหลีพยายามปิดบังความทุกข์ในน้ำเสียงอย่างสุดความสามารถ
เถาซื่อส่ายศีรษะไปมา ตอบกลับทั้งที่ยังหอบหายใจ “ข้ากลัวว่าเจ้าจะปิดบังเรื่องร้ายเล่าแต่เรื่องดีน่ะสิ!”
“มิใช่สักหน่อย” กู้เจี้ยนหลีส่ายศีรษะยิ้มๆ “ทุกอย่างดีมากจริงๆ หากว่าไม่ดี วันนี้ข้าก็คงกลับมาไม่ได้จริงหรือไม่”
ตอนนี้เถาซื่อจึงพยักหน้า ก่อนจะยัดรองเท้าคู่หนึ่งใส่มือกู้เจี้ยนหลีพลางเอ่ยยืดยาว “วันนี้เพิ่งจะทำเสร็จ เด็กน้อยเช่นเจ้ากลัวอากาศหนาว ข้าจึงบุผ้าเข้าไปเพิ่ม เวลาใส่จะได้อบอุ่น”
กู้เจี้ยนหลีพยักหน้ารับพลางกระชับรองเท้าที่เถาซื่อตัดเย็บเองไว้ในมือ ก่อนจะกลับขึ้นเกี้ยวโดยมีอีกฝ่ายคอยเร่ง ตอนที่เกี้ยวถูกยกขึ้นอีกครั้ง กู้เจี้ยนหลีหลุบตามองรองเท้าในมือ น้ำตาพลันพรั่งพรูหยดลงบนรองเท้าสีชมพูอ่อน
นางทำใจจากบิดาไปไม่ได้ ซ้ำยามนี้ยังเป็นห่วงพี่สาวอีก ทว่าด้วยสภาพในยามนี้นางไม่อาจดื้อดึง ทำได้เพียงกลับจวนก่วงผิงป๋อท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง
ยามที่มาถึงจวนกู้เจี้ยนหลียังไม่ทันก้าวเข้าไปในเรือนหลังเล็กก็เห็นจากที่ไกลๆ ว่าผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่ในเรือน ฝีเท้าของสาวใช้ที่เดินไปมายังดูรีบร้อนอย่างมาก
“นี่เกิดอะไรขึ้น…” ในใจกู้เจี้ยนหลีพลันรู้สึกหนักอึ้ง มือบางรวบชายกระโปรงวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ะ ในที่สุดอาสะใภ้ห้าก็กลับมาเสียที” จีเยวี่ยหมิงยืนอยู่ตรงประตู บนร่างสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีแดงสด ในมือถือเตาอุ่นมือที่กำลังอุ่นอยู่ไว้ สายตายามมองมาที่กู้เจี้ยนหลีเต็มไปด้วยความปรีดาเมื่อผู้อื่นมีทุกข์มาเยือนอย่างไม่ปิดบัง
กู้เจี้ยนหลีพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง นางไม่ได้สนใจจีเยวี่ยหมิง เพียงรีบเดินเข้าประตูไป
เหล่าสมาชิกสตรีในจวนก่วงผิงป๋อต่างนั่งรอกันอยู่ในห้องโถงชั้นนอก
ภาพนี้ช่างคุ้นตานัก เหมือนเมื่อคืนก่อนยามที่จีอู๋จิ้งเพิ่งฟื้นแล้วพวกเขารีบมาเยี่ยมเยียนไม่มีผิดเพี้ยน
กู้เจี้ยนหลีเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่เป็นคนเอ่ยตอบ “น้องห้าจู่ๆ ก็สลบไป หมอหลวงจากในวังกำลังรักษา ตอนนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมาชั่วคราว”
กู้เจี้ยนหลีหันมองไปในห้องช้าๆ ดวงตาจิ้งจอกของจีอู๋จิ้งราวกับปรากฏขึ้นตรงหน้าโดยพลัน คนน่าชังผู้นั้นป่วยจนสลบไปอีกแล้วหรือ ทั้งที่ก่อนนางจะจากไปตอนเช้าแม้หน้าเขาจะยังซีดขาวแต่ก็ยังดูดีอยู่ชัดๆ
ฮูหยินรองมองกู้เจี้ยนหลีแวบหนึ่งก่อนเอ่ยปาก “เจ้าเพิ่งตบแต่งเข้ามา คงไม่เข้าใจอาการป่วยของน้องห้าเท่าใด”
ความนัยในคำพูดนั้นราวกับต้องการจะบอกนางว่า ‘อย่าได้คิดว่าเมื่อคืนจีอู๋จิ้งฟื้นขึ้นมาแล้วโชคจะหล่นทับเจ้าล่ะ’
ทั้งจวนก่วงผิงป๋อล้วนอยากให้กู้เจี้ยนหลีรีบตาย ในบรรดาคนทั้งหมดฮูหยินรองนั้นคาดหวังผลลัพธ์เช่นนี้กว่าใคร เพราะนางยังเป็นกังวลว่าจะไม่มีคำอธิบายให้บุตรชายตนเอง
