X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสามคราวิวาห์รัก

ทดลองอ่าน สามคราวิวาห์รัก บทที่หนึ่ง – บทที่สิบเจ็ด

หน้าที่แล้ว1 of 17

บทที่หนึ่ง

หลงเอ้อร์ นายท่านรองสกุลหลงมีชื่อจริงว่าหลงเยวี่ย ปีนี้อายุยี่สิบหกปี

น้อยนักที่จะมีคนเรียกชื่อจริงของเขา ทุกคนต่างเรียกเขาว่าท่านหลงเอ้อร์

ท่านหลงเอ้อร์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง และไม่เพียงแต่ตัวเขาเท่านั้น สามพี่น้องแห่งคฤหาสน์สกุลหลงล้วนเป็นผู้องอาจกล้าหาญทั้งสิ้น หลงต้าพี่ใหญ่เป็นแม่ทัพฮู่กั๋ว (แม่ทัพปกป้องแคว้น) หลงซานน้องสามเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ ส่วนหลงเอ้อร์นั้นเป็นเศรษฐีซึ่งทำการค้ากับราชสำนักและคหบดีรายใหญ่ในแคว้น

ที่หลงเอ้อร์มีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่เพียงเพราะเขาเป็นเจ้าบ้านผู้ปกครองคฤหาสน์สกุลหลง แต่เพราะเขายังเป็นสหายรักของจักรพรรดิองค์ใหม่ที่เพิ่งสืบราชบัลลังก์อีกด้วย ส่วนการที่จักรพรรดิองค์ใหม่มีความโดดเด่นเหนือเหล่าองค์ชายทั้งหลายจนได้ครอบครองราชบัลลังก์นั้น ก็หนีไม่พ้นเพราะได้รับการสนับสนุนจากคฤหาสน์สกุลหลงและได้รับความช่วยเหลือจากหลงเอ้อร์นั่นเอง

เรื่องที่ท่านหลงเอ้อร์มีคนหนุนหลังแข็งแกร่งมั่นคง ทุกคนไม่พูดซึ่งหน้าแต่ในใจต่างรู้ดี กอปรกับหลงเอ้อร์เองก็มั่งมีเงินทองเปี่ยมด้วยอำนาจ ทั้งกว้างขวางมากบารมีเจนจัดรอบด้าน ประกอบกิจการงานใดก็สำเร็จได้ผลประโยชน์จนทุกคนต่างรู้กันทั่ว ดังนั้นเหล่าขุนนางและพ่อค้าวาณิชจึงยกย่องไว้หน้าเขาอยู่หลายส่วน

บัดนี้จักรพรรดิองค์ใหม่ครองราชย์มาเป็นเวลาสองปี แผ่นดินร่มเย็นราษฎรเป็นสุข ลมฝนเป็นไปตามฤดูกาล ส่วนกิจการของหลงเอ้อร์ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ

หากมองตามสภาพการณ์เช่นนี้ ชีวิตของท่านหลงเอ้อร์ควรจะหวานชื่นและสุขสบาย แต่เขาเองก็มีเรื่องยุ่งยากใจของตัวเองเช่นกัน

เรื่องยุ่งยากใจนั้นก็คือ…การแต่งงาน

เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเมื่อชายหนุ่มแคว้นเซียวอายุครบสิบห้าปีก็สามารถแต่งภรรยาได้ ดังนั้นอายุของหลงเอ้อร์ในตอนนี้จึงสามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘ชายแก่’ สำหรับหลงต้าและหลงซานต่างตบแต่งภรรยากันไปนานแล้ว มีเพียงท่านหลงเอ้อร์ที่ไม่รู้สึกสนใจจะแต่งงาน ตัวเขาไม่รีบร้อน แต่กลับทำให้ผู้อาวุโสในบ้านร้อนใจแทน

พ่อแม่ของสามพี่น้องสกุลหลงล่วงลับไปแล้วทั้งคู่ แม่นมอวี๋กับพ่อบ้านเถี่ยเป็นคนคอยดูแลพวกเขาจนเติบโต เรื่องความโสดของหลงเอ้อร์ทำให้สองผู้เฒ่ามักจะหาโอกาสมาคอยบ่น จำนวนครั้งที่บ่นก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามอายุของหลงเอ้อร์ แม้หลงเอ้อร์จะแข็งข้อกับคนภายนอก แต่กับคนในครอบครัวนั้นเขากลับรักและทะนุถนอมเป็นอย่างดี ถึงแม้สองผู้เฒ่าจะเป็นบ่าวเป็นหญิงรับใช้ แต่ทั้งสองคนก็ดูแลเขาเหมือนคนในครอบครัวมานานหลายปี ดังนั้นถึงเขาจะไม่ชอบฟังแต่ก็ไม่ได้โต้เถียง ทว่าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ครั้งใดเขาเป็นต้องรู้สึกปวดหัวทุกครั้งไป

 

วันนี้หลงเอ้อร์ไปตรวจกิจการร้านน้ำชาเซิ่งหลงของตัวเอง เขาเพิ่งก้าวเข้าไปข้างในก็ ‘บังเอิญ’ พบหญิงสาวผู้หนึ่ง หญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นางคือบุตรสาวคนรองของติงเซิ่งเสนาบดีกรมอาญา มีนามว่าติงเหยียนซาน

เพราะเห็นแก่หน้าเสนาบดีกรมอาญา หลงเอ้อร์จึงไม่กล้าไม่ให้เกียรติติงเหยียนซาน ดังนั้นด้วยมิตรภาพที่นางมีให้ เขาจึงต้องอยู่สนทนากับนางภายในห้องดื่มชาส่วนตัวของร้านน้ำชา

บทสนทนาไม่น่าสนใจ ตัวหลงเอ้อร์เองก็รู้สึกเบื่อ เขากำลังใจลอยคิดไปถึงเรื่องการค้าเครื่องหยก แต่กลับได้ยินคำถามหนึ่งดังขึ้น

“ซานเอ๋อร์ขอบังอาจเรียนถามท่านหลงเอ้อร์ว่าที่บัดนี้ยังไม่แต่งงานเป็นเพราะสาเหตุใด”

คำถามนี้ช่างอุกอาจนักเมื่อออกมาจากปากหญิงสาวคนหนึ่ง หลงเอ้อร์ตะลึงไปชั่วครู่ แอบบ่นในใจว่า ‘เจ้าคือซานเอ๋อร์ของผู้ใดหรือ’ แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มบางๆ เขาเทน้ำชาให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างช้าๆ “เพราะข้าไม่อยากให้เงินตอบแทนแก่แม่สื่อ”

ติงเหยียนซานนิ่งไป แทบจะรักษารอยยิ้มให้อยู่เหมือนเดิมไม่ไหว ไม่อยากให้เงินตอบแทนแก่แม่สื่ออย่างนั้นหรือ

“หากข้าหลงเอ้อร์ต้องการแต่งภรรยาก็จะอาศัยความสามารถของตัวเอง ใช่ว่าข้าต้องอาศัยปากของแม่สื่อมาคอยช่วยพูดกับฝ่ายตรงข้ามให้จึงจะสำเร็จเสียเมื่อไร ซ้ำยังต้องจ่ายเงินให้แก่แม่สื่ออีก เจ้าว่าการค้านี้ขาดทุนมากเกินไปหรือไม่”

คราวนี้ติงเหยียนซานยิ้มไม่ออก แม้แต่การแต่งภรรยาเขาก็ยังพูดเหมือนการค้าขาย ห่วงแต่ว่าจะขาดทุนหรือไม่ สมกับเป็นท่านหลงเอ้อร์จริงๆ นางสะกดอารมณ์เอามือป้องปากหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านหลงเอ้อร์มีอารมณ์ขันยิ่ง”

หลงเอ้อร์เม้มปากเล็กน้อย ตอบกลับอย่างเกรงใจ “ไม่ใช่มีอารมณ์ขัน แต่ข้าเป็นคนตระหนี่ต่างหาก” เขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว ผู้ที่รู้ความก็ควรจะจากไปได้แล้วกระมัง

แต่ติงเหยียนซานไม่ได้ไป นางก้มหน้าดื่มน้ำชาเพื่อปรับอารมณ์ ไม่คิดจะรามือไปเช่นนี้

หลงเอ้อร์อาศัยจังหวะที่ติงเหยียนซานก้มหน้าลง เหลือบมองเด็กร้านน้ำชาที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา ร้านน้ำชาเซิ่งหลงแห่งนี้เป็นหนึ่งในกิจการของคฤหาสน์สกุลหลง เขาแค่มาตรวจกิจการแต่กลับถูกติงเหยียนซานรั้งตัวไว้ เรื่องความบังเอิญอะไรนั้นเขาไม่เชื่อ คงเป็นเพราะเด็กร้านน้ำชาได้ผลประโยชน์อะไรบางอย่างจึงแพร่งพรายกำหนดการไปมาของเขาให้นางรู้

การที่เขาถูกหญิงสาวผู้นี้รั้งตัวไว้เป็นเรื่องเล็ก แต่การขายผู้เป็นนายนั้นเป็นเรื่องใหญ่ หลงเอ้อร์คิดเอาไว้แล้วว่าต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดแจ้ง ผู้ทำผิดต้องถูกลงโทษอย่างหนัก

ตอนนี้ติงเหยียนซานควบคุมอารมณ์ได้แล้ว นางหาหัวข้อสนทนามาคุยกับหลงเอ้อร์ระหว่างดื่มชาอีกหลายเรื่อง เขารู้สึกรำคาญใจอย่างมาก หากจะว่าไปแล้วหญิงสาวผู้นี้เป็นถึงบุตรสาวของท่านเสนาบดี อำนาจบารมีของสกุลนั้นไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งยังมีรูปโฉมเป็นเลิศ ย่อมเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ในการแต่งภรรยา แต่หลงเอ้อร์กลับไม่อยากแต่งงานกับนาง

ตามความคิดของเขา หญิงสาวยิ่งโดดเด่นเท่าไรก็ยิ่งยุ่งยากมากเท่านั้น เพราะความต้องการของพวกนางจะมีมากกว่าหญิงสาวทั่วไป เมื่อความต้องการยิ่งมากก็แสดงว่าจะเข้ากันได้ยากขึ้น

และสิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือความยุ่งยาก

เรื่องท่านหลงเอ้อร์ใจไม่อยู่กับตัว ติงเหยียนซานย่อมรู้ดี แต่การที่เขายอมอดทนอยู่คุยเป็นเพื่อน สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกได้ใจขึ้นมาบ้าง นางรู้มาว่าครั้งก่อนที่บุตรสาวของสกุลหลิวและสกุลหลี่ว์ไปชมสวนและได้พบกับท่านหลงเอ้อร์นั้น เขาคุยด้วยเพียงไม่กี่คำก็สลัดพวกนางทิ้งเสียแล้ว

พอติงเหยียนซานคิดถึงตรงนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ นางเทน้ำชาให้หลงเอ้อร์อีกถ้วย

แท้จริงแล้วสองคนนั้นไม่รู้จังหวะนัก ตอนที่พวกนางชมสวนท่านหลงเอ้อร์กำลังต้อนรับแขกอยู่จะมีเวลามาชมดอกไม้เป็นเพื่อนหญิงสาวได้อย่างไร ตัวนางติงเหยียนซานฉลาดกว่ามากนัก นางสืบกำหนดการวันนี้ทั้งวันของท่านหลงเอ้อร์ รู้ว่าเขาไม่มีสิ่งใดต้องทำต่อจากนี้ กอปรกับนางบอกว่าต้องการเลือกชาดีไปให้ท่านพ่อ ท่านหลงเอ้อร์ย่อมต้องอดทนคอยอยู่เป็นเพื่อนนาง

ติงเหยียนซานอาศัยช่วงที่ยกถ้วยน้ำชาลอบสังเกตท่านหลงเอ้อร์ เขามีใบหน้าหมดจด จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง เค้าหน้าดุเล็กน้อย แต่ต้องเป็นเช่นนี้จึงจะสามารถแสดงบารมีความเป็นผู้นำให้เห็นได้ ท่านหลงเอ้อร์ขี้โมโหนางรู้ดี นิสัยเข้าหน้าได้ยากเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างรู้กัน แต่นางก็ยังอยากจะแต่งงานกับเขา นี่ไม่ได้เป็นเพียงความปรารถนาของท่านพ่อนางเท่านั้น แต่เป็นความปรารถนาของนางเองด้วย

ติงเหยียนซานกำลังจะหาหัวข้อสนทนาอื่น หลี่เคอองครักษ์ของหลงเอ้อร์ก็เข้ามารายงานว่าด้านนอกมีหญิงสาวมารอขอพบอยู่นานแล้ว

ก่อนหน้านี้หลงเอ้อร์ส่งสายตาให้หลี่เคออ้างเหตุผลอะไรก็ได้มารายงานเพื่อให้เขาปลีกตัวออกไปได้ หลี่เคอติดตามเขามานานหลายปี ย่อมต้องรู้ถึงความหมายของเขา แต่เมื่อหลงเอ้อร์เห็นสายตาของหลี่เคอในตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าหญิงสาวที่มาเยือนนี้มีตัวตนจริง

สีหน้าหลงเอ้อร์ไม่น่าดูนัก หญิงสาวตรงหน้าทำให้เขาแทบจะไม่เหลือความอดทนแล้ว ตอนนี้ยังมีมาอีกคนอย่างนั้นหรือ

ติงเหยียนซานรู้สึกโกรธมากเช่นกัน นางมองไปทางหลงเอ้อร์ หวังจะได้ยินเขาพูดคำว่า ‘ไม่พบ’

แต่หลงเอ้อร์กลับพยักหน้าให้หลี่เคอ หลี่เคอรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ติงเหยียนซานรู้สึกผิดหวัง แต่ยังคงยิ้มบางๆ ชิงพูดขึ้นก่อนว่า “ท่านหลงเอ้อร์ไปพบแขกอย่างสบายใจเถอะ ซานเอ๋อร์จะรออยู่ที่นี่”

นางคิดจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนจริงๆ หรือ หลงเอ้อร์หางตากระตุก เรื่องการรักษาท่าทีเช่นนี้ก็ต้องอาศัยการฝึกฝนเช่นกัน

เห็นทีว่าเขาคงจะไล่นางไปทันทีไม่ได้ หลงเอ้อร์ในใจเคืองขุ่นแต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มพูดว่า “ขอตัว” จากนั้นก็ลุกเดินไปยังห้องดื่มชาส่วนตัวอีกห้องที่มุมฝั่งตรงกันข้าม

ไม่นานคนงานในร้านน้ำชาก็พาตัวหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามา หลงเอ้อร์เห็นแล้วต้องตกตะลึง

หญิงสาวผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดสีเขียวอ่อน ดูไปแล้วคงจะมีอายุไม่ถึงยี่สิบปี รูปร่างสันทัดผอมบาง รูปโฉมหมดจดงดงาม ท่าทางผ่าเผยมีภูมิรู้

ก่อนที่หลงเอ้อร์จะเห็นหน้านาง เขาไม่รู้มาก่อนว่าคำว่า ‘ผ่าเผยมีภูมิรู้’ จะใช้กับหญิงสาวได้ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกใจไม่ใช่สิ่งนี้ แต่เป็นไม้เท้าที่มือนางถือเอาไว้ ไม้เท้าที่คนตาบอดใช้

หญิงสาวคนนั้นเดินตามคนงานเข้ามาในห้อง คนงานเปิดม่านมุกให้ บอกเสียงเบาว่าตรงหน้ายกพื้นขึ้นขั้นหนึ่ง นางใช้ไม้เท้าเคาะดู จากนั้นจึงค่อยๆ ก้าวขึ้นมา เดินไปอีกสองก้าวอย่างระมัดระวัง ไม้เท้าก็แตะโดนเก้าอี้ นางยื่นมือออกมาคลำพนักเก้าอี้

หลงเอ้อร์มองดูกิริยาเชื่องช้าของนาง ความรู้สึกเหลือจะทนที่สะสมมาจากติงเหยียนซานพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เขาเม้มริมฝีปากแน่น แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “นั่งสิ”

รีบไล่หญิงตาบอดคนนี้กลับไปก่อน แล้วค่อยกลับไปไล่บุตรสาวสกุลติงที่ไม่น่าสนใจคนนั้นอีกที เขาจะได้กลับคฤหาสน์ไปดูสมุดบัญชีเพื่อปรับอารมณ์เสียหน่อย

คนงานรีบพูดเตือนเสียงเบาข้างกายนางว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือท่านหลงเอ้อร์

หญิงตาบอดพยักหน้าขอบคุณแล้วหันมาย่อตัวคำนับหลงเอ้อร์ “คารวะท่านหลงเอ้อร์ ข้ามีชื่อว่าจวีมู่เอ๋อร์…”

นางยังพูดไม่ทันจบ หลงเอ้อร์ก็พูดขัดขึ้น “ไม่ต้องมากพิธี มีเรื่องอะไรก็พูดมา”

จวีมู่เอ๋อร์ชะงัก คิดไม่ถึงว่าท่านหลงเอ้อร์จะไร้ความเกรงใจถึงเพียงนี้ สีหน้านางสลด กัดริมฝีปากแล้วกลั้นใจบากหน้าเอ่ยพูด “ข้ามาขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง”

ขอร้องเขา? หลงเอ้อร์หรี่ตาลง เขาไม่ชอบช่วยเหลือใคร แต่กลับชอบความรู้สึกที่มีผู้อื่นมาขอร้องตน เขามองดูดวงตาของหญิงสาวแล้วมองดูไม้เท้าของนาง จากนั้นจึงเอ่ยพูด “นั่งลงก่อนแล้วค่อยพูดกัน”

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยขอบคุณ ใช้มือคลำเก้าอี้จนเจอที่พักแขน จากนั้นนางจึงขยับตัวไปด้านหน้าเก้าอี้อย่างช้าๆ เอามือแตะตรงที่นั่งแล้วจึงค่อยๆ นั่งลง

คนงานใช้ช่วงเวลานี้ยกน้ำชาเข้ามากาหนึ่ง เทให้ท่านหลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์จนเต็มถ้วย จากนั้นจึงวางถ้วยชาไว้ข้างมือของจวีมู่เอ๋อร์ ส่งเสียงบอกนางแล้วถอยออกไป

จวีมู่เอ๋อร์ใช้มือคลำถ้วยอย่างช้าๆ กุมเอาไว้ แต่ไม่ได้ดื่ม

หลงเอ้อร์เอ่ยถาม “แม่นางจะมาขอร้องข้าเรื่องใด”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบเสียงเบา “ร้านค้าบนถนนตงต้านี้ล้วนเป็นกิจการของท่านหลงเอ้อร์ ข้าขอบังอาจให้ท่านช่วยทำกันสาดหน้าร้านทั้งหมด”

หลงเอ้อร์รู้สึกตกใจ “ทำกันสาดหน้าร้านตลอดช่วงถนนทั้งหมด?”

“ใช่แล้ว” จวีมู่เอ๋อร์ตอบกลับเสียงเบา

หลงเอ้อร์หัวเราะ เรื่องนี้ช่างน่าสนใจนัก เขาจึงเอ่ยถามต่อ “แม่นาง ข้ากับเจ้าไม่รู้จักกัน ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เหตุใดแม่นางจึงคิดว่าข้าจะทำกันสาดหน้าร้านค้าตลอดช่วงถนนทั้งหมดเพื่อเจ้า”

จวีมู่เอ๋อร์อ้าปาก คำพูดของเขาช่าง…

“ไม่ใช่เพื่อข้า…ข้าหมายความว่าที่ข้ามาขอร้องท่านเรื่องนี้ ไม่ทำให้ท่านขาดทุนอย่างแน่นอน ข้า…”

นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกหลงเอ้อร์พูดขัดอีกครั้ง “เช่นนั้นหรือ” เขาถามพร้อมหัวเราะ “แม่นางยังมีคำขอร้องที่เสียมารยาทกว่านี้ ไร้เหตุผลกว่านี้ ไร้สาระกว่านี้อีกหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์เม้มริมฝีปากแน่น นางถูกเขาพูดเหน็บจนใบหน้าแดงก่ำ แน่นอนว่าการมาหาคนที่ไม่รู้จักและขอร้องให้ควักเงินออกมาทำสิ่งไร้ประโยชน์ต่อตัวเขา จะพูดอย่างไรก็คงฟังว่าไร้เหตุผล แต่การที่เขาประชดประชันเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกกระดากอายอย่างมาก

หลงเอ้อร์หัวเราะอย่างเย็นชา

เขาเกลียดคนที่มาหลอกเอาเงินเขาที่สุด ดังนั้นจึงคิดจะทำให้จวีมู่เอ๋อร์อับอายโดยไม่ยอมอ่อนข้อให้ จึงเอ่ยถามพร้อมแค่นหัวเราะเย็นชา “แม่นางรู้หรือไม่ว่าบนถนนตงต้านี้มีร้านค้ากี่ร้าน”

เช่นนี้นางก็จะต้องตอบว่าไม่รู้ จากนั้นเขาก็สามารถพูดเหน็บนางได้ว่าไม่รู้ไปเอาความคิดเพ้อฝันนี้มาจากที่ใด

“ร้านค้าที่หันไปทางใต้จากตะวันออกไปตะวันตกมีสามสิบเจ็ดร้าน ส่วนร้านค้าที่หันไปทางเหนือจากตะวันตกไปตะวันออกมีสามสิบสามร้าน”

หลงเอ้อร์ตะลึงไปในทันที เขาคิดไม่ถึงว่าจวีมู่เอ๋อร์จะตอบได้และถูกต้องทั้งหมด

จวีมู่เอ๋อร์เหมือนจะรู้ถึงความสงสัยของเขา จึงอธิบายต่อว่า “ข้าตาบอด ดังนั้นเพื่อไม่ให้หลงทาง เวลาเดินจึงมักจะนับเอาไว้”

หลงเอ้อร์ไม่พูดอะไรอีก ตัวเขาเวลาเดินไม่เคยนับอะไร แต่สำหรับคนตาบอดแล้วคำตอบเช่นนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล

แต่เขาจะยอมให้คนตาบอดคนหนึ่งมาถือไพ่เหนือกว่าได้อย่างไร ดังนั้นจึงเอ่ยถามอีก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าร้านค้าเจ็ดสิบร้านนี้ถ้าทำกันสาดจะต้องใช้เงินจำนวนเท่าใด”

ขณะที่เขาพูดอยู่นี้ หางตาก็มองเห็นห้องดื่มชาที่มุมฝั่งตรงข้าม ติงเหยียนซานชะโงกหน้ามองมาทางเขาไม่หยุด พอหลงเอ้อร์คิดว่าตรงหน้ามีหญิงสาวที่ทำให้เขาโกรธอยู่หนึ่งคน อีกครู่ยังต้องกลับไปรับมือกับหญิงสาวน่าเบื่อผู้นั้นอีกหนึ่งคน ในใจก็ให้รู้สึกเบื่อหน่าย

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเงินจำนวนเท่าใด ข้าก็สามารถทำให้ท่านหลงเอ้อร์ได้เงินจำนวนนั้นกลับมา”

ช่างกล้าพูดเสียจริง!

หลงเอ้อร์มองดูเสื้อผ้าเนื้อหยาบและดวงตาที่มืดบอดของจวีมู่เอ๋อร์แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อว่าความสามารถในการหาเงินของข้าไม่ด้อยไปกว่าแม่นางแน่นอน”

เขาพูดเหน็บนางอีกแล้ว!

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก “ท่านหลงเอ้อร์ทำการค้าใหญ่โตมั่งคั่ง ย่อมไม่เห็นค่าของคนตัวเล็กๆ เช่นพวกเรา แต่ไม่ว่าท่านจะมีเงื่อนไขอะไร หากข้าสามารถทำได้ ข้ายินดีทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่ท่านจะทำกันสาดหน้าร้านค้าบนถนนตงต้าให้”

ขอร้องไม่สำเร็จ ใช้ผลประโยชน์หลอกล่อก็ไม่ได้ จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีแลกเปลี่ยนแทนอย่างนั้นหรือ

หลงเอ้อร์รู้สึกสงสัยขึ้นมา “เจ้าลองพูดมาสิว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงอยากให้ร้านค้าบนถนนตงต้ามีกันสาด”

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก สำหรับเขาคำขอร้องของนางเป็นเรื่องไร้สาระ เช่นนั้นเหตุผลของนางก็เกรงว่าคงจะทำให้เขารู้สึกว่าเหลวไหลสิ้นดีกระมัง

“เจ้าลองพูดมาสิ” หลงเอ้อร์จ้องหน้าจวีมู่เอ๋อร์ เขาเห็นความลำบากใจและอึดอัดบนใบหน้าของนาง ไม่รู้ว่านางมีเรื่องเบื้องหลังอะไรที่ยากจะปริปากพูดหรือไม่

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากแน่น นางคิดทบทวนไปมา สถานการณ์เช่นนี้หากนางแต่งเหตุผลขึ้นมาสักเรื่องก็เกรงว่ายากจะเกลี้ยกล่อมเขาได้ ไม่สู้บอกความจริงไปตรงๆ เลยดีกว่า

“น้องสาวข้างบ้านของข้าคนหนึ่งขายดอกไม้ประทังชีวิตอยู่บนถนนตงต้า บนถนนไม่มีกันสาด นางจึงมักจะตากแดดตากฝนอยู่เสมอ ลำบากเป็นอย่างมาก และเพราะสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ไม่มีเครื่องเงินทองประดับผม หากวันใดเจอลมเจอฝนก็ไม่อาจเข้าไปหลบในร้านค้าข้างถนนได้ นางต้องป่วยหลายครั้งด้วยสาเหตุนี้ สองวันก่อนหน้านี้ฝนตกหนัก นางตากฝนกลับบ้านจนล้มป่วยลุกไม่ขึ้น เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ในบ้านนางยังมีแม่แก่ๆ ที่ต้องดูแลอีกด้วย ข้าซึ่งช่วยอะไรไม่ได้จึงคิดจะมาขอร้องท่านหลงเอ้อร์ให้ทำกันสาดบนถนนเพื่อให้นางไม่ต้องได้รับความลำบากตากแดดตากฝนตอนทำงานอีกต่อไป”

หลงเอ้อร์ได้ฟังก็งุนงงจนนิ่งไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยถาม “แค่นี้เองหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า

หลงเอ้อร์อยากหัวเราะอีกครั้ง “แม่นาง น้องสาวข้างบ้านของเจ้าตากแดดตากฝนจนล้มป่วย เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย อย่าว่าแต่น้องสาวของเจ้าเลย หากคนที่ทำการค้าบนถนนตงต้าล้วนล้มป่วยก็ต้องมาคิดบัญชีกับข้าเช่นนั้นหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งไป “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”

หลงเอ้อร์ไม่ยอมให้นางพูดจนจบ “แม่นาง เจ้าคิดว่าข้าควรจะเป็นผู้มีเมตตา แต่ข้าไม่อยากเป็นคนที่ถูกหลอกให้เสียเงิน เรื่องนี้ไม่ต้องพูดกันแล้ว ข้าตอบเจ้าตอนนี้ได้เลยว่าเป็นไปไม่ได้!”

เพียงเพื่อให้สาวน้อยขายดอกไม้คนหนึ่งมีที่บังแดดบังฝน เขาก็ต้องทำกันสาดบนถนนทั้งสายหรือ นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน!

จวีมู่เอ๋อร์กล้าเสนอออกมา แต่เขากลับไม่อยากฟังแล้ว

“ท่านหลงเอ้อร์ เรื่องกันสาดนั้นเป็นเรื่องดีที่สามารถทำเงินได้เช่นกัน”

“ช่องทางหาเงินของข้ามีมากมายนับร้อยนับพัน ขาดเรื่องนี้ไปก็คงไม่เป็นไร” หลงเอ้อร์ไม่เกรงใจ “แม่นางจวีเชิญตามสบายเถอะ” เขากำลังจะไล่แขกแล้ว

“ท่านหลงเอ้อร์” จวีมู่เอ๋อร์รีบเรียกเขาไว้ นางเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกร้อนใจและอารมณ์เสียอยู่บ้าง นางลดเสียงลงและเอ่ยพูด “ท่านหลงเอ้อร์ หากข้ามีวิธีทำให้ท่านมีข้ออ้างที่เหมาะสมในการไปจากที่นี่ ไม่ต้องกลับไปต้อนรับคนที่ทำให้ท่านอารมณ์เสียอีก แล้วท่านก็รับปากทำกันสาดให้ ข้อเสนอนี้เป็นเช่นไร”

หลงเอ้อร์เลิกคิ้ว รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก นางเปลี่ยนมาใช้แผนยุขุนพล* แล้วหรือ

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ยินเสียงตอบของหลงเอ้อร์จึงรีบเอ่ยเสียงเบา

“เมื่อครู่ตอนที่ข้ารออยู่ด้านนอก พี่ชายในร้านน้ำชาบอกว่าท่านหลงเอ้อร์มีแขกคนสำคัญ ข้าได้ยินเสียงของคนผู้นั้นจึงรู้ว่าเป็นแขกสตรี รอจนท่านว่างมาพบข้า ในน้ำเสียงของท่านกลับไม่มีความสุข ข้าวิเคราะห์ว่าท่านคุยกับคนผู้นั้นแล้วไม่เบิกบานใจ ดังนั้นหากข้าสามารถทำให้ท่านมีเหตุผลเหมาะสมที่จะปลีกตัวออกไปและไม่ทำให้แขกคนสำคัญคนนั้นโกรธ ท่านต้องทำกันสาดหน้าร้านค้าบนถนนตงต้า เช่นนี้ได้หรือไม่”

หลงเอ้อร์เห็นจวีมู่เอ๋อร์พูดอย่างมีหลักการก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจ เขานึกสนุกขึ้นมาจึงพูดว่า “ข้ามีวิธีจะปลีกตัวจากนางแล้ว เหตุใดต้องให้เจ้ามาวุ่นวายด้วย”

“วิธีของท่านคงจะเป็นการให้คนใต้บัญชามารายงานว่าในคฤหาสน์มีงานด่วนต้องการให้ท่านกลับไปจัดการ ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะทำได้ แต่อย่างไรก็คงทำให้คนฟังรู้สึกสงสัยไม่มากก็น้อย ด้วยฐานะของท่าน หากใช้วิธีนี้หลายๆ ครั้ง แขกคนสำคัญคนนั้นก็จะคิดว่าท่านกำลังหาข้ออ้าง แต่วิธีของข้านั้นง่ายดายไม่ยุ่งยากและสมเหตุสมผลแน่นอน ท่านสามารถเดินจากไปอย่างเปิดเผย รวมทั้งแขกคนสำคัญคนนั้นยังต้องรีบส่งท่านไปอีกด้วย”

เรื่องนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ

หลงเอ้อร์ไม่สนใจว่าติงเหยียนซานจะคิดว่าเขาเสแสร้งหาข้ออ้างหรือไม่ แต่จวีมู่เอ๋อร์สะกิดความสงสัยของเขา นางโอ้อวด พูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเช่นนี้ทำให้เขาอยากรู้เหลือเกินว่านางจะมีวิธีการอย่างไร

“เจ้าลองพูดมาสิ เป็นวิธีแยบยลอันใด”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า “ท่านยังไม่ได้ตอบตกลงจะแลกเปลี่ยนกับข้า หากข้าบอกวิธีไปแล้วท่านนำไปใช้ เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าข้าเสียเปรียบหรอกหรือ”

ใครอยากจะรู้วิธีของเจ้ากัน!

หลงเอ้อร์ถูกคำพูดนี้ของนางทำให้รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่เขาคิดไม่ออกว่านางมีวิธีอะไรกันแน่ ความสงสัยถูกสะกิดจนท่วมท้น ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตอบ “ได้ ข้ารับปากเจ้า หากเจ้าสามารถทำได้อย่างที่พูด หาเหตุผลเหมาะสมที่ทำให้ข้าจากไปได้ ข้าจะทำกันสาดหน้าร้านค้าที่ถนนตงต้าให้”

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกพอใจ นางพยักหน้าแล้วพูดย้ำอีกครั้ง “ท่านพูดคำไหนคำนั้นจริง?”

“แน่นอน”

ได้รับคำยืนยันจากหลงเอ้อร์ จวีมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกโล่งอก นางยิ้มออกมาแล้วเอ่ยถาม “แขกคนนั้นสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเราได้หรือไม่”

“เจ้าเดาว่าอย่างไร” หลงเอ้อร์ยังมีแก่ใจจะล้อเล่น

“ข้าเดาว่าได้ เมื่อครู่ท่านยังหันไปมองนางด้วย”

รอยยิ้มบนใบหน้าหลงเอ้อร์แข็งค้างไปทันใด คนผู้นี้ตาบอดจริงหรือแกล้งกันแน่

จวีมู่เอ๋อร์ยื่นมือคลำไปที่ตำแหน่งของกาน้ำชาบนโต๊ะ “ท่านพูดไปพลางหันหน้าไปพลาง สามารถฟังออกได้จากน้ำเสียง” นางพบกาน้ำชาแล้ว ท่าทางเหมือนอยากจะเทน้ำชาให้ตัวเอง “ท่านไม่ปฏิเสธ เช่นนั้นแสดงว่าแขกคนสำคัญคนนั้นสามารถมองเห็นพวกเราได้”

หลงเอ้อร์เม้มปาก จ้องเข้าไปในดวงตาของนาง เอาล่ะ เขามั่นใจแล้วว่านางตาบอดจริงๆ

หลงเอ้อร์คิดว่าตัวเองสามารถแยกแยะคนจากการพูดคุยกันได้ เขามักจะมองเห็นความจริงเท็จจากแววตาและท่าทางของฝ่ายตรงข้าม แท้จริงแล้วส่วนที่งดงามที่สุดบนใบหน้าของจวีมู่เอ๋อร์นั้นเป็นดวงตา น่าเสียดายที่ใต้แผงขนตายาวนั้น ดวงตาดำขลับกลับไร้ซึ่งประกายใดๆ สิ่งนี้ทำให้นางดูสงบนิ่งเป็นอย่างมากตอนที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรมากนัก

ตอนนี้หลงเอ้อร์ไม่เห็นอารมณ์ใดๆ จากใบหน้าของนาง ดังนั้นเขาจึงรออย่างอดทน รอให้นางบอกวิธีออกมาเขาจะได้โต้ตอบกลับได้ เขาไม่เชื่อว่านางจะมีวิธีแยบยลอะไรที่เขาคิดไม่ถึง บางทีนางอาจจะหลอกเขา เขากำลังรอจับผิดนางอยู่

จวีมู่เอ๋อร์หยิบกาน้ำชาขึ้นมา คลำวัดความร้อนและกะน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง หลงเอ้อร์จับจ้องดูกิริยาของนาง เขาไม่รู้ว่าคนตาบอดจะเทน้ำชาให้ตัวเองได้อย่างไร หากตอนนี้เขาแอบหยิบถ้วยของนางไป นางจะเทน้ำชาลงบนโต๊ะหรือไม่

ความคิดของหลงเอ้อร์กำลังหมุนไป พลันเห็นจวีมู่เอ๋อร์พลิกข้อมือ ฝากาเปิดออก น้ำชาทั้งหมดในกาสาดมาที่ตัวเขา

เสียงดังพรึบ น้ำชาที่สาดมาทำให้หลงเอ้อร์นิ่งงัน

เขาคิดไม่ถึงจึงไม่ได้เตรียมป้องกัน น้ำชาอุ่นเปียกชุ่มเสื้อของเขา ไหลจากแผ่นอกลงไปอย่างรวดเร็ว

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยพูดเสียงอ่อนหวาน “ท่านกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด จะได้ไม่เป็นหวัด”

หลงเอ้อร์ทั้งตกใจทั้งโมโห ส่วนติงเหยียนซานที่อยู่อีกฟากนั้นทะยานมาถึงแล้ว นางไม่ได้หันไปด่าจวีมู่เอ๋อร์ เพียงแต่รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดคราบน้ำชาบนตัวหลงเอ้อร์ คนงานด้านข้างก็นำผ้ามาช่วยเช็ดเป็นพัลวันเช่นกัน

จวีมู่เอ๋อร์ยืนขึ้นแล้วย่อตัว “ข้าตาบอดมือไม้จึงเก้งก้าง ทำให้เสื้อผ้าท่านหลงเอ้อร์เปียก ต้องขออภัยจริงๆ”

หลงเอ้อร์โกรธจนหน้าเขียวแต่น่าเสียดายที่ไม่อาจแสดงอาการได้ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า นางหยิบไม้เท้าและลาจากไป

หลงเอ้อร์ส่งสายตาให้หลี่เคอซึ่งเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี หลี่เคอแอบตามจวีมู่เอ๋อร์ออกไป

ติงเหยียนซานไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ นางทั้งร้อนใจและโมโห “ท่านจะปล่อยนางไปเช่นนี้จริงๆ หรือ นางจงใจทำชัดๆ นางมาขอร้องอะไรแล้วท่านไม่ตกลงใช่หรือไม่ ปล่อยนางไปเช่นนี้ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องสั่งสอนนางเสียบ้าง”

“นางเป็นคนตาบอด เจ้าจะสั่งสอนนางอย่างไร หากเรื่องแพร่ออกไปจะน่าฟังหรือ” คำพูดนี้ของหลงเอ้อร์ทำให้ติงเหยียนซานพูดไม่ออก แต่สวรรค์รู้ดีว่าเขาอยากสั่งสอนหญิงตาบอดคนนั้นเหลือเกิน!

ติงเหยียนซานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองดูหลงเอ้อร์ที่เปียกไปทั้งตัว “ฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้หากต้องความเย็นคงไม่ดีต่อสุขภาพ ท่านเปียกไปทั้งตัวแบบนี้รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่คฤหาสน์เถอะ หากโดนไอเย็นจนไม่สบายไปคงจะไม่ดีเป็นแน่”

หลงเอ้อร์พยักหน้า คารวะเป็นการอำลา ก่อนกลับเขาได้สั่งให้หลงจู๊มอบชาชั้นดีให้ติงเหยียนซานนำกลับจวนไปให้ใต้เท้าเสนาบดีชิม เมื่ออำลาพอเป็นพิธีแล้วเขาก็รีบขึ้นรถม้ากลับคฤหาสน์ไป

รถม้าเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วตลอดทาง หลงเอ้อร์ครุ่นคิดไม่หยุด ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตัวเองถูกหญิงตาบอดผู้นั้นแกล้ง ซ้ำร้ายเมื่อถูกแกล้งแล้วเขายังต้องกลืนความแค้นลงท้องไป นอกจากต้องกล้ำกลืนลงไปแล้วเขายังต้องรักษาสัญญาควักเงินออกมาจ่ายให้คนนอกอีก

ขาดทุน ขาดทุนจริงๆ!

หลงเอ้อร์ยิ่งคิดยิ่งโกรธ

หญิงตาบอดคนนั้นเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้! เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!

หลงเอ้อร์ลูบเสื้อที่เปียกบนตัว เมื่อครู่เขาคิดอยู่หลายหนทาง แต่กลับคิดวิธีง่ายๆ เช่นนี้ไม่ออก เป็นเหตุที่ไม่ต้องหาข้ออ้างใดๆ เลยจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อได้หญิงสาวที่มาหาผู้นั้นเป็นคนลงมือ เหตุการณ์นี้ก็มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ติงเหยียนซานรีบส่งเขากลับตามที่นางพูดจริงๆ นางพูดถูกทุกอย่าง เช่นนั้นหากเขาไม่ทำกันสาดตามข้อตกลง ไม่เท่ากับว่าเป็นการตบปากตัวเองหรอกหรือ

หลงเอ้อร์ไม่พอใจ ไม่พอใจอย่างมาก แต่เมื่อคิดไปคิดมาแล้วก็ต้องยิ้มออกมาในทันใด จวีมู่เอ๋อร์ผู้นั้นคิดแกล้งเขา แต่คงคาดไม่ถึงว่าการทำเช่นนี้จะทำให้บุตรสาวของเสนาบดีโกรธ ติงเหยียนซานมีนิสัยเกรี้ยวกราด ทั้งยังไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน* ที่จะยอมให้ใครมาขัดใจ

หลงเอ้อร์ยิ้ม อืม…ผู้ใดทำให้เขาต้องควักเงินออกมาจ่ายให้คนนอก ผู้นั้นก็ต้องชดใช้

 

ในตอนที่หลงเอ้อร์กลับคฤหาสน์ไป หลี่เคอก็กำลังสะกดรอยตามจวีมู่เอ๋อร์อยู่

เขาตามนางออกไปทางประตูเมืองทิศใต้ เดินต่อไปอีกระยะหนึ่งก็เป็นทางสายเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยป่าไผ่ ข้างทางมีศาลาไผ่อยู่หลังหนึ่ง จวีมู่เอ๋อร์เดินขึ้นไปนั่งในศาลานั้น

หลี่เคอที่มองอยู่ไกลๆ รู้สึกตกใจกับความสามารถในการจดจำเส้นทางของหญิงตาบอดผู้นี้ ตลอดทางนางไม่ได้เดินเลี้ยวผิดไปที่ใดเลย ซ้ำยังก้าวขึ้นไปนั่งในศาลาได้อย่างแม่นยำ เขาที่กำลังจ้องมองจู่ๆ กลับได้ยินจวีมู่เอ๋อร์พูดขึ้นว่า “ท่านผู้กล้า เรามาสนทนากันสักหน่อยได้หรือไม่”

หลี่เคอตกใจ เขาหันไปมองรอบตัว ตรงนี้นอกจากเขากับจวีมู่เอ๋อร์แล้วไม่มีผู้ใดอีก

จวีมู่เอ๋อร์พูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านผู้กล้าตามข้ามาตลอดทาง เหตุใดจึงไม่มาคุยกันสักหน่อยเล่า”

หลี่เคอรู้สึกว่า ‘ท่านผู้กล้า’ ที่จวีมู่เอ๋อร์พูดถึงก็คือตัวเขาเอง ดวงตานางมองไปด้านหน้าเหมือนไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด หลี่เคอไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไรอีก ดังนั้นจึงไม่ขยับเขยื้อน

จวีมู่เอ๋อร์รอสักพัก เมื่อไม่มีคนเดินเข้ามานางจึงถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ข้าเพียงอยากขอร้องท่านผู้กล้าว่าอย่าให้พ่อข้ากับน้องสาวข้างบ้านรู้เรื่องวันนี้ หากข้าไร้มารยาทไปบ้าง หวังว่าท่านหลงเอ้อร์จะให้อภัย”

ในที่สุดหลี่เคอก็ทนไม่ไหว เขาเดินเข้าไปในศาลาแล้วเอ่ยถาม “แม่นางรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่แถวนี้”

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลี่เคอทำให้จวีมู่เอ๋อร์ตกใจจนสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง หลี่เคอประสานหมัดเอ่ยขออภัย จากนั้นจึงคิดขึ้นได้ว่าแม่นางผู้นี้มองไม่เห็น

เขาเอ่ยถามอีกครั้ง จวีมู่เอ๋อร์ถึงควบคุมสติได้แล้วตอบกลับ “ข้าคิดว่าท่านหลงเอ้อร์คงไม่ไว้ใจคนที่ไม่รู้จักเทือกเถาเหล่ากอมาก่อน เมื่อครู่นี้ข้าเองก็เสียมารยาทต่อเขา เขาคงจะส่งคนมาสืบความ ข้าออกจากร้านน้ำชามาแล้วถึงเพิ่งคิดได้ว่าลืมขอร้องเรื่องนี้กับท่านหลงเอ้อร์จึงคอยระวังตัวตลอดทาง ตาข้ามองไม่เห็น ท่านผู้กล้าจึงเบาใจตามมาโดยไม่ได้ลดเสียงฝีเท้าลง ดังนั้นจึงทำให้ข้ารับรู้ได้”

หลี่เคอรู้สึกตกใจ เขารีบเอ่ยปาก “เป็นข้าที่รบกวนแม่นางแล้ว โปรดอย่าถือสา ข้ามีนามว่าหลี่เคอ เป็นองครักษ์ของท่านหลงเอ้อร์ นายท่านรองเกรงว่าแม่นางจะเดินทางไม่สะดวก ดังนั้นจึงให้ข้าตามมาส่งเพื่อความปลอดภัย”

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย ไม่เอ่ยคำพูดหักหน้าเขา เพียงแต่พูดว่า “เช่นนั้นขอให้พี่หลี่กลับไปขอบคุณท่านหลงเอ้อร์แทนข้าด้วย” หลี่เคอรับคำ จวีมู่เอ๋อร์พูดขึ้นอีกครั้งในทันใด “ข้าชื่อจวีมู่เอ๋อร์ บ้านข้าเปิดร้านเหล้าห่างจากตัวเมืองไปทางทิศใต้ห้าลี้ พ่อข้าชื่อจวีเซิ่ง เหล้าที่บ้านข้าหมักพอจะมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่บ้าง สืบหาได้ง่ายดายยิ่ง ปีนี้ข้ามีอายุยี่สิบปี ยังไม่ได้แต่งงาน สองปีก่อนเคยป่วยเป็นโรคตาจึงทำให้มองไม่เห็นอะไรอีกเลย เดิมทีข้าเป็นนักเล่นพิณ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ดีดพิณแล้ว เพียงสอนเด็กดีดพิณ เทียบเสียงสายพิณให้ร้านขายพิณ หาเงินเล็กน้อยมาใช้จ่ายเท่านั้น”

หลี่เคอได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็พูดอะไรไม่ออก ที่แท้จวีมู่เอ๋อร์ผู้นี้รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยต่อ “ภูมิหลังของข้ามีเพียงเท่านี้ รบกวนพี่หลี่กลับไปรายงานด้วย ท่านหลงเอ้อร์จะได้วางใจ พ่อข้ากับน้องสาวข้างบ้านเป็นห่วงข้ามาก ขอพี่หลี่โปรดเข้าใจ อย่าได้ไปรบกวนพวกเขาให้ตกใจเลย”

จวีมู่เอ๋อร์พูดเช่นนี้ทำให้หลี่เคอกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าการที่ตัวเองสะกดรอยตามนางมานั้นเหมือนเป็นการรังแกหญิงตาบอดที่อ่อนแอคนหนึ่งจึงรีบพยักหน้าแล้วเอ่ยปากรับคำ

จวีมู่เอ๋อร์ขอบคุณอย่างจริงใจ นางหยิบไม้เท้าลุกขึ้นยืน หลี่เคอส่งนางกลับไปบนทางสายเล็กตรงป่าไผ่ จู่ๆ นางก็เอ่ยถามขึ้นอย่างฉับพลัน “พี่หลี่ วันนี้ข้ารบกวนการพูดคุยระหว่างดื่มชาของท่านหลงเอ้อร์กับแขกคนสำคัญ คนผู้นั้นคือใครหรือ”

“คุณหนูรองสกุลติง บุตรสาวของท่านเสนาบดีกรมอาญา”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ฟังก็ตอบรับเสียงเบา ขมวดคิ้วเล็กน้อย

หลี่เคอคิดได้ว่าไม่ควรพูดมาก เขาจึงรีบเอ่ยลา แต่ยังคงแอบตามอยู่ไกลๆ จนกระทั่งจวีมู่เอ๋อร์กลับถึงบ้าน

เมื่อตามไปจนสุดทาง หลี่เคอก็พบว่าเป็นจริงดังที่จวีมู่เอ๋อร์บอก บ้านของนางเป็นร้านขายเหล้า เขาแอบเดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณบ้านข้างเคียงอย่างละเอียด จากนั้นจึงเข้าไปในร้านขายพิณหลายร้าน ใช้ข้ออ้างว่าจะซื้อพิณเพื่อสืบความ แล้วก็ไปสอบถามจากขอทานสืบข่าวในเมือง สุดท้ายจึงกลับคฤหาสน์สกุลหลงไปรายงานท่านหลงเอ้อร์

ที่แท้จวีมู่เอ๋อร์ผู้นี้มีชื่อเสียงภายในเมืองอยู่บ้าง นางฉลาดเหนือใครมาตั้งแต่เด็ก อ่านหนังสือโคลงกลอนมามากมาย ทั้งยังมีฝีมือการดีดพิณเหนือธรรมดา หญิงสาวเช่นนี้ย่อมถูกกล่าวขานถึงกันไปทั่ว แม่ของจวีมู่เอ๋อร์ป่วยตายตั้งแต่นางอายุได้สิบปี จวีเซิ่งผู้เป็นพ่อมีบุตรสาวเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงรักใคร่นางเป็นอย่างมาก เขายอมให้นางได้ทำในสิ่งที่นางรักและไม่เคยเข้าไปก้าวก่าย

จวีมู่เอ๋อร์มีน้องสาวข้างบ้านที่พักห่างออกไปไม่ไกลจริงๆ สาวน้อยผู้นั้นมีนามว่าซูฉิง ในบ้านนางมีแม่ที่ป่วยหนัก ซูฉิงจะเก็บดอกไม้หรือบางครั้งก็เป็นสมุนไพรไปขายเพื่อประทังชีวิต ซึ่งปกติจะเร่ขายไปตามถนนตงต้า วันก่อนซูฉิงตากฝนจนป่วยหนัก เกือบจะก้าวเข้าสู่ประตูยมโลกจริงๆ

“หากเป็นเช่นนี้ สิ่งที่จวีมู่เอ๋อร์พูดก็เป็นจริงทุกคำหรือ”

หลี่เคอตอบกลับ “เป็นเช่นนั้นขอรับ”

“นางตาบอดได้อย่างไร” หลงเอ้อร์ถาม

“สองปีก่อนมีคดีใหญ่สะเทือนขวัญคดีหนึ่ง เทพพิณซือป๋ออินต้องการแย่งชิงสุดยอดตำราเพลงพิณ จึงสังหารครอบครัวของเสนาบดีกรมปกครองสื่อเจ๋อชุน ภายหลังซือป๋ออินถูกตัดสินประหารชีวิต เนื่องด้วยเทพพิณผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดัง องค์จักรพรรดิทรงเสียดายความสามารถของเขาจึงทรงอนุญาตให้เขาบรรเลงบทเพลงได้หนึ่งบทก่อนตาย”

หลงเอ้อร์พยักหน้า “เรื่องนี้ข้ารู้ ซือป๋ออินขอให้มีคนรู้ดนตรีอยู่ในที่แห่งนั้นด้วยจึงจะยอมบรรเลงเพลง ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงทรงอนุญาตให้นักพิณมีชื่อทั่วทั้งใต้หล้าเข้าไปฟังและดูการลงโทษได้”

แท้จริงแล้ว องค์จักรพรรดิทรงเคยส่งเทียบเชิญให้หลงเอ้อร์ไปร่วมงานเช่นกัน แม้ตอนนั้นการดีดพิณจะเป็นที่ชื่นชอบไปทั่วแคว้นเซียว และคนในแคว้นต่างก็ฝึกฝนเรียนรู้ศิลปะการดีดพิณ แต่หลงเอ้อร์กลับเป็นผู้ไม่รู้เรื่องพิณเลยสักนิด ดังนั้นจึงไม่สนใจจะไปร่วมงานในครั้งนั้นแม้แต่น้อย

เขาไม่ได้ไป แต่จวีมู่เอ๋อร์ไปเช่นนั้นหรือ

หลี่เคอพยักหน้า “แม่นางจวีไปร่วมฟังพิณก่อนการประหารครั้งนั้น เมื่อนางกลับมาก็หลงใหลศิลปะการบรรเลงพิณมากยิ่งขึ้น ได้ยินว่านางศึกษาตำราเพลงพิณทั้งวันทั้งคืนจนทำให้ดวงตาเสีย เรื่องนี้ไม่ต่างจากที่นางเคยบอกกับข้าน้อยว่าตาบอดเพราะป่วย”

“นางบอกเจ้าด้วยตัวเองว่านางตาบอดเพราะป่วยอย่างนั้นหรือ”

“ขอรับ” หลี่เคอเล่าเรื่องที่เขาสะกดรอยตามจวีมู่เอ๋อร์ จากนั้นก็ถูกนางจับได้และพูดถึงสิ่งที่พวกเขาทั้งสองคุยกันออกมาจนหมดสิ้น

หลงเอ้อร์ได้ฟังก็แค่นหัวเราะเย็นชา “หญิงตาบอดคนนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ” หลี่เคอไม่เข้าใจ หลงเอ้อร์จึงพูดต่อ “นางร่างกายบอบบางและมีฝีเท้าหนัก เห็นได้ชัดว่าไม่มีวรยุทธ์ เช่นนั้นจะได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้าได้อย่างไรกัน นางเพียงแค่หลอกล่อเจ้าเท่านั้น พอเจ้ายอมรับ นางก็มั่นใจว่าข้าส่งคนตามนางไป”

หลี่เคอคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด นี่เขาถูกหลอกจริงๆ หรือ

หลงเอ้อร์พูดต่อ “นางบอกเล่าภูมิหลังที่ไม่สำคัญของตัวเองออกมาเพื่อให้เจ้าลดความแคลงใจลง แล้วจึงเอ่ยปากถามถึงแขกคนสำคัญที่คุยกับข้าว่าเป็นใคร และเจ้าก็บอกนางไป”

จุดนี้หลี่เคอเองก็รู้ตัวดี เขารีบก้มหน้าขอรับโทษ “ข้าน้อยทำงานผิดพลาด ขอนายท่านรองลงโทษด้วย”

“ไม่ลงโทษ” หลงเอ้อร์นั่งพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ ริมฝีปากบางยกยิ้ม “เจ้าทำได้ดีมาก ตอนนี้นางรู้แล้วว่าตัวเองทำผิดต่อผู้หญิงที่ไม่ควรจะไปยั่วโทสะ ดังนั้นให้นางว้าวุ่นใจเสียบ้างก็สมควรแล้ว”

หึ! หญิงผู้นั้นสาดน้ำชาใส่เขาจนเปียกไปทั้งตัว ทั้งยังทำให้เขาต้องควักเงินออกมาทำกันสาดโดยไร้ประโยชน์ เขาจะปล่อยให้นางมีความสุขไปได้อย่างไรกัน!

หลงเอ้อร์ยังโกรธอยู่ แต่หลี่เคอมีเรื่องจะรายงานต่อ

แท้จริงแล้วคดีของเทพพิณซือป๋ออินเป็นหน้าที่ของกรมอาญา รองเสนาบดีกรมอาญาอวิ๋นชิงเสียนเป็นผู้สอบสวนคดีเองตั้งแต่ต้นจนจบ นักพิณที่เข้าร่วมฟังพิณก่อนการประหารนั้นเขาก็เป็นผู้ตรวจสอบประวัติแล้วอนุญาตให้รับเทียบเข้าชม อวิ๋นชิงเสียนเป็นผู้รักในเสียงพิณคนหนึ่งเช่นกัน เขาดีดพิณได้ยอดเยี่ยม ดังนั้นภายหลังจากการฟังพิณก่อนการประหารเสร็จจึงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนและผูกสัมพันธ์กับนักพิณจำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีจวีมู่เอ๋อร์รวมอยู่ด้วย

หลงเอ้อร์ได้ฟังดวงตาก็เป็นประกาย “เจ้าบอกว่าอวิ๋นชิงเสียนผู้น่ารังเกียจคนนั้นไปมาหาสู่กับจวีมู่เอ๋อร์อย่างนั้นหรือ”

หลี่เคอคลึงขมับ เมื่อพูดถึงศัตรู ผู้เป็นนายของเขาก็แสดงอาการสนใจเป็นอย่างมาก เขาจึงรีบรายงานต่อ

เดิมทีจวีมู่เอ๋อร์มีคู่หมั้นหมายแซ่เฉินอยู่คนหนึ่ง เรื่องการแต่งงานก็ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ยังเด็ก จวีมู่เอ๋อร์กับคุณชายเฉินผู้นั้นเติบโตขึ้นมาด้วยกันจึงมีความสัมพันธ์ทางใจลึกซึ้ง แต่ด้วยความหลงใหลที่นางมีต่อเสียงพิณทำให้ต้องเลื่อนเวลาการแต่งงานออกไปหลายครั้ง ตกลงว่าจะรอให้นางอายุครบสิบแปดปีแล้วค่อยแต่งคาดไม่ถึงว่าพอใกล้จะครบกำหนด จวีมู่เอ๋อร์ที่เพิ่งกลับมาจากการไปร่วมฟังพิณก่อนการประหารของซือป๋ออินนั้นจะหลงใหลพิณเหมือนถูกมารเข้าแทรก จากนั้นนางก็เป็นโรคตา สุดท้ายจึงจำต้องถอนหมั้นล้มเลิกการแต่งงานไป นับจากนั้นเป็นต้นมาอวิ๋นชิงเสียนก็แสดงความรักต่อนางอย่างเปิดเผยกระทั่งทุกคนต่างรับรู้ได้อย่างชัดเจน

หลงเอ้อร์หัวเราะเสียงดัง “อวิ๋นชิงเสียนผู้นั้นมีฮูหยินแล้วมิใช่หรือ เขาเป็นพี่เขยของติงเหยียนซาน เป็นลูกเขยผู้เพียบพร้อมของท่านเสนาบดีติง แล้วเหตุใดยังคงไปเกาะแกะกับหญิงสาวคนอื่นนอกบ้าน ซ้ำยังเป็นหญิงสาวตาบอดอีกด้วย” เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกสนใจ “เรื่องนี้น่าสนุกจริง”

อวิ๋นชิงเสียนเป็นใครน่ะหรือ…

เขาเป็นลูกน้องคนสนิทและเป็นลูกเขยของติงเซิ่งผู้เป็นเสนาบดีกรมอาญาซึ่งเป็นคนสนิทขององค์จักรพรรดิ ขณะเดียวกันก็เป็นศิษย์รักของสื่อเจ๋อชุนเสนาบดีกรมปกครองที่ถูกซือป๋ออินฆ่าตาย ในอดีตเป็นเพราะสื่อเจ๋อชุนให้การอุ้มชู เสนอต่อองค์จักรพรรดิให้อวิ๋นชิงเสียนเข้าทำงานในกรมอาญาเขาจึงได้มีตำแหน่งอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้ เขากับสื่อเจ๋อชุนรักกันเหมือนพ่อลูก ดังนั้นคดีที่สื่อเจ๋อชุนถูกสังหาร อวิ๋นชิงเสียนจึงใช้ความสามารถทั้งหมด ไม่ยอมละความพยายาม จนท้ายที่สุดก็สามารถนำคนร้ายมารับโทษทัณฑ์ได้

อวิ๋นชิงเสียนมีรูปร่างหน้าตาสง่างามเป็นที่น่าเคารพนับถือ จะทำการใดล้วนมีกฎระเบียบตายตัว ไม่ปรับเปลี่ยนอ่อนข้อใดๆ เขามีตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีกรมอาญา ส่วนหลงเฟยนายท่านสามแห่งสกุลหลงเป็นจอมยุทธ์ที่มักจะมีเรื่องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีการตายของคนในยุทธภพจำนวนมาก อวิ๋นชิงเสียนซึ่งไม่สนใจคำทัดทานทั้งทางตรงและทางอ้อมขององค์จักรพรรดิกับเสนาบดีกรมอาญาจึงมักจะเข้ามาหาเรื่องหลงซานอยู่เสมอ

ควรจะรู้ก่อนว่าการหาเรื่องหลงซานก็คือการสร้างความไม่พอใจให้หลงเอ้อร์ เมื่อมีเขาอยู่ทั้งคน มีหรือที่เขาจะยอมให้คนสกุลหลงถูกรังแกได้ ดังนั้นปมความบาดหมางระหว่างคนทั้งสองจึงเกิดขึ้นและนับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปทุกทีๆ

หลงเอ้อร์ไม่พอใจที่อวิ๋นชิงเสียนชอบวางท่า ดื้อรั้นไม่ยืดหยุ่น เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน คอยแต่จะหาเรื่องสกุลหลงให้ได้ ส่วนอวิ๋นชิงเสียนไม่พอใจที่หลงเอ้อร์หาผลประโยชน์จากการค้า หลอกลวงลื่นไหล ใช้ผลประโยชน์ซื้อตัวคนในราชสำนัก คนทั้งสองมีอายุไล่เลี่ยกัน คนหนึ่งเป็นขุนนางอีกคนหนึ่งเป็นพ่อค้า มีความสามารถโดดเด่นด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นจึงมักจะถูกผู้คนนำมาเปรียบเทียบกันเสมอ ต่างฝ่ายต่างก็มีคนคอยสนับสนุน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งสองคนต่างเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามมากยิ่งขึ้นไปอีก

คนทั้งสองหากพบหน้าเป็นต้องทะเลาะกัน ขุนนางผู้ทรงเกียรติทั้งหลายในเมืองหลวงต่างก็รู้ดี ดังนั้นงานเลี้ยงหรืองานพบปะสังสรรค์ทั้งหลาย หากมีผู้หนึ่งอยู่ในงานก็จะไม่เชิญอีกผู้หนึ่งมาร่วมงาน

บัดนี้หลงเอ้อร์ได้รู้ว่าอวิ๋นชิงเสียนมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกยินดีนัก “หากติงเหยียนซานรู้ว่าพี่เขยไปติดพันจวีมู่เอ๋อร์ นางจะต้องโมโหมากเป็นแน่ อีกทั้งวันนี้จวีมู่เอ๋อร์ไม่เคารพข้าต่อหน้านาง ทำลายโอกาสอันดีของนาง เรื่องนี้คงทำให้นางโมโหมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อความโมโหมารวมกัน ด้วยนิสัยของนางคงจะไม่ยอมให้จวีมู่เอ๋อร์อยู่เป็นสุขอย่างแน่นอน”

หลี่เคอลอบถอนใจ หญิงสาวอ่อนแอน่าสงสารคนหนึ่งจะถูกคนรังแก มีเรื่องอะไรให้นายของเขาภาคภูมิใจอย่างนั้นหรือ

“หลี่เคอ…” หลงเอ้อร์หรี่ตามอง เอ่ยพูดเย็นชา “ทำไม เจ้าสงสารจวีมู่เอ๋อร์หรือ”

“ข้าน้อยไม่กล้าขอรับ”

“พบหน้าเพียงครั้งเดียว เจ้าก็ชอบนางแล้วหรือ”

“ข้าน้อยไม่ได้ชอบขอรับ” หลี่เคอเหงื่อผุด นายท่านรองขอรับ ได้โปรดอย่าล้อเล่นเลย ข้าน้อยเป็นคนใต้บัญชาที่ทำงานด้วยความจริงจังนะขอรับ

“เจ้าดูสิ การแสร้งทำตัวให้น่าสงสารเป็นอาวุธชั้นดีของผู้หญิง” หลงเอ้อร์ลุกขึ้นตบไหล่ของหลี่เคอ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม้แต่อวิ๋นชิงเสียนยังหลงกล หากเจ้าเกิดความสงสารต่อนางก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่ไม่ใช่หรือ”

นายท่านรองคิดจะบอกว่าเป็นเพราะตัวเองฉลาดหลักแหลมจึงไม่ถูกวิธีนี้ทำให้หลงใหลใช่หรือไม่ หลี่เคอไม่กล้าเอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมา ทำได้แต่กลืนมันลงท้องไปเท่านั้น

รอยยิ้มบนใบหน้าหลงเอ้อร์ยังไม่จางไป “ท่ามกลางเมืองนี้ยังมีเรื่องน่าดึงดูดใจซ่อนอยู่ น่าสนใจ ช่างน่าสนใจยิ่งนัก!”

หลี่เคอเม้มปากแน่น พยายามไม่พูดอะไรออกมา ในเมืองมีข่าวลือว่านายท่านรองของเขาเห็นแก่เงินทอง เจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยอีกด้วย ถึงตอนนี้ที่ยังไม่แต่งงานก็เพราะเป็นโรคประหลาดส่วนตัว แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เขาพูดออกมาไม่ได้ พูดไม่ได้อย่างเด็ดขาด เขายังไม่อยากถูกส่งไปขัดห้องสุขา

หลงเอ้อร์ยังคงคิดแต่เรื่องดีงามของตน “หากติงเหยียนซานคิดจะจัดการจวีมู่เอ๋อร์ นางคงไม่มีเวลามาวุ่นวายกับข้ามากนัก ส่วนจวีมู่เอ๋อร์เมื่อถูกคนรังแก อวิ๋นชิงเสียนคงอยู่ไม่เป็นสุข หากเขายื่นมือเข้าไปช่วย จะแก้ตัวกับสกุลติงว่าอย่างไร และหากไม่ช่วยจวีมู่เอ๋อร์ก็จะเสียเปรียบ เขาเองคงรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก”

เมื่อหลงเอ้อร์คิดถึงสภาพของอวิ๋นชิงเสียนที่จะเลือกทางใดก็ลำบากใจแล้วเขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

“หากเขาทนไม่ไหวและใช้กำลังยับยั้งติงเหยียนซาน ทำให้ฮูหยินและน้องภรรยาของเขาโมโห จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จะยอดเยี่ยมนัก”

หลงเอ้อร์ยิ่งคิดยิ่งทนรอไม่ไหว อยากจะให้ติงเหยียนซานรีบลงมือ ลูกหินหนึ่งก้อนยิงนกได้สามตัว เพียงแค่คิดว่าจะจัดการคนที่ทำให้เขาไม่ชอบใจได้ก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขเหลือเกินแล้ว

บทที่สอง

หลงเอ้อร์ไม่ได้คาดการณ์ผิด ติงเหยียนซานรู้จักจวีมู่เอ๋อร์และคิดจะไปสั่งสอนจวีมู่เอ๋อร์จริงๆ

วันนั้นหลังจากที่หลงเอ้อร์จากไปแล้ว นางก็ให้คนรถบังคับรถม้าไปส่งนางที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋น

พี่สาวของติงเหยียนซานมีนามว่าติงเหยียนเซียง เมื่อสามปีก่อนนางแต่งงานกับอวิ๋นชิงเสียน สองสามีภรรยารักใคร่สมัครสมาน แต่ติงเหยียนเซียงไม่ตั้งครรภ์สักที แม้อวิ๋นชิงเสียนจะปลอบใจว่ายังไม่ต้องรีบร้อน แต่นางยังคงมีปมนี้อยู่ในใจ

ติงเหยียนซานมีนิสัยใจร้อน กล้าได้กล้าเสีย ส่วนติงเหยียนเซียงนั้นสุภาพอ่อนโยนเป็นแบบฉบับของสาวงามอ่อนหวาน

เมื่อติงเหยียนซานไปถึงคฤหาสน์สกุลอวิ๋นและได้พบหน้าพี่สาว นางก็เล่าไปตามตรงว่าวันนี้ได้พบกับนางจิ้งจอกตาบอดคนนั้น ติงเหยียนเซียงนิ่งไปครู่หนึ่งถึงค่อยรู้ว่าคนที่ติงเหยียนซานพูดหมายถึงใคร

“ซานเอ๋อร์ ทำการใดต้องเหลือที่ว่างไว้สามส่วน พบคนต้องเหลือคำดีไว้ห้าส่วน”

“เช่นนั้นก็ต้องแบ่งแยกว่าเป็นใครและเรื่องอะไร” ติงเหยียนซานพูดด้วยความโกรธ “วันนี้ข้าไปที่ร้านน้ำชาเซิ่งหลง กำลังคุยกับท่านหลงเอ้อร์ นางจิ้งจอกนั่นก็เข้ามาเหมือนนางมีเรื่องจะขอร้องเขา แต่เมื่อท่านหลงเอ้อร์ไม่ตอบตกลง นางกลับใช้น้ำชาร้อนสาดใส่เขา พี่คิดดูว่าหญิงคนนี้หน้าด้านหรือไม่”

ติงเหยียนเซียงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “นางไปขอร้องท่านหลงเอ้อร์เรื่องอะไร”

“ข้าไม่รู้” ติงเหยียนซานเบ้ปากแล้วย้อนถามว่า “พี่เหยียนเซียง พี่กับพี่เขยคุยกันหรือยัง เขาคิดจะทำอย่างไรกันแน่”

ใบหน้าของติงเหยียนเซียงมีความกังวลอยู่บางๆ อวิ๋นชิงเสียนดีต่อนางทุกอย่าง แต่เกรงว่าเขาจะมีใจให้จวีมู่เอ๋อร์เช่นกัน สามีภรรยาสนิทสนมกันที่สุด เขามีความคิดอย่างไรย่อมปิดบังนางไม่ได้

เมื่อติงเหยียนเซียงเล่าเรื่องออกมา ติงเหยียนซานถึงกับลุกขึ้นยืน “เฮอะ นี่เขาคิดจะแต่งนางจิ้งจอกคนนั้นเข้าบ้านจริงๆ หรือ”

“ท่านพี่บอกว่าแม่นางจวียังไม่ตอบตกลง” ติงเหยียนเซียงคิดถึงท่าทางตอนที่อวิ๋นชิงเสียนพูดคำนี้ ในใจก็รู้สึกเจ็บปวด หากเขาไม่ได้จริงใจต่อหญิงตาบอดคนนั้น นางก็คงจะไม่เสียใจถึงเพียงนี้

ติงเหยียนซานโกรธจนเดินงุ่นง่านไปทั่วห้อง “นางจิ้งจอกคนนั้นแผนสูงเหลือเกิน ข้าไปสืบมาแล้ว ตอนนั้นนางถ่วงเวลาแต่งงานกับชายที่โตมาด้วยกัน คิดหาทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับความสนใจจากพี่เขย ทุกคนรู้ว่าพี่เขยชอบพิณ นางจึงอาศัยตรงจุดนี้ มาตอนนี้นางตาบอดจึงแสร้งทำตัวให้น่าสงสาร ผู้ชายมักจะแพ้วิธีนี้ที่สุด เกรงว่าที่นางไม่ตอบรับแต่งเข้าบ้านคงเพราะไม่อยากเป็นอนุ นางคงคิดจะบีบให้พี่เขยหมางเมินพี่ หากไม่คิดอยากเป็นภรรยามีศักดิ์เท่าเทียมกับพี่ก็คงคิดจะครอบครองพี่เขยแต่เพียงผู้เดียว เลวจริงๆ! นางไม่ดูสารรูปตัวเองเลยว่าอยู่ในฐานะใด! พี่เหยียนเซียง พี่ยอมนางไม่ได้นะ หากพี่ไม่กล้าเอ่ยปาก ข้าจะบอกท่านพ่อท่านแม่เอง นางเป็นเพียงหญิงตาบอดธรรมดา แม้พี่เขยจะถูกนางหลอกล่อ แต่จะกล้าไม่ไว้หน้าจวนเสนาบดีเชียวหรือ”

“ซานเอ๋อร์ อย่าให้เรื่องวุ่นวายไปถึงท่านพ่อท่านแม่เลย เรื่องนี้พี่จะจัดการเอง”

ติงเหยียนซานไม่ยอม “พี่เหยียนเซียง พี่เป็นคนใจอ่อน หากในตอนแรกพี่เขยไม่ได้ท่านพ่อคอยอุ้มชูจะมีวันนี้ได้อย่างไร เขาสามารถแต่งงานกับพี่ได้ก็นับว่าเป็นบุญของเขาแล้ว วันนี้เขามีพร้อมทุกอย่างแต่กลับเจ้าชู้ แอบไปมองหญิงนอกบ้าน หากวันนี้พี่ยอมให้เขาทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ วันข้างหน้าพี่จะมีชีวิตอย่างไร” ติงเหยียนซานยิ่งคิดยิ่งโกรธ “ไม่ได้ ข้าจะไปบอกท่านพ่อ ส่วนนางจิ้งจอกคนนั้น ข้าจะไม่ปล่อยนางไว้แน่” พูดจบติงเหยียนซานก็หมุนตัวจะเดินจากไป

“ซานเอ๋อร์!” ติงเหยียนเซียงร้อนใจ รีบรั้งตัวน้องสาวไว้ เสียงพูดก็ดังมากยิ่งขึ้น “เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ยื่นมือเข้ามายุ่ง”

“พี่เหยียนเซียง!” ติงเหยียนซานโกรธจนกระทืบเท้า

“ซานเอ๋อร์ เรื่องนี้ลือกันไปทั่วทั้งเมือง เจ้าคิดว่าท่านพ่อจะไม่รู้เลยหรือ หากท่านพ่อคิดจะออกหน้าแทนพี่ ทำไมต้องรอให้เจ้าออกปากด้วย”

ติงเหยียนซานนิ่งไป พูดอะไรไม่ออก

ติงเหยียนเซียงเอ่ยต่อ “ท่านพ่อเองก็มีอนุสามเรือน ทั้งๆ ที่ท่านแม่ก็เป็นคนมีแผนการมากมายทั้งยังมีท่านตาคอยให้ท้าย ผลก็เป็นเช่นเดิมมิใช่หรือ ตอนที่พี่แต่งงาน ท่านแม่ก็บอกพี่ว่าท่านพ่อเห็นความสามารถของท่านพี่ คาดการณ์ไว้ว่าในอนาคตเขาจะต้องเจริญก้าวหน้า ดังนั้นจึงดึงตัวเขาเข้าไปทำงานในกรมอาญา ในเมื่อพี่แต่งงานกับเขาก็ต้องเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว ขอเพียงรักษาตำแหน่งภรรยาเอกเอาไว้ให้ดี ทำให้เขาพอใจได้ก็เพียงพอแล้ว หากเขาจะมีหญิงอื่นก็ขอเพียงไม่ให้หญิงผู้นั้นให้กำเนิดเลือดเนื้อของเขาออกมาทำให้ฐานะของพี่สั่นคลอน หากเป็นเช่นนั้นก็ปล่อยตามใจเขาเถอะ”

ติงเหยียนซานกัดริมฝีปากแน่น กระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ “ท่านพ่อท่านแม่…พวกท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

ติงเหยียนเซียงกุมมือนางเอาไว้ “ซานเอ๋อร์ ถึงแม้จะเป็นคนธรรมดา หากในบ้านมีเงินอยู่บ้างก็ยังสามารถแต่งอนุเข้าบ้านได้ นับประสาอะไรกับขุนนางที่มีอำนาจอย่างท่านพ่อกับท่านพี่ หลังจากพี่รู้ถึงความคิดของเขาแล้วพี่ก็คิดอะไรมากมาย ความจริงนับได้ว่าเขาดีต่อพี่แล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่ทำให้พี่ต้องเป็นพี่สาวของเหล่าอนุโดยไม่รู้ตัว เขารับปากว่าหากพี่ไม่ยอมตกลงเขาก็จะไม่แต่งหญิงอื่นเข้าบ้าน และจะไม่ยอมให้หญิงอื่นให้กำเนิดลูกของเขาแม้แต่คนเดียว”