รอจนความตื่นตระหนกในตอนแรกหายไป ดวงตาของกู้เจี้ยนหลีก็กลับมาเยือกเย็น เพียงแค่มองไปในห้องอย่างเงียบงัน
เมื่อครู่จีเยวี่ยหมิงเดินตามกู้เจี้ยนหลีเข้ามาด้วย ยามนี้นางยกยิ้มพลางเดินมาหยุดอยู่ข้างอีกฝ่าย กล่าวขึ้นเบาๆ พอให้ได้ยินเพียงสองคนว่า “เมื่อวานข้าก็บอกแล้ว ท่านแต่งเข้ามาช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้จริง พอท่านมาท่านอาห้าก็ฟื้น ทว่าพอท่านหายไปจากจวนหนึ่งวันท่านอาห้ากลับสลบไปอีก ลองคิดดูสิว่าเป็นความผิดของท่านหรือไม่”
นางหัวเราะหยัน “ไม่ถูกอยู่ดี บางทีเมื่อคืนท่านอาห้าอาจเพียงฟื้นขึ้นมาด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็ได้”
ทันใดนั้นกู้เจี้ยนหลีพลันยกมือขึ้นฟาดลงไปเต็มแรง
จีอู๋จิ้งยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ ไม่ว่าใครในที่นี้ก็ล้วนแต่ตีหน้าเครียด ในโถงเต็มไปด้วยผู้คนทั้งนายบ่าว ทว่าไร้ซึ่งเสียงเอะอะ เงียบเสียจนเสียง ‘เพียะ’ ที่ดังขึ้นฟังดูก้องกว่าปกติ
จีเยวี่ยหมิงถูกตบจนมึนงง นางซวนเซไปสองก้าวก่อนจะล้มลง ตอนที่ล้มลงไปยังกระแทกโต๊ะสามเหลี่ยมทรงสูงเข้า เครื่องลายครามที่เดิมวางอยู่บนนั้นตกลงมาแตกกระจายเต็มพื้น
ทุกคนต่างมองภาพนี้อย่างตกใจ ต่อให้เป็นฮูหยินทั้งหลายที่ผ่านโลกมามากก็ยังตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะ หนึ่งฝ่ามือของกู้เจี้ยนหลีนี้ตบลงเพียงบนใบหน้าของจีเยวี่ยหมิง กลับคล้ายตบคนทั้งหมดในห้องนี้ให้มึนงงไปตามกัน
จีเยวี่ยหมิงกุมใบหน้าที่เริ่มรู้สึกเจ็บของตนแล้วหันไปมองกู้เจี้ยนหลีอย่างคาดไม่ถึง
กู้เจี้ยนหลียืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เหลือบมองจีเยวี่ยหมิงเช่นผู้อยู่เหนือกว่า “คุณหนูหมิง ปกติเจ้าไร้มารยาทไม่เคารพผู้ใหญ่ก็แล้วไปเถิด อายุยังน้อย ข้าไม่ถือสาหาความก็ได้ ทว่าวันนี้เจ้าพูดถึงท่านอาห้าของตนเองพล่อยๆ เช่นนี้ใช้ได้ที่ใดกัน ท่านอาห้าของเจ้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจให้ลูกหลานเช่นเจ้าเอาชีวิตเขามาสาปแช่งส่งเดช! ที่ตบเจ้าคราวนี้เป็นการลงโทษแทนท่านอาห้าของเจ้า หากยังคิดสาปแช่งเขาอีกแม้แต่ประโยคเดียว หนังสือกราบทูลจะส่งถึงเบื้องพระพักตร์ กล่าวโทษเจ้าที่อกตัญญูไร้เมตตาไร้คุณธรรม!”
กู้เจี้ยนหลีเพิ่งจะถึงวัยปักปิ่น เสียงของนางก็ฟังดูอ่อนหวาน ทว่ายามสั่งสอนคนด้วยแววตากรุ่นโกรธกลับน่าเกรงขามยิ่ง ทำเอาทุกคนถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
พอถูกสถานการณ์บีบบังคับ แม้กู้เจี้ยนหลีอดกลั้นมานานก็มิได้แปลว่าต้องอดกลั้นไปทุกเรื่อง โดยเฉพาะกับจีเยวี่ยหมิงที่โง่เง่าถึงขั้นยื่นหน้ามาให้ตบถึงที่ หากนางยังอดกลั้นต่อจะไม่กลายเป็นคนโง่งมเช่นกันหรอกหรือ
“เจ้า…” จีเยวี่ยหมิงชี้หน้ากู้เจี้ยนหลี นางโกรธจัดจนสั่นไปทั้งตัว “เจ้ากล้าใช้ท่านอาห้าเป็นข้ออ้างหยามเกียรติข้า!”
“เยวี่ยหมิง!” ฮูหยินใหญ่ผุดลุกขึ้นทันที “เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว!”
ชื่อเสียงของสตรีสำคัญยิ่งนัก เดิมทีการหมั้นหมายของจีเยวี่ยหมิงก็ไม่ราบรื่นอยู่แล้ว ไม่อาจให้นางแบกรับชื่อเสียงเลวร้ายเช่นนี้เพิ่มมาอีกเป็นอันขาด
“ด้านนอกโวยวายอะไรกัน ไม่รู้หรือว่าเจ้าห้าไม่อาจฟังเสียงหนวกหู!” ฮูหยินผู้เฒ่าเดินออกมาโดยมีซ่งหมัวมัวคอยประคอง นางกวาดสายตามองรอบโถงพลางขมวดคิ้ว
หมัวมัวผู้หนึ่งก้าวเข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าก่อนรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟังอย่างละเอียด
กู้เจี้ยนหลีหลุบตาลง มือขวาที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อกำเข้าหากันแล้วจึงแบออก จากนั้นก็กำใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่นางตบผู้อื่น ไม่รู้จังหวะเลยสักนิดจึงรู้สึกเจ็บมือมาก…นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงจี้ซย่า หากจี้ซย่ากลับมา นางก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเองแล้ว
ตอนนั้นเองจู่ๆ กู้เจี้ยนหลีก็สัมผัสได้ถึงสายตาเคียดแค้นของจีเยวี่ยหมิง นางหันไปมองตอบอย่างไม่เกรงกลัว อันที่จริงนางไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุใดจีเยวี่ยหมิงจึงจ้องจะหาเรื่องนางอยู่ตลอด หาเรื่องกันถึงขั้นนี้ไม่น่าจะเพียงแค่รู้สึกไม่ถูกชะตาแล้ว หรือว่ามีเรื่องใดที่นางไม่รู้กัน
ด้านฮูหยินผู้เฒ่าระหว่างฟังหมัวมัวผู้นั้นรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น ดวงตาของนางเคลื่อนจากกู้เจี้ยนหลีไปมองจีเยวี่ยหมิง จากนั้นก็กลับมามองกู้เจี้ยนหลีอีกครา ฮูหยินผู้เฒ่าอดนึกถึงเรื่องซุบซิบในหมู่สาวใช้มิได้ พอกู้เจี้ยนหลีตบแต่งเข้ามา จีอู๋จิ้งที่ไม่ได้สติมาครึ่งปีก็ฟื้น วันนี้พอนางออกจากจวนไปหนึ่งวันเพื่อกลับบ้านเดิม อาการจีอู๋จิ้งก็ทรุดลงอีก นี่…ไม่บังเอิญเกินไปกระมัง ต่อให้ฟังดูแปลกพิลึกไปบ้างแต่ก็ล้วนเป็นความจริง
นายท่านทั้งหลายในจวนมิใช่ลูกแท้ๆ ของฮูหยินผู้เฒ่า ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพวกเขาล้วนแต่ไม่สนิทชิดเชื้อ นางจึงเพียงต้องการให้ตนเองได้อยู่อย่างสบาย เรื่องของสกุลกู้นางไม่อยากไปข้องเกี่ยว ส่วนจีอู๋จิ้งหากมีทางรอดก็อย่ารีบร้อนตายจากไปจะดีกว่า อย่างไรเสียนางก็ยังจำได้ดีว่าจีอู๋จิ้งเมื่อตอนที่แข็งแรงดีมีหน้ามีตาเพียงใด
“เจี้ยนหลี เจ้าต้องดูแลอู๋จิ้งให้ดี ใส่ใจเขาให้มากหน่อย” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้น
“เจ้าค่ะ ลูกสะใภ้จะพยายามสุดความสามารถ” กู้เจี้ยนหลีตอบเสียงนุ่มนวล
จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงหันไปมองจีเยวี่ยหมิงอย่างไม่พอใจ “วันหลังไม่ต้องมารบกวนท่านอาห้าของเจ้าอีก กลับเรือนของเจ้าไปเสีย!”
“ท่านแม่…” ฮูหยินใหญ่คิดจะออกหน้าแทนบุตรสาว กลับถูกสายตาจากฮูหยินผู้เฒ่าปรามเข้าจนต้องเงียบปากไปอีกครั้ง
จีเยวี่ยหมิงจ้องกู้เจี้ยนหลีทีหนึ่งอย่างไม่ยินยอม ก่อนจะหันหลังจากไปด้วยความโกรธ
หากไม่ใช่เพราะกู้เจี้ยนหลี การหมั้นหมายของนางก็คงราบรื่นดีแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเลยเช่นนี้มันช่างน่าโมโหนัก!