ติงเหยียนซานสะบัดมือ “หึ เรื่องนี้นับเป็นอะไรได้ หากเขาจริงใจกับพี่จริง คงไม่ชายตามองหญิงอื่นแบบนี้ รอให้ข้าแต่งงานกับท่านหลงเอ้อร์แล้ว จะไม่ยอมให้เขามีความคิดอยากแต่งงานกับหญิงคนอื่นแน่นอน”

ติงเหยียนเซียงยิ้มบาง ยื่นมือไปลูบใบหน้าน้องสาว “เจ้าดูตัวเองสิ ไม่รู้จักอายเสียบ้าง เป็นผู้หญิงมาพูดถึงเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เฝ้าหวังแต่เรื่องแต่งงานหรือ”

ติงเหยียนซานหน้าแดง แต่ยังคงเชิดหน้าพูดต่อ “ข้าอยากแต่งงานกับเขา ผู้หญิงคนอื่นย่อมไม่เพียบพร้อมเท่าข้าแน่นอน”

ติงเหยียนเซียงยิ้มแล้วดึงนางเข้ามาใกล้ “ใช่ น้องสาวของพี่ดีที่สุดเลย”

ติงเหยียนซานเอียงหัวซบไหล่ของพี่สาวอย่างออดอ้อนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยถาม “พี่เหยียนเซียง เมื่อพี่เขยบอกว่าเรื่องนี้แล้วแต่พี่ พี่คิดจะทำเช่นไร”

ติงเหยียนเซียงถอนหายใจ “พี่จะลองคิดดู…คิดดูอีกทีก็แล้วกัน”

ติงเหยียนซานไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับคิดว่าจะปล่อยให้นางจิ้งจอกคนนั้นอยู่เป็นสุขไม่ได้โดยเด็ดขาด

 

หลังจากถูกน้ำชาสาดใส่หลงเอ้อร์ก็เริ่มสนใจเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนตาบอดขึ้นมา

แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาคิดถึงมาตลอด พูดให้ชัดเจนก็คือแค้นนี้เขาจดจำเอาไว้แล้ว

บางครั้งเขาเดินผ่านหลุมบนถนนก็คิดว่าคนที่มองไม่เห็นอาจจะสะดุดได้กระมัง อืม หากหญิงตาบอดคนนั้นสะดุดล้มก็คงดี ตอนเขาคีบอาหารก็ยังคิดว่าหากมองไม่เห็นว่าอาหารอยู่ตรงไหน แล้วจะกินได้อย่างไร มิน่านางถึงผอมเช่นนั้น อืม สมน้ำหน้าที่นางกินอาหารไม่สะดวก

เมื่อเป็นเช่นนี้ตลอดจนผ่านไปหลายวัน ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวตามหลี่เคอมาถามความ “ติงเหยียนซานสั่งสอนจวีมู่เอ๋อร์คนนั้นแล้วหรือยัง”

หลี่เคอจนใจ ได้แต่รับคำสั่งไปสืบว่าผู้หญิงคนหนึ่งได้ไปรังแกผู้หญิงอีกคนหนึ่งหรือไม่ เมื่อสืบได้ความแล้วก็กลับมารายงาน “หลังจากวันนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นขอรับ”

หลงเอ้อร์ลูบปลายคาง “หญิงตาบอดคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ”

หลี่เคอทอดถอนใจ ผู้เป็นนายของเขาช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง คนตาบอดย่อมเดินเหินไม่สะดวก อยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปที่ใดก็กลับกลายเป็นเจ้าเล่ห์ไปเสียอย่างนั้น เขาทนไม่ไหวจึงเอ่ยถาม “นายท่านรอง เรื่องกันสาดจะทำเช่นไรดีขอรับ”

หลงเอ้อร์ปรายตามอง “ทำไม เจ้าคิดจะเร่งให้ข้าทำตามสัญญาแทนหญิงตาบอดคนนั้นหรือ”

หลี่เคอพานถูกโกรธไปด้วยจึงรีบก้มหน้าไม่กล้าส่งเสียงอะไรอีก

หลงเอ้อร์ลุกขึ้นยืนเอามือไพล่หลังมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วพูดว่า “เมื่อข้ารับปากแล้วย่อมไม่ผิดคำพูด กันสาดนี้ต้องทำแน่นอน แต่ข้าจะไม่ยอมควักเงินจ่ายเอง”

หลี่เคอตกใจ ไม่ยอมจ่ายเงินแล้วจะสร้างได้อย่างไร

หลงเอ้อร์พูดต่อ “ข้าให้พ่อบ้านเถี่ยกระจายข่าวไปถึงเหล่าพ่อค้ารายใหญ่แล้วว่าเพื่อทำให้ถนนตงต้าเป็นถนนการค้าที่คึกคักและยิ่งใหญ่ที่สุด จึงจะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่โดยสร้างกันสาดหน้าร้านค้าเพิ่มทั้งหมด เพียงไม่กี่วันจะต้องมีคนส่งเงินมาทั้งยังขอร้องให้ข้าใช้เงินเหล่านั้นมาปรับปรุงถนนอย่างแน่นอน”

หลี่เคอเข้าใจทันที เศรษฐีเหล่านั้นมีเงินทองจนใช้ไม่หมด พวกเขาไม่ขาดเงิน แต่สิ่งที่ขาดคือชื่อเสียงและอำนาจ หากพวกเขาสามารถใช้เงินเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ถนนตงต้ากลายเป็นถนนการค้าที่คึกคักที่สุดในแคว้น มีชื่อประดับเอาไว้ พร้อมทั้งได้ชื่อเสียงและเอาใจท่านหลงเอ้อร์ไปในคราวเดียว สำหรับพวกเขาแล้วย่อมถือเป็นเรื่องดีที่เต็มใจทำเป็นอย่างยิ่ง

เป็นวิธีที่ดียิ่ง ไม่ต้องควักเงินจากกระเป๋าตัวเอง อีกทั้งเกรงว่าสองสามวันนี้คงจะมีคนส่งของขวัญมาเพื่อแย่งกันเอาใจแย่งกันออกเงินอีกด้วยกระมัง

หลี่เคอที่กำลังคิดว่านายของตัวเองมีความคิดยอดเยี่ยมนักพลันได้ยินหลงเอ้อร์เอ่ยถาม “ครั้งก่อนหญิงตาบอดคนนั้นบอกว่านางมีวิธีทำให้ข้าสร้างกันสาดแล้วยังได้เงินกลับมาอีก เจ้าคิดว่าเป็นวิธีใด”

“ข้าน้อยไม่รู้ขอรับ”

หลงเอ้อร์มองออกไปนอกหน้าต่าง รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เขาควรถามนางให้กระจ่างตั้งแต่แรกจะได้ไม่ต้องมาคิดมากเช่นวันนี้ เขากำชับให้หลี่เคอส่งคนไปจับตาดูจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้ คอยดูว่านางจะได้รับการสั่งสอนอย่างไรบ้างแล้วต้องรีบมารายงานให้เขาฟัง

หลี่เคอรับคำสั่งแล้วถอยออกไป หลงเอ้อร์กลับไปนั่งที่เก้าอี้ เปิดดูสมุดบัญชีของตัวเอง อืม เป็นสมุดบัญชีที่ทำให้เขามีความสุขที่สุด ผู้หญิงล้วนทำให้เรื่องยุ่งยากทั้งสิ้น

 

ผ่านไปครึ่งเดือน หลงเอ้อร์ได้รับข่าวของจวีมู่เอ๋อร์เพียงสองเรื่อง หนึ่งคือนางออกจากบ้านไปสอนบุตรสาวของคฤหาสน์สกุลหลี่ให้ดีดพิณ ระหว่างทางกลับบ้านถูกอันธพาลสองคนหยอกเย้ากลั่นแกล้งจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ชาวนาคนหนึ่งเป็นคนช่วยเอาไว้และส่งนางกลับบ้าน อีกเรื่องหนึ่งคือนางไปช่วยปรับสายพิณให้ร้านพิณ ตอนขากลับถูกสาดน้ำสกปรกใส่ ได้เถ้าแก่เนี้ยร้านเต้าหู้คนหนึ่งยื่นมือเข้าช่วย ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดแล้วส่งนางกลับบ้าน

หลงเอ้อร์ได้ฟังก็ขมวดคิ้ว “การสั่งสอนของติงเหยียนซานมีเพียงแค่นี้เองหรือ วิธีการของผู้หญิงช่างเล็กน้อยน่าเบื่อเหลือเกิน”

หลี่เคอก้มหน้าไม่พูดจา แอบคิดอยู่ในใจว่าหญิงสาวอ่อนแอถูกรังแก นายท่านของเขายังจะเห็นเป็นเรื่อง ‘น่าสนุก’ อยู่อีกหรือ

ผ่านไปสักครู่หลงเอ้อร์ก็พูดขึ้น “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เจ้าไปหาหญิงตาบอดคนนั้นแล้วบอกนางว่าข้าจัดการเรื่องทำกันสาดให้แล้ว ขอเชิญนางไปที่หอเซียนเว่ยเพื่อปรึกษากันสักนิด”

หลี่เคอตกตะลึง “จะปรึกษาเรื่องอะไรขอรับ”

หลงเอ้อร์เหลือบตามอง “แน่นอนว่าไม่มี แต่ที่ข้าเชิญนางออกมาย่อมมีเหตุผลแน่นอน เจ้าสั่งการให้ไปหาบ่าวมาสักคนแล้วใช้ให้เขา ‘บังเอิญ’ ไปพบกับสาวใช้ของติงเหยียนซาน ทำเป็นเผลอหลุดพูดเรื่องที่ข้าจะไปกินข้าวกับหญิงตาบอดที่หอเซียนเว่ยออกไป”

หลี่เคอทอดถอนใจ นายท่านรองแค่อยากจะดูผู้หญิงสู้กันเท่านั้นเอง

หลงเอ้อร์พูดอย่างหมายมาด “จะรังแกคนก็ต้องทำให้อับอายต่อหน้า หากใช้วิธีโบราณเช่นการแอบให้ผู้ชายมารังแกผู้หญิงอ่อนแอจะสนุกได้อย่างไร”

หลี่เคอพยายามไม่แสดงสีหน้าก่อนจะรีบถอยออกไป

นายท่านรอง ท่านเป็นผู้ชายอกสามศอกคิดอยากเห็นผู้หญิงคนหนึ่งรังแกผู้หญิงอีกคนหนึ่ง มันน่าสนุกตรงไหนหรือ

หลี่เคอเป็นองครักษ์ที่รับผิดชอบต่อหน้าที่และเชื่อฟังคำสั่ง แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการกระทำของผู้เป็นนาย แต่เขายังคงจัดการเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สามวันต่อมา หลงเอ้อร์เชิญจวีมู่เอ๋อร์มาร่วมกินอาหาร

วันนี้อากาศไม่ดีนัก มีฝนตกลงมาปรอยๆ หยาดน้ำฝนตกกระทบพื้นหินเรียบบนถนนดังเปาะแปะฟังไม่รื่นหู ในอากาศมีละอองฝน ทั้งหนาวและเปียกชื้น

สภาพอากาศที่แย่ไม่ได้ทำลายอารมณ์ชื่นบานของหลงเอ้อร์สักนิด เขายืนอยู่ในห้องส่วนตัวบนชั้นสองมองดูถนนหินหน้าประตูใหญ่ของหอเซียนเว่ย เมื่อคิดว่าอีกเพียงครู่เดียวจะได้เห็นท่าทางทุลักทุเลของจวีมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก

เพียงไม่นานก็มองเห็นร่มสีเขียวคันหนึ่งมาแต่ไกล รอจนร่มคันนั้นเข้ามาใกล้ หลงเอ้อร์จึงเห็นชัดว่าใต้ร่มคันนั้นมีหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นมีไม้เท้าอยู่ในมือซึ่งก็คือจวีมู่เอ๋อร์ นางไม่ใช้ไม้เท้าแตะพื้น เพียงแค่ถือไว้ในมือ อีกมือหนึ่งเกาะแขนสาวน้อยชุดสีฟ้าข้างกาย เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยผู้นั้นกำลังเป็นผู้นำทางนางอยู่

คนทั้งสองค่อยๆ เดินมาถึงหน้าประตูหอเซียนเว่ย หลงเอ้อร์พยายามเงี่ยหูฟัง ได้ยินจวีมู่เอ๋อร์พูดกับสาวน้อยผู้นั้นว่า “ฉิงเอ๋อร์ ข้าไม่รู้ว่าจะออกมาเมื่อใด เจ้าอย่าได้รอบนถนนเลย ร่างกายเพิ่งจะหายดี อย่าตากฝนจนป่วยอีกนะ”

หลงเอ้อร์คิดว่าสาวน้อยคนนี้จะต้องเป็นซูฉิงน้องสาวข้างบ้านผู้ขายดอกไม้คนนั้นอย่างแน่นอน

หลงเอ้อร์เดาไม่ผิด สาวน้อยคนนี้คือซูฉิงจริงๆ นางตอบรับคำของจวีมู่เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม “รู้แล้วๆ ข้าจะไปที่ร้านพี่ชายขายซาลาเปา รอพี่ออกมาแล้วข้าค่อยกลับมาหา”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า ใช้ไม้เท้าแตะพื้นค่อยๆ เดินเข้าไปในหอเซียนเว่ยอย่างช้าๆ

หลงเอ้อร์มองดูนางอยู่บนชั้นสอง เห็นซูฉิงเดินไปหยุดที่หน้าร้านซาลาเปาซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยืนพูดอยู่สักครู่แล้วจึงเดินเข้าไป ในตอนนี้เองรถม้าคันหนึ่งก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ หลงเอ้อร์ฉีกยิ้ม ติงเหยียนซานไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ

หลงเอ้อร์หมุนตัวกลับด้วยความยินดี พอดีกับที่เสี่ยวเอ้อร์นำจวีมู่เอ๋อร์มาถึงหน้าห้องรับรองส่วนตัว เขายิ้มต้อนรับ “แม่นางจวี เชิญทางนี้”

เขาพูดว่า ‘เชิญทางนี้’ แต่กลับไม่ได้นำทางจวีมู่เอ๋อร์ ซ้ำยังโบกมือไล่เสี่ยวเอ้อร์ให้ออกไปอีกด้วย

“อืม” จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับแต่กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

หลงเอ้อร์ฉีกยิ้มให้นางแล้วหมุนตัวเดินไปนั่งประจำที่

เมื่อเขาขยับตัวก็มีเสียง จวีมู่เอ๋อร์จึงสามารถเดินตามโดยอาศัยเสียงจากการเคลื่อนไหวของเขา นางใช้ไม้เท้าคลำทาง เดินตามหลงเอ้อร์ไปอย่างช้าๆ

ครั้นไม้เท้าแตะโดนเก้าอี้กลม ใบหน้านางจึงดูผ่อนคลายขึ้นบ้าง พอยื่นมือไปคลำดูก็พบแผ่นรองนั่งของเก้าอี้ นางค่อยๆ นั่งลงอย่างระมัดระวัง

หลงเอ้อร์มองอยู่ตลอด เมื่อได้เห็นใบหน้าสงบนิ่งท่าทางเหมือนไร้ที่พึ่งของนางแล้ว ในใจก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบเปลวไฟแห่งความแค้นในใจของเขากับติงเหยียนซานแล้วไม่ได้ต่างกันแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรถึงจะเรียกได้ว่ารังแกคน อย่างนี้สิจึงเป็นการรังแกคน!

ต้องทำให้อีกฝ่ายพูดไม่ออกว่ามีอะไรไม่ดี ทั้งความกลัว ความอึดอัด ทุลักทุเล ว้าวุ่นใจก็ไม่อาจแสดงอาการออกมาได้ ซ้ำยังต้องยิ้มตอบ นี่จึงจะเรียกได้ว่ารังแกได้ถึงจุด!

หลงเอ้อร์กำลังคิดเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้ม บังเอิญว่ารอยยิ้มนั้นอยู่ในสายตาของติงเหยียนซานที่เพิ่งจะเดินเข้าประตูมาพอดี นางที่ได้ข่าวว่าท่านหลงเอ้อร์เชิญจวีมู่เอ๋อร์มาร่วมกินอาหาร ในใจทั้งโมโหและขุ่นเคือง

จวีมู่เอ๋อร์ผู้นี้ทั้งไม่ได้ช่างพูดหรือแสดงสีหน้าอะไรมากมาย แต่ก็สามารถดึงดูดความสนใจของอวิ๋นชิงเสียนพี่เขยของนางไปได้ ไม่รู้ว่านางมีเล่ห์กลอันใดมาหลอกล่อผู้อื่นอีก และจะทำให้ท่านหลงเอ้อร์หลงใหลได้หรือไม่ ติงเหยียนซานคิดได้เช่นนี้จึงตัดสินใจมาสร้างความวุ่นวายให้กับอาหารมื้อนี้

นางต้องการให้จวีมู่เอ๋อร์เสียหน้า ดังนั้นจึงทำผมทรงใหม่ ซื้อเครื่องประดับใหม่ ตัดเสื้อตัวใหม่ ตั้งใจแต่งตัวให้งดงามมาที่หอเซียนเว่ยในวันนี้ ความหนาวเย็นและความชื้นจากละอองฝนทั่วเมืองก็ขวางความตั้งใจของนางที่คิดจะมาเหยียบย่ำจวีมู่เอ๋อร์ไว้ไม่ได้

แต่นางคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้เปิดศึก เพียงแค่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูห้องรับรองส่วนตัวก็เห็นท่านหลงเอ้อร์ยิ้มให้จวีมู่เอ๋อร์ รอยยิ้มนั้นอบอุ่นและเต็มไปด้วยความพึงพอใจ เหมือนกับว่าการได้เห็นหน้าจวีมู่เอ๋อร์ทำให้เขารู้สึกดีใจยิ่งอย่างไรอย่างนั้น

หัวใจของติงเหยียนซานเต้นแรง โกรธจนต้องบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ เมื่อครู่ตอนลงจากรถม้า นางคอยแต่จะระมัดระวังไม่ให้ชายกระโปรงและปลายรองเท้าเปียกน้ำฝนดินโคลนทำให้เข้ามาสายเกินไป ความจริงนางควรจะรีบกว่านี้อีกสักนิด หากมาถึงเร็วกว่านี้จะได้รู้ว่าจวีมู่เอ๋อร์พูดอะไรที่ทำให้ท่านหลงเอ้อร์พึงพอใจถึงเพียงนี้

หลงเอ้อร์เงยหน้าขึ้นแล้วแสดงท่าทางตกใจเมื่อเห็นติงเหยียนซาน

ติงเหยียนซานปรับสีหน้าให้มีรอยยิ้มพลางย่อตัวคำนับ “บังเอิญจริง วันนี้ข้าตั้งใจมากินอาหารที่หอเซียนเว่ย กลับพบกับท่านหลงเอ้อร์เสียได้”

หลงเอ้อร์ยืนขึ้นคำนับตอบ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บังเอิญยิ่งนัก”

“ท่านหลงเอ้อร์มีแขกหรือ แม่นางจวีผู้นี้ซานเอ๋อร์ก็รู้จักเช่นกัน ดังนั้นต้องขอรบกวนแล้ว ท่านหลงเอ้อร์จะถือสาหรือไม่” แม้ปากจะถาม แต่ตัวนางกลับเดินเข้ามาเสียแล้ว

“เรื่องนี้…” หลงเอ้อร์มีสีหน้าลำบากใจ ยังไม่ทันเอ่ยปาก ติงเหยียนซานก็เลือกตำแหน่งข้างหลงเอ้อร์แล้วนั่งลง “แม่นางจวีคงไม่ถือสาที่ข้าจะขอร่วมสนทนาด้วยใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์เอียงหัวเล็กน้อย เบนหน้าไปทางติงเหยียนซานที่กำลังพูด สีหน้าดูงุนงง

“แม่นางจวีไม่รู้จักข้าหรือ” ติงเหยียนซานหัวเราะแต่คำพูดกลับเย็นชา “พี่สาวของข้าชื่อติงเหยียนเซียง พี่เขยของข้าคืออวิ๋นชิงเสียนรองเสนาบดีกรมอาญา แม่นางจวีคงรู้จักกระมัง”

จวีมู่เอ๋อร์เข้าใจในทันใด นางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใต้เท้าอวิ๋นเป็นคนยุติธรรม เปิดเผยซื่อตรง เป็นขุนนางที่ดีคนหนึ่ง”

ติงเหยียนซานหัวเราะ “พี่เขยของข้าไม่เพียงเป็นขุนนางที่ดี เขายังสง่างาม อ่อนโยน ช่างเอาใจ เป็นสามีที่ดีคนหนึ่งเช่นกัน”

จวีมู่เอ๋อร์ค้อมตัวลงเล็กน้อย “เช่นนั้นต้องแสดงความยินดีกับพี่สาวของท่านด้วย”

“พี่สาวข้าใจเย็น แต่ข้าไม่เหมือนนาง หากมีผู้หญิงคนไหนที่ไม่รู้ความกล้าทำให้พี่สาวข้าไม่มีความสุข ข้าจะต้องสั่งสอนผู้หญิงคนนั้นอย่างแน่นอน”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบกลับอย่างอ่อนน้อม “พี่สาวท่านมีน้องสาวที่ดีเช่นท่าน นับว่าเป็นวาสนาจริงๆ”

หลงเอ้อร์เม้มริมฝีปากเบาๆ รู้สึกว่าการต่อปากต่อคำของผู้หญิงเช่นนี้ไม่น่าสนใจ เขาจึงเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้เริ่มจัดวางอาหาร “แม่นางติง อย่ามัวแต่คุยเลย กินอาหารสักนิดเถอะ”

ติงเหยียนซานได้ยินหลงเอ้อร์พูดเอาใจก็รู้สึกยินดีขึ้นมาทันใด นางแอบมองจวีมู่เอ๋อร์แวบหนึ่ง จากนั้นจึงหันหน้ามายิ้มและขอบคุณหลงเอ้อร์

หลงเอ้อร์แอบหัวเราะในใจ ติงเหยียนซานจ้องหน้าคนตาบอดเช่นนั้นไม่เป็นการเปล่าประโยชน์หรอกหรือ

อาหารถูกจัดวางขึ้นโต๊ะแล้ว ติงเหยียนซานเป็นคนหาหัวข้อสนทนา ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่นางกับหลงเอ้อร์รู้จัก ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ที่ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนถูกกันออกไป อาหารวางเต็มโต๊ะ แต่นางที่มองไม่เห็นย่อมคีบอาหารไม่ได้ ดังนั้นจึงจำต้องนั่งอย่างเงียบๆ

ติงเหยียนซานเห็นนางตกอยู่ในสภาพน่าอึดอัดก็ยิ่งสาแก่ใจ หลงเอ้อร์แอบหัวเราะอยู่ในใจ เขายื่นมือไปคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งวางลงในจานตรงหน้าจวีมู่เอ๋อร์ “ปลาไนน้ำแดงจานนี้รสดีมาก แม่นางจวีลองชิมดู” จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ขยับ หลงเอ้อร์จึงพูดขึ้นอีก “ทำไมหรือ แม่นางจวีไม่ถูกใจอาหารที่ข้าสั่งหรือ” เขาพูดพลางคีบเนื้อปลาให้อีก

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ก็จำต้องหยิบตะเกียบขึ้นมา นางฟังเสียงหลงเอ้อร์คีบอาหารอย่างตั้งใจ ใช้มือซ้ายคลำจานก่อนแล้วค่อยยื่นตะเกียบไป นางคีบปลามาหนึ่งชิ้น ส่งเข้าปากช้าๆ

ในเนื้อปลามีแต่ก้าง จวีมู่เอ๋อร์กินเพียงคำเดียวก็รู้ได้ว่านางแย่แน่ จะเคี้ยวก็ไม่ได้ จะกลืนก็ไม่ได้ หากจะคายออกมา นางก็มองไม่เห็นไม่รู้ว่าจะคายไว้ที่ใด จึงต้องอมเนื้อปลาที่เต็มไปด้วยก้างชิ้นนี้เอาไว้ไม่ขยับเขยื้อน

หลงเอ้อร์อมยิ้ม มองดูนางด้วยความพอใจ

ติงเหยียนซานที่เดิมขุ่นเคืองเพราะเขาคีบอาหารให้จวีมู่เอ๋อร์เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น นางกลั้นหัวเราะแล้วเอ่ยถาม “แม่นางจวี ปลานี้รสชาติดีหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากแขนเสื้อออกมาป้องปากเอาไว้ นางคายเนื้อปลาใส่ผ้าเช็ดหน้า เมื่อคายหมดแล้วจึงถอนหายใจยาว “ก้างปลาทิ่มปากข้าจึงชิมอะไรไม่รู้รสเลย”

“เป็นไปได้อย่างไร” ติงเหยียนซานพูดด้วยรอยยิ้ม “หยิบก้างออกก็ใช้ได้แล้ว ข้ากินไปสองชิ้น รสชาติดียิ่ง” นางพูดพลางโบกมือให้สาวใช้ด้านข้างคีบปลาและหยิบก้างออกให้นางอีกชิ้น ติงเหยียนซานคีบเข้าปากอย่างได้ใจ

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้ม “ตอนยังเด็ก แม่ข้าบอกว่ากินปลาแล้วจะฉลาดเพราะปลาบำรุงสมอง แต่ตอนนี้ข้าตาไม่ดีจึงทำให้กินปลาลำบาก แม่นางติงกับท่านหลงเอ้อร์คงลืมไป เช่นนั้นควรจะกินปลาให้มากหน่อย ช่วยบำรุงสมองได้ดีนัก”

หลงเอ้อร์เลิกคิ้ว โอ้ หญิงตาบอดผู้นี้ไม่ยอมถูกรังแกง่ายๆ ถึงกับกล้าประชดประชันเขากลับด้วย

ติงเหยียนซานรอยยิ้มแข็งค้างไป เอ่ยถามหน้าเครียด “แม่นางจวีจะบอกว่าข้ากับท่านหลงเอ้อร์ลืมเรื่องที่เจ้าตาบอดเพราะสมองไม่ดีอย่างนั้นหรือ”

“แน่นอนว่ามิใช่” จวีมู่เอ๋อร์ตอบช้าๆ “จำไม่ได้เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป แต่หากรู้แล้วแกล้งทำเป็นลืม นั่นจึงจะเรียกว่าโง่จริงๆ”

เมื่อติงเหยียนซานได้ฟังก็โกรธจนแทบจะโยนตะเกียบทิ้ง นางกำลังจะระเบิดอารมณ์ก็พลันได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งจากด้านนอกเสียก่อน

“โอ บังเอิญยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าท่านหลงเอ้อร์ก็มากินอาหารที่นี่เช่นกัน”

ติงเหยียนซานเงยหน้ามอง ผู้มาคือเจี่ยงฮุ่ยบุตรสาวของคฤหาสน์สกุลเจี่ยง นางก็เหมือนกับติงเหยียนซานที่ต้องการแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลหลงเป็นฮูหยินของท่านหลงเอ้อร์ ติงเหยียนซานรีบหันมองท่านหลงเอ้อร์ จึงเห็นว่าเขามีสีหน้าตกใจเช่นกัน เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่ได้เป็นคนนัดมา

หลงเอ้อร์รู้สึกตกใจจริงๆ เขาคิดจะยืมมือติงเหยียนซานมาสั่งสอนจวีมู่เอ๋อร์ ไม่ได้คิดจะเปิดงานแย่งชิงตำแหน่งฮูหยินของตัวเองที่หอเซียนเว่ยแห่งนี้

หากผู้หญิงหนึ่งคนจัดการได้ยาก ผู้หญิงสองคนยิ่งเพิ่มความยุ่งยาก การมีผู้หญิงถึงสามคนเรื่องราวคงเละเป็นโจ๊ก หลงเอ้อร์มักจะถูกผู้หญิงหาข้ออ้างมาเกาะแกะ ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

เขาขมวดคิ้วมองดูเจี่ยงฮุ่ยที่เดินเข้ามานั่งโดยไม่ได้รับเชิญ ซ้ำยังพูดเหน็บเจ้าคำหนึ่งข้าคำหนึ่งกันไปมากับติงเหยียนซาน หลงเอ้อร์ถึงกับเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันใด เมื่อหันไปมองจวีมู่เอ๋อร์ก็พบว่านางกำลังตั้งใจฟังหญิงสาวสองคนพูดจากระทบกระเทียบประชดประชันกันอย่างเรียบร้อย หลงเอ้อร์สาบานได้ว่าเขาเห็นรอยยิ้มสะใจที่มุมปากของนาง แม้จะเห็นเพียงแวบเดียว แต่เขามั่นใจว่าตัวเองมองไม่ผิดแน่ๆ

หลงเอ้อร์หมดอารมณ์อยากแกล้งจวีมู่เอ๋อร์ต่อไป ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการก็คือปลีกตัวออกจากการต่อสู้ของคุณหนูทั้งสองคนนี้ ขณะกำลังครุ่นคิดหาวิธี นอกประตูห้องกลับมีเสียงผู้หญิงอีกคนหนึ่งดังขึ้น

“อา บังเอิญเสียจริง วันนี้ลมอะไรพัดมาหนอ เหตุใดจึงมาพบพวกท่านได้ ฉินเอ๋อร์คารวะท่านหลงเอ้อร์ แม่นางติง แม่นางเจี่ยง ไม่พบหน้ากันเสียนาน พวกเจ้ายังคงดูสดชื่นกันเช่นเดิม”

มาอีกคนแล้วหรือ!

หลงเอ้อร์ปวดขมับ เมื่อหันไปมองจวีมู่เอ๋อร์อีกครั้งก็เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของนางเพิ่มมากขึ้น

เขานิ่งงัน ผู้ชายอกสามศอกเช่นเขากลับถูกผู้หญิงหลายคนมาเกาะติด สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องน่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก แม้จะรู้ว่าจวีมู่เอ๋อร์มองไม่เห็น แต่เขายังคงหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง

เขาไม่ยินดีอย่างมาก!

หญิงสาวผู้มาใหม่ขยับเข้ามานั่ง หากไม่นับจวีมู่เอ๋อร์ สถานการณ์ก็จะเป็นหลงเอ้อร์ที่ต้องรับมือหนึ่งต่อสาม

ผู้หญิงทั้งสามคนหาวิธีมาดึงดูดความสนใจจากหลงเอ้อร์ พวกนางแย่งกันพูดกับเขา ต่างฝ่ายต่างหาเรื่องประชดประชันกัน

หลงเอ้อร์คุยกับพวกนางไม่กี่คำก็เรียกให้หลี่เคอเข้ามา ด้านหนึ่งสั่งให้หลี่เคอเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาเปลี่ยนน้ำชา อีกด้านหนึ่งก็แอบส่งสายตาเป็นสัญญาณลับให้หลี่เคอหาข้ออ้างเพื่อให้เขาปลีกตัวจากไปได้ หลี่เคอย่อมเข้าใจดีจึงพยักหน้าแล้วหมุนตัวออกไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์เข้ามา

หลี่เคอเพิ่งจะก้าวออกไปก็มีแขกผู้หญิงอีกสองคนเดินสวนเข้ามา พวกนางแต่ละคนแต่งกายสวยสดงดงาม เสื้อผ้าไม่เปื้อนฝุ่นแม้แต่น้อย เป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกินที่ต่างมากินอาหารที่หอเซียนเว่ยพร้อมกันและได้พบกับท่านหลงเอ้อร์เข้าพอดี

สีหน้าของหลงเอ้อร์ดำทะมึน วันที่ฝนตกหนักเช่นนี้ แต่ทุกคนกลับแต่งตัวเต็มยศออกมาหาอาหารกินกัน ลำบากพวกนางแล้วจริงๆ

ผู้หญิงห้าคนจับจองที่นั่งจนเต็มโต๊ะ ไม่มีใครสนใจจวีมู่เอ๋อร์

หญิงธรรมดาสามัญสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้กับคุณหนูเช่นพวกนาง ทุกคนต่างรู้แก่ใจดีที่แล้วมาพวกนางแอบปะทะกันอยู่หลายครา มาวันนี้จึงสามารถประชันกันต่อหน้าท่านหลงเอ้อร์ได้ หากดึงดูดความสนใจจากท่านหลงเอ้อร์ไม่สำเร็จ แค่มาทำลายการสังสรรค์ของฝ่ายตรงข้ามได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว

หลงเอ้อร์ฟังเสียงพวกนางคุยกันเจี๊ยวจ๊าว รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจนัก ตอนนี้เองจวีมู่เอ๋อร์ที่ราวกับไม่มีตัวตนลุกขึ้นยืนและเอ่ยคำอำลาเสียงเบา หลงเอ้อร์มองรอยยิ้มบนมุมปากของนางตอนที่เดินจากไปแล้วก็รู้สึกโกรธอย่างมาก ยิ่งได้เห็นกิริยาของนางที่คล่องแคล่วกว่าตอนมามากนัก เขาก็โกรธมากยิ่งขึ้น

จวีมู่เอ๋อร์จากไปแล้ว เหลือไว้เพียงผู้หญิงที่งดงามราวดอกไม้พยายามอวดโฉมทั้งห้าคน ด้านหลังหญิงสาวแต่ละคนยังมีสาวใช้ฝีปากกล้าตามมาด้วยอีกหนึ่งคน นับแล้วมีหญิงสาวทั้งหมดสิบคน ดวงตายี่สิบข้างต่างจับจ้องมาที่หลงเอ้อร์

เขารู้สึกว่าสถานการณ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่ว่าเป็นผู้ชายคนใดก็คงจะทนรับไม่ได้

หลงเอ้อร์นับถือตัวเองอย่างมาก เขาคิดว่าตนมีความอดทนและโอนอ่อนเป็นเลิศ เพราะตอนนี้ยังสามารถยิ้มและรับรองทุกคนให้กินอาหารต่อไปได้ หลังจากนั้นจึงยกมือขึ้นป้องปากแล้วไอเบาๆ

เสียงไอทำให้หญิงสาวทั้งห้าคนขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าห่วงใย แย่งกันสอบถามว่าท่านหลงเอ้อร์ไม่สบายอย่างไร จากนั้นทุกคนก็งัดทีเด็ดของตนออกมา เริ่มจากแนะนำท่านหมอ แนะนำวิธีรักษาอาการไอ แสดงความเป็นห่วงเรื่องเสื้อผ้าหนาบางและอื่นๆ อีกมากมาย

ก่อนที่หลงเอ้อร์จะหมดความอดทน หลี่เคอก็ปรากฏตัวขึ้นในที่สุด

หลี่เคอวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางร้อนใจ หลงเอ้อร์ปรับสีหน้า ในใจแอบชื่นชมหลี่เคอที่แสดงได้ดีมาก เขาไม่แสดงท่าทางใดๆ เพียงถามเสียงเครียด “มีเรื่องใดถึงต้องร้อนรนขนาดนี้”

หลี่เคอรีบคำนับ พูดเสียงกระหืดกระหอบ “พ่อบ้านเถี่ยส่งคนมารายงานว่าในคฤหาสน์มีเรื่องด่วน ต้องการให้นายท่านรองกลับไปโดยเร็วขอรับ”

หลงเอ้อร์แสร้งขมวดคิ้ว “เช่นนั้นหรือ…” เขามองไปยังหญิงสาวทั้งหลาย ทุกคนพากันถือโอกาสแสดงความเข้าใจ รู้เหตุผล และใจกว้าง ต่างแย่งกันพูดว่า “หากท่านหลงเอ้อร์มีงานก็รีบกลับคฤหาสน์ไปเถอะ”

เขาลุกขึ้นคำนับ “เช่นนั้นข้าต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว มื้อนี้ข้าขอเป็นเจ้ามือ แม่นางทุกท่านอย่าได้เกรงใจ หากวันหน้ามีโอกาสค่อยมาสังสรรค์กันใหม่” เขาพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป

เมื่อหลงเอ้อร์เดินออกจากหอเซียนเว่ยก็พบว่าฝนหยุดตกแล้ว คนรถบังคับรถม้าเคลื่อนเข้ามา หลงเอ้อร์โบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้อง เขาเดินไปตามทางที่จวีมู่เอ๋อร์เคยผ่าน เพียงชั่วครู่หลี่เคอก็ตามมาทัน

“นายท่านรองขอรับ หลังจากท่านออกมา พวกนางก็คุยกันว่าทุกครั้งที่มีการสังสรรค์เพียงไม่นานหากไม่ใช่คฤหาสน์สกุลหลงเกิดเรื่องก็เป็นร้านค้าต่างๆ มีปัญหา เห็นทีต่อไปจะใช้วิธีนี้ไม่ได้เสียแล้ว”

หลงเอ้อร์กำลังไม่สบอารมณ์ พอได้ฟังจึงเอ่ยตำหนิหลี่เคอ “เจ้าแสดงท่าทางมากเกินไป ก่อนหน้านั้นยังดี แต่ตอนรายงานว่าในคฤหาสน์เกิดเรื่องเจ้าจะหอบทำไม ไม่ได้วิ่งจากคฤหาสน์มารายงานเสียหน่อย”

หลี่เคอเกาหัว ไม่กล้าโต้ตอบกลับ เขาเป็นองครักษ์ ไม่ใช่นักแสดงเสียหน่อย

หลงเอ้อร์แค่นเสียง “หึ” แล้วพูดต่อ “ไม่ต้องสนใจ พวกนางยังมีหน้ามาโอดครวญอีกหรือ ในเมื่อรู้ว่าทุกครั้งที่พวกนางมาเกาะติดข้าในคฤหาสน์ก็จะเกิดเรื่อง พวกนางสมควรจะเข้าใจได้แล้วว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร คนที่รู้ความควรจะเลิกมายุ่งกับข้าได้แล้ว”

“แต่ว่าบารมีของสกุลพวกนางเป็นสิ่งที่นายท่านรองสามารถใช้ประโยชน์ได้ หากไม่ใส่ใจไปเสียเลยจะทำให้เสียมารยาทหรือไม่ขอรับ”

“เช่นนั้นก็มอบให้เป็นหน้าที่เจ้าลองไปคิดหาวิธีที่ดูดีมา ข้าจะคอยดู” หลงเอ้อร์เหลือบมองหลี่เคอแวบหนึ่ง เขายังกล้ามาพูดอีกหรือทั้งๆ ที่แสดงมาตั้งหลายครั้งแต่เพิ่งจะก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

หลี่เคออยากจะบอกเหลือเกินว่าวิธีที่จวีมู่เอ๋อร์ใช้เป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ต้องอาศัยนางทำจึงจะดูเหมาะสม หากให้เขาทำคงไม่ค่อยเข้าทีสักเท่าไร เขายังไม่ทันเอ่ยปาก นายท่านรองก็โบกมือ กระโดดลอยตัวขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้านที่อยู่ด้านข้าง

หลี่เคอตกใจ มองไปทางซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าวันฝนตกเช่นนี้ไม่มีผู้คน เขาจึงลอยตัวตามขึ้นไป ตอนนี้หลงเอ้อร์หมอบนิ่งอยู่บนหลังคาไม่ขยับ หลี่เคอไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงเลียนแบบท่าทางของเจ้านาย ทำตัวลับๆ ล่อๆ หมอบตามไป

เมื่อโผล่หัวออกไปมองก็เห็นจวีมู่เอ๋อร์กับสาวน้อยที่ชื่อซูฉิงคนนั้นกำลังคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งในตรอก ซูฉิงหยิบซาลาเปาหลายลูกออกมาจากออกเสื้อ “พี่มู่เอ๋อร์ พี่คงหิวแล้วสินะ งานเลี้ยงอาหารแบบนั้นพี่ต้องไม่ได้กินอะไรมากแน่เลย พี่ดูสิ ข้าซื้อซาลาเปามาให้พี่หลายลูก ยังร้อนอยู่เลย กินเสร็จแล้วค่อยกลับ หากปล่อยไว้จะเย็นเสียก่อน”

จวีมู่เอ๋อร์คิดแล้วก็รู้สึกหิวจริงๆ นางจึงตอบรับ หยิบซาลาเปาลูกหนึ่งขึ้นมากัด

ซูฉิงรอบคอบ กางร่มออกบังลมเอาไว้ที่ด้านข้างแล้วเอ่ยถาม “เหตุใดท่านหลงเอ้อร์ต้องเชิญพี่ไปกินอาหารด้วย”

จวีมู่เอ๋อร์กินซาลาเปาลูกหนึ่งจนหมดอย่างช้าๆ แล้วจึงตอบ “ไม่มีอะไร เขาคงอยากจะถามเรื่องการเรียนพิณให้คนในบ้าน”

“เรื่องแบบนี้มีคำว่า ‘คง’ ด้วยหรือ” ซูฉิงหยิบซาลาเปาอีกลูกหนึ่งใส่มือจวีมู่เอ๋อร์ เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อในคำตอบ “เช่นนั้นเหตุใดพี่ต้องให้ข้าอาศัยการขายดอกไม้แอบไปบอกสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูสกุลใหญ่เหล่านั้นว่าวันนี้ท่านหลงเอ้อร์จะมาเลี้ยงรับรองแขกที่นี่ด้วย”

“หากพวกคุณหนูมากันเยอะหน่อย ข้าอาจจะหางานสอนพิณได้มากขึ้น นับเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ”

ซูฉิงคิดสักพัก “ก็จริง” นางหยิบซาลาเปาให้จวีมู่เอ๋อร์อีกลูก “ครั้งหน้าถ้าท่านหลงเอ้อร์จะถามเรื่องพิณอีกก็ให้พวกเขาไปหาที่ร้านเหล้าเถอะ ตาของพี่ไม่ดี เดินทางไม่ค่อยสะดวก กินก็ไม่อิ่ม ลำบากเกินไปแล้ว”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับด้วยรอยยิ้ม เป็นหลงเอ้อร์ที่ทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาหมุนตัวกระโดดลงจากหลังคาแล้วเดินกลับไปทางเดิม หลี่เคอไม่เข้าใจแต่ก็เดินตามไป

ตลอดทางหลงเอ้อร์ไม่พูดไม่จา รอจนขึ้นรถม้า หลี่เคอจึงได้ยินเสียงเขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เจ้าเล่ห์ เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!”

 

เรื่องที่หอเซียนเว่ย ทำให้หลงเอ้อร์โกรธจนหน้าดำไปครึ่งเดือน

เพราะนับจากวันนั้นเป็นต้นมาคุณหนูทั้งห้าคนก็เริ่มแย่งท่านหลงเอ้อร์กันอย่างเต็มที่

พวกนางส่งเทียบเชิญ ส่งของขวัญ หาทุกวิถีทางเพื่อเชิญให้หลงเอ้อร์ไปพูดคุยกัน ถึงขั้นว่าตอนนี้หลงเอ้อร์ออกจากบ้านไปที่ใดก็จะ ‘บังเอิญพบ’ กับคุณหนูคนใดคนหนึ่งเข้า

เห็นทีพวกนางคงจะได้รับแรงกระตุ้นจากการร่วมกินอาหารที่หอเซียนเว่ยในวันนั้น พ่อแม่ของพวกนางคงเห็นว่าหากไม่เร่งรีบลงมือ ลูกเขยชุบทองผู้นี้อาจจะถูกผู้อื่นแย่งไปครอบครองเสียก่อนกระมัง

เมื่อพวกนางกระตือรือร้นย่อมทำให้ผู้อื่นพลอยเป็นไปด้วย สกุลสูงศักดิ์หลายสกุลที่สนิทสนมกับหลงเอ้อร์ต่างพากันถามถึงความคิดในการแต่งภรรยาของเขา บ้างก็หาข้ออ้างเชิญให้ไปปรึกษาเรื่องการค้า แต่ปรากฏว่าคุยไปคุยมาก็เริ่มเยินยอบุตรสาวของตัวเอง หรือไม่เช่นนั้นก็ส่งแม่สื่อมาที่คฤหาสน์สกุลหลงเพื่อเลียบเคียงถามความคิดของท่านหลงเอ้อร์จากแม่นมอวี๋

สรุปก็คือการแย่งชิงตัวท่านหลงเอ้อร์ในระยะนี้แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ชาวบ้านก็เริ่มลือกันไปต่างๆ นานา เช่นต้นไม้เหล็กจะออกดอกแล้วหรือ ท่านหลงเอ้อร์คิดจะแต่งภรรยาจริงๆ หรือ

หลงเอ้อร์โกรธจนตัวสั่น เรื่องยุ่งยากนี้เป็นเพราะจวีมู่เอ๋อร์ที่น่ารังเกียจผู้นั้นสร้างขึ้น เขาเพียงอยากให้นางเสียหน้าอยากกลั่นแกล้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าวิธีของนางจะโหดร้ายยิ่งกว่าเขา

ในที่สุดการกระทำของเหล่าบุตรสาวสกุลใหญ่และความกระตือรือร้นของเหล่าแม่สื่อก็รู้ไปถึงหูแม่นมอวี๋แห่งคฤหาสน์สกุลหลง นางเริ่มมีความมั่นใจเรื่องการแต่งภรรยาของนายท่านรองแล้ว จากการวางแผนหลายรอบ นางตัดสินใจจะอาศัยชื่อของเฟิ่งอู่ ฮูหยินนายท่านสามให้เชิญบรรดาคุณหนูมาเป็นแขกชมดอกเหมยที่คฤหาสน์สกุลหลง ถือโอกาสให้นายท่านรองได้พบหน้าแล้วรีบกำหนดเรื่องงานมงคล

“แต่ดอกเหมยยังบานไม่เต็มที่เลย” เฟิ่งอู่พูด

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น ที่สำคัญคือให้นายท่านรองได้พบหน้าสาวๆ มากสักหน่อย รอให้เขามีใจหวั่นไหว เรื่องงานมงคลก็ง่ายขึ้น” แม่นมอวี๋ตั้งใจจัดการเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

เฟิ่งอู่ลูบปลายคาง “ที่จริงข้ารู้สึกว่าหากให้พวกนางนำรายการสินเดิมเจ้าสาวมาเปรียบเทียบกัน คงจะมีโอกาสทำให้พี่รองหวั่นไหวได้มากกว่าเสียอีก ไม่ก็เทียบความเร็วในการอ่านสมุดบัญชี หรือจะเป็นความสามารถในการดีดลูกคิดคำนวณวางแผนงาน หากเป็นเช่นนั้นคงจะชนะใจที่หลงใหลในสมบัติของพี่รองได้ง่ายดายยิ่งขึ้น”

เฟิ่งอู่กำลังพูดอย่างออกรส ทันใดนั้นแม่นมอวี๋ก็กระแอมอย่างแรงสองที เฟิ่งอู่ตะลึงงัน เย็นสันหลังวาบขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน นางตั้งสติแล้วหมุนตัวกลับช้าๆ ก็พบหลงเอ้อร์ยืนอยู่ด้านหลัง

ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหลงเอ้อร์ที่ตอนนี้ควรอยู่ตรวจเอกสารในหอหนังสือจะมาที่นี่ได้

เฟิ่งอู่ยิ้มแหยๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้พูดอะไร เรื่องแต่งงานเป็นจุดอ่อนของพี่รอง สะกิดแม้เพียงนิดก็เป็นเรื่อง ยิ่งในช่วงนี้ทุกครั้งที่พบกัน เขาก็จะมีสีหน้าดำคล้ำเหมือนไปกินลูกสลอดมา นางไม่อยากทำให้เขาขุ่นเคืองจนทำให้สามีของนางต้องลำบากถูกส่งตัวไปทำงานในถิ่นทุรกันดารเพื่อชดใช้หนี้

สีหน้าของหลงเอ้อร์ดำทะมึน เขาไม่สบอารมณ์อย่างมาก “น้องสะใภ้ช่างเป็นห่วงเป็นใยข้ายิ่งนัก”

“ใช่แล้ว” เฟิ่งอู่ทำหน้านิ่ง คิดอยากขอร้องให้แม่นมอวี๋ช่วยรับหน้าแทน ปากก็ยังพูดต่อว่า “พี่รองเป็นเสาหลักของครอบครัว คนในคฤหาสน์ล้วนต้องเป็นห่วงท่านอยู่แล้ว ใช่หรือไม่แม่นมอวี๋”

หลงเอ้อร์ไม่ให้แม่นมอวี๋มีโอกาสเอ่ยปาก เขารีบพูดขึ้นทันที “นอกจากเปรียบเทียบสินเดิมกับความสามารถในการดูแลบัญชีแล้ว น้องสะใภ้ยังคิดว่ามีวิธีใดที่ดีกว่านี้อีกหรือไม่”

เขาต้องการหักหน้าเฟิ่งอู่ หากแต่ครั้งนี้เฟิ่งอู่ไม่ยินยอม เดิมทีนางมีนิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม การที่หลงเอ้อร์ไม่ไว้หน้านางเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจมาก ดังนั้นจึงพูดว่า “วิธีการย่อมมีอยู่ แต่ข้าไม่ใช่คนคิด เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่เป็นผู้พูด” นางเชิดหน้ายืดอกขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าด้วยนิสัยของพี่รอง การจะหาภรรยาสักคนย่อมไม่ง่ายดายนัก หากหาไม่ได้จริงๆ นางก็จะให้พี่รองทำเหมือนโจรภูเขาที่ไปแย่งตัวเจ้าสาวมาสักคน นึกดูสิว่าพี่สะใภ้ใหญ่ก็ยังเป็นห่วงพี่รองเช่นกัน แต่หากเทียบกันแล้ว วิธีของข้าย่อมเหมาะสมกว่า พี่รองจะได้ไม่ต้องกลัดกลุ้มมากนัก เห็นด้วยกับข้าหรือไม่”

ให้เขาไม่ต้องกลัดกลุ้มหรือ พวกนางคนหนึ่งบอกว่าเขาหลงใหลเงินทอง ไม่เลือกผู้หญิงเลือกสมบัติ อีกคนหนึ่งบอกว่าเขานิสัยหยาบกระด้างไม่เป็นที่ชื่นชอบ หาภรรยาแต่งด้วยไม่ได้ พวกนางตีค่าตัวเขาสูงถึงเพียงนี้ เขาจะไม่กลัดกลุ้มได้อยู่หรือ

หลงเอ้อร์ถอนหายใจยาว บอกตัวเองอยู่ในใจว่าเขาจะคิดแบบนั้นกับผู้หญิงไม่ได้ ไม่ใช่สิ เขาคิดแบบนั้นกับผู้หญิงในบ้านไม่ได้ ส่วนหญิงคนอื่นนอกบ้าน สิ่งใดที่ควรถือสาก็ต้องถือสาสักนิด

หลงเอ้อร์อยากจะพูดสั่งสอนเฟิ่งอู่กลับว่านางเป็นแม่ลูกสองแล้ว ควรจะต้องเรียบร้อยมีมารยาท อย่าได้ทำให้สกุลหลงต้องอับอาย แต่เขายังไม่ทันเอ่ยปาก แม่นมอวี๋ก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“นายท่านรอง ท่านดูสิว่าคุณชายน้อยของนายท่านใหญ่ขี่ม้าไม้ไผ่ได้แล้ว คุณหนูเล็กของนายท่านสามก็เรียกพ่อได้แล้ว”

หลงเอ้อร์ใจกระตุก หางตาเห็นเฟิ่งอู่แอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง คราวนี้เรื่องจะย้อนเข้าหาตัวเองแล้ว เขาจึงรีบตอบรับ “นั่นสิๆ เวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก แม่นมช่วยเจ้าสามดูแลลูก ลำบากแม่นมแล้วจริงๆ” เขาพูดพลางเหลือบมองเฟิ่งอู่แวบหนึ่ง

“บ่าวไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะ” สีหน้าแม่นมอวี๋แฝงการขอร้อง “นายท่านรองเจ้าคะ สองสามวันที่ผ่านมานี้ท่านพ่อท่านแม่ของนายท่านรองมาหาบ่าวในฝัน ทั้งสองท่านถามว่าในคฤหาสน์เป็นอย่างไรบ้าง ลูกชายทั้งสามคนสบายดีหรือไม่ บ่าวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกท่านฟัง ท่านพ่อท่านแม่ของนายท่านรองพึงพอใจในทุกเรื่อง เหลือเพียงแต่เรื่องที่นายท่านรองไม่ยอมแต่งงานเสียทีที่ทำให้ท่านทั้งสองไม่สบายใจมาโดยตลอด”

หลงเอ้อร์พยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้า แม่นมอวี๋ยิ่งแก่ความคิดยิ่งล้ำลึก ท่านพ่อท่านแม่ของเขาตายไปหลายปีแล้ว พวกท่านยังจะรู้สึกไม่สบายใจได้อย่างไรอีก นางแต่งเรื่องเช่นนี้ออกมา จะมาไม้ไหนกันแน่

แม้ท่านพ่อท่านแม่จะจากโลกนี้ไปแล้ว และแม่นมอวี๋ก็เป็นบ่าว แต่ก็เป็นผู้อาวุโสที่เปรียบเสมือนแม่ ต่อให้หลงเอ้อร์ร้ายกาจเพียงใดก็ไม่กล้าหาเรื่องผู้อาวุโส ได้แต่พูดว่า “แม่นม ท่านกลับไปปลอบใจท่านพ่อท่านแม่ของข้าที บอกว่าพี่ใหญ่กับเจ้าสามล้วนมีลูกแล้ว สกุลหลงย่อมไม่ขาดทายาท ตัวข้าไม่รีบร้อน…ไม่รีบร้อนจริงๆ”

แม่นมอวี๋สูดจมูก หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา น้ำตานางไหลเป็นทาง เฟิ่งอู่ที่ดูอยู่ด้านข้างรู้สึกนับถือจนต้องแอบยกนิ้วโป้งให้นาง

แม่นมอวี๋ดึงมือเฟิ่งอู่ให้ไปอยู่ด้านหลังตัวนางแล้วบีบมือเป็นการส่งผ่านข้อความว่า ‘ข้าพูดเอง’ ปากก็พูดกับหลงเอ้อร์ต่อ “นายท่านรอง บ่าวรู้ว่าหลายปีมานี้ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยดูแลสกุลหลง ลำบากท่านแล้วจริงๆ ตอนนี้ชีวิตพวกเราดีขึ้นแล้ว ทั้งนอกและในล้วนราบรื่น แต่ผู้ที่จะเป็นภรรยาของท่านยังไม่ปรากฏแม้แต่เงา บ่าวจะมีหน้าไปพบท่านพ่อท่านแม่ของนายท่านรองได้อย่างไร จะกล้าไปปลอบใจพวกท่านได้อย่างไร บ่าวอายุปูนนี้แล้ว เกรงว่าจะอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่ปี หากถึงตอนนั้นแล้วบ่าวได้พบท่านทั้งสองในปรโลก แต่นายท่านรองยังคงไม่ได้แต่งงาน ท่านจะให้บ่าวพูดกับท่านพ่อท่านแม่ของท่านอย่างไรกันเจ้าคะ”

หลงเอ้อร์ไอติดกันหลายที “แม่นม ท่านก็รู้ว่าการดูแลบ้านนั้นไม่ง่ายดายนัก โดยเฉพาะสกุลหลงของพวกเรา ด้านนอกมีคนมากมายเท่าใดที่คอยจ้องมองรอหาเรื่องจับผิด แม้ตอนนี้พวกเราจะมีฐานะแข็งแกร่งมั่นคงกว่าตอนที่ท่านพ่อท่านแม่เพิ่งเสียชีวิต แต่ก็ไม่อาจประมาทได้ การค้าขายที่ใหญ่โตเช่นนี้ต้องระวังไปทุกฝีก้าว พี่ใหญ่มักจะไม่อยู่บ้านเป็นเวลานาน ความสัมพันธ์กับเหล่าขุนนางข้าต้องคอยดูแล ยังมีเจ้าสาม…”

เฟิ่งอู่ได้ยินเขาดึงสามีนางเข้าไปเกี่ยวจึงรีบเอ่ยปาก “เกี่ยวข้องอะไรกับหลงซานของข้าด้วย”

แม่นมอวี๋โบกมืออย่างแรง ดึงบทสนทนากลับมาที่ตัวเองแล้วเอ่ยถามเสียงเครียดว่า “นายท่านรอง เรื่องเหล่านี้เป็นอุปสรรคขัดขวางการแต่งภรรยาของท่านอย่างไรหรือเจ้าคะ”

หลงเอ้อร์สะอึก รู้ทันทีว่าแม่นมอวี๋เปลี่ยนมาใช้ไม้แข็งแทนไม้อ่อน เขาตอบกลับอย่างระมัดระวัง “ใช่ว่าข้าจะไม่อยากแต่งงาน แต่ผู้หญิงข้างนอกนั้น…แม่นมอย่าเพิ่งขุ่นเคือง ข้าหมายความว่าจะต้องเลือกให้ดีให้ละเอียด ไม่เช่นนั้นหากเลือกได้คนที่ตั้งใจจะมาขโมยสมบัติ คิดอยากได้ประโยชน์ หรือร่วมมือกับคนนอกมาทำร้ายจิตใจคนในสกุลหลง เช่นนั้นจะทำอย่างไร”

แม่นมอวี๋ตอบกลับอย่างหัวเสีย “นายท่านรอง ท่านคิดมากยิ่งกว่ายายแก่เช่นข้าเสียอีก พวกเรายังไม่ต้องพูดถึงความสามารถของท่าน เพียงแต่ดูว่าฮูหยินของนายท่านใหญ่ฉลาดเฉลียว ฮูหยินของนายท่านสามมีวรยุทธ์ หากฮูหยินของนายท่านรองแต่งเข้าบ้าน และได้สะใภ้คอยดูแลซึ่งกันและกัน นางยังจะกล้าคิดร้ายได้อยู่หรือ”

เฟิ่งอู่พยักหน้าเห็นด้วย การได้เห็นพี่รองพ่ายแพ้ทำให้นางอารมณ์ดียิ่งนัก

หลงเอ้อร์พูดอะไรไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “แม่นมดูท่าทางจะมั่นใจในตัวพี่สะใภ้ใหญ่กับน้องสะใภ้เสียจริง”

“บ่าวก็มั่นใจในตัวนายท่านรองเช่นกัน หากท่านได้แต่งงานมีครอบครัวจะต้องเป็นสามีที่ดี มีภรรยาเพียบพร้อม ลูกมีความกตัญญูอย่างแน่นอน”

“นั่นสิๆ” หลงเอ้อร์รับคำ เขาจะพูดว่าไม่ใช่ได้อย่างไร

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้นายท่านรองก็รีบกำหนดเรื่องงานมงคลเถอะนะเจ้าคะ”

หลงเอ้อร์ยิ้มแล้วยิ้มอีกจึงค่อยพูด “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต บอกว่าจะกำหนดก็กำหนดเลยได้อย่างไร เรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ แม่นมโปรดวางใจ ข้าจะเลือกอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้ได้คนที่ดีแน่นอน”

“หากท่านมีใจเลือกก็ดีสิเจ้าคะ” แม้แม่นมอวี๋จะมีอายุมากแต่ยังคงแข็งแรง นางลุกจากเก้าอี้และเดินออกไปด้านนอกอย่างคล่องแคล่ว เพียงชั่วครู่ไม่รู้ว่านางไปยกกระบอกไม้ไผ่อันโตมาจากที่ใด ในนั้นมีม้วนภาพใส่อยู่เต็ม

รอยยิ้มบนใบหน้าหลงเอ้อร์แทบจะเลือนหายไป เขาได้ยินแม่นมอวี๋พูดว่า “ในนี้ล้วนเป็นภาพหญิงสาวที่บ่าวตั้งใจเลือกมาให้ท่าน บ่าวพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ทั้งหน้าตา นิสัย อายุ และฐานะทางบ้านของพวกนางล้วนไม่เลวทั้งสิ้น ขอนายท่านรองเลือกอย่างละเอียดอีกครั้ง หากหมายตาหญิงสาวบ้านใด บ่าวจะรีบไปจัดการทาบทามให้ทันที” นางพูดจบก็หยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น ยัดใส่มือหลงเอ้อร์ “ปีนี้คงจะไม่ทันแล้ว ดังนั้นวันเหล่านี้จึงเป็นวันดีของปีหน้า หากจัดงานแต่งงานล้วนเป็นมงคลที่สุด นายท่านรองต้องรีบเลือกแล้วหาวันดีจัดงานมงคลเสีย เรื่องที่ควรต้องจัดเตรียม บ่าวสามารถจัดการให้ได้ทุกเมื่อ”

คราวนี้หลงเอ้อร์หัวเราะไม่ออกจริงๆ เขาจึงตกปากรับคำแล้วบอกว่านึกขึ้นได้ว่าที่หอหนังสือยังมีเอกสารสำคัญต้องไปจัดการ จากนั้นก็รีบหนีไปอย่างรวดเร็ว

แม่นมอวี๋ตะโกนไล่หลังตามไป “นายท่านรอง งานดื่มชาชมดอกเหมยพรุ่งนี้ท่านต้องมาให้ได้นะเจ้าคะ!”

เฟิ่งอู่เห็นหลงเอ้อร์ตัวเกร็งแล้วเพิ่มความเร็วฝีเท้าขึ้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง จากที่นางเคยเห็น ทุกครั้งที่พี่รองจะหาข้ออ้างปลีกตัวล้วนใช้คำว่า ‘ยุ่ง’ ช่างน่าเบื่อเสียจริง นางพนันว่าพรุ่งนี้พี่รองก็คงมีงานยุ่งมากแน่นอน

วันต่อมาปรากฏว่าหลงเอ้อร์มีงานยุ่งจริงๆ เสียด้วย เมื่อคืนวานเขาได้รับรายงานจากคนใต้บัญชาว่ากิจการในเมืองหลินเฉิงเกิดปัญหาเล็กน้อย ต้องไปจัดการด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่อาจอยู่พูดคุยดื่มชาเป็นเพื่อนคุณหนูทั้งหลายได้ เขาตั้งใจมาขออภัยและถือเป็นการบอกกล่าวแก่แม่นมอวี๋ไปด้วย จากนั้นก็รีบขึ้นรถม้าออกจากเมืองไป

ครั้นเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของเฟิ่งอู่นางก็หัวเราะอีกครั้ง สงสัยเหลือเกินว่าพี่รองที่เป็นคนเช่นนี้ สุดท้ายจะตกไปอยู่ในมือของผู้หญิงเช่นใดกันหนอ

บทที่สาม

หลงเอ้อร์หลบอยู่ที่เมืองหลินเฉิงสิบวัน

สถานการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนกับการเจรจาซื้อขาย หากฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อนได้ก็ต้องทำ ควรดึงเวลาเอาไว้ได้ก็ต้องดึง ไม่ว่าจะกับผู้ใดหรือเรื่องอะไรก็เหมือนกัน ถ้าถ่วงเวลาให้นานออกไปความกระตือรือร้นที่เคยมีก็จะหมดลง เมื่อไร้ความตื่นตัวแล้วก็สามารถจัดการเรื่องราวได้ง่ายขึ้น

ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงคิดวางแผนไม่ให้เหล่าบุตรสาวสกุลใหญ่พบหน้าเขา เกาะติดเขาไม่ได้ พอนานวันเข้า พวกนางก็จะเบื่อจนจัดการไม่ยากมากแล้ว หากพวกนางไม่กระตือรือร้นมากมาย แม่นมอวี๋ก็คงไม่ได้รับแรงกระตุ้นมากนัก เขาคงจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้บ้าง

หลงเอ้อร์ส่งคนไปสืบข่าวได้ความว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมาทุกคนเหมือนจะสงบลงแล้ว ดังนั้นเขาจึงเก็บสัมภาระเดินทางกลับคฤหาสน์

ระหว่างทางที่รถม้ากำลังแล่นผ่านป่าไผ่ผืนนั้น หลงเอ้อร์เลิกม่านหน้าต่างมองออกไปด้านนอก เขาเห็นมีคนนั่งอยู่ในศาลาไผ่ เมื่อดูอย่างละเอียดก็พบว่าคนผู้นั้นคือจวีมู่เอ๋อร์

จวีมู่เอ๋อร์สวมชุดสีเขียวอ่อนซึ่งน่าจะทำจากผ้าฝ้ายเพราะเนื้อผ้าดูหนาเตอะ คอเสื้อยกสูงปกปิดลำคอไว้อย่างมิดชิด เห็นทีนางคงร่างกายอ่อนแอจริงๆ แม้ว่าตอนนี้จะเป็นต้นฤดูหนาว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นต้องใส่เสื้อผ้าหนาถึงเพียงนี้

หลงเอ้อร์สบถในใจ แม้ว่านางจะเป็นหญิงสาวอ่อนแอมากเพียงใดก็สงสารนางไม่ได้ เขาอยู่มาจนอายุยี่สิบหกปี ยังไม่เคยมีหญิงคนใดทำให้เขาขายหน้าเท่านี้มาก่อน

จวีมู่เอ๋อร์นั่งเงียบอยู่ในศาลาคนเดียว พอได้ยินเสียงรถม้าดังขึ้น สีหน้านางเหมือนจะยินดีอยู่บ้าง เอียงหัวมาเล็กน้อยเพื่อฟังเสียงอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ยิ้ม เวลายิ้มนางดูสดใสอย่างมาก

รถม้าเคลื่อนต่อไปข้างหน้า หลงเอ้อร์ยังคงมองดูจวีมู่เอ๋อร์ต่อไป เขาเห็นนางสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ใบหน้าดูเบิกบานเหมือนได้กลิ่นอะไรที่หอมหวน หลงเอ้อร์จึงทำตาม ก็ได้กลิ่นแต่เพียงกลิ่นดินและป่าไผ่ ไม่รู้สึกว่าน่าดมอะไรมากมาย

รถม้าเคลื่อนห่างออกไป ศาลาไผ่กับจวีมู่เอ๋อร์ค่อยๆ หายลับไปจากสายตา

หลงเอ้อร์ทิ้งผ้าม่านลง นั่งนิ่งอยู่ในรถ เขาคิดขึ้นได้ในทันใดนั้นว่าตัวเองควรจะต้องทำอะไรบางอย่าง…แต่ควรจะทำอะไรล่ะ

รถม้าใกล้จะถึงประตูเมืองแล้ว หลงเอ้อร์กลับตะโกนขึ้น “หยุดรถ”

คนรถกับหลี่เคอที่ขี่ม้าขนาบข้างพากันตกใจ

หลงเอ้อร์กระโดดลงจากรถม้าพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ อีกสักครู่ข้าจะกลับมา” หลี่เคอกำลังจะเอ่ยปาก หลงเอ้อร์ก็ชี้นิ้วมา “เจ้าก็รออยู่ที่นี่”

เมื่อได้รับคำสั่ง หลี่เคอจึงปิดปากเงียบนิ่งอยู่กับที่

จากนั้นหลงเอ้อร์ก็สะกิดปลายเท้าลอยตัวหายไป คนรถค่อยๆ หันมาถามหลี่เคออย่างระมัดระวัง “ท่านหลี่ นายท่านรองจะไปปลดทุกข์หรือ”

“ข้าไม่รู้” หลี่เคอตอบ

ใจเขาคันยิบๆ อยากรู้เหลือเกินว่านายท่านรองจะไปทำอะไร เขารู้สึกว่านายท่านรองไม่ได้ไปปลดทุกข์ แต่จะไปทำอะไรอย่างอื่น ถึงเขาจะเป็นองครักษ์ที่ทำงานจริงจังและรับผิดชอบ แต่ก็มีใจที่ชอบสอดรู้ดวงหนึ่งเช่นกัน เขาอยากตามไปแต่ไม่กล้า

ความสงสัยช่างทำร้ายคนเหลือเกิน!

 

เขาจะมาทำอะไรหนอ

ระหว่างทางที่หลงเอ้อร์ลอยตัวไปทางศาลาไผ่ ในที่สุดเขาก็คิดคำตอบของคำถามนี้ออก

เขาต้องมาทวงหนี้! จะให้หญิงผู้นั้นอยู่เป็นสุขไม่ได้เด็ดขาด!

การที่นางมีสีหน้าสบายใจเบิกบานเช่นนั้นเหมือนชกหมัดมาที่ดวงใจของเขาอย่างแรง

เขาถูกคุณหนูจอมยุ่งกลุ่มหนึ่งตามติดจนหายใจไม่ออก ซ้ำยังถูกผู้อาวุโสในบ้านเร่งให้แต่งงาน มีบ้านแต่กลับไม่ได้ เรื่องเหล่านี้เป็นเพราะใคร ย่อมเป็นเพราะนาง! นางเป็นคนทำทั้งหมด!

เขาเป็นคนที่เพียงกระแอมก็สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ เมื่อเขาชักสีหน้าเหล่าเถ้าแก่ร้านค้ามากมายล้วนต้องระวังตัว แม้แต่ผู้ทรงอำนาจในเมืองหลวงยังต้องคล้อยตามความคิดของเขา แต่หญิงตาบอดร่างกายบอบบางผู้นี้กลับกล้ามางัดข้อลอบทำร้ายทำให้เขาเสียหน้า ต้องหนีออกจากบ้านอย่างทุลักทุเล หากเขาไม่สั่งสอนนาง กลางคืนจะนอนหลับสบายได้อย่างไรกัน

โอ ในที่สุดเขาก็รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ตนเองนอนหลับไม่สบายแล้ว

หลงเอ้อร์มาถึงศาลาไผ่อย่างรวดเร็ว

รอบข้างไม่มีผู้คน เขาจ้องมองจวีมู่เอ๋อร์อย่างเงียบๆ นางนั่งอยู่เพียงลำพังเหมือนกำลังเบิกบานใจอย่างมาก

หลงเอ้อร์หรี่ตาลง คิดอยู่ว่าจะรับมือนางอย่างไร เขาเป็นคนมีหน้ามีตาจะทำเหมือนติงเหยียนซานที่แอบหานักเลงมารังแกผู้หญิงไม่ได้ ต้องใช้วิธีที่ไม่น่าเกลียด แต่ทำให้นางอยากจะร้องไห้แต่ไร้ซึ่งน้ำตา

สายตาหลงเอ้อร์หยุดอยู่ที่ไม้เท้าของจวีมู่เอ๋อร์ แม้ไม้เท้าจะอยู่ใกล้มือนางมาก แต่หลงเอ้อร์มั่นใจว่าเขาสามารถเอามันมาได้โดยที่นางไม่รู้ตัว

เขาทำอย่างที่คิด

ค่อยๆ แอบหยิบไม้เท้าของนางไปอย่างเงียบๆ

จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้ตัวสักนิด ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น สูดดมกลิ่นดินและป่าไผ่ที่หลงเอ้อร์ไม่ชอบ ฟังเสียงลมพัดดังซู่ซ่า นางมองอะไรไม่เห็น ดังนั้นเสียงและกลิ่นเหล่านี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่านางมีตัวตนอยู่ นางรู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีที่ยังสามารถได้ยินและได้กลิ่น

หลงเอ้อร์ไม่เข้าใจความสุขของคนตาบอด ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ข้างกายนาง รอดูสีหน้าตอนที่จวีมู่เอ๋อร์พบว่าไม้เท้าหายไป รอดูว่าพอนางไม่มีไม้เท้าแล้วจะเดินอย่างไร

แต่จวีมู่เอ๋อร์ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง หลงเอ้อร์เริ่มจะหมดความอดทน เขาอยากตะโกนเสียงดังๆ ว่า ‘แม่นาง ไม้เท้าของเจ้าล่ะ’ แต่ทำไม่ได้ เขาจะให้จวีมู่เอ๋อร์รู้ไม่ได้ว่าเขาขโมยไม้เท้าของนาง เขาอยากให้นางคาดเดาอะไรไม่ถูก จากนั้นก็สงสัยจนเกิดหวาดกลัว

หลงเอ้อร์รออยู่นาน ในที่สุดจวีมู่เอ๋อร์ก็นั่งจนพอใจ นางยื่นมือไปคลำหาไม้เท้าเตรียมจะกลับบ้าน แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า นางเอียงหัวด้วยความประหลาดใจแล้วคลำหาต่อไป แต่จะหาอย่างไรก็หาไม่เจอ คลำไปทั่วพื้นที่ที่มือสามารถยื่นไปถึงแล้วก็ยังไม่เจออะไร

จวีมู่เอ๋อร์สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน หลงเอ้อร์กลั้นหัวเราะ

นางลุกขึ้นยืน รู้สึกตกใจลนลานอยู่บ้าง พยายามสงบสติลงแล้วหาไปรอบๆ ศาลา แต่ก็ไม่เจอจริงๆ

หลงเอ้อร์เห็นความตื่นกลัวบนใบหน้านางแล้วรู้สึกยินดีเหลือเกิน หากรู้เช่นนี้แต่แรก เขาคงไม่เชิญนางไปกินข้าว เห็นนางทนหิวไม่สบายใจไม่เท่ากับการที่ได้เห็นนางหวาดกลัวเพราะไม่มีไม้เท้า

จวีมู่เอ๋อร์นั่งลงอีกครั้งแล้วพูดขึ้นทันใด “เจ้าออกมาเถอะ”

หลงเอ้อร์ตกตะลึงจนเกือบจะขยับตัว แต่คิดขึ้นได้ว่ามีเรื่องไม่ถูกต้อง นางไม่มีทางมองเห็นตัวเขา

“ข้าได้ยินเสียงเจ้าแล้ว” สีหน้าจวีมู่เอ๋อร์กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง “เจ้าเพียงเอาไม้เท้าของข้าไปไม่คิดจะทำร้ายข้า มีจุดประสงค์อะไรออกมาคุยกันดีกว่า ข้าได้ยินเสียงของเจ้าแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซ่อนตัวอีก”

ความมั่นใจอย่างยิ่งของนางทำให้หลงเอ้อร์เกือบจะหลงเชื่อ เขารู้สึกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อคิดได้ว่าในตอนนั้นนางก็ใช้วิธีนี้หลอกให้หลี่เคอปรากฏตัว ตัวเขาเองยังเคยวิเคราะห์วิธีการของนางเอาไว้ด้วย วันนี้ได้ประสบพบเจอกับตัวก็เกือบจะหลงกลนางเสียแล้ว

เขาไม่ออกไป ไม่ออกไปเด็ดขาด ดูสิว่านางจะทำอย่างไร

จวีมู่เอ๋อร์นั่งอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อไม่พบการเคลื่อนไหวใดๆ นางจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “การซ่อนตัวเป็นเรื่องสนุกหรือ”

หลงเอ้อร์เห็นว่าเรื่องนี้สนุกมาก น่าสนใจยิ่งกว่าการได้พูดคุยกับคุณหนูสกุลใหญ่เหล่านั้นมากนัก เขามองดูจวีมู่เอ๋อร์ที่ในตอนนี้แสร้งทำท่าทางสงบนิ่ง แต่ความจริงกลับทำอะไรไม่ได้ก็ให้รู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก

ทุกคนต่างรู้กันดีว่าหลงเอ้อร์มีแค้นต้องชำระจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด ตามหลักแล้ว กับผู้หญิงเขาไม่ควรจะกัดไม่ปล่อยเช่นนี้ แต่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้ายั่วโมโหเขาเช่นนางมาก่อน ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงรู้สึกว่าจวีมู่เอ๋อร์ผู้นี้ทำให้เขาขุ่นเคืองได้มากกว่าพวกผู้ชายที่คอยหาเรื่องเขามากนัก พอตอนนี้ได้เห็นนางลำบากใจเขาก็รู้สึกยินดีอยู่เต็มหัวใจ

จวีมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเย็นชา “ไม้เท้านั่น ข้าให้เจ้าเอาไว้เล่นก็แล้วกัน” ขณะพูดนางมีสีหน้าโกรธเคือง

หลงเอ้อร์ที่ดูอยู่ด้านข้างอดเลิกคิ้วไม่ได้…โอ้ นางโมโหเสียด้วย

จวีมู่เอ๋อร์จับราวกั้นของศาลาเดินออกไปอย่างช้าๆ จากนั้นจึงค่อยๆ เดินกลับบ้านไป นางไม่ได้หันหน้ากลับมา ไม่ได้หยุดฝีเท้าฟังเสียงความเคลื่อนไหวรอบข้าง เพียงแค่เดินต่อไปอย่างตั้งใจ

หลงเอ้อร์ตามไประยะทางหนึ่ง เห็นนางเดินอย่างระมัดระวังแต่ยังคงสะดุดไปหลายที การที่นางไม่ได้ล้มลงทำให้เขานึกเสียดายอยู่บ้าง สักพักก็มีชายสูงอายุคนหนึ่งเดินมาเรียกนาง หลงเอ้อร์ได้ยินนางเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ จึงรู้ว่าคนผู้นี้คือจวีเซิ่ง

จวีมู่เอ๋อร์บอกจวีเซิ่งว่าทำไม้เท้าหายจึงกลับมาช้า จวีเซิ่งพูดเสียงดังว่าเหตุใดนางจึงไม่ระวัง เอาไว้คราวหน้าเขาจะทำไม้เท้าอันใหม่ให้นาง จากนั้นสองพ่อลูกก็เดินกลับบ้านไปพร้อมกัน

หลงเอ้อร์เห็นว่าไม่มีอะไรน่าดูแล้วจึงรีบกลับไปที่รถม้า คราวนี้เขาได้เอาคืนบ้างจึงรู้สึกสะใจ ใบหน้าที่ฉาบไปด้วยรอยยิ้มทำให้คนรถกับหลี่เคอประหลาดใจมาก

เมื่อกลับไปถึงคฤหาสน์สกุลหลง คนรถก็ดึงตัวหลี่เคอไปด้านข้างแล้วกระซิบถาม “ท่านหลี่ เมื่อครู่นายท่านรองไปเสียนาน พอกลับมาก็อารมณ์ดีมีสีหน้าดีขึ้นมาก หรือว่านายท่านรองจะท้องผูกจริงๆ”

หลี่เคอรู้สึกลำบากใจ เขาไม่ตอบอะไรเพียงแต่หมุนตัวเดินจากไป

เดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมาตบไหล่คนรถแล้วพูดว่า “ความสงสัยใดเก็บไว้ได้ก็ควรเก็บไว้ เจ้าดูอย่างข้าสิ หัดเรียนรู้เสียบ้าง”

คนรถเกาหัว เขามองหน้าท่านหลี่ก็ไม่เห็นว่าท่านหลี่จะเก็บความสงสัยเอาไว้ได้นี่นา ตกลงเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่

“ความสงสัยอาจนำภัยมาได้” หลี่เคอพูดแฝงความนัยลึกซึ้ง

 

พอหลงเอ้อร์กลับถึงคฤหาสน์ก็ได้ยินแม่นมอวี๋พูดว่าหลายวันที่เขาไม่อยู่มีเถ้าแก่ร้านขายยาหลายร้านส่งของขวัญมาให้ ล้วนเป็นยาบำรุงทั้งสิ้น เมื่อแม่นมอวี๋ลองสอบถามดูก็พบว่าเป็นบุตรสาวสกุลใหญ่หลายสกุลแอบไหว้วานให้มาส่ง พวกนางเหล่านั้นมีใจเป็นห่วง เห็นท่านหลงเอ้อร์ทำงานหนักตั้งแต่เช้าจรดเย็นจึงส่งของขวัญมาแสดงความห่วงใย

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว หันหน้าไปสั่งการให้หลี่เคอไปสืบเรื่องในเมือง ไม่ว่าจะมีข่าวลือเรื่องเขาอย่างไรก็ต้องกลับมารายงานทั้งหมด

หลี่เคอรู้ดีว่าครั้งนี้คงจะปิดต่อไปไม่ได้แล้ว จำต้องออกไปสืบข่าวและกลับมารายงาน ในเมืองตอนนี้มีเสียงเล่าลือว่าท่านหลงเอ้อร์รักสมบัติยิ่งชีพ ใจแคบ เจ้าคิดเจ้าแค้น โมโหง่าย ยังพูดอีกว่าเหตุผลที่เขาไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง ถ่วงเวลาไม่ยอมแต่งงานสักทีเพราะว่าหนึ่ง เขาไม่ชอบผู้หญิง หรือไม่ก็สอง เขาคงจะมีโรคประหลาด

หลงเอ้อร์ฟังจบหน้าตาก็บูดเบี้ยว ผู้หญิงเหล่านั้นไม่สนว่าเขาจะชอบผู้ชายหรือไม่ กลับเทน้ำหนักไปที่โรคประหลาด แล้วสรรหายาบำรุงร่างกายมาให้เขาอย่างนั้นหรือ

เหลวไหลสิ้นดี!