สองมือของจีเยวี่ยหมิงกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ลอบด่ากู้เจี้ยนหลีในใจไปเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง
ท้องฟ้าที่ด้านนอกเริ่มอ่อนแสงลงแล้ว จีเยวี่ยหมิงเดินส่งเดชไปตามลำพังด้วยความโกรธจนถึงภูเขาจำลอง ตอนนั้นเองนางพลันเห็นเงาคนลับๆ ล่อๆ ดูจากเงาตะคุ่มๆ นั่นแล้วคล้ายจ้าวเฟิ่งเสียนกับซ่งเป่าอวิ้นลูกชายพ่อบ้านซ่งอยู่บ้าง
จีเยวี่ยหมิงย่องเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบด้วยความสนใจ
“มีเงินเท่านี้ล่ะ เยอะกว่านี้ไม่ได้แล้ว!” เสียงนี้เป็นเสียงของจ้าวเฟิ่งเสียน
ด้านซ่งเป่าอวิ้นเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คุณชาย เรื่องที่ท่านทำลงไปตอนเมาวันนั้นมิใช่เรื่องเล็ก หากแพร่ออกไปเกรงว่าจะไม่น่าฟัง…”
จังหวะนั้นจีเยวี่ยหมิงไม่ทันระวังเหยียบกิ่งไม้แห้งเข้า เสียงที่ดังขึ้นเปิดโปงตัวนางจนหมดเปลือก
บทที่ 11
ผู้คนในจวนต่างจากไปแล้ว เรือนเล็กกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ลี่จื่อยกยาที่เพิ่งต้มเสร็จมาส่งให้กู้เจี้ยนหลี พูดอย่างมีความสุขว่า “ต้มเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
กู้เจี้ยนหลีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามขึ้น “ลี่จื่อ เจ้าเป็นคนป้อนยาได้หรือไม่”
ลี่จื่อสั่นศีรษะรัวๆ ราวกับกลองป๋องแป๋งเป็นคำตอบ นางหดคอ ชี้ไปที่ธรณีประตูทางด้านในอย่างหวาดกลัวอยู่บ้าง จากนั้นโบกไม้โบกมือไปมา “เข้าไม่ได้เจ้าค่ะ”
จีอู๋จิ้งไม่ให้ลี่จื่อเข้าห้องชั้นในหรือ
“เช่นนั้นไปเรียกหลินหมัวมัวมาเถิด”
ลี่จื่อยังคงสั่นศีรษะ “เข้าไม่ได้เหมือนกันเจ้าค่ะ”
กู้เจี้ยนหลีพลันมุ่นคิ้ว ลี่จื่อทึ่มทื่ออยู่บ้างไม่ให้เข้าไปปรนนิบัติก็พอเข้าใจได้ แต่เหตุใดกระทั่งหลินหมัวมัวก็ยังถูกห้ามด้วยเล่า นางรู้สึกจนปัญญา จึงทำได้เพียงฝืนยกยาเข้าไปในห้องด้วยตนเอง
จีอู๋จิ้งยังคงใบหน้าขาวซีดเช่นคราวได้พบครั้งแรก ราวกับที่ฟื้นขึ้นมาก่อนหน้านี้เป็นเรื่องหลอกลวง
“ท่านคงไม่ได้ฟื้นขึ้นมาด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายจริงๆ กระมัง” กู้เจี้ยนหลีพึมพำกับตนเองเสียงเบา “รู้อย่างนี้ไม่สู้รีบขอหนังสือหย่าจากท่านเสียตั้งแต่ตอนท่านยังฟื้น…”
กู้เจี้ยนหลีกล่าวถึงตรงนี้ก็พลันเบือนหน้าหนีและไอออกมาอย่างอดไม่อยู่
นางวางชามยาที่ว่างเปล่าลง ลองแตะมือที่หน้าผากตนเอง ปรากฏว่าร้อนจริงดังคาด
เช้าวันนี้นางเผลอหลับอยู่ในห้องข้างทางตะวันตกที่เต็มไปด้วยไอน้ำ พอตื่นขึ้นมาก็เปิดหน้าต่างออกจนโดนลมเย็นพัดเข้าโดยตรง ตอนนี้มีอาการหวัดนิดหน่อยแล้ว
ตกกลางคืน กู้เจี้ยนหลีนอนห่มผ้าห่มมงคลลายนกยวนยางอยู่บนเตียงหลัวฮั่นเช่นเคย เพราะไม่สบายจึงรู้สึกมึนศีรษะ มิหนำซ้ำตัวยังเย็นมากเป็นพิเศษ กระถางไฟให้ความอบอุ่นตั้งอยู่ตรงหัวเตียงใหญ่ ไกลจากที่นอนของนางมาก กู้เจี้ยนหลีไม่อาจแย่งกระถางไฟกับคนป่วยผู้หนึ่งได้ จึงทำเพียงขดตัวซุกหาความอบอุ่นจากผ้าห่มแทน
ปกติหากเกิดเสียงดังขึ้นกู้เจี้ยนหลีมักจะตื่นในทันที ทว่าอาจเพราะคืนนี้เกิดรู้สึกมึนศีรษะจากอาการหวัด รอจนจ้าวเฟิ่งเสียนเดินเข้ามากระชากผ้าห่มถึงเตียง ไอเย็นเข้าปะทะร่างโดยตรง กู้เจี้ยนหลีจึงค่อยรู้สึกตัว
“จ้าว…”
จ้าวเฟิ่งเสียนรีบปิดปากนางไว้ไม่ให้นางโวยวาย
ในความมืดมิดกู้เจี้ยนหลีเบิกตากว้างจ้องมองอีกฝ่าย เห็นความแน่วแน่ในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน…คนผู้นี้ไม่ได้ดื่มจนเมา เขามีสติครบถ้วนและเตรียมการมาเป็นอย่างดี!
กู้เจี้ยนหลีดิ้นรนไม่คิดชีวิต ระหว่างนั้นทั้งถีบลงบนตัวจ้าวเฟิ่งเสียน ทั้งกัดมือเขาอย่างแรง
จ้าวเฟิ่งเสียนร้องออกมาด้วยความเจ็บจนต้องปล่อยมือ
กู้เจี้ยนหลีถอยกรูดไปด้านหลัง ทว่ายังไม่ทันร้องให้คนช่วยมีดสั้นวาววับเล่มหนึ่งก็เข้ามาจ่อลำคอเรียวงามของนางเสียก่อน
“ร้องสิ หากเจ้าร้องล่ะก็ ข้าจะแทงคอเจ้าเสีย!” จ้าวเฟิ่งเสียนขู่เสียงต่ำ
หน้าอกกู้เจี้ยนหลีกระเพื่อมจากการหอบหายใจ ถามเสียงกรุ่นโกรธว่า “จ้าวเฟิ่งเสียน เหตุใดยังกล้ามาอีก ลืมสภาพน่าอนาถเมื่อคืนวานไปแล้วหรือ!”
จ้าวเฟิ่งเสียนหัวเราะ ในน้ำเสียงแฝงแววเยาะหยัน “เมื่อคืนวานเป็นข้าโดนเจ้าเศษสวะจีเจาวางท่าหลอกลวงแล้ว! หมอหลวงบอกเองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งว่าเขามีชีวิตรอดไม่ถึงปีใหม่ เมื่อคืนก็เพียงฟื้นขึ้นมาด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น หึ เมื่อคืนข้าไม่ควรจากไปตั้งแต่แรก! เขาฟื้นขึ้นมาแล้วอย่างไร ก็แค่คนใกล้ตายผู้หนึ่ง! ต่อให้ข้า ‘กิน’ เจ้าต่อหน้าเขา เขาจะทำอะไรข้าได้!”
จ้าวเฟิ่งเสียนกล่าวจบก็รีบเปลี่ยนสีหน้าจากโหดเหี้ยมเป็นกะลิ้มกะเหลี่ย เขาไล่สายตาจากทรวงอกอวบอิ่มไปยังเอวบางคอด มีดสั้นในมือเลื่อนเข้าไปใกล้มากขึ้นจนแนบติดลำคอของหญิงสาวพลางข่มขู่ “ภรรยาตัวน้อยของข้า ลองคิดดูให้ดีสิ ทั้งจวนไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของเจ้า ต่อให้มีคนได้ยินเจ้าร้องขอความช่วยเหลือก็คงไม่คิดเข้ามายุ่งอยู่ดี ไม่แน่ว่าจะช่วยซ้ำเติมเจ้าด้วยซ้ำ เชื่อฟังข้าเถอะ ถอดเสื้อผ้าออกเสีย ให้ข้าเอ็นดูเจ้า…”
กู้เจี้ยนหลียกมือขึ้นวางลงตรงสายรัดบนเสื้อตนเองอย่างช้าๆ
จ้าวเฟิ่งเสียนกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ตอนนั้นเองประกายแสงสีเงินสว่างวาบขึ้นท่ามกลางความมืด มิใช่มีดสั้นเล่มนั้นในมือจ้าวเฟิ่งเสียน แต่เป็นมีดสั้นที่กู้เจี้ยนหลีชักออกมาจากใต้หมอน นางรีบถอยหลังให้หลบพ้นจากคมมีดตรงลำคอ จากนั้นถีบจ้าวเฟิ่งเสียนออกสุดแรง
จ้าวเฟิ่งเสียนร้อง “โอ๊ย!” พร้อมกับที่ก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น
กู้เจี้ยนหลีตัวเล็กบอบบาง แรงไม่เยอะ เดิมทีไม่ควรถีบจ้าวเฟิ่งเสียนล้มได้ ทว่าจ้าวเฟิ่งเสียนราคะขึ้นสมอง ในหัวสนใจแต่เรื่องสัปดนจนไม่คิดว่ากู้เจี้ยนหลีที่อ่อนแอจะต่อต้านจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
กู้เจี้ยนหลีรีบกระโดดลงจากเตียงหลัวฮั่น ตะโกนเสียงดังว่า “ลี่จื่อ!”