ถ้าเขาแต่งกับพวกนางก็ประหลาดแล้ว! หากให้พวกนางแต่งเข้าบ้านมาเพื่อทำตามข่าวลือ คอยแต่หาทางบำรุงร่างกายเขา เช่นนั้นชีวิตเขาจะไม่ทุกข์ทรมานจนทำให้อายุสั้นลงไปอีกหลายปีหรอกหรือ

แต่หลงเอ้อร์คิดไม่ถึงว่าผ่านไปอีกหลายวันเรื่องนี้ก็ยังไม่จบ มีเถ้าแก่ร้านขายยาส่งของขวัญมาให้อีก คราวนี้เป็นยาดีทะลวงท้องบำรุงไส้

พอยาส่งมาถึง สีหน้าของหลงเอ้อร์ก็ดำคล้ำเหมือนคนท้องผูกจริงๆ

พูดว่าเขาเป็นโรคประหลาดก็ว่าไปอย่าง แต่มาแช่งให้เขาถ่ายไม่ออกนี่มันหมายความว่าอย่างไร!

หลงเอ้อร์โมโหแล้ว

 

ผ่านไปสองวัน หลงเอ้อร์ที่มีสีหน้าดำคล้ำอึดอัดใจก็รู้สึกไม่สบายไปทั่วทั้งร่าง

ดีที่หลายวันมานี้มีเรื่องดีเกิดขึ้น ไม่เพียงมีคนส่งยาบำรุงมาให้ แม้แต่เงินก็มีคนส่งมาเช่นกัน เมื่อทุกคนเริ่มใคร่ครวญคำนึงถึงข้อดีของการทำกันสาดบนถนนตงต้าแล้ว ต่างก็เริ่มมาแสดงความเป็นมิตรไมตรีต่อหลงเอ้อร์ อยากจะขอร่วมทำเรื่องดีนี้ด้วย

สำหรับเรื่องเหล่านี้หลงเอ้อร์คิดไว้อย่างละเอียดแล้ว ร้านใดมีประโยชน์มีโทษอะไร เงินผู้ใดสามารถรับได้ ผลประโยชน์ของผู้ใดไม่ควรรับ ควรจะช่วยเหลือร้านใด และจะแสดงอำนาจกับร้านใด เขาล้วนคำนวณไว้เป็นอย่างดี

จากการคิดคำนวณไว้ตั้งแต่แรก หลงเอ้อร์รับข้อเสนอและแจกจ่ายงานทำกันสาดให้ร้านค้าสองร้านที่เมื่อได้รับผลประโยชน์แล้วก็กลับไปด้วยความพึงพอใจ

เมื่อจัดการเรื่องทำกันสาดเสร็จ หลงเอ้อร์ก็คิดถึงจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นมา

เขาตัดสินใจจะไปขโมยไม้เท้าของนางอีก เพราะคิดว่านางเป็นต้นเหตุทำให้เขาถูกชาวเมืองเอาไปลือกันต่างๆ นานา

เรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมแต่อย่างใด หลงเอ้อร์รู้ดีแก่ใจ ดังนั้นจึงไม่ได้พาองครักษ์ส่วนตัวไปด้วย เขาขี่ม้าออกจากประตูเมืองทางทิศใต้เพียงลำพังมุ่งหน้าไปทางป่าไผ่ เมื่อถึงศาลาก็เห็นสามีภรรยาชาวบ้านคู่หนึ่งนั่งพักอยู่ด้านใน ที่นั่นไม่มีเงาร่างของจวีมู่เอ๋อร์

หลงเอ้อร์ควบม้าต่อไปจนถึงร้านเหล้าของสกุลจวี

ร้านเหล้าสกุลจวีห่างจากเมืองหลวงไปทางทิศใต้ห้าลี้ เมื่อเลี้ยวเข้าไปในทางแยกที่มีเพียงสายเดียวก็สามารถมองเห็นร้านที่ด้านหลังเป็นป่าทึบได้แล้ว

ร้านเหล้าไม่ใหญ่นัก มีโต๊ะสี่ตัว แรงงานในร้านมีเพียงเด็กหนุ่มช่วยงานสองคนกับผู้เฒ่าจวีเท่านั้น ในร้านขายเหล้าเป็นหลักและมีกับแกล้ม เนื้อย่าง ขายอาหารจานหลักเช่นหมั่นโถวกับบะหมี่ด้วยเล็กน้อย

ด้านหลังร้านเป็นบ้านของสกุลจวี ในบ้านมีสามเรือน เรือนแรกซึ่งติดกับร้านเหล้าเป็นห้องพักของเด็กช่วยงาน ทั้งสองคนมีหน้าที่ช่วยเฝ้าร้านและยกของเล็กๆ น้อยๆ ส่วนเรือนที่สองเป็นเรือนพักของผู้เฒ่าจวีซึ่งเป็นห้องหมักเหล้าด้วย เรือนที่สามซึ่งมีพื้นที่เล็กๆ เป็นที่พักของจวีมู่เอ๋อร์

หลงเอ้อร์รู้เรื่องทั้งหมดนี้จากข่าวที่ใช้ให้หลี่เคอไปสืบ ดังนั้นเขาจึงขี่ม้าตรงเข้าไปในป่า หาที่ลับตาคนผูกม้าเอาไว้ จากนั้นก็แอบลักลอบเข้าไปทางด้านหลังร้านเหล้าสกุลจวี กระโดดเข้าไปในเรือนพักของจวีมู่เอ๋อร์

เรือนพักของจวีมู่เอ๋อร์สงบเงียบมาก มีกำแพงไม้ล้อมรอบ ด้านหน้าและด้านหลังไม่มีบ้านคน ต้องเดินผ่านป่าทึบผืนหนึ่งจึงจะมีบ้านของเพื่อนบ้านคนอื่นให้เห็น

หลงเอ้อร์มองสำรวจ เรือนของจวีมู่เอ๋อร์มีสามห้องเล็กๆ ห้องที่หนึ่งเป็นห้องนอน จัดวางเรียบง่าย มีเพียงหนึ่งเตียงหนึ่งโต๊ะหนึ่งตู้ ไม่มีของใช้อย่างอื่นอีก

อีกห้องเป็นห้องหนังสือ ชั้นหนังสือขนาดใหญ่สามชั้นมีหนังสือวางเรียงอยู่เต็มไปหมด ข้างหน้าต่างมีโต๊ะหนึ่งตัว บนโต๊ะมีอุปกรณ์เขียนหนังสือทั้งสี่ชนิดวางไว้ ทั้งห้องไม่มีของตกแต่งใดๆ

เห็นหนังสือในห้องแล้วหลงเอ้อร์ก็ต้องตกตะลึงไป เขาพลันคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนที่หญิงตาบอดผู้นี้จะมองไม่เห็น คงจะเป็นคนที่รักการอ่านอย่างมาก เขารู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

ห้องสุดท้ายเป็นห้องพิณ ในห้องมีพิณสี่ถึงห้าตัวและมีชั้นหนังสือเล็กๆ ที่เก็บหนังสือไว้เต็มอีกหนึ่งชั้น

หลงเอ้อร์เดินสำรวจไปรอบๆ เมื่อมองไม่เห็นจวีมู่เอ๋อร์เขาก็รู้สึกผิดหวัง อุตส่าห์ดั้นด้นมาแต่ไกล ตั้งใจจะมารังแกนางเพื่อหาความสุขให้คลายความโมโห แต่นางกลับไม่อยู่เสียนี่

เขานึกฉุนกำลังจะเดินจากไป กลับพบว่าบนกำแพงเรือนพักมีเชือกเส้นใหญ่ผูกติดอยู่ ไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไร เขาจึงเดินตามเชือกไป เดินไปจนถึงประตูหลังก็พบว่าตรงนั้นก็มีเชือกเส้นใหญ่ผูกไว้เช่นกัน

หลงเอ้อร์ประหลาดใจ เขาเดินไปสังเกตดู พบว่าเชือกถูกผูกโยงจากประตูหลังไปรอบกำแพงไม้ยาวลึกเข้าไปในป่า โยงจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปสู่อีกต้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะล้อมอะไร

หลงเอ้อร์เดินตามเส้นเชือกไปเรื่อยๆ ก็พบความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ เชือกนี้ไม่ได้จะผูกล้อมรอบผืนป่า แต่เป็นเชือกนำทางต่างหาก เชือกนำทางของคนตาบอด

หลงเอ้อร์มั่นใจกับความคิดนี้ เพราะเมื่อเดินตามเชือกไปจนถึงลำธารเล็กในป่า เขาก็เห็นจวีมู่เอ๋อร์นั่งอยู่บนขอนไม้ท่อนหนึ่งข้างลำธาร

นางนั่งอยู่อย่างนั้น ในมือถือหนังสือไว้เล่มหนึ่งแต่กลับไม่ได้อ่าน นางตาบอดย่อมอ่านหนังสือไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว เพียงแค่ถือเอาไว้และใช้นิ้วมือลูบหน้ากระดาษพลางเอียงหูเหมือนกำลังตั้งใจฟังอะไรบางอย่าง

หลงเอ้อร์จึงลองเงี่ยหูฟังตาม เขาได้ยินเสียงน้ำในลำธารไหลริน ได้ยินเสียงลมพัดเบาๆ จากในป่า และยังได้ยินเสียงจวีมู่เอ๋อร์พลิกหน้ากระดาษอีกด้วย

หลงเอ้อร์เม้มริมฝีปาก เขาแอบคิดว่านางมองไม่เห็นแล้วจะเปิดหนังสือให้ได้ประโยชน์อะไร หรือเป็นเพียงแค่การกระทำเพื่อปลอบใจตัวเองเท่านั้น

จวีมู่เอ๋อร์ดูมีความสุขมาก หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว นางมีความสุข แต่เขาไม่สุขด้วย

เมื่อคิดถึงคำเล่าลือของชาวเมืองที่พูดเกี่ยวกับตัวเขา คิดถึงเหล่าบุตรสาวสกุลใหญ่ที่เกาะติดเขา และคิดถึงแววตาเฝ้าคอยของแม่นมอวี๋ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้มีจวีมู่เอ๋อร์เป็นต้นเหตุ

ที่ผ่านมาทุกคนรู้เพียงว่าเขาชอบเงินและตระหนี่เท่านั้น เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเลวร้ายแต่อย่างใดเพราะข่าวลือนั้นมีประโยชน์ในการใช้ข่มผู้อื่น ทำให้ไม่มีใครกล้ามาเสนอเงื่อนไขที่เอาเปรียบเขา แต่ตอนนี้กลับลือกันไปว่าเขารักชอบเพศเดียวกันหรือไม่ก็มีโรคประหลาด ซ้ำยังเป็นโรคท้องผูกที่น่ารำคาญใจอีก ข่าวลือเช่นนี้ทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเขามิใช่หรือ

สรุปแล้วทั้งหมดเป็นความผิดของจวีมู่เอ๋อร์!

หลงเอ้อร์เห็นนางหยิบหินก้อนเล็กข้างกายก้อนหนึ่งโยนออกไปด้านหน้า หินตกกระทบน้ำเสียงดังจ๋อม จากนั้นนางก็ยิ้มแล้วหยิบหินอีกก้อนโยนออกไปอีกครั้ง

จวีมู่เอ๋อร์นั่งเล่นอย่างมีความสุข แต่หลงเอ้อร์กลับรู้สึกว่านางดูบ๊องๆ เขาสบถในใจ แอบคิดว่านางช่างน่าเบื่อเหลือเกิน

เขาจะไม่ยอมให้นางมีความสุข และต้องทำให้นางหวาดกลัวให้ได้

หลงเอ้อร์เห็นไม้เท้าอันใหม่ของจวีมู่เอ๋อร์วางพาดอยู่ข้างๆ ขอนไม้ที่นางนั่งอยู่ เขาสะกิดปลายเท้า ใช้วิชาตัวเบาลอยตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ ปลายเท้าเกี่ยวไม้เท้าให้ลอย คว้าจับไว้ในมือแล้วไปหยุดยืนอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างไร้เสียง

เขาตั้งใจลอยตัวผ่านข้างกายจวีมู่เอ๋อร์ทำให้เกิดลมเบาๆ จวีมู่เอ๋อร์ที่กำลังจะโยนก้อนหินรู้สึกว่าข้างกายมีลมพัดผ่าน นางตกใจจนรอยยิ้มจางลงไป จากนั้นจึงรีบคลำไปยังตำแหน่งที่วางไม้เท้าไว้แต่กลับไม่พบอะไรเลย

จวีมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นยืน พูดด้วยความตื่นตระหนก “ใครน่ะ!”

หลงเอ้อร์ถือไม้เท้ายืนยิ้มอย่างไร้เสียงอยู่บนต้นไม้ ดวงใจลิงโลด ทำท่าทางได้ใจเหมือนเด็กที่แกล้งผู้อื่นได้สำเร็จ กิริยาลนลานไร้ที่พึ่งของนางขจัดความอึดอัดใจของเขาที่มีมาหลายวันนี้ไปจนหมดสิ้น อารมณ์สดใสขึ้นมาบ้าง เขาคิดในใจว่าข้าไม่บอกเจ้าเสียอย่าง เจ้าจงตกใจให้ตายไปซะ

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่ไม่ได้ยินสิ่งใด รอบข้างไม่มีเสียงใครหรือเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น สีหน้าของนางซีดขาว ท่าทางตกใจเป็นอย่างยิ่ง กอดกระชับหนังสือบังไว้ตรงหน้าอก

หลงเอ้อร์แกล้งนางอย่างสนุกสนาน เขาลอยตัวลงจากต้นไม้แล้วหยิบหินหลายก้อนโยนลงไปในลำธารหลายทิศทาง เสียงหินตกกระทบน้ำมีทั้งไกลและใกล้ ฟังที่มาไม่ชัดเจน

จวีมู่เอ๋อร์ถูกเสียงนั้นทำให้ตกใจจนสะดุ้ง นางไม่พูดจา หันหน้าทะยานไปยังต้นไม้ที่ใกล้ที่สุด คลำหาเชือกที่ผูกติดกับต้นไม้แล้วกัดฟันวิ่งตามเส้นเชือกกลับไปทางบ้านของตน

นางวิ่งได้ไม่เร็วนัก ซ้ำยังสะดุดหกล้ม ดูทุลักทุเลเป็นอย่างยิ่ง

หลงเอ้อร์หัวเราะอย่างไร้เสียง เมื่อคิดว่าจะตัดเชือกขาดทำให้นางลนลานยิ่งขึ้นดีหรือไม่ แต่คิดดูแล้วก็ตัดสินใจว่าช่างเถอะ เหลือความสนุกไว้คราวหน้าบ้างดีกว่า

เขารู้สึกพึงพอใจมาก หยิบไม้เท้ามาเล่นหลายที จากนั้นก็เข้าไปในป่า หาม้าจนเจอแล้วกลับคฤหาสน์ด้วยความเบิกบานใจ

หลายวันต่อมา หลงเอ้อร์ส่งคนไปสืบความเคลื่อนไหวของจวีมู่เอ๋อร์ เมื่อได้ยินว่านางเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปไหนมาหลายวัน เขาก็หัวเราะเสียงดังด้วยความยินดีแล้วหยิบไม้เท้าสองอันที่ขโมยจากนางมาเล่น รู้สึกสำราญใจยิ่งนัก

วันนี้สายสืบมารายงานว่าจวีมู่เอ๋อร์ป่วย อวิ๋นชิงเสียนจึงเดินทางไปเยี่ยมเยือน เดิมทีหลงเอ้อร์ไม่ได้สนใจ แต่กลับคิดได้ว่าพวกของอวิ๋นชิงเสียนไม่ใช่คนที่น่าคบหานักและไม่รู้ว่าคราวนี้ติงเหยียนซานกับพี่สาวนางจะทำอย่างไรกับจวีมู่เอ๋อร์

เขารออยู่หลายวันแต่กลับไม่ได้ยินข่าวใดๆ สายสืบบอกว่าติงเหยียนซานเดินทางไปคฤหาสน์สกุลอวิ๋น คิดว่าคงจะไปเยี่ยมเยือนติงเหยียนเซียง ตอนที่จากมานางมีสีหน้าไม่พอใจ หลังจากนั้นก็เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในคฤหาสน์สกุลติง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก ส่วนทางด้านจวีมู่เอ๋อร์ที่หายป่วยแล้วก็กลับออกมานอกบ้านตามปกติ

หลงเอ้อร์ได้ฟังแล้วก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง จวีมู่เอ๋อร์กลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุขเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!

เขาใคร่ครวญแล้วจึงตามหลี่เคอให้มาพบ หยิบไม้เท้าสองอันนั้นออกมา สั่งให้หลี่เคอนำไปส่งให้จวีมู่เอ๋อร์ “เจ้าบอกไปว่าข้าได้ยินข่าวว่านางป่วย ดังนั้นข้าจึงส่งของขวัญนี้ไปให้ ขอให้นางหายป่วยในเร็ววัน”

แท้จริงแล้วสิ่งที่หลงเอ้อร์อยากจะทำจริงๆ ก็คือการบอกนางว่าเขากำลังรังแกนางอยู่ เขาถูกนางสาดน้ำชาใส่ตัว ถูกนางบีบให้ทำกันสาด ถูกจัดฉากให้เขาโดนหญิงสาวกลุ่มหนึ่งตามเกาะติด หึ!

หลี่เคอเห็นไม้เท้าสองอันนั้น สีหน้าก็พลันเขียวคล้ำ ไม่ต่างอะไรกับสีของไม้เท้าเลยสักนิด

ของขวัญน่าอับอายเช่นนี้จะให้เขาที่เป็นองครักษ์ระดับสูงผู้กล้าหาญไปส่งด้วยตัวเองหรือ เขาก็ต้องรักษาหน้าตัวเองเช่นกัน และอีกอย่างหนึ่ง ของสิ่งนี้แค่มองดูก็รู้ว่าไม่เหมือนการถามไถ่ทุกข์สุขแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าคิดจะเหน็บว่านางเป็นคนตาบอด

หลี่เคอไม่ยินดีทำ แต่เมื่อผู้เป็นนายมีคำสั่ง ดังนั้นเขาจึงจำต้องทำตาม บากหน้าไปพบจวีมู่เอ๋อร์

หลังกลับมาจากการมอบของขวัญ หลงเอ้อร์ก็เรียกเขาเข้าไปที่หอหนังสือทันที “หญิงตาบอดคนนั้นรับไว้แล้วหรือ”

“รับไว้แล้วขอรับ”

“นางพูดว่าอย่างไรบ้าง”

หลี่เคอเกาหัว “แม่นางจวีไม่ได้พูดอะไรเลยขอรับ”

“ไม่พูดอะไรเลย?” หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นก็ควรจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง นางมีท่าทางอย่างไร”

“เมื่อแม่นางจวีลูบไม้เท้าก็มีสีหน้าตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ถอนหายใจยาวแล้วหมุนตัวเข้าบ้านปิดประตูขอรับ”

“ถอนหายใจ?” หลงเอ้อร์ลูบปลายคาง เขาคาดว่านางจะโกรธเกรี้ยว แต่คิดไม่ถึงว่าจะถอนหายใจ นางถอนหายใจทำไม

ผ่านไปสองวัน มีต้นห้องมารายงานว่าแม่นางน้อยขายดอกไม้คนหนึ่งส่งของขวัญมาให้นายท่านรองนางบอกว่าแม่นางจวีมู่เอ๋อร์มอบให้ท่านหลงเอ้อร์ แม่นางน้อยคนนั้นทิ้งของไว้แล้วจากไป ต้นห้องมอบของให้หลี่เคอ หลี่เคอก็นำของสิ่งนั้นส่งต่อให้ถึงมือหลงเอ้อร์

ของชิ้นนั้นมีผ้าห่อเอาไว้เป็นลักษณะรูปทรงยาว หลี่เคอแกะผ้าออกตามคำสั่งของหลงเอ้อร์ สิ่งที่ได้เห็นคือพิณตัวหนึ่ง

หลงเอ้อร์รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาในทันใด

ทุกคนต่างรู้กันดีว่าท่านหลงเอ้อร์ไม่ใช่ผู้รู้ดนตรี เขาชอบเพียงตั๋วเงิน ที่ผ่านมามีคนไม่ลืมหูลืมตาเพียงไม่กี่คนเคยจะเชิญเขาไปร่วมชมการบรรเลงพิณหรือถกเกี่ยวกับพิณ เพราะฉะนั้นของขวัญที่ไม่น่าชื่นชมเช่นนี้ยิ่งไม่มีใครกล้าส่งมาแน่นอน

การที่จวีมู่เอ๋อร์ส่งของเล่นชิ้นนี้มาก็เพื่อต้องการจะเหน็บแนมเขาอย่างนั้นหรือ

“นายท่านรอง ในห่อผ้านี้ยังมีกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งด้วยขอรับ”

หลงเอ้อร์รับมา เมื่ออ่านจบสีหน้าเขาก็ดำคล้ำทันที บนกระดาษเขียนเอาไว้ว่า

‘เรียนพิณฝึกนิสัย ลดเวลาว่างคลายทุกข์’

ลายมืองดงาม แต่ระหว่างตัวอักษรยังมีจุดที่สะดุดอยู่บ้าง เหมือนคนปิดตาเขียนหนังสือ หลงเอ้อร์รู้ดีแก่ใจว่าไม่ใช่การปิดตาเขียน แต่เป็นสิ่งที่คนตาบอดเขียนจริงๆ

นางส่งพิณมาเพื่อเหน็บแนมเขา!

ฝึกนิสัยอะไรกัน นิสัยของเขาดีมากอยู่แล้ว นางไม่เห็นหรือว่ามีหญิงสาวมากมายอยากจะแต่งงานกับเขา

ยังบอกว่าลดเวลาว่าง เขาเคยว่างเสียที่ไหน มีงานยุ่งอยู่ตลอดเวลา ทุกวันคนที่มาคอยรายงานข่าวล้วนต่อแถวกันยาวเหยียด บนโต๊ะมีแต่เอกสารกับสมุดบัญชีกองโตที่อ่านไม่หมดไม่สิ้นเสียที เขาว่างที่ไหนกัน

ยังมีเรื่องเป็นทุกข์อีก เขาไม่ทุกข์แม้แต่น้อย ไม่ทุกข์เพราะนางแม้แต่น้อย!

“โอ้ ใช่แล้ว ต้นห้องยังบอกอีกว่าเขาได้ถามแม่นางน้อยขายดอกไม้คนนั้นว่าส่งของขวัญชิ้นนี้มาทำไม นางตอบว่าแม่นางจวีกล่าวว่าเด็กซนนั้นให้เรียนพิณจึงจะดีที่สุด”

ซน? นางว่าใครซนกัน!

หลงเอ้อร์ตบโต๊ะ หญิงตาบอดน่ารังเกียจผู้นั้น…เขาไม่มีวันเลิกราแน่นอน!

บทที่สี่

การต่อสู้ของหลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์เริ่มต้นจากจุดนี้

หลงเอ้อร์ไม่ยอมรับว่าความไม่สบายใจเหล่านี้เขาเป็นคนหาเรื่องเอง เพราะเขาคิดว่าการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เอาจริง ยังคงคิดว่านางเป็นหญิง ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้วิธีของผู้ชายต่อกรกับนาง ไม่เช่นนั้นจวีมู่เอ๋อร์ที่เป็นเพียงหญิงตาบอดตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็คงจะถูกเขาบดขยี้ให้ตายด้วยนิ้วมือเพียงนิ้วเดียวไปแล้ว

แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น

เขาไม่เหมือนกับติงเหยียนซานที่สั่งให้อันธพาลมาลงไม้ลงมือแทน เขาไม่ได้แตะต้องนางแม้เพียงเส้นขนเดียว เขาไม่เคยหาเรื่องร้านเหล้าของพ่อนาง ไม่ได้ขัดขวางทางทำมาหากินของสาวน้อยขายดอกไม้ที่นางเป็นห่วงเป็นใย ทั้งยังไม่ได้ทำลายร้านเก่าๆ ที่นางใช้สอนเด็กชาวบ้านเล่นพิณอีกด้วย

ดูสิ เขาไม่ได้ตั้งใจจะจัดการนางจริงๆ เขาเพียงแค่แกล้งนางเล่นเท่านั้น

แต่จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้จักสำนึก ไม่เพียงจะแก้แค้นคืนทุกครั้ง ตอนนี้ยังกล้ามาเหน็บแนมเขาอีก!

ในฐานะชายคนหนึ่งแล้วหากเขาหากปล่อยให้หญิงผู้นี้ทำตามใจชอบโดยไม่สั่งสอนเสียบ้างเขาคงไม่เหลือศักดิ์ศรีความเป็นชายอีกต่อไปแล้ว

เขาต้องสั่งสอนนาง จะให้นางคิดว่าเขายอมแพ้ไม่ได้

ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงรีบสั่งให้หอเซียนเว่ยส่งอาหารไปที่ร้านเหล้าสกุลจวี และแจ้งว่าส่งมาให้จวีมู่เอ๋อร์กิน อาหารมีเพียงปลาอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่น มีทั้งปลานึ่ง ปลาน้ำแดง ปลาทอด ปลาตุ๋น และปลาอื่นๆ อีกหลายอย่าง สรุปก็คือมีแต่ปลา เขาตั้งใจสั่งปลาที่มีแต่ก้างให้จวีมู่เอ๋อร์กิน รู้ว่านางต้องเข้าใจความหมายของเขาแน่นอน

เขาหลงเอ้อร์จะยอมให้ใครมายั่วโมโหง่ายๆ ไม่ได้ เขาจะทำให้ก้างปลาติดคอนาง ให้นางได้รับความลำบากจะกลืนก็ไม่ได้จะคายก็ไม่ออก

ผลปรากฏว่าผ่านไปไม่กี่วัน จวีมู่เอ๋อร์ก็ส่งไม้เท้าสองอันนั้นมาให้ หลงเอ้อร์เข้าใจความหมายดี นางกำลังบอกว่าอย่าเล่นอีกเลย ท่านอยากได้ไม้เท้าไม่ใช่หรือ ได้ ข้าส่งมาให้ท่านเล่นทั้งสองอันเลย

หลงเอ้อร์ไม่ยอมอ่อนข้อ เขาจะขโมยไม้เท้าเสียอย่างนางจะทำอะไรได้ เขาแอบเข้าไปในเรือนพักของจวีมู่เอ๋อร์ด้วยตัวเองแล้วขโมยไม้เท้าอันที่สามในห้องนางมา

วันต่อมา จวีมู่เอ๋อร์จึงใช้ให้ซูฉิงส่งตำราเพลงพิณเล่มหนาไปให้ท่านหลงเอ้อร์หนึ่งเล่ม ซูฉิงนำตำราเพลงพิณมาให้แล้วฝากคำพูดไว้หนึ่งประโยค “พี่มู่เอ๋อร์บอกว่าหากเด็กในคฤหาสน์รู้สึกเบื่อก็ให้เขาตั้งใจเรียนพิณให้ดี”

หลงเอ้อร์รับตำราเพลงพิณเอาไว้ด้วยไฟโทสะที่พุ่งขึ้นหน้า แต่เขายังคิดหาวิธีใหม่มาจัดการกับนางไม่ได้ เขาเห็นว่าวิธีการส่งของขวัญเช่นนี้ไม่น่าสนใจอีกต่อไป เขาไม่อยากจะใช้แล้ว

ครั้งก่อนตอนที่ไปขโมยไม้เท้า เขาได้ยินจวีเซิ่งถามจวีมู่เอ๋อร์ว่าเหตุใดหอเซียนเว่ยจึงไม่ส่งปลามาที่บ้านอีก น้ำเสียงฟังดูเสียดายอยู่มาก เดิมทีจวีมู่เอ๋อร์รับปลามาแล้วก็ล้วนส่งมอบให้ผู้เป็นพ่อกินแกล้มเหล้า ยังบอกอีกว่าปลาพวกนั้นเป็นค่าจ้างที่นางไปสอนคนดีดพิณ ผู้เฒ่าจวีที่กินไปหลายมื้อย่อมต้องรู้สึกคิดถึงเป็นธรรมดา

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลงเอ้อร์คาดโทษจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้อีกเรื่อง นางทำให้เขาเสียเงินเปล่าโดยหาความสำราญกลับมาไม่ได้ เขายังรู้สึกอีกว่าหญิงสาวคนนี้หลอกพ่อตัวเองได้ไหลลื่นเช่นนี้ ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย

หลงเอ้อร์ตั้งใจจะคิดหาทางจัดการจวีมู่เอ๋อร์ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินคำเล่าลือของชาวเมืองอีกแล้ว ทุกคนในเมืองต่างพูดว่าท่านหลงเอ้อร์รู้สึกอับอายกับการไม่รู้ดนตรีของตน ระยะนี้จึงแอบคิดอยากเรียนพิณ อยากจะแก้ภาพลักษณ์พ่อค้าที่หลงใหลในเงินตราเพียงอย่างเดียว

คำเล่าลือนี้ทำให้หลงเอ้อร์ไม่พอใจเพราะเขาไม่คิดว่าการไม่รู้ดนตรีจะเป็นเรื่องน่าอับอายอะไร

นอกจากนั้นเพราะคำเล่าลือที่เกิดขึ้นทำให้หลงเอ้อร์เริ่มได้รับของขวัญชิ้นใหม่ เป็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเรียนพิณ คุณหนูสกุลใหญ่แต่ละสกุลก็เริ่มมาหาเขาเพื่อจะพูดคุยเรื่องการดีดพิณเรียนพิณ มีบางคนถึงขนาดรวบรวมความกล้ายื่นข้อเสนอจะมาสอนพิณให้เขาด้วยซ้ำไป

เรื่องนี้ทำให้หลงเอ้อร์โกรธจนกินข้าวไม่อร่อย นอนหลับไม่สนิท

เขาตัดสินใจแล้ว หากจะทำต้องทำให้ถึงที่สุด ในเมื่อหญิงตาบอดผู้นั้นใช้วิธีลอบกัดเช่นนี้ นางก็อย่าได้โทษที่เขาจะใช้วิธีน่าเกลียดเช่นกัน

เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นชาวเมืองก็เริ่มลือกันว่าจวีมู่เอ๋อร์กำลังตามขอความรักจากท่านหลงเอ้อร์ พูดว่านางไม่สนใจที่ตัวเองตาบอดเดินทางไม่สะดวก กระตือรือร้นอยากไปพบกับหลงเอ้อร์ที่ร้านน้ำชาและหอสุรา อีกทั้งยังมอบพิณ ตำราเพลงพิณ และไม้เท้าให้ท่านหลงเอ้อร์อีกด้วย

ของทั้งสามอย่างล้วนเป็นสิ่งที่จวีมู่เอ๋อร์รัก การมอบให้เช่นนี้ก็เหมือนกับเป็นการมอบสิ่งที่ตัวเองรักที่สุดให้แก่หลงเอ้อร์ นางแสดงความรักอย่างกล้าหาญ

พอคำพูดเหล่านี้ลือออกไป เรื่องทุกอย่างของจวีมู่เอ๋อร์ก็ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาพูดอีกครั้ง นางรักพิณรักหนังสือ แต่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนตาบอดกลายเป็นหญิงบ้า นางเบื่อหน่ายความจนรักความร่ำรวย พยายามไต่เต้าเพื่อให้มีอำนาจวาสนา ถึงกับทิ้งคู่หมั้นที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก วางแผนหลอกล่ออวิ๋นชิงเสียนชายมีเจ้าของผู้น่าดึงดูดที่สุดในเมืองหลวง แต่เพราะถูกฮูหยินของเขาขวางเอาไว้จึงแต่งเข้าบ้านไม่ได้สักที ดังนั้นตอนนี้จึงเปลี่ยนเป้าหมายมาลงมือกับท่านหลงเอ้อร์ตัวเลือกลูกเขยชุบทองที่ถูกแย่งชิงกันมากที่สุดในเมืองหลวง ช่างไร้ยางอายเสียจริง!

เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเดือน เรื่องของจวีมู่เอ๋อร์ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในเมืองหลวง นางจึงไม่ออกจากบ้าน เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านทุกวัน

หลงเอ้อร์ที่ได้ยินคำเล่าลือแรกๆ ก็รู้สึกยินดี พอได้รู้ว่าจวีมู่เอ๋อร์เก็บตัวไม่ออกจากบ้านเลยก็ยิ่งดีใจ แต่ภายหลังคำเล่าลือนั้นยิ่งลือยิ่งไม่น่าฟัง เพราะตัวเขาถูกหยิบยกขึ้นมาถกพร้อมกับอวิ๋นชิงเสียนผู้น่ารังเกียจคนนั้น สิ่งนี้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

ส่วนจวีมู่เอ๋อร์เหมือนจะถูกทำร้ายจิตใจหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ นางไม่ได้เคลื่อนไหวและโต้ตอบอะไรกลับมาอีกซึ่งทำให้หลงเอ้อร์ผิดหวังมาก บัญชีให้สะสางไม่ได้เพลิดเพลินชวนอ่านเสียแล้ว ส่วนการกลั่นแกล้งโดยใช้วิธีขโมยไม้เท้าหรือส่งปลาก็ไม่แปลกใหม่อีกต่อไป ไม่น่าใช้แล้ว

หลงเอ้อร์รู้สึกว่าหลายวันมานี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก แต่ตอนนี้ใกล้จะสิ้นปีแล้ว มีเรื่องงานวุ่นวายถาโถมท่วมตัว เขาจึงตัดสินใจพักเรื่องจวีมู่เอ๋อร์ไว้ชั่วคราว จัดการเรื่องหาเงินถึงสำคัญกว่า

ส่วนแม่นมอวี๋ก็วุ่นอยู่กับการเตรียมงานปีใหม่ในคฤหาสน์ ไม่มีเวลาว่างมากมายเหมือนแต่ก่อน ที่สำคัญคือนางเข้าใจดีว่าช่วงสิ้นปีเป็นเวลาที่หลงเอ้อร์จะยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไรเลย จึงไม่กล้าเอาเรื่องการแต่งงานไปเพิ่มความปวดหัวให้แก่หลงเอ้อร์อีก

ดังนั้นในระยะนี้หลงเอ้อร์จึงกลับเข้าสู่วันเวลาที่มีเพียงสมุดบัญชีกับเอกสารเป็นเพื่อนอีกครั้ง แต่บางครั้งเขาก็นึกถึงหญิงตาบอดที่สาดน้ำชาใส่เขาขึ้นมา รู้สึกอยากให้ช่วงปีใหม่นี้ผ่านไปเร็วขึ้นอีกสักนิด เช่นนั้นเขาจะได้มีเวลามานั่งคิดว่าควรจะลงมือกับนางอย่างไรดี

ท่าทางเขาสงบนิ่ง ทางด้านจวีมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกโล่งอก

คำเล่าลือของชาวเมืองไม่น่าฟังนัก นางเป็นหญิงย่อมรู้สึกไม่ดี จวีเซิ่งยิ่งโกรธจนคิดจะหยิบไม้ไปยืนเฝ้าตามถนนในเมือง บอกว่าหากได้ยินใครพูดอะไรไม่ถูกหู เขาก็จะตีคนผู้นั้นให้หนัก

จวีมู่เอ๋อร์ต้องพูดเกลี้ยกล่อมผู้เป็นพ่อเอาไว้ บอกจวีเซิ่งว่าของอย่างกำปั้นหรือไม้เท้าเร็วไม่เท่าคำพูดคน ตีได้หนึ่งคน แต่ไม่มีทางตีได้หมดทั้งเมือง อีกอย่างหนึ่งหากลงมือจริง ทุกคนก็จะพูดว่านางร้อนตัวจนความอายกลายเป็นโมโหไปแทน

ผู้เฒ่าจวีได้ฟังคำของบุตรสาวก็ถอนหายใจไม่หยุด จะให้เขาปล่อยคนปากมากพวกนั้นไปเช่นนี้หรือ ใจเขาไม่ยินยอมแม้แต่น้อย แต่ที่บุตรสาวพูดก็มีเหตุผล เขาเองก็กลัวว่าจะทำให้เรื่องวุ่นวายใหญ่โตแล้วบุตรสาวจะยิ่งลำบากใจมากกว่าเดิม

ดังนั้นสองพ่อลูกจึงเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ผู้เฒ่าจวีถึงกับไม่เปิดร้านขายเหล้า เดิมทีช่วงเวลาใกล้สิ้นปีเช่นนี้เป็นช่วงที่เหล้าขายดีที่สุด แต่ผู้เฒ่าจวีคิดว่าหากต้องยอมให้เจ้าคนปากมากพวกนั้นมาดื่มเหล้าในบ้านเขา แล้วยังมาพูดให้ร้ายลูกสาวของเขาอีก เขาให้พวกนั้นดื่มก็แปลกแล้ว ดังนั้นจึงปฏิเสธการค้าขายกับหอสุราทุกแห่ง บอกแค่ว่ารอให้เขาอารมณ์ดีก่อนจึงจะเปิดขายใหม่

ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ก็คิดทบทวนไปมา ความจริงนางไม่ควรจะไปต่อกรกับท่านหลงเอ้อร์เลย นางคิดว่าหลังจากนางตาบอดนิสัยก็ดีขึ้นมาก สามารถสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ได้ คาดไม่ถึงว่ายังคงทนได้ไม่มากพอ

วันนั้นที่นางไปขอร้องให้ท่านหลงเอ้อร์ทำกันสาด เขามีท่าทางหยิ่งผยอง พูดจาไม่ดี ส่วนตัวนางนั้นไม่ชอบให้คนวางก้ามรังแกที่สุด ด้วยความขุ่นเคืองในตอนนั้นจึงจงใจพูดโน้มน้าวเขา สาดน้ำชาใส่เขาอย่างเปิดเผย นี่จึงเป็นการหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว มาถึงตอนนี้ยังกลับกลายมาเป็นความว้าวุ่นใจอีกด้วย

ตอนนี้ใกล้จะปีใหม่แล้ว นางคิดจะหลบซ่อนตัวเช่นนี้ รอให้เรื่องสงบลงก็จะยอมแพ้ ไม่ไปงัดข้อกับเขาอีก

จวีมู่เอ๋อร์คิดจะทำตัวเป็นเต่าหดหัวเช่นนี้ แต่กลับมีบางคนไม่ยอมให้นางทำ

วันนั้นมีแขกที่คาดไม่ถึงคนหนึ่งมาที่บ้านของนาง คนคนนั้นคือติงเหยียนเซียง

 

การมาของอวิ๋นฮูหยินเกินความคาดหมายของจวีมู่เอ๋อร์ ผู้เฒ่าจวีเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน

ก่อนหน้านี้ชาวเมืองเคยเล่าลือถึงความสัมพันธ์ของจวีมู่เอ๋อร์กับอวิ๋นชิงเสียน เรื่องนี้ผู้เฒ่าจวีย่อมเคยได้ยินมาก่อน ถึงขั้นที่ว่ามีเพื่อนบ้านบางคนมาสอบถามว่าบุตรสาวของเขาจะแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลอวิ๋นหรือไม่ ส่วนใต้เท้าอวิ๋นผู้นั้นมักจะแวะมาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้ง ท่าทางมีมารยาทกับเขาเป็นอย่างมาก ผู้เฒ่าจวีเกือบจะเชื่อเรื่องข่าวลือนั้นแล้ว แต่บุตรสาวกลับบอกเสียก่อนว่าไม่ได้มีใจรักในตัวใต้เท้าอวิ๋น ขอให้เขาวางใจ

ผู้เฒ่าจวีย่อมต้องเชื่อบุตรสาวตน นางเหมือนแม่ของนางมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา นิสัย หรือความเฉลียวฉลาดล้วนถอดแบบมาจากแม่ของนาง

เมื่อก่อนเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านล้วนได้แม่ของจวีมู่เอ๋อร์เป็นคนจัดการ เขารับผิดชอบเพียงงานหมักเหล้าที่เขาชอบทำ น่าเสียดายที่แม่ของนางมาด่วนจากไปทำให้เขาเสียใจหนักหนา โชคดีที่จวีมู่เอ๋อร์รู้ความ เชื่อฟัง ฉลาด และน่ารัก เขาจึงค่อยๆ ได้พลังในการมีชีวิตกลับคืนมา

จวีมู่เอ๋อร์เป็นเด็กที่รู้ความ ตั้งแต่ยังเล็กนางมีความคิดบางเรื่องที่จัดการแล้วดูเหมาะสมกว่าเขาผู้เป็นพ่อเสียอีก ดังนั้นจวีเซิ่งจึงรู้สึกวางใจในตัวบุตรสาวคนนี้เป็นอย่างมาก

หากนางบอกว่าไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ย่อมไม่เป็นไรอย่างแน่นอน

แต่ระยะนี้ที่ชาวเมืองเล่าลือกันหนาหู ฮูหยินของใต้เท้าอวิ๋นกลับมาหาถึงบ้าน ผู้เฒ่าจวีคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร

เขาระวังตัว เดินนำทางติงเหยียนเซียงไปยังเรือนพักของจวีมู่เอ๋อร์

ติงเหยียนเซียงสั่งให้สาวใช้ประจำตัวถอยออกไป บอกว่าต้องการพูดคุยกับจวีมู่เอ๋อร์ตามลำพัง ผู้เฒ่าจวีเห็นว่าตัวเองไม่ใช่บ่าวรับใช้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถอยออกไป เขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด สมควรจะนั่งฟังนั่งดูอยู่ข้างกายบุตรสาวได้ หากมีอะไรไม่เหมาะไม่ควรจะได้ออกรับหน้าแทนบุตรสาว

ติงเหยียนเซียงเห็นผู้เฒ่าจวีไม่คิดจะออกไป สีหน้าก็ไม่ค่อยน่าดูนัก แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นแขกจึงไม่อาจเอ่ยปากพูดได้ ดังนั้นจึงนั่งเงียบไม่พูดจา

จวีมู่เอ๋อร์รออยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้ยินติงเหยียนเซียงพูดอะไร นางคิดสักครู่จึงเอ่ยปากเรียก “พ่อ” จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงตอบรับจากพ่อของนางจริงๆ

“พ่อออกไปทำงานก่อนเถอะ อีกสักครู่หากข้าคุยเสร็จแล้วจะเรียกพ่อเอง”

ผู้เฒ่าจวีไม่ยินดีจะทำตาม แต่เมื่อมองหน้าติงเหยียนเซียงแล้วหันไปมองบุตรสาวของตนเขาก็ตอบตกลงในที่สุด ก่อนไปยังพูดอีกว่า “พ่อจะอยู่ตากแดดในสวนนะ”

เมื่อเห็นจวีมู่เอ๋อร์ยิ้มบางๆ ตอบรับ ผู้เฒ่าจวีจึงเดินออกไปอย่างช้าๆ

ติงเหยียนเซียงรอจนในห้องเหลือเพียงนางกับจวีมู่เอ๋อร์จึงค่อยเอ่ยถามถึงสุขภาพและสารทุกข์สุกดิบของคนในบ้านจวีมู่เอ๋อร์ จากนั้นก็เอ่ยชมความสามารถของผู้เฒ่าจวี บอกว่าเขาหมักเหล้าได้ดี ทั้งยังจัดการร้านและดูแลบุตรสาวได้ดีอีกด้วย ติงเหยียนเซียงใช้น้ำเสียงอ่อนโยน ฟังดูสนิทสนม แต่จวีมู่เอ๋อร์กลับนั่งฟังอย่างระแวดระวังตัว

อวิ๋นชิงเสียนเคยเผยความในใจแก่จวีมู่เอ๋อร์แต่ถูกนางปฏิเสธ ภายหลังเขาก็แวะมาน้อยลง แต่ทุกครั้งที่มาก็จะพูดเสียงอ่อนหวาน บอกกล่าวความรู้สึกในใจออกมา แสดงให้นางเห็นว่าเขายังไม่ยอมแพ้ จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกปวดหัว แต่กลับคิดวิธีทำให้เขาตัดใจไม่ออก ตอนนี้คำเล่าลือในเมืองไม่น่าฟังนัก การที่อวิ๋นฮูหยินมาในครั้งนี้คงไม่ได้มาเพราะสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของนางเท่านั้นเป็นแน่

แล้วก็เป็นจริงดังที่คาดไว้ หลังจากติงเหยียนเซียงพูดคำทักทายทั่วไปจบแล้ว ในที่สุดก็เข้าสู่ประเด็นหลัก “แม่นางจวี ข้าขอบังอาจถามสักคำ ท่านพี่ข้าเคยเผยใจรักต่อเจ้า อยากจะแต่งงานกับเจ้าใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์ทวนคำพูดในใจหนึ่งรอบแล้วจึงเอ่ยตอบ “ข้าเป็นเพียงหญิงตาบอดธรรมดา ไม่กล้าอาจเอื้อมใต้เท้าอวิ๋น ขอฮูหยินโปรดวางใจ”

น้ำเสียงของติงเหยียนเซียงยังคงอ่อนโยน นางถามต่อ “ไม่อาจเอื้อมหรือไม่อยากเป็นอนุกันแน่”

จวีมู่เอ๋อร์ลอบถอนใจอยู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่อาจเอื้อมหรือไม่อยากเป็นอนุ ประเด็นสำคัญก็คือนางไม่อยากแต่งงาน เหตุใดพวกเขาจึงไม่เข้าใจกัน

“ฮูหยิน ข้ารับรองว่าจะไม่แต่งงานกับใต้เท้าอวิ๋นเด็ดขาด เช่นนี้ฮูหยินพอใจหรือไม่”

“ไม่” น้ำเสียงของติงเหยียนเซียงทั้งอ่อนและเบา แต่กลับหนักแน่น

จวีมู่เอ๋อร์อึดอัดใจ เอ่ยถามไปตามตรงเสียเลยจะดีกว่า “เช่นนั้นข้าต้องทำอย่างไรฮูหยินจึงจะสบายใจ”

ติงเหยียนเซียงตอบ “แม่นางจวี ก่อนหน้านี้เป็นน้องสาวข้าที่เสียมารยาท หาคนมารบกวนเจ้า นางไม่ค่อยรู้ความ แต่ข้าได้สั่งสอนนางไปแล้ว ต่อไปจะไม่เป็นเช่นนี้อีก ขอให้เจ้าจงวางใจ”

คำพูดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการจะแต่งหรือไม่แต่งงาน จวีมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจความหมายของนาง ดังนั้นจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไร

ติงเหยียนเซียงพูดอีกว่า “แท้จริงแล้วข้าเป็นคนพูดง่าย เรื่องที่ท่านพี่คิดรักชอบเจ้า ข้าเองก็รู้ดี เดิมทีเป็นเรื่องของเขา ข้าจึงไม่ยุ่งเกี่ยวสอดมือเข้าไปแทรก แต่ตอนนี้เขากลัดกลุ้ม ข้าเห็นก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญแล้ว ข้าจึงมาหาเจ้า”

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกตระหนกอยู่บ้าง นางจับไม้เท้าของตัวเองเอาไว้แน่น

ติงเหยียนเซียงคิดจะพูดว่านางมีความรักลึกซึ้งกับอวิ๋นชิงเสียนอย่างนั้นหรือ แต่นางก็บอกไปแล้วว่าจะไม่เข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกเขาสามีภรรยา ติงเหยียนเซียงพูดเช่นนี้คิดจะทำอะไรกันแน่

“ท่านพี่นิสัยอ่อนโยนช่างเอาใจ ดูแลข้าทั้งเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่พัก จะทำการใดล้วนเอาใจใส่เป็นอย่างดี กับบ่าวไพร่ก็ยิ้มแย้มไม่ดุด่าว่ากล่าวอย่างไร้เหตุผล แม่นางจวีคิดว่าคู่ครองที่ดีเช่นนี้หาได้ยากหรือไม่” ติงเหยียนเซียงถาม

“นั่นเพราะฮูหยินมีวาสนาดี”

ติงเหยียนเซียงหัวเราะ เอ่ยถามขึ้นทันใด “แม่นางจวีเริ่มเรียนพิณตั้งแต่เมื่อใดหรือ”

“สามขวบ”

ติงเหยียนเซียงพยักหน้า “ข้าก็เริ่มเรียนตอนสามขวบ แต่ข้าดีดพิณได้ไม่ดีเท่าเจ้า”

“ฮูหยินถ่อมตัวเกินไปแล้ว”

“นั่นเป็นเรื่องจริง ท่านพี่ชอบเสียงพิณมาก ทุกครั้งที่ข้าดีดพิณเป็นเพื่อนท่านพี่ เขาต้องพูดชมฝีมือการดีดพิณของเจ้า”

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกเครียด ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรต่อ

ติงเหยียนเซียงหัวเราะ แล้วขยับตัวไปกุมมือของจวีมู่เอ๋อร์ไว้ มือของนางเย็นเฉียบจนทำให้จวีมู่เอ๋อร์ตกใจจนขนลุก

“แม่นางจวี ข้าใช่ว่าจะเป็นภรรยาที่ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม”

จวีมู่เอ๋อร์ใจเต้นแรง นิ้วมือแข็งเย็นของติงเหยียนเซียงส่งผ่านความอึมครึมออกมาทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

“แม่นางจวี ข้าหวังให้เจ้าแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลอวิ๋นมาอยู่เป็นเพื่อนข้า แม้ว่าจะเป็นอนุ แต่รับรองว่าการกินอยู่ เสื้อผ้าที่ใช้ หรือการได้รับความเคารพจากบ่าวไพร่ ทุกอย่างจะเท่าเทียมกับข้า ย่อมไม่มีทางได้รับความเจ็บช้ำใจแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่าอย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์ตัวแข็ง ติงเหยียนเซียงมาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ตนใช้สามีร่วมกับนางหรือนี่

สันหลังจวีมู่เอ๋อร์เริ่มเย็นเยือก นางคิดแล้วคิดอีก เกรงว่าจะมีอะไรผิดพลาดจึงไม่กล้าเอ่ยปาก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยตอบกลับว่า “ฮูหยิน ข้าไม่กล้าอาจเอื้อมจริงๆ”

ติงเหยียนเซียงจ้องหน้านางอยู่นานแล้วจึงหัวเราะขึ้นทันใด “เห็นทีแม่นางจวีใช่ว่าจะไม่ยอมเป็นอนุ แต่ดูเหมือนไม่อยากแต่งงานกับท่านพี่จริงๆ”

จวีมู่เอ๋อร์โล่งอก คิดว่าเมื่อครู่เป็นการทดสอบจึงรีบตอบอย่างจริงจัง “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่ข้าพูดทุกคำเป็นความจริง ฮูหยินวางใจได้”

“ข้าเองก็พูดอย่างจริงใจเช่นกัน แม่นางจวี ท่านพี่มีใจอยากผูกสัมพันธ์กับเจ้า หากข้าไม่สามารถทำความปรารถนาของเขาให้เป็นจริงได้ จะเรียกว่าเป็นภรรยาที่ดีได้อย่างไร” ใจของจวีมู่เอ๋อร์ที่เพิ่งวางลงได้กลับกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง นางได้ยินเสียงของติงเหยียนเซียงอ่อนโยนขึ้นทุกทีๆ “แม่นางจวี เจ้าต้องแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลอวิ๋นของพวกเราให้ได้นะ”

จวีมู่เอ๋อร์จับไม้เท้าไว้แน่น ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตอบกลับด้วยคำเดิม “ขอบคุณฮูหยินที่เอ็นดู แต่ข้าไม่อาจเอื้อมจริงๆ”

นางพูดจบแล้ว แต่กลับไม่ได้ยินติงเหยียนเซียงพูดต่อ ในใจก็หวาดหวั่นมากยิ่งขึ้น นางมองไม่เห็นท่าทางและแววตาของอีกฝ่าย ได้ยินเพียงเสียงของติงเหยียนเซียง ดังนั้นการวิเคราะห์ทั้งหมดจึงอาศัยเพียงเสียงเท่านั้น

ติงเหยียนเซียงมีน้ำเสียงอ่อนโยน ควรจะบอกว่าอ่อนโยนเกินไป อ่อนโยนจนไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย

ซึ่งสิ่งนี้ทำให้จวีมู่เอ๋อร์กลัวมาก นางไม่อยากจะเชื่อว่าอวิ๋นฮูหยินผู้นี้คิดจะแต่งนางเข้าสกุลอวิ๋นด้วยใจจริง บางทีนางอาจจะถูกอวิ๋นชิงเสียนบังคับหรืออาจจะยอมขัดความรู้สึกของตัวเองเพื่อมาแสดงให้อวิ๋นชิงเสียนเห็นว่านางเป็นภรรยาที่ดี

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จวีมู่เอ๋อร์ก็ไม่เชื่อว่าหญิงผู้นี้จะยินดีใช้สามีร่วมกับผู้อื่น

ติงเหยียนเซียงเอ่ยอีกครั้ง “ขอแม่นางจวีอย่าได้ปฏิเสธเลย ท่านพี่ชอบเจ้าด้วยใจจริง ข้าเองก็จะดีต่อแม่นางเหมือนเป็นพี่น้องของตัวเองเช่นกัน เมื่อเจ้าแต่งเข้ามา ผู้เฒ่าจวีก็สามารถปลดภาระหนักบนบ่าลงได้ มีชีวิตบั้นปลายที่สงบสุข ส่วนเจ้าก็จะมีบ่าวรับใช้คอยดูแลถึงสามคนห้าคน เสื้อผ้าและอาหารการกินล้วนไม่ต้องเป็นกังวล ท่านพี่รักใคร่ชอบพอเจ้า ข้าเองก็เป็นคนมีเหตุผล เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีกหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ขบกรามแน่น คิดใคร่ครวญแล้วตอบกลับอย่างระวังตัว “ดวงตาของข้าทั้งคู่มืดบอด มองไม่เห็นสิ่งใดอีก ข้าจึงตัดสินใจว่าชาตินี้จะไม่แต่งงานเด็ดขาด ขออยู่เป็นโสดไปจนตายดีกว่า”

“แม่นางจวีคงพูดเพราะความโกรธ” ติงเหยียนเซียงใช้มือเย็นเฉียบของนางกุมมือจวีมู่เอ๋อร์ข้างที่จับไม้เท้าเอาไว้ “ยิ่งสองตาไม่สะดวกยิ่งต้องมีคนคอยดูแลมิใช่หรือ หากแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลอวิ๋นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใดแล้ว”

“ความหวังดีของฮูหยินข้ารับรู้ด้วยใจ แต่ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว…”

คราวนี้นางพูดยังไม่ทันจบก็ถูกติงเหยียนเซียงขัดขึ้นเสียก่อน “การตัดสินใจสามารถเปลี่ยนแปลงได้” คำพูดนี้ฟังดูแข็งกระด้างอยู่บ้าง เหมือนหน้ากากความอ่อนโยนของนางจะขาดเป็นรูแล้ว แม้ว่าน้ำเสียงจะเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย แต่จวีมู่เอ๋อร์ยังคงรับรู้ได้

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบ นางพยายามคิดว่าควรจะรับมืออย่างไรดี ติงเหยียนเซียงกลับพูดขึ้นอีก “แม่นางจวี เจ้าคิดให้ดีเถอะ ดวงตาเจ้าไม่สะดวกเช่นนี้ไม่มีคนคอยดูแล การใช้ชีวิตคงยากลำบาก หากออกจากบ้านไปทำธุระหรือเดินเล่นแล้วพบกับคนเลวเข้าเจ้าจะทำอย่างไร ตอนนี้ผู้เฒ่าจวีก็มีอายุมากแล้ว ทั้งต้องดูแลเจ้าและทำการค้าเลี้ยงครอบครัวไปด้วย เจ้าต้องคิดแทนเขาบ้างสิ หากผู้เฒ่าจวีเหน็ดเหนื่อยมากเกินไปจนเกิดอะไรขึ้น…เจ้าคงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินแต่ละคำแต่ละประโยคของติงเหยียนเซียงแล้วก็รู้สึกว่านิ้วมือของตัวเองเย็นตามไปด้วย

นางเข้าใจแล้ว

“เป็นความประสงค์ของใต้เท้าอวิ๋นอย่างนั้นหรือ”

“ท่านพี่ไม่รู้เรื่องที่ข้ามาในวันนี้ และไม่รู้ว่าข้าจะมาเกลี้ยกล่อมเจ้า เขาตกลงกับข้าว่าหากข้าไม่ยินยอมด้วย เขาก็จะไม่แต่งงานอีก เขาดีกับข้าถึงเพียงนี้ข้าจึงไม่อยากทำให้เขาเสียใจ ดังนั้นข้าจึงมาหาเจ้า ถ้าเจ้าตอบตกลงแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลอวิ๋นเขาต้องพึงพอใจมากอย่างแน่นอน หากเขามีความสุขข้าก็ยินดีไปด้วย แม่นางจวี สามีข้าเป็นรองเสนาบดีกรมอาญา ท่านพ่อข้าเป็นเสนาบดีกรมอาญา ยังมีท่านตา ท่านลุง ท่านน้า ท่านอาของข้าซึ่งล้วนเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก หากมีข้าคอยสนับสนุน ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องเจ้ากับพ่อเจ้าแม้เพียงปลายเล็บ ร้านเหล้าของสกุลเจ้าก็จะสามารถทำการค้าได้อย่างมั่นคง เจ้าดูสิ นี่มิใช่เป็นเรื่องที่ดีมากหรอกหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์หลับตาลง พยายามทำให้ตัวเองคลายกังวล นางต้องคิดให้ดีว่าควรทำอย่างไร

อวิ๋นชิงเสียนเพียงคนเดียวก็รับมือได้ยากแล้ว ตอนนี้ยังมีอวิ๋นฮูหยินที่ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนมาพูดข่มขู่อีก

จวีมู่เอ๋อร์จับความคิดที่แท้จริงของติงเหยียนเซียงได้ไม่ชัดเจนนัก นางรักสามีมากแต่กลับมาขอร้องให้หญิงอื่นแต่งเข้าบ้านเพื่อไปใช้สามีร่วมกัน สำหรับจวีมู่เอ๋อร์แล้ว หญิงที่มีความคิดเช่นนี้น่ากลัวยิ่งกว่าชายที่ขอแต่งงานแล้วถูกปฏิเสธเช่นอวิ๋นชิงเสียนเสียอีก

ติงเหยียนเซียงเห็นจวีมู่เอ๋อร์ไม่พูดอะไรอยู่นานและมีสีหน้าซีดขาวจึงยิ้มออกมา คิดว่าตนเกลี้ยกล่อมสำเร็จแล้ว

นางไม่ยอมให้จวีมู่เอ๋อร์คิดมาก จึงพูดเสียงหวานขึ้นอีก “แม่นางจวีต้องรู้ความหนักเบาของเรื่องนี้ ได้แต่งเข้าคฤหาสน์สกุลอวิ๋นย่อมเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว ข้าจะกลับไปเตรียมการ รอฉลองปีใหม่เสร็จก็เลือกวันมงคลแล้วจะส่งคนมาจัดการเรื่องพิธีการให้”

จวีมู่เอ๋อร์ใจเต้นตุบๆ อวิ๋นฮูหยินผู้นี้คิดว่านางยินยอมแล้วอย่างนั้นหรือ

“ฮูหยิน…” จวีมู่เอ๋อร์ส่งเสียง แต่กลับถูกติงเหยียนเซียงพูดขัด

“ตกลงตามนี้ แม่นางจวีอดใจรออยู่ที่บ้านก็พอ” นางพูดพลางลุกขึ้นเรียกสาวใช้ คิดจะจากไปทันที

จวีมู่เอ๋อร์รีบลุกขึ้นยืน พูดเสียงดังว่า “ฮูหยิน ข้าไม่แต่งแน่นอน”

“เช่นนั้นหรือ” ติงเหยียนเซียงหัวเราะ สาวใช้ผู้ติดตามของนางผลักประตูเดินเข้ามา ด้านหลังมีจวีเซิ่งเดินตาม นางไม่สนใจจวีมู่เอ๋อร์ หันหน้าไปพูดกับจวีเซิ่งว่า “ผู้เฒ่าจวี หมู่นี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว ท่านควรจะสวมเสื้อผ้าให้หนาสักนิด จะได้ไม่ล้มป่วยไป จวีมู่เอ๋อร์มีพ่อเพียงคนเดียว ท่านต้องดูแลสุขภาพให้ดี”

ผู้เฒ่าจวีไม่เข้าใจ เขาที่ยืนอยู่ในสวนไม่ได้ยินว่าพวกนางสองคนคุยอะไรกันบ้าง คิดไม่ถึงว่าพอเข้ามาก็ได้ยินคำทักทายถามสารทุกข์สุกดิบของติงเหยียนเซียงจึงรีบตอบกลับอย่างมีมารยาทแล้วหันไปมองหน้าบุตรสาว แต่กลับไม่พบสิ่งใดผิดปกติ

ติงเหยียนเซียงก็มองจวีมู่เอ๋อร์เช่นกัน นางรู้สึกพอใจกับสีหน้าท่าทางนิ่งเงียบของจวีมู่เอ๋อร์จึงกล่าวอำลาด้วยเสียงอ่อนหวานแล้วพาสาวใช้เดินจากไป

รอจนติงเหยียนเซียงจากไป ผู้เฒ่าจวีก็รีบถามบุตรสาวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จวีมู่เอ๋อร์บอกปัดไปว่าไม่มีอะไร เพียงแค่ในเมืองมีข่าวลือไม่น่าฟัง ติงเหยียนเซียงจึงมาเยี่ยมเยือนเท่านั้น ผู้เฒ่าจวีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

 

นับจากนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็ขังตัวเองอยู่ในห้องพิณ บรรเลงเพลงพิณไม่หยุดถึงสามวัน

ผู้เฒ่าจวีเริ่มรู้สึกเป็นห่วง ตอนนั้นบุตรสาวที่เพิ่งกลับมาจากการไปฟังพิณก่อนการประหารของเทพพิณซือป๋ออินก็บรรเลงเพลงพิณอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้เหมือนกัน หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาตอนนี้บุตรสาวก็เป็นเช่นนี้อีก จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่

หลายวันต่อมาในเวลาเที่ยงก็มีเด็กในร้านพิณเซียนอินคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งมาหาจวีมู่เอ๋อร์ บอกว่าที่ร้านได้รับการติดต่อค้าขายครั้งใหญ่ ให้ทำพิณจำนวนหนึ่งนำออกไปขายที่นอกเมือง และเพราะเป็นช่วงเวลาสิ้นปี รถม้าขนของจึงจับจองได้ยาก จำเป็นต้องจัดส่งพิณออกไปตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้นเท่านั้น แต่พิณที่สั่งในครั้งนี้มีจำนวนมากเกินไป ในร้านจึงมีคนเทียบเสียงสายพิณไม่เพียงพอ หลงจู๊ร้อนใจอยากจะขอให้จวีมู่เอ๋อร์ไปช่วยเหลือ

คนในร้านพิณเซียนอินนั้นสนิทกับคนในบ้านของจวีมู่เอ๋อร์ดี นางเองก็เคยไปช่วยงานบ่อยครั้ง ดังนั้นเมื่อได้ยินว่ามีเรื่องร้อนใจเช่นนี้นางจึงรับปากในทันที

ผู้เฒ่าจวียังไม่วางใจจึงตามบุตรสาวไปด้วย

งานนี้ใช้เวลาครึ่งวัน เฉินอิ่นเถ้าแก่ร้านพิณเซียนอินหาอาหารมาเลี้ยงคนที่เขาเชิญมาช่วยงาน

ผู้เฒ่าจวีดูแลบุตรสาวของตนกินอาหารจนเสร็จ เฉินอิ่นก็เข้ามาขอร้องให้จวีมู่เอ๋อร์อยู่ช่วยเหลือที่ร้านในคืนนี้เพราะเขาต้องเร่งส่งพิณให้ครบตามจำนวน แล้วเขาจะจ่ายเงินค่าจ้างให้สามเท่า หากต้องการอยู่พักในเมือง ค่าห้องเขาก็จะเป็นผู้รับผิดชอบเอง

ผู้เฒ่าจวีเห็นคนที่รู้จักคุ้นเคยกันมีเรื่องร้อนใจ เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร จึงบอกกล่าวกับจวีมู่เอ๋อร์แล้วไปจัดการจองห้องพักสองห้องในโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลที่อยู่ใกล้ร้านพิณที่สุด คิดไว้ว่าคืนนี้หากทำงานเสร็จแล้ว เขากับบุตรสาวจะเข้าไปพักที่นั่น

แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อกลับถึงร้านพิณ เพื่อนบ้านกลับรีบร้อนมาบอกข่าวว่าเด็กช่วยงานในร้านเหล้าทั้งสองคนท้องเสียอย่างหนัก ตอนนี้ทั้งอาเจียนทั้งถ่ายท้องจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ได้เชิญท่านหมอไปตรวจดูแล้ว แต่พวกเขาทั้งสองคนอาการหนักมาก ในบ้านก็ไม่มีใครอื่นอีก ดังนั้นจึงรีบมาส่งข่าวให้ผู้เฒ่าจวีรู้

เมื่อจวีเซิ่งได้ฟังก็ตกใจ เด็กหนุ่มสองคนนั้นติดตามเขามาหลายปี กินอยู่ด้วยกัน เปรียบเสมือนเป็นคนในครอบครัว พวกเขาล้มป่วยเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้เฒ่าจวีรู้สึกร้อนใจ

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเรื่องนี้ก็รีบบอกให้ผู้เป็นพ่อกลับไป ส่วนเฉินอิ่นก็กล่าวว่าขอให้ผู้เฒ่าจวีสบายใจ ตนจะดูแลจวีมู่เอ๋อร์ให้ดี รอจนทำงานเสร็จแล้วจะให้คนไปส่งนางที่โรงเตี๊ยม

เฉินอิ่นเห็นจวีมู่เอ๋อร์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจวีเซิ่งจึงเชื่อมั่นในตัวเขา เมื่อพูดกำชับจวีมู่เอ๋อร์จบก็หันไปบอกเฉินอิ่นว่าอย่าให้บุตรสาวของตนเหน็ดเหนื่อยมากนักแล้วจึงรีบร้อนกลับบ้านไป

จวีมู่เอ๋อร์ยุ่งอยู่กับงานจนดึก นางสุขภาพไม่ค่อยดี มีนิสัยนอนเร็วมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้เฉินอิ่นก็รู้ดี เมื่อเขาเห็นว่างานตรงหน้าเหลือไม่มากแล้ว จึงใช้ให้เด็กช่วยงานในร้านคนหนึ่งไปส่งจวีมู่เอ๋อร์ที่โรงเตี๊ยม

โรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลห่างจากร้านพิณเซียนอินเพียงหนึ่งช่วงถนน ตอนนี้ดึกมากแล้ว โถงในโรงเตี๊ยมจึงไม่มีคน เสี่ยวเอ้อร์อ้าปากหาวเดินนำเด็กช่วยงานร้านพิณกับจวีมู่เอ๋อร์ไปที่ห้องพักชั้นสองของอาคารด้านหลัง เด็กช่วยงานเดินเข้าไปในห้องก่อน มองซ้ายขวาแล้วบอกตำแหน่งการจัดวางของในห้องแก่จวีมู่เอ๋อร์ จากนั้นก็พานางไปคลำดู สุดท้ายเมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยลาถอยออกจากห้องไป

จวีมู่เอ๋อร์ปิดประตูอย่างแน่นหนาจับคลำสิ่งของทุกชิ้นในห้องเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง จากนั้นจึงนั่งลงคิดจะเทน้ำมาดื่มสักถ้วย

น้ำในกาเย็นแล้ว ตกดึกอากาศหนาว จวีมู่เอ๋อร์จึงอยากดื่มน้ำอุ่นสักนิด นางเปิดประตูจะเรียกเสี่ยวเอ้อร์ แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว การร้องเรียกเสียงดังอาจจะรบกวนผู้อื่นที่กำลังพักผ่อนได้ ดังนั้นนางจึงหยิบไม้เท้า คิดจะลงบันไดไปขอน้ำดื่มด้วยตัวเอง

ชั้นสองดับไฟหมดแล้ว ระเบียงทางเดินจึงมืดสนิทไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย

จวีมู่เอ๋อร์ก้าวเดินช้าๆ ทันใดนั้นประตูห้องด้านข้างก็เปิดออก มีเสียงชายคนหนึ่งตะโกนว่า “ช่วย” แต่พูดไปได้เพียงครึ่งเสียงก็ถูกอุดปากไว้

จวีมู่เอ๋อร์หันหน้าไปตามทางของเสียง แน่นอนว่านางมองอะไรไม่เห็น แต่นางได้ยินเสียงลมหายใจของคนที่ถูกอุดปากดิ้นรนขัดขืน และเสียงนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว

จวีมู่เอ๋อร์ตกใจ นางหมุนตัววิ่งหนีพลางตะโกนว่า “ช่วยด้วย” แต่พูดได้เพียงแค่คำว่า ‘ช่วย’ ก็ถูกกระชากผม ยังไม่ทันได้อ้าปากร้อง มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ปิดปากนางเอาไว้

จวีมู่เอ๋อร์ขัดขืนเต็มกำลัง นางใช้เล็บข่วนและตวัดไม้เท้าไปด้านหลังอย่างแรง คนผู้นั้นสบถหนึ่งทีแล้วทนต่อความเจ็บปวด ลากตัวนางเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

จวีมู่เอ๋อร์ได้กลิ่นคาวเลือด นางหวาดกลัวอย่างมาก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดประตูแล้วนางก็ถูกเหวี่ยงจนตัวลอยเคว้งก่อนตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง

จวีมู่เอ๋อร์ไม่สนใจความเจ็บปวด พอปากขยับพูดได้นางก็รีบเอ่ย “ข้าเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร อย่าฆ่าข้าเลยนะ”

นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร นางไม่รู้ว่าเมื่อครู่ผู้ที่อยากจะตะโกนว่า ‘ช่วยด้วย’ คนนั้นจะบาดเจ็บหรือตายไปแล้วหรือไม่ แต่นางรู้ว่าคนร้ายคนนี้คิดว่านางเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ และในฐานะที่เป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์เกรงว่าสุดท้ายคงหนีความตายไม่พ้น

ดังนั้นนางจึงแสดงตนว่าตาบอดตั้งแต่แรก หวังให้คนร้ายคนนี้ยังคงมีความเมตตาอยู่บ้าง

จู่ๆ นางก็รู้สึกว่ามีลมหายใจอยู่ใกล้ๆ ใบหน้า คิดว่าคนร้ายคงกำลังตรวจสอบว่านางตาบอดจริงหรือไม่ นางยันพื้นขยับตัวถอยไปทางด้านหลัง พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “อย่าฆ่าข้าเลยนะ ข้ามองไม่เห็นอะไรจริงๆ ข้าถือไม้เท้าเพราะข้าเป็นคนตาบอด”

คนผู้นั้นไม่เคลื่อนไหว จวีมู่เอ๋อร์คิดว่าเขาคงกำลังลังเล แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังปัง นางรู้สึกเจ็บที่หัวอย่างแรง

จากนั้นก็หมดสติไป

 

วันนี้หลงเอ้อร์ปวดหัวมาก

เพราะแม่นมอวี๋ว่างงานจนอยากจะคุยกับเขา

แน่นอนว่าช่วงเวลาก่อนปีใหม่หลงเอ้อร์มีงานมากมาย แม่นมอวี๋รู้ดีว่าไม่ควรรบกวน นางจึงมาถามเพียงว่ารูปหญิงสาวที่ให้ไปในครั้งก่อนนั้นนายท่านรองได้ดูแล้วหรือยัง

หลงเอ้อร์จำไม่ได้ว่าภาพวาดกองใหญ่นั้นให้หลี่เคอนำไปโยนไว้ที่ใด ดังนั้นจึงแค่ตอบผ่านๆ ว่า “อืม”

แม่นมอวี๋รีบซัก “มีคนที่ต้องตาต้องใจบ้างหรือไม่”

แม่นมอวี๋รู้ว่าช่วงปีใหม่เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการแวะไปเยี่ยมเยือน หากนายท่านรองถูกใจหญิงสาวคนใด นางก็จะได้เตรียมของขวัญแล้วเดินทางไปหาพ่อบ้านของอีกฝ่ายเพื่อลองสืบความดูก่อน จากนั้นค่อยส่งแม่สื่อไปทาบทามถึงบ้าน

หลงเอ้อร์ตอบทันทีว่า “ไม่มี”

แม่นมอวี๋จึงถามต่อ “เช่นนั้นนายท่านรองมีคนที่ชอบแล้วหรือยังเจ้าคะ”

หากจะพูดถึงมาตรฐานการเลือกภรรยาของหลงเอ้อร์ แม่นมอวี๋ถามมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง และทุกครั้งหลงเอ้อร์จะตอบเพียงผ่านๆ คุณสมบัติที่อ้างได้ล้วนพูดไปหมดแล้ว ดังนั้นแม่นมอวี๋ยิ่งคัดคนยิ่งมีคุณสมบัติที่ต้องพิจารณามากขึ้นไปเรื่อยๆ

หลงเอ้อร์รู้ดีว่าเรื่องนี้ต้องคิดให้ดีก่อนจะพูด หากไม่รอบคอบถูกแม่นมอวี๋จับพิรุธอะไรได้และยัดเยียดผู้หญิงมาให้เขา เช่นนั้นก็คงจะจัดการได้ยากแล้ว

หลงเอ้อร์คิดทบทวน หากบอกว่าต้องเป็นคนดี แม่นมอวี๋ก็จะสามารถเอ่ยรายชื่อออกมาได้หลายคน หากบอกว่าต้องนิสัยดี ก็ย่อมไม่ขาดคน หากบอกว่าต้องมีความสามารถ แม่นมอวี๋ก็จะบอกว่าทุกคนไม่เลวอย่างแน่นอน หากบอกว่าดูเรื่องหน้าตาเป็นหลัก อืม หากไม่ใช่หญิงสาวเหล่านั้นไม่งาม แม่นมอวี๋ก็คงจะไม่มั่นใจถึงเพียงนี้

หลงเอ้อร์ปวดหัว เฮ้อ คุณสมบัติที่เขาเคยพูดไว้เกรงว่าครั้งนี้แม่นมอวี๋คงสามารถโต้กลับมาได้จนหมดกระมัง

หลงเอ้อร์ไร้หนทาง หันหน้าไปคิดใคร่ครวญ พอมองออกไปเห็นไผ่เขียวหลายต้นนอกหน้าต่าง เขาก็เอ่ยขึ้นทันใด “แม่นมวุ่นวายจัดการทุกอย่างเพื่อข้า ต้องลำบากท่านแล้วจริงๆ แต่หากข้าจะแต่งภรรยาต้องแต่งกับหญิงที่มีความพิเศษเท่านั้น”

“พิเศษ?” แม่นมอวี๋อึ้งไป “ความพิเศษที่นายท่านรองพูดหมายถึงสิ่งใดกัน รูปโฉมงามเป็นพิเศษ มีความดีเป็นพิเศษ หรือมีความสามารถพิเศษ…”

หลงเอ้อร์ยกมือขึ้นขัดคำพูดของนางแล้วตอบว่า “แม่นม ความพิเศษที่ข้าพูดถึงก็คือต้องพิเศษจนทำให้ทุกคนไม่สนใจรูปโฉม นิสัย หรือความสามารถของนาง”

แม่นมอวี๋นิ่งงัน คำตอบวกไปวนมาเช่นนี้…ตกลงความพิเศษที่นายท่านรองต้องการมันมีหน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่

แม่นมอวี๋รู้สึกงุนงงอย่างยิ่ง คำว่า ‘พิเศษ’ นี้หมายความว่าอย่างไรกัน

เมื่อเห็นท่าทางไม่เข้าใจของแม่นมอวี๋แล้วหลงเอ้อร์ก็ต้องอมยิ้ม ยิ่งเน้นน้ำเสียงให้หนักขึ้น “ข้าหลงเอ้อร์ จะแต่งงานกับหญิงสาวที่พิเศษมากๆ เท่านั้น”

แท้จริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าความพิเศษที่ตนพูดถึงเป็นอย่างไร แค่สามารถใช้จัดการกับแม่นมอวี๋ได้ก็เพียงพอแล้ว

แม่นมอวี๋คิดไม่ออกจริงๆ ว่าหญิงสาวบ้านใดจึงจะมี ‘ความพิเศษ’ เช่นนี้ นางคิดจะไปสอบถามจากแม่สื่อที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงเพื่อให้สามารถรายงานต่อท่านพ่อท่านแม่ที่ล่วงลับไปแล้วของนายท่านรอง นางจะต้องหาหญิงสาวที่นายท่านรองพึงพอใจมาให้จงได้

หลงเอ้อร์ผ่านประตูนรกไปได้อีกครั้ง ในใจก็รู้สึกยินดียิ่งนัก แต่เขาอารมณ์ดีอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งวันก็มีเหตุเกิดขึ้นเสียแล้ว

ใกล้จะพ้นยามไฮ่* หลงเอ้อร์กำลังจะออกจากห้องหนังสือกลับไปพักผ่อนที่ห้อง คนใต้บัญชาคนหนึ่งก็รีบมารายงานว่าหลงจู๊หลี่ว์แห่งร้านน้ำชาเซิ่งหลงของคฤหาสน์สกุลหลงถูกจับตัวไว้ที่โรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลบนถนนซีโย่วเพราะโดนข้อหาสังหารจูฟู่เถ้าแก่ร้านน้ำชาเสียงฟู่ เขาถูกจับตัวได้ ณ จุดเกิดเหตุ ตอนนี้ถูกคุมตัวไปจวนว่าการแล้ว เรื่องชีวิตคนเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งยังมีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ ดังนั้นท่านเจ้าเมืองจึงเปิดโถงว่าการพิจารณาคดีในทันที

พอหลงเอ้อร์ได้ฟังก็รีบสั่งให้คนไปเตรียมม้าทันที

หลายปีมานี้เขาคิดอยากขยายกิจการค้าใบชา ถึงแม้ร้านน้ำชาเสียงฟู่ของจูฟู่นั้นจะเล็กและขาดทุนอยู่บ้าง แต่พื้นฐานทำเลที่ตั้งดีมาก หลงเอ้อร์จึงหมายตาเอาไว้ อยากซื้อกิจการมาเป็นของสกุลหลง และมอบเรื่องนี้ให้หลงจู๊หลี่ว์ไปจัดการ หลายวันมานี้ข่าวที่หลงจู๊หลี่ว์กลับมารายงานคือจูฟู่ยังคงลังเลใจอยู่ แต่ตัวหลงจู๊หลี่ว์มั่นใจว่าอีกไม่กี่วันเรื่องนี้จะต้องสำเร็จ คาดไม่ถึงว่าข่าวที่หลงเอ้อร์ได้รับในวันนี้จะกลายเป็นข่าวหลงจู๊หลี่ว์สังหารจูฟู่ตาย

หลงเอ้อร์สั่งการ หนึ่งคือให้ส่งคนไปสืบข่าวที่จวนว่าการ ดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร สองคือส่งคนไปบอกข่าวให้ทางบ้านของหลงจู๊หลี่ว์รู้และดูแลคนในบ้านสกุลหลี่ว์ให้ดี สามคือส่งคนไปตรวจสอบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องและคนที่เกี่ยวข้องกับจูฟู่

สั่งการเสร็จแล้ว หลงเอ้อร์ก็รีบควบม้านำคนล่วงหน้าไปตรวจดูที่โรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล

จะบอกว่าหลงจู๊หลี่ว์สังหารคน เขาไม่เชื่อ

หลงเอ้อร์มองคนออก หลงจู๊หลี่ว์เขียนบทความได้ดี สามารถแยกแยะชาได้แม้ท่าทางจะไม่เหมือนคนทำการค้า แต่หลงเอ้อร์ให้ความสำคัญกับนิสัยของเขาจึงให้เขาดูแลกิจการโรงน้ำชาเซิ่งหลงของสกุลหลง

หลงจู๊หลี่ว์ติดตามหลงเอ้อร์มาหลายปี เขาจิตใจดีมีเมตตาเป็นที่สุด กินอาหารเจ นับถือศาสนา ใจกว้างกับผู้คน การชิมชาต้องถือความมีเสน่ห์ การซื้อขายต้องใช้ความน่าเชื่อถือ หลงจู๊หลี่ว์ล้วนมีทั้งสองอย่าง ประกอบกับมีหลงเอ้อร์ที่มากด้วยไหวพริบคอยเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลังจนเป็นที่เล่าลือกันในหมู่ชาวเมืองว่าเหล่าเศรษฐีทรงอำนาจทั้งหลายกล่าวว่าแม้โรงน้ำชาของสกุลหลงจะไม่ได้มีชาดีแต่เพียงผู้เดียว แต่หากไปซื้อชากับหลงจู๊หลี่ว์ไม่เพียงไม่มีของคุณภาพต่ำปลอมปน ซ้ำยังซื้อแล้วดูดีมีระดับ สามารถเชิดหน้าชูตาได้อีกด้วย

ดังนั้นกิจการโรงน้ำชาของหลงจู๊หลี่ว์จึงโด่งดังมีชื่อเสียงไปทั่ว แต่เขากลับไม่เคยหยิ่งทะนงตนเลย ยังคงขยันและตั้งใจทำงานในหน้าที่ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้หลงเอ้อร์ชื่นชมมาโดยตลอด

ตอนนี้มีคนมาบอกว่าหลงจู๊หลี่ว์สังหารคน ความคิดแรกของหลงเอ้อร์ก็คือเรื่องนี้มีพิรุธน่าสงสัย

หลงเอ้อร์รีบรุดไปถึงโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล ตอนนี้หน้าประตูโรงเตี๊ยมมีคนจำนวนหนึ่งมามุงกันอยู่ คิดว่าเพราะมีคดีฆ่าคนตายเกิดขึ้นจึงทำให้ผู้คนตกใจและมารวมตัวพูดคุยกันที่นี่

หลงเอ้อร์ส่งสายตาให้คนใต้บัญชาไปสืบความทันที ส่วนตัวเองก็สะกิดม้าให้เดินไปข้างหน้า ตรวจดูทางซ้ายขวาอย่างละเอียดตั้งแต่หัวถนนจรดท้ายถนน และวนดูรอบโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลครั้งหนึ่ง ตอนนี้รอบข้างมีใครบ้าง สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เขาแอบจดจำไว้ในใจแล้ว

แม้ว่าในโรงเตี๊ยมจะเป็นจุดเกิดเหตุ แต่ข้างในมีคนจำนวนมาก และต่างก็ไม่ระวังว่าจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ แต่รอบนอกเป็นจุดที่ถูกมองข้ามมากที่สุด ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงสำรวจไปรอบๆ อย่างละเอียด แล้วจึงเข้าไปในโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล

ตอนนี้บนถนนซีโย่วและในโรงเตี๊ยมมีทหารของทางการถือโคมไฟคอยเฝ้าอยู่เต็มไปหมด ห้องพักบนชั้นสองของอาคารด้านหลังที่เป็นจุดเกิดเหตุมีทหารหลายนายยืนเฝ้าอย่างแน่นหนา และมีมือปราบที่กำลังค้นหาหลักฐานอยู่ภายในห้อง

หลงเอ้อร์มองดูอย่างละเอียด จากนั้นก็รอจนผู้ใต้บัญชาที่สั่งให้ผู้ใต้บัญชาของตนไปสืบข่าวกลับมารายงาน บอกว่าก่อนหน้านี้ท่านเจ้าเมืองชิวรั่วหมิงได้มาตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง ตอนนี้ศพและผู้ต้องสงสัยรวมถึงคนที่เกี่ยวข้องถูกพากลับไปที่จวนว่าการแล้ว

หลงเอ้อร์พยักหน้า เอ่ยกำชับอีกสองสามประโยคจึงสั่งให้อยู่สืบความต่อ ส่วนเขาออกจากโรงเตี๊ยมขึ้นม้าแล้วควบไปยังจวนว่าการทันที

แม้ว่าตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่โคมไฟภายในจวนว่าการยังคงสว่างไสว

หลี่เคอที่มาถึงก่อนได้สืบเรื่องราวไว้ก่อนแล้ว เมื่อเห็นหลงเอ้อร์มาถึง เขาก็รีบเข้าไปกระซิบรายงานอย่างรวดเร็ว “เถ้าแก่จูประสบเคราะห์ที่ห้องเทียนจื้อหมายเลขหกบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล ตรงนั้นยังมีหญิงสาวอีกคนที่ได้รับบาดเจ็บหมดสติอยู่ ตอนที่มีคนไปพบตัวหลงจู๊หลี่ว์ ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเลือด ถือมีดอยู่ในมือ และกำลังตรวจสอบลมหายใจหญิงสาวผู้นั้นอยู่ขอรับ”

หลงเอ้อร์พยักหน้าไม่พูดอะไร เพียงโบกมือให้แก่ทหารองครักษ์

ทหารองครักษ์รู้ว่าคนผู้นี้คือหลงเอ้อร์ผู้โด่งดัง ดังนั้นจึงมีคนเข้าไปรายงานตั้งแต่แรกแล้ว รอไม่นานก็มีคนออกมาเดินนำหลงเอ้อร์เข้าไปในโถงว่าการ

ในโถงว่าการมีทหารยืนเรียงเป็นสองแถวอย่างเป็นระเบียบ ท่านเจ้าเมืองชิวรั่วหมิงเป็นขุนนางที่ซื่อตรง ตอนนี้เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ ดวงตาเบิกกว้างเป็นประกายดูน่าเกรงขามไม่น้อย

เห็นหลงเอ้อร์เดินเข้าไป ชิวรั่วหมิงจึงสั่งให้คนยกเก้าอี้มาให้เขานั่ง ทั้งสองคนพูดทักทายกันสองสามประโยคแล้วจึงเข้าประเด็นหลัก ชิวรั่วหมิงย่อมรู้ถึงจุดประสงค์การมาในครั้งนี้ของหลงเอ้อร์ อีกทั้งเคยได้ยินกิตติศัพท์ความตระหนี่และคอยปกป้องคนของตนของหลงเอ้อร์ แต่หลี่ว์ซือเสียนถูกจับกุม ณ จุดเกิดเหตุ มีพยานบุคคลและอาวุธของกลางพร้อมสรรพ ชีวิตคนเป็นเรื่องใหญ่ เขาจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ตรวจสอบอย่างเข้มงวด และจัดการเรื่องอย่างเคร่งครัด

หลงเอ้อร์ย่อมเห็นพ้องด้วย “ใต้เท้ามีความเที่ยงตรงยุติธรรม หากตรวจสอบอย่างละเอียด จะต้องมีวิธีหาคนร้ายตัวจริงออกมาได้อย่างแน่นอน แม้หลี่ว์ซือเสียนจะเป็นหลงจู๊โรงน้ำชาของสกุลข้า แต่ถ้าเขาทำเรื่องเช่นนี้จริง ข้าก็จะไม่ปกป้องเด็ดขาด แต่หากเรื่องนี้มีข้อสงสัย ข้าก็จะช่วยเหลือใต้เท้าเพื่อหาคนร้ายตัวจริงอย่างเต็มที่”

คำพูดนี้ทำให้ชิวรั่วหมิงเม้มริมฝีปากแน่น

แท้จริงมือปราบตรวจสอบแล้วว่าระยะนี้หลี่ว์ซือเสียนกับผู้ตายจูฟู่ติดต่อกันบ่อยครั้งเพราะคฤหาสน์สกุลหลงต้องการจะซื้อกิจการของจูฟู่ผู้นี้ แต่จูฟู่ไม่ยอมตอบตกลงเสียที หากวิเคราะห์จากแรงจูงใจเช่นนี้ก็มีน้ำหนักเพียงพอ โดยหลักแล้วคดีนี้พิจารณาได้ง่ายและตัดสินได้ง่าย แต่ตอนนี้ท่านหลงเอ้อร์นั่งอยู่ด้านข้าง ชิวรั่วหมิงรู้ว่าต้องพิจารณาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งให้เขายอมรับทั้งกายและใจจึงจะสามารถจบเรื่องนี้ได้

ในตอนนี้เองมีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามากระซิบข้างหูชิวรั่วหมิง หลงเอ้อร์ฉวยโอกาสสำรวจคนภายในโถงว่าการ

หลี่ว์ซือเสียนคุกเข่าอยู่กลางโถง ร่างกายย้อมไปด้วยเลือด สีหน้าซีดขาว แต่สายตาที่มองหลงเอ้อร์ไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด “ท่านหลงเอ้อร์ ข้าน้อยไม่ได้ฆ่าเถ้าแก่จู ข้าน้อยไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายนั้นจริงๆ นะขอรับ”

หลงเอ้อร์พยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นการแสดงว่าตัวเขาจะไม่นิ่งดูดาย “สงบสติไว้ก่อน ใต้เท้าชิวเป็นคนมีความยุติธรรมและปราดเปรื่อง ในเมื่อเจ้าบริสุทธิ์ ใต้เท้าจะต้องสืบจนรู้ถึงความจริง คืนความเป็นธรรมให้แก่เจ้าแน่นอน”

หมวกใบใหญ่ที่ครอบลงมา* ทำให้ชิวรั่วหมิงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เม้มปาก เขาหันไปสั่งการทหารประจำจวนว่าการหลายประโยค ทหารนายนั้นรับคำสั่งแล้วถอยออกไป

หลงเอ้อร์มองไปยังด้านหลังของหลี่ว์ซือเสียน ตรงนั้นมีชายหนุ่มสี่คนยืนอยู่ หลี่เคอกระซิบข้างหูของหลงเอ้อร์ว่า “ชายอ้วนชุดสีฟ้ากับชายแก่ชุดสีเขียวนั้นเป็นคนช่วยงานของเถ้าแก่จู คนหนึ่งชื่ออาฝู อีกคนหนึ่งชื่อเจียงอิง ชายร่างผอมสูงคนนั้นเป็นแขกที่มาพักในโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลชื่อเหลียงผิง ส่วนชายในชุดเด็กช่วยงานด้านหลังก็คือซานจื่อเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยม พวกเขาเป็นสองคนแรกที่พบหลงจู๊หลี่ว์”

ทันใดนั้นทหารสองนายกับผู้พลิกศพคนหนึ่งก็ยกศพเข้ามา เมื่อนำผ้าคลุมออกก็เห็นว่าเป็นจูฟู่

ผู้พลิกศพรายงานผล “เรียนใต้เท้า ข้าน้อยได้ตรวจสอบสาเหตุการตายของเถ้าแก่จูแล้ว เขาตายเพราะถูกมีดปลายแหลมแทงเข้าที่ด้านหลังสองแผลขอรับ”

ผู้พลิกศพกำลังพูดอยู่ ทหารก็นำตัวหญิงคนหนึ่งเข้ามา พอนางมาถึงก็โผไปหาร่างของจูฟู่ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง “ท่านพี่…ท่านพี่ ท่านตายอย่างน่าอนาถนัก”

ชิวรั่วหมิงใช้ค้อนไม้เคาะโต๊ะ เอ่ยถามเสียงดัง “เจ้าคือจูเฉินซื่อ** ใช่หรือไม่”

ภรรยาของจูฟู่ตอบรับทั้งน้ำตา ชิวรั่วหมิงจึงพูดต่อ “เจ้าไปยืนรอด้านข้างก่อน ข้าจะสืบหาความจริงให้กระจ่าง คืนความยุติธรรมให้แก่สามีของเจ้า”

จูเฉินซื่อร้องไห้ไม่หยุด นางยกมือขึ้นปาดน้ำตา โขกหัวสามที แล้วปล่อยให้ทหารประคองไปยืนด้านข้าง

ทหารนายหนึ่งส่งมีดให้ชิวรั่วหมิง “ใต้เท้า สิ่งนี้พบในจุดเกิดเหตุ ตอนนั้นมีดเล่มนี้อยู่ในมือของหลี่ว์ซือเสียน ผู้พลิกศพตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่าเป็นอาวุธที่ใช้ฆ่าผู้ตายขอรับ”

ชิวรั่วหมิงหยิบมีดขึ้นมา พยักหน้าเป็นสัญญาณว่ารับรู้ แท้จริงก่อนที่จะเปิดว่าความเขาก็ได้ตรวจสอบศพและมีดอย่างละเอียดแล้ว จึงเริ่มซักถาม “หลี่ว์ซือเสียน เจ้ายอมรับผิดหรือไม่”

หลี่ว์ซือเสียนโขกหัว “ใต้เท้า ข้าน้อยไม่ได้ฆ่าคน ข้าน้อยถูกใส่ความ วันนี้ตอนกลางวันข้าน้อยนัดพบกับเถ้าแก่จูที่โรงสุราต๋าเซิงบนถนนซีโย่ว แต่เมื่อผ่านยามเว่ย*** ไปสักครู่ พวกเราก็แยกย้ายกันกลับเรือน ตกกลางคืน ข้าน้อยกำลังจุดธูปสวดมนต์อยู่ก็มีคนช่วยงานของเถ้าแก่จูมาตามหาเถ้าแก่จู บอกว่าหลังจากนายของพวกเขาออกมาพบข้าน้อยแล้วก็ไม่ได้กลับไปที่เรือน ข้าน้อยจึงบอกช่วงเวลาที่ข้าน้อยพบกับเถ้าแก่จูให้เขารู้ และรับปากว่าจะให้คนออกไปช่วยตามหา”

เขาพูดถึงตรงนี้ก็หันหน้าไปมองอาฝูกับเจียงอิง สองคนนั้นพยักหน้าพูดว่าเรื่องเป็นจริงดังที่กล่าว

หลี่ว์ซือเสียนจึงกล่าวต่อ “ข้าน้อยไปตามหาหลายที่ที่เถ้าแก่จูมักจะไปแต่ก็ไม่พบ ดังนั้นจึงไปที่โรงสุราต๋าเซิงที่พวกเราไปดื่มเหล้าด้วยกันในวันนี้ เสี่ยวเอ้อร์ที่นั่นบอกว่าตอนพลบค่ำยังเห็นเถ้าแก่จูอยู่ เขายังทักทายและถามเถ้าแก่จูว่าจะเข้ามาดื่มเหล้าในร้านสักถ้วยหรือไม่ แต่ดูเหมือนเถ้าแก่จูจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนักจึงไม่สนใจเขาและก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นเห็นเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลดึงตัวเถ้าแก่จูเอาไว้ จากนั้นเถ้าแก่จูก็หยุดเดินแล้วเข้าไปในโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล เสี่ยวเอ้อร์ของโรงสุราต๋าเซิงเห็นว่าถูกแย่งลูกค้าไป เขารู้สึกไม่สบอารมณ์มาก ดังนั้นจึงจำเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ ข้าน้อยได้ฟังจึงไปที่โรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล เข้าไปถามเสี่ยวเอ้อร์ที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ เขาอ้าปากหาวแล้วตอบว่าเถ้าแก่จูพักอยู่ในห้องเทียนจื้อหมายเลขหกบนชั้นสอง แต่เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ลุกขึ้น ข้าน้อยจึงไปที่ห้องพักของเถ้าแก่จูด้วยตัวเอง”

ชิวรั่วหมิงเอ่ยถาม “เป็นเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ด้านหลังคนนี้ใช่หรือไม่”

หลี่ว์ซือเสียนหมุนตัวไปมองแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่ขอรับ เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นอายุมากกว่านี้สักหน่อย”

ซานจื่อรีบเอ่ยปาก “คืนนี้เป็นเวรของข้าน้อยกับต้าหู่ คนที่เขาพูดถึงคงจะเป็นต้าหู่ขอรับ ก่อนหน้านั้น แขกท่านนี้มาหาข้าน้อย” เขาชี้ไปยังเหลียงผิงที่อยู่ข้างกาย “บอกว่าหิว อยากจะกินอะไรสักหน่อย และบอกว่าโคมไฟตรงทางเดินชั้นสองดับ ข้าน้อยยื่นหน้าไปดูก็พบว่าเป็นความจริงดังนั้นจึงพาเขาไปเอาหมั่นโถวและกับแกล้มที่ห้องครัวก่อน จากนั้นก็ไปที่ห้องเก็บของค้นโคมไฟมาจุด พอพวกเรากลับไปที่ชั้นสองก็เห็นประตูห้องเทียนจื้อหมายเลขหกเปิดอยู่ มีคนสองคนนอนอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยเลือด ส่วนหลงจู๊หลี่ว์ถือมีดอยู่ในมือ กำลังตรวจสอบลมหายใจของหญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้น”

หลี่ว์ซือเสียนโขกหัว “ใต้เท้าโปรดตรวจสอบอย่างละเอียดด้วย ข้าน้อยเดินขึ้นไปบนชั้นสอง เห็นประตูห้องเทียนจื้อหมายเลขหกเปิดอยู่และมีเถ้าแก่จูกับแม่นางจวีนอนอยู่บนพื้น ใต้ร่างพวกเขาเต็มไปด้วยเลือด ข้าน้อยตกใจจึงรีบเข้าไปตรวจสอบลมหายใจ พบว่าเถ้าแก่จูหมดลมไปแล้ว ส่วนแม่นางจวีมีมีดอยู่ในมือ ข้าน้อยจึงหยิบขึ้นมาดู แล้วตรวจสอบลมหายใจของนางพบว่านางยังมีลมหายใจอยู่ ข้าน้อยกำลังจะร้องเรียกนาง คนทั้งสองก็มาถึง ข้าน้อยยังไม่ทันได้ทำอะไรพวกเขาก็ตะโกนขึ้นมาก่อน ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าข้าน้อยเป็นคนร้ายและนำตัวมาที่นี่ขอรับ”

หลงเอ้อร์ได้ยินคำว่า ‘แม่นางจวี’ ใจก็กระตุก…คงไม่ใช่แม่นางจวีที่เขารู้จักคนนั้นกระมัง

ชิวรั่วหมิงเอ่ยถาม “เจ้าจะบอกว่าเดิมทีมีดเล่มนั้นอยู่ในมือของแม่นางผู้นั้นหรือ”

“ขอรับ” หลี่ว์ซือเสียนตอบ “แต่ข้าน้อยรู้จักแม่นางจวี นางร่างกายอ่อนแอและไม่เป็นวรยุทธ์ อีกทั้งสองตายังมองไม่เห็น นางย่อมไม่สามารถฆ่าคนได้ และข้าน้อยไม่เคยได้ยินว่านางรู้จักกับเถ้าแก่จูนะขอรับ”

หลงเอ้อร์ได้ฟังถึงตรงนี้ก็มั่นใจว่าคนที่นอนหมดสติอยู่ในกองเลือดและถือมีดอยู่ในมือคนนั้นคือจวีมู่เอ๋อร์จริงๆ

จวีมู่เอ๋อร์ที่ชอบยั่วโมโหทำให้เขาโกรธเสมอคนนั้น

หลี่ว์ซือเสียนยังคงพูดต่อ “เพราะสองคนนี้ล้วนเป็นคนที่ข้าน้อยรู้จัก ประกอบกับเรื่องที่แม่นางจวีถือมีดในมือดูมีพิรุธ ข้าน้อยจึงหยิบมีดขึ้นมาดู แต่ข้าน้อยไม่ได้ฆ่าคนและทำร้ายแม่นางจวีแน่นอนขอรับ”

ชิวรั่วหมิงจ้องหน้าหลี่ว์ซือเสียนอยู่สักครู่ แล้วหันไปถามทหาร “หญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บหมดสติฟื้นหรือยัง หากไม่เป็นอะไรแล้วก็ให้เบิกตัวนางเข้ามา”

ทหารรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ชิวรั่วหมิงหันมาถามซานจื่อเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลอีกครั้ง “ตอนที่จูฟู่เข้าพักในโรงเตี๊ยม สถานการณ์เป็นอย่างไร มีแขกมาขอพบเขาหรือไม่”

ซานจื่อตอบว่า “ตอนที่เถ้าแก่จูเดินผ่านหน้าโรงเตี๊ยม ข้าน้อยกำลังเรียกแขกอยู่ ดูแล้วเถ้าแก่จูอารมณ์ไม่ดีมาก เมื่อเข้าไปในโรงเตี๊ยมก็ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่ดื่มเหล้าเพียงอย่างเดียว พอเขาเริ่มเมาข้าน้อยก็ประคองเขาเข้าห้องพัก ปรนนิบัติให้เขานอน หลังจากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก และไม่มีคนมาขอพบเขาขอรับ”

ชิวรั่วหมิงได้ฟังก็พยักหน้า ถามอาฝูกับเจียงอิงคนช่วยงานของจูฟู่ว่าปกติผู้เป็นนายของพวกเขามีความแค้นกับผู้ใดหรือไม่ สองคนนั้นบอกว่าจูฟู่เป็นคนซื่อ ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด รักลึกซึ้งต่อภรรยาจูเฉินซื่อมาก ไม่เคยเห็นพวกเขาทะเลาะกัน ระยะนี้มีเพียงเรื่องจะขายหรือไม่ขายร้านน้ำชาที่ทำให้จูฟู่วุ่นวายใจ ส่วนเรื่องอื่นไม่เคยได้ยินเขาบ่นถึงมาก่อน

จูเฉินซื่อที่ยืนเช็ดน้ำตาอยู่ด้านข้างพูดทั้งน้ำตาว่าสามีของนางเป็นคนซื่อสัตย์เพียงใด ร้านน้ำชาเป็นเหมือนชีวิตของสกุลเขา เขาจึงไม่ยอมขาย ทำให้ทะเลาะกับหลี่ว์ซือเสียนและถูกหลี่ว์ซือเสียนลงมือสังหาร นางร้องไห้พลางคุกเข่าขอให้ชิวรั่วหมิงให้ความเป็นธรรมแก่สามีนาง

ขณะที่นางกำลังร้องไห้ฟูมฟาย ทหารนายหนึ่งก็ประคองจวีมู่เอ๋อร์เข้ามา

เสื้อผ้าบนร่างของจวีมู่เอ๋อร์เปื้อนเลือดเต็มไปหมด บนหัวมีบาดแผล ผ้าที่ปิดแผลเอาไว้มีรอยเลือดซึมออกมา หลงเอ้อร์มองสำรวจนางอย่างละเอียด สีหน้าของนางซีดขาว ท่าทางเหมือนคนป่วยไข้และดูเหมือนจะผอมลงไปกว่าเดิม

หลงเอ้อร์เห็นนางเป็นเช่นนี้ กลับรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

ชิวรั่วหมิงเอ่ยถามเสียงดัง “เจ้าคือจวีมู่เอ๋อร์ใช่หรือไม่”

“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยคือจวีมู่เอ๋อร์” เสียงของนางบางเบา ฟังดูไร้เรี่ยวแรง หลงเอ้อร์ฟังแล้วก็คิดได้ว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยินเสียงของนางมานานมากแล้ว ตอนที่นางแข็งแรงน้ำเสียงจะไพเราะกว่านี้มาก

“จวีมู่เอ๋อร์ ที่นี่คือโถงจวนว่าการ ข้ากำลังพิจารณาคดีเรื่องที่จูฟู่ถูกฆ่าตายในโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล เจ้าลองเล่ามาสิว่าเหตุใดจึงไปอยู่ในที่เกิดเหตุได้”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องที่ร้านพิณขอให้นางมาช่วยงาน ตอนทำงานเสร็จก็ดึกมากแล้ว ดังนั้นจึงจองโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักหนึ่งคืน

ชิวรั่วหมิงเรียกทหารนายหนึ่งให้ไปเชิญคนของร้านพิณเซียนอินมาสอบถามความ พิสูจน์ว่าที่จวีมู่เอ๋อร์เล่ามาเป็นความจริงหรือไม่

ทหารรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ชิวรั่วหมิงถามจวีมู่เอ๋อร์ว่ารู้จักจูฟู่หรือไม่ นางตอบว่าไม่รู้จัก เขายังถามอีกว่ารู้จักหลี่ว์ซือเสียนหรือไม่ คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าบอกว่ารู้จัก

ชิวรั่วหมิงนิ่งไปสักครู่แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “จวีมู่เอ๋อร์ หลี่ว์ซือเสียนเป็นคนแรกที่พบเจ้าหลังจากเกิดเหตุ เขาบอกว่าเจ้าถือมีดอยู่ในมือ นอนหมดสติอยู่ข้างกายจูฟู่ เจ้าลองพูดมาสิหากเจ้าไม่รู้จักจูฟู่ เหตุใดจึงเข้าไปในห้องของเขาและมีดที่เจ้าถืออยู่ในมือก็เป็นอาวุธที่ใช้สังหารจูฟู่ เรื่องนี้เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์ตกใจจนอ้าปากค้าง “ข้าถือมีดไว้?”

“ถูกต้อง”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า ขมวดคิ้วกัดริมฝีปากพยายามคิดย้อนกลับไป เมื่อนางไม่พูดชิวรั่วหมิงก็โมโหจนใช้ค้อนไม้ทุบโต๊ะ ตะโกนว่า “จวีมู่เอ๋อร์ ตอบคำถามของข้ามา!”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว เมื่อมองดูใบหน้างงงวยปนตกใจของจวีมู่เอ๋อร์แล้วก็ไม่พอใจน้ำเสียงของชิวรั่วหมิงเป็นอย่างมาก แค่นางตอบเจ้าช้าเพียงเล็กน้อย เจ้าก็ต้องตะคอกด้วยหรือ ช่างไม่มีความอดทนแม้แต่น้อย ยังจะมีหน้ามาพิจารณาคดีอะไรอีก

จวีมู่เอ๋อร์ถูกชิวรั่วหมิงตะโกนใส่จนตกใจ นางอ้าปากกำลังจะพูด แต่ชิวรั่วหมิงชิงพูดขัดขึ้นเสียก่อน “คงเพราะเจ้าตาบอดจึงเข้าผิดห้อง เดินเข้าไปในห้องของจูฟู่ ส่วนจูฟู่ที่เมามายไม่สามารถแยกแยะคนที่เข้ามาได้ก็กระทำลวนลามเจ้าจนเจ้าตื่นตระหนกและต่อสู้กับเขา เจ้าใช้มีดแทงเขาจนได้รับบาดเจ็บ ส่วนเขาก็ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะทุบหัวเจ้าจนเจ้าหมดสติ”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างแรง เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงสักนิด

จวีมู่เอ๋อร์เพิ่งจะกล่าวคำว่า “ใต้เท้า คนร้ายเป็นคนอื่น…” ยังไม่ทันจบ จูเฉินซื่อที่เชื่อคำวิเคราะห์ของชิวรั่วหมิงก็กระโจนเข้าไปผลักจวีมู่เอ๋อร์จนล้มลงแล้วทุบตีนาง

“ต้องเป็นหญิงสารเลวคนนี้แน่นอน ที่แท้เจ้าเป็นคนฆ่าสามีของข้า”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย เพียงพริบตานางก็ถูกตบตีไปหลายฝ่ามือ

หลงเอ้อร์โมโห เขาเพียงชี้นิ้ว หลี่เคอก็รีบพุ่งเข้าไปราวกับลูกธนู ดึงตัวจูเฉินซื่อออกมา หลงเอ้อร์ตะโกนเสียงดัง “เจ้ามาก่อความวุ่นวายอะไรกัน ไม่รู้จักดูสถานที่เสียบ้าง!”

ชิวรั่วหมิงมองหลงเอ้อร์อย่างไม่สบอารมณ์ คำพูดนี้เขาที่มีฐานะเป็นเจ้าเมืองสมควรเป็นผู้พูดมิใช่หรือ

หลงเอ้อร์สบตากลับอย่างไม่เกรงใจ รู้ดีว่าชิวรั่วหมิงมีใจอยากจะทดสอบว่าจวีมู่เอ๋อร์อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงจริงหรือไม่ แต่การทดสอบทำเพียงครู่เดียวก็พอแล้ว ชิวรั่วหมิงที่รออยู่นานไม่ยอมสั่งทหารให้ดึงตัวหญิงบ้าผู้นั้นออกมาเสียทีกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ รังแกหญิงตาบอดที่อ่อนแอเช่นนี้ เขาที่เป็นถึงขุนนางยังจะรู้สึกดีได้อยู่หรือ

ขณะนั้นทหารนายหนึ่งก็ประคองจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นมา นางพูดว่า “ใต้เท้า คนร้ายเป็นคนอื่น เดิมทีข้าน้อยคิดจะไปหาเสี่ยวเอ้อร์ที่โถงด้านหน้าเพื่อขอน้ำอุ่นมาดื่ม แต่ระหว่างที่เดินผ่านห้องเทียนจื้อหมายเลขหกนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตูและเสียงผู้ชายร้องตกใจ เขาตะโกนได้เพียงคำว่า ‘ช่วย’ ก็ถูกคนปิดปากดึงตัวกลับเข้าห้องไป ตอนนั้นข้าน้อยหันหน้าไปตามทิศทางเสียง คนร้ายคงคิดว่าข้าน้อยเห็นอะไรเข้าจึงจับตัวข้าน้อยเข้าไปในห้อง ข้าน้อยร้องขอชีวิต บอกว่าตัวเองตาบอด ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร จากนั้นเขาก็ทำร้ายข้าน้อยจนหมดสติไป หลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ”

ชิวรั่วหมิงพยักหน้า ขมวดคิ้วครุ่นคิด แท้จริงแล้วเขาไม่คิดว่าคนร้ายจะเป็นจวีมู่เอ๋อร์ หากว่าสองฝ่ายต่อสู้กัน ฝ่ายหนึ่งถูกแทงสองแผลแล้วพยายามจะโจมตีอีกฝ่ายกลับและสุดท้ายตัวเองต้องตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป ความเป็นไปได้เช่นนี้ใช่ว่าจะไม่มี แต่จูฟู่มีรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง การที่เขาจะถูกจวีมู่เอ๋อร์แทงติดต่อกันสองครั้ง แต่ละครั้งแทงลึกถึงกระดูก เรื่องนี้เป็นไปได้ยาก

“หลี่ว์ซือเสียน” ชิวรั่วหมิงเรียก

“ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ”

“เมื่อครู่เจ้าเห็นหรือไม่ว่าจวีมู่เอ๋อร์ไม่มีแรงพอที่จะฆ่าจูฟู่ได้”

“ใต้เท้า ข้าน้อยไม่ได้คิดว่าแม่นางจวีเป็นคนร้าย เมื่อครู่ข้าน้อยได้พูดแล้วว่าข้าน้อยรู้จักทั้งเถ้าแก่จูและแม่นางจวี เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้มีพิรุธจึงได้หยิบมีดนั้นขึ้นมาตรวจดู คาดไม่ถึงว่าจะมีคนมาพบและคิดว่าข้าน้อยเป็นคนร้ายขอรับ”

ชิวรั่วหมิงพูดลงเสียงหนัก “เช่นนั้นเมื่อครู่เจ้าได้ฟังชัดเจนหรือไม่ คนช่วยงานและคนในครอบครัวของจูฟู่ล้วนบอกว่าเจ้าอยากจะซื้อร้านน้ำชาของจูฟู่ให้ผู้เป็นนายของเจ้า แต่จูฟู่ไม่ยอมขายเสียที วันนี้เจ้านัดพบเขาเพื่อเจรจาเรื่องการซื้อขายนี้ใช่หรือไม่”

“ถูกต้องขอรับ”

“เจ้าเจรจากับเขาหลายครั้ง แต่ก็ยังตกลงเรื่องการซื้อขายไม่ได้ ในใจจึงเคียดแค้นจนไม่เป็นสุข ในคืนนี้เมื่อเจ้าได้พบจูฟู่จึงคิดขึ้นได้ว่าการเจรจาซื้อขายเมื่อตอนกลางวันไม่ราบรื่น ยามนั้นเขาเมาเหล้าจนไม่อาจควบคุมสติได้ จึงพูดจาไม่ถูกหูเจ้า เจ้าเกิดความโมโหจึงฆ่าเขาเสีย และบังเอิญเห็นจวีมู่เอ๋อร์เดินผ่านมา ดังนั้นเจ้าจึงลงมือทำร้ายนางจนหมดสติ คิดจะใส่ร้ายนาง หากนางถูกตัดสินว่ามีความผิด เจ้าก็จะรอดตัว หากข้าตรวจสอบชัดแจ้ง ได้ความว่าผู้ที่ฆ่าจูฟู่ไม่ใช่นาง นางก็พูดหักล้างอะไรไม่ได้ เจ้าวางแผนทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี เดิมคิดจะแกล้งทำทีเป็นคนแรกที่ไปพบจุดเกิดเหตุ แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีคนปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แผนการของเจ้าจึงล้มเหลว ถูกจับได้ในจุดเกิดเหตุ ใช่หรือไม่”

ชิวรั่วหมิงพูดพลางเหลือบตาแอบสังเกตดูสีหน้าของคนทั้งหลาย คนช่วยงานสองคนของจูฟู่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยว จูเฉินซื่อเอามือปิดหน้าร้องไห้อยู่ไม่หยุด เหลียงผิงแขกที่มาพักและเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมมีสีหน้าเป็นปกติ ส่วนหลงเอ้อร์ที่นั่งอยู่ด้านข้างมองดูท่าทางของคนทั้งหลายด้วยสีหน้าเรียบเฉย

คำพูดของชิวรั่วหมิงทำให้หลี่ว์ซือเสียนตกใจจนโขกหัวไม่หยุด “ใต้เท้า ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยนะขอรับ ตอนกลางวันเถ้าแก่จูตอบตกลงจะขายร้านน้ำชาให้แก่คฤหาสน์สกุลหลงแล้ว พวกเรากำหนดข้อตกลงในการซื้อขายเสร็จจึงแยกย้ายกันขอรับ”

ครั้นหลี่ว์ซือเสียนเอ่ยประโยคนี้ออกมาคนช่วยงานทั้งสองของจูฟู่และจูเฉินซื่อต่างตกใจจนหน้าถอดสี พูดพึมพำว่าเป็นไปไม่ได้

ชิวรั่วหมิงถามย้ำกับพวกเขาว่าจูฟู่ยินยอมขายร้านจริงหรือไม่ ทั้งสามคนล้วนส่ายหน้าบอกว่าจูฟู่ไม่ยินยอมขาย ชิวรั่วหมิงจึงหันไปถามหลงเอ้อร์ว่าวันนี้เขาได้ยินหลี่ว์ซือเสียนมารายงานเรื่องการเจรจาตกลงซื้อร้านสำเร็จหรือยัง หลงเอ้อร์ส่ายหน้า กล่าวว่าการซื้อขายไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หลงจู๊หลี่ว์ที่ยังจัดการรายละเอียดทุกอย่างไม่เรียบร้อยไม่มีทางมารายงานก่อนแน่นอน ไม่เช่นนั้นหากถูกเขาซักถามก็จะกลายเป็นว่าหลงจู๊หลี่ว์ทำหน้าที่ได้ไม่ดี

หลี่ว์ซือเสียนรีบตอบรับ “มีเรื่องที่ยังกำหนดไม่ได้จริงๆ ขอรับ เถ้าแก่จูบอกว่าในร้านยังมีคนช่วยงานสองคนที่ติดตามเขามานาน หากเขาขายร้านจะต้องแจ้งให้เด็กช่วยงานทั้งสองคนรู้เสียก่อน ดูว่าพวกเขาสองคนยินดีจะทำงานให้สกุลหลงหรือจะตัดสินใจรับเงินแล้วไปหาทางทำมาหากินเอง เถ้าแก่จูบอกว่าจะแจ้งข่าวแก่ข้าน้อยในวันพรุ่งนี้ คาดไม่ถึงว่ากลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”

“เรื่องนี้มีผู้อื่นรู้อีกหรือไม่” ชิวรั่วหมิงถามต่อ

หลี่ว์ซือเสียนชะงักไป เขากำลังรอข่าวอยู่จึงไม่ได้บอกผู้ใด ส่วนทางฝ่ายเถ้าแก่จู ดูจากสถานการณ์ในโถงว่าการตอนนี้ คิดว่าคงจะไม่มีผู้ใดรู้เรื่องเช่นกัน หลี่ว์ซือเสียนรู้ว่าการที่เขาไม่มีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง จึงมีสีหน้าเหมือนตายไปแล้วครึ่งชีวิต ทำได้เพียงโขกหัวพูดว่า “ใต้เท้าโปรดตรวจสอบอย่างละเอียดด้วย ข้าน้อยไม่ได้ฆ่าคนจริงๆ”

ชิวรั่วหมิงครุ่นคิดอย่างหนัก แม้ว่าคดีนี้จะวิเคราะห์ไปในทิศทางเช่นนี้ได้ แต่ก็ยังคงมีจุดที่น่าสงสัยอยู่ เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง หากกล่าวถึงเหล่าผู้เกี่ยวข้องในโถงว่าการ นอกจากหลี่ว์ซือเสียนแล้ว ทุกคนล้วนดูเหมือนเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีเหตุจูงใจ ไม่มีอะไรน่าสงสัย และต่างก็มีพยานด้วยกันทั้งสิ้น

มีเพียงหลี่ว์ซือเสียนที่น่าสงสัยมากที่สุด!

แต่มีจุดใดหนอที่ผิดปกติไป

“ใต้เท้า” ในตอนนี้เอง หลงเอ้อร์ก็พูดขึ้น “ข้าขอพูดเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น”

ชิวรั่วหมิงมองมาทางเขา หลงเอ้อร์จ้องกลับแล้วกล่าวต่อ “หากจะพูดถึงเหตุจูงใจ ปีหนึ่งเงินที่หลงจู๊หลี่ว์ช่วยข้าหาได้จากโรงน้ำชา สามารถซื้อร้านของจูฟู่ได้ถึงยี่สิบกว่าร้าน สำหรับข้าแล้วร้านน้ำชาเสียงฟู่เป็นเพียงการเพิ่มสีสันให้กิจการเท่านั้น ข้าไม่เคยตำหนิหลงจู๊หลี่ว์หรือบังคับให้เขาต้องทำการให้สำเร็จ และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหลงจู๊หลี่ว์ซึ่งเป็นคนคอยจัดการร้านน้ำชาหลายร้านที่สามารถทำกำไรได้มากที่สุดในเมืองหลวงจะเสียดายอยากได้ร้านน้ำชาเล็กๆ จนกระทั่งโมโหฆ่าคนตายทำไม ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้น่าประหลาดยิ่งนัก”

ชิวรั่วหมิงรู้ว่าสิ่งที่หลงเอ้อร์พูดมีเหตุผล ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก มือปราบคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก เข้าไปกระซิบข้างหูชิวรั่วหมิงอย่างรวดเร็วว่าทหารจวนว่าการได้ออกไปตรวจสอบแล้ว เรื่องราวที่พวกเขาทั้งหมดพูดเป็นความจริง ทั้งร้านพิณ โรงเตี๊ยม หอสุรา รวมถึงทางบ้านของทุกคนล้วนถูกสอบถาม มือปราบผู้นี้เป็นคนรวบรวมเรื่องราวทั้งหมดแล้วกลับมารายงานให้ชิวรั่วหมิงฟัง

สิ่งที่ทุกคนในโถงว่าการพูดล้วนเป็นความจริง

มีเพียงคำพูดของหลี่ว์ซือเสียนเท่านั้นที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

ไม่มีคนที่สามารถยืนยันได้ว่าเขาไม่ใช่คนร้าย!

ในตอนนี้เองจวีมู่เอ๋อร์ก็พูดขึ้นทันใด “ใต้เท้า ข้าน้อยขอพูดอะไรกับหลงจู๊หลี่ว์สักสองสามคำได้หรือไม่”

ชิวรั่วหมิงไม่เข้าใจว่านางมีจุดประสงค์ใด แต่ยังคงตอบตกลง จวีมู่เอ๋อร์ยื่นแขนออกไป คลำทางไปยังทิศที่หลี่ว์ซือเสียนอยู่ ทหารประจำการรีบเข้าไปประคองและนำทางให้นาง

จวีมู่เอ๋อร์เดินเข้าไป ปากก็ร้องเรียก “หลงจู๊หลี่ว์”

หลี่ว์ซือเสียนรีบลุกขึ้น ยื่นมือไปประคองนาง “แม่นางจวี”

จวีมู่เอ๋อร์จับแขนของเขาเอาไว้จนยืนได้มั่น

ทุกคนต่างจับจ้องไปที่พวกเขาทั้งสองคน ไม่รู้ว่าจวีมู่เอ๋อร์คิดจะทำสิ่งใด จู่ๆ นางกลับพูดขึ้นว่า “ข้าเพียงอยากขอบคุณหลงจู๊หลี่ว์ หากท่านไม่ได้มาพบเข้าทันเวลา บางทีข้าอาจจะบาดเจ็บหนักจนถึงขั้นเสียชีวิต ข้าเชื่อว่าหลงจู๊หลี่ว์ไม่ใช่คนร้ายแน่นอน ใต้เท้าจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด หลงจู๊หลี่ว์วางใจเถอะ”

หลี่ว์ซือเสียนหน้าเศร้า คดีใหญ่ถึงชีวิตเช่นนี้ทั้งสถานการณ์ยังไม่เป็นประโยชน์ต่อเขา เขาจะวางใจได้อย่างไร อีกทั้งคนช่วยงานและภรรยาของจูฟู่ที่อยู่ด้านหลังต่างตะโกนด่าทำให้เขายิ่งเศร้าใจ

ชิวรั่วหมิงเองก็มีสีหน้าไม่น่าดูนัก เหตุใดหญิงตาบอดผู้นี้จึงมีนิสัยเหมือนท่านหลงเอ้อร์ไม่มีผิด ไม่สนใจรายละเอียดใดก็มาครอบหมวกใบใหญ่ให้เขาเสียแล้ว เขาเป็นขุนนางที่ดี มีหรือที่ต้องให้พวกเขาเอ่ยชื่นชมเช่นนี้ก่อนจึงจะตั้งใจคลี่คลายคดี

แต่เท่าที่เห็นคดีนี้มีจุดที่น่าสงสัยอยู่มากมาย จัดการได้ยากนัก เห็นทีคงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งจึงจะสามารถตัดสินได้

ในตอนนี้เองจวีมู่เอ๋อร์ก็พูดขึ้นว่า “ใต้เท้า หัวของข้าน้อยได้รับบาดเจ็บ เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงจำบางอย่างได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ข้าน้อยรู้สึกว่ามีเบาะแสที่สำคัญมาก หวังว่าใต้เท้าจะไม่ด่วนตัดสินคดี รอให้ข้าน้อยคิดออกแล้วค่อยมารายงานต่อใต้เท้า”

ชิวรั่วหมิงขมวดคิ้ว หญิงตาบอดคนหนึ่งจะ ‘เห็น’ เบาะแสสำคัญได้อย่างไร เขาไม่ได้ฝากความหวังไว้ที่นาง แต่หากตอนนี้พิจารณาคดีต่อไปก็คงจะไม่มีความคืบหน้าใดๆ อีก ดังนั้นเขาจึงสั่งการหลายคำ เริ่มจากนำตัวหลี่ว์ซือเสียนไปคุมขังไว้ก่อน ส่วนคนอื่นให้แยกย้ายกลับบ้านไป รอให้จวนว่าการได้ตรวจสอบและวิเคราะห์คดีอีกครั้ง

ตอนนี้หลงเอ้อร์ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่า เขาจึงบอกหลี่ว์ซือเสียนว่าจะจัดการเรื่องทางบ้านให้ อย่าเพิ่งร้อนรนใจ เขาต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหลี่ว์ซือเสียนให้ได้

หลี่ว์ซือเสียนถูกคุมตัวออกไป หลงเอ้อร์ให้หลี่เคอหาคนไปจัดการเรื่องในคุก อย่าปล่อยให้หลงจู๊หลี่ว์ได้รับความลำบาก หลี่เคอรับคำสั่งแล้วจากไป

หลงเอ้อร์กล่าววาจากับชิวรั่วหมิงหลายคำ สอบถามจนรู้ว่าชิวรั่วหมิงก็คิดว่าเรื่องนี้มีจุดน่าสงสัยเช่นกัน แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจึงไม่สามารถนำมาพูดได้ ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงขอตัวลากลับ

เมื่อเขาออกจากจวนว่าการก็เห็นชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งกำลังรับตัวจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นรถม้า ชายผู้นั้นพูดว่า “เฮ้อ…เหตุใดจึงโชคร้ายเช่นนี้ เพราะเจ้ามาทำงานให้ร้านพิณของข้าจึงต้องเข้าไปพักในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น ยังดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก หากเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นมาข้าจะบอกกับพ่อของเจ้าว่าอย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์ที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าตอบกลับด้วยเสียงเบาหวิวหลายคำ จากนั้นก็ขึ้นรถม้าของพวกเขาแล้วจากไป

หลงเอ้อร์หมุนตัวกลับไปเรียกองครักษ์ข้างกายคนหนึ่งให้ตามรถม้าคันนั้นไป ดูว่าสองคนนั้นรับจวีมู่เอ๋อร์ไปที่ใด หากมีเรื่องอะไรให้รีบกลับมารายงานเขา องครักษ์รับคำแล้วขี่ม้าติดตามไป

หลงเอ้อร์สั่งงานเสร็จ กว่าจะกลับถึงคฤหาสน์ก็เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว เขายังไม่อยากนอนจึงไปที่หอหนังสือแล้วนั่งใช้ความคิดตามลำพัง พิจารณาถึงทุกอย่างในคดี ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องช่วยหลงจู๊หลี่ว์ออกมาให้ได้

หลงเอ้อร์นั่งคิดอยู่จนฟ้าสาง ระหว่างนั้นหลี่เคอก็เข้ามารายงานเรื่องการจัดการที่อยู่ของหลงจู๊หลี่ว์ในคุกและเรื่องจวีมู่เอ๋อร์ถูกเฉินอิ่นเถ้าแก่ร้านพิณส่งตัวกลับไปพักที่บ้านของเขาแล้ว รวมถึงเรื่องให้สายสืบของคฤหาสน์สกุลหลงทั้งหลายคอยสืบคดีของหลงจู๊หลี่ว์ก็จัดการเสร็จหมดแล้ว

หลงเอ้อร์พยักหน้า เขาหวังว่าสายสืบเหล่านี้จะใช้การได้ ต้องมีเบาะแสอะไรที่พวกเขาสามารถขุดค้นออกมาได้อย่างแน่นอน

พอท้องฟ้าเริ่มสว่าง บ่าวคนหนึ่งก็รีบร้อนมารายงานว่าแม่นางจวีมู่เอ๋อร์มาขอพบอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์

หลงเอ้อร์ตกใจ ยายเด็กนั่นมีแผลที่หัวแต่ไม่ยอมพักผ่อน จะวิ่งวุ่นมาทำไม เขาขมวดคิ้วตอบรับให้บ่าวนำนางไปที่โถงด้านหน้า

เมื่อหลงเอ้อร์ไปถึงก็พบว่ามีผู้เฒ่าจวีนั่งอยู่ข้างกายจวีมู่เอ๋อร์ด้วย ทั้งสองฝ่ายทักทายกันพอเป็นพิธี จากนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็พูดขึ้นว่า “พิณดีที่ท่านหลงเอ้อร์บอกข้าในครั้งก่อน จู่ๆ ข้าก็อยากดูขึ้นมา ฉวยโอกาสตอนได้เดินผ่านพอดี จึงมาขอรบกวนท่านสักนิด”

หลงเอ้อร์นิ่งงันไป เขาบอกนางเมื่อไรว่ามีพิณดี แต่เมื่อเหลือบไปเห็นผู้เฒ่าจวีมีสีหน้าขุ่นเคือง เขาก็เข้าใจทันที นางคงมีเรื่องที่อยากคุยเป็นการส่วนตัว ไม่อยากให้พ่อของนางรู้อย่างแน่นอน

หลงเอ้อร์เกิดความยินดีเหมือนได้กำความลับของนางอยู่ในมือตน เขาอมยิ้ม “พิณนั้นวางอยู่ในหอหนังสือ หากแม่นางจวีอยากดู คงต้องขอให้เดินไป”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเขาพูดคล้อยตามก็รู้สึกโล่งอก รีบเอ่ยปาก “พ่อรอข้าอยู่ที่นี่สักครู่ ข้าขอไปลูบพิณนั้นสักนิดแล้วจะรีบกลับมาทันที”

ผู้เฒ่าจวีเห็นว่าตนอยู่ในสถานที่ของผู้อื่นไม่อาจพูดอะไรมากได้จึงเพียงบ่นพึมพำ ดูท่าทางคงไม่พอใจนัก บุตรสาวของเขาได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ยอมไปหาหมอรักษาตัว กลับวิ่งมาขอดูพิณอะไรนั่น เขาไม่ควรรับปากตอบตกลงกับนางเลย

หลงเอ้อร์สั่งให้บ่าวต้อนรับเตรียมชาและอาหารเช้าให้ผู้เฒ่าจวีให้ดี จากนั้นเขาก็เดินนำจวีมู่เอ๋อร์ออกไปจากโถง

คฤหาสน์สกุลหลงใหญ่มาก มีทั้งระเบียงทางเดินยาวเหยียด สวนดอกไม้ล้วนปูพื้นด้วยหิน เดินเลี้ยวเจ็ดแปดโค้ง จวีมู่เอ๋อร์ที่เดินตามหลงเอ้อร์ก็เหนื่อยจนอ่อนแรง นางเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าสะอาด ผ้าพันแผลบนหัวก็เปลี่ยนใหม่แล้ว มีเพียงท่าทางที่ดูอิดโรยมากกว่าเมื่อคืนเท่านั้น

หลงเอ้อร์รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุจึงหาห้องใกล้ๆ สักห้องเพื่อนั่งคุยกับนาง เขาเรียกบ่าวให้เตรียมชาร้อนและอาหารเช้า จากนั้นก็เริ่มการสนทนา

“เจ้าได้นอนพักหรือยัง เหตุใดจึงใช้หน้าตาคล้ายผีเช่นนี้วิ่งวุ่นไปทั่ว”

ตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์ไม่มีอารมณ์จะประฝีปากกับเขา นางอธิบายเพียงว่า “วันนี้พอประตูเมืองเปิดพ่อข้าก็มาหา เขารู้เรื่องเมื่อคืนแล้วจึงจะพาข้ากลับไปพักผ่อนรักษาตัวที่บ้าน หากข้าไม่หาเหตุผลมาขอพบท่านหลงเอ้อร์ตอนนี้ เกรงว่าช่วงสองสามวันข้างหน้าคงจะทำได้ยากแล้ว”

“เจ้าอยากจะพูดอะไรกับข้า”

บ่าวยกน้ำชามาเทให้คนทั้งสอง หลงเอ้อร์มองดูมือซีดขาวซึ่งน่าจะเกิดจากความเย็นของนาง เขาจึงเคาะโต๊ะที่ตำแหน่งของถ้วยชาเพื่อให้เกิดเสียง “น้ำชาอยู่ตรงนี้ เป็นชาร้อน”

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยขอบคุณ คลำจนเจอถ้วยชาก็กุมไว้ในมือ นิ่งเงียบไม่พูดจา หลงเอ้อร์จึงถามอีกครั้ง

“เจ้ามาพบข้าด้วยเรื่องอะไร”

จวีมู่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึก บนใบหน้าปรากฏความอึดอัดและลำบากใจอยู่บ้าง หลงเอ้อร์เลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้ นางจะพูดอะไรกันแน่

“ท่านหลงเอ้อร์” จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยปากในที่สุด “ข้ามีวิธีพิสูจน์ว่าหลงจู๊หลี่ว์ไม่ใช่ฆาตกร และยังสามารถหาคนร้ายตัวจริงได้ด้วย”

“หืม?” หลงเอ้อร์รู้สึกสนใจมาก เขารอให้จวีมู่เอ๋อร์พูดต่อ

“แต่ว่า…ข้าอยากจะขอแลกเปลี่ยนข้อตกลงกับท่านข้อหนึ่ง”

นางมาไม้นี้อีกแล้วหรือ!

หัวใจหลงเอ้อร์เต้นแรง รู้สึกตื่นเต้นเหมือนได้เจอคู่ปรับและเรื่องสนุกอีกครั้ง เขายกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ระงับสติอารมณ์แล้วเอ่ยถาม “เจ้ามีข้อตกลงอะไร”

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากอยู่นานไม่ยอมพูดสักที หลงเอ้อร์รอคอยอย่างอดทน ดื่มชาเข้าไปอีกหนึ่งอึก

“ข้าอยากให้ท่านหลงเอ้อร์แต่งงานกับข้า”

พรวด…หลงเอ้อร์รีบเบนหน้าหนี น้ำชาพุ่งกระเซ็นเต็มพื้น

ให้ตายเถอะ เมื่อครู่มีคนขอเขาแต่งงานใช่หรือไม่!

บทที่ห้า

หลงเอ้อร์ยอมรับว่าเคยพบเจอหญิงสาวมาไม่น้อย ทั้งรูปร่างหน้าตาหลากหลายแบบ นิสัยหลากหลายประเภท ภูมิหลังหลากหลายอย่าง และมีอายุแตกต่างกันไป ในกลุ่มหญิงสาวเหล่านั้นมีคนที่เคยเปิดเผยความในใจต่อเขาจำนวนไม่น้อย มีทั้งมอบของขวัญ มอบโคลงกลอน ใช้สายตาสื่อภาษา ใช้ร่างกายแสดงออก มีทั้งแอบส่งความนัยด้วยตัวเอง บ้างก็ฝากคนมาบอกกล่าวและอีกหลากหลายวิธีการ

แต่ว่าไม่เคยมีใครที่กล้าหาญบ้าบิ่นมาพูดกับเขาตามตรงเช่นนี้ว่า ‘ข้าอยากให้ท่านหลงเอ้อร์แต่งงานกับข้า’

คนที่หลงเอ้อร์เห็นว่ากล้าหาญที่สุดก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่พูดอ้อมค้อมวกไปวนมาว่าเหตุใดเขาจึงไม่ยอมแต่งงานสักที หึ ช่างน่าเบื่อเสียจริง

แต่ตอนนี้มีหญิงสาวที่ไม่น่าเบื่อแล้ว เรื่องนี้ออกจะน่าตื่นตระหนกและเกินความคาดหมายของหลงเอ้อร์ ผู้หญิงเช่นใดจึงกล้ามาพูดกับชายหนุ่มที่เรียกไม่ได้ว่าสนิทกันแบบตามตรงว่า ‘ท่านแต่งงานกับข้าเถอะ

เอาเถอะ แท้จริงแล้ว หลงเอ้อร์คิดว่าความรู้สึกที่เขามีต่อจวีมู่เอ๋อร์ก็นับว่าสนิทสนมมากแล้ว

แต่ว่า…นางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ใบหน้าอิดโรยเหมือนผี บนหัวพันผ้าที่มีรอยเลือดซึมออกมา สวมชุดไม่พอดีตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นเสื้อผ้าที่หยิบยืมมาจากผู้อื่น ทั้งไม่ลงแป้งแต่งหน้า ไม่จัดแต่งทรงผม หอบเอาไม้เท้าเก่าๆ มาพูดกับเขาเช่นนี้หรือ

แย่จริงๆ เขาไม่สบอารมณ์จนไม่มีแม้แต่ใจจะคิดตำหนินาง

แต่งหน้าแต่งกายไม่เรียบร้อยแล้วมาพูดกับเขาเช่นนี้ช่างไม่ให้ความสำคัญกับเขาเลยแม้แต่น้อย!