ถูกต้องแล้ว ทุกคนในจวนก่วงผิงป๋อล้วนไม่สนใจความเป็นความตายของนาง อยากให้นางรีบตายจากไปทั้งนั้น กระทั่งฉางเซิงกับหลินหมัวมัวนางก็ไม่เชื่อใจ ทว่าลี่จื่อกลับต่างออกไป เด็กผู้นั้นบริสุทธิ์เหมือนผ้าขาว ไม่เข้าใจแผนร้ายทั้งปวง บางทีอาจพอมีหวังอยู่บ้าง
“นางคนไม่รู้ดีชั่ว!” จ้าวเฟิ่งเสียนตะเกียกตะกายขึ้นมากระชากข้อมือหญิงสาวแล้วดึงนางกลับมาโยนลงบนเตียงหลัวฮั่นได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็เข้าตะครุบอย่างว่องไว
กู้เจี้ยนหลีกำมีดสั้นในมือแน่น กรีดลงบนคอจ้าวเฟิ่งเสียนโดยปราศจากความลังเล
จ้าวเฟิ่งเสียนร้องออกมาก่อนผลักนางออก เขาคลำลำคอตนเองก็พบคราบเลือด เพียงแต่กู้เจี้ยนหลีแรงน้อยเกินไป บาดแผลบนคอเขาจึงไม่ลึก
กู้เจี้ยนหลีรีบถือโอกาสร้องเรียกลี่จื่ออีกหลายครั้ง
จ้าวเฟิ่งเสียนชี้หน้าอีกฝ่ายพลางกัดฟันพูด “ข้าเอ็นดูเจ้าหรอกจึงอ่อนข้ออยู่เช่นนี้ หากยังไม่เชื่อฟังก็อย่าโทษที่ข้าหยาบคายใส่ก็แล้วกัน!”
พอเห็นว่ารอยแผลนั้นตื้นเขินจนทำอะไรจ้าวเฟิ่งเสียนไม่ได้ แววตากู้เจี้ยนหลีพลันปรากฏร่องรอยผิดหวัง
หากที่คอไม่ได้ผล ควรเป็นที่ใดเล่า…
ดวงตา!
บิดาของนางเคยกล่าวไว้ว่า ‘หากรู้ว่าข้างหน้าเป็นทางตัน สู้ให้ตายกันไปข้างยังดีกว่ายอมจำนน’
ไม่รอให้จ้าวเฟิ่งเสียนเข้าใกล้ไปมากกว่านี้ กู้เจี้ยนหลีพลันแทงมีดสั้นที่กุมไว้ในมือลงบนร่างเขาจนสุดแรง หากคนผู้หนึ่งไม่กลัวตายขึ้นมา ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่เกรงกลัวอีกแล้ว
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมา!” จ้าวเฟิ่งเสียนถอยกรูดไปด้านหลังไม่หยุด
ในมือเขาก็ถือมีดสั้นเอาไว้ ทว่ากลับตัดใจแทงลงบนร่างหอมกรุ่นนุ่มนิ่มของกู้เจี้ยนหลีไม่ลง เพราะหากทำเช่นนั้นร่างกายนั้นจะมีตำหนิ ความเริงรมย์ย่อมจะลดลงทันที…
จ้าวเฟิ่งเสียนเพียงอยากบีบบังคับแต่ไม่ต้องการทำร้ายกู้เจี้ยนหลี พอนางกวัดแกว่งมีดสั้นของตนเองไปทั่ว เขาจึงทำได้เพียงถอยแล้วถอยอีก กระทั่งบนแขนกับใบหน้าปรากฏรอยกรีดขึ้นสองรอยเขาจึงเริ่มตอบโต้ คว้าจับข้อมือกู้เจี้ยนหลีไว้ได้ตอนที่มือตนเองถูกกรีดเป็นแผลลึก จากนั้นแย่งมีดสั้นไปจากมือนาง
มีดสั้นเล่มนั้นร่วงลงพื้นในที่สุด
“ดูถูกเจ้าเกินไปจริงๆ! จุๆ ดูเหมือนอ่อนแอบอบบาง คิดไม่ถึงว่า…” จ้าวเฟิ่งเสียนกระชากแขนนางและดันนางชิดผนัง
ในห้องมืดมาก
ตอนกู้เจี้ยนหลีถอยหลังไปฝีเท้าซวนเซ จ้าวเฟิ่งเสียนจึงก้มลงมองโดยสัญชาตญาณ จังหวะนั้นนางดึงปิ่นออกจากเรือนผม เส้นผมดำขลับพลันปล่อยสยาย
ชั่วขณะที่จ้าวเฟิ่งเสียนเงยหน้าด้วยความตกใจปิ่นในมือกู้เจี้ยนหลีก็ปักเข้าไปในดวงตาเขาอย่างจังจนเลือดสดๆ พุ่งทะลัก