หลงเอ้อร์จ้องหญิงตาบอดที่เมื่อเอ่ยปากขอแต่งงานแล้วก็กัดริมฝีปากมีสีหน้าอึดอัด เขาแอบสบถในใจ เจ้าก็รู้จักไม่สบายใจด้วยหรือ ข้าหลงคิดไปว่าเจ้าจะใจกล้าหน้าด้านเหมือนชุดเกราะเหล็กโล่หินเสียอีก

เขามองนาง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกระแอมขึ้นสองทีแล้วถามว่า “เพราะเหตุใด”

“เอ๋?” จวีมู่เอ๋อร์ตะลึงไป

หลงเอ้อร์รู้สึกไม่สบอารมณ์มาก นางขอเขาแต่งงานเสร็จก็โง่งมไปเลยหรือ เขาสบถเบาๆ หนึ่งที แล้วถามอีกครั้ง “เหตุใดข้าต้องแต่งงานกับเจ้าด้วย”

“เพราะว่า…” จวีมู่เอ๋อร์อึกอัก จากนั้นก็เหมือนจะตัดสินใจแน่วแน่ “ท่านบอกว่าปีหนึ่งหลงจู๊หลี่ว์หาเงินให้ท่านจนท่านสามารถซื้อร้านน้ำชาได้มากกว่ายี่สิบร้าน แต่สิบปีข้าคงใช้เงินไม่ถึงครึ่งของกำไรจากร้านน้ำชาหนึ่งร้าน ท่านหลงเอ้อร์เป็นคนคิดคำนวณได้อย่างละเอียด ดังนั้นคงจะคำนวณได้ว่าหากมีข้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ท่านย่อมไม่ขาดทุนแน่นอน”

เหตุผลนี้ช่าง…

ทำให้หลงเอ้อร์รู้สึกชื่นชมอยู่บ้าง

เขาจะยอมตกอยู่ใต้ลม* ได้หรือ

“เจ้ามีสินเดิมเท่าใด”

คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์สงบนิ่ง ตอบกลับได้อย่างคล่องแคล่ว “หากข้าแต่งเข้ามา ในหนึ่งปีท่านหลงเอ้อร์สามารถหาเงินเพิ่มจนเพียงพอที่จะซื้อร้านน้ำชาได้ยี่สิบร้าน สิบปีก็ซื้อได้สองร้อยร้าน ยี่สิบปีก็สี่ร้อยร้าน ร้านน้ำชาหนึ่งร้านมีมูลค่าเท่าใด ท่านย่อมรู้ดีกว่าข้า ข้าเชื่อว่าสินเดิมเจ้าสาวนี้ไม่น้อยไปกว่าสกุลใหญ่อื่นๆ อย่างแน่นอน”

หลงเอ้อร์สะอึก นางใช้คำที่เขาเคยพูดไว้มาย้ำเตือนว่าหากขาดหลงจู๊หลี่ว์ไปสักคนเขาจะได้เงินน้อยลงไปเท่าไร

หึ เห็นเขาเป็นคนเห็นแก่เงินถึงเพียงนั้นเลยหรือ

เอาล่ะ เขายอมรับว่าเห็นแก่เงินอยู่มาก แต่เขาเป็นคนที่จะยอมแต่งงานกับใครก็ได้เพียงเพราะเงินอย่างนั้นหรือ

หากทำเพราะเงิน เขาคงได้แต่งงานไปนานแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มีเจ้าเมืองหญิงที่ยอมมอบทรัพย์สินครึ่งเมืองเพื่อจะได้แต่งงานกับเขา ดังนั้นเขาคงไม่ต้องรอให้หญิงตาบอดตัวผอมบางมีเนื้อเพียงไม่กี่ชั่งคนนี้มาพูดถึงเรื่องเงินกระมัง

เพราะฉะนั้นหลงเอ้อร์จึงเปลี่ยนคำถาม “เจ้าอ่านสมุดบัญชี ดีดลูกคิด จัดการงานน้อยใหญ่ในคฤหาสน์ได้หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์เม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง นางตาบอดเขาก็รู้ แต่ยังจงใจพูดดูหมิ่นนางเช่นนี้หรือ

“ที่ท่านหลงเอ้อร์ไม่ยอมแต่งงานสักทีเพราะแท้จริงแล้วหมายตาหาคนดูแลบัญชีกับคนดูแลบ้านเช่นนั้นหรือ”

โอ้ ต่อปากต่อคำเสียด้วย

หลงเอ้อร์ไม่โมโหแต่กลับหัวเราะ เขาเอ่ยว่า “จู่ๆ เจ้าก็มาขอร้องให้ข้าแต่งงานกับเจ้า เช่นนั้นสมควรจะต้องคิดหาเหตุผลที่ดีหลายๆ ข้อมาเกลี้ยกล่อมข้ามิใช่หรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบกลับอย่างมั่นใจ “ท่านคิดผิดแล้ว ข้าไม่ได้มาขอร้อง แต่ข้าเห็นว่าข้อตกลงของข้าจะสามารถทำให้ท่านได้กำไรอย่างงาม”

“เช่นนั้นแล้วข้าสมควรต้องเป็นฝ่ายร้องขออย่างนั้นหรือ” หลงเอ้อร์จ้องนางด้วยแววตาโมโห คำพูดของหญิงตาบอดผู้นี้ทำให้คนฟังรู้สึกโกรธได้จริงๆ

“ท่านหลงเอ้อร์ไม่จำเป็นต้องขอร้อง หากตอนนี้ท่านพูดว่าจะแต่งงานกับข้า ข้าย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน ทั้งไม่เพียงไม่ปฏิเสธ ยังจะช่วยท่านล้างมลทินให้แก่หลงจู๊หลี่ว์ด้วย”

คราวนี้หลงเอ้อร์ถึงกับนิ่งอึ้ง เขาเคยเจรจาในสนามการค้ามาหลายครั้ง คนที่จัดการได้ยากก็เคยพบเจอมา แต่กลับไม่เคยพบใครเหมือนนางที่ได้รับผลประโยชน์แล้วยังแกล้งทำทีเป็นเสียเปรียบ ปากแข็งรักษาหน้าตาซ้ำยังมีวิธีอุดปากคนฟังได้อีกด้วย

หลงเอ้อร์ไม่พอใจอย่างมาก “แม่นางจวี เจ้าคิดง่ายเกินไปแล้ว ข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้าและไม่ต้องการให้เจ้าช่วยเหลือ คฤหาสน์สกุลหลงของข้ามีอำนาจเพียงพอ จวนว่าการก็ใช่จะมีเอาไว้ดูเล่นเท่านั้นท้ายที่สุดความจริงของคดีจะต้องปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในไม่ช้า ดังนั้นแม่นางจวีอย่าได้คิดเพ้อฝันไป ลูกไม้นี้ของเจ้าทำได้แย่เหลือเกิน”

น้ำเสียงที่หลงเอ้อร์ใช้พูดไม่ดีอย่างมาก เขาเห็นจวีมู่เอ๋อร์นั่งนิ่งตัวเกร็ง ข้อนิ้วมือที่กุมไม้เท้าเอาไว้ซีดขาวเพราะแรงบีบ นางเม้มริมฝีปากแน่น กะพริบตาหลายครั้งจนหลงเอ้อร์ไม่รู้ว่านางจะร้องไห้ออกมาหรือไม่

ท่าทางของนางทำให้หลงเอ้อร์รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง คำพูดของเขาเมื่อครู่ไม่น่าฟังเกินไปใช่หรือไม่

ทั้งสองคนพากันนิ่งเงียบ

ผ่านไปชั่วครู่ จวีมู่เอ๋อร์จึงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “รบกวนแล้ว” จากนั้นก็รีบยืนขึ้นแล้วเดินออกไป

คราวนี้เป็นหลงเอ้อร์ที่ร้อนใจ น้ำเสียงของนางทำให้เขารู้สึกไม่ดีนัก นางจะจากไปเช่นนี้ ไม่อยู่ต่อปากต่อคำกับเขาแล้วหรือ

จวีมู่เอ๋อร์เดินเร็วกว่าตอนที่มามากนัก เพียงพริบตาเดียวนางก็เดินอยู่บนทางเดินทางนั้นแล้ว หลงเอ้อร์มองผ่านทางหน้าต่าง เขาพบว่าไม่มีคนคอยนำทาง แต่นางกลับสามารถจำทางได้

จวีมู่เอ๋อร์เดินห่างออกไปทุกที หลงเอ้อร์นั่งไม่ติด เขาดีดตัวลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป เพียงไม่กี่ก้าวก็ตามนางทัน

“แม่นางจวี” เขาเรียกนางไว้

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้หันมา เพียงแค่ก้มหน้าลงแล้วพูดเสียงเบา “ท่านหลงเอ้อร์ไม่ต้องส่ง ข้าจำทางได้”

เขาไม่สงสัยเรื่องที่นางจำทางได้ เขาเข้าใจในทันทีว่าตอนขามานางเดินอย่างช้าๆ เพราะกำลังแอบจดจำเส้นทางอยู่ ดังนั้นตอนขากลับนางจึงเดินได้รวดเร็วขึ้น แต่ตอนนี้ประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่นางจำทางได้หรือไม่ และเขาก็ไม่ได้คิดจะไปส่งนางด้วย

“แม่นางจวี” หลงเอ้อร์ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว กุมไม้เท้าของนางเอาไว้ “กินอาหารเช้าเสร็จแล้วค่อยไปเถอะ”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า เอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณในความหวังดีของท่านหลงเอ้อร์ แต่ข้าไม่รบกวนดีกว่า” นางออกแรงขยับไม้เท้าแต่กลับขยับไม่ได้ จึงขมวดคิ้วแล้วดึงอีกสองที

หลงเอ้อร์เห็นนางมีสีหน้าโกรธเคือง ท่าทางตอนที่ใช้แรงทั้งหมดแต่กลับดึงไม้เท้าคืนไม่ได้ของนางทำให้เขานึกอยากหัวเราะ “กินอาหารเช้าด้วยกันก่อน ข้าจะดูสิว่าเจ้ากินเยอะเพียงใด เวลาถึงสิบปีก็กินกำไรของครึ่งร้านข้าไม่หมดจริงหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์ตะลึงยืนนิ่งไม่ขยับ หลงเอ้อร์ดึงไม้เท้าของนางเพื่อนำนางเดินกลับไป

“การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ก็เหมือนกับการค้าขาย อย่างไรก็ต้องเจรจา ข้อตกลงหนึ่งใช้ไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นข้อใหม่ อ้อมไปอ้อมมา อย่างไรก็ต้องสำเร็จ ไหนเลยจะเหมือนเจ้า พูดเพียงไม่กี่คำก็ทำท่าโกรธเคืองจะจากไป เช่นนี้จะทำการสำเร็จได้อย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบกลับ นางกำลังรู้สึกโมโห ไม่เข้าใจว่าท่านหลงเอ้อร์คิดจะแกล้งนางต่อหรือยินดีจะเจรจากับนางจริงๆ แต่ตอนนี้เขาดึงตัวนางให้เดินตาม นางกลับยินดีเดินตามเขาไป ชายหนุ่มผู้นี้แม้คำพูดจะไม่น่าฟังนักทั้งการกระทำยังร้ายกาจ แต่เขาก็ไม่เคยคิดทำร้ายนางเลย

คนดีกับคนเลว นางคิดว่านางสามารถแยกแยะได้

คนทั้งสองกลับมายังห้องเดิมอีกครั้งแล้วกินอาหารเช้า จวีมู่เอ๋อร์กินไม่มาก เมื่ออิ่มแล้วก็เอ่ยขอบคุณนั่งเงียบไม่พูดจา

หลงเอ้อร์เห็นท่าทางของนางแล้วนึกอยากจะเขกหัวนางนัก แค่เขาพูดไม่เสนาะหูเพียงไม่กี่คำ นางต้องทำตัวน่าสงสารถึงเพียงนี้เชียวหรือ

เขากระแอมแล้วเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่ามีวิธีล้างมลทินให้หลงจู๊หลี่ว์ นั่นคือวิธีอะไร ลองพูดมาให้ข้าฟังสิ” จวีมู่เอ๋อร์ไม่ตอบ หลงเอ้อร์จึงเปลี่ยนคำถาม “ในเมื่อเจ้ามองไม่เห็นหน้าตาของคนร้าย เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าไม่ใช่ฝีมือของหลงจู๊หลี่ว์”

คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์ตอบ “ในโถงจวนว่าการ ข้าอาศัยตอนที่พูดคุยกับหลงจู๊หลี่ว์จับเสื้อผ้าบนตัวของเขา เขาสวมผ้าต่วน ส่วนคนร้ายสวมเสื้อเนื้อผ้าธรรมดา และอีกอย่างหนึ่ง บนตัวของหลงจู๊หลี่ว์มีกลิ่นธูป คิดว่าก่อนหน้านั้นเขาคงจะสวดมนต์หรือไม่ก็ดีดพิณมา ดังนั้นกลิ่นบนตัวเขาจึงไม่เหมือนกับคนร้ายคนนั้น”

หลงเอ้อร์ประหลาดใจ นางตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่ยังสามารถจำรายละเอียดเหล่านี้ได้อีก

“ข้ายังมีเบาะแสอื่นที่สามารถใช้หาคนร้ายตัวจริงได้”

“ในเมื่อเจ้ารู้มากมายถึงเพียงนี้เหตุใดตอนอยู่ในโถงว่าการจึงไม่บอกท่านเจ้าเมือง”

จวีมู่เอ๋อร์ก้มหน้านิ่งเงียบ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้าปกปิดเรื่องเหล่านี้ หลงจู๊หลี่ว์ที่ถูกปรักปรำใส่ร้ายถูกขังอยู่ในคุกนั้นต้องทนรับความลำบากมากเพียงใด” หลงเอ้อร์พูด

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก ยังคงเงียบเช่นเดิม แต่นิ้วมือที่กุมไม้เท้าไว้แน่นเผยให้เห็นความรู้สึกของนาง

หลงเอ้อร์ถอนหายใจ “หากข้าไม่ยอมแต่งงานกับเจ้า เจ้าจะปล่อยให้หลงจู๊หลี่ว์ถูกปรักปรำจนถูกตัดสินโทษใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์ตัวสั่น นางเงยหน้าใช้สองตาที่มองไม่เห็นสิ่งใดสบประสานสายตากับหลงเอ้อร์ “ต่อให้ท่านหลงเอ้อร์ไม่ตกลง ข้าก็จะบอกเรื่องทั้งหมดแก่ท่านเจ้าเมืองเช่นกัน”

“หากเจ้าพูดไปก็จะไม่มีหมากที่จะทำให้ข้าต้องรับปากแต่งงานกับเจ้าแล้ว”

“อย่างไรเสีย ท่านหลงเอ้อร์ก็บอกแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับข้า” จวีมู่เอ๋อร์เบ้ปาก เผยอารมณ์โกรธแบบเด็กๆ ออกมา “ท่านยินดีจะให้หลงจู๊หลี่ว์รู้ว่าท่านไม่ยอมแต่งงานเพื่อช่วยเขา แต่ข้าไม่ยินดีจะให้หลงจู๊หลี่ว์รู้ว่าข้าไม่ยอมช่วยเขาเพราะไม่บรรลุจุดประสงค์ที่ต้องการ”

หลงเอ้อร์หัวเราะ “หากพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าข้าไม่มีน้ำใจเท่าเจ้าสินะ”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า คิดๆ ไปแล้วก็รู้สึกขำ นางใช้วิธีร้ายกาจมาบังคับให้เขาแต่งงานกับนาง เขาไม่ตอบตกลง ดังนั้นเดิมทีควรจะก่อเป็นความแค้นไปแล้ว แต่เหตุใดตอนนี้นางกับเขากลับคุยกันด้วยความสบายใจเช่นนี้

ความรู้สึกนี้ทำให้จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาทันใด นางลุกขึ้นเอ่ยลา แต่ท่านหลงเอ้อร์กลับเรียกนางไว้ “ช้าก่อน”

จวีมู่เอ๋อร์ชะงักยืนนิ่งอยู่กับที่

“เจ้านั่งลง”

นางนั่งลง

แต่หลงเอ้อร์กลับเงียบ จวีมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ นางทำได้เพียงรอฟัง

นางไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจของหลงเอ้อร์สับสนเพียงใด เขาลังเลแล้วลังเลอีก เขาไม่อยากแต่งภรรยาจริงๆ แต่ก็รู้ว่าเมื่อจวีมู่เอ๋อร์เผยหมากตัวนี้ออกมาแล้ว ต่อไปนางจะไม่มาขอร้องเขาอีก พอนางไม่มาขอร้องเขา ไม่ต่อปากต่อคำกับเขา เขาคงหมดสนุกไปไม่น้อย

เพราะเหตุใดจู่ๆ นางถึงอยากแต่งงานขึ้นมา มีความลำบากอะไรเช่นนั้นหรือ

หากเขาไม่ตอบตกลงแต่งงานกับนาง นางจะไปหาผู้อื่นหรือไม่

และถ้านางแต่งงานกับผู้อื่นไปก็คงเป็นเรื่องยากที่จะได้พบกัน อีกทั้งเขาก็แกล้งนางเล่นไม่ได้แล้วใช่หรือไม่

หลงเอ้อร์คิดอยู่นาน พลันถามขึ้นทันใด “แม่นางจวี ครั้งก่อนที่โรงน้ำชาเจ้าบอกว่าเจ้ามีวิธีจะทำให้ข้าได้เงินกลับมาจากการทำกันสาดนั่นคือวิธีใด”

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจที่เขาถามคำถามนี้ แต่ยังคงตอบ “ข้าเพียงคิดว่าในเมืองหลวงมีคนร่ำรวยสูงศักดิ์ที่มีเงินมากจนใช้ไม่หมดจำนวนไม่น้อย ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือชื่อเสียงและอำนาจ ถนนตงต้าเป็นถนนการค้าที่สำคัญที่สุดในเมืองหลวง หากทำการซ่อมแซมครั้งใหญ่เช่นนี้ ขอเพียงทำให้ดี ย่อมมีเศรษฐียอมควักกระเป๋าเพื่อสร้างชื่อประดับไว้”

หญิงตาบอดผู้นี้…หลงเอ้อร์ยิ้มอย่างอดไม่ได้ เขารู้ว่านางน่าสนใจและก็เป็นไปตามที่คิดจริงๆ อยู่กับนาง เขาไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย

“เรื่องแต่งงานกับเจ้าใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หลงเอ้อร์พูดคำนี้ออกมา จวีมู่เอ๋อร์ก็เงยหน้าเบิกตาโตด้วยความตกใจ

ท่าทางของนางทำให้หลงเอ้อร์หัวเราะอีกครั้ง เขาพูดว่า “แต่เจ้าต้องมีเหตุผลที่มาจูงใจข้าสักข้อ หากเจ้าแต่งเข้ามาจะมีประโยชน์อะไรกับข้า”

คำถามนี้สำคัญอย่างแท้จริง และจงใจสร้างความลำบากใจให้แก่นาง

จวีมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเอียงหัวเล็กน้อยครุ่นคิดอย่างจริงจัง นางต้องหาคำตอบที่ท่านหลงเอ้อร์ชอบออกมาสักข้อ

“ข้าเป็นสิ่งคลายเครียดให้ท่านได้”

หลงเอ้อร์หัวเราะเสียงดัง นางรู้ด้วยหรือว่านางสามารถทำให้เขาคลายเครียดได้

หลงเอ้อร์อารมณ์ดีมาก เขานั่งพิงพนักเก้าอี้มองดูจวีมู่เอ๋อร์ รู้สึกว่าใบหน้าของนางดูไม่ขัดหูขัดตาเท่าที่ผ่านมา

“เจ้าลองบอกมาสิว่าเหตุใดเจ้าจึงคิดจะแต่งงานกับข้า”

เหตุผล?

เพราะท่านหลงเอ้อร์หล่อเหลา เพราะท่านหลงเอ้อร์มีเงินมาก เพราะท่านหลงเอ้อร์มีอารมณ์ขัน เพราะท่านหลงเอ้อร์ดูแลครอบครัวได้ หรือเพราะท่านหลงเอ้อร์มีวรยุทธ์สูงส่ง…

คำพูดน่าขนลุกพวกนี้ จวีมู่เอ๋อร์คิดว่าตนคงพูดไม่ออก

นางเงียบไปนาน ในที่สุดก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง “เพราะว่าข้าอยากจะแต่งงานกับท่าน!”

นาง…ช่าง…ช่างพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำ!

อยากจะแต่งงานกับเขา!

เหตุใดเขาจึงรู้สึกดีใจกับคำพูดนี้

หลงเอ้อร์อ้าปากหัวเราะอย่างไร้เสียง

เขาหัวเราะอย่างสำราญใจ ไม่ได้เก็บอาการเอาไว้เลย เพราะนางมองไม่เห็น ขอเพียงเขาไม่ส่งเสียงออกมาก็สามารถแสดงท่าทางต่างๆ ต่อหน้านางได้อย่างอิสระ หลงเอ้อร์รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่เลว ต่อหน้านางเขาก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำกลบเกลื่อน สามารถแกล้งนางได้ตามใจชอบ และปฏิกิริยาตอบสนองของนางก็น่าสนใจถึงเพียงนั้น คิดแล้วก็ยิ่งเบิกบานใจ หลงเอ้อร์หัวเราะต่ออย่างอดไม่ได้จริงๆ

จวีมู่เอ๋อร์จ้องไปด้านหน้าด้วยสีหน้างุนงง หลังจากที่นางเอ่ยคำนั้นไปแล้ว ท่านหลงเอ้อร์ก็ไม่พูดอะไรอีก แต่นางกลับรู้สึกว่ามีบรรยากาศแปลกๆ อวลอยู่โดยรอบ เรื่องเป็นเช่นไรกันแน่

ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดหลงเอ้อร์ก็เบิกบานใจจนพอแล้ว เขาดื่มน้ำกลั้วคอ เรียกหลี่เคอเข้ามาสั่งการ “ให้พวกสายสืบไปจับตาจูเฉินซื่อเป็นพิเศษ หาข้อมูลของทุกคนที่นางเคยติดต่อด้วย อย่าให้ปล่อยผ่านไปเด็ดขาด มีใยแมงมุมรอยเท้าม้า* อะไรก็ต้องมารายงาน”

หลี่เคอรับคำสั่งแล้วจากไป

จวีมู่เอ๋อร์เบิกตาโตแสดงให้เห็นว่าตกใจ หลงเอ้อร์รู้สึกได้ใจเล็กน้อย “เจ้ามองไม่เห็นสิ่งใด แต่สามารถวิเคราะห์จากสัมผัส กลิ่น และเสียง เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหลงจู๊หลี่ว์ไม่ใช่คนร้ายเพราะได้สัมผัสเสื้อของเขาและได้กลิ่นธูปบนตัวเขา จากเรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ได้ยินเสียงของคนร้ายและไม่รู้ว่าคนร้ายคือใคร วันนี้ในโถง นอกจากทหารประจำการกับหลงจู๊หลี่ว์แล้ว มีเพียงจูเฉินซื่อที่เข้าใกล้ตัวเจ้าจนเจ้าสามารถสัมผัสและได้กลิ่น เจ้าบอกว่ามีเบาะแสเพิ่มเติมข้าจึงเห็นว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับนางเกินครึ่งแล้ว” หลงเอ้อร์เห็นท่าทางของจวีมู่เอ๋อร์ก็รู้ว่าเขาเดาถูกแล้ว จึงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าว่าข้าฉลาดหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์แอบถอนหายใจ ท่านหลงเอ้อร์ที่สามารถเรียกลมเรียกฝนในสนามการค้าได้ผู้นี้ต้องให้คนมาพูดชมเขาจึงจะพอใจใช่หรือไม่

“ฉลาด ฉลาดยิ่งนัก ท่านหลงเอ้อร์ช่างปราดเปรื่อง”

หลงเอ้อร์หัวเราะร่วน ได้เห็นจวีมู่เอ๋อร์ที่เอ่ยชมเขาอย่างเสียไม่ได้ แต่ยังคงต้องปั้นหน้าว่าจริงใจเช่นนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ

เขาแกล้งนางต่อ โดยการยื่นมือไปกุมมือที่จับไม้เท้าของนางไว้แล้วเอ่ยถาม “ข้าฉลาดถึงเพียงนี้ เจ้าอยากจะแต่งงานกับข้าหรือไม่”

มือของเขาใหญ่ ความอบอุ่นซึมผ่านหลังมือเย็นเฉียบของจวีมู่เอ๋อร์ ทำให้นางรู้สึกถึงความสบายใจที่ไม่อาจถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้ นางตอบกลับอย่างหนักแน่นเพียงคำเดียวว่า “อยาก!”

รอยยิ้มของหลงเอ้อร์ยังคงติดอยู่บนใบหน้า เขามองออกว่านางจริงจัง จริงจังอย่างมาก

นางอยากจะแต่งงานกับเขาจริงๆ

แต่ไม่ใช่เพราะชื่นชมในหน้าตาของเขา นับถือในชื่อเสียงของเขา หรือเห็นแก่ฐานะของเขา แท้จริงแล้วหลงเอ้อร์ไม่คิดเลยว่าพวกเขาทั้งสองคนจะรู้จักและมาเกี่ยวข้องกันเช่นนี้ นางคงไม่เกิดความรู้สึกรักต่อเขา และถึงหากมีความรู้สึกเช่นนั้นจริงก็คงไม่ลึกซึ้งพอที่จะทำให้นางอยากแต่งงานกับเขา

ดังนั้นประเด็นสำคัญจึงไม่ใช่ ‘นางอยากแต่งงานกับเขา’ แต่เป็น ‘นางอยากแต่งงาน’ ต่างหาก และเขาเองก็ยังไม่ได้แต่งงาน รวมกับมีเรื่องที่นับว่าต้องเกี่ยวพันกันเรื่องหนึ่งพอดี นางจึงคิดว่าสามารถใช้เงื่อนไขนี้มาเป็นข้อตกลงได้

หลงเอ้อร์ระงับจิตใจ เขายังกุมมือของนางอยู่และนางไม่ได้หลบหลีก ปล่อยให้เขากุมต่อไป มือของนางเย็นเฉียบ มิน่าเล่า นางจึงสวมเสื้อหนากว่าผู้อื่น เพราะว่าตัวเย็นเช่นนี้เอง

เขาจับมือนาง รู้สึกว่ามือที่อยู่ใต้ฝ่ามือของเขาค่อยๆ อุ่นขึ้น

จวีมู่เอ๋อร์หันมาทางเขา ท่าทางของนางดูร้อนใจและเต็มไปด้วยการรอคอย ตาของนางสุกใสเป็นประกาย น่าเสียดายที่ไร้แวว สำหรับหลงเอ้อร์แล้วท่าทางของนางน่าสงสารจริงๆ

เขารู้สึกใจอ่อนในทันใด ลืมสิ่งที่ตัวเองเคยสอนหลี่เคอว่าอย่าให้ความน่าสงสารของผู้หญิงหลอกเอาได้ แต่ตอนนี้เขาเองกลับถูกหลอกเองเสียแล้ว

เขารู้ว่านางยังคงปกปิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ยังอยากจะเติมเต็มความปรารถนาของนาง แต่งงานกับนาง

หากเขามอบโอกาสนี้ให้ผู้อื่นไปคงทำให้ตัวเองไม่มีความสุข เช่นนั้นก็แต่งงานเถอะ! อย่างไรเสียก็เพียงแค่เพิ่มตะเกียบกินข้าวอีกคู่หนึ่งเท่านั้น นางน่าสนใจเพียงนี้หากต่อไปสามารถอยู่ข้างกายให้เขาแกล้งได้ทุกวัน เช่นนั้นก็แต่งนางเข้ามาดีกว่าเสียให้ผู้อื่นไป

“ข้าจะแต่งงานกับเจ้า”

พอหลงเอ้อร์พูดออกมา ความตื่นเต้นยินดีก็ฉายชัดบนใบหน้าของจวีมู่เอ๋อร์ทันที ท่าทางเหมือนมีแสงสว่างปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างฉับพลัน

หลงเอ้อร์พูดอีกว่า “เจ้ากลับไปกับพ่อของเจ้าก่อน นอนพักให้เพียงพอ ตอนบ่ายแก่ๆ ข้าจะไปหาแล้วไปจวนว่าการเพื่อพูดคุยเรื่องคดีกับท่านเจ้าเมืองด้วยกัน เจ้ามองไม่เห็นหน้าคนร้ายแค่เพียงคำพูดไม่อาจนับว่าเป็นหลักฐานอะไร ดังนั้นต้องมีพยานหลักฐานที่แน่ชัดแน่นหนาจึงจะสามารถนำตัวคนร้ายมาลงโทษได้ พวกเราจะคิดหาวิธีช่วยหลงจู๊หลี่ว์ออกมา เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

“ตกลง” จวีมู่เอ๋อร์ตอบ รู้สึกโล่งอกในที่สุด

หลงเอ้อร์ดึงตัวนางให้ลุกขึ้น เดินไปส่งนางที่โถงด้านหน้า ทั้งสองคนไม่ได้พูดกันตลอดทาง จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกโล่งใจจึงรู้สึกง่วงขึ้นมาทันใด ดวงตาเริ่มปรือ สะลึมสะลือเดินไปสัปหงกไป

หลงเอ้อร์แตะผ้าพันแผลบนหัวของนางแล้วพูดว่า “เจ้ายังไม่ได้ถามข้าเลยว่าจะกำหนดเวลาการแต่งงานอย่างไร”

“เอ๋?” จวีมู่เอ๋อร์ตกใจอยู่บ้าง “กำหนดเวลาการแต่งงาน?”

“ข้าเพียงตอบตกลงจะแต่งงานกับเจ้า ยังไม่ได้กำหนดเวลา เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเปลี่ยนใจหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ขยี้ตาพูดพึมพำ “ข้าเคยได้ยินแต่คนพูดว่าท่านหลงเอ้อร์ตระหนี่ แต่ไม่เคยได้ยินว่าท่านตระบัดสัตย์ ข้าเชื่อคำพูดของท่าน”

คราวนี้หลงเอ้อร์ดึงไม้เท้าของนางไว้ “ตอนนี้ข้านับเป็นคู่หมั้นหมายของเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับเอาคำของคนนอกมาพูดให้ร้ายข้าได้อย่างไร”

คำว่าคู่หมั้นหมายไปกระตุ้นจวีมู่เอ๋อร์ นางได้สติคืนมาในทันใด เอ่ยตอบอย่างจริงจังว่า “ข้าชมท่านหลงเอ้อร์ว่าเป็นคนรักษาสัจจะ พูดให้ร้ายท่านเสียเมื่อไร”

“เช่นนั้นที่เจ้ากล่าวว่า ‘ได้ยินคนอื่นพูดว่าท่านหลงเอ้อร์ตระหนี่’ หมายความว่าอย่างไร”

“ก็แค่คนอื่นพูดกัน ข้าไม่ได้เป็นคนพูด”

“คนอื่นพูดเจ้าก็ไม่ควรฟัง”

จวีมู่เอ๋อร์ลอบถอนหายใจ ลูบหลังมือของหลงเอ้อร์เพื่อให้คลายความโกรธ “ท่านหลงเอ้อร์พูดถูก คราวหน้าข้าจะไม่ฟังแล้ว”

คนทั้งสองต่อปากต่อคำกันในเรื่องที่ไม่เป็นสาระเท่าใดนักหลายเรื่องจนเดินไปถึงโถงชั้นหน้า จวีเซิ่งที่อยู่ที่นั่นแทบจะทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว เขากินอาหารเช้าไปสามรอบ อิ่มจนจุก เมื่อเห็นจวีมู่เอ๋อร์มาถึงจึงรีบเดินเข้าไปหา “เหตุใดแค่ไปจับพิณตัวเดียวจึงนานเช่นนี้”

“ท่านหลงเอ้อร์เชิญข้ากินอาหารเช้าด้วย”

“อ๋อๆ” ผู้เฒ่าจวีเกิดความรู้สึกด้านบวกกับท่านหลงเอ้อร์ขึ้นมาในทันใด ไม่เพียงไม่โกรธที่พวกเขามารบกวนแต่เช้า ยังจัดเตรียมอาหารเช้าให้ด้วย แท้จริงแล้วนิสัยดีกว่าคำเล่าลือมากนัก

ผู้เฒ่าจวีเอ่ยขอบคุณแล้วพาตัวบุตรสาวจากไป

มองดูจนรถม้าของพ่อลูกสกุลจวีลับตาไป หลงเอ้อร์จึงเดินไปยังห้องนอน เขาตัดสินใจจะนอนพักสักครู่ ก่อนเวลาอาหารกลางวันค่อยให้คนไปส่งเทียบขอพบที่จวนว่าการเพื่อขอพบชิวรั่วหมิงในตอนบ่าย

เขานอนลงบนเตียง ทบทวนเรื่องทั้งหมดอีกรอบ พลันคิดขึ้นได้ว่าเรื่องการแต่งงานยังมีหลายสิ่งไม่ได้พูดให้ชัดเจน ทั้งสินสอด ของหมั้น เงินที่ต้องใช้จัดสามหนังสือหกพิธี* ค่าจ้างแม่สื่อ ซื้อของใช้บ่าวสาว เลี้ยงแขก และจับจ่ายเบ็ดเตล็ด เขาไม่ได้คิดอะไรก็ตอบตกลงแต่งงานกับนางเสียแล้ว นี่ไม่ใช่วิสัยของเขาเลย เขาต้องรีบคำนวณให้ถี่ถ้วน จะขาดทุนไม่ได้เด็ดขาด ต้องคิดวิธีหาเงินพวกนี้กลับมาให้ได้โดยไว

 

หลงเอ้อร์นอนพักเพียงหนึ่งชั่วยามก็ลุกขึ้นมาจัดการงานต่างๆ เริ่มจากเรียกตัวหลี่เคอให้มารายงานว่าสายสืบมีความคืบหน้าอะไรบ้าง สั่งให้พ่อบ้านคนหนึ่งจับตามองการค้าของร้านน้ำชาทุกร้านให้ดี แม้หลงจู๊หลี่ว์ไม่อยู่ กิจการโรงน้ำชาจะให้วุ่นวายไม่ได้ จากนั้นจึงให้คนนำเทียบขอพบไปที่จวนว่าการ และส่งคนไปสืบว่าช่วงที่ผ่านมาทางด้านจวีมู่เอ๋อร์มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง

เมื่อกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เขาตรวจสอบสมุดบัญชีอยู่สักครู่จึงให้คนเตรียมรถม้า เดินทางออกไปรับตัวจวีมู่เอ๋อร์ที่ร้านเหล้า

ผลปรากฏว่าเมื่อไปถึงที่นั่นกลับพบว่าจวีมู่เอ๋อร์ยังไม่ตื่นนอน

ผู้เฒ่าจวีพูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ตั้งแต่ลูกสาวของข้าตาบอดเมื่อสองปีก่อน ร่างกายก็ไม่ค่อยดีนัก เมื่อคืนนางได้รับความตกใจ ซ้ำยังบาดเจ็บ อดนอนมาทั้งคืน ตอนเช้าพอกลับมาถึงก็รีบนอนพัก ถึงตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย ข้าเรียกนางให้ตื่นขึ้นมากินอาหารก็ไม่ยอมกิน เอาแต่นอนเพียงอย่างเดียว จนข้าอุ่นยานี้ไปหลายรอบแล้ว”

หลงเอ้อร์พยักหน้า ขอให้ผู้เฒ่าจวีช่วยไปดูอีกครั้ง ผู้เฒ่าจวีไม่เต็มใจนัก แต่ระหว่างทางกลับบ้าน บุตรสาวได้กำชับไว้แล้วว่าตอนบ่ายท่านหลงเอ้อร์จะมารับนาง บอกว่าเขาต้องเรียกให้นางตื่น เขาเองก็ไม่อยากขัดความตั้งใจของบุตรสาวจึงเดินไปดูอีกครั้งหนึ่ง

หลงเอ้อร์รออยู่สักพัก ผู้เฒ่าจวีก็ประคองจวีมู่เอ๋อร์เดินออกมา นางได้นอนพักแล้ว แต่กลับยิ่งดูป่วยหนักมากขึ้นไปอีก หลงเอ้อร์ขมวดคิ้วเอามืออังหน้าผากของนาง “เหตุใดจึงตัวร้อนเช่นนี้ เจ้ากินยาหรือยัง”

“กินแล้ว” จวีมู่เอ๋อร์ป่วยจนเพียงแค่พูดก็อ่อนแรง

ผู้เฒ่าจวีรีบยกยาที่อุ่นไว้บนเตามาให้ “ยามื้อกลางวันยังไม่ได้กินเลย”

นางย่นคิ้ว ยื่นมือไปรับถ้วยยามาดื่มอึกใหญ่ด้วยสีหน้าเหมือนถูกลงทัณฑ์ ท่าทางเป็นทุกข์นั้นทำให้หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว

จวีมู่เอ๋อร์ดื่มยาเสร็จก็หันไปพูดกับผู้เฒ่าจวีว่า “หลงเอ้อร์ พวกเราไปกันเถอะ”

หลงเอ้อร์โมโห นางเรียกใครว่า ‘หลงเอ้อร์’ น่ะ! เขายื่นมือไปจับใบหน้าของนางให้หันมา “ข้าอยู่ทางนี้”

“อ้อ หลงเอ้อร์ พวกเรารีบไปกันเถอะ” จวีมู่เอ๋อร์พูดคำน่าตกตะลึงนั้นออกมาอีกครั้ง อาการป่วยทำให้ความสดชื่นและพลังที่เคยมีหายไปหมด

เป็นหนักถึงเพียงนี้แล้วยังจะไปอีกหรือ!

หลงเอ้อร์รู้สึกไม่ยินดีอย่างมาก เดิมทีเขาคิดจะกลับมารับนางอีกครั้งในวันอื่น แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วก็เห็นว่าไม่ได้การ ผู้เฒ่าจวีคนนี้ดูก็รู้ว่าดูแลคนป่วยไม่เป็น มีอย่างที่ไหน ปล่อยให้คนป่วยนอนจนไม่เรียกให้ตื่นขึ้นมากินยากินอาหาร

หลงเอ้อร์ตัดสินใจว่าต่อจากนี้เขาจะดูแลจวีมู่เอ๋อร์เอง จึงดึงตัวนางเข้ามา “ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบท่านหมอ กินอาหารแล้วพักสักครู่ก่อน ยังไม่ต้องรีบไปพบท่านเจ้าเมืองหรอก”

ผู้เฒ่าจวีเดินตามหลังมาอย่างงุนงง เขาเห็นท่านหลงเอ้อร์อุ้มจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นรถม้า แล้วคนรถก็ส่งเสียงว่า “ไป” จนกระทั่งรถม้าค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไป ผู้เฒ่าจวีจึงคืนสติ ตะโกนตามไปว่า

“ท่านหลงเอ้อร์ มู่เอ๋อร์พบท่านหมอแล้ว ได้ยามาแล้วด้วย”

แต่ไม่มีใครสนใจเขา รถม้ายังคงเคลื่อนที่ต่อไปไม่หยุด

ผู้เฒ่าจวีเกาหัว ไม่รู้ว่าจะได้ยินกันหรือไม่ พลันคิดขึ้นได้ว่าในเมื่อไม่ได้ไปพบท่านเจ้าเมืองแล้ว เหตุใดท่านหลงเอ้อร์ยังคงรับตัวบุตรสาวของเขาไปอีก

และเหตุใดท่านหลงเอ้อร์กับบุตรสาวจึงดูเหมือนจะสนิทสนมกันมากถึงเพียงนี้

หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรที่คนเป็นพ่อเช่นเขาไม่รู้?

บทที่หก

หลงเอ้อร์มีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือหากสิ่งใดไม่ใช่ของของเขา เขาจะไม่รู้สึกว่าเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอย่างสิ้นเชิง ไม่สนใจความเป็นความตาย แต่หากสิ่งใดเป็นของของเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของหรือทรัพย์สิน เขาจะรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของเขา ไม่ว่าอะไรก็ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว

เมื่อวานจวีมู่เอ๋อร์กับเขายังเป็นคนอื่นไกล แต่มาวันนี้หลังจากที่เขาบอกว่า ‘ข้าจะแต่งงานกับเจ้า’ เขาก็เห็นนางไม่ขัดหูขัดตาเช่นแต่ก่อน ไม่เพียงไม่ขัดหูขัดตา ซ้ำยังรู้สึกว่าการดูแลนางเป็นสิ่งที่เขาสมควรทำ

ดังนั้นเมื่อคิดว่านางคงปีนขึ้นรถม้าลำบาก เขาจึงอุ้มนาง แต่เมื่อนางขึ้นไปได้แล้วก็หาที่นั่งพิงผนังรถม้านิ่งเงียบ แม้แต่คำอ่อนหวานสักคำก็ไม่ได้พูดกับเขา

หลงเอ้อร์รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา คิดตำหนิหญิงตาบอดที่ไร้จิตใจผู้นี้อย่างมาก ไม่ว่าเขาจะทำอย่างจริงใจเพียงใด จวีมู่เอ๋อร์ก็ไม่รับรู้

จวีมู่เอ๋อร์นั่งพิงผนังรถม้า นางรู้สึกง่วงเหลือเกิน หลับตาลงอยากจะนอนหลับ

หลงเอ้อร์สะกดกลั้นอารมณ์ เขานั่งตัวตรงอยู่ข้างกายนาง เงียบอยู่นานก็ไม่เห็นนางขยับตัวแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ดูเหมือนนางจะหลับไปแล้วจริงๆ

หลงเอ้อร์ยิ่งอึดอัดมากขึ้นไปอีก

รถม้าวิ่งไปข้างหน้า ภายในรถม้ามีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย นั่นคือหัวของจวีมู่เอ๋อร์ที่พิงผนังรถโงนเงนไปตามการเคลื่อนที่ของรถม้า โขกเข้ากับผนังรถจนเกิดเสียงขึ้นเบาๆ

จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้สึกตัว นางหลับต่อไป เป็นหลงเอ้อร์ที่ถูกเสียงนั้นทำให้รำคาญใจ เขาหันไปมองหัวของจวีมู่เอ๋อร์ที่มีผ้าพันเอาไว้ บาดแผลยังไม่หายดี ตอนนี้มาโขกไปมาเช่นนี้อีก แต่หญิงผู้นี้กลับไม่รู้สึกเจ็บ นางยังจะหลับต่อได้อีก!

หลงเอ้อร์ยื่นมือออกไปอย่างอารมณ์เสีย ใช้ท่อนแขนหนุนหลังหัวให้นาง มือแข็งแกร่งอบอุ่นให้ความรู้สึกสบายกว่าผนังรถที่แข็งกระด้างนั้นอย่างเห็นได้ชัด จวีมู่เอ๋อร์จึงครางหนึ่งที ขยับหัวแนบฝ่ามือของเขาแล้วหลับต่อไปอย่างสบายใจ

คราวนี้ภายในรถไม่มีเสียงอะไรแล้ว หัวของจวีมู่เอ๋อร์ก็ไม่โขกสิ่งใดแล้ว แต่ฝ่ามือของหลงเอ้อร์กลับถูกนางยึดครองไป

หลงเอ้อร์มองหญิงสาวที่กำลังหลับสบาย พลันรู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกินที่ยกมือค้างไว้เช่นนี้ ไม่มีใครจะพูดยกย่องถึงความดีที่เขาได้ทำนี้เสียหน่อย ความจริงเขาไม่ควรสนใจนาง ปล่อยให้นางหัวโขกผนังรถเช่นนั้นต่อไปก็ดีแล้ว

แต่ท้ายที่สุดหลงเอ้อร์ผู้โง่เง่าคนนี้ก็ยกมือเช่นนี้ไปตลอดทางจนถึงคฤหาสน์สกุลหลง

รถม้าเข้าคฤหาสน์สกุลหลงทางประตูข้าง หลงเอ้อร์ลงจากรถก่อน หันไปสั่งให้คนไปเชิญท่านหมอมือดีมาด้วยเสียงอันเบา แล้วให้สาวใช้จัดเตรียมห้องพัก จากนั้นจึงกลับขึ้นไปบนรถ คิดจะเขย่าตัวจวีมู่เอ๋อร์เพื่อปลุกให้นางตื่น

“ข้าตื่นแล้ว” เขาเพิ่งจะแตะถูกตัวนาง จวีมู่เอ๋อร์ก็พูดเสียงงัวเงียขึ้นมา

“ตื่นแล้วเหตุใดจึงไม่ขยับตัว” หลงเอ้อร์ขบกราม เสียทีที่เมื่อครู่เขาอุตส่าห์ลดเสียงพูดให้เบาลง กลัวจะทำให้นางตื่น จึงพูดและเคลื่อนไหวอย่างเบาๆ แต่นางกลับตื่นนานแล้ว

จวีมู่เอ๋อร์ขยี้ตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “ไม่มีใครเรียกก็หมายความว่ายังไม่ต้องขยับ ในเมื่อไม่ต้องขยับ เช่นนั้นก็ขอนอนต่ออีกสักครู่ดีกว่า”

หลงเอ้อร์จ้องหน้านาง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่านางมองไม่เห็น เขาจึงบอกนางว่า “ข้าจ้องเจ้าอยู่”

“อ้อ ข้ารู้แล้ว”

“…” หลงเอ้อร์เหลือจะกล่าว เขาอดจ้องนางต่อไม่ได้

จวีมู่เอ๋อร์นั่งอยู่สักครู่ก็ไม่ได้ยินเสียงเขาขยับตัว จึงเอ่ยถาม “ท่านกำลังจ้องข้าอีกแล้วหรือ”

“ใช่” คำนี้หลงเอ้อร์กัดฟันพูด

จวีมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางปวดหัวมาก อยากจะนอนต่อ “เช่นนั้นพวกเราลงจากรถม้าได้หรือไม่ หรือว่าท่านจะจ้องต่อ หากเป็นเช่นนั้นข้าจะนอนอีกสักครู่”

“ลงรถ!” หลงเอ้อร์โอบเอวอุ้มนางขึ้นมา กระโดดลงจากรถแล้ววางนางลงบนพื้นอย่างแรง หญิงผู้นี้ พอเป็นเช่นนี้ก็สามารถทำให้พระโพธิสัตว์โกรธจนตายได้จริงๆ

นอนๆๆ นางรู้จักแต่นอน

เมื่อออกมานอกรถ อากาศก็หนาวเย็น จวีมู่เอ๋อร์ขนลุกด้วยความหนาว ดึงสติกลับคืนมาได้ นางกุมไม้เท้าไว้แน่น ห่อไหล่แล้วถามว่า “ท่านหลงเอ้อร์ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใดหรือ”

หลงเอ้อร์ยังไม่หายโกรธ เขาฉุดข้อมือนาง เดินนำทางไปด้านหน้า ขณะเดินก็ตอบคำถาม “อยู่คฤหาสน์สกุลหลง”

เหตุใดจึงมาที่คฤหาสน์สกุลหลง จวีมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ แต่เขาเดินเร็วจนนางไม่มีเวลาถามคำถามเหล่านี้ ทำได้เพียงรีบเอ่ย “ท่านเดินช้าสักนิดได้หรือไม่ ข้าตามไม่ทัน”

“ข้ารู้ว่าเจ้าตามทัน ไม่ต้องจำเส้นทางแล้ว และไม่ต้องคิดหนีด้วย ข้าเชิญท่านหมอให้มาดูอาการป่วยของเจ้าแล้ว เจ้าพักผ่อนนอนหลับให้สบายสักงีบ ส่วนข้าจะไปจวนว่าการเยี่ยมหลงจู๊หลี่ว์สักหน่อย จากนั้นค่อยไปคารวะท่านเจ้าเมือง กลับมาแล้วจะเล่าให้ฟัง เจ้าพักผ่อนเสีย หากรู้สึกสดชื่นขึ้นแล้วข้าค่อยพาเจ้าไปจวนว่าการอีกครั้ง”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ฟังก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ท่านหลงเอ้อร์ผู้นี้จิตใจดียิ่งนัก นางไม่ได้โต้เถียง ทำตามความต้องการของเขา เดินตามเขาไปพักผ่อนในห้องพักชั่วคราว

ไม่นานท่านหมอก็มาถึง เพื่อตรวจชีพจรและสอบถามอาการป่วยของจวีมู่เอ๋อร์ที่สัปหงก ตอบคำถามท่านหมอด้วยสภาพสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างหนัก หลงเอ้อร์อยากจะจับไหล่นางแล้วเขย่าแรงๆ ตะโกนเสียงดังว่า ‘ตื่นๆๆๆๆ!’

แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาย่อมทำเช่นนั้นไม่ได้ แม้จะโกรธ แต่ยังไม่ถึงขั้นโกรธจนคลั่ง

ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงยืนเม้มริมฝีปากอยู่ด้านข้าง จ้องมองหญิงโง่ผู้นี้ถูกตรวจอาการป่วย ปรากฏว่ากลับทำให้ท่านหมอกังวลใจจนเหงื่อตก คิดว่าตนตรวจได้ไม่ดี ครั้นอยากจะตรวจชีพจรให้นานขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจ ก็เกรงว่าท่านหลงเอ้อร์จะคิดว่าวิชาแพทย์ของเขาไม่ดี หากจะรีบตรวจให้เสร็จโดยเร็วเพื่อแสดงว่าตนมีวิชาแพทย์สูงส่งก็กลับกลัวว่าท่านหลงเอ้อร์จะคิดว่าเขาตรวจไม่ละเอียด

สรุปคือการตรวจโรคในครั้งนี้ คนหนึ่งง่วงจนไร้ชีวิตชีวา คนหนึ่งโกรธจนหน้าดำ ส่วนอีกคนหนึ่งระมัดระวังจนตัวสั่นงันงก สุดท้ายเมื่อตรวจเสร็จ ท่านหมอก็เขียนใบสั่งยาให้ใหม่ คลายผ้าพันแผลบนหัวของจวีมู่เอ๋อร์ออก ตรวจบาดแผลอย่างละเอียดและทายาให้ใหม่

การทำแผลที่หัวทำให้จวีมู่เอ๋อร์เจ็บจนได้สติ นางถามท่านหมอว่าบาดแผลนี้อีกนานเท่าไรจึงจะโดนน้ำได้ ท่านหมอบอกอย่างน้อยต้องสิบกว่าวันขึ้นไป จวีมู่เอ๋อร์หน้าสลดลงทันที

รอจนท่านหมอกลับไปแล้ว จวีมู่เอ๋อร์จึงพูดกับหลงเอ้อร์ว่า “ท่านหลงเอ้อร์ เรื่องคดีรอช้าไม่ได้ พวกเราต้องรีบจัดการให้จบเรื่องในเร็ววัน ข้าจะไปจวนว่าการกับท่านตอนนี้เลย”

“เจ้ากินอาหาร ดื่มยา นอนพักรักษาตัวให้ไข้ลดก่อน ข้าจะไปจัดการเรื่องที่จวนว่าการเอง รอให้เจ้าฟื้นตัวสักนิดแล้วค่อยพาเจ้าไป”

“ไม่เอา ข้าไปกับท่านตอนนี้เลยดีกว่า”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว “เมื่อครู่เจ้ายังง่วงจนงัวเงีย เหตุใดตอนนี้จึงร้อนใจขึ้นมา”

“ท่านไม่ได้ฟังที่ท่านหมอพูดหรือ”

“พูดอะไร” หลงเอ้อร์คิดไม่ออกว่าท่านหมอได้พูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับคดี

“เขาบอกว่าหัวข้าโดนน้ำไม่ได้สิบกว่าวัน”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้วแน่นขึ้น “แล้วอย่างไร”

“หมายความว่าหัวของข้าในสิบกว่าวันนี้ จะถูกยาเหม็นๆ ทาซ้ำไปซ้ำมา ทั้งยังสระผมไม่ได้ หากหมักหมมนานถึงเพียงนั้นจะเหม็นสักเท่าใดกัน” นางย่นจมูก “อาศัยช่วงเวลาก่อนที่ข้ายังไม่สามารถใช้กลิ่นรมท่านเจ้าเมืองให้สิ้นสติได้รีบไปกันเถอะ ข้าจะรีบทำสิ่งที่ข้าสามารถทำได้ให้เสร็จ จากนั้นก็จะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ให้ตัวเองเหม็นเพียงคนเดียวก็พอ”

เหตุผลนี้ทำให้หลงเอ้อร์พูดไม่ออก เขารู้สึกว่านางต้องยังง่วงอยู่แน่นอนจึงพูดอะไรสับสนวุ่นวายไปหมดเช่นนี้

แต่เขาไม่สนใจนาง เพียงสั่งสาวใช้ที่ยืนรออยู่ด้านข้างให้ดูแลนางให้ดี ปรนนิบัติให้นางกินอาหาร ดื่มยาเสร็จแล้วก็คอยดูให้นางนอนพักผ่อนสักครู่ด้วย

จวีมู่เอ๋อร์ยืนเบ้ปากอยู่ด้านข้าง การมีกลิ่นเหม็นถือเป็นเรื่องที่สาหัสมากเหมือนกันนะ

หลงเอ้อร์เหลือบมองนางแวบหนึ่ง ร้อง “หึ” หนึ่งทีแล้วเดินจากไป

เขารู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงคือความยุ่งยาก ไม่ว่าจะพูดถึงสิ่งที่จับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้ก็ตาม

หลงเอ้อร์เพิ่งจะเดินออกจากประตู จวีมู่เอ๋อร์ก็ส่งเสียงเรียก “ท่านหลงเอ้อร์ ช้าก่อน”

“ตอนนี้เจ้าไปไม่ได้” คราวนี้หลงเอ้อร์ตัดบทนางอย่างไม่เกรงใจ

“ในเมื่อไปไม่ได้ เช่นนั้นข้าขอบอกเรื่องบางอย่างแก่ท่านก่อน” จวีมู่เอ๋อร์หน้ายู่อย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ยังคงกวักมือให้หลงเอ้อร์เดินเข้ามาหา “ข้าจะบอกสิ่งที่ข้ารู้แก่ท่าน”

หลงเอ้อร์คิดว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หากเขารู้เบาะแสที่มีประโยชน์ก็จะสามารถจัดการเรื่องราวได้ง่ายขึ้น

เขาสั่งให้สาวใช้ไปยืนรอที่หน้าประตู แล้วยกเก้าอี้จะไปนั่งตรงข้างเตียง รอฟังว่าจวีมู่เอ๋อร์จะพูดอะไร

ผลปรากฏว่าเพิ่งวางเก้าอี้ลง จวีมู่เอ๋อร์กลับเอ่ยว่า “ท่านอย่าเข้าใกล้ข้ามากเกินไป”

หลงเอ้อร์อารมณ์เสีย “เพราะเจ้าตัวเหม็นหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า หลงเอ้อร์ถลึงตาใส่นาง

“ข้าไม่ถูกเจ้ารมกลิ่นจนสิ้นสติแน่นอน”

“แต่ก็ยังมีกลิ่นเหม็นอยู่ดี” จวีมู่เอ๋อร์โบกมือ “ไกลออกไปสักนิดดีกว่า”

หลงเอ้อร์ย้ายเก้าอี้ให้ห่างออกไปเล็กน้อย จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ แต่นางไม่รู้ว่าความจริงแล้วหลงเอ้อร์ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น เขาแอบมานั่งตรงข้างเตียง

จวีมู่เอ๋อร์หันไปทางเก้าอี้แล้วเริ่มพูด “ท่านหลงเอ้อร์ ตาของข้ามองไม่เห็นคนและสิ่งของ แต่ยังสามารถรับรู้ถึงแสงไฟรางๆ ได้ สมมติว่าหากจุดเทียนในห้องที่มืดมิด ข้าจะสามารถเห็นแสงเทียนนั้นได้เล็กน้อย แต่หากจุดในที่ที่สว่างสักหน่อย ข้าจะแยกไม่ออก” นางชะงักไปสักครู่ ขยับตัวไปชิดที่ตำแหน่งหัวเตียง พูดกับเก้าอี้ตัวนั้นอย่างจริงจัง “ท่านหลงเอ้อร์ เมื่อคืนตอนที่เดินอยู่บนทางเดินชั้นสองของโรงเตี๊ยม ข้าไม่รู้สึกถึงแสงไฟเลยแม้แต่น้อย ตอนที่ประตูห้องของเถ้าแก่จูเปิดออก ข้ามองไปก็ไม่เห็นแสงไฟเช่นกัน ดังนั้นในห้องเขาคงไม่ได้จุดไฟ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขากำลังนอนหลับ ในตอนที่เขากำลังหลับ คนร้ายก็บุกเข้าไปในห้อง เห็นได้ชัดว่าคนร้ายไม่ได้เข้าผิดห้องหรือฆ่าผิดคน แต่จะต้องแอบติดตามเถ้าแก่จูจนรู้ว่าเขาพักอยู่ที่ห้องใด ซ้ำยังดับโคมไฟตรงระเบียงทางเดินเพื่ออำพรางสายตาของผู้คนก่อนลงมือ”

หลงเอ้อร์ได้ฟังแล้วก็เอ่ยตอบ “เจ้าพูดถูก”

เมื่อเขาพูดก็เป็นการเปิดเผยตำแหน่งของตัวเอง จวีมู่เอ๋อร์รีบหันหน้ามาทันใด รู้สึกโมโหอยู่บ้าง “ท่านแกล้งข้าอีกแล้ว!”

“เปล่าเลย” หลงเอ้อร์ไม่ยอมรับ

เขาจะไม่บอกนางแน่นอนว่าการที่นางพูดกับเก้าอี้อย่างจริงจังนั้นน่าขำเพียงใด

จวีมู่เอ๋อร์มองไปทางหลงเอ้อร์ด้วยความโกรธ เมื่อครู่นางจริงจังถึงเพียงนั้น ช่างโง่งมเสียจริง นางเบ้ปาก ไม่อยากพูดอะไรอีก

หลงเอ้อร์รู้สึกผิดจนเอ่ยคำเพื่อปลอบนาง “เรื่องที่เจ้าพูดพอมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ก็พลาดไปอย่างหนึ่ง หากก่อนหน้านั้นพวกเขามีการต่อสู้กันในห้องแล้วทำตะเกียงดับไปก่อน ตอนเปิดประตูเจ้าก็จะมองไม่เห็นแสงเช่นกัน”

จวีมู่เอ๋อร์ตะลึง คิดไปแล้วเขาก็พูดถูก นางจึงพยักหน้า

หลงเอ้อร์เห็นว่าความสนใจของนางเบนไปที่คดีแล้วก็ยิ้มออกมา “แต่ที่เจ้าเดาก็ไม่ผิด ศพของเถ้าแก่จูสวมเพียงเสื้อตัวบาง คิดว่าคงนอนแล้วจริงๆ หากมีคนมาเยือน เขาก็สมควรต้องสวมเสื้อผ้ามิดชิดก่อนแล้วค่อยออกมาพบ ดังนั้นคงมีคนบุกเข้าไปตอนที่เขานอนหลับจริงๆ”

จวีมู่เอ๋อร์ครุ่นคิดอย่างตั้งใจ “คนร้ายสวมเสื้อเนื้อผ้าธรรมดา ข้าไม่ได้สัมผัสถูกใบหน้าของเขา แต่ในวันที่อากาศหนาวเช่นนั้น บนตัวเขากลับสวมเสื้อไม่หนา เขาปิดปากข้า ดึงข้าเข้าไปในห้อง หัวของข้าชนกับคางของเขา เขาคงจะสูงกว่าข้าประมาณครึ่งหัว ร่างกายแข็งแรงกำยำ ตอนนั้นข้าใช้ไม้เท้าตวัดถูกท้องของเขา เขาร้องเจ็บ บางทีที่ท้องอาจจะมีรอยช้ำเหลืออยู่ ข้าจับถูกมือของเขา หลังมือของเขาไม่เรียบเนียน เหมือนจะมีแผลเป็นเล็กๆ อยู่ นอกจากนี้ตอนที่เขาโยนตัวข้าลงบนพื้น ข้าข่วนข้อมือของเขา ตรงนั้นน่าจะเหลือร่องรอยอะไรอยู่บ้าง”

หลงเอ้อร์ฟังอย่างละเอียดจนจบ ย้อนนึกถึงทุกคนในโถงแล้วพูดว่า “โชคดีที่เจ้าไม่พูดสิ่งเหล่านี้ในโถงว่าการ”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ข้ารู้ว่าคำพูดเพียงอย่างเดียวไม่ได้เป็นหลักฐานที่แน่นหนา หากคนร้ายไม่อยู่ในโถง และไม่สามารถจับกุมตัวได้ในที่นั้น แล้วมีข่าวเล็ดลอดออกไป เช่นนั้นไม่เพียงไม่สามารถล้างมลทินให้หลงจู๊หลี่ว์ได้ ซ้ำยังทำให้คนร้ายตัวจริงไหวตัวทัน หากเขาวางแผนหลบซ่อนตัว พวกเราก็จะหาตัวเขาพบได้ยาก”

“แต่เจ้าบอกกับท่านเจ้าเมืองว่าเจ้าอาจมีเบาะแสสำคัญ เพียงแต่ยังคิดไม่ออก ถ้ามีคนนำสิ่งนี้ไปบอกแก่คนร้าย เกรงว่าเจ้าอาจจะมีอันตราย”

“หากข้าไม่พูดเช่นนั้นแล้วท่านเจ้าเมืองตัดสินโทษหลงจู๊หลี่ว์ทันทีเล่า”

“คดีร้ายแรงถึงชีวิตจะตัดสินโทษส่งเดชได้อย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์เบ้ปาก “ข้าไม่ใช่ขุนนางจะรู้ได้อย่างไร ในอดีตท่านซือก็เคยถูกตัดคอไปแล้วไม่ใช่หรือ”

หลงเอ้อร์ตะลึง ท่านซืออะไรถูกตัดคอนะ

จวีมู่เอ๋อร์พูดต่ออย่างรวดเร็ว “ในตอนนั้นข้าคิดแล้วว่ารอให้ออกจากจวนว่าการก่อนก็จะมาขอพบท่าน” นางพูดถึงตรงนี้ใบหน้าก็แดงก่ำ “ตอนที่ฮูหยินของเถ้าแก่จูทุบตีข้า ตัวนางมีกลิ่นหอมเลี่ยนๆ เหมือนน้ำมันหอมอะไรสักอย่าง บนตัวคนร้ายก็มีกลิ่นแบบเดียวกันนี้”

หลงเอ้อร์ครุ่นคิด กลิ่นน้ำมันหอมเลี่ยนๆ หรือ จากนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าจูฟู่พักอยู่บนถนนผิงหยาง และบนถนนสายนั้นก็มีร้านน้ำมันหอมอยู่ร้านหนึ่งจริง

จวีมู่เอ๋อร์พูดต่อ “สิ่งที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้ หากท่านเจ้าเมืองไม่เชื่อคำของข้า สามารถให้เขาทดสอบข้าได้”

“เจ้าได้พบกับคนร้าย เขาได้พูดอะไรอีกหรือไม่”

“ข้าขอให้เขาไว้ชีวิต บอกว่าข้าเป็นคนตาบอด ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ขอให้เขาอย่าฆ่าข้า เขาโยนข้าลงบนพื้นแล้วขยับเข้ามาใกล้เพื่อมองข้า ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจของเขา คิดว่าเขาคงกำลังดูให้มั่นใจว่าข้าตาบอดจริงหรือไม่ จากนั้นหัวของข้าก็ถูกตีแล้วหมดสติไป”

หลงเอ้อร์ครุ่นคิด “เขาคิดจะใส่ร้ายเจ้าโดยการทำหลักฐานเท็จ แม้จะทำได้อย่างรวดเร็ว แต่ดูไม่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าใครหากคิดอย่างละเอียดก็ต้องรู้ว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนฆ่า การตายของจูฟู่ ตำแหน่งและแรงในการแทงมีดล้วนไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะทำได้ ดังนั้นคนร้ายต้องเป็นคนฉลาด แต่กลับไม่ค่อยรอบคอบนัก”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า รู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผล ตอนนี้นางได้พูดทุกอย่างออกมาหมดแล้วจึงโล่งอกและเวียนหัวขึ้นมาทันที ดังนั้นจึงล้มตัวลง คิดจะนอนพักสักหน่อย

หลงเอ้อร์ร้อนรน โน้มตัวไปดึงนางไว้ “เจ้าเป็นอะไร”

“ข้าพูดจบแล้ว นอนได้แล้ว”

คำตอบนี้ทำให้หลงเอ้อร์อึ้งไป จากนั้นก็เกิดโมโห “นอนอะไรกัน ลุกขึ้นมากินอาหารดื่มยาก่อน จู่ๆ ล้มตัวลงนอนโดยไม่พูดไม่จา มีอย่างที่ไหนกัน พวกเรายังคุยกันอยู่เลยนะ!”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบกลับด้วยเสียงเบาหวิว “แล้วท่านที่เปลี่ยนที่นั่งโดยไม่บอกกล่าวเล่า ตอนนั้นพวกเราก็คุยกันอยู่เช่นกัน”

หลงเอ้อร์สะอึก เขาไม่สนใจนาง หันหน้าไปพูดกับสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตู “อาหารล่ะ ยาล่ะ ตั้งนานแล้ว ทำไมยังไม่มาอีก”

สาวใช้ตอบรับลนลาน รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

หลงเอ้อร์ดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้ลุกขึ้น “อย่าเพิ่งนอน หากนอนตอนนี้แล้วยามลุกขึ้นมาจะยิ่งรู้สึกไม่ดี อดทนหน่อย กินอะไรสักนิด ดื่มยาแล้วค่อยนอน”

“เช่นนั้นปล่อยให้ข้าอยู่ที่บ้านยังดีเสียกว่า หากอยู่ที่บ้าน ข้ายังคงนอนหลับสบายได้”

“เจ้ายังจะมีหน้ามาพูดอีก หากอยู่ที่บ้าน เกรงว่าแม้เจ้าจะนอนจนตายไปแล้ว พ่อของเจ้าก็คงยังเฝ้าเตาถ่านอุ่นยาอยู่อย่างนั้น ไม่ไปดูว่าเจ้าไข้ขึ้นได้อย่างไร ยาก็ไม่ได้ให้เจ้ากินตามเวลา ป่วยหนักก็ไม่ไปตามท่านหมอมาดูอาการ หากไม่หายก็ต้องเปลี่ยนยากิน”

“ถ้าป่วยหนักแล้วไม่ได้นอน อาจจะตายเร็วขึ้นก็ได้นี่”

“พูดจาเหลวไหล” หลงเอ้อร์อยากจะเอานิ้วจิ้มหน้าผากของนางนัก เขาประคองให้นางขึ้นนั่งพิงหัวเตียง “ข้าจะอยู่ดูเจ้ากินอาหารดื่มยาให้เสร็จแล้วค่อยไป”

“อืม” จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาทั้งสองไม่ยอมเปิด อย่างไรเสียก็อยู่ในท่านั่งพิง นางนั่งหลับได้

นางเป็นเช่นนี้หลงเอ้อร์ก็รู้สึกอึดอัดใจ นางไม่อยากสนใจเขาแล้วหรืออย่างไร เมื่อครู่ตอนพูดถึงคดียังมีท่าทางดีอยู่เลย พอพูดจบนางก็จะไม่สนใจกันแล้วหรือ

เขาจะทำให้นางสนใจเขาให้ได้

หลงเอ้อร์ผลักนางเบาๆ จวีมู่เอ๋อร์ขมวดหัวคิ้ว เขาหยิกแก้มนาง นางปัดมือเขาออกแล้วย่นจมูก ท่าทางเหมือนเด็กกำลังไม่พอใจทำให้หลงเอ้อร์หัวเราะออกมา

จวีมู่เอ๋อร์ถูกกวนจนรู้สึกรำคาญ นางชี้นิ้วไปทางเก้าอี้แล้วพูดว่า “ท่านหลงเอ้อร์ ช่วยส่งเก้าอี้ตัวนั้นให้ข้าที”

“จะเอาเก้าอี้ไปทำไม”

“หากข้าเบื่อจะได้นั่งคุยกับมัน ข้าตั้งชื่อให้มันว่า ‘เอ้อร์จื่อ’*

หลงเอ้อร์นิ่งอึ้ง เขาถูกนางเหน็บเข้าอีกแล้ว!

หลงเอ้อร์ไม่พอใจ เขาไม่พูดอะไร เพียงสะบัดปลายแขนเสื้อแล้วหมุนตัวเดินจากไป

หญิงที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณผู้นี้!

ใครบอกว่าเขาหลงเอ้อร์ใจร้าย นางสิถึงจะเรียกว่าใจร้าย!

หากเขายังดีต่อนาง เขาก็คือ…ก็คือ…ก็คือเอ้อร์จื่อ!

หลงเอ้อร์จากไปด้วยสีหน้าดำคล้ำ ทำให้สาวใช้สองคนที่ยกถาดมาทั้งตกใจและสงสัย พวกนางไม่เคยเห็นนายท่านรองพูดคุยกับหญิงสาวคนใดแล้วมีท่าทางเช่นนี้มาก่อน

เริ่มแรกนายท่านรองก็ปล่อยให้หญิงสาวผู้นี้พูดเรื่องผมเหม็นหรือไม่เหม็น ซ้ำนางยังทำหน้ายู่เบ้ปากอีกด้วย สักพักก็คุยกันหัวเราะเสียงดังสนุกสนาน พวกนางนำอาหารและยามาให้ช้า นายท่านรองก็โมโห แต่พอพวกนางรีบนำของมาส่ง ผ่านไปแค่เพียงครู่เดียว นายท่านรองกลับโมโหและทะเลาะกับหญิงผู้นี้จนหัวเสีย

นายท่านรองเป็นอะไรไป มีความสัมพันธ์ใดกับหญิงสาวผู้นี้กัน

เหล่าสาวใช้ล้วนเป็นคนของแม่นมอวี๋ ดังนั้นพวกนางจึงตัดสินใจว่าอีกสักครู่จะต้องไปรายงานข่าว

 

ตอนที่แม่นมอวี๋ได้รับข่าวและไปแอบดูจวีมู่เอ๋อร์ หลงเอ้อร์ก็ไปถึงที่ว่าการแล้ว เขาให้คนไปแจ้งท่านเจ้าเมือง ส่วนตัวเองไปเยี่ยมหลงจู๊หลี่ว์ในคุกก่อน

หลี่ว์ซือเสียนเห็นท่านหลงเอ้อร์ก็ดีใจ ท่านหลงเอ้อร์ปลอบเขาว่าไม่ต้องเป็นกังวล เรื่องราวมีเบาะแสแล้ว เขาจะต้องพ้นผิดอย่างแน่นอน

เมื่อหลี่ว์ซือเสียนได้รับคำยืนยันจากหลงเอ้อร์ก็มีท่าทางสบายใจขึ้นมาก หลงเอ้อร์ให้เขานึกย้อนไปถึงเรื่องในวันนั้นอย่างละเอียด หลี่ว์ซือเสียนจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง

หลงเอ้อร์เอ่ยถาม “ตอนที่เจ้าไปถึงโรงเตี๊ยม บนระเบียงได้จุดโคมไฟไว้หรือไม่ และในห้องของเถ้าแก่จู ตะเกียงถูกจุดอยู่หรือไม่”

“ไม่มีเลยขอรับ ทุกอย่างมืดสนิท แต่ข้าน้อยถือโคมไฟไว้ในมือ ดังนั้นเมื่อไปถึงจึงเห็นได้ทันที”

หลงเอ้อร์พยักหน้า สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาเรื่องร้านของหลงจู๊หลี่ว์กับจูฟู่ หลี่ว์ซือเสียนตอบกลับอย่างตั้งใจ จากนั้นหลงเอ้อร์ก็พูดปลอบใจเขาหลายประโยค บอกให้เขารอต่อไปอีกสักนิด เรื่องราวจะต้องกระจ่างในไม่ช้า

หลงเอ้อร์แวะไปเยี่ยมหลี่ว์ซือเสียนเสร็จแล้ว เขาก็ไปขอพบท่านเจ้าเมืองชิวรั่วหมิง วันนี้ชิวรั่วหมิงออกไปตรวจสอบคดีนอกจวนว่าการ เพิ่งกลับมาเมื่อครู่ เมื่อได้ยินว่าหลงเอ้อร์มาขอพบจึงรีบเอ่ยปากเชิญ

คนทั้งสองทักทายกันหลายประโยค จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อเข้าสู่เรื่องคดีทันที หลงเอ้อร์เล่าเรื่องราวที่จวีมู่เอ๋อร์บอกกับตนแก่ชิวรั่วหมิงทั้งหมด และบอกว่าวันนี้นางไม่สบายป่วยไข้ ร่างกายอ่อนแอจึงไม่สะดวกจะมาพบ รอให้ร่างกายดีขึ้นสักนิดแล้วจะมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเองอีกครั้ง

ชิวรั่วหมิงได้ฟังแล้วก็ตกใจอย่างมากจนถึงขั้นไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่เคยคิดเลยว่าหญิงตาบอดคนหนึ่ง เมื่อพบเจอสถานการณ์อันตรายเช่นนั้น จะสามารถสงบใจจับสังเกตจดจำสิ่งรอบด้านได้ดีถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงจำได้มากกว่าคนตาดีเสียอีก

ชิวรั่วหมิงนิ่งเงียบ เขากำลังคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่หลงเอ้อร์จะสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อปกป้องหลี่ว์ซือเสียนเสียเอง

หลงเอ้อร์รู้ถึงความคิดของชิวรั่วหมิง หากเขาไม่ได้พูดคุยกับจวีมู่เอ๋อร์ด้วยตัวเองมาหลายต่อหลายครั้ง ก็คงไม่เชื่อว่านางจะฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้เช่นกัน

“ใต้เท้า ถึงแม้แม่นางจวีผู้นี้จะตาบอด แต่ก็เป็นคนที่ฉลาดเกินใคร ข้ารู้จักกับนางมาระยะหนึ่ง กล้ายืนยันในเรื่องนี้ หากใต้เท้ามีข้อสงสัย รอให้นางสุขภาพดีขึ้นสักหน่อยแล้วค่อยทดสอบนางอีกครั้งก็ได้” ชิวรั่วหมิงใคร่ครวญแล้วพยักหน้า หลงเอ้อร์จึงพูดต่อว่า “ตามคำบอกเล่าของแม่นางจวี กลิ่นน้ำมันหอมบนตัวของจูเฉินซื่อคล้ายกับของคนร้ายมาก เมื่อคืนในโถงว่าการ จูเฉินซื่อที่เข้ามาพบศพของจูฟู่ก็โถมตัวเข้าไปหาแล้วร้องไห้ หากแต่ไม่ได้โถมไปบนตัวเขา แต่กลับโถมไปข้างตัวเขา ถ้าเป็นสามีภรรยาที่รักกันลึกซึ้งจริงๆ การกระทำเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดอยู่บ้าง อีกอย่างหนึ่ง ตอนที่ใต้เท้าไต่สวนหลงจู๊หลี่ว์ นางก็พูดอย่างมั่นใจว่าหลงจู๊หลี่ว์เป็นคนร้าย ขอใต้เท้าให้ความเป็นธรรม แต่ตอนใต้เท้าไต่สวนแม่นางจวี นางก็พูดอย่างมั่นใจว่าแม่นางจวีเป็นคนร้าย โผเข้าไปทุบตี แม้จะบอกว่านางไม่มีพิรุธอะไร แต่ก็ดูแปลกอยู่บ้าง”

ชิวรั่วหมิงมองหน้าท่านหลงเอ้อร์อีกหลายทีอย่างอดไม่ได้ แม้ชื่อเสียงของเขาจะไม่ค่อยดี แต่กลับมีความสามารถในการพิจารณาสิ่งต่างๆ อยู่ไม่น้อย สิ่งที่เขาพูดก็เป็นจุดที่ชิวรั่วหมิงรู้สึกว่าผิดปกติเช่นกัน ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงไปที่พักของคนช่วยงานทั้งสองคนของจูฟู่ และไปหาจูเฉินซื่อเพื่อสอบถามข้อมูล แต่ก็ไม่พบจุดใดที่น่าสงสัย เดิมทีคิดจะกลับมาวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าท่านหลงเอ้อร์จะมาให้เบาะแสถึงที่

กลิ่นน้ำมันหอม?

ถนนผิงหยางที่บ้านของจูฟู่ตั้งอยู่ มีร้านน้ำมันหอมอยู่ร้านหนึ่งจริงๆ

ชิวรั่วหมิงสั่งให้มือปราบปลอมตัวไปลอบสืบข่าวที่ร้านน้ำมันหอมและบ้านของจูฟู่ รวมทั้งบอกให้หลงเอ้อร์รีบนำตัวจวีมู่เอ๋อร์มาสอบถามความ

หลงเอ้อร์รับปากแล้วอำลาจากไป

คดีนี้มีเบาะแสแล้ว หลงเอ้อร์โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง เขาไปที่ร้านน้ำชาก่อน ตรวจดูสภาพภายในร้านทุกร้านหนึ่งรอบ เมื่อเห็นว่าทุกคนทำงานได้อย่างปกติราบรื่นจึงกลับไปที่คฤหาสน์สกุลหลง

เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์และส่งม้าให้แก่คนเฝ้าประตูแล้ว เขาก็อยากจะไปดูว่าหญิงตาบอดตัวเหม็นผู้นั้นนอนหรือยัง ปรากฏว่ายังไปไม่ถึงเรือนที่พักของจวีมู่เอ๋อร์ก็เห็นเฟิ่งอู่ดึงตัวหลงเป่าบุตรสาวคนโตของนางซึ่งอายุห้าขวบวิ่งไปทางเรือนพักนั้นด้วยความเบิกบานใจ

“เร็วเข้า ฉวยโอกาสตอนลุงรองของเจ้ายังไม่กลับมารีบไปดูกัน”

หลงเอ้อร์โกรธจนหน้าดำไปทั้งแถบ คิดได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาเดินตามหลังสองแม่ลูกไป เห็นพวกนางมีท่าทางตื่นเต้นดีใจ วิ่งไปรวมตัวกับแม่นมอวี๋ที่กำลังแอบดูอยู่นอกหน้าต่างห้องพักของจวีมู่เอ๋อร์

“แม่นมๆ พวกเราเพิ่งกลับมา ตอนนี้เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” เฟิ่งอู่พาหลงเป่านั่งยองๆ อยู่ด้านนอกหน้าต่าง

แม่นมอวี๋โบกมือ สาวใช้ด้านข้างก็รีบยกเก้าอี้มาให้สองตัว แม่นมอวี๋ดึงตัวเฟิ่งอู่กับหลงเป่าให้นั่งลง “นางนอนหลับแล้ว”

เฟิ่งอู่ยืดคอมองเข้าไปในหน้าต่าง “หลับแล้ว? เช่นนั้นพวกเรามาทำอะไรตรงนี้”

“มาคอยอย่างไรล่ะ ตอนกลางวันนางคงนอนได้ไม่นาน อีกสักครู่หากนางตื่นแล้วอาจจะได้คุยกัน สอบถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ นายท่านรองพาแม่นางคนงามกลับมาพักค้างแรมที่คฤหาสน์ นี่ย่อมเป็นเรื่องใหญ่”

“แม่นางคนงาม? แม่นมจะบอกว่าคนที่พี่รองเคยพามาไม่งามเช่นนั้นหรือ” เฟิ่งอู่ดวงตาเป็นประกาย เอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แม่นม ท่านเล่าให้ฟังทีว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ท่านรู้แล้วใช่หรือไม่ อีกอย่าง สถานการณ์ตรงหน้านี้ไม่นับว่าเป็นการพักค้างแรมกระมัง ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ต้องผ่านกลางคืนก่อนจึงจะถือว่าใช่ ถูกต้องหรือไม่”

หลงเอ้อร์ทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาปรากฏตัวจากทางด้านหลังต้นไม้ กระแอมอย่างแรงสองที

สาวใช้ แม่นมอวี๋ เฟิ่งอู่ และหลงเป่าพากันหันมามองเขา สาวใช้มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนแม่นมอวี๋กับเฟิ่งอู่สบตากัน แล้วเริ่มพูดคุยกันว่าวันนี้อากาศดีจริง เหมาะที่จะนั่งคุยกันในสวน มีเพียงหลงเป่าที่มีสีหน้าเป็นปกติ เด็กน้อยโผเข้ามากอดขาของเขาเอาไว้ เอ่ยเรียกเสียงหวาน “ลุงรอง”

หลงเอ้อร์อุ้มหลงเป่าขึ้นมาแล้วยกตัวเด็กน้อยให้ลอยสูง หลงเป่าหัวเราะคิกๆ เขาอุ้มนางเดินไปตรงหน้าแม่นมอวี๋ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่นม อะไรที่เรียกว่า ‘พาแม่นางคนงามกลับมาพักค้างแรม’ ข้าไม่เคยพาหญิงสาวคนไหนกลับมาพักค้างแรมนะ”

แม่นมอวี๋มีสีหน้าเก้อเขิน “สิ่งที่บ่าวอยากจะพูดก็คือนายท่านรองไม่เคยพาผู้หญิงมาพักค้างแรมที่คฤหาสน์มาก่อน เป็นไปได้ยากนักที่ท่านจะพากลับมาสักคน หนำซ้ำยังเป็นแม่นางคนงามเสียด้วย”

หลงเอ้อร์อดนิ่วหน้าไม่ได้ เขาวางตัวหลงเป่าลงบนพื้น แล้วพูดว่า “แม่นม อากาศดีถึงเพียงนี้ ท่านกับเฟิ่งเฟิ่งก็พาเด็กไปเดินเล่นเถอะ เชี่ยวเอ๋อร์ล่ะ เด็กคนนั้นยังเล็กมาก ปล่อยให้ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยไม่ได้ ดังนั้นก็รีบไปเถอะ”

เชี่ยวเอ๋อร์หรือหลงเชี่ยวเป็นลูกคนที่สองของหลงซานกับเฟิ่งอู่ เพิ่งจะเรียกพ่อแม่เป็น ปกติแม่นมอวี๋จะชอบเล่นกับนางเป็นที่สุด แต่ตอนนี้แม่นมอวี๋มองเข้าไปในห้องของจวีมู่เอ๋อร์อย่างอาวรณ์

หลงเอ้อร์ถอนหายใจ “แม่นม ใบบอกวันมงคลของปีหน้าที่ท่านให้ข้าในครั้งก่อนข้าหาไม่เจอแล้ว ท่านช่วยข้าเลือกวันด้วยเถอะ”

แม่นมอวี๋อ้าปากกว้าง สูดลมหายใจเข้าอย่างตกใจ พูดตะกุกตะกัก “เอ่อ…เอ่อ…จะแต่งคนเข้าหรือแต่งออกเจ้าคะ”

คราวนี้หลงเอ้อร์แทบจะรักษาสีหน้าให้สงบนิ่งอยู่ไม่ไหว เฟิ่งอู่จึงรีบแก้ไขสถานการณ์

“พี่รองอย่าเพิ่งโกรธ แม่นมเพียงอยากจะถามเพื่อความมั่นใจว่าพี่รองจะแต่งงานเอง หรือว่าแค่ช่วยถามแทนคนอื่น”

แม่นมอวี๋รีบพยักหน้า ถูกต้อง นางหมายความเช่นนั้นแหละ

แม่นมอวี๋จ้องหลงเอ้อร์ตาไม่กะพริบ ท่าทางมีความหวังเหมือนกับหากหลงเอ้อร์ตอบว่าช่วยถามแทนผู้อื่น นางก็จะกระอักเลือดออกมาจริงๆ

“ข้าแต่งคนเข้า ส่วนนางแต่งออก” หลงเอ้อร์พูดพลางชี้นิ้วเข้าไปในห้องของจวีมู่เอ๋อร์

แม่นมอวี๋แทบจะร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติอยู่ตรงนั้น นี่ช่างเป็นข่าวดีที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นจริงๆ นางเดินวกไปวนมาไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดก่อนดี “บ่าวต้องไปจุดธูปบอกท่านพ่อท่านแม่ของนายท่านรองสักหน่อย โอ ไม่ถูกๆ บ่าวไปเลือกฤกษ์งามยามดีก่อนดีกว่า ยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องเตรียม โอ ไม่เอาดีกว่า บ่าวจะรออยู่ตรงนี้ อีกสักครู่หากแม่นางตื่นขึ้นมาจะได้พูดคุยกันสักนิด”

หลงเอ้อร์ตะโกนเสียงดังอย่างอดไม่ได้ “แม่นม!”

แม่นมอวี๋สะดุ้ง สงบสติลงได้ในที่สุด “ก็ได้เจ้าค่ะๆ บ่าวจะไปเลือกวันดีก่อน จากนั้นค่อยไปบอกท่านพ่อท่านแม่ของนายท่านรอง รอให้แม่นางคนนี้ตื่นก่อน บ่าวค่อยมาดูนางทีหลัง”

หลงเอ้อร์พยักหน้าแล้วโบกมือให้แม่นมอวี๋รีบพาเฟิ่งอู่กับหลงเป่าไป

คราวนี้แม่นมอวี๋ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง นางดึงตัวเฟิ่งอู่กับหลงเป่าจากไปอย่างชื่นบาน หลงเอ้อร์กำลังจะโล่งอก แต่กลับเห็นแม่นมอวี๋วิ่งกลับมาด้วยความเร็วราวกับติดปีกบิน แล้วเอ่ยถามเขาว่า “นายท่านรอง แม่นางผู้นี้มีชื่อว่าอะไรเจ้าคะ”

“จวีมู่เอ๋อร์”

“ดีๆ ชื่อดียิ่งนัก บ่าวจะรีบไปบอกท่านพ่อท่านแม่ของนายท่านรอง” แม่นมอวี๋พูดจบก็วิ่งจากไปอีกครั้ง

หลงเอ้อร์กุมขมับ ร่างกายของแม่นมอวี๋แข็งแรงเหลือเกิน ดูจากการเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่วนั้นทำให้เขาทั้งดีใจและเป็นกังวลไปในคราวเดียวกัน

แม่นมอวี๋ไปแล้ว เฟิ่งอู่ไปแล้ว หลงเป่าก็ไปแล้ว คราวนี้รอบด้านเงียบสงบลง หลงเอ้อร์มองสาวใช้ที่ยืนเฝ้าประตูแวบหนึ่ง สาวใช้ผู้นั้นหดตัวรายงานเสียงสั่นว่า “แม่นางจวีดื่มยา กินข้าวต้มไปหนึ่งถ้วย จากนั้นก็นอนหลับมาถึงตอนนี้เจ้าค่ะ”

หลงเอ้อร์ทำตาดุใส่นาง สาวใช้รู้ดีว่าผู้เป็นนายกำลังตำหนิที่นางแจ้งข่าวแก่แม่นมอวี๋จึงยิ่งตัวสั่นขึ้นไปอีก โชคดีที่เขาไม่ได้พูดอะไร หมุนตัวเข้าห้องไป

ภายในห้อง จวีมู่เอ๋อร์กำลังห่มผ้านอนหลับอย่างสบาย ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ หลงเอ้อร์แตะหน้าผากนางก็รู้สึกว่าไม่ร้อนแล้ว ใบหน้าเล็กซับสีเลือด ตามลำคอมีเม็ดเหงื่อผุดอยู่เล็กน้อย คงเพราะขับเหงื่อออกมาตอนที่นอนหลับทำให้ไข้ลดลง

หลงเอ้อร์ดูผ้าพันแผลบนหัวของนาง คราบเลือดไม่มี คิดว่าเลือดคงหยุดแล้ว นางนอนหลับสบายถึงเพียงนี้ บางทีแผลคงไม่เจ็บมากแล้วกระมัง

หลงเอ้อร์ยกเก้าอี้มาที่ข้างเตียง คิดจะนั่งเป็นเพื่อนนางสักครู่ เมื่อเห็นว่านางยังไม่ตื่นจริงๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เมื่อครู่เสียงของพวกแม่นมอวี๋ดังไม่น้อย แต่นางกลับไม่ตื่น เป็นเช่นนี้ก็ดี นางจะได้ไม่ต้องได้ยินเรื่องที่แม่นมอวี๋พูดว่าเขาพาผู้หญิงกลับมาแล้วเก็บไปคิดให้วุ่นวายใจ

หลงเอ้อร์นั่งเงียบๆ อยู่สักพักก็คิดขึ้นได้ว่าเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่มีชื่อว่า ‘เอ้อร์จื่อ’ เขานึกโกรธจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นมาทันที จึงใช้นิ้วจิ้มแก้มของนาง ยายตัวร้ายคนนี้ชอบยั่วให้เขาโกรธเหลือเกิน

จวีมู่เอ๋อร์ถูกจิ้มแก้มแต่ไม่มีปฏิกิริยาใด หลงเอ้อร์จิ้มอีกครั้ง คราวนี้นางยู่ปากขมวดคิ้ว เกาตรงตำแหน่งที่ถูกจิ้ม แล้วพลิกตัวนอนต่อ

หลงเอ้อร์เม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกไม่สบอารมณ์ ทำขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมตื่นอีกหรือ เขาที่มานั่งเฝ้านางนอนหลับช่างเป็นคนโง่อันดับหนึ่งจริงๆ เขาตัดสินใจไม่สนใจนาง ที่หอหนังสือยังมีงานอีกมากให้เขาทำ

เมื่อคิดดังนี้หลงเอ้อร์ก็เดินออกไปจริงๆ เขากำชับสาวใช้เฝ้าประตูว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวนนาง หากนางตื่นแล้วต้องมาแจ้งเขาก่อน อย่าให้ผู้ใดรู้ก่อนเขาว่านางตื่นแล้วมารบกวนนางเด็ดขาด

สาวใช้ที่ถูกจับได้ก่อนหน้ารู้สึกกลัว จึงรีบตอบรับแล้วบอกว่าต่อไปไม่กล้าทำผิดอีกแล้ว

หลงเอ้อร์ไปที่หอหนังสือด้วยความพึงพอใจ หากเขาอยู่ในบ้าน ทุกบ่ายจะต้องกินอาหารว่างหนึ่งมื้อตามความเคยชิน บ่าวเข้ามาถาม จากนั้นก็ยกเกี๊ยวกุ้งมาให้หนึ่งเข่ง หลงเอ้อร์กินแล้วก็นึกถึงคนที่กำลังนอนขี้เซา หากนางตื่นแล้วจะหิวหรือไม่ กินข้าวต้มเพียงเล็กน้อยคงจะไม่อิ่ม ดังนั้นเขาจึงสั่งให้คนไปที่ห้องครัวบอกให้นึ่งของว่างเตรียมไว้สักหน่อย

เมื่อหลงเอ้อร์กินของว่างหมดจึงตรวจเอกสารต่อ รออยู่นานก็ไม่เห็นคนมาแจ้งว่าจวีมู่เอ๋อร์ตื่นแล้ว ทำให้เขาอยากจะไปดูด้วยตัวเอง แต่ก็คิดว่าไม่ควรทำให้เหล่าบ่าวไพร่เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับนางมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงทำเหมือนไม่ได้ใส่ใจนางเลยแม้แต่น้อย ยังคงรอให้คนมารายงานเอง

รอต่อไปอีกพักใหญ่ หลี่เคอก็กลับมา

หลี่เคอรับคำสั่งพาพวกสายสืบไปสืบคดีของหลงจู๊หลี่ว์ เขานำข่าวเกี่ยวกับจูเฉินซื่อที่นายท่านรองให้พวกเขาคอยจับตาดูกลับมา ในทีแรกพวกเขาสืบไม่เจออะไรเพราะหลังจากจูเฉินซื่อออกจากโถงว่าการไปแล้วก็เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมพบผู้ใด ขณะที่เหล่าสายสืบกำลังเฝ้าคอยอย่างเบื่อหน่าย กลับพบมือปราบของจวนว่าการสวมใส่ชุดธรรมดาเข้าไปที่ร้านน้ำมันหอมแล้วทำทีซื้อตะเกียงเพื่อสืบความ

เดิมทีไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่มือปราบที่เพิ่งเริ่มพูดคุยได้ไม่กี่คำก็ถูกคนรู้จักที่เข้ามาซื้อน้ำมันหอมทักว่าวันนี้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาซื้อตะเกียงได้ เพียงเท่านั้นฐานะของมือปราบผู้นั้นก็ถูกเปิดเผยออกมา

มือปราบทักทายหลายคำแล้วจากไป แต่เหล่าสายสืบกลับพบว่าเถ้าแก่ร้านน้ำมันหอมมีท่าทางลนลานอยู่ไม่เป็นสุข ดังนั้นจึงคอยเฝ้าดูอยู่ เถ้าแก่ผู้นั้นทิ้งร้านให้เด็กช่วยงานดูแล ส่วนตัวเขาก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าวิ่งออกไปทางประตูหลังเพื่อพบกับจูเฉินซื่อ

หลี่เคอรู้ว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำจึงส่งสายสืบคนหนึ่งไปแจ้งมือปราบ ส่วนเขานำเหล่าสายสืบลอบเข้าไปในบ้านของสกุลจู แอบฟังว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันบ้าง

เถ้าแก่ร้านน้ำมันหอมชื่อเริ่นเป่าชิ่ง เป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำอายุสามสิบกว่าปี จูเฉินซื่อเห็นเขามาหาก็มีท่าทางตกใจมาก คนทั้งสองพากันหลบๆ ซ่อนๆ เข้าไปในบ้าน

เริ่นเป่าชิ่งพูดว่า ‘เจ้าบอกอะไรกับทางการใช่หรือไม่ ทำไมวันนี้พวกเขาต้องไปที่ร้านของข้าด้วย’

จูเฉินซื่อตกใจจนสะดุ้งดีดตัวลุกขึ้นยืน ‘อะไรนะ เป็นไปได้อย่างไร เขาถามอะไรเจ้า’

‘ยังไม่ทันได้ถามก็มีแขกคนหนึ่งจำได้ว่าเขาคือมือปราบ แต่หากพวกเขาไม่รู้อะไร จะปลอมตัวมาสืบความที่ร้านข้าทำไม ไม่ได้การแล้ว พวกเรารีบหนีไปจากที่นี่กันเถอะ’

‘จะไปได้อย่างไร ท่านเจ้าเมืองบอกเอาไว้ว่าจะมาสอบถามความจากข้าได้ทุกเมื่อ หากข้าจากไปก็จะทำให้เขาสงสัยได้ไม่ใช่หรือ’

‘เช่นนั้นข้าไปเอง ตอนนี้มีข่าวหนาหู หากพวกเขาตรวจสอบต่อไปจะต้องสาวมาถึงตัวข้าแน่นอน ข้าดูแลเจ้าไม่ได้แล้ว’

หลี่เคอฟังถึงตรงนี้ก็เข้าใจเจ็ดแปดส่วน ต่อมาคนทั้งสองยังเถียงกันว่าจะไปที่ไหนจะหนีอย่างไร ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดเรื่องคดีอีก เริ่นเป่าชิ่งบอกว่าหากจูเฉินซื่อตัดสินใจไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็จะไปเอง และจะไปทันทีด้วย

หลี่เคอเห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบลอบออกมา และได้พบเข้ากับสายสืบที่พามือปราบกลับมาพอดี หลี่เคอเล่าสิ่งที่ตนได้ยินให้เขาฟัง มือปราบรู้สึกว่าเรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ ดังนั้นจึงรีบกลับไปขอหมายจับจากจวนว่าการ แล้วเข้าจับกุมตัวคนทั้งสองที่กำลังเก็บสัมภาระเตรียมหลบหนีได้คาบ้าน

หลงเอ้อร์ฟังรายงานจากหลี่เคอจบก็รู้สึกดีใจมาก “เมื่อคนร้ายตัวจริงถูกจับ หลงจู๊หลี่ว์ก็ใกล้จะได้ออกมาแล้ว”

บทที่เจ็ด

หลงเอ้อร์คาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะจบได้ไม่ง่ายนัก

ตกกลางคืน ในที่สุดจวีมู่เอ๋อร์ที่นอนมาทั้งวันก็ตื่นขึ้น ช่วงอาหารเย็นนางถูกปลุกให้ลุกขึ้นมากินอาหาร ดื่มยา จากนั้นก็นอนหลับต่อ แม้ว่าพ่อของนางจะไม่วางใจและมาตามหานางที่คฤหาสน์สกุลหลง นางก็ไม่รู้เรื่อง

ผู้เฒ่าจวีที่มาถึงคฤหาสน์สกุลหลงถูกคนสกุลหลงรับรองให้เป็นแขกทรงเกียรติ หลงเอ้อร์ฉวยโอกาสนี้พูดเรื่องการแต่งงานกับเขา

ผู้เฒ่าจวีสับสนงุนงง บุตรสาวของเขามาเป็นพยานให้แก่คดีมิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ได้ไปที่จวนว่าการ แต่กลับมานอนอยู่ในคฤหาสน์ของผู้อื่นทั้งวัน เรื่องนี้วางไว้ก่อน แต่เหตุใดบุตรสาวของเขายังไม่ตื่นนอน ผู้อื่นก็มาประกาศปาวๆ ว่าจะขอแต่งงานด้วย!

ผู้เฒ่าจวีตะลึงไปครู่ใหญ่ ก่อนจะคืนสติกลับมาได้ “จะแต่งหรือไม่ ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องฟังคำของมู่เอ๋อร์”

คนสกุลหลงทั้งหมดที่ยืนรอฟังคำตอบอยู่ด้านข้างต่างไร้คำพูด ผู้เป็นพ่อคนนี้ช่างเคารพการตัดสินของลูกจริงๆ!

ดังนั้นทุกคนจึงรอให้จวีมู่เอ๋อร์ตื่น ยังรอไม่ถึงตอนนั้นก็มีมือปราบผู้หนึ่งนำทหารประจำการสองนายมาที่คฤหาสน์ บอกว่าท่านเจ้าเมืองต้องการเชิญตัวแม่นางจวีไปชี้ตัวคนร้าย

คราวนี้เป็นเรื่องสำคัญ หลงเอ้อร์คิดว่าผู้หญิงที่ห่วงนอนผู้นี้คงนอนมากพอแล้วจึงส่งคนไปปลุกนาง ผู้เฒ่าจวีสงสารบุตรสาว บอกว่าปกติบุตรสาวก็เป็นเช่นนี้ ทุกวันจะเข้านอนเร็ว หากนอนไม่พอก็ต้องนอนนานเป็นสองเท่าจึงจะสามารถชดเชยได้

ขณะที่ผู้เฒ่าจวีกำลังพูดอยู่ สาวใช้ก็เดินนำจวีมู่เอ๋อร์เข้ามา จวีมู่เอ๋อร์ที่ไข้ลดลงและได้นอนเต็มอิ่มแล้วดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก นางได้ยินว่ามีทหารมาตามตัวนางให้ไปชี้ตัวคนร้ายจึงรีบตอบรับ บอกว่าจะไปในทันที

ดังนั้นแม่นมอวี๋จึงไม่ทันได้พิจารณานางอย่างละเอียด หลงเอ้อร์กับผู้เฒ่าจวีก็พาจวีมู่เอ๋อร์ตามมือปราบและทหารของจวนว่าการออกจากบ้านไปเสียแล้ว

แม่นมอวี๋คิดอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็เข้าใจคำว่า ‘พิเศษ’ ที่นายท่านรองพูดถึง ‘ต้องพิเศษจนทำให้ทุกคนไม่สนใจรูปโฉม นิสัย หรือความสามารถของนาง’

แม่นมอวี๋ครุ่นคิด แม่นางผู้นี้เป็นเช่นนั้นจริง นอกจากแม่นมเห็นว่านางพิเศษแล้วก็จำไม่ได้เลยว่านางมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่านิสัยเป็นเช่นไร มีความสามารถอะไรหรือไม่

อืม…ก็เป็นความพิเศษจริงๆ เสียด้วย

 

หลงเอ้อร์ไม่รู้ว่าแม่นมอวี๋ ‘เข้าใจ’ ถึง ‘ความพิเศษ’ ที่เขาเคยพูดถึง เขาพาจวีมู่เอ๋อร์ไปที่จวนว่าการ ชิวรั่วหมิงพูดนัดแนะกับพวกเขาก่อนเรียกคนให้คุมตัวเริ่นเป่าชิ่งเข้ามาให้จวีมู่เอ๋อร์ชี้ตัว

เพื่อไม่ให้กระทบถึงการวิเคราะห์ของจวีมู่เอ๋อร์ ชิวรั่วหมิงไม่ได้พูดอะไรกับนางมากนัก เพียงกระซิบบอกหลงเอ้อร์ว่า “ท่านหลงเอ้อร์ คำพูดของแม่นางคนนี้ที่ท่านบอกมาล้วนถูกต้องทั้งหมด เริ่นเป่าชิ่งมีรูปร่างปานกลาง ร่างกายแข็งแรงกำยำ บนหลังมือมีแผลเป็นเล็กๆ ที่เกิดจากสะเก็ดน้ำมัน แต่บนหน้าท้องของเขาไม่มีรอยช้ำจากการถูกไม้เท้าฟาด ที่ข้อมือก็ไม่มีรอยข่วน แต่อาจจะเกิดจากแม่นางจวีมีแรงน้อยเกินไปจนไม่สามารถทำให้คนร้ายบาดเจ็บได้ตามที่นางคิด ส่วนข้ออื่นๆ ล้วนเป็นไปตามที่นางพูด”

หลงเอ้อร์พยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “เขายอมรับหรือยัง”

“ยัง บอกว่าให้ตายก็ไม่ยอมรับ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าหากแม่นางจวีมาชี้ตัว อาจจะทำให้เขายอมเปิดปาก”

หลงเอ้อร์พยักหน้าอีกครั้ง เขาเห็นจวีมู่เอ๋อร์เอียงหูคอยฟังเสียง เริ่นเป่าชิ่งถูกคุมตัวเข้ามาก็เอาแต่ร้องว่าถูกใส่ร้ายมาตลอดทาง จวีมู่เอ๋อร์ที่ได้ยินเสียงของเขา สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

เมื่อเริ่นเป่าชิ่งเห็นจวีมู่เอ๋อร์ก็ตะโกนเสียงดัง “ข้าไม่เคยเห็นนางมาก่อน ข้าไม่ได้ฆ่าเถ้าแก่จู! ใต้เท้า ข้าถูกใส่ร้าย!”

ชิวรั่วหมิงไม่สนใจ เพียงเรียกจวีมู่เอ๋อร์ “แม่นาง”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า เดินสองก้าวเข้าไปหาเริ่นเป่าชิ่ง นางเอ่ยถาม “ใต้เท้า ข้าลูบมือของเขาได้หรือไม่”

ชิวรั่วหมิงตอบรับ ตอนนี้ผ่านมาแล้วหนึ่งวัน เสื้อผ้าและกลิ่นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปจากวันเกิดเหตุ หากเป็นนั้น สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ก็น่าจะมีเพียงรอยแผลเป็นเท่านั้น

ผู้เฒ่าจวีที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกกังวล กลัวว่าคนเลวคนนี้จะทำร้ายบุตรสาวของตน จึงเดินเข้าไปประคองจวีมู่เอ๋อร์ คิดว่าหากคนร้ายจะทำร้ายนางจริงๆ เขาก็สามารถขวางเอาไว้ได้

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้วแน่น หญิงผู้นี้มาขอแต่งงานกับเขา แต่ตอนนี้กลับจะไปลูบมือชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งต่อหน้าต่อตาเขา

เขามองดูจวีมู่เอ๋อร์ลูบมือของเริ่นเป่าชิ่งรอบแล้วรอบเล่า จนเขาอยากจะตัดมือข้างนั้นออกมาให้นางลูบจนกว่าจะพอใจเสียจริง

ทุกคนรออยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดจวีมู่เอ๋อร์ก็ลูบจนพอใจ นางหยุดการกระทำแล้วถอยหลังกลับมาสองก้าว เริ่นเป่าชิ่งตัวสั่นประนมมือด้วยความหวาดกลัว

ท่ามกลางการรอคอยของทุกคน จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยขึ้นในที่สุด “ไม่ใช่เขา”

เริ่นเป่าชิ่งได้ฟังก็ร้องไห้โฮออกมาทันที เขาร้องไห้พลางตะโกนว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยถูกใส่ร้าย ข้าน้อยถูกใส่ร้าย”

ชิวรั่วหมิงขมวดคิ้ว “แม่นางจวี เจ้ามั่นใจหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “เรียนใต้เท้า หลังมือของคนคนนี้มีรอยแผลเป็นมากกว่าของคนร้าย และมีรอยแผลเป็นหนึ่งที่ค่อนข้างลึกซึ่งคนร้ายไม่มี”

เริ่นเป่าชิ่งโขกหัวอย่างต่อเนื่อง ตะโกนร้องเสียงดัง “ใต้เท้าโปรดตรวจสอบให้ชัดแจ้งด้วย ใต้เท้าโปรดตรวจสอบให้ชัดแจ้งด้วย”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว ขยับเข้าไปดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้ถอยห่างออกจากเริ่นเป่าชิ่งเล็กน้อย หากคนผู้นี้ตื่นตระหนกจะได้ไม่พุ่งตัวเข้ามาชนนาง จากนั้นก็หาเก้าอี้มาให้นางนั่ง ผู้เฒ่าจวีแอบเหลือบมองท่านเจ้าเมือง เห็นท่านเจ้าเมืองเหมือนจะไม่ถือสา ดังนั้นผู้เฒ่าจวีจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างจวีมู่เอ๋อร์

ชิวรั่วหมิงหลุบตาลงคิดใคร่ครวญสักครู่ แล้วให้ทหารประจำการคุมตัวเริ่นเป่าชิ่งออกไป จากนั้นเขาก็พูดถึงรายละเอียดการสอบปากคำจูเฉินซื่อกับเริ่นเป่าชิ่งให้แก่หลงเอ้อร์และจวีมู่เอ๋อร์ฟัง

 

เดิมทีจูเฉินซื่อแต่งงานกับจูฟู่มาหลายปี แม้จูฟู่จะดีต่อนาง แต่น่าเสียดายที่นางไม่มีความสามารถในการให้กำเนิดบุตร หลายปีผ่านไปก็ยังไม่ท้องสักที และนางก็ถูกจูฟู่ตำหนิเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง นางรู้สึกทุกข์ใจแต่ก็โอดครวญไม่ได้ เมื่อได้รับการว่ากล่าวจากจูฟู่มากเข้าก็รู้สึกเสียใจเป็นที่สุด

วันหนึ่งนางไปซื้อน้ำมันหอมที่ร้านน้ำมันหอมบนถนนสายนั้นก็ได้พบกับเริ่นเป่าชิ่ง เริ่นเป่าชิ่งที่ยังอายุน้อยมีร่างกายแข็งแรงกำยำ ดูมีชีวิตชีวากว่าจูฟู่ถึงร้อยเท่า กอปรกับเขาเล่นหูเล่นตากับนาง นางจึงมีใจลิงโลดขึ้นมาในทันใด

ต่อจากนั้นนางก็มักจะไปซื้อน้ำมันหอมที่ร้านขายน้ำมันหอม แล้วถูกเริ่นเป่าชิ่งพูดจาแทะโลมหยอกเย้าเป็นประจำ คนทั้งสองจึงเริ่มผูกพันจนกลายเป็นการคบชู้ ทำเรื่องน่าอับอายขึ้นมา

แรกเริ่มจูเฉินซื่อก็รู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อเห็นว่าจูฟู่เอาใจใส่แต่เรื่องร้าน ไม่ค่อยสนใจตัวนาง ประกอบกับเริ่นเป่าชิ่งหยอดคำหวานใส่นางบ่อยๆ นางจึงค่อยๆ มีความกล้าขึ้นมา เมื่อเริ่นเป่าชิ่งบอกว่าเงินขาดมือไม่พอใช้ นางก็จะลักลอบเอาเงินให้เขา เมื่อเป็นเช่นนี้เริ่นเป่าชิ่งจึงยิ่งเกาะติดนางมากขึ้น

ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองดำเนินมาได้ประมาณครึ่งปี ที่ผ่านมาจูฟู่ไม่ได้สังเกตเห็น แต่ก่อนวันที่จะถูกฆ่า จูฟู่ลืมสมุดบัญชีจึงกลับบ้านไปเอา เขาเห็นจูเฉินซื่อทำท่าทางลับๆ ล่อๆ กำลังออกจากบ้านไปพอดี จูฟู่สงสัยจึงแอบเดินตามไป เหตุการณ์นี้ทำให้เรื่องการคบชู้ระหว่างจูเฉินซื่อกับเริ่นเป่าชิ่งเปิดเผยออกมา

จูฟู่โมโหมาก เอ่ยปากด่าอย่างสาดเสียเทเสีย ทั้งสองคนตกใจจนไม่รู้จะทำเช่นใด ได้แต่เพียงบอกว่าหลงผิดไปชั่วขณะ ต่อไปไม่กล้าทำอีกแล้ว ขอให้จูฟู่ให้อภัย

จูฟู่เป็นคนรักหน้าตาจึงไม่แจ้งทางการ เพียงลากตัวจูเฉินซื่อกลับบ้านแล้วด่ากราดอย่างแรงอีกหนึ่งยก

คืนวันนั้นจูฟู่ไม่ได้นอน ส่วนจูเฉินซื่อก็หวาดกลัวจนนอนขดตัวอยู่บนเตียงไม่กล้าหลับ ยามเมื่อฟ้าสาง จูฟู่ได้บอกกับนางว่าอย่างไรเสียร้านนี้ก็ขาดทุนมาโดยตลอด เขาทำต่อไปไม่ไหวแล้ว มาตอนนี้นางทำกับเขาเช่นนี้ เขาขายร้านไปเลยดีกว่า แล้วจะมอบเงินให้นางสักก้อนเพื่อให้นางไปใช้ชีวิตใหม่

ความหมายก็คือเขาคิดจะขายร้านแล้วหย่าขาดจากภรรยา จูเฉินซื่อจะยินยอมได้อย่างไร นางร้องไห้อย่างหนัก อ้อนวอนด้วยความทุกข์ใจ แต่จูฟู่ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่เปลี่ยนใจอย่างแน่นอน

วันนั้นเขาจึงนัดหลงจู๊หลี่ว์ที่เจรจาขอซื้อร้านกับเขามาโดยตลอดไปพบหน้ากัน

จูเฉินซื่ออ้างกับที่บ้านว่าจะไปส่งอาหารที่ร้านน้ำชาเพื่อแอบสืบความเคลื่อนไหวของจูฟู่ จากนั้นก็รีบเร่งไปที่ร้านน้ำมันหอมเพื่อปรึกษากับเริ่นเป่าชิ่งว่าจะทำอย่างไร

เริ่นเป่าชิ่งไม่ได้มีใจรักต่อจูเฉินซื่อจริง เพียงแค่เห็นว่านางเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ ทั้งยังให้เงินเขาใช้ เกลี้ยกล่อมให้ทำอะไรก็ง่าย ดังนั้นจึงทำเป็นดีต่อนางมาตลอด แต่เมื่อจูฟู่รู้ถึงสัมพันธ์ลับระหว่างพวกเขาสองคน เขาก็กลัวว่าจูฟู่จะแจ้งทางการแล้วทำให้เขาได้รับความลำบาก ในขณะที่กำลังลนลานอยู่จูเฉินซื่อก็มาพอดี นางบอกว่าจูฟู่จะหย่าขาดจากนาง ต่อไปนางก็สามารถใช้ชีวิตกับเขาได้แล้ว

เริ่นเป่าชิ่งตกใจมาก ผู้หญิงคนนี้ไม่มีเงิน เขาจะใช้ชีวิตกับนางได้อย่างไร ถ้าหากภายหน้าเขามีเงินย่อมสามารถแต่งกับผู้หญิงที่อายุน้อยและงดงามกว่านางได้ อีกอย่างหนึ่ง ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจจะหาคนที่มีเงินให้เขาใช้ได้ เหตุใดจะต้องมาผูกมัดตัวเองอยู่กับหญิงแก่ที่ถูกสามีทิ้งด้วย

จูเฉินซื่อมองทะลุถึงความคิดของเขา นางข่มขู่เขาว่าหากไม่ทำดีต่อนาง นางก็จะพูดป่าวประกาศเรื่องราวออกไป และหากนางไปโวยวายที่จวนว่าการ ใครก็ไม่อาจอยู่เป็นสุขได้

เริ่นเป่าชิ่งได้ยินดังนั้นก็รีบพูดปลอบ ในใจยังไม่ยินดี สุดท้ายจึงเสนอความคิดออกมา ‘ในเมื่อจูฟู่ไม่เมตตาเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องทำดีต่อเขา เพื่อให้พวกเรามีชีวิตที่ดีในอนาคต รอให้เขาขายร้านได้และมีเงินอยู่ในมือก่อน เจ้าก็แอบลักลอบเอาทรัพย์สมบัติของเขามา แล้วพวกเราก็จะไปจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตที่อื่น’

เดิมทีจูเฉินซื่อไม่กล้า แต่นางถูกเริ่นเป่าชิ่งเกลี้ยกล่อมเป่าหูยกใหญ่ บอกว่าหากนางถูกหย่าขาดและอยู่ในเมืองต่อไปก็คงโดนคำครหาไม่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้จะสามารถมาใช้ชีวิตกับเขาได้อย่างไร มีเพียงต้องไปจากที่นี่จึงจะมีชีวิตเป็นปกติได้ แต่หากจะไปโดยไม่มีเงินก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องนำเงินของจูฟู่ติดตัวไปด้วย

จูเฉินซื่อถูกเกลี้ยกล่อมจนหลงเชื่อในที่สุด คนทั้งสองนัดแนะกันว่ารอให้จูฟู่ขายร้านได้เงินมาแล้วก็จะลงมือ จากนั้นก็มีสัมพันธ์กันอีกครั้งในร้านน้ำมันหอม

แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อจูเฉินซื่อกลับไปถึงบ้านกลับเห็นคนงานร้านน้ำชามาถามหาจูฟู่ จูเฉินซื่อย่อมไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด เมื่อไล่คนช่วยงานในร้านไปแล้ว นางก็กลับไปปรึกษากับเริ่นเป่าชิ่งอีก เพราะครั้งก่อนถูกสะกดรอยตามจนความแตก ดังนั้นครั้งนี้นางจึงหวั่นใจกลัวว่าจูฟู่จะรู้ที่พวกนางทั้งสองคนจะหอบทรัพย์สมบัติหนี

เริ่นเป่าชิ่งบอกกับจูเฉินซื่อว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ ระยะนี้ก็ยังไม่ต้องมาพบหน้ากัน รอดูความเคลื่อนไหวของจูฟู่ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยหาทางรับมือ จูเฉินซื่อตอบรับด้วยความกังวลก่อนจะกลับบ้านไป

นางกลับถึงบ้านก็อยู่ไม่เป็นสุข จูฟู่ยังไม่กลับมา นางก็ไม่กล้านอน จนกระทั่งตกดึกมีทหารทางการมาหาที่บ้านบอกว่าจูฟู่ถูกสังหาร ท่านเจ้าเมืองให้นางไปที่จวนว่าการ

จูเฉินซื่อตื่นตกใจ เดิมทีนางคิดว่าจูฟู่ไปหาเริ่นเป่าชิ่งและเกิดต่อสู้กันจนถึงแก่ความตาย แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อไปโถงว่าการ สิ่งที่ได้เห็นกลับเป็นคนละเรื่องกับที่คิด

ส่วนเริ่นเป่าชิ่งบอกว่าในคืนวันนั้นเขานอนหลับอยู่ในบ้านของตัวเอง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น วันต่อมาจึงได้ยินคนเล่าลือกันบนท้องถนนว่าจูฟู่ตายแล้ว

 

ชิวรั่วหมิงเล่าเรื่องเหล่านี้จบก็พูดต่อ “หลักฐานชี้ไปที่เริ่นเป่าชิ่ง เขามีแรงจูงใจชัดเจน ทุกอย่างก็ตรงตามที่แม่นางจวีพูด ตอนเกิดเหตุเขาบอกว่านอนหลับอยู่ที่บ้าน ไม่มีพยานบุคคล และเพราะวันนั้นจูเฉินซื่ออยู่กับเขาที่ร้าน ทำให้บนตัวนางมีกลิ่นน้ำมันหอมติดไป ดังนั้นในโถงว่าการแม่นางจวีจึงได้กลิ่นน้ำมันหอมจากตัวนาง เรื่องก็เป็นเช่นนี้ แต่ตอนนี้แม่นางจวีกลับบอกว่าคนร้ายไม่ใช่เริ่นเป่าชิ่ง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็น่าประหลาดนัก”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบอย่างจริงจัง “ใต้เท้า เริ่นเป่าชิ่งน่ารังเกียจก็จริงอยู่ หากเถ้าแก่จูไม่ได้ถูกฆ่าไปเสียก่อน ก็จะถูกชายคนนี้ขโมยทรัพย์สินไป หรืออาจจะเกิดทะเลาะวิวาทกันก็สุดรู้ได้ หากเขามีความผิดย่อมต้องรับผิด แต่หากเขาไม่มีความผิดก็จะใส่ร้ายเขาไม่ได้เช่นกัน”

ชิวรั่วหมิงพยักหน้า “แม่นางจวี ก่อนหน้านี้ข้ามองเจ้าผิดไป จูเฉินซื่อกับเริ่นเป่าชิ่งมีใจคอเหี้ยมโหด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่เรื่องคบชู้กันก็มีความผิดแล้ว ดังนั้นข้าจะสืบสวนอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ดูว่าจะหาเบาะแสอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง”

หลงเอ้อร์พูดขึ้นว่า “ใต้เท้า ในเมื่อกำหนดลักษณะพิเศษของคนร้ายได้แล้วก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่าคดีนี้ไม่เกี่ยวกับหลงจู๊หลี่ว์ ไม่ทราบว่าใต้เท้าจะปล่อยคนเมื่อใด”

“ท่านหลงเอ้อร์ แม้ว่าข้าจะเชื่อคำพูดของแม่นางจวี แต่ตอนนี้เป็นเพียงคำพูดปากเปล่าไร้หลักฐานอย่างอื่น หากเริ่นเป่าชิ่งเป็นคนร้ายตัวจริงก็แล้วไป เพราะเขามีลักษณะตรงตามคำพูดของแม่นางจวี แสดงว่านางไม่ได้พูดเท็จ แต่หากจะบอกว่าเขาไม่ใช่คนร้าย แม่นางจวีจะพิสูจน์อย่างไร ข้าไม่อาจนำคำว่า ‘เพราะข้าเชื่อ’ มาบอกแก่ทุกคน ดังนั้นก่อนที่ความจริงจะปรากฏ ข้าก็ยังไม่อาจปล่อยตัวหลี่ว์ซือเสียนไปได้”

หลงเอ้อร์มีสีหน้าเคร่งเครียด รู้ดีว่าชิวรั่วหมิงใช้หลงจู๊หลี่ว์มาบังคับเขา หากหลงจู๊หลี่ว์ออกจากคุก เขาก็คงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้อีก แต่หากหลงจู๊หลี่ว์ยังอยู่ในคุก เขาหลงเอ้อร์จะต้องช่วยในคดีอย่างเต็มกำลัง

ชิวรั่วหมิงผู้นี้เป็นจิ้งจอกจริงๆ!

หลงเอ้อร์ไม่สบอารมณ์ แต่คำพูดของชิวรั่วหมิงหาจุดบกพร่องไม่ได้เลย เพราะคำพูดของจวีมู่เอ๋อร์เป็นเพียงการพูดปากเปล่าไร้หลักฐานจริง

เขาหันไปมองจวีมู่เอ๋อร์ เห็นนางขมวดคิ้วครุ่นคิดไม่พูดไม่จา หลงเอ้อร์คิดว่าบนตัวนางยังมีบาดแผลอยู่ มาเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ก็คงลำบากอยู่มาก

หลงเอ้อร์ใคร่ครวญแล้วจึงเอ่ยถาม “ใต้เท้า เด็กช่วยงานร้านน้ำมันหอมมีอะไรน่าสงสัยหรือไม่”

ชิวรั่วหมิงส่ายหน้า “เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปี รูปร่างเล็กผอมบาง ตอนเกิดเหตุนอนหลับอยู่ที่บ้าน พ่อแม่ของเขาเป็นพยานได้”

หลงเอ้อร์พยักหน้า ถามอีกครั้งว่า “ใต้เท้า การตายของเถ้าแก่จู หากมีการเตรียมการไว้ก่อน คนร้ายต้องคอยติดตามรู้การเคลื่อนไหวจึงจะสามารถลงมือได้ หากเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบหรือเข้าผิดห้องก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมนั้น เพราะหลังเกิดเหตุใต้เท้าได้ปิดล้อมโรงเตี๊ยมไว้ทันที ถึงตอนนี้ใต้เท้าพบเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่”

“ตอนนั้นแขกที่พักในโรงเตี๊ยมมีไม่มาก สอบสวนเพียงหนึ่งรอบ เมื่อไม่พบคนที่น่าสงสัยก็ปล่อยตัวไป แม้แต่คนที่อยู่รอบโรงเตี๊ยมก็ได้สอบสวนแล้ว ไม่มีอะไรน่าสงสัยเช่นกัน” ชิวรั่วหมิงตอบ

“ใต้เท้าได้ตรวจดูของที่อยู่ติดตัวเถ้าแก่จูอย่างละเอียดหรือไม่”

“ท่านหลงเอ้อร์คิดว่าหากเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ ในตัวเถ้าแก่จูต้องไม่มีทรัพย์สินใดเพราะถูกคนร้ายชิงไปแล้ว แต่หากของยังอยู่ คงเป็นด้วยสาเหตุอื่นจึงทำให้เขาถูกฆ่าตายอย่างอนาถ ใช่หรือไม่”

หลงเอ้อร์พยักหน้า

ชิวรั่วหมิงเอ่ยว่า “จุดนี้ข้าคิดแต่แรกแล้ว ในตอนนั้นจึงได้ตรวจสอบของทุกอย่างในห้อง พบถุงเงินของจูฟู่ที่มีเงินอยู่หนึ่งอัฐ”

“เงินหนึ่งอัฐ?” หลงเอ้อร์เลิกคิ้ว “ใต้เท้า คนร้ายอาจคิดปกปิดโดยเหลือเงินในถุงเอาไว้ ใต้เท้าลองไปตรวจสอบดูได้ว่าวันนั้นเถ้าแก่จูอยู่ในโรงเตี๊ยมกินดื่มไปเป็นเงินจำนวนเท่าใด และเขายังค้างแรมอยู่ในโรงเตี๊ยมอีกด้วย เงินเพียงหนึ่งอัฐจะพอใช้หรือ เท่าที่ข้ารู้มา เถ้าแก่จูเป็นคนรอบคอบ หากในตัวไม่มีเงินคงไม่กล้าจับจ่ายอย่างหนัก ใต้เท้าได้ไปตรวจสอบที่โรงสุราต่างๆ ที่เขาไปเมื่อวานหรือยัง ดูว่าสามารถสอบถามเรื่องทรัพย์สินติดตัวเขาได้หรือไม่ หากวิเคราะห์ได้ว่าเป็นเพราะเรื่องทรัพย์สิน เรื่องชู้สาว หรือเพื่อแก้แค้น เช่นนั้นคดีนี้ก็อาจจะชี้กลุ่มผู้ต้องสงสัยได้ ใต้เท้าคิดเห็นอย่างไร”

ชิวรั่วหมิงพยักหน้า เอ่ยขอบคุณหลงเอ้อร์ที่เสนอแนะ บอกว่าเขาจะส่งมือปราบออกไปตามรอยของจูฟู่ ตรวจทุกที่ให้ละเอียดอีกครั้ง หลงเอ้อร์เห็นเขาตั้งใจสืบคดี ไม่คิดจะกระทำการโดยไม่รับผิดชอบจึงรู้สึกวางใจลงได้ครึ่งหนึ่ง

ธุระที่จวนว่าการเสร็จสิ้นแล้ว หลงเอ้อร์ขึ้นรถม้าไปส่งสองพ่อลูกสกุลจวีกลับบ้านด้วยตัวเอง

จวีมู่เอ๋อร์นั่งนิ่งเงียบตลอดทาง นางไม่พูด หลงเอ้อร์กับผู้เฒ่าจวีก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน คนทั้งสามจึงนั่งเงียบจนไปถึงร้านเหล้าสกุลจวี

ผู้เฒ่าจวีลงรถไปรอรับตัวบุตรสาว แต่จวีมู่เอ๋อร์บอกว่าอยากคุยกับท่านหลงเอ้อร์สักสองสามประโยคก่อน ผู้เฒ่าจวีมีสีหน้าสลด นิ่งเงียบไปสักครู่ แล้วจึงลูบจมูกพลางเดินไปด้านข้าง

หลี่เคอที่สายตาแหลมคมเรียกให้คนรถหลบออกไปอีกด้าน เว้นที่ว่างให้จวีมู่เอ๋อร์กับนายท่านรองได้พูดคุยกัน

รอจนทุกคนเดินจากไปจนหมด หลงเอ้อร์จึงเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ไม่มีใครแล้ว เจ้าจะพูดอะไรกับข้า”

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก เอ่ยถามเสียงเบา “ท่านหลงเอ้อร์ หากคดีของหลงจู๊หลี่ว์จับคนร้ายตัวจริงไม่ได้ ท่านยังยินดีจะแต่งงานกับข้าหรือไม่”

หลงเอ้อร์เลิกคิ้ว รู้สึกประหลาดใจที่นางถามเช่นนี้ ตามความคิดของเขา เรื่องนี้ถูกกำหนดแน่นอนแล้ว จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร แต่เมื่อได้เห็นท่าทางกระวนกระวายใจของจวีมู่เอ๋อร์แล้ว คิดว่านางคงอยากแต่งงานกับเขามาก หลงเอ้อร์รู้สึกลำพองขึ้นมาทันที “ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ย่อมต้องทำตาม”

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มแย้มจนใบหน้าเปล่งประกาย “เช่นนั้นก็คือแต่งใช่หรือไม่”

“ใช่”

หลงเอ้อร์เห็นนางยิ้ม เขาก็ยิ้มตามไปด้วย แต่พอนางอ้าปากหาว เขาก็หาวตามไปด้วย จากนั้นเขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที บรรยากาศดีๆ ถูกนางทำพังหมดแล้ว!

“เจ้าง่วงอีกแล้วหรือ”

“อืม ถึงเวลาที่ควรพักผ่อนแล้ว”

หลงเอ้อร์ขบกรามอย่างอดไม่ได้ “วันนี้เจ้านอนมาทั้งวันแล้ว”

“นั่นชดเชยส่วนของเมื่อวาน ตอนนี้ก็เป็นส่วนของวันนี้ พอได้ยินท่านบอกว่ายังจะแต่งงานด้วย ข้ารู้สึกโล่งใจ ก็เลยง่วงอีก”

หลงเอ้อร์ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

จวีมู่เอ๋อร์ร้องเรียกผู้เป็นพ่อ เมื่อผู้เฒ่าจวีประคองนางลงจากรถ นางจึงหันไปพูดกับหลงเอ้อร์ “ท่านหลงเอ้อร์เดินทางปลอดภัย รีบไปพักผ่อนเสีย”

น้ำเสียงของนางอ่อนหวาน หลงเอ้อร์ฟังแล้วรู้สึกใจอ่อนระทวย

สองพ่อลูกสกุลจวีเดินเข้าบ้านไปอย่างช้าๆ หลงเอ้อร์ปิดประตูรถม้า กำลังจะบอกให้คนรถออกตัว ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกของผู้เฒ่าจวีดังขึ้น หลงเอ้อร์ตกใจ รีบผลักประตูรถให้เปิดออก ผู้เฒ่าจวีวิ่งกลับมาเร็วปานลมพัด ตะโกนเรียกเสียงดัง “ท่านหลงเอ้อร์ๆ”

หลงเอ้อร์ตอบรับ

สองตาของผู้เฒ่าจวีตื่นเต้นจนเปล่งประกาย “ท่านหลงเอ้อร์ ลูกสาวข้าบอกว่านางจะแต่งงาน นางจะแต่งงานกับท่าน”

เขารู้นานแล้ว! หลงเอ้อร์ถอนหายใจ เหลือบตามองจวีมู่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล นางกำลังส่งยิ้มมาทางนี้

หลงเอ้อร์ใจอ่อนระทวยอีกครั้ง

ระหว่างทางกลับคฤหาสน์ เขากำลังคิดว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมนาง

วันต่อมาหลงเอ้อร์ตื่นแต่เช้า เขาคิดได้ว่าเมื่อคืนลืมให้จวีมู่เอ๋อร์นำยากลับไปด้วยจึงสั่งให้คนเก็บใบสั่งยาและห่อยา เตรียมรถม้า จะนำยาไปส่งด้วยตัวเอง

ก่อนออกจากบ้านพ่อบ้านเถี่ยได้แจ้งสิ่งที่เขาต้องทำในวันนี้ให้ฟัง หลงเอ้อร์ดูแล้วก็คิดคำนวณอยู่ในใจ ส่งยาแล้ว เยี่ยมนางเสร็จ เขาก็จะไปตรวจร้านน้ำชาได้หนึ่งรอบพอดี ตอนนี้หลงจู๊หลี่ว์ไม่อยู่ เขาต้องปรากฏตัวเพื่อแสดงความห่วงใยให้บ่อยครั้งสักหน่อย เด็กช่วยงานเหล่านั้นจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ก่อนปีใหม่เป็นช่วงเวลาทองสำหรับการค้าขาย ปล่อยปละละเลยไม่ได้เด็ดขาด

พอถึงตอนกลางวันก็ต้องกินข้าวกับเถ้าแก่หลิวที่มาจากเมืองอี๋เฉิง ตอนบ่ายเขาอาจมีเวลากลับคฤหาสน์ไปอ่านเอกสารอีกสักหน่อย ตอนกลางคืนต้องไปหอหม่านเซียงเพื่อต้อนรับขุนนางราชสำนักหลายคน พวกเขาชอบหญิงสาวที่นั่น

กำหนดการยาวเหยียดเช่นนี้ มีเพียงช่วงเช้าเท่านั้นที่สามารถไปบ้านของจวีมู่เอ๋อร์ได้

หลงเอ้อร์พอใจมาก เขาหาเวลาไปเยี่ยมนางทั้งๆ ที่งานยุ่ง นางคงจะตื้นตันใจมากล่ะสิ

แต่เมื่อเขาไปถึงร้านเหล้าสกุลจวี กลับพบว่าจวีมู่เอ๋อร์หญิงขี้เกียจผู้นั้นยังคงนอนหลับอยู่!

ผู้เฒ่าจวีกับเด็กช่วยงานทั้งสองคนตื่นขึ้นมากินอาหารเช้าเสร็จก็แยกย้ายกันไปทำงานเรียบร้อยแล้ว แต่หญิงขี้เกียจผู้นั้นยังไม่ยอมลุกจากที่นอนอีก!

หลงเอ้อร์สีหน้าเขียวคล้ำ

ไม่ใช่เพราะจวีมู่เอ๋อร์นอนขี้เซา แต่เป็นเพราะตอนนี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งนำของขวัญมาเยี่ยมนาง

ชายหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนจะคุ้นเคยกับผู้เฒ่าจวีดี คำพูดสนิทสนมราวกับเป็นบุตรชาย เขายังนำผลไม้ของว่างต่างๆ มาด้วย เหมือนจะรู้ว่าจวีมู่เอ๋อร์ชอบกินอะไร ส่วนผู้เฒ่าจวีก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วยความเกรงใจแม้แต่น้อย ยื่นมือไปรับมาทันที

สุดท้ายชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยลาด้วยรอยยิ้มอย่างมีมารยาท เขาฝากให้ผู้เฒ่าจวีบอกต่อจวีมู่เอ๋อร์หลังจากนางตื่นนอนว่าให้นางรักษาตัวให้ดี หากเขาว่างจะมาเยี่ยมนางอีก

ผู้เฒ่าจวีรีบตอบรับ เดินไปส่งเขาที่หน้าประตูร้านเหล้า ปากก็พูดว่า “เหลียงเจ๋อ เจ้าค่อยๆ เดินนะ ฝากทักทายคนในบ้านของเจ้าแทนข้าด้วย แล้วทักทายเมียเจ้าแทนมู่เอ๋อร์ด้วยล่ะ”

เหลียงเจ๋อ? หลงเอ้อร์รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหู แต่คิดไม่ออกว่าเคยได้ยินมาจากที่ใด เขาเหลือบตามองหลี่เคอ หลี่เคอทำหน้าเศร้า กำลังจะเข้าไปอธิบายให้ผู้เป็นนายฟัง ผู้เฒ่าจวีก็เดินกลับเข้ามาในร้านเสียก่อน

“เฮ้อ ไม่มีวาสนาด้วยกันจริงๆ เจ้าเด็กเหลียงเจ๋อนั่นโตมาด้วยกันกับมู่เอ๋อร์ เรียนพิณด้วยกัน เรียนหนังสือด้วยกัน เดิมทีพวกเราทั้งสองสกุลเห็นดีให้หมั้นหมายกันไว้ ใครจะไปรู้ว่ามู่เอ๋อร์จะตาบอด และไม่รู้ว่านางคิดอย่างไรจึงยืนยันไม่แต่งงานกับเขา เฮ้อ ตอนนี้เขาแต่งภรรยาแล้ว ลูกก็ใกล้คลอด” ผู้เฒ่าจวีพูดด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย

หลงเอ้อร์สีหน้าดำเหมือนถ่าน แววตาคมกริบราวกับมีด จ้องตรงไปที่หลี่เคอ

หลี่เคอตีหน้าเป็นผู้บริสุทธิ์ คำเหล่านั้นเขาไม่ได้เป็นคนพูด เฉินเหลียงเจ๋อเขาก็ไม่ได้เป็นคนพามา ในอดีตเขาไม่ได้เป็นคนให้ทั้งสองหมั้นหมายกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแม้แต่น้อย นายท่านรองพานโมโหฉุนเฉียวเกินไปหน่อยกระมัง เขาเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์และทำงานอย่างจริงจังนะ!

ผู้เฒ่าจวีสังเกตสีหน้าคนไม่เป็น ยังคงพูดต่อ “ข้าเห็นเขามีชีวิตที่ดี มีเพียงลูกสาวข้าที่ตอนนี้ตามองไม่เห็น เรื่องหลายอย่างก็ทำเองไม่ได้ หนังสือที่ชอบอ่านที่สุด ตอนนี้ก็ทำได้เพียงลูบๆ คลำๆ ฟังเสียงของหน้าหนังสือ พิณก็ดีดน้อยลง…”

เขาพูดพลางรู้สึกเศร้าใจ “คิดถึงในอดีต อาจารย์สอนพิณเหล่านั้นล้วนไม่กล้าสอนนาง บอกว่านางดีดได้ดีกว่าพวกเขา บอกว่าหากมู่เอ๋อร์เป็นชาย สามารถไปประชันขันแข่งแย่งชิงฉายามือพิณอันดับหนึ่งได้ เสียดายที่แม่ของนางตายเร็ว ดวงตาของนางยังมืดบอดอีก น่าสงสารเสียจริง ตอนนั้นนางใจเร็วยกเลิกการแต่งงาน ทั้งๆ ที่เหลียงเจ๋อบอกแล้วว่าไม่ถือสา จะแต่งงานกับนางเช่นเดิม แต่นางไม่ใส่ใจ ทำร้ายความรู้สึกของสองสกุล ดีที่เหลียงเจ๋อไม่คิดแค้นจิตใจดีมีเมตตา ตอนนี้เขามีชีวิตที่ดีแล้ว เมื่อได้ยินว่ามู่เอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บก็ยังนึกถึงส่งของมาเยี่ยมนาง ช่างมีน้ำใจจริงๆ”

หลี่เคอที่อยู่ด้านข้างพยายามส่งสายตาให้ผู้เฒ่าจวี ท่านผู้เฒ่าไม่เห็นหรือว่ามือของนายท่านรองกำหมัดแน่นแล้ว ไม่เห็นหรือว่านายท่านรองหน้าเครียดเพียงใดแล้ว ไม่เห็นเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของนายท่านรองหรือ ท่านผู้เฒ่าเอ๋ย คิดว่านายท่านรองเป็นสหายญาติมิตรที่มาเยี่ยมเยือนหรือ การที่ท่านมาบ่นถึงเรื่องการหมั้นหมายการถอนหมั้นในอดีตกับผู้เป็นคู่หมั้นในปัจจุบันนั้นเหมาะสมแล้วหรือ

ผู้เฒ่าจวีพูดอยู่นาน ในที่สุดก็รู้ตัวจึงเอ่ยถามว่า “ท่านหลงเอ้อร์ ดื่มชาสักหน่อยหรือไม่”

หลงเอ้อร์กลั้นลมหายใจ เอ่ยตอบเสียงแข็ง “ไม่ดื่ม”

“เช่นนั้นดื่มเหล้าหรือไม่” ผู้เฒ่าจวีพยายามต้อนรับอย่างเป็นมิตร บ้านเขาอาจไม่มีสิ่งอื่นใด แต่มีเหล้าแน่นอน!

“ไม่ดื่ม” หลงเอ้อร์ยังคงเสียงแข็งอยู่

หลี่เคอส่งสายตาต่อ ท่านผู้เฒ่า ตอนนี้ท่านควรไปปลุกแม่นางจวีให้ตื่นมาพบหน้านายท่านรอง เพื่อปลอบให้เขาอารมณ์ดีขึ้นดีกว่านะ จะมาถามดื่มชาดื่มเหล้าอะไรกัน ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ท่านผู้เฒ่าทำเช่นนี้แก้ไขสถานการณ์ได้เหมาะสมหรือ

ในที่สุดผู้เฒ่าจวีก็ดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว เขาเปลี่ยนหัวข้อมาที่จวีมู่เอ๋อร์ บอกว่า “มู่เอ๋อร์ยังไม่ตื่นนอน ต้องให้นางนอนอิ่มก่อนจึงจะตื่นเอง ท่านหลงเอ้อร์จะรอต่อหรือจะอยู่กินอาหารกลางวันก่อน”

หลี่เคอสำลัก กระแอมอย่างแรงหลายที การรอต่อกับอยู่กินอาหารกลางวันมันแตกต่างกันอย่างไร

“ไม่รอแล้ว ให้นางนอนไปเถอะ!” หลงเอ้อร์เดินกลับออกไปด้านนอก ผู้เฒ่าจวีรีบตามไปส่งถึงนอกประตู

หลี่เคอที่เดินตามอยู่ด้านหลังสงสัยว่าผู้เฒ่าจวีจะฟังออกหรือไม่ว่าคำพูดเมื่อสักครู่นายท่านรองกัดฟันพูดมันออกมา

ผู้เฒ่าจวีเดินไปส่งพลางกล่าวขอบคุณ บอกว่าขอบคุณที่ท่านหลงเอ้อร์พามู่เอ๋อร์ไปหาหมอและยังซื้อยามาให้ ยังบอกว่ารอให้มู่เอ๋อร์ตื่นนอน เขาจะบอกว่าท่านหลงเอ้อร์มาเยี่ยมนาง

หลงเอ้อร์มีสีหน้าอึดอัด เดิมทีไม่พูดจา แต่เมื่อขึ้นรถแล้วก็เอ่ยขึ้นมาว่า “อย่าบอกนางว่าข้ามา” เขาไม่อยากเป็นเหมือนเฉินเหลียงเจ๋อ หากผู้เฒ่าจวีบอกจวีมู่เอ๋อร์ว่าเฉินเหลียงเจ๋อกับท่านหลงเอ้อร์มาเยี่ยม เอาชื่อทั้งสองคนมารวมกัน เช่นนั้นเขาคงจะต้องกระอักเลือดตายกระมัง

ดังนั้นเขาจึงยอมไม่ให้พูดถึง แค่ไม่พูดถึงก็พอ!

ผู้เฒ่าจวีไม่เข้าใจแต่ยังคงพยักหน้า หลี่เคอลอบถอนหายใจ ท่านผู้เฒ่าคนนี้ไม่รู้จักวิธีปลอบคนให้อารมณ์ดีเสียเลย หลี่เคอเพิ่งจะคิดเช่นนี้ ผู้เฒ่าจวีก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงเบา “องครักษ์หลี่ ท่านรู้สึกไม่สบายตาหรือ ข้าเห็นท่านขยิบตาให้ข้าตลอดเลย”

หลี่เคอรู้สึกว่าหน้าตัวเองบึ้งขึ้นมาทันใด พูดไม่ออกทันที

ผู้เฒ่าจวีพูดต่ออีกว่า “หากไม่สบายตาต้องรักษาให้ดี เรื่องดวงตาจะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด ท่านหมอฉีสือในเมืองมีชื่อเสียงเรื่องการรักษาดวงตา เจ้าไปหาเขาได้ ในอดีตดวงตาของมู่เอ๋อร์ก็ได้เขาเป็นคนรักษา แต่ว่าถึงตอนนี้ก็สองปีแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนที่ไปหรือยัง ข้าจะเขียนที่อยู่ของเขาให้ เจ้าลองไปหาเขาดู”

หลี่เคอรู้ว่าท่านผู้เฒ่าหวังดี แต่การที่เขาแนะนำท่านหมอที่รักษาดวงตาของบุตรสาวไม่หายให้แก่ผู้อื่น ซ้ำยังไม่ได้เจอกันมาถึงสองปีไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านหมอจะยังอยู่ที่เดิมหรือไม่ เช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ

หลี่เคอทำหน้าอมทุกข์ เหลือบตามองนายของตน พบว่าสีหน้าของเขาดีขึ้นมาก เรื่องลำบากตกไปบนหัวของผู้อื่นสามารถทำให้อารมณ์ของนายท่านรองดีขึ้นได้จริงๆ

สุดท้ายสองนายบ่าวก็ออกเดินทางภายใต้การมาส่งอย่างหน้าชื่นตาบานของผู้เฒ่าจวี เดินทางไปได้ครู่ใหญ่ หลงเอ้อร์ก็เปิดผ้าม่านรถขึ้น เอ่ยถามหลี่เคอว่า “เจ้าว่าผู้เฒ่าจวีเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงให้กำเนิดลูกสาวที่ฉลาดเฉลียวออกมาได้”

หลี่เคอไม่ตอบ ขี่ม้าต่อไปด้วยความอึดอัด ผู้เฒ่าจวีเป็นพ่อตาในอนาคตของผู้เป็นนาย เขาไม่บังอาจไปวิจารณ์ ดูสิ ก่อนหน้านี้นายท่านรองบอกว่าแม่นางจวีเจ้าเล่ห์ ตอนนี้กลายเป็นฉลาดไปเสียแล้ว ก่อนหน้านี้เกลียดจนสรรหาสารพัดวิธีมากลั่นแกล้งรังแก แต่ตอนนี้กลับมาเยี่ยมนางแต่เช้า

ใจของผู้เป็นนายเปรียบเสมือนก้นมหาสมุทร

ดังนั้นเขาไม่พูดอะไรเลยจะดีกว่า

 

วันนี้หลงเอ้อร์ทำงานทุกอย่างตามปกติ การที่ตอนเช้าไม่ได้พบจวีมู่เอ๋อร์แต่กลับพบเฉินเหลียงเจ๋อแทน ทำให้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ตัดสินใจว่าช่วงสองสามวันนี้จะไม่ไปหานางเพื่อเป็นการลงโทษ

เขาส่งหลี่เคอไปจับตาดูความคืบหน้าในการสืบคดีที่จวนว่าการ และไปติดตามดูเหล่าสายสืบสกุลหลงสืบหาเบาะแส

ตอนกลางคืนเขาทำงานตามกำหนดการ เป็นเพื่อนขุนนางใหญ่หลายคนไปดื่มเหล้าที่หอหม่านเซียง ใกล้สิ้นปีแล้ว งานเลี้ยงเช่นนี้ย่อมต้องมี เส้นสายที่ต้องดูแลก็ต้องทำ ผลประโยชน์ที่ควรให้ก็จะขาดไม่ได้ สิ่งเหล่านี้หลงเอ้อร์รู้ชัดแจ้ง

ผ่านไปได้ไม่นาน เหล่าผู้ทรงอำนาจที่ดื่มสุราเคล้านารีก็เริ่มออกลาย กอดเหล่าหญิงคณิกาแนบชิด มือไม้อยู่ไม่สุขขึ้นมา หลงเอ้อร์ดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อย วันนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ดื่มไปดื่มมาก็รู้สึกมึนหัวอยู่บ้าง หญิงคณิกาข้างกายแอบอิงออดอ้อนเขา หวังให้เขาพักแรมเหมือนเช่นคนอื่นๆ แต่หลงเอ้อร์ไม่สนใจ

เขาผลักหญิงคณิกาออก เดินไปเรียกสติด้านนอก ถามบ่าวที่คอยปรนนิบัติอยู่นอกห้องว่าตอนนี้เป็นเวลาใดแล้ว

เมื่อรู้ว่าดึกมากแล้ว เขาสมควรกลับได้แล้ว หลงเอ้อร์เรียกแม่เล้าของหอคณิกามากำชับว่าค่าใช้จ่ายของทุกท่านในห้องนี้ให้ลงบัญชีของเขาไว้ ให้นางดูแลให้ดี ฝ่ายแม่เล้าก็ตอบรับด้วยความยินดี

 

หลงเอ้อร์กลับเข้าไปในห้อง หาเหตุผลบอกว่าตัวเขาต้องขอกลับก่อน หญิงคณิกาสองคนที่คอยปรนนิบัติหลงเอ้อร์ยู่ปากด้วยความไม่ยินดี เหล่าขุนนางล้วนไม่ถือสา เพราะคนที่พวกเขาต้องการกอดไม่ใช่ท่านหลงเอ้อร์ เขาจะอยู่หรือไม่ก็ไม่เป็นไร

หลงเอ้อร์จัดการทุกอย่างเสร็จแล้วก็เดินทางกลับคฤหาสน์

รถม้าโคลงเคลงไปตลอดทาง เขามึนหัวมากขึ้น อารมณ์ยิ่งขุ่นมัว แท้จริงแล้วเขาไม่ชอบการต้อนรับแขกเช่นนี้ กิริยาท่าทางของบางคนทำให้เขาอยากจะทำเหมือนที่จวีมู่เอ๋อร์ทำกับเขา…สาดน้ำชาไปบนตัว แต่เขารู้ว่าทำไม่ได้

อย่างน้อยก็ไม่ใช่คิดอยากจะสาดก็สาด เขาต้องดูคน ดูสถานการณ์ ดูเบื้องลึกเบื้องหลัง ดูความสัมพันธ์ ดูสิ่งต่างๆ อีกมากมาย

หลงเอ้อร์ถอนหายใจ พิงผนังรถอย่างอ่อนล้า ทุกคนเห็นว่าเขาดูยิ่งใหญ่ แท้จริงแล้วเขาก็เหนื่อยเป็น

รถม้าโคลงเคลงเช่นนี้ไปตลอดทางกลับคฤหาสน์ เพิ่งจะเข้าประตู หลี่เคอก็มารายงานว่าทางจวนว่าการสืบสวนได้เบาะแสแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ในหอสุราต๋าเซิงกับโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลล้วนยืนยันว่าในถุงเงินของจูฟู่มีเงินอยู่จำนวนมาก เห็นทีคนร้ายคงคิดจะปิดบังเหตุจูงใจของตนจึงเหลือเงินเอาไว้หนึ่งอัฐ

หลงเอ้อร์พยักหน้า ถามว่ายังมีเบาะแสอะไรอย่างอื่นอีกบ้าง มีผู้ต้องสงสัยหรือไม่ หลี่เคอตอบว่าไม่มี

หลงเอ้อร์ได้ฟังก็โบกมือ พูดเพียงว่ารู้แล้ว มีอะไรพรุ่งนี้ค่อยปรึกษากัน แต่หลี่เคอพูดต่อว่า “คืนนี้แม่นางจวีมาที่นี่ขอรับ”

หลงเอ้อร์ชะงัก “นางมาหรือ”

“นางบอกว่ามาพบนายท่านรอง แต่รออยู่นานท่านก็ยังไม่กลับมา นางจึงกลับไป”

หลงเอ้อร์สร่างเมาไปครึ่งหนึ่งในทันที “พวกเจ้าบอกนางว่าข้าไปที่ใด”

หลี่เคอรีบโบกมือ “ไม่ได้พูดอะไรเลยขอรับ บอกเพียงว่านายท่านรองมีงานต้องทำด้านนอก แม่นมอวี๋ดึงตัวนางไปพูดคุยอยู่นาน ข้าเห็นว่านางก็ไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับท่านมากนัก”

หลงเอ้อร์ลองนึกดู วันนี้พวกเขาวุ่นวายจนไม่ได้เจอหน้ากันตลอดทั้งเช้าและกลางคืน เขาถอนหายใจ ก่อนเตรียมจะกลับเรือนพักก็ถามขึ้นประโยคหนึ่ง “นางกลับไปนานเท่าไรแล้ว ได้จัดรถม้าส่งนางกลับไปหรือไม่”

“เพิ่งจัดรถม้าส่งแม่นางจวีกลับไปขอรับ”

หลงเอ้อร์ชะงักฝีเท้าทันที “เพิ่งไป?”

“ขอรับ นางเพิ่งจากไป นายท่านรองก็กลับมา”

หลงเอ้อร์ยืนนิ่งไม่ขยับ คิดไปคิดมา ลังเลใจอยู่สักพัก ในที่สุดก็ขบกรามพูดว่า “เตรียมม้า”

หลงเอ้อร์ควบม้าตามจวีมู่เอ๋อร์ไป เพิ่งออกจากประตูเมืองก็ตามทัน ม้ากับรถม้าหยุดอยู่ข้างทาง เขาก้าวเข้าไปในรถ

จวีมู่เอ๋อร์ดูสดใสกว่าเมื่อวานมาก พอเขาขึ้นรถมา นางก็ขมวดคิ้ว จากนั้นใบหน้าก็ย่นยู่

หลงเอ้อร์ไม่พอใจอย่างมาก เอ่ยถามเสียงเข้ม “ทำไมพอเห็นข้าก็ขมวดคิ้ว”

“ข้าไม่เห็นสักหน่อย แต่ข้าได้กลิ่นบนตัวท่าน ท่านหลงเอ้อร์ ท่านเหม็นกว่าข้าเสียอีก”

หลงเอ้อร์เบียดเข้าไปนั่งข้างกายนาง “เช่นนั้นก็เหม็นต่อไป”

จวีมู่เอ๋อร์เบ้ปาก นางถูกเบียดจนไม่กล้าขยับ ผ่านไปสักครู่จึงผลักตัวเขาออก “ท่านหลงเอ้อร์ พวกเราไปคุยกันที่ศาลาไม้ไผ่ดีหรือไม่”

หลงเอ้อร์แค่นเสียง “หึ” หนึ่งที ทั้งไม่พอใจที่นางรังเกียจว่าเขาเหม็น และรู้สึกดีใจที่นางจะไปนั่งคุยกับเขา รถม้าเคลื่อนไปที่ศาลาไม้ไผ่ ส่วนตัวเขาขึ้นม้าขี่ตามไป เมื่อไปถึงที่หมาย หลงเอ้อร์ก็ประคองจวีมู่เอ๋อร์ลงจากรถม้า จูงนางเข้าไปนั่งในศาลา

ลมกลางคืนพัดเย็นสบาย แสงจันทร์สว่างไสว ค่ำคืนนี้บรรยากาศในศาลาไม่เลวเลย

“เจ้ามาพบข้ามีเรื่องอะไร” หลงเอ้อร์ถาม

“ข้าอยากถามว่าคดีมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง แต่ท่านหลงเอ้อร์ไม่อยู่ ข้าก็เลยกลับ”

หลงเอ้อร์กุมมือนางเอาไว้ รู้สึกว่าปลายนิ้วของนางเย็นเฉียบ เขาวางไม้เท้าของนางไว้ข้างๆ แล้วตัดสินใจกุมสองมือของนางเพื่อให้ความอบอุ่นเสียเลยดีกว่า

หลงเอ้อร์บอกเบาะแสคดีที่หลี่เคอมารายงานแก่จวีมู่เอ๋อร์ คิดสักครู่ก็เอ่ยปากอธิบายกำหนดการของตัวเอง “ก่อนสิ้นปีงานเลี้ยงจะค่อนข้างมาก”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ข้าเข้าใจ”

หลงเอ้อร์พอใจกับการตอบสนองของนาง และมือเล็กของนางที่ค่อยๆ อุ่นขึ้นในฝ่ามือของเขาก็ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจมากเช่นกัน เขากำลังจะหัวเราะ กลับได้ยินนางถามว่า

“ไปที่หอหม่านเซียงหรือหอซีชุน?”