“อ๊าก!” จ้าวเฟิ่งเสียนร้องครวญครางอย่างทรมาน
เขาถอยหลังไปด้วยความเจ็บ กระแทกกับม้านั่งเล็กเข้าจนล้มลงไปกองกับพื้น
กู้เจี้ยนหลีรีบพุ่งไปหยิบมีดสั้นที่ตกอยู่บนพื้น จากนั้นถลาเข้าไปแทงจ้าวเฟิ่งเสียน
นางไม่รู้ตำแหน่งของหัวใจอย่างแน่ชัด ทำได้เพียงแทงอยู่อย่างนั้น จ้าวเฟิ่งเสียนยกมือขึ้นขวาง นางก็ฟันมือเขา แทงลงตรงที่ใดได้ก็แทงลงตรงนั้น
ตอนที่ตกยากถึงขีดสุด ต่อให้นางต้องเอาของต่างหน้ามารดาไปจำนำ ก็ไม่ยอมขายมีดสั้นคมกริบที่บิดาให้มาเล่มนี้ทิ้ง
กู้เจี้ยนหลีไม่รู้เลยว่าตนเองแทงเขาไปกี่แผล นางทั้งแทงทั้งฟันซ้ำๆ โดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งจ้าวเฟิ่งเสียนไม่ขยับตัวอีก
มีดสั้นในมือร่วงหล่นลงพื้น กู้เจี้ยนหลีเองก็ทรุดฮวบลงนั่งมองจ้าวเฟิ่งเสียนที่จมอยู่ในกองเลือด ทั้งร่างเริ่มสั่นเทิ้ม น้ำตาพรั่งพรูลงพื้นไม่หยุด ความกล้าที่เกิดจากการอยากมีชีวิตรอดอันตรธานไปจนสิ้น หลงเหลือเพียงความหวาดกลัวถึงขีดสุด
นางฆ่าคน…
ท่ามกลางม่านรัตติกาลดำมืด กู้เจี้ยนหลีสั่นสะท้านไปทั้งตัว ร้องไห้โฮอย่างไร้ที่พึ่งพิง
เสียงไอดังขึ้นจากเบื้องหลังอย่างฉับพลัน ทำเอากู้เจี้ยนหลีตกใจจนสติหลุด นางหันกายไปอย่างแข็งทื่อ มองไปยังจีอู๋จิ้งอย่างตื่นตระหนก
จีอู๋จิ้งเท้าแขนพยุงตนเองฝืนลุกขึ้นนั่งก่อนกระอักเลือดสีคล้ำออกมา เขามิได้สลบไปโดยสมบูรณ์ ยังคงรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว และหลุดจากอาการกึ่งหลับกึ่งตื่นได้ ทว่าการฝืนตื่นขึ้นระหว่างการรักษาอย่างไรก็ทำร้ายตนเองไม่น้อย
บางสิ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของจีอู๋จิ้ง จากนั้นจู่ๆ ตะเกียงทุกดวงก็พลันสว่าง เขากวาดสายตามองสภาพห้องที่ดูไม่ได้ ก่อนจะหยุดลงที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาของกู้เจี้ยนหลี
เดิมทีจีอู๋จิ้งไม่อยากลุกขึ้นมาดูกู้เจี้ยนหลีด้วยซ้ำ นางจะอยู่หรือตายล้วนไม่เกี่ยวกับเขา ที่ไม่ลงมือฆ่านางเองก็เพราะรำคาญเรื่องยุ่งยากเท่านั้น
ทว่าแม่นางน้อยผู้นี้กลับฆ่าคนได้เสียด้วย…
จุๆ น่าสนใจ
“รินน้ำให้ข้าหน่อย” จีอู๋จิ้งเอ่ยเสียงแหบแห้ง
กู้เจี้ยนหลีเกร็งไปทั้งตัว ลุกขึ้นอย่างแข็งทื่อก่อนจะเดินมารินน้ำให้จีอู๋จิ้งอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตัวนางสั่นเทิ้มจนทำน้ำหกจากจอกที่ยื่นไปหยุดอยู่ตรงหน้าจีอู๋จิ้งแล้วกว่าครึ่ง
จีอู๋จิ้งจิบน้ำไปคำหนึ่งก่อนเหลือบมองมาทางนาง “กลัวหรือ”
กู้เจี้ยนหลียามนี้ขวัญหนีดีฝ่อ ดวงตาว่างเปล่า
จีอู๋จิ้งเห็นดังนั้นก็ยื่นจอกมาตรงหน้านาง “ดื่มเข้าไป”
กู้เจี้ยนหลีมองจีอู๋จิ้งพลางกะพริบตาเชื่องช้าแล้วยื่นมือไปรับจอกมาดื่มน้ำที่เหลืออยู่ในนั้นทีละน้อย พอน้ำเย็นไหลลงคอ หญิงสาวพลันสั่นด้วยความหนาว ดวงตาว่างเปล่าค่อยๆ กลับมามีชีวิตชีวา
“ใจเย็นลงแล้ว?” จีอู๋จิ้งเอ่ยถามนาง
กู้เจี้ยนหลีพยักหน้ารับอย่างแข็งทื่อ
จีอู๋จิ้งไออยู่ครู่หนึ่ง ค่อยยื่นมือมากุมข้อมือของกู้เจี้ยนหลี มือของเขาเย็นมาก เป็นความเย็นเช่นเดียวกับน้ำเย็นที่นางเพิ่งดื่มเข้าไป
จีอู๋จิ้งออกแรงดึงทีหนึ่ง กู้เจี้ยนหลีก็เซล้มลงนั่งบนเตียง ข้างเอวถูกสองแขนของอีกฝ่ายโอบกอดไว้จากด้านหลังและเกยคางไว้กับไหล่
เขาไล้มือไปกับมือที่แข็งเกร็งของนางเล่นไปพลางเอ่ยคลอเคลียอยู่ข้างหูเสียงเบาไปพลาง “ลำคอ หัวใจ และดวงตาล้วนไม่ใช่ส่วนที่เหมาะกับการลงมือหรอก”
ท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บ น้ำเสียงเยือกเย็นทุ้มต่ำของจีอู๋จิ้งไม่เพียงทำให้ใบหูของกู้เจี้ยนหลีคันยุบยิบ ยังทำให้ในใจนางคันยุบยิบไม่ต่างกัน
จีอู๋จิ้งกุมมือแข็งทื่อของหญิงสาวเอาไว้พลางบีบนวดซ้ำๆ กระทั่งในที่สุดก็บีบนวดจนมือนางกลับมาอ่อนนุ่ม
“จุดอ่อนบนร่างกายบุรุษก็คือตรงนี้” จีอู๋จิ้งเอ่ยขึ้นอย่างสบายๆ
กู้เจี้ยนหลีฟังแล้วได้แต่งุนงง ทั้งตัวกลับมาเครียดเกร็งยิ่งกว่าเดิม
จีอู๋จิ้งยังคงกุมมือน้อยไว้พลางสอน “เพียงเจ้าบีบเบาๆ บุรุษก็จะไร้เรี่ยวแรง สูญเสียเกราะป้องกันทั้งหมดจนไม่อาจตอบโต้ได้ หากกดเช่นนี้วนอยู่ซ้ำๆ ชีวิตของบุรุษก็จะตกอยู่ในกำมือเจ้า ซี้ด…”
เขาพลันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนขบฟันลงบนปลายหูกู้เจี้ยนหลี “ข้าสอนเจ้าอยู่ มิใช่ให้เจ้าบีบสุดแรงจริงๆ”
กู้เจี้ยนหลีหดมือหนี อยากจะชักมือกลับ แต่อีกฝ่ายกลับกุมไว้เช่นนั้นไม่ยอมปล่อย เอ่ยถามอยู่ข้างหูนางว่า “ทำเป็นแล้วหรือยัง”
กู้เจี้ยนหลีลนลานพยักหน้ารับ จีอู๋จิ้งจึงยอมปล่อยมือ
นางก้มหน้างุด ใบหน้าแดงก่ำ จีอู๋จิ้งโน้มตัวลงดูนาง ดวงตาจิ้งจอกคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าสอนเจ้าป้องกันตัวอยู่ อย่าได้คิดเหลวไหลเชียว”
ลมหายใจของบุรุษที่ไล่ผ่านพวงแก้มทำเอาใจนางสั่นกระตุกอยู่บางเบา
ตอนนั้นเองจู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้านับไม่ถ้วนและเสียงของจีเยวี่ยหมิงที่เอ่ยขึ้นอย่างเหิมเกริม “ไม่คิดเลยว่าอาสะใภ้ห้าจะฉวยโอกาสที่ท่านอาห้าป่วยหนักลักลอบมีสัมพันธ์กับญาติผู้พี่!”
คนมากมายกรูกันเข้ามาด้านใน พอเห็นศพสภาพดูไม่ได้บนพื้นแล้วกลับนิ่งอึ้งกันไปหมด
“นี่…นี่มัน…”
จีอู๋จิ้งพลันยกมุมปากเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “ไม่ได้ฆ่าคนมานาน คันไม้คันมือน่ะ”
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนตุลาคม 2568)
Comments
comments
No tags for this post.