รอยยิ้มของหลงเอ้อร์กระด้างไป

หอหม่านเซียงหรือหอซีชุน? คำถามนี้ช่างถามได้…

หลงเอ้อร์ไอ ไอแล้วไออีก กำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรดี สมองกลับคิดไปถึงอีกเรื่อง รู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติ

เขาจัดเลี้ยงตอนกลางคืน บนตัวอาจมีกลิ่นเหล้า กลิ่นแป้งหอมติดอยู่บ้าง นางเดาได้ไม่ยากว่าเขาไปที่หอคณิกา แต่ว่า…

“เจ้ารู้ชื่อหอคณิกานั้นได้อย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบช้าๆ “กลิ่นแป้งหอมบนตัวท่านหลงเอ้อร์ถูกผสมกับกลิ่นเหล้า ดังนั้นกลิ่นจึงเลือนรางไปบ้าง แต่ยังคงดมรู้ว่าเป็นกลิ่นที่หญิงสาวในสองหอนี้ชอบใช้ หากมีแค่กลิ่นแป้งหอมเพียงอย่างเดียว ข้าสามารถเดาได้แม่นกว่านี้”

คราวนี้หน้าของหลงเอ้อร์แทบเขียว ชายหนุ่มที่ไปหอคณิกาบ่อยๆ อาจจะรู้ว่าหญิงคณิกาชอบใช้แป้งหอมกลิ่นอะไรก็ว่าไปอย่าง แต่จวีมู่เอ๋อร์ของเขารู้ได้อย่างไร

“หออี้เซียงชอบใช้กลิ่นดอกเหมย หอหรั่นชุ่ยชอบใช้กลิ่นพลับพลึง หอไป่ฮวาชอบใช้กลิ่นมะลิ ส่วนหอหย่าเซียนชอบใช้กลิ่นจำปี” จวีมู่เอ๋อร์สามารถพูดถึงกลิ่นอื่นออกมาได้อีกด้วย

หลงเอ้อร์หน้าเขียวจริงๆ เสียแล้ว “เห็นทีว่าเจ้าคงรู้จักหอคณิกามากกว่าข้าเสียอีกนะ” น้ำเสียงปวดใจพอสมควร

“คงไม่ถึงขั้นรู้ดี เพียงแต่หญิงคณิกาที่ข้ารู้จัก คิดว่าคงจะมากกว่าท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์บีบมือของนางแน่น จวีมู่เอ๋อร์เจ็บจนร้องโอย เขาเอ่ยเสียงขุ่น “เจ้าเป็นหญิงสาว เหตุใดจึงรู้จักหญิงกร้านโลกเหล่านั้นได้”

จวีมู่เอ๋อร์ทำหน้าย่นยู่บ่นว่าเจ็บ “พวกนางมาเรียนพิณกับข้า”

หลงเอ้อร์ตะลึง “เรียนพิณ?”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ท่านหลงเอ้อร์คงรู้ว่าหญิงสาวในหอคณิกามีมากมายหลากหลายเพียงใด หากคิดอยากได้รับการอุ้มชูจากแม่เล้าในหอมากสักนิดก็ต้องมีจริตรัญจวนใจ ทั้งศิลปะย่อมขาดไม่ได้ ดีดพิณร่ายกลอนเป็นศิลปะที่งดงามและง่ายที่สุด หญิงคณิกาเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องศึกษาให้ทะลุปรุโปร่ง เพียงแค่พอทำได้ สามารถใช้กล่อมใจคนได้ก็เพียงพอแล้ว แต่หากคิดจะขึ้นชั้นแนวหน้า ย่อมต้องเรียนให้ชำนาญหลายส่วนจึงจะดี ตอนที่ตาข้ายังไม่บอดก็มีหญิงคณิกาแอบมาหา บอกว่านักพิณคนอื่นไม่ยอมสอน และนักพิณในหอคณิกาก็เลือกสอนคน ดังนั้นจึงมีคนลองเสี่ยงมาหาข้า”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว “แล้วเจ้าก็สอนหรือ”

“อืม” จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ในตอนแรกเริ่มไม่ได้สอน ข้าถามนางว่าเหตุใดจึงคิดอยากเรียนพิณ นางบอกว่าชอบ แต่แววตาไม่ได้เป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อย ข้าจึงปฏิเสธไป ภายหลังนางมาพบข้าอีก ข้าถามนางอีกครั้งว่าเหตุใดจึงอยากเรียนพิณ นางร้องไห้ คุกเข่าลง แล้วบอกว่าอยากจะขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง แต่นางไม่เป็นศิลปะวิชาใดๆ ดังนั้นข้าจึงสอนนาง”

หลงเอ้อร์มองนาง ตอนที่พูดนางมีท่าทางเฉยชา ใจเขากระตุก เขาไม่เห็นใจหญิงคณิกาคนนั้น คนประเภทนี้เขาเจอมามากแล้ว เขาสงสารพวกนางไม่ลง แต่ท่าทางของจวีมู่เอ๋อร์ทำให้เขารู้สึกว่ายังมีคำพูดอื่นที่นางยังไม่ได้พูดอยู่อีก

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ แล้วพูดต่อ “นางฉลาดมาก เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ภายหลังนางยังคงขายทั้งศิลปะและเรือนร่าง กลายเป็นยอดบุปผา เชี่ยวชาญทั้งด้านศิลปะและเชิงชั้นยั่วยวน มีชื่อเสียงโด่งดัง”

“นางหลอกเจ้าหรือ?” หลงเอ้อร์ไม่พอใจ มู่เอ๋อร์ของเขาหวังดีแต่กลับถูกหลอกใช้หรือ ในเมืองหลวงนี้มียอดบุปผานั่นยอดบุปผานี่มากมาย เขาไม่รู้ว่าเป็นคนไหน

“ข้าไม่รู้ว่านางหลอกข้าหรือไม่ ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นบางทีอาจจะเลือกไม่ได้” จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ “ต่อมานางอาจหลุดปากเรื่องที่ข้าสอนพิณออกไป ทำให้มีหญิงคณิกาคนอื่นแอบมาพบข้าอีก หลังจากนั้นข้าก็ตาบอด แม้แต่แม่เล้าในหอคณิกาก็แอบมาพบข้า คิดจะเชิญข้าไปสอนพิณในหอคณิกาของนาง เพราะข้ามองไม่เห็นและเป็นหญิงจึงเข้ากับหญิงคณิกาเหล่านั้นได้ง่ายกว่านักพิณชาย พวกนางก็ไม่กลัวว่าข้าจะจำหน้าได้ ท่านก็รู้ พวกนางไม่ใคร่จะชอบให้ใครพบหน้า และมีบางคนที่มีชื่อด้านศิลปะการดีดพิณอยู่แล้ว ดังนั้นพวกนางจึงไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าพวกนางต้องไปหาอาจารย์เพื่อเรียนพิณเพิ่ม”

“มีชื่อด้านศิลปะการดีดพิณยังจะต้องหาอาจารย์เรียนเพิ่มอีกหรือ”

“เพียงแค่มีชื่อเท่านั้น แขกที่มาฟังหูไม่ใคร่จะดีเท่าใดนัก”

หลงเอ้อร์ก็เป็นแขกที่หูไม่ใคร่จะดี ซ้ำยังเป็นประเภทที่ไม่ใคร่จะดีอย่างมากอีกด้วยเพราะเขาไม่รู้เรื่องพิณแม้แต่น้อย

เขาบอกตัวเองในใจว่ามู่เอ๋อร์ไม่ได้หมายถึงเขา แต่ยังคงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ดี ดังนั้นจึงกระแอมแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แล้วเจ้ายังสอนพวกนางอยู่อีกหรือ”

“อืม มีเงินก็ต้องเก็บ ข้าตามองไม่เห็น อยากจะหาเงินไว้เลี้ยงตัวเองให้มากขึ้นสักนิด เหล่าแม่เล้าและหญิงคณิกาเวลาจ่ายเงินจะใจกว้างมาก” จวีมู่เอ๋อร์พูดพลางไล่นิ้วเหมือนท่าดีดพิณด้วยความเคยชิน นิ้วของนางนุ่มนิ่ม เล็บกรีดลงบนฝ่ามือของหลงเอ้อร์ เขาก้มลงมอง แบมือปล่อยให้นางเล่นตามใจชอบ

“ท่านหลงเอ้อร์ แท้จริงแล้วหญิงสาวเหล่านั้นไม่ได้เป็นเหมือนที่ท่านคิดทุกคน บางคนน่าสงสารมาก บางคนน่ารังเกียจมาก คนที่น่ารังเกียจข้าก็จะไม่ตั้งใจสอน คนที่น่าสงสารข้าก็สอนมากสักนิด หลังจากพวกนางสนิทกับข้าก็จะเล่าเรื่องซุบซิบนินทาให้ฟัง”

“เรื่องพวกนางชอบใช้แป้งหอมกลิ่นดอกไม้อะไรน่ะหรือ” หลงเอ้อร์อารมณ์ไม่ดี เช่นนั้นภายหน้าหากเขาต้องไปจัดเลี้ยงที่หอคณิกาอีกก็ต้องชำระร่างกายเปลี่ยนเสื้อก่อนจึงจะพบนางได้หรือ

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ “ไม่เพียงเท่านี้ เรื่องหญิงหอใดชอบไปซื้อของที่ร้านใด ชอบเสื้อผ้าประเภทใด สีปากสีอะไร พวกนางล้วนบอกข้าทั้งหมด ข้ามองไม่เห็น และความชอบของทุกหอก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นพวกนางบางคนต่างรู้จักกัน พบกันโดยบังเอิญในหอเรียนพิณ จึงให้ข้าทายว่าใครมาจากหอใด ข้าเล่นกับพวกนางนานวันเข้าก็สามารถจับทางเดาได้”

หลงเอ้อร์จ้องนางในทันที “พวกนางไม่ได้พูดจาหยาบคายอะไรกับเจ้าใช่หรือไม่”

“อืม…” จวีมู่เอ๋อร์เอียงหน้าครุ่นคิด “พวกนางแค่บอกว่าหากท่านหลงเอ้อร์มาจะใช้จ่ายเงินไม่น้อย เหล่าแม่เล้าล้วนชอบใจ แต่ท่านหลงเอ้อร์ไม่เคยให้เงินรางวัลสักครั้ง ทำให้แม่เล้ากับเหล่าหญิงคณิกาแอบโอดครวญกัน สิ่งนี้นับว่าหยาบคายหรือไม่”

ใบหน้าของหลงเอ้อร์แดงซ่านขึ้นมาทันที ศักดิ์ศรีความเป็นชายของเขาถูกหญิงคณิกากลุ่มหนึ่งเอามานินทาต่อหน้าคู่หมั้นว่าเขาไม่ให้เงินรางวัล นี่มันอะไรกัน!

เขาตัดสินใจทำเป็นไม่ได้ยิน ลมเมื่อครู่พัดแรงมาก แรงจนหูของเขาฟังไม่ชัด

ตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์กุมมือของหลงเอ้อร์ไว้แน่น “ท่านหลงเอ้อร์ ข้าได้ยินพวกนางพูดถึงท่านมากมาย ข้าคิดว่าท่านเป็นคนดี ดังนั้นเมื่อฉิงเอ๋อร์ตากฝนจนป่วยหนัก ข้าที่ร้อนใจจึงได้ไปยังโรงน้ำชาเพื่อขอร้องให้ท่านทำกันสาดให้”

หลงเอ้อร์กระแอมเบาๆ หนึ่งที ใจลอยหวิวเพราะจวีมู่เอ๋อร์ชมว่าเขาดี “ข้ารับปากแล้วก็ต้องทำ ฤดูใบไม้ผลิหลังปีใหม่ก็จะเริ่มทำ”

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้ม “ข้ารู้ว่าท่านหลงเอ้อร์หนึ่งคำพูดแน่นหนักดุจเก้ากระถางศักดิ์สิทธิ์*

“เรื่องนี้แน่นอน” หลงเอ้อร์ผยองขึ้นมาทันใด “ข้ายังตอบตกลงแต่งงานกับเจ้าด้วย อย่างไรก็ต้องแต่งแน่นอน”

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มกว้างขึ้นอีก นางสวมเสื้อผ้าธรรมดา บนหัวมีผ้าพันไว้ แม้สภาพจะไม่น่าดูนัก แต่หลงเอ้อร์กลับรู้สึกว่าความงามบนตัวนางทำให้เขารู้สึกสบายใจ เขานึกถึงเฉินเหลียงเจ๋อขึ้นมา นั่นก็เป็นชายหนุ่มท่าทางเหมือนบัณฑิตเช่นกัน ดูไปแล้วก็มีลักษณะคล้ายกับจวีมู่เอ๋อร์อยู่บ้าง

หลงเอ้อร์นึกอยากถามขึ้นมาทันใดว่าเพราะเหตุใดนางจึงยืนยันจะยกเลิกการแต่งงานกับเฉินเหลียงเจ๋อ ฝ่ายตรงข้ามมีความสัมพันธ์ทางใจกับนางมาหลายปี ซ้ำยังไม่ถือสาที่นางตาบอด มีเหตุผลใดที่นางต้องยกเลิกการแต่งงานด้วย ปกติแล้วช่วงที่เพิ่งตาบอดใหม่ๆ ต้องเป็นช่วงที่ไร้หนทางและน่าหวาดกลัวที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้นยิ่งต้องเกาะติดเฉินเหลียงเจ๋อเอาไว้ให้มั่นเพื่อเป็นที่พึ่งพิง เหตุใดจวีมู่เอ๋อร์จึงทำในทางตรงกันข้ามเช่นนี้

หลงเอ้อร์กำลังจะเอ่ยปากถาม แต่ท้ายที่สุดก็อดกลั้นไว้ไม่ยอมพูด ในเมื่อนางจะแต่งงานกับเขาแล้ว มาพูดเรื่องน่าเบื่อเหล่านี้กับนางให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา

ลมกลางคืนพัดโชย ผมเส้นบางของนางปลิวติดข้างแก้ม เขาปัดออกให้นาง ในตอนนี้เองจวีมู่เอ๋อร์เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านหลงเอ้อร์ หลังจากแต่งงานแล้วข้ายังสอนพิณได้หรือไม่”

ในสมองหลงเอ้อร์ปรากฏภาพหญิงคณิกากลุ่มหนึ่งกับภรรยาของตนอุ้มพิณคนละตัว ถกกันว่าเมื่อคืนเขาไปที่หอไหน ไปกับใคร ชี้ตัวเรียกหญิงสาวคนใด ใช้เงินไปเท่าไร หญิงคนนั้นพูดอะไรกับเขา เขาตอบกลับว่าอย่างไร หญิงสาวลูบส่วนใดของเขา และมือของเขาวางอยู่ที่ใด…

หลงเอ้อร์รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ไม่ต้องสอนแล้ว ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าติดต่อกับหญิงคณิกาเหล่านั้นอีก”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ก็คงเป็นเช่นนั้น หากพวกนางรู้ว่าข้าแต่งกับท่าน และถามว่าตอนที่ท่านอยู่ที่คฤหาสน์เป็นอย่างไร ท่านพูดอะไรกับข้าบ้าง ทำอะไรกันบ้าง แม้ข้าจะไม่ตอบ แต่หากพวกนางใช้คำถามเหล่านี้มาหัวเราะเยาะข้า ข้าก็คงจะรับไม่ได้จริงๆ”

หลงเอ้อร์รู้สึกเหมือนมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่บนหัว เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าไม่เพียงไปจัดเลี้ยงนอกบ้านจะถูกนินทา แม้แต่เรื่องส่วนตัวภายในบ้านก็โดนไปด้วยเช่นกัน เขานิ่งไปครู่ใหญ่จึงกล่าวออกมาได้ประโยคหนึ่ง “แท้จริงแล้ว…ข้าไม่ค่อยได้ไปสถานที่เหล่านั้น เป็นแค่การจัดเลี้ยง แค่จัดเลี้ยงเท่านั้น”

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ “ข้ารู้ว่าท่านหลงเอ้อร์เป็นคนดีมาก”

การที่นางพูดเช่นนี้ทำให้หลงเอ้อร์รู้สึกเขินขึ้นมา เขากระแอมแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าข้าดีอยู่แล้ว”

“ท่านหลงเอ้อร์ ข้าคิดวิธีหาตัวคนร้ายได้แล้ว”

หลงเอ้อร์ตะลึงแล้วลอบถอนหายใจอยู่ภายใน หญิงสาวผู้นี้ต้องพูดจากระโดดไปกระโดดมาเช่นนี้ด้วยหรือ เมื่อสักครู่เขากำลังรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนกำลังอบอุ่น แต่จู่ๆ นางกลับมาพูดกับเขาเรื่องหญิงคณิกา พอเขารู้สึกอึดอัดใจปวดหัวที่เหล่าหญิงคณิกาปากมาก นางก็เปลี่ยนเรื่องไปที่คดีอย่างฉับพลัน

คุยกับนางแล้วเขาไม่รู้สึกเบื่อเลยจริงๆ ไม่เพียงไม่น่าเบื่อ ยังตื่นเต้นน่าลุ้นระทึกอีกด้วย

หลงเอ้อร์ถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยถาม “วิธีอะไร”

บทที่แปด

บ่ายวันที่สามหลังเกิดคดีฆาตกรรมจูฟู่ จวีมู่เอ๋อร์เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหลตามลำพัง

เรื่องนี้หลงเอ้อร์ไม่เต็มใจให้ทำ แต่จวีมู่เอ๋อร์บอกความคิดของนางให้เขาฟัง คนร้ายคนนั้นมีร่างกายแข็งแรงกำยำ คงต้องเป็นคนที่ทำงานหนัก บนตัวมีกลิ่นน้ำมันหอม เป็นไปได้มากว่าทำงานเกี่ยวกับห้องครัว เขารู้ว่าจูฟู่พักอยู่ที่ห้องใด ซ้ำยังรู้อีกว่ามีเงินอยู่ในมือ มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่จะเป็นคนในโรงเตี๊ยม

ข้อสันนิษฐานเหล่านี้หลงเอ้อร์ล้วนเห็นด้วย เขารู้สึกว่าคนร้ายต้องอยู่ที่นั่น ดังนั้นสายสืบของจวนว่าการกับคฤหาสน์สกุลหลงจึงพุ่งเป้าไปที่โรงเตี๊ยม

แต่ที่โรงเตี๊ยมมีคนที่รูปร่างสูงปานกลางไม่น้อย ในสิบคนก็มีแปดถึงเก้าคนที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำ บนตัวมีกลิ่นควันน้ำมันก็มีมาก แต่กลิ่นน้ำมันหอมนั้นกลับไม่มี เหล่ามือปราบเพ่งเล็งคนที่มีท่าทางดุร้าย แต่บนหลังมือของพวกเขาล้วนไม่มีรอยแผลเป็น

‘ดังนั้นจึงต้องให้ข้าไปเอง หากเป็นมือปราบกับสายสืบคนร้ายก็จะไหวตัวทัน แต่ถ้าเป็นข้า คนร้ายก็จะกล้าปรากฏตัวออกมา’ จวีมู่เอ๋อร์พูดเช่นนี้

หลงเอ้อร์เป็นคนฉลาดย่อมรู้ถึงความหมายของนาง แต่เขาไม่อยากทำเช่นนี้ ตอนนี้เขาเห็นจวีมู่เอ๋อร์เป็นคนของเขา ดังนั้นเขาควรจะให้การคุ้มครองนาง

‘เจ้าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ พวกเราใกล้ความจริงมากแล้ว อีกไม่นานก็สามารถจับคนร้ายตัวจริงได้’

จวีมู่เอ๋อร์กลับพูดว่า ‘ข้าจำเป็นต้องทำ ท่านหลงเอ้อร์ ข้าติดค้างท่าน’

คำพูดนี้อุดคำเกลี้ยกล่อมของหลงเอ้อร์เอาไว้ เขารู้นิสัยของจวีมู่เอ๋อร์ดี และรู้ถึงความรู้สึกของการติดค้างดีเช่นกัน หากคนผู้หนึ่งรู้สึกติดค้างผู้ใด จิตใจคนผู้นั้นคงยากจะเป็นสุขได้

หลงเอ้อร์ไม่อยากให้จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกว่าติดค้างอะไรเขา

หลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์โต้เถียงกันอยู่นาน เขามีความรู้สึกประหลาดอยู่ในใจอย่างหนึ่ง รู้สึกว่าระหว่างเขากับนางเข้าใจกันได้โดยไม่จำเป็นต้องพูด อาจกล่าวได้ว่าบางอย่างเขาเองก็พูดให้ชัดเจนไม่ได้

นางฉลาดอย่างมาก แม้จะตาบอดแต่กลับสามารถทำเรื่องเหนือความคาดหมายที่แม้แต่ผู้หญิงตาดีก็ทำไม่ได้

นางไม่เหมือนหญิงสาวคนอื่นที่เขาเคยพบมา

ดังนั้นเขาจึงยินดีแต่งงานกับนาง อย่างไรเสียเขาก็ต้องแต่งงานกับใครสักคนอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงถูกทำให้รำคาญใจจนตาย และช่วงเวลาที่นางขอเขาแต่งงานมันช่างพอดิบพอดียิ่งนัก เขากำลังปวดหัวกับเรื่องการแต่งงาน นางก็มาหาเองถึงที่บ้าน เขาไม่อยากแต่งงานกับเหล่าคุณหนูสกุลใหญ่ที่น่าเบื่อและไม่น่าสนใจ นางกลับพูดกับเขาว่า ‘ข้าอยากจะให้ท่านหลงเอ้อร์แต่งงานกับข้า’

หลงเอ้อร์รู้สึกว่านี่เป็นวาสนา

เขาทั้งอยากรังแกนางและอยากปกป้องนาง รู้สึกว่าอยู่กับนางแล้วน่าสนใจ เขาคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีมาก เขาสามารถเห็นหน้านางได้ทุกเมื่อ ได้อยู่กับนางตลอดเวลา คุ้มครองนางได้เต็มที่ และมีโอกาสได้เห็นอารมณ์โกรธของนางที่เหมือนจะไม่มีอยู่แต่กลับปรากฏออกมาให้เห็นอย่างรุนแรงได้ นางกับเขาเป็นสามีภรรยากัน เขาเป็นสามี นางย่อมต้องโอนอ่อนตามเขาเป็นธรรมดา

หลงเอ้อร์รู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้ต้องสนุกมากอย่างแน่นอน แท้จริงแล้วเขารู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดพัฒนาไปมากจริงๆ ตอนนี้ท่าทีที่นางมีต่อเขาอ่อนลงกว่าตอนที่เพิ่งรู้จักกันไม่รู้เท่าไหร่แล้ว

สรุปก็คือหลงเอ้อร์คิดว่าตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์เป็นของเขาแล้ว มู่เอ๋อร์ของเขา อืม คล่องปากมาก ในเมื่อเป็นคนของเขาก็ต้องให้เขาดูแล เขาย่อมไม่อาจให้นางไปพบเจออันตรายใดๆ ได้ แต่เขาก็ไม่อยากให้นางมีปมในใจเพราะเขาเช่นกัน

เขาไม่ได้ถูกบังคับให้แต่งกับนาง เขาหวังว่านางจะแต่งงานกับเขาเพราะความชอบเช่นกัน ไม่อยากให้นางติดค้างอะไรเขา

ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง

วันต่อมาหลงเอ้อร์จึงรับตัวจวีมู่เอ๋อร์ไปที่จวนว่าการ หลังจากการพูดจานัดแนะเป็นมั่นเป็นเหมาะ เขาก็ส่งจวีมู่เอ๋อร์ไปที่ปากถนนซีโย่ว นางถือไม้เท้าลงจากรถม้า เดินเลี้ยวไปทางโรงเตี๊ยมฝูอวิ้นไหล

ตอนนี้เป็นช่วงหลังเที่ยง เวลาอาหารจึงผ่านไปแล้ว ภายในโถงของโรงเตี๊ยมไม่มีแขก เมื่อจวีมู่เอ๋อร์เข้าไป เสี่ยวเอ้อร์ที่ชื่อซานจื่อก็เห็นนาง เขารีบเข้ามาต้อนรับ เดินนำจวีมู่เอ๋อร์ไปหาโต๊ะที่เป็นมุมเงียบสงบแล้วเชิญให้นั่งลง

จวีมู่เอ๋อร์เอียงหัวฟังเสียงการเคลื่อนไหวรอบข้าง ซานจื่อรีบเข้ามาคุยกับนาง “แม่นางวางใจได้ ตรงนี้เป็นมุมที่เงียบสงบ ไม่มีคนมารบกวนแม่นางแน่นอน”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าและยิ้มเป็นการขอบคุณ

ซานจื่อถามนางว่าต้องการกินอะไร จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบ กลับพูดขึ้นว่า “พี่เสี่ยวเอ้อร์เป็นคนที่อยู่ในโถงว่าการวันนั้นใช่หรือไม่ ข้าจำเสียงได้”

“แม่นางหูดียิ่งนัก ข้าเป็นคนในโถงว่าการที่ถูกท่านเจ้าเมืองสอบสวนคนนั้นจริงๆ”

“พี่เสี่ยวเอ้อร์เป็นคนเจอพวกเราแล้วแจ้งทางการใช่หรือไม่”

“เป็นเช่นนั้น ข้ากับแขกอีกคนหนึ่งไปพบแม่นางพร้อมกัน พูดไปแล้วแม่นางก็ดวงแข็งนัก ต่อไปจะต้องมีความสุขมากอย่างแน่นอน”

เป็นเสี่ยวเอ้อร์วิ่งอยู่ในโรงเตี๊ยม ปากหวานเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ คำพูดนั้นย่อมอ้อนมากหน่อยทำให้จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มออกมา

ซานจื่อเอ่ยถามอีก “ครั้งนี้แม่นางมาทำอะไรหรือ มากินอาหารหรือว่า…”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “รบกวนพี่เสี่ยวเอ้อร์ยกน้ำชามาให้สักกา ข้าจะนั่งเล่นที่นี่”

ซานจื่อรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ยังคงไปยกน้ำชามาให้นางหนึ่งกา ถามนางว่ายังต้องการอะไรอีกหรือไม่ จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า ซานจื่อวางกาน้ำชาลง พูดเพียงว่ามีเรื่องอะไรก็ให้เรียกใช้เขาได้

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มขอบคุณ จากนั้นก็จิบชาทีละนิดจนหมดถ้วย แล้วยื่นมือไปหยิบกามาเทน้ำชาให้ตัวเองอีกหนึ่งถ้วย

นางนั่งนิ่งๆ ตามลำพังอยู่สักครู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกายนาง “แม่นาง เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ตามลำพัง” จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกคุ้นเสียงอยู่บ้าง นางกำลังคิดว่าคนผู้นี้คือใคร เขาก็พูดขึ้นอีก “แม่นาง ข้าชื่อต้าหู่ เป็นเสี่ยวเอ้อร์ของที่นี่ วันนั้นที่เจ้ามาพักแรม ข้าเป็นคนพาเจ้าไปที่ห้องพักเอง”

จวีมู่เอ๋อร์นึกออกจึงรีบพยักหน้าแล้วทักกลับ

ต้าหู่ก็ถามอีกว่า “เหตุใดแม่นางจึงมาที่นี่คนเดียว คนร้ายคนนั้นถูกตัดสินโทษหรือยัง”

จวีมู่เอ๋อร์ตะลึง “คนร้ายอะไร”

“หลงจู๊หลี่ว์คนนั้นไง เขาเป็นคนฆ่าเถ้าแก่จูไม่ใช่หรือ แต่ข้าเห็นว่าสองวันมานี้ยังมีทหารของทางการมาตรวจสอบที่นี่อยู่เลย หรือว่าเขาจะไม่ใช่คนร้าย”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า

ต้าหู่นั่งลงตรงข้ามกับจวีมู่เอ๋อร์ “พูดไปแล้วเรื่องนี้ก็น่าหวาดหวั่นนัก แม่นางว่าเพราะเหตุใดเวลาเพียงพริบตาเดียว คนก็ตายเสียแล้ว”

“เหตุการณ์ในวันนั้นพี่เสี่ยวเอ้อร์เห็นหรือไม่” จวีมู่เอ๋อร์ถาม

“หลังจากที่ทุกคนคุยกันเสียงดังมาก ข้าตามไปดูจึงได้เห็น วันนั้นหลังจากข้าพาแม่นางไปที่ห้องพักแล้ว พอกลับมานั่งสักครู่ก็รู้สึกง่วงอย่างมาก เมื่อเห็นว่าไม่มีแขกเลยงีบหลับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หลงจู๊หลี่ว์คนนั้นก็มาแตะตัวเรียกข้า ถามว่าเถ้าแก่จูอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ ข้าตอบเขาไป โอ เรื่องนี้จะพูดไปก็ต้องโทษข้าด้วย หากข้าไม่บอกเขา ไม่แน่ว่าเถ้าแก่จูอาจจะไม่ตายก็ได้”

“พี่เสี่ยวเอ้อร์ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง หากเถ้าแก่จูที่อยู่ในปรโลกรับรู้ย่อมไม่โทษพี่เสี่ยวเอ้อร์แน่นอน”

จวีมู่เอ๋อร์พูดเสียงเรียบ ฟังเหมือนปลอบใจด้วยจุดประสงค์อันดี แต่กลับทำให้ต้าหู่ตกใจจนเหงื่อผุดไปทั้งตัว ถามเสียงหลงว่า “มีผีมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมอย่างนั้นหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่พูดจา ต้าหู่นั่งนิ่งอยู่สักครู่ ครุ่นคิดไปมาแล้วรีบวิ่งจากไปทันที

ผ่านไปพักใหญ่ ซานจื่อก็เดินมาถามจวีมู่เอ๋อร์ว่าต้องการอะไรเพิ่มหรือไม่ นางส่ายหน้า เขาถามอีกว่านางรอคนอยู่ใช่หรือไม่ จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้าอีก ซานจื่อเกาหัวพูดว่า “แล้วแม่นางจะไปที่ใด มีเพื่อนอยู่ละแวกนี้หรือไม่ ข้าจะไปตามให้เพื่อนของแม่นางมารับที่นี่ ดวงตาแม่นางไม่ค่อยสะดวก หากกลับไปเองคงไม่ดี”

จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ “พี่เสี่ยวเอ้อร์เป็นคนดียิ่งนัก ไม่ปิดบังพี่เสี่ยวเอ้อร์ ข้าเจอปัญหาเข้าแล้ว”

ซานจื่อมองไปซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีแขกที่จะต้องต้อนรับ เขาจึงนั่งลงแล้วถามว่า “แม่นางมีความลำบากอะไรหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์เอียงหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวรอบข้าง เมื่อไม่ได้ยินว่าใกล้ๆ มีคนอื่นอยู่ นางจึงค่อยกดเสียงลงต่ำแล้วเอ่ยปาก “ท่านเจ้าเมืองมั่นใจว่าหลงจู๊หลี่ว์ไร้ความผิด ต้องการให้ข้าไปให้ปากคำเกี่ยวกับคดีในวันนั้น เดิมทีข้าควรจะต้องจำเรื่องอะไรได้บ้าง แต่หลังจากได้รับบาดเจ็บที่หัวก็มักจะรู้สึกมึนๆ งงๆ จำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

ซานจื่อได้ยินก็รีบพูดว่า “ข้าได้ยินเหล่าทหารของทางการบอกว่าต้องการตรวจสอบชายที่มีรูปร่างสูงปานกลาง บนมือมีรอยแผลเป็น เมื่อวานนี้พวกเขามาตรวจสอบละแวกนี้ทั้งวัน”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ข้านึกขึ้นได้ แต่ก็ยังหาตัวคนร้ายไม่พบ ท่านเจ้าเมืองบอกว่าหากหลงจู๊หลี่ว์ไม่ใช่คนร้าย พรุ่งนี้จะต้องปล่อยตัวเขาแล้ว แต่คดีนี้ร้ายแรงมาก จะไม่มีผู้กระทำผิดไม่ได้ ตอนที่เกิดเหตุ ภายในห้องก็มีเพียงหลงจู๊หลี่ว์กับข้า หากข้าไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าตัวเองไร้ความผิดก็ต้องเข้าคุก”

“แม่นางเป็นหญิงเรียบร้อยอ่อนแอ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าฆ่าคนไม่ได้ ท่านเจ้าเมืองทำเช่นนี้ได้อย่างไร”

“ขุนนางต้องการทำคดี ข้าเป็นเพียงชาวบ้านสามัญจะไปมีปัญญาทำอะไรได้”

“เช่นนั้นแม่นางมาที่นี่เพื่ออะไร”

“ข้าคิดว่าหากกลับมาที่เกิดเหตุ บางทีอาจจะนึกอะไรได้มากขึ้น ข้าเกรงว่าใต้เท้าจะคิดว่าข้าเสแสร้งแกล้งทำ ดังนั้นจึงมาด้วยตัวเอง หากจำเรื่องราวอื่นๆ ได้แล้วค่อยไปรายงาน”

ซานจื่อเอ่ยถาม “แล้วนึกอะไรได้หรือยัง”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “นึกได้แล้ว” นางไม่รอให้ซานจื่อถาม พูดต่อทันที “แต่ข้าต้องการทำให้มั่นใจกว่านี้สักนิด”

“ทำให้มั่นใจอย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์กดเสียงต่ำเอ่ยถามกลับ “พี่เสี่ยวเอ้อร์ ข้าเชื่อในตัวพี่เสี่ยวเอ้อร์ ดังนั้นช่วยพาข้าเข้าไปในห้องที่เถ้าแก่จูประสบเหตุได้หรือไม่”

ซานจื่อตกใจ “จะไปทำอะไรหรือ ตอนนี้ห้องนั้นถูกปิด ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไป”

“ก็เพราะไม่มีใครเข้าไปได้ ดังนั้นหากข้าเข้าไปนั่งสักครู่ ย่อมไม่มีคนรู้แน่นอน ข้านึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ต้องเข้าไปในห้องนั้นจึงจะมั่นใจ พี่เสี่ยวเอ้อร์ เรื่องนี้เกี่ยวกับการตามหาคนร้ายตัวจริง ช่วยข้าสักหน่อยได้หรือไม่”

ซานจื่อลำบากใจมาก “ที่นั่นไม่อนุญาตให้เข้าไปจริงๆ ถ้าข้าช่วยแม่นาง ข้าอาจจะถูกไล่ออกก็ได้ เอาเป็นว่าข้าจะพาแม่นางไปเดินรอบๆ อาคารห้องพักที่ด้านหลัง เช่นนี้อาจทำให้นึกออกได้กระมัง”

จวีมู่เอ๋อร์คิดสักครู่ “แค่ไปเดินเล่นที่อาคารด้านหลังข้าไปเองก็ได้ พี่เสี่ยวเอ้อร์ไม่จำเป็นต้องไปเป็นเพื่อน เช่นนี้หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจะได้ไม่ทำให้พี่เสี่ยวเอ้อร์ลำบาก”

ซานจื่อก็ไม่ดึงดัน “เช่นนั้นแม่นางก็ระวังตัวด้วย”

ซานจื่อเดินจากไป จวีมู่เอ๋อร์นั่งต่ออีกสักครู่ จากนั้นจึงหยิบไม้เท้าค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ ไปที่อาคารด้านหลัง นางจำเส้นทางของที่นี่ได้

นางเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ ผ่านระเบียงทางเดินที่เงียบสนิท จากนั้นจึงหยุดอยู่ตรงหน้าห้องเทียนจื้อหมายเลขหก

นางยืนนิ่งอยู่สักพัก ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ ดังนั้นจึงยื่นมือไปแตะบานประตูแล้วออกแรงผลัก ประตูไม่ได้ถูกลงกลอนไว้จึงเปิดออก จวีมู่เอ๋อร์ยืนอยู่ตรงหน้าประตูสักครู่แล้วถึงเดินเข้าไป จากนั้นก็หมุนตัวมาปิดประตู

จวีมู่เอ๋อร์นั่งอยู่ภายในห้อง ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงเคาะประตู นางตกใจแต่ไม่ได้ขยับตัว จากนั้นคนที่อยู่ด้านนอกประตูจึงส่งเสียงพูดเบาๆ “แม่นางจวี ข้าเอง”

จวีมู่เอ๋อร์สงบสติแล้วเดินไปเปิดประตู

ผู้ที่มาคือซานจื่อ เมื่อเขาเข้ามาก็รีบปิดประตู เอ่ยอย่างร้อนใจ “แม่นางบอกว่าแค่เดินเล่นอยู่รอบอาคารไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงแอบเข้ามาที่นี่ หากมีใครเห็นเข้าจะทำอย่างไร”

“ข้าเดินไปเดินมาก็มาถึงที่นี่เอง พอลองผลักประตูถึงค่อยเห็นว่าไม่ได้ลงกลอนไว้จึงเดินเข้ามา”

ซานจื่อได้ฟังก็ถอนหายใจ “แม่นางรีบออกไปดีกว่า ห้องนี้ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาจริงๆ จะให้คนอื่นเห็นแม่นางไม่ได้เด็ดขาด หากทหารทางการเอาผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “พี่เสี่ยวเอ้อร์พูดถูกต้องแล้ว ข้าเองก็นึกได้แล้ว จะออกไปเดี๋ยวนี้”

ซานจื่อเอ่ยถาม “แม่นางนึกอะไรได้หรือ”

“ข้าคิดวิธีชี้ตัวคนร้ายออกแล้ว ต้องไปเรียนใต้เท้าเดี๋ยวนี้”

“แม่นางมั่นใจหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ไม่ผิดพลาดแน่นอน วันนั้นแม้คนร้ายจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขายังคงทิ้งร่องรอยที่สำคัญมากเอาไว้ ต้องโทษที่ข้ากลัวจนเกินไปและหัวได้รับบาดเจ็บจึงทำให้พลาดจุดนี้ไป ปรากฏว่ามาที่นี่แล้วจึงนึกขึ้นได้ทั้งหมด”

ซานจื่อเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอยินดีกับแม่นางด้วยที่สามารถล้างข้อสงสัยของตัวเองได้ พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะมาเห็น”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับด้วยรอยยิ้ม ซานจื่อแง้มประตูออก แอบยื่นหน้าออกไปมองความเคลื่อนไหวนอกห้อง จากนั้นจึงหันหน้ามาบอกจวีมู่เอ๋อร์ว่า “ด้านนอกไม่มีใคร ข้าจะออกไปก่อน แม่นางนั่งรออีกสักครู่ค่อยออกไปเถอะ”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า นางได้ยินเสียงประตูเปิดออกแล้วปิดลง ซานจื่อจากไปแล้ว

จวีมู่เอ๋อร์นั่งนิ่งไม่ขยับ ในห้องเงียบมาก นางรอได้สักพักก็ได้ยินเสียงของท่านหลงเอ้อร์ดังขึ้น “ทางที่ดีเจ้าอย่าได้แตะต้องนางแม้เพียงปลายเล็บ ไม่เช่นนั้นเจ้าใช้มือข้างใดแตะต้องนาง ข้าก็จะสับมือข้างนั้นทิ้ง”

แม้จะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่เสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันก็ทำให้จวีมู่เอ๋อร์ตัวสั่น นางร้องเรียกทันทีว่า “ท่านหลงเอ้อร์!”

มือใหญ่อบอุ่นข้างหนึ่งกุมมือนางไว้ทันที จวีมู่เอ๋อร์สงบใจลงได้ เอ่ยเรียกเขาอีกครั้ง

“ท่านหลงเอ้อร์”

“ข้าเอง ไม่ต้องตกใจ”

“เขาเปิดและปิดประตูแต่ไม่ได้ออกไปจริงๆ ใช่หรือไม่” จวีมู่เอ๋อร์ถามหลงเอ้อร์

“ถูกต้อง” หลงเอ้อร์เหลือบตามอง แววตาคมกริบราวกับมีดพุ่งตรงไปยังซานจื่อ

“เขาคิดจะฆ่าข้าอย่างไร”

“ในมือเขาถือผ้า อาจจะคิดอุดปากอุดจมูกเจ้าให้ตาย”

“เช่นนั้นก็สามารถทำให้ข้าไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือและทำให้ตายได้ในคราวเดียว”

ทุกอย่างเป็นไปตามที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ หากจวีมู่เอ๋อร์ปรากฏตัว คนร้ายจะต้องระแวงสงสัย เมื่อรู้ว่านางอาจนึกอะไรขึ้นมาได้ คนร้ายต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันตัวเองอย่างแน่นอน

สิ่งที่จวีมู่เอ๋อร์ทำก็คือเล่นไปตามสถานการณ์ นางนั่งอยู่ในโถงพักหนึ่งเพื่อให้คนร้ายสังเกตเห็นนางแล้วเกิดความหวาดกลัว จากนั้นจึงหาวิธีสร้างโอกาสให้แก่คนร้าย ทำให้เขาสามารถเข้าใกล้และลงมือกับนางได้โดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

สถานที่ที่วางไว้ในแผนคือหนึ่ง ห้องที่คนร้ายก่อเหตุ สอง ตรอกแคบด้านหลังโรงเตี๊ยม แต่เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างอื่นขึ้น ดังนั้นนอกประตูโรงเตี๊ยมรวมไปถึงอาคารทางด้านหลังของโรงเตี๊ยมล้วนมีสายสืบกับทหารทางการในชุดสามัญชนซุ่มซ่อนอยู่

ภายในห้องนี้เดิมทีได้มีการจัดเตรียมทหารทางการไว้ด้านหลังฉากกั้นหนึ่งคน ดังนั้นเมื่อจวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงของท่านหลงเอ้อร์ก็พูดได้ว่านางทั้งตกใจและดีใจ สำหรับนาง เขาทำให้นางอุ่นใจได้มากกว่าทหารทางการ

ซานจื่อที่อยู่ด้านข้างตกใจจนขาอ่อน หัวใจแทบหลุดออกมานอกอก เขาคิดจะฉวยโอกาสตอนที่จวีมู่เอ๋อร์ไม่ระวังตัวอุดปากอุดจมูกนางให้ตาย จากนั้นค่อยโยนร่างนางออกไปนอกหน้าต่าง สร้างสถานการณ์ว่านางตกจากอาคารตายเอง สุดท้ายท่านเจ้าเมืองก็อาจคิดว่านางฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด และไม่อยากทนรับความลำบากในคุกจึงได้ตัดสินใจกระโดดลงจากอาคารเพื่อฆ่าตัวตาย หากเป็นเช่นนั้นท่านเจ้าเมืองก็จะต้องรีบปิดคดีเพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ครหา

ซานจื่อคิดว่าครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่ยากจะได้พบ ไม่มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์ หญิงตาบอดผู้นี้ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนร้าย ดังนั้นจึงคิดฉวยโอกาสตอนที่ทุกอย่างยังสามารถแก้ไขได้ลงมือกระทำ

นางบอกว่าอยากจะมาที่ห้องนี้ เขาจึงอาศัยตอนที่นางยังนั่งอยู่ในโถง แอบขึ้นมาปลดกลอนประตูห้อง จากนั้นรอคอยเพื่อสังเกตการณ์ เขาเห็นหญิงตาบอดผู้นี้หาห้องเทียนจื้อหมายเลขหกพบโดยไม่ผิดพลาด ในใจก็เกิดความคิดแน่วแน่ที่จะสังหารนาง

เขารอสักครู่ หาโอกาสตอนที่ไม่มีผู้คนเดินผ่านเพื่อจะลงมือ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในห้องนี้มีคนอยู่ ดังนั้นที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะเหลือเกิน แต่นางลงกลอนประตูไว้ หากเขาทำอะไรผลีผลาม นางอาจตกใจจนร้องตะโกนเสียงดัง ดังนั้นเขาจึงเคาะประตู ค่อยๆ พูดคุยด้วยก่อน จากนั้นก็แกล้งทำเป็นออกจากห้อง ทำให้นางไม่ทันระวังตัว เขาจะใช้มีดไม่ได้ ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่ หากตัวเขาเปื้อนเลือดจะจัดการได้ยาก ดังนั้นเขาต้องอุดปากอุดจมูกนางให้ตาย

คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งพันผ้าใส่มือย่องเข้าใกล้นาง ท่านหลงเอ้อร์ก็ปรากฏตัวออกมาเสียก่อน

หากเป็นทหารทางการตัวเล็กๆ ซานจื่ออาจจะกล้าประมือด้วย แต่กับท่านหลงเอ้อร์ เขาไม่กล้าขยับแม้เพียงนิดเพราะรู้ว่าท่านหลงเอ้อร์สามารถตัดมือเขาได้จริงตามที่พูด เขาคิดไปถึงขั้นว่าหากท่านหลงเอ้อร์สังหารเขาเสีย ทหารทางการก็คงไม่อาจทำอะไรท่านหลงเอ้อร์ได้

ซานจื่อหวาดกลัวมาก แต่เมื่อเห็นว่าตอนนี้คนทั้งสองเอาแต่คุยกัน ท่านหลงเอ้อร์ไม่ได้สนใจเขา หญิงตาบอดคนนั้นก็ไม่ได้สนใจเขาเช่นกัน

ซานจื่อเห็นดังนั้นก็ขบกราม ตัดสินใจหมุนตัววิ่งไปทางประตู เขาเพิ่งจะผลักบานประตูให้เปิดออก มีดสองเล่มก็วางทาบลงบนคอ ทหารทางการที่เฝ้าอยู่นอกประตูจับตัวซานจื่อไว้ได้โดยไม่ต้องเสียแรง

เหล่าทหารทางการคุมตัวซานจื่อกลับเข้าไปในห้อง ชิวรั่วหมิงเดินเข้ามาอย่างมาดมั่น ยกเก้าอี้ไปนั่งลงตรงด้านหน้า ซานจื่อที่มองไม่เห็นทางรอดคุกเข่าทรุดฮวบลงบนพื้น

“ใต้เท้า” จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยเรียก “ให้ข้าน้อยลูบมือของเขาได้หรือไม่”

ลูบอีกแล้วหรือ! หลงเอ้อร์ไม่สบอารมณ์ ขมวดคิ้วมองไปที่ซานจื่อแวบหนึ่ง

ชิวรั่วหมิงย่อมต้องตอบตกลง จวีมู่เอ๋อร์ยืนขึ้นแต่ไม่รู้ว่าตนควรจะเดินไปทางไหน เมื่อครู่มีคนกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามา ตอนนี้นางจึงแยกไม่ออกว่าซานจื่ออยู่ที่ใดกันแน่

ทหารทางการผู้หนึ่งเดินเข้ามาเพื่อจะนำทางให้นาง แต่จวีมู่เอ๋อร์มองไม่เห็น นางยื่นมือออกไปทางหลงเอ้อร์ เอ่ยเรียกขอความช่วยเหลือเสียงหวาน “ท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์ที่มองดูอยู่รู้ว่าท่าทางนั้นเป็นการแสดงว่าจวีมู่เอ๋อร์ต้องการเขา นางไม่ต้องการผู้ใด เรียกหาเพียงแต่เขา เขารู้สึกยินดีจนไม่สนใจอารมณ์ที่ขุ่นมัว ยอมทำเรื่องน่าโมโหเช่นการพาภรรยาในอนาคตของตนไปลูบมือชายอื่น

หลงเอ้อร์ยื่นมือไปกุมมือนางเอาไว้ ฝ่ามือใหญ่ของเขากุมมือบางของจวีมู่เอ๋อร์ได้พอดี แม้ในใจจะยินดี แต่กลับปั้นหน้านิ่ง ประคองนำทางนางไปตรงหน้าซานจื่อ

ทหารทางการจับมือซานจื่อให้ยื่นมาข้างหน้า จวีมู่เอ๋อร์ลูบอย่างละเอียด ลูบอยู่นานมาก นานจนหลงเอ้อร์ขมวดคิ้วแน่น ในขณะที่เขากำลังทนไม่ไหวจะดึงมือนางกลับ จวีมู่เอ๋อร์ก็ปล่อยมือพอดี ในที่สุดนางก็พูดว่า “เป็นเขา”

ซานจื่อตัวสั่นระริกไม่กล้าพูดอะไร จวีมู่เอ๋อร์ถอยกลับไปสองก้าว ชี้ไปทางซานจื่อแล้วพูดเสียงดัง

“ใต้เท้า เป็นเขา”

ตอนที่พูดคำนี้ใบหน้าเล็กของนางเปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่าดีใจและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หลงเอ้อร์ดึงนางมาข้างกายอย่างอดไม่ได้ นางจับมือเขาไว้แล้วพูดด้วยความยินดี “ท่านหลงเอ้อร์ เป็นเขา จับเขาได้แล้ว เป็นเขานั่นเอง”

เรื่องราวต่อไปง่ายขึ้นมาก ชิวรั่วหมิงฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน เปิดการพิจารณาคดีทันที ซานจื่อที่จนต่อหลักฐานยอมรับสารภาพออกมาหมดสิ้น

ที่แท้ซานจื่อติดหนี้พนันอยู่ไม่น้อย ถูกคนของบ่อนพนันข่มขู่บีบบังคับ เขาหวาดกลัวจึงซื้อมีดสั้นไว้ป้องกันตัว แต่อย่างไรเงินก็ต้องใช้คืน เขาที่กำลังกลุ้มใจไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดก็บังเอิญได้พบกับจูฟู่

วันนั้นจูฟู่เข้ามาในโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดื่มเหล้าไปไม่น้อยโดยไม่พูดไม่จา ซานจื่อพูดเตือนไปคำหนึ่ง จูฟู่กลับโมโหเกรี้ยวกราด หยิบถุงเงินออกมาแล้วบอกว่า ‘ข้ามีเงินดื่ม’ เมื่อซานจื่อเห็นเงินก้อนโตก็เกิดความโลภขึ้นในใจ คิดทันใดว่านี่เป็นโอกาส

เขานำเหล้ามาให้จูฟู่จำนวนมาก ให้จูฟู่ดื่มจนเมามายไร้สติ จากนั้นจึงกล่อมจูฟู่ว่าเขาดื่มมากเกินไปแล้ว นอนพักในโรงเตี๊ยมเสียเลยจะดีกว่า ในตอนนั้นจูฟู่พึมพำตอบรับ บอกว่าไม่อยากกลับบ้านไปเห็นหน้าภรรยา ดังนั้นซานจื่อจึงพาตัวจูฟู่ไปที่ห้องพักได้อย่างราบรื่น

จูฟู่หลับแล้วแต่ยังคงกอดถุงเงินเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ซานจื่อไม่รู้ว่าเขาเมามากน้อยเพียงใดจึงไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม คิดรอให้เขาหลับสนิทก่อนแล้วค่อยมาขโมยถุงเงิน

ซานจื่อกลับไปทำงานที่โถง แต่ในใจเริ่มคิดวางแผนว่าเรื่องนี้จะให้ผู้อื่นสังเกตเห็นไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรอให้ต้าหู่นำแขกไปส่งที่ห้องพักเสร็จ เมื่อต้าหู่กลับมา เขาก็เทน้ำที่ผสมยานอนหลับปริมาณเล็กน้อยเอาไว้ให้ต้าหู่ถ้วยหนึ่ง ยานอนหลับนี้เป็นสิ่งที่เพื่อนในบ่อนพนันเคยให้เขา บอกว่าพวกเพื่อนๆ ของเขาใช้มันบ่อยๆ สิ่งนี้สามารถทำให้คนสะลึมสะลือง่วงนอนได้ แต่ไม่ขั้นหมดสติ หากใช้แล้วย่อมไม่มีช่องโหว่แน่นอน

ต้าหู่หลับไปอย่างรวดเร็ว ซานจื่อจึงแอบไปดับโคมไฟบนทางเดิน เขายังเตรียมเสื้อของคนส่งน้ำมันหอมมาชุดหนึ่งด้วย ตอนที่คนส่งน้ำมันหอมขนของมาส่งได้ถอดเสื้อทำงานและทิ้งเสื้อไว้ ภายหลังรีบร้อนจากไปจึงลืมหยิบไปด้วย ซานจื่อคิดว่าเมื่อตนเปลี่ยนชุดแล้ว แม้จะมีคนเห็นเงาเขาเคลื่อนไหวก็คงไม่คิดว่าเป็นเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้

แต่เขาเพิ่งคิดจะเปลี่ยนชุดเพื่อลงมือ แขกที่ชื่อเหลียงผิงผู้นั้นก็มาหา บอกว่าหิวแล้ว ยังบอกอีกว่าโคมไฟบนระเบียงดับ ซานจื่อด้านหนึ่งคิดว่าควรจะทำอย่างไร อีกด้านก็เดินนำเหลียงผิงเข้าไปในห้องครัว เหลียงผิงหิวมากจึงกินอาหารในครัวนั้นเลย ซานจื่อเกิดแผนการขึ้นในใจทันที เขาปล่อยให้เหลียงผิงกินอาหารไป ส่วนตัวเขาบอกว่าจะไปหาโคมไฟที่ห้องเก็บของ เหลียงผิงตอบรับ ซานจื่อจึงฉวยโอกาสนี้รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลอบเข้าไปในห้องของจูฟู่

ในความมืด ซานจื่อคลำเจอถุงเงินอย่างรวดเร็ว แต่คาดไม่ถึงว่าจูฟู่จะตื่นขึ้น ซานจื่อตกใจจนชักมีดสั้นออกมา ส่วนจูฟู่ทะยานออกไปทางประตูเพื่อตะโกนขอความช่วยเหลือ

หลังจากนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็ผ่านมา ซานจื่อพบว่านางตาบอดจริง ดังนั้นเขาจึงคิดแผนการขึ้นมาได้ ตั้งใจจัดฉากว่าจูฟู่กับหญิงสาวมีความสัมพันธ์กัน และถูกนางพลั้งมือแทงตาย เขายังเหลือเงินหนึ่งอัฐไว้ในถุงเงิน แล้วนำมันกลับไปวางที่หัวเตียงเพื่อปิดบังจุดประสงค์ในการฆ่าคนชิงทรัพย์ จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อเปื้อนเลือดออก เปลี่ยนรองเท้า หยิบโคมไฟอันใหม่แล้วกลับไปหาเหลียงผิง แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราวใดๆ เขาเดินนำเหลียงผิงกลับห้องพัก ตั้งใจนำคนผู้นี้ไปที่เกิดเหตุพร้อมกัน หากเป็นเช่นนี้ก็คงไม่มีใครคิดสงสัยในตัวเขาแล้ว

คาดไม่ถึงว่าพอไปถึงที่นั่น กลับพบหลี่ว์ซือเสียนอยู่ตรงนั้นพอดี คราวนี้ซานจื่อยิ่งคิดว่าสวรรค์ช่วยเขา ภายหลังเขานำเสื้อเปื้อนเลือดกับรองเท้าไปเผา เมื่อไม่หลงเหลือหลักฐานอะไรไว้ให้สาวถึงตัว เขาจึงคิดว่าจากนี้ไปคงหมดเรื่อง แต่แล้วเหล่าทหารทางการกลับเริ่มสืบหาชายหนุ่มรูปร่างสูงปานกลางที่มีรอยแผลเป็นอยู่บนหลังมือ โชคดีที่ไม่มีใครสงสัยเขา เขาเป็นเด็กช่วยงาน ดังนั้นจึงมักจะพาดผ้าเอาไว้บนมือ ปิดบังสายตาของผู้อื่นไปได้ เดิมทีเขายังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็พบว่าเป็นเพราะหญิงตาบอดที่เขาไม่ได้สังหารในตอนนั้นทำลายแผนการทั้งหมด นางสามารถชี้ตัวคนร้ายได้

เรื่องราวทุกอย่างกระจ่างชัดแล้ว ชิวรั่วหมิงจับคนร้ายตัวจริงได้ เขาสั่งให้มือปราบและทหารคุมตัวซานจื่อไปที่จวนว่าการ และรับปากกับหลงเอ้อร์ว่าจะปล่อยตัวหลงจู๊หลี่ว์ทันทีที่กลับไปถึง

จวีมู่เอ๋อร์ดีใจมาก นางมีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา หลงเอ้อร์จูงนางเดินออกจากโรงเตี๊ยม ก้าวเท้าตามจังหวะการเดินของนางไปทางรถม้าอย่างช้าๆ

นางยิ้มอยู่ตลอดไม่ยอมหุบ สายลมพัดมา เส้นผมข้างหูของนางปลิวไสว เผยให้เห็นติ่งหูกลมกลึงงดงาม หลงเอ้อร์เห็นก็ยื่นมือไปบิดอย่างอดไม่ได้ แล้วเอ่ยถามว่า “ดีใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ถูกบิดหูจนสูดปาก เขาได้ชื่อว่าเป็นสามีในอนาคตของนาง ดูเหมือนนางจะไม่อาจตำหนิที่เขาลงไม้ลงมือได้ แต่นางอารมณ์ดีจริงๆ ดังนั้นจึงพยักหน้าช้าๆ แล้วเอ่ยตอบ “ดีใจ”

“ดีใจอะไร”

“หลายเรื่องเลย” จวีมู่เอ๋อร์กล่าวถึงเรื่องทั้งหมด “สามารถล้างมลทินให้หลงจู๊หลี่ว์ได้ คนร้ายตัวจริงได้รับโทษตามกฎหมาย หากเถ้าแก่จูที่อยู่ในปรโลกได้รับรู้ก็คงจะสบายใจ อีกอย่าง ในที่สุดข้าก็ไม่ต้องออกมานอกบ้านแล้ว”

นางพูดถึงตรงนี้ก็หยุดพูด หลงเอ้อร์ตะลึง เหตุใดจึงไม่มีเรื่องของเขาล่ะ

“ได้ข้าปกป้อง เจ้าดีใจหรือไม่” อย่างไรเสียเรื่องที่นางยินดีสมควรจะต้องมีเขาอยู่ด้วยจึงจะถูก

“ดีใจ” จวีมู่เอ๋อร์รีบตอบรับทันควัน

“เช่นนั้นเจ้ามีอะไรอยากจะพูดกับข้าหรือไม่”

“อืม…” จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง จะพูดว่า ‘ขอบคุณท่านหลงเอ้อร์’ ก็ฟังดูห่างเหินไปหน่อย หรือจะพูด ‘ท่านหลงเอ้อร์ช่างดีเหลือเกิน’ ก็ดูน่าขนลุก เช่นนั้นก็ถามคำถามกลับไปเลยดีกว่า “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านปีนหน้าต่างเข้าไปในห้องหรือ”

หลงเอ้อร์นิ่งอึ้ง นางเริ่มพูดคำที่เขาคาดไม่ถึงอีกแล้ว อะไรเรียกว่าปีนหน้าต่าง คำว่า ‘ปีน’ ฟังดูทุลักทุเลเกินไป เขาเข้าไปอย่าง ‘สง่าผ่าเผย’ ต่างหาก

“หน้าต่างปิดอยู่หรือ” จวีมู่เอ๋อร์ถามต่อทันที

มันปิดอยู่ หลงเอ้อร์ตอบในใจ ตอนนั้นเขาเปิดหน้าต่างออก ‘ตามใจต้องการ’

“ที่จริงตอนยังเด็กข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่ามีโจรลอยตัวขึ้นไปงัดหน้าต่างบนอาคารแล้วลอบเข้าไป ข้าไม่เข้าใจเลย เช่นนั้นต้องใช้แรงขนาดไหนกัน ต้องโก่งตัวพาดตรงนั้นแล้วสะเดาะกลอนออกหรือไม่”

‘โก่งตัว’ ‘พาดตรงนั้น’ … นางไม่มีคำที่น่าฟังกว่านี้สักนิดหรือ

สีหน้าหลงเอ้อร์ยากจะอธิบาย ในสมองภรรยาในอนาคตของเขาจะคิดว่าเขาเข้าไปปกป้องนางอย่าง ‘งามสง่า’ หรือไม่อย่างไร เขาไม่อยากจะครุ่นคิดอีกแล้ว

“ท่านหลงเอ้อร์ ท่านยังอยู่หรือไม่” ไม่มีเสียงตอบรับ จวีมู่เอ๋อร์หยุดเดินแล้วหันหลังกลับ

“ข้าอยู่ตรงนี้” หลงเอ้อร์จับตัวนางให้หันกลับมาอย่างอารมณ์เสีย เขาอยู่ข้างกายนางตรงนี้ นางจะหันหลังกลับไปเพื่ออะไร

“อ๋อ” จวีมู่เอ๋อร์รีบหัวเราะเอาใจ หลงเอ้อร์บิดติ่งหูของนางอีกครั้งเป็นการระบายอารมณ์

จวีมู่เอ๋อร์หดตัวหลบ รีบยื่นมือไปกุมมือเขาเอาไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ท่านหลงเอ้อร์ ในห้องนั้นที่ท่านปกป้องข้า ข้าดีใจมากจริงๆ”

หลงเอ้อร์ชะงักไปชั่วครู่ ยายเด็กคนนี้…ยายเด็กคนนี้นี่! นางพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจหรือว่าจงใจพูดกันแน่

ตอนที่เขาอยากฟังนางไม่พูด แต่ตอนที่เขาคิดว่านางจะไม่พูด นางกลับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจนทำให้เขาเลี่ยนหู

นางจงใจทำ!

บทที่เก้า

หลงเอ้อร์สะกดกลั้นอารมณ์นำตัวจวีมู่เอ๋อร์ส่งขึ้นรถม้าให้คนรถไปส่งนางกลับบ้าน ส่วนเขาคิดจะไปรับหลงจู๊หลี่ว์ออกจากคุกด้วยตัวเอง เขาสั่งการคนรถเสร็จก็หันไปพูดคุยกับจวีมู่เอ๋อร์ กำชับให้นางรักษาตัวให้ดี พรุ่งนี้เขาจะหาเวลาว่างไปเยี่ยมนางอีกที

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้ารับคำ นั่งเงียบอยู่บนรถม้ารอให้ออกเดินทาง หลงเอ้อร์ถอยหลังไปหลายก้าว หมุนตัวเตรียมจะเดินไปจูงม้า

แต่เดินๆ ไปก็อดหันไปมองนางไม่ได้ จวีมู่เอ๋อร์นั่งนิ่งอยู่บนรถ มือกอดไม้เท้าเอาไว้

คนรถเดินมาปิดประตูลง จวีมู่เอ๋อร์หายไปจากสายตาของเขา

หลงเอ้อร์รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันใด เขาหมุนตัวกลับ รีบเดินไปข้างตัวม้า พูดกับหลี่เคอที่รออยู่ว่า “เจ้ากลับคฤหาสน์ไปหาพ่อบ้านเถี่ย บอกให้ส่งคนไปรับตัวหลงจู๊หลี่ว์ พาเขากลับไปพักผ่อนที่บ้าน จัดเตรียมของช่วยล้างความอัปมงคลให้เขา และเตรียมของขวัญปีใหม่ไปด้วย”

“นายท่านรองไม่ไปหรือขอรับ”

“ข้าจะไปทำเรื่องอื่นก่อน รอเวลาสายสักนิดแล้วค่อยไปเยี่ยมเขา นำคำของข้าไปบอกต่อเขาด้วย” หลงเอ้อร์พูดจบก็เดินไปทางรถม้า ตะโกนบอกให้คนรถรอตนด้วย

หลี่เคอเกาหัว มีเรื่องอะไรต้องไปทำหรือ

หลี่เคอเห็นนายท่านรองเปิดประตูรถ เห็นจวีมู่เอ๋อร์แสดงสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นเห็นนายท่านรองกระโดดขึ้นรถม้า กล่าวอะไรกับจวีมู่เอ๋อร์หลายคำก่อนจะปิดประตูรถ แล้วหลี่เคอก็มองไม่เห็นอะไรอีก

รถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเสียงดังคึ่กๆๆ หลี่เคอจึงเข้าใจได้ในที่สุด

อ๋อ ที่แท้ก็ไปทำเรื่องนี้นี่เอง!

ไม่รู้ว่าหากหลงจู๊หลี่ว์รู้ว่าภายในใจนายท่านรองจัดลำดับตนไว้อยู่หลังหญิงสาว เขาจะเสียใจหรือไม่ และตัวแม่นางจวีเองจะรู้หรือไม่ว่าในใจของนายท่านรอง นางถูกจัดลำดับไว้เหนือกว่าหลงจู๊หลี่ว์เสียแล้ว

ในฐานะองครักษ์ผู้ภักดีและซื่อตรงต่อหน้าที่ หลี่เคอตัดสินใจเก็บรักษาความลับนี้ไว้เพื่อผู้เป็นนาย

หลงเอ้อร์ไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีความลับใดที่ต้องปิดบัง เขาเพียงรู้สึกอยากส่งมู่เอ๋อร์ของเขากลับบ้านด้วยตัวเองขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขาจึงไปส่งนาง

ตลอดทางคนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน เพียงนั่งอยู่ด้วยกันอย่างเงียบๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ดี บรรยากาศสงบสบาย หลงเอ้อร์อารมณ์ดีมาก

จวีมู่เอ๋อร์เดามาตลอดทางว่าเดินทางถึงที่ใดแล้ว หลงเอ้อร์ช่วยดูว่านางเดาถูกหรือไม่ แล้วก็พบว่านางเดาถูกแปดถึงเก้าข้อในสิบข้อ

สำหรับความสามารถเล็กๆ ที่เหนือความคาดหมายนี้ หลงเอ้อร์ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรน่าประหลาดใจอีกแล้ว เขาเพียงแค่สงสัยว่านางเดาถูกได้อย่างไร

จวีมู่เอ๋อร์บอกว่าเคยเดินผ่านมาทางนี้หลายครั้ง อาศัยจำกลิ่นของแต่ละร้านที่แตกต่างกันและคำนวณระยะทาง นางก็สามารถเดาสถานที่เหล่านี้ออกได้โดยไม่ยากนัก หากตอนนี้พวกเขาเดินเท้าไม่ได้นั่งบนรถม้า นางรับรองว่าต้องตอบไม่ผิดอย่างแน่นอน

ตอนที่นางพูดคำนี้มีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า แต่หลงเอ้อร์กลับรู้สึกเห็นใจนางขึ้นมา เขาถามว่า “ตอนนี้ดวงตาของเจ้ายังรู้สึกเจ็บหรือไม่”

“ไม่มากมายนัก ปกติจะไม่รู้สึกอะไรเลย”

หลงเอ้อร์ยื่นมือไปกุมมือของนางไว้ “ต่อไปเจ้าต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดีเข้าใจหรือไม่” คำพูดนี้ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน หลงเอ้อร์พูดจบก็ถูกเสียงของตัวเองทำให้ตกใจ

จวีมู่เอ๋อร์ตะลึงไปเช่นกัน นางพยักหน้าไม่ได้พูดตอบ ไม่รู้เพราะเขินอายหรือดีใจ เอาแต่ก้มหน้าลงต่ำ

หลงเอ้อร์รู้สึกเก้อเขินขึ้นมาทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงน่าขนลุกเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร เขากระแอมแล้วปล่อยมือของจวีมู่เอ๋อร์ รู้สึกอับอายอยู่บ้าง โชคดีที่นางมองไม่เห็น แต่เขายังคงแอบหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง

ผ่านไปสักครู่รถม้าก็เคลื่อนออกมานอกเมือง จวีมู่เอ๋อร์เกาะหน้าต่างรถ ยื่นแขนและหัวออกไปเล็กน้อย หลงเอ้อร์เห็นดังนั้นก็มันเขี้ยวอยากจะจัดการนาง เขาดึงนางกลับเข้ามา “บนหัวเจ้ายังมีบาดแผลอยู่ ตากลมมากไม่ดี อาจจะปวดหัวได้”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับอย่างเชื่อฟัง เพียงแค่พูดว่า “ตอนอากาศอบอุ่น บนถนนสายนี้จะมีกลิ่นดอกไม้และกลิ่นหอมของต้นหญ้า หากยื่นมือออกไปเช่นนั้นจะสามารถรู้สึกถึงสายลมได้”

รู้สึกถึงสายลมแล้วมีอะไรดีหรือ หลงเอ้อร์อยากจะบอกนางมากว่ารอให้อากาศอบอุ่นขึ้นอีกสักนิดและเขาไม่มีงานยุ่งยากแล้ว เขาก็จะสามารถพานางไปขี่ม้าชมความเขียวขจีได้ ถึงตอนนั้นไม่ว่ากลิ่นดอกไหนหญ้าอะไรล้วนมีทั้งหมด

แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก เขากลับไม่อยากเอ่ยออกไป เพียงกระแอมเท่านั้น เมื่อครู่เขาเพิ่งพูดอะไรน่าขนลุกไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ไม่อยากพูดคำแสดงความรักใคร่กับนางเช่นนั้นอีก เหตุใดเขาต้องพานางไปชมความเขียวขจีด้วย รอให้นางแต่งงานกับเขาก่อน ค่อยดีต่อนางให้มากขึ้นสักนิดก็แล้วกัน

ตอนนี้ทำแค่นี้ก็พอแล้ว

หลงเอ้อร์พอใจกับการยับยั้งชั่งใจของตัวเองมาก ในที่สุดเขาก็คิดขึ้นได้ว่าจะรักเอาใจใส่ผู้หญิงมากเกินไปไม่ได้ หากดีต่อนางเกินไป ศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายจะเอาไปวางไว้ที่ใดกัน

หลงเอ้อร์กำลังคิดอยู่ รถม้าก็แล่นมาถึงร้านเหล้าสกุลจวีแล้ว ผู้เฒ่าจวีที่ได้ยินเสียงก็ออกมารับตัวบุตรสาวลงจากรถ

หลงเอ้อร์ตั้งใจวางท่า ไม่ยอมลงจากรถม้า เพียงบอกจวีมู่เอ๋อร์ว่าวันหน้าจะมาเยี่ยมใหม่ และบอกกับผู้เฒ่าจวีว่าจะมีคนที่คอยจัดการงานภายในบ้านมาพูดคุยกับเขาเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีแต่งงานและวันมงคล จวีมู่เอ๋อร์และผู้เฒ่าจวีรับคำ จากนั้นสองพ่อลูกก็รีบเอ่ยปากอำลา คล้องแขนกันเดินพูดเรื่องการจับคนร้ายไปตลอดทางเข้าบ้านโดยไม่หันกลับมามองเลย

หลงเอ้อร์ที่อยู่บนรถม้ามองดูแผ่นหลังของพวกเขาที่รีบเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามองด้วยความไม่สบอารมณ์ ตกลงใครกันแน่ที่เป็นคนวางท่า

หลงเอ้อร์ยอมจำนน เขาอยากกระโดดลงจากรถไปดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้กลับมายืนส่งเขา ต้องการเห็นนางทำท่าอาลัยอาวรณ์ในตัวเขา อยากเห็นนางพูดกำชับว่าพรุ่งนี้ต้องมาเยี่ยมไม่เช่นนั้นนางจะไม่ยอม เช่นนั้นเขาจึงจะพอใจ

แต่เขาทำไม่ได้ เขาทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าคนผู้นั้นไม่ได้!

เขานั่งนิ่งอยู่บนรถสักพัก ในที่สุดคนรถก็ถามอย่างอดไม่ได้ “นายท่านรอง พวกเราจะกลับไปหรือไม่ขอรับ”

“กลับ!” เขากัดฟันตอบ

คนรถห่อตัว รีบลงแส้ให้ม้าออกวิ่ง หลงเอ้อร์ปิดประตูอย่างแรง แค่นเสียงดัง “หึ” ด้วยความโมโหดังลอดออกไปนอกรถแล้วลอยหายไปกลางอากาศ

 

ตอนกลางวันของวันต่อมาหลงเอ้อร์ที่รับรองแขกเสร็จก็ไม่ได้กลับบ้าน แต่กลับขี่ม้ามาหาจวีมู่เอ๋อร์

เมื่อวานนางทำให้เขาไม่มีความสุข ดังนั้นเขาจึงคิดมาตลอดทั้งคืนว่าวันนี้ต้องมาพบหน้านางเพื่อเอาคืนให้ได้

แต่จะมีวิธีเอาคืนอย่างไร หลงเอ้อร์ยังไม่ได้คิด เขานึกหาวิธีมาตลอดทาง จนมาถึงหน้าประตูร้านเหล้าสกุลจวีเขาก็ตัดสินใจได้ว่าจะให้นางเทน้ำชาให้เขาสักถ้วย ทุบไหล่ให้เขาสักครู่เพื่อเป็นการเอาคืน

แต่พอเขาเข้าร้านไปแล้วบอกกับผู้เฒ่าจวีว่าต้องการพบจวีมู่เอ๋อร์ กลับเห็นผู้เฒ่าจวีแสดงสีหน้าลำบากใจ

ตอนนี้เลยช่วงเที่ยงไปแล้ว คงไม่ใช่ว่าหญิงขี้เกียจผู้นั้นยังไม่ตื่นนอนหรอกนะ!

เมื่อหลงเอ้อร์ถาม ผู้เฒ่าจวีก็รีบโบกมือ “ไม่ใช่ๆ มู่เอ๋อร์ตื่นก่อนเวลาอาหารกลางวันนานแล้ว แต่นางบอกไว้ว่าช่วงนี้ไม่อยากพบใคร”

หลงเอ้อร์มองข้ามคำพูดประหลาดที่บอกว่าตื่นก่อนอาหารกลางวันซึ่งนับว่าสายมากแล้วนี้ไป เพียงเลิกคิ้วถาม “กี่วัน”

ผู้เฒ่าจวียกนิ้วขึ้นนับ “แค่เพียงหกเจ็ดวันเท่านั้น”

หกเจ็ดวัน…เท่านั้นหรือ

หลงเอ้อร์ยิ่งเลิกคิ้วสูงขึ้นไปอีก “ข้าไม่รวมอยู่ในคำว่า ‘ใคร’ เหล่านั้น ข้าเป็นคู่หมั้นของนาง!”

คำว่า ‘คู่หมั้น’ นี้ พูดได้อย่างหนักแน่นมาก!

ผู้เฒ่าจวีนิ่งอึ้งไป รู้สึกว่าท่านหลงเอ้อร์พูดได้มีเหตุผลเช่นกัน แต่บุตรสาวบอกว่าช่วงนี้ไม่อาจพบหน้าใครโดยเฉพาะท่านหลงเอ้อร์ เขาเชื่อคำของบุตรสาวมาโดยตลอด แต่ก็ไม่อยากทำผิดต่อท่านหลงเอ้อร์ เขาไม่มีความกล้าเหมือนอย่างบุตรสาว

ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงเดินอาดๆ เข้าไปที่เรือนพักด้านหลังเพื่อไปหาคู่หมั้นที่บอกว่าไม่อยากพบใคร ผู้เฒ่าจวีเดินตามต้อยๆ อยู่ข้างหลัง ตัดสินใจว่าหากบุตรสาวกล่าวโทษเขา เขาจะได้บอกได้ว่าท่านหลงเอ้อร์ยืนยันจะบุกเข้ามาและเขาขวางเอาไว้ไม่อยู่

หลงเอ้อร์มาถึงเรือนพักของจวีมู่เอ๋อร์ก็พบว่าห้องของนางปิดสนิท เขาเคาะประตู นางตอบกลับมาว่า “ท่านหลงเอ้อร์เชิญกลับไปเถอะ รออีกสองสามวันข้าจะไปเยี่ยมเยือนท่านที่คฤหาสน์เอง”

ฟัง…ฟังสิ นี่เป็นคำที่ภรรยาใช้พูดกับสามีหรือ!

เยี่ยมเยือน เขาไม่อยากให้นางไปเยี่ยมเยือนหรอก เขาอยากให้นางมาเทน้ำชาให้เขาในตอนนี้และอยากให้นางมาทุบไหล่ให้เขาด้วย

หลงเอ้อร์เคาะประตูต่อ จวีมู่เอ๋อร์ก็พูดอีกครั้ง “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านอย่าเพิ่งโมโห อีกไม่กี่วันข้าจะไปขออภัยท่านถึงคฤหาสน์แน่นอน”

หลงเอ้อร์โมโหจริงๆ แล้ว เขาจึงพูดจี้ใจดำนาง “ข้าไม่รังเกียจที่เจ้ามีกลิ่นเหม็น เปิดประตู”

เมื่อเขากล่าวคำว่า ‘เหม็น’ ออกมา จวีมู่เอ๋อร์ที่อยู่ภายในห้องก็เงียบลงทันควัน

ผู้เฒ่าจวีที่อยู่ข้างๆ ร้อนใจ เขาประกบมือถูกันไปมา เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหลงเอ้อร์อย่าโกรธเลย มู่เอ๋อร์อารมณ์ไม่ค่อยดี ท่านอย่าได้ถือสานางเลย”

อารมณ์นางไม่ค่อยดี แต่หลงเอ้อร์โกรธยิ่งกว่า ยังต้องให้เขาเปรียบเทียบอีกหรือว่าใครอารมณ์ไม่ดีกว่ากัน เขาใช้แรงเคาะประตูดังตึงๆๆ อีกครั้ง

ครั้งนี้ในห้องมีความเคลื่อนไหว แต่เป็นเสียงพิณดังติงๆ ตังๆ หลงเอ้อร์นิ่งไป เมื่อเขาได้ยินเสียงพิณดังไม่หยุด เกลียวคลื่นอารมณ์ก็ก่อตัว

ผู้เฒ่าจวีตกตะลึง จากนั้นก็รีบอธิบายให้หลงเอ้อร์ฟัง “ท่านหลงเอ้อร์ มู่เอ๋อร์คงดีดพิณคลายกลุ้ม นางไม่กล้าต่อปากต่อคำกับท่านหรอก ท่านอย่าโกรธเลย อีกสักครู่ข้าจะว่ากล่าวนางให้เอง”

หลงเอ้อร์ไม่คิดว่าผู้เฒ่าจวีจะว่ากล่าวจวีมู่เอ๋อร์จริงๆ และก็ไม่คิดว่าจวีมู่เอ๋อร์จะดีดพิณเพื่อคลายกลุ้มด้วย ทั้งหากจะบอกว่านางไม่กล้าต่อปากต่อคำกับเขา เขาก็ไม่เชื่ออีกอยู่ดี

เพราะเขาฟังรู้เรื่องแล้ว เขามักจะเข้าใจนางได้ และตอนนี้นางก็กำลังด่าเขาอยู่ ด่าว่าเขาเป็นวัวควาย!

ใครก็รู้ว่าเขาหลงเอ้อร์ไม่รู้ดนตรี เขาบอกว่านางเหม็น นางจึงดีดพิณให้เขาฟัง เขาเข้าใจที่นางต้องการสื่อถึง นั่นก็คือคำว่า ‘ดีดพิณให้ควายฟัง’ อย่างไรล่ะ

หลงเอ้อร์แค่นเสียงดัง “หึ” แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ เขาคิดซ้ายก็แล้วคิดขวาก็แล้ว จะทำอย่างไรก็ระงับความโกรธนี้ลงไปไม่ได้ ยายเด็กคนนี้น่าโมโหจริง ไม่ยอมให้พบหน้าแล้วยังกล้ามาดีดพิณประชดเขาอีก เขาแค่พูดว่านางเหม็นเท่านั้น นางต้องโกรธถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ขณะที่หลงเอ้อร์กำลังโมโหอยู่ แม่นมอวี๋ก็มาหาพอดี

สองวันนี้แม่นมอวี๋กำลังวุ่นวายทั้งธุระนอกและในคฤหาสน์เพราะเรื่องงานแต่งงานของหลงเอ้อร์ นางไปหาแม่สื่อเพื่อคุยเรื่องสามหนังสือหกพิธี คิดว่าหากพร้อมแล้วก็จะให้แม่สื่อไปที่บ้านของจวีมู่เอ๋อร์เพื่อทำพิธีให้เรียบร้อย

แต่พอแม่สื่อได้ยินว่าเป็นแม่นางจวีของร้านเหล้าสกุลจวีที่อยู่นอกเมืองทางทิศใต้ก็มีสีหน้าตื่นตกใจ นางบ่นพึมพำขึ้นก่อน จากนั้นก็เอ่ยซักถามแม่นมอวี๋ และเล่าเรื่องคำเล่าลือของผู้คนที่เกี่ยวกับแม่นางจวีให้แม่นมอวี๋ฟังอย่างมากมาย

เมื่อแม่นมอวี๋ได้ฟังก็เป็นกังวลขึ้นมา ปกติแม่สื่อที่มีหน้าที่พูดทาบทามจะพูดแต่สิ่งดีไม่พูดสิ่งร้าย การที่แม่สื่อตื่นตกใจจนพูดออกมาเช่นนี้ แม่นางจวีผู้นี้จะเหมาะสมกับนายท่านรองจริงๆ หรือ

แม่นมอวี๋กังวลใจยิ่งนัก นางจึงไปสืบข่าวของจวีมู่เอ๋อร์จากชาวเมือง ทุกคนต่างพูดเหมือนที่แม่สื่อพูดไม่ผิดเพี้ยน บอกว่าที่จวีมู่เอ๋อร์อายุยี่สิบแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน เพราะมีสาเหตุมาจากนางเคยมีคู่หมั้นหมายมาตั้งแต่เด็ก แต่หลงใหลในเสียงพิณจนไม่ยอมแต่งสักที เอาแต่ทำตามใจชอบ สุดท้ายจึงเป็นบ้าและตาบอด ก่อเรื่องยกเลิกการแต่งงาน ต่อมากลับไปเกี่ยวพันกับอวิ๋นชิงเสียนที่มีภรรยาแล้ว แต่ภรรยาเอกของฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมให้นางแต่งเข้าบ้าน ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนมาหลอกล่อท่านหลงเอ้อร์แทน

ทุกคนล้วนพูดว่าหญิงผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยม แม่นมอวี๋ได้ฟังแล้วก็อกสั่นขวัญแขวน

นางตัดสินใจไปปรึกษาเรื่องนี้กับหลงเอ้อร์

เมื่อหลงเอ้อร์ได้ฟังคำเล่าลือเกี่ยวกับจวีมู่เอ๋อร์จากแม่นมอวี๋แล้ว เขาก็ตอบว่า “เรื่องเหล่านี้ข้ารู้อยู่แล้ว”

ท่าทางของนายท่านรองไม่ทุกข์ร้อนเช่นนี้ แม่นมอวี๋จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดต่ออย่างไรดี จะว่าไปแล้วนายท่านรองเป็นคนฉลาด ย่อมไม่มีทางถูกหญิงที่เรียกว่า ‘มีเล่ห์เหลี่ยม’ หลอกเอาได้ แต่ในเมืองมีคำเล่าลือกันอย่างหนาหูนัก…

หลงเอ้อร์เห็นท่าทางของแม่นมอวี๋จึงพูดปลอบว่า “แม่นมไม่ต้องกังวลใจ คำพูดเหล่านั้นฟังแล้วอย่าไปใส่ใจให้มากนัก เรื่องบางเรื่องข้าเองก็เคยเป็นคนสั่งให้กระจายข่าวลือออกไป ผลปรากฏว่าพอไปถึงหูชาวเมือง ทุกคนยิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเทอะกันไปใหญ่”

แม่นมอวี๋อ้าปากกว้าง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “นายท่านรองเป็นคนปล่อยข่าวลือ?” นายท่านรองของนางเกลียดคนปากมากที่สุด แล้วเหตุใดจึงเป็นคนปล่อยข่าวลือเองเสียได้

หลงเอ้อร์พูดไปแล้วก็หน้าชา เขากระแอม “สรุปว่าคำเล่าลือในหมู่ชาวเมืองนั้น แม่นมไม่ควรเชื่อทั้งหมด”

แม่นมอวี๋เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจึงเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นนายท่านรองเคยถามแม่นางจวีหรือไม่ว่าเรื่องราวเก่าก่อนเหล่านั้นเป็นอย่างไร

“ข้าไม่ได้ถาม” หลงเอ้อร์ไม่เห็นว่าจะมีอะไรไม่เหมาะไม่ควร ด้วยเชื่อว่าเรื่องที่ควรจะอธิบาย นางต้องบอกกับเขาแน่นอน หากไม่ได้บอก เช่นนั้นคงไม่มีอะไรน่าอธิบาย ไม่มีอะไรน่าอธิบายก็แสดงว่าไม่มีเรื่องอะไร หากเขาถามไปโดยไม่ทันคิดแล้วทำให้โดนนางดูถูกจะทำเช่นไร เขายังอยากมีความน่าเกรงขามต่อหน้านาง ดังนั้นจะกล้าพูดจาเหลวไหลได้อย่างไร

“ไม่ได้ถามหรือ” แม่นมอวี๋ยังคงไม่วางใจ “เช่นนั้นเหตุใดนายท่านรองจึงต้องการแต่งงานกับนาง”

แม่นมอวี๋ยังจำคำว่า ‘พิเศษ’ ที่นายท่านรองพูดได้ แต่คราวนี้หากเขายังพูดเช่นเดิมอีก นางคงต้องถามให้ชัดแจ้งว่าหญิงผู้นั้นมีความพิเศษเช่นใดกันแน่

หลงเอ้อร์คิดอยู่สักครู่ เมื่อนึกถึงน้ำเสียงและท่าทางของจวีมู่เอ๋อร์ตอนที่มาขอร้องให้เขาแต่งงานด้วย เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ จึงตอบเลียนแบบน้ำเสียงของนาง “ข้าเพียงอยากแต่งงานกับนาง”

แม่นมอวี๋นิ่งเงียบไร้คำพูด คิดอยู่นานจึงพูดออกมาได้เพียงประโยคเดียว “เช่นนั้น…หาก…หากนางเคยทำเรื่องที่ผิดจารีตจริง…”

แม่นมอวี๋เพิ่งพูดออกมา ดวงตาของหลงเอ้อร์ก็เปล่งประกาย “ถูกต้อง แม่นมพูดถูกต้อง ข้ารู้แล้วว่าจะต้องสั่งสอนนางอย่างไร”

ไม่รอให้แม่นมอวี๋ตั้งสติได้ หลงเอ้อร์ก็เรียกหลี่เคอเข้ามา เอ่ยกำชับว่า “เจ้าไปหา ‘ตำราสอนหญิง’ มาสักเล่มแล้วส่งไปให้จวีมู่เอ๋อร์”

คงไม่ใช่กระมัง เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่

หลี่เคอรีบหันหน้าไปมองแม่นมอวี๋ที่ยืนอยู่ด้านข้าง แม่นมอวี๋สบตาเขาแวบหนึ่งอย่างไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจเช่นกัน

“เอ่อ นายท่านรอง เมื่อครู่ท่านพูดว่า ‘ตำราสอนหญิง’ หรือขอรับ” หลี่เคอถามอย่างระมัดระวัง

“ถูกต้อง”

หลี่เคอสูดลมหายใจเข้าแล้วมองแม่นมอวี๋อีกครั้ง ค่อยๆ ถามต่ออย่างมีความหวัง “จะให้ข้าน้อยไปส่งแม่นมอวี๋เพื่อนำ ‘ตำราสอนหญิง’ ไปให้แม่นางจวีหรือขอรับ”

“ไม่ เจ้าไปส่ง แม่นมอวี๋กำลังวุ่นวายกับการจัดการเรื่องงานแต่งงาน”

คราวนี้หลี่เคอแทบควันออกหู เหตุใดต้องเป็นเขา เขาเป็นองครักษ์ผู้ภักดีและซื่อตรงต่อหน้าที่ ทำไมต้องส่งเขาไปทำเรื่องประหลาดเช่นนี้ด้วย ให้ไปส่ง ‘ตำราสอนหญิง’ ให้แก่คู่หมั้นของผู้เป็นนาย ซ้ำนางยังเป็นคนตาบอดอีกด้วย ต้องให้เขาอ่านให้ฟังด้วยหรือไม่!

หลี่เคออึดอัดจนแทบจะยกชายเสื้อกระโดดขึ้นมาต่อต้าน แต่เขาไม่กล้า เห็นหรือไม่ว่าเขาภักดีและซื่อตรงต่อหน้าที่เพียงใด

โชคดีที่ตรงนี้ยังมีแม่นมอวี๋อยู่อีกคน นางช่วยถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจของเขาออกมา “นายท่านรอง เหตุใดต้องส่ง ‘ตำราสอนหญิง’ ไปให้แม่นางจวีด้วย ท่านคิดว่านางมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมหรือ เช่นนั้นเรื่องการแต่งงาน…”

หลงเอ้อร์โบกมือตัดบทแม่นมอวี๋ “การแต่งงานก็ต้องจัด ‘ตำราสอนหญิง’ ก็ต้องส่ง ยายเด็กคนนั้นใจกล้าขึ้นทุกที นางไม่ยอมพบหน้าข้า ต้องรอให้บาดแผลบนหัวหายดีก่อนจึงจะสระผมแล้วออกมาพบ มีคู่หมั้นคนใดที่ทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้บ้าง ซ้ำร้ายนางยังกล้าดีดพิณให้ข้าฟังอีก…สรุปว่าแม่นมเตือนสติข้าได้ดี หลี่เคอเจ้าส่ง ‘ตำราสอนหญิง’ ไปให้นาง บอกให้นางเรียนรู้ให้ดี ส่วนแม่นม เรื่องการแต่งงานต้องรีบเร่ง พิธีที่ควรทำก็กำหนดเสีย ข้าจะดูว่านางยังกล้าไม่สนใจข้าอีกหรือไม่!”

หลี่เคอกับแม่นมอวี๋พูดไม่ออกไปตามๆ กัน คนทั้งสองสบตาแล้วพากันลอบถอนหายใจ

แม่นมอวี๋พูดเกลี้ยกล่อมนายท่านรองไม่ออกแล้ว มองดูท่าทางของเขาในตอนนี้ก็รู้ว่าปรารถนาจะแต่งงาน แม่นมอวี๋อยู่ในคฤหาสน์สกุลหลงมานานหลายปี เข้าใจสีหน้าของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดี นางรู้ว่าหากพูดไม่ถูกหูนายท่านรอง รังแต่จะทำให้เกิดผลด้านลบ ดังนั้นนางจึงคิดว่าตนต้องไปพบแม่นางผู้นั้นอีกครั้ง คราวนี้จะต้องพิจารณานางให้มากขึ้นสักหน่อย

หลี่เคอที่ยังคิดจะขัดขืนพูดขึ้นว่า “นายท่านรอง ถึงท่านให้ ‘ตำราสอนหญิง’ ไป แม่นางจวีก็มองไม่เห็นอยู่ดี ดังนั้นเชิญให้นางมาอยู่เป็นเพื่อนท่านไม่ดีกว่าหรือขอรับ”

“ไม่ต้องไปเชิญนางมา ข้าบอกว่าอยากพบหน้านางหรือ ข้าไม่อยากได้เพื่อนนั่งเล่นแม้แต่น้อย หากนางมองไม่เห็นก็อ่านให้นางฟัง”

หลี่เคออยากจะตบปากตัวเองสักสองทีจริงๆ ปากนี้พูดอะไรออกไป หากเมื่อครู่รับคำสั่งแล้วจากไปก็คงไม่ต้องอ่านหนังสือแล้ว

องครักษ์ชายที่องอาจกล้าหาญภักดีและซื่อตรงต่อหน้าที่เช่นเขาต้องไปอ่าน ‘ตำราสอนหญิง’ อะไรนั่น นายท่านรองขอรับ สิ่งนี้เหมาะสมแล้วจริงหรือขอรับ

หลงเอ้อร์เหลือบมองหลี่เคอที่ย่นหน้าเหมือนซาลาเปา แล้วพูดเสียงดัง “ให้พ่อของนางอ่านให้นางฟัง!”

หลี่เคอตื่นตัวทันใด คล้ายได้รับหน้าที่สำคัญใหญ่หลวง รีบวิ่งตุบตับออกไปทันที แม่นมอวี๋มองตามอย่างเห็นใจ พอหันหน้ากลับมาก็เห็นนายท่านรองกำลังมองนางอยู่พอดี จึงรีบพูดว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอตัวไปเตรียมงานต่อเช่นกัน”

เมื่อคนออกไปหมดแล้ว หลงเอ้อร์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ปลดปล่อยความรู้สึกโกรธออกมา คนปากมากเหล่านั้น…เหตุใดจึงพูดให้ร้ายมู่เอ๋อร์ของเขา เหตุใดจึงไม่ลือกันว่านางฉลาดเฉลียวเพียงใด นางน่าสนใจเพียงใด นางดีดพิณได้ไพเราะเพียงใด…

เอาเถอะ หลงเอ้อร์ยอมรับว่าเขาฟังดนตรีไม่เป็น แต่ทุกคนล้วนพูดกันว่าศิลปะการดีดพิณของนางนั้นสูงส่ง เช่นนั้นนางก็คงดีดได้ดีอย่างแน่นอน

ส่วนเรื่องในอดีตของนาง แม้นางไม่ได้พูดอะไร เขาก็ยังยินดีที่จะเชื่อในตัวนาง

หลี่เคอต้องลำบากไปที่ร้านเหล้าสกุลจวี ครั้นพอกลับมาถึงคฤหาสน์ ขายังไม่ทันก้าวข้ามประตูหน้า บ่าวเฝ้าประตูก็บอกว่านายท่านรองให้เขาไปพบทันทีที่กลับมา

หลี่เคอถอนหายใจ เข้าไปในหอหนังสือเพื่อพบกับนายของตน ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยถามก็รายงานขึ้นเอง “ผู้เฒ่าจวีทำตามที่นายท่านรองกำชับ อ่านหนังสือให้แม่นางจวีฟังแล้วขอรับ”

“แล้วนางมีปฏิกิริยาอย่างไร”

“ไม่มีปฏิกิริยาใด”

“ดีดพิณอีกหรือไม่”

“ดีดขอรับ” หลี่เคอตอบอย่างระมัดระวัง เห็นนายท่านรองกำลังเตรียมพู่กันเพื่อเขียนหนังสือ แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรบ้าง และดูเหมือนจะไม่ได้โกรธแล้ว เขาจึงรู้สึกโล่งอก

หลี่เคอรออยู่สักครู่ นายท่านรองก็ยื่นแผ่นกระดาษที่เขียนเสร็จแล้วให้เขา “พรุ่งนี้เช้าเจ้าส่งสิ่งนี้ไปที่บ้านสกุลจวี บอกผู้เฒ่าจวีให้เรียกจวีมู่เอ๋อร์ตื่นแล้วอ่านให้นางฟัง”

หลี่เคองุนงง “นายท่านรอง นี่คืออะไรหรือขอรับ”

“กฎสกุลหลง”

หลี่เคอรู้สึกว่ากระดาษบางๆ แผ่นนั้นหนักมือเหลือเกิน “กฎสกุล? ทำไมข้าน้อยไม่เคยได้ยินมาก่อนเล่าขอรับ”

“ข้าเพิ่งจะกำหนดขึ้น พรุ่งนี้เจ้าไปส่งแต่เช้า บอกผู้เฒ่าจวีว่าอย่าให้นางนอนตื่นสาย และอ่านกฎสกุลให้นางฟังด้วย”

หลี่เคอไร้คำพูด เขาถือ ‘กฎสกุล’ เอาไว้แล้วถอยออกไป

เช้าวันต่อมา หลี่เคอไปที่ร้านเหล้าสกุลจวีตามคำสั่ง ผู้เฒ่าจวีต้อนรับอย่างอบอุ่น จัดเตรียมอาหารเช้าพร้อมเหล้าให้เขา คนทั้งสองนั่งกินดื่มและถอนใจกับ ‘กฎสกุลหลง’ ด้วยกัน

ผู้เฒ่าจวีถามว่า “องครักษ์หลี่ เจ้าบอกความจริงกับข้าที ท่านหลงเอ้อร์ไม่ต้องการลูกสาวของข้าแล้วใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่ๆ” หลี่เคอโบกมือด้วยความตกใจ “เมื่อวานนายท่านรองยังเร่งให้แม่นมอวี๋รีบเตรียมการเรื่องงานแต่งอยู่เลย ไม่มีทีท่าไม่ต้องการแม่นางจวีแม้เพียงนิด”

ผู้เฒ่าจวีถอนหายใจ “เจ้าว่าลูกสาวของข้าคนนี้เหตุใดอยู่ดีๆ จึงต้องทะเลาะกับท่านหลงเอ้อร์ด้วย เมื่อวานข้าถามนางว่าที่นางมักโกรธท่านหลงเอ้อร์เพราะแท้จริงแล้วนางไม่ค่อยอยากแต่งงานกับเขาใช่หรือไม่ นางบอกว่าไม่ใช่ นางต้องการแต่งงานกับเขาจริงๆ แต่เจ้าว่าเพราะเหตุใดพวกเขาสองคนจะแต่งงานกันอยู่แล้ว กลับไม่ไว้หน้ากันเลย”

หลี่เคอครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงตอบว่า “ทำเช่นนี้พวกเขาอาจมีความสุขก็ได้”

 

หลังจากหลี่เคอกลับถึงคฤหาสน์ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตนพูดไปในวันนี้นั้นผิด นายท่านรองไม่มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีความสุขแม้แต่น้อย

“ผู้เฒ่าจวีได้อ่านหรือยัง”

“อ่านแล้วขอรับ”

“จวีมู่เอ๋อร์มีปฏิกิริยาอย่างไร”

“ข้าน้อยไม่รู้ขอรับ”

ดังนั้นข้าน้อยผู้นี้จึงถูกท่านจ้องเขม็งเช่นนี้

หลี่เคอรีบอธิบาย “ผู้เฒ่าจวีให้ข้าน้อยรออยู่ในร้าน ส่วนเขาไปอ่านให้แม่นางจวีฟังด้วยตัวเอง” นี่เป็นคำพูดที่เขาตกลงกับผู้เฒ่าจวีเอาไว้

หลงเอ้อร์ไม่พอใจมาก “ในเมื่อเจ้ารออยู่ในร้าน เหตุใดจึงรู้ว่าผู้เฒ่าจวีอ่านแล้ว”

“ผู้เฒ่าจวีบอกข้าน้อยเองขอรับ”

“เช่นนั้นทำไมเจ้าจึงไม่ถามเขาว่าจวีมู่เอ๋อร์ฟังกฎสกุลแล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร”

หลี่เคอสะอึก ไร้คำพูดจะแก้ตัว ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับผิด “ข้าน้อยบกพร่องต่อหน้าที่ ขอนายท่านรองลงโทษด้วย” ลงโทษโดยการให้เขาไปจับโจรภูเขาหรือไปทลายรังโจรเถอะ อย่าให้ไปที่ร้านเหล้าสกุลจวีอีกเลย

“หึ” หลงเอ้อร์เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “พรุ่งนี้เจ้าไปอีกรอบ คราวนี้ให้จวีมู่เอ๋อร์ท่องกฎสกุลให้ฟัง นางท่องจบเจ้าจึงกลับมาได้”

หลี่เคอกลุ้มใจจนอยากร้องไห้ นายท่านรองมักจะหาเรื่องแม่นางจวีเช่นนี้ ไม่กลัวนางไม่แต่งงานด้วยหรือขอรับ

วันต่อมาหลี่เคอยังไม่ทันได้ไป จวีมู่เอ๋อร์ก็มาที่คฤหาสน์เอง

พอนางมาก็ถือได้ว่าดวงดาวช่วยชีวิตของหลี่เคอมาถึงเช่นกัน

หลี่เคอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของนายท่านรองกับตาของตัวเองตอนมีบ่าวมารายงานว่าแม่นางจวีมาขอพบ เห็นกับตาว่าเขารีบร้อนออกจากหอหนังสือไปรับนางที่หน้าประตูใหญ่ หลี่เคอตื้นตันจนน้ำตาแทบจะไหล วันเวลาแห่งทุกข์ของเขาคงจบลงแล้วสินะ

จวีมู่เอ๋อร์ยังคงสวมเสื้อบุฝ้ายสีเขียว ในมือถือไม้เท้าเช่นเดิม แต่ที่แตกต่างจากที่ผ่านมาคือนางสวมหมวกไว้บนหัว หมวกใบใหญ่มากจนสามารถคลุมผมและหัวทั้งหัวเอาไว้ได้ ดูไปแล้วก็น่าขำอยู่บ้าง

“เหตุใดจึงแต่งตัวเช่นนี้” หลงเอ้อร์ถาม

“ฉิงเอ๋อร์ทำหมวกให้ข้า คลุมหัวเอาไว้เช่นนี้จะได้ไม่มีกลิ่นเหม็น”

หลงเอ้อร์แค่นเสียงหึทีหนึ่ง “ไม่เหม็นแล้ว แต่น่าเกลียดมาก”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่สนใจ “ไม่เป็นไร อย่างไรเสียข้าก็มองไม่เห็นตัวเอง”

หลงเอ้อร์บิดติ่งหูนางเบาๆ เมื่อนางสวมหมวกใบหูจึงโผล่ออกมาให้เห็น ทำให้เขาคันไม้คันมือมาก “เจ้าตั้งใจมาเพื่อให้ข้าดูสภาพน่าเกลียดของเจ้าเช่นนี้หรือ”

“ไม่ใช่ ข้ามาแล้วท่านก็จะได้ไม่ต้องลำบากเขียนกฎสกุลอีก หากว่างเช่นนี้ ไม่สู้เอาเวลาไปตรวจกิจการงานค้าไม่ดีกว่าหรือ” จวีมู่เอ๋อร์เอียงคอเล็กน้อย สีหน้าไร้เดียงสา แต่ปากกลับเหน็บแนมหลงเอ้อร์ ชี้เป็นนัยว่ากฎสกุลของเขาช่างน่าเบื่อเหลือเกิน

หลงเอ้อร์ฟังเข้าใจแต่ในใจกลับรู้สึกยินดี เขาพานางมาที่หอหนังสือ บอกว่าตนต้องอ่านเอกสารอีกมากมาย เพราะสองวันข้างหน้าหลงจู๊จากที่ต่างๆ จะมาเมืองหลวงเพื่อรายงานบัญชีการค้าขายก่อนปีใหม่และปรึกษากันเรื่องกิจการในปีหน้า ส่วนตัวเขาก็ต้องทำหน้าที่ปลอบขวัญการทำงานของหลงจู๊เหล่านั้น

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร หลงเอ้อร์หาตั่งนิ่มมาวางไว้ในห้องหนังสือของเขา ถามจวีมู่เอ๋อร์ว่าอยากจะทำอะไร นางเพียงส่ายหน้าแล้วนั่งฟังเสียงพลิกกระดาษเขียนอักษรของหลงเอ้อร์อย่างเงียบๆ

ในห้องหนังสือเงียบมาก เวลาหลงเอ้อร์ทำงานจะมีสมาธิเป็นพิเศษ เขาเหลือบมองนางเป็นครั้งคราว เมื่อเห็นท่านั่งนิ่งของนางแล้วก็รู้สึกตลก คิดจะทำงานอีกสักครู่แล้วค่อยไปคุยเป็นเพื่อน เขายังสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารกลางวันส่วนของนางด้วย

หลงเอ้อร์คิดอย่างอื่นไปด้วยอ่านเอกสารไปด้วย จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ให้นางเทน้ำชาทุบไหล่ให้เลย เขาหันหน้าไปคิดจะเรียกนาง กลับเห็นนางเอนตัวลงบนตั่งเหมือนจะหลับไปเสียแล้ว

ลมหายใจของนางเบายาว มือคลายออกจากไม้เท้าที่พิงอยู่ข้างตั่ง ใบหน้าใต้หมวกใบใหญ่นั้นดูเล็กเพียงนิดเดียว

หลงเอ้อร์มองนาง รู้สึกว่านางผอมเหลือเกิน แม้บนตัวจะสวมเสื้อตัวหนาจึงดูไม่ค่อยออก แต่ใบหน้ากลับเห็นได้อย่างชัดว่าไม่ค่อยมีเนื้อสักเท่าใดนัก ขนตานางยาวเหมือนพัด ปากไม่ใหญ่ไม่เล็ก หลงเอ้อร์คิดว่าเวลายิ้มมุมปากของนางยกขึ้นได้น่ารักมาก

เขายืนขึ้นเตรียมจะแกล้งให้นางตกใจ

ยายผู้หญิงขี้เกียจคนนี้นี่ มาเยี่ยมเขาแท้ๆ ทำไมกลายเป็นว่ามาเปลี่ยนที่นอนเสียได้ เขาทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวอย่างยากลำบาก แต่นางกลับไม่รู้จักสงสารเขาแม้แต่น้อย นางสมควรมาพูดคุยกับเขา ถามเขาว่าเบื่อหรือไม่ กระหายน้ำหรือไม่ หรือเหนื่อยหรือไม่มิใช่หรือ

แต่นางไม่ถามอะไรเลย เอาแต่นั่งนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ยังมาหลับอีก!

หลงเอ้อร์เดินเข้าไปเตรียมจะทำให้นางตกใจ จวีมู่เอ๋อร์กลับเหมือนรู้สึกตัว สะดุ้งลุกขึ้นนั่งและหดตัวไปทางด้านหลังทันที

นางมีท่าทางลนลานหวาดกลัวเหมือนจะตกใจไม่น้อย

หลงเอ้อร์รีบพูดว่า “ข้าเอง”

จวีมู่เอ๋อร์ยังคงตกใจอยู่บ้าง หลงเอ้อร์จึงเอ่ยอีกครั้ง “ข้าเอง มู่เอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าอยู่ในห้องหนังสือของข้า”

นางกะพริบตาถี่ๆ จากนั้นก็ก้มหน้าลงแล้วใช้มือนวดหน้าตัวเอง หลงเอ้อร์เดินเข้าไปย่อตัวลงตรงหน้านาง เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เจ้าหลับจนเลอะเลือนแล้วหรือ”

นางส่ายหน้า หลงเอ้อร์กลัวว่านางยังไม่ได้สติ จึงพูดอีกว่า “พูดกับข้าสิมู่เอ๋อร์”

จวีมู่เอ๋อร์อ้าปาก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าฝันร้าย ลืมไปว่าตอนนี้อยู่ที่คฤหาสน์ของท่าน”

“ฝันร้ายหรือ” หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว “ฝันเห็นอะไร”

“จำไม่ได้แล้ว” จวีมู่เอ๋อร์เอนตัวมาด้านหน้าอย่างช้าๆ ไม่อยากให้ชนตัวของหลงเอ้อร์ แต่เขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดอย่างเป็นธรรมชาติ ลูบหลังของนางเบาๆ

จวีมู่เอ๋อร์หลับตา แผ่นอกกว้างของท่านหลงเอ้อร์ทำให้นางผ่อนคลายลงได้ ฉากน่ากลัวที่ลานประหารยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำ แต่นางกลับพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรจริงหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า หลงเอ้อร์จึงยื่นมือไปบิดติ่งหูของนาง จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกเจ็บ จากนั้นก็ได้ยินเขาพูดว่า “ไม่เป็นอะไรแล้วก็มีสติสักนิด มาช่วยเทน้ำชาทุบไหล่ให้ข้า”

“อ้อ” จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับอย่างเนือยๆ ฟังแล้วไม่ค่อยเต็มใจเท่าใดนัก หลงเอ้อร์จึงบิดติ่งหูของนางอย่างแรงอีกหนึ่งที

จวีมู่เอ๋อร์เอามือป้องหูหลบหลีก หลงเอ้อร์หัวเราะเสียงดัง แล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด พูดว่า “เจ้าผอมเหลือเกิน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปถึงฤดูร้อนคงเหลือเพียงกระดูกสินะ รีบกินให้อ้วนขึ้นบ้างจึงจะดี”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่พูดจา เพียงเอาหน้าซุกกับแผ่นอกของเขา ผ่านไปสักครู่จึงเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านจะแต่งงานกับข้าจริงๆ ใช่หรือไม่”

“เรื่องนี้มีปลอมได้ด้วยหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ตอบ แต่เอนตัวอิงแอบกับอกเขา หลงเอ้อร์คิดสักครู่แล้วเอ่ยถาม

“เจ้ามีเรื่องอะไรอยากบอกข้าหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งอึ้งไปสักครู่แล้วส่ายหน้า

หลงเอ้อร์ตบหมวกของนาง ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด เขาดึงตัวนางมาที่ข้างโต๊ะหนังสือแล้วพูดว่า “มา มายกน้ำชาให้ข้า”

จวีมู่เอ๋อร์ย่อตัวคำนับรับคำ นางสวมหมวก แต่งตัวน่าตลก เลียนแบบท่าทางเชื่อฟังอ่อนโยนของสาวใช้ แต่หลงเอ้อร์รู้ดีแก่ใจว่านางนั้นดื้อรั้นและจะไม่ยอมแพ้เขาอย่างแน่นอน

แล้วก็เป็นจริงดังคาด นางเริ่มจู้จี้ถามว่าถ้วยชาอยู่ที่ใด กาน้ำชาอยู่ตรงไหน จากนั้นก็คลำไปรอบโต๊ะของเขารอบหนึ่ง บอกว่าหากเทน้ำชาหกแล้วทำให้หนังสือ เอกสาร หรือสมุดบัญชีของเขาเสียหายก็คงไม่ดี

เพื่อจะได้ดื่มน้ำชาที่นางเทให้สักถ้วย หลงเอ้อร์ยังต้องวุ่นวายปรนนิบัตินางก่อนจึงจะสมดังปรารถนา

เขามั่นใจว่านางจงใจทำ ทุกครั้งที่โดนเขาแกล้ง นางจะต้องหันกลับมาสร้างความลำบากให้เขาเป็นการตอบแทน

ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่หลงเอ้อร์ก็ยังคงนำนางไปคลำโต๊ะ ช่วยนางเก็บของให้เรียบร้อย จากนั้นจึงจัดวางกาน้ำชาถ้วยน้ำชาให้จวีมู่เอ๋อร์สามารถเทน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่งได้เสียที

หลงเอ้อร์ถือถ้วยชาขึ้นดื่มด้วยท่วงท่างดงาม จวีมู่เอ๋อร์ถามขึ้นว่า “ท่านหลงเอ้อร์ น้ำชาที่ข้าเทอร่อยหรือไม่”

เขาแสร้งวางท่า “พอใช้ได้”

“เช่นนั้นคงเป็นเพราะใบชาของท่านไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เพราะไม่ว่าใครจะเป็นคนเท มันก็คงมีรสชาติแบบเดิม”

หลงเอ้อร์แทบสำลักน้ำชา เขาหันไปมองหญิงตาบอดที่กำลังแอบหัวเราะแล้วรู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที “มาทุบไหล่ให้ข้า”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับ ค่อยๆ คลำทางไปด้านหลังตัวของหลงเอ้อร์ เขารู้สึกจั๊กจี้จึงอดแกล้งนางอีกไม่ได้ “จะจับก็จับดีๆ”

การเคลื่อนไหวหยุดลงในทันใด จากนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็พูดเสียงดัง “เรียนท่านหลงเอ้อร์ พนักเก้าอี้สูงเกินไป มันขวางทางเอาไว้”

นางไม่ได้จงใจ ใครอยากลูบเขากัน!

หลงเอ้อร์หันไปมอง เมื่อเห็นว่าใบหน้านางแดงก่ำก็รู้สึกว่าน่าขำ เขาหมุนเก้าอี้ นั่งเอียงข้างแล้วยื่นไหล่ออกมา จากนั้นจับมือของนางวางลงบนไหล่ตน

คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์เริ่มนวดไหล่ให้เขาอย่างจริงจัง นิ้วมือของนางเรียวยาวแต่มีพลัง จุดที่กดก็พอเหมาะพอดี หลงเอ้อร์นั่งทำงานเป็นเวลานาน บ่าไหล่จึงแข็งเกร็ง เมื่อนางบีบนวดให้เช่นนี้ก็รู้สึกสบายจนอยากจะส่งเสียงครางออกมา

“ท่านหลงเอ้อร์ ข้ากดจุดดีหรือไม่”

“ธรรมดา” เขารู้สึกสบายแต่กลับไม่ยอมพูดชมนาง

จวีมู่เอ๋อร์ไม่สนใจ พูดเพียงว่า “ข้าเคยนวดไหล่ให้พ่อข้า ข้อเรียกร้องของท่านสูงกว่าของพ่อข้ามากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจึงคิดว่าจะใช้ความสามารถในการดูแลบ้านมาทำให้ท่านมีความสุขแทนดีกว่า”

“ห้ามดีดพิณ ห้ามแอบพูดประชดข้า”

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังเขา

หลงเอ้อร์ถามนางอย่างอารมณ์เสีย “กฎสกุลท่องได้หรือยัง”

จวีมู่เอ๋อร์ยังไม่หยุดหัวเราะ หลงเอ้อร์จึงยื่นมือไปกุมมือเล็กของนาง

“กฎสกุลที่ข้าเขียนมันน่าขำถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า กฎสกุลแผ่นนั้นนางไม่รู้ว่ามีอะไรเขียนอยู่บ้าง นางไม่ได้ให้พ่ออ่านให้ฟัง ท่านหลงเอ้อร์คิดจะแกล้งเล่น นางรู้ดี

หลงเอ้อร์ต้องการแกล้งนางจริง เขาเอ่ยว่า “ในกฎสกุลมีอยู่ข้อหนึ่งที่บอกว่าห้ามใช้พิณมาเหน็บแนมหัวเราะเยาะข้า”

จวีมู่เอ๋อร์ฟังแล้วก็หัวเราะอีกครั้ง “ท่านหลงเอ้อร์เข้าใจข้าดียิ่งนัก สิ่งที่ข้าถนัดที่สุดก็คือการดีดพิณนั่นเอง”

หลงเอ้อร์แค่นเสียง “หึ” ทีหนึ่ง ดึงสองมือของนางลงมาให้ลำตัวนางแนบกับแผ่นหลังของเขา บีบนิ้วมือของนางแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ใจเจ้า เพียงแค่คิดถึงสิ่งที่สามารถทำให้ข้าโกรธ ข้าก็เดาความคิดของเจ้าได้แล้ว”

“ข้าก็เข้าใจท่าน ขอเพียงคิดไปในทางว่าท่านจะสั่งสอนข้าอย่างไรก็สามารถเดาความคิดของท่านออกแล้ว” จวีมู่เอ๋อร์ที่พาดอยู่บนแผ่นหลังของเขาย่นจมูก “ข้าเดาว่าท่านต้องให้ข้าอยู่กินอาหารกลางวัน และในอาหารที่ท่านสั่งให้ห้องครัวเตรียมมาจะต้องมีปลาแน่นอน”

หลงเอ้อร์นิ่งเงียบไป จากนั้นก็หัวเราะจนสุดเสียง เหตุใดนางจึงฉลาดและน่าสนใจถึงเพียงนี้

เขาหยุดหัวเราะแล้วกระแอม เอ่ยเสียงแข็ง “ไม่ได้ตั้งใจจะให้เจ้าอยู่กินอาหารด้วย แต่ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว แค่เพิ่มตะเกียบอีกคู่เท่านั้นเอง”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับเสียงอ่อนเสียงหวาน “ขอบคุณท่านหลงเอ้อร์ แต่ว่าในปลามีก้าง ข้ากินไม่ได้จริงๆ”

เมื่อหลงเอ้อร์คิดขึ้นได้ว่าเคยเชิญนางมากินอาหาร และนางต้องอมเนื้อปลาที่มีก้างไว้เต็มปากด้วยท่าทางทุลักทุเล ใจเขาก็อ่อนลง เขาเอื้อมมือไปแตะใบหน้าเล็กของนาง “ข้าจะคีบส่วนที่ไม่มีก้างให้เจ้าเอง”

บนโต๊ะอาหาร หลงเอ้อร์รักษาสัจจะด้วยการคีบก้างปลาออกให้จวีมู่เอ๋อร์ คีบไปก็คิดได้ว่าตัวเองหลงกลอีกแล้ว เหตุใดเขาจึงถูกคำพูดของนางทำให้ใจอ่อนจนหลุดปากออกไปเช่นนั้นด้วย

จวีมู่เอ๋อร์ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนหวานและกินเนื้อปลาที่หลงเอ้อร์คีบก้างออกให้จนหมด

แม่นมอวี๋ที่ยืนอยู่ด้านข้างมองดูนายท่านรองของตนที่ด้านหนึ่งขบกรามจ้องหน้าแม่นางจวี แต่อีกด้านหนึ่งก็ตั้งใจคีบก้างปลาออกให้ นางคิดว่าเข้าใจแล้วว่าแม่นางจวีเจ้าเล่ห์อย่างไร

 

แม่นมอวี๋เริ่มตั้งใจจัดเตรียมงานแต่งอีกครั้ง เรื่องนี้ถูกแม่สื่อโพนทะนาไปทั่ว ดังนั้นชาวเมืองจึงสงสัยและเล่าลือกันอย่างหนักว่าหญิงตาบอดจวีมู่เอ๋อร์ผู้นั้นใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดทำให้ท่านหลงเอ้อร์หลงใหลหรือใช้วิธีใดบีบบังคับท่านหลงเอ้อร์ ทุกคนต่างเดากันไปต่างๆ นานาจนเกิดข่าวลือขึ้นนับไม่ถ้วน

หลงเอ้อร์ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เพราะหากเขาไม่สั่งให้คนไปสืบข่าวกลับมารายงานให้ฟัง เขาก็ไม่รู้อยู่นั่นเอง เพราะคงไม่มีใครไม่มีสมองถึงขั้นกล้าเอาเรื่องนี้มาพูดต่อหน้าเขา

หลงเอ้อร์รั้งตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้อยู่เป็นเพื่อนอยู่นาน จากนั้นจึงอนุญาตให้นางไม่ต้องมาหา ไม่ใช่เพราะว่าทำตามความต้องการของนางที่ไม่อยากออกจากบ้านไปพบหน้าผู้ใดก่อนจะได้สระผม แต่เขาพบว่าเมื่ออยู่กับนางแล้ว เขาเสียเวลาอ่านเอกสารไปไม่น้อย

เดิมทีเขาต้องอ่านเอกสารให้ได้หนึ่งกอง แต่ผลคือหากเขาไม่เอาแต่ต่อปากต่อคำกับนางก็แกล้งนางเล่น สุดท้ายจึงอ่านได้เพียงไม่ถึงสองเล่ม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องเตือนสติตัวเองว่าการทำการค้าเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างจริงจัง

หลงเอ้อร์เก็บตัวอยู่หน้าโต๊ะหนังสือสองวันติด เมื่อเหล่าหลงจู๊ทยอยมาถึงก็พากันมาเยี่ยมเยือนที่คฤหาสน์สกุลหลง หลงเอ้อร์ออกไปพบทุกคนด้วยตัวเอง พูดคุยปรึกษาปัญหาในการค้าขายอย่างตั้งใจ

วันนี้มีหลงจู๊หลายคนยื่นเทียบขอเข้าพบหลงเอ้อร์ ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ติงเหยียนซานกลับมาเยือน เดิมทีหลงเอ้อร์ไม่ยอมพบ บอกให้บ่าวเฝ้าประตูแจ้งว่าวันนี้เขาต้องพบแขกจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่มีเวลาว่าง

แต่เมื่อหลงเอ้อร์คุยธุระกับหลงจู๊คนหนึ่งเสร็จ กำลังจะส่งเขาออกนอกประตู ติงเหยียนซานกลับยืนรออยู่หน้าประตู พอนางเห็นเขาก็รีบเข้ามาคุยด้วย

เมื่อได้พบหน้าแล้ว หลงเอ้อร์ก็ไม่อาจพูดอะไรได้ จำต้องเชิญนางเข้ามาดื่มน้ำชา

ติงเหยียนซานมาด้วยเรื่องการแต่งงานของหลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์ พอได้เอ่ยปาก นางก็ถามหลงเอ้อร์ทันทีว่าข่าวลือที่บอกว่าเขาจะแต่งงานกับจวีมู่เอ๋อร์นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่

หลงเอ้อร์ตอบตามตรงว่า “ใช่”

ติงเหยียนซานหน้าถอดสี “ท่านหลงเอ้อร์ต้องคิดให้รอบคอบ จวีมู่เอ๋อร์คนนั้นมีข่าวลือไม่ดีเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้ชื่อเสียงของคฤหาสน์สกุลหลงมัวหมองได้”

“ชื่อเสียงของคฤหาสน์สกุลหลงไม่มัวหมองง่ายๆ เพราะข่าวลือเช่นนั้นหรอก”

“แต่นางกับพี่เขยข้าทำเรื่องเช่นนั้น…”

“ข้าไม่ได้แต่งงานกับพี่เขยเจ้า เขาเป็นอย่างไรย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

“ท่านหลงเอ้อร์” ติงเหยียนซานร้อนใจจนลุกขึ้นยืน “พี่สาวข้าบอกว่าจวีมู่เอ๋อร์ตอบตกลงแต่งเป็นอนุของพี่เขยข้าแล้ว นางหลอกท่าน ท่านจะแต่งกับหญิงแพศยาคนนั้นไม่ได้เด็ดขาด”

หลงเอ้อร์จ้องติงเหยียนซานอยู่นาน จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ากลับไปบอกอวิ๋นชิงเสียนว่าทางที่ดีอย่ามายุ่งกับภรรยาของข้า ไม่เช่นนั้น…”

เขาไม่ได้พูดจนจบ แต่ลากท้ายเสียงยาวสื่อความหมายชัดแจ้ง ติงเหยียนซานยืนตัวแข็งอยู่ภายใต้สายตาเย็นเยือกของเขา ในที่สุดก็ทนไม่ไหว สะบัดหน้าเดินจากไป

หลงเอ้อร์พูดไล่ตามหลังนาง “อีกอย่างหนึ่ง อย่าให้ข้าได้ยินใครด่ามู่เอ๋อร์ของข้าว่าหญิงแพศยาอีกนะ”

ติงเหยียนซานชะงักฝีเท้า จากนั้นก็ยกมือปิดหน้าร้องไห้แล้วรีบเดินจากไป

ติงเหยียนซานไปแล้ว แต่หลงเอ้อร์กลับนั่งไม่ติด จวีมู่เอ๋อร์ตอบตกลงแต่งเข้าสกุลอวิ๋นหรือ เรื่องนี้เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก วันนั้นที่นางมาขอแต่งงานกับเขาอย่างฉับพลันโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ หรือว่าจะเป็นเพราะอวิ๋นชิงเสียน?

หลงเอ้อร์เรียกพบแม่นมอวี๋ ถามนางว่าสินสอดที่ใช้ในงานแต่งเตรียมการไปถึงขั้นไหนแล้ว แม่นมอวี๋บอกว่าสองวันนี้นางไปที่ร้านเหล้าสกุลจวีเพื่อปรึกษากับผู้เฒ่าจวีและแม่นางจวีแล้ว เรื่องทุกอย่างสามารถกำหนดและตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว

หลงเอ้อร์พยักหน้า กำชับแม่นมอวี๋ว่าหลังจากเตรียมของเสร็จต้องเอามาให้เขาดูก่อน แม่นมอวี๋ตอบรับ หลงเอ้อร์จึงให้นางถอยออกไป

เขาเดินกลับไปที่หอหนังสือ คิดถึงจวีมู่เอ๋อร์ไปตลอดทาง นึกถึงสีหน้าของนางตอนที่พูดว่าอยากแต่งงานกับเขา ในที่สุดหลงเอ้อร์ก็ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้หลังจากคุยงานกับหลงจู๊ทั้งหลายเสร็จแล้ว ไม่ว่าจะดึกเพียงใดเขาก็ต้องหาเวลาว่างไปพบนางให้ได้

บทที่สิบ

 

วันต่อมา หลงเอ้อร์กำลังคุยงานกับหลงจู๊ทั้งหลายอยู่ภายในโถงของคฤหาสน์สกุลหลง เด็กช่วยงานร้านเหล้าสกุลจวีคนหนึ่งก็รีบร้อนมาขอพบ

หลงเอ้อร์ออกมาพบเขาที่นอกโถง คนผู้นั้นกระหืดกระหอบพูดว่า “ท่านหลงเอ้อร์ แย่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ คือว่า…คือว่า…มีแม่สื่อนำสินสอดมาส่ง นายท่านคิดว่าเป็นของท่านหลงเอ้อร์จึงไม่ได้ถามอะไรมากแล้วรับเอาไว้ แต่พอดูหนังสือหมั้นหมาย กลับเป็นของผู้อื่น…”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว ถามเสียงดัง “เจ้าว่าอะไรนะ”

เด็กช่วยงานผู้นั้นกลืนน้ำลาย พูดซ้ำประเด็นสำคัญอีกครั้งหนึ่ง “ท่านผู้เฒ่ารับของหมั้นผิดคนขอรับ!”

รับของหมั้นผิดคน?

หลงเอ้อร์นิ่วหน้า ของพวกนี้รับกันผิดได้ด้วยหรือ

เป็นที่รู้กันว่าชายหญิงจะหมั้นหมาย หากฝ่ายหญิงรับของหมั้นและหนังสือหมั้นจากฝ่ายชายแล้วก็หมายความว่าตอบรับการแต่งงาน จากนั้นครอบครัวของฝ่ายหญิงจะส่งวันเดือนปีเกิดของฝ่ายหญิงและของตอบแทนจากฝ่ายหญิงให้ฝ่ายชาย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะถือว่าได้ตกลงแต่งงานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

บัดนี้เมื่อผู้เฒ่าจวีรับของหมั้นและหนังสือหมั้นไว้ก็เป็นการตอบรับให้จวีมู่เอ๋อร์แต่งงานกับคนอื่น ทำให้สิ่งที่เขากับจวีมู่เอ๋อร์เคยพูดและกำหนดกันไว้ล้วนเป็นโมฆะทั้งหมด

เรื่องราวฟังดูร้ายแรง แต่หลงเอ้อร์กลับสงบนิ่งอย่างมาก ยิ่งเจอเรื่องที่จัดการได้ยาก เขาก็จะยิ่งเยือกเย็น

หลงเอ้อร์เรียกพ่อบ้านเถี่ยออกมาจากในโถง บอกเขาว่ามีเรื่องด่วนต้องรีบไปจัดการนอกคฤหาสน์ ให้พ่อบ้านเถี่ยไปรับรองหลงจู๊ทั้งหลายแทนก่อน จากนั้นจึงสั่งบ่าวคนหนึ่งให้ไปตามแม่นมอวี๋ และให้อีกคนหนึ่งไปเตรียมรถม้า

เมื่อสั่งการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาก็เรียกหลี่เคอมา จากนั้นถามเด็กช่วยงานผู้นั้นว่า “แม่สื่อคนนั้นยังอยู่ที่ร้านเหล้าใช่หรือไม่ และผู้เฒ่าจวีรอให้ข้าไปอยู่ใช่หรือไม่” หากไม่เป็นเช่นนั้นผู้เฒ่าจวีคงต้องมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ส่งเด็กช่วยงานที่เขาไม่คุ้นเคยมาส่งข่าว

“ถูกต้องๆ ผู้เฒ่าจวีอยู่ขวางพวกเขาที่นั่นขอรับ”

หลงเอ้อร์โบกมือ แล้วหันไปพูดกับหลี่เคอว่า “เจ้าขี่ม้านำคนล่วงหน้าไปก่อน ดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร กันคนพวกนั้นไว้ที่นั่นเพื่อรอข้าไปถึง หากฝ่ายตรงข้ามมีใครกล้าลงมือรุนแรงก็ไม่ต้องไว้หน้าพวกเขา”

หลี่เคอตอบรับ รีบนำคนออกเดินทางทันที

หลงเอ้อร์นำเด็กช่วยงานผู้นั้นไปรอรถม้าที่ประตูด้านข้างแล้วพูดกับเขาว่า “เล่าเรื่องราวมาให้ละเอียด”

เด็กช่วยงานที่ตอนนี้หายใจทันแล้ว และได้เห็นท่านหลงเอ้อร์เตรียมการพร้อมสรรพก็เกิดมีพลังขึ้นมาในทันใด พูดจาคล่องแคล่วกว่าเมื่อครู่มาก “วันนี้ยามเช้าตรู่มีแม่สื่อสองคนพาคนนำของหมั้นกล่องใหญ่เล็กมากมายมาส่ง ผู้เฒ่าจวีเห็นแม่สื่อก็นึกว่าเป็นคนที่ท่านหลงเอ้อร์ส่งมา เพราะแม่นมอวี๋บอกว่าภายในสองวันนี้หากเตรียมการเสร็จแล้วก็จะให้คนส่งของหมั้นมาให้ ผู้เฒ่าจวีจึงไม่ได้ถามอะไรมาก เชิญพวกนางเข้าไปนั่งด้านใน แม่สื่อทั้งสองคนก็เพียงแค่พูดอวยพรเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน ผู้เฒ่าจวีเทน้ำชาให้พวกนางแล้วรีบเรียกให้พวกข้าออกมารับรอง ส่วนเขาเข้าไปด้านหลังเพื่อหยิบใบชื่อแซ่ดวงชะตาและของตอบแทนจากฝ่ายหญิงที่เตรียมไว้แต่แรก”

เขาพูดถึงตรงนี้ แม่นมอวี๋ก็มาถึงพอดี ตอนนี้รถม้าเตรียมเสร็จแล้ว คนทั้งหลายจึงขึ้นรถรีบรุดไปที่ร้านเหล้าสกุลจวีทันที เด็กช่วยงานร้านเหล้าเคยพบกับแม่นมอวี๋ เขาจึงเล่าเรื่องอย่างคร่าวๆ อีกครั้ง จากนั้นก็พูดต่อ “ข้าคิดว่าเรื่องนี้จะโทษท่านผู้เฒ่าฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ข้าเป็นคนรับรองแม่สื่อทั้งสองคน และยังได้พูดคุยกับพวกนางด้วย แต่พวกนางกลับไม่แสดงท่าทางอะไรที่ผิดปกติออกมาเลย ตอนที่ท่านผู้เฒ่านำใบชื่อแซ่ดวงชะตาและของตอบแทนจากฝ่ายหญิงออกมามอบให้พวกนาง ยังถามพวกนางว่าเหตุใดจึงมาเร็วเช่นนี้ แม้แม่นมอวี๋เคยบอกไว้ว่าวันนี้กับวันมะรืนเป็นวันดีในการส่งมอบของหมั้น แต่เขาคิดว่าจะมาวันมะรืนเสียอีก”

แม่นมอวี๋พยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง วันนี้และวันมะรืนล้วนเป็นวันดี แต่ข้าบอกกับผู้เฒ่าจวีแล้วว่าก่อนจะนำของหมั้นไปให้ ข้าจะบอกวันที่แน่นอนกับเขาอีกครั้ง เพราะเรื่องการมอบของหมั้นนี้เป็นเรื่องสำคัญ ข้าต้องไปพร้อมกับแม่สื่อจึงจะถูก และที่ยังไม่ได้กำหนดวันเพราะมีผ้าต่วนพับหนึ่งที่ข้าคิดว่าแม่สื่อเลือกได้ไม่ดีนักจึงอยากไปดูที่ร้านด้วยตัวเอง รวมทั้งวันมะรืนเป็นวันเกิดของนายท่านรอง ย่อมเป็นวันที่ดีกว่า ดังนั้นเดิมทีข้าจึงคิดจะตรวจของดูอีกรอบแล้วไปบอกผู้เฒ่าจวีว่าวันมอบของหมั้นคือวันมะรืน”

เด็กช่วยงานร้านเหล้ารีบหันไปพูดกับหลงเอ้อร์ “ท่านหลงเอ้อร์ เรื่องนี้จะโทษท่านผู้เฒ่าไม่ได้จริงๆ นะขอรับ ทั้งๆ ที่เขาพูดเช่นนี้กับแม่สื่อทั้งสองคนแล้ว แต่พวกนางกลับไม่ได้บอกว่าเป็นตัวแทนจากสกุลอื่น พูดเพียงว่าวันนี้ดีเพียงใด เมื่อส่งของหมั้นครบถ้วน ลำดับต่อไปควรจัดงานมงคลเลย พอพวกนางรับของตอบแทนจากฝ่ายหญิงจากผู้เฒ่าจวีแล้ว ชาก็ไม่ดื่ม ไม่พูดอะไรแล้วทำท่าจะจากไปทันที ในตอนนี้เองผู้เฒ่าจวีจึงเปิดหนังสือหมั้นที่ห่อเอาไว้อย่างดีออกดู เมื่อได้เห็นก็ต้องตะลึงไป”

“เป็นของสกุลใด” หลงเอ้อร์เอ่ยถามเสียงเย็นชา แม้เขาจะคาดเดาไว้แล้ว แต่ยังคงถามเพื่อความมั่นใจ

“ข้าได้ยินผู้เฒ่าจวีวิ่งตามออกไป เขาตะโกนว่า ‘ผิดแล้วๆ เหตุใดจึงเป็นของสกุลอวิ๋นเล่า’ ”

หลงเอ้อร์หรี่ตาลง ท่าทางน่ากลัวของเขาทำให้เด็กช่วยงานร้านเหล้าตกใจจนหดตัวอย่างหวาดเกรง ภายในรถเงียบลงในทันใด

ผ่านไปสักครู่ เด็กช่วยงานผู้นั้นก็เอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “ท่านผู้เฒ่าเห็นชื่อบนหนังสือหมั้นไม่ถูกต้องจึงรีบตามออกไป บอกว่ารับของผิด จะคืนของหมั้น และขอใบชื่อแซ่ดวงชะตากับของตอบแทนจากฝ่ายหญิงคืนมา แต่แม่สื่อทั้งสองคนกลับเล่นแง่ขึ้นมา พวกนางบอกว่าของหมั้นคิดจะคืนก็คืนง่ายๆ ได้อย่างไร ยังบอกอีกว่าเมื่อใบชื่อแซ่ดวงชะตาและของตอบแทนจากฝ่ายหญิงออกจากบ้านมาแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องคืนกลับไป งานมงคลนี้ได้กำหนดเรียบร้อยแล้ว ให้ท่านผู้เฒ่าจวีรอเกี้ยวเจ้าสาวก็พอ

ท่านผู้เฒ่าถกเถียงกับพวกนางอยู่นาน พวกข้าก็เข้าไปช่วยขวางทางเอาไว้ แต่แม่สื่อทั้งสองคนนำบ่าวรูปร่างกำยำมาด้วยหลายคน พวกเขาย่อมไม่กลัวพวกข้า เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมคืนของให้พวกเรา สุดท้ายจึงเกิดการยื้อยุดไปมา พอพวกนางคิดจะจากไป ท่านผู้เฒ่าก็ร้อนใจ รีบไปหยิบไม้มายืนขวางทางพวกนาง เสียงถกเถียงโวยวายนี้ดังจนทำให้แม่นางจวีได้ยินและออกมา พอแม่นางจวีรู้เรื่องทั้งหมดก็พยายามพูดคุยอธิบายเหตุผลกับพวกนาง แต่แม่สื่อกลับเริ่มพูดคำไม่น่าฟัง ดังนั้นท่านผู้เฒ่ากับพวกข้าก็ยื้อยุดกับบ่าวเหล่านั้นอีกครั้ง ภายหลังเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น ท่านผู้เฒ่าจึงให้ข้ามาเชิญท่านหลงเอ้อร์ขอรับ”

หลงเอ้อร์นิ่งเงียบไม่พูดจา เด็กช่วยงานผู้นั้นมองหน้าแม่นมอวี๋ที่นั่งถอนหายใจ แม่นมอวี๋ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี นางอยู่มาจนแก่ปูนนี้ยังไม่เคยได้ยินเรื่องความผิดพลาดในการรับของหมั้นเช่นนี้มาก่อน

คนทั้งสามจึงนั่งเงียบไร้คำพูดจนกระทั่งมาถึงร้านเหล้าสกุลจวีอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ไม่มีใครอยู่นอกร้านแล้ว มีเพียงองครักษ์จากคฤหาสน์สกุลหลงสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงปากประตู พวกเขาเห็นหลงเอ้อร์มาถึงก็รีบคำนับแล้วพูดว่า “นายท่านรอง” พร้อมกัน

หลงเอ้อร์เอามือไพล่หลัง เดินเข้าไปในร้านเป็นคนแรก

ภายในโถงของร้านเหล้ามีคนไม่น้อย ทุกคนต่างยืนนิ่งอยู่กับที่ แม่สื่อที่สวมเสื้อสีแดงสองคนกับบ่าวในชุดเสื้อฟ้าอีกห้าคนยืนชิดอยู่ตรงมุมโถง ในมือยังอุ้มของตอบแทนจากฝ่ายหญิงที่ห่อด้วยผ้าแดงเอาไว้ ผู้เฒ่าจวีมีใบหน้าแดงก่ำ เขากับเด็กช่วยงานร้านเหล้าอีกคนหนึ่งต่างถือไม้เอาไว้ในมือ จ้องเขม็งไปยังพวกแม่สื่อ หลี่เคอกับองครักษ์สองคนยืนคุมอยู่ทั้งสองข้าง กันพวกแม่สื่อให้ถอยไปติดอยู่ตรงมุมโถง ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ยืนอยู่ข้างกายผู้เฒ่าจวี กอดไม้เท้าของนางเอาไว้แน่น สีหน้าไม่ค่อยดีนัก

พอหลงเอ้อร์เข้ามา หลี่เคอกับเหล่าองครักษ์ก็เอ่ยขึ้นพร้อมกัน “นายท่านรอง”

ผู้เฒ่าจวีเหมือนเห็นดวงดาวช่วยชีวิต แทบจะร้องไห้ออกมาจริงๆ “ท่านหลงเอ้อร์ ข้ารับของผิด แต่ข้าไม่ได้ปล่อยให้พวกนางจากไปนะ ข้าขวางพวกนางเอาไว้แล้ว”

หลงเอ้อร์พยักหน้า มองไปทางจวีมู่เอ๋อร์

นางไม่มีผ้าพันแผลบนหัวแล้ว ปล่อยผมยาวสยาย เห็นได้ชัดว่าตอนที่แม่สื่อพวกนี้มา นางยังไม่ตื่นนอน เป็นเสียงอึกทึกพวกนั้นที่ทำให้นางตื่นและรีบออกมา แม้กระทั่งผมก็ยังไม่ได้หวี

หลงเอ้อร์เดินเข้าไปใช้นิ้วมือสางผมที่ยุ่งเหยิงให้นาง “เหตุใดจึงออกมาทั้งสภาพเช่นนี้”

“ท่านหลงเอ้อร์” จวีมู่เอ๋อร์เรียกเขาเสียงเบา น้ำเสียงร้อนใจแฝงการขอร้อง

เขาไม่ได้ตอบนาง แต่พูดกับแม่นมอวี๋แทน “รบกวนแม่นมพานางกลับเข้าไป ให้นางแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกมา ข้าจะรออยู่ที่นี่”

แม่นมอวี๋รับคำ รีบประคองจวีมู่เอ๋อร์เข้าไปหวีผมแต่งกาย

หลงเอ้อร์หมุนตัวกลับ หยิบเก้าอี้มาตัวหนึ่ง วางลงบนพื้นเสียงดังปังตรงหน้าแม่สื่อทั้งสองคน จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ จ้องไปที่พวกนางด้วยแววตาเย็นชา

คนทั้งหมดในร้านล้วนยืน มีเพียงหลงเอ้อร์คนเดียวที่นั่ง เขาอยู่ต่ำสุดแต่รังสีแห่งอำนาจกลับแผ่กระจาย แม่สื่อทั้งสองคนถูกเขาจ้องจนตัวแข็ง ทำได้เพียงสบตากัน ไม่กล้าส่งเสียงอะไรแม้แต่น้อย

เขาไม่พูด คนอื่นก็ไม่กล้าพูด ภายในโถงจึงเงียบสนิท แท้จริงแล้วผู้เฒ่าจวีรู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง เขากำลังคิดว่าท่านหลงเอ้อร์มาถึงแล้ว ดังนั้นไม้ในมือเขาก็ควรจะวางลงได้แล้วใช่หรือไม่ แต่เมื่อเห็นคนอื่นไม่ขยับ เขาก็ไม่กล้าขยับเช่นกัน

ผ่านไปสักครู่ แม่นมอวี๋จึงพาจวีมู่เอ๋อร์กลับเข้ามา นางหวีผมเรียบร้อยและสวมเสื้อผ้าฝ้ายชั้นนอกเพิ่มอีกตัว ดูแล้วสดใสขึ้นเล็กน้อย หลงเอ้อร์เห็นนางเดินมาใกล้จึงพูดว่า “นั่งลง”

แม่นมอวี๋รีบขยับเก้าอี้มาให้นางตัวหนึ่ง จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้าไม่ยอมนั่ง นางกลับเดินไปอยู่ด้านหลังหลงเอ้อร์แล้วแตะไหล่เขา หลงเอ้อร์ยื่นมือไปกุมมือนาง เมื่อสัมผัสได้ว่านิ้วมือทั้งห้าของนางเย็นเฉียบ เขาก็ขมวดคิ้วแน่น

หลงเอ้อร์หันหน้าไปมองผู้เฒ่าจวี ผู้เฒ่าจวีรู้ว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่ เมื่อถูกลูกเขยในอนาคตมองเช่นนี้จึงอดรู้สึกละอายใจขึ้นมาไม่ได้

หลงเอ้อร์พูดว่า “ท่านผู้เฒ่า นั่งลงเถอะ”

ผู้เฒ่าจวีเหลือบมองจวีมู่เอ๋อร์ ถ้าบุตรสาวยังยืนอยู่ เขาก็จะยืนเช่นกัน เมื่อผู้เฒ่าจวีส่ายหน้าไม่ยอมนั่ง หลงเอ้อร์ก็ไม่ได้สนใจเขาอีก

หลงเอ้อร์ย้ายสายตากลับมาที่แม่สื่อสองคนนั้น จ้องหน้าพวกนางเขม็ง พูดออกมาเพียงสามคำ “มอบออกมา”

เขาพูดเสียงเบามาก แต่เย็นชาจนทำให้แม่สื่อทั้งสองคนตัวสั่น พวกนางมองตากัน ลังเลอยู่นาน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะวางซองกระดาษสีแดงไว้บนโต๊ะด้านข้างด้วยมือสั่นเทา ส่วนอีกคนหนึ่งโบกมือให้พวกบ่าวนำของตอบแทนจากฝ่ายหญิงวางไว้บนโต๊ะเช่นกัน

ผู้เฒ่าจวีรีบทะยานเข้าไปหยิบซองกระดาษ เปิดออกดูอย่างตั้งใจแล้วพูดว่า “อันนี้ล่ะ เป็นใบชื่อแซ่ดวงชะตาที่ข้าเตรียมเอาไว้” เขามองหน้าหลงเอ้อร์ด้วยความยินดี ของที่แม้เขาจะใช้ท่อนไม้ก็ทวงคืนมาไม่ได้ แต่ท่านหลงเอ้อร์สามารถทำได้โดยอาศัยเพียงแค่คำสามคำ เห็นได้ชัดว่าระหว่างคนทั้งสองนั้นมีความแตกต่างกัน

หลงเอ้อร์ไม่ได้หันหน้าไปมองผู้เฒ่าจวี เขายังคงจ้องไปที่แม่สื่อสองคนนั้น แล้วยื่นมือไปทางผู้เฒ่าจวี “ของของพวกนางล่ะ”

“เอ๋?” ผู้เฒ่าจวีที่กำลังอยู่ในห้วงความยินดีคิดตามไม่ทัน

“หนังสือหมั้นกับหนังสือแจ้งพิธี”

“อ๋อๆ” ผู้เฒ่าจวีรีบนำของออกมา ก้าวเท้าจะเข้าไปส่งคืนให้แม่สื่อทั้งสองคน

หลงเอ้อร์กลับพูดขึ้นว่า “เอามาให้ข้า”

ผู้เฒ่าจวีงุนงง แต่ยังคงหมุนตัวกลับมาอย่างเชื่อฟัง มอบหนังสือหมั้นและหนังสือแจ้งพิธีให้แก่หลงเอ้อร์

หลงเอ้อร์เปิดออกดูอย่างตั้งใจ อ่านไล่ทีละตัวอักษร เมื่อเห็นชื่อของ ‘อวิ๋นชิงเสียน’ เขาก็หัวเราะเสียงเย็นชา การที่หลงเอ้อร์มีรอยยิ้มเช่นนี้ยิ่งทำให้เหล่าแม่สื่อตัวเกร็งมากกว่าเดิม

หลงเอ้อร์เหลือบตาขึ้นมองพวกนาง เอ่ยถามเสียงเบา “รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”

แม่สื่อทั้งสองคนพยักหน้าโดยแรง

“ดีมาก” หลงเอ้อร์พูดช้าๆ “เช่นนั้นพวกเจ้าก็มีข้ออ้างแล้ว” พูดจบก็ยกมือฉีกหนังสือหมั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โปรยต่อหน้าแม่สื่อทั้งสองคน

เหล่าแม่สื่อตกใจจนหน้าซีดขาว

แม่สื่อผู้หนึ่งทำใจกล้าพูดขึ้นมาว่า “อวิ๋นฮูหยินบอกเอาไว้ว่าแม่นางจวีตกปากรับคำเรื่องการแต่งงานแล้ว เมื่อพวกเรารับเงินเขามาก็ต้องทำงาน การมอบของหมั้นส่งหนังสือหมั้นเหล่านี้ล้วนเป็นไปตามธรรมเนียม” นางเกรงว่าจะเกิดเรื่องอะไรตามมาในภายหลังจึงรีบเอ่ยปากอธิบายทันที

“ข้าไม่” จวีมู่เอ๋อร์พูด มือที่ปล่อยข้างลำตัวกำหมัดแน่น “ข้าไม่ได้ตอบตกลงกับนาง”

“แต่อวิ๋นฮูหยินมาพูดทาบทามแทนใต้เท้าอวิ๋นด้วยตัวเอง และแม่นางก็ตอบรับแล้วไม่ใช่หรือ หากไม่ใช่ ใต้เท้าอวิ๋นกับฮูหยินคงไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน” แม่สื่อพูดพลางมองสังเกตสีหน้าของหลงเอ้อร์อย่างระวังตัว

จวีมู่เอ๋อร์ขบกรามแน่น “นางเคยมาจริง แต่ข้าไม่ได้ตอบตกลง”

ผู้เฒ่าจวีก็พูดขึ้นว่า “หลายวันก่อนใต้เท้าอวิ๋นก็มาที่นี่ แต่มู่เอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บรักษาตัวอยู่ ข้าจึงไม่ได้ให้เขาพบนาง ตอนนั้นเขาเองก็ไม่ได้พูดอะไร เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้”

แม่สื่อยังคิดจะพูดอะไรต่อ แต่หลงเอ้อร์หรี่ตามอง บีบให้นางเก็บคำพูดกลืนลงท้องไป จากนั้นเขาจึงเอ่ยปาก “ไม่ว่าใครจะมาหรือมู่เอ๋อร์จะตอบตกลงหรือไม่ เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ลองถามว่าข้ายอมตกลงด้วยหรือไม่”

แม่สื่อทั้งสองคนก้มหน้าลงทันที ไม่กล้าพูดอะไรอีก

“ใต้เท้าอวิ๋นชิงเสียนเป็นแค่รองเสนาบดีกรมอาญาไม่ใช่หรือ พ่อตาของเขาคือใครกันนะ อ๋อ…ท่านเสนาบดีติงนั่นเอง แล้วเครือญาติของใต้เท้าและพรรคพวกมีใครอีก พ่อตาของเสนาบดีติง ใต้เท้าหยางอดีตหัวหน้าสำนักราชบัณฑิต ดูเหมือนยังมีผู้ตรวจการหลิว ผู้ช่วยเสนาบดีจั่ว ผู้ตรวจฎีกาซือหม่า” หลงเอ้อร์ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งเย็นชา “ข้ายังสามารถพูดออกมาได้อีกยี่สิบกว่าชื่อ แต่คิดว่าพวกเจ้าคงฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก”

แม่สื่อทั้งสองคนยิ่งหดตัวถอยไปทางด้านหลังมากขึ้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง

“แต่ว่า…” หลงเอ้อร์พูดต่อ “หากขุนนางเหล่านี้ไปอยู่ตรงหน้าองค์จักรพรรดิ ข้าคงต้องขอถามให้ละเอียดว่าการที่ข้ากับมู่เอ๋อร์รักใคร่กัน พูดคุยเรื่องหมั้นหมายกันไว้ สองสกุลก็ตกลงเรื่องงานมงคลกันเรียบร้อยแล้ว และตั้งใจจะจัดการทุกอย่างในเร็ววันนี้ แต่เหตุใดสกุลอวิ๋นยังกล้าทำเรื่องน่าอายอย่างการหลอกลวงแย่งชิงงานมงคลของผู้อื่นเช่นนี้ได้”

ประโยคนี้พูดได้หนักนัก แม่สื่อผู้หนึ่งอ้าปากคิดจะโต้แย้ง แต่กลับไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว

หลงเอ้อร์ตบหลังมือของจวีมู่เอ๋อร์แล้วพูดว่า “มู่เอ๋อร์ พวกแม่สื่อบอกว่าในตอนนั้นเจ้าตอบตกลงกับอวิ๋นฮูหยินว่าจะแต่งเป็นอนุของสามีนาง ส่วนข้าก็พูดว่าข้าได้ตกลงกับเจ้าไว้แล้ว จะให้เจ้าแต่งเข้าสกุลหลงเป็นฮูหยินของข้า ในเมื่อพวกเราต่างพูดกันไปคนละทาง ดังนั้นเจ้าก็บอกให้ชัดเจนต่อหน้าทุกคนเลยดีกว่าว่าเจ้าจะแต่งงานกับใคร”

พวกแม่สื่อรีบเงยหน้าขึ้นมองจวีมู่เอ๋อร์ ท่านหลงเอ้อร์พูดว่าเขาและพวกนางต่างพูดกันไปคนละทาง แต่แท้จริงแล้วพวกนางไม่อาจกล่าวโต้แย้งใดๆ ได้เลย…ผู้ใดจะกล้าล่ะ ซ้ำร้ายเขายังพูดว่าแต่งกับคนหนึ่งได้เป็นอนุ แต่งกับอีกคนได้เป็นฮูหยิน นี่เป็นคำพูดเสียดสีแอบด่าอย่างเห็นได้ชัด จวีมู่เอ๋อร์จะตอบเช่นไร พวกนางย่อมรู้ดี

จวีมู่เอ๋อร์ตอบตามที่คิด “ข้าจะแต่งกับท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์พูดว่า “ทำไมเสียงเบาเช่นนี้ หูของพวกแม่สื่อไม่ค่อยดี เกรงว่าคงได้ยินไม่ชัด เจ้าเพิ่มเสียงให้ดังอีกนิดได้หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก ขยับเข้าใกล้เขาอย่างอดไม่ได้ นางเพิ่มเสียงแล้วพูดซ้ำอีกครั้ง “ข้าจะแต่งกับท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์พยักหน้าอย่างพอใจแล้วถามแม่สื่อทั้งสองคน “ได้ยินชัดหรือยัง”

“ชัดแล้ว ชัดเจนแล้ว” พวกแม่สื่อรีบพยักหน้าตอบรับ

“เช่นนั้นคงไม่เข้าใจผิด แล้วมาบอกว่ามู่เอ๋อร์ของข้าตอบตกลงแต่งงานกับสกุลอวิ๋นอีกสินะ”

“ไม่แล้ว ไม่มีแล้ว”

“ดีมาก” หลงเอ้อร์พยักหน้า เขาหันไปมองกล่องใหญ่เล็กที่ห่อด้วยผ้าแดงซึ่งวางกองอยู่บนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามผู้เฒ่าจวี “นี่คือของที่พวกนางนำมาใช่หรือไม่”

ผู้เฒ่าจวีตอบว่า “ใช่”

เขาเอ่ยถามอีก “อยู่ตรงนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่”

“ใช่” ผู้เฒ่าจวีตอบอีกครั้ง

หลงเอ้อร์โบกมือ “นำออกไปทำลายให้หมด”

ผู้เฒ่าจวีตกตะลึง นำไปทำลาย? เหล่าองครักษ์ของคฤหาสน์สกุลหลงไม่รอให้ผู้เฒ่าจวีมีการตอบสนอง พวกเขาลงมือขนของเหล่านั้นออกไปจากโถงแล้วขว้างทิ้งเสียงดังโครมคราม

ผู้เฒ่าจวีเกาหัว สิ่งแรกที่คิดก็คือเสียดายของ สิ่งที่สองคือสงสัยว่าพวกเขารับหน้าที่ทำลายแล้ว จะรับหน้าที่เก็บกวาดด้วยหรือไม่ หน้าร้านของเขาก็ต้องรักษาความสะอาดนะ

หลงเอ้อร์ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าจวีกำลังคิดอะไร แต่เขาฟังเสียงขว้างปาของเหล่านั้นแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย

เขายิ้มกว้าง เหลือบตามองแม่สื่อทั้งสองคนอย่างเย็นชาแล้วกวาดสายตามองบ่าวติดตามเหล่านั้น จากนั้นจึงขยับตัวจัดแขนเสื้อ เอ่ยอย่างช้าๆ “เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้ พวกเจ้ากลับไปรายงานที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋นได้แล้ว”

พวกแม่สื่อทำได้เพียงพยักหน้า สีหน้ายังคงขาวซีด

หลงเอ้อร์ยังพูดต่อ “แต่ข้ามีคำบางคำอยากขอฝากให้ทุกท่านช่วยนำไปด้วย” เขามองไปรอบโถง เมื่อเห็นคนเหล่านั้นตั้งใจฟังก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ “รบกวนช่วยไปบอกแม่สื่อทั่วทั้งเมืองด้วยว่าแม่นางจวีแห่งร้านเหล้าสกุลจวีนอกเมืองทางทิศใต้นี้เป็นภรรยาที่ข้าหลงเอ้อร์หมั้นหมายเอาไว้แล้ว นางเป็นฮูหยินของคฤหาสน์สกุลหลง หากใครคิดกินดีสุนัข* ช่วยเหลือสกุลอื่นมาพูดทาบทามขอนางหรือส่งของขวัญมาที่นี่ ข้าจะทำให้คนผู้นั้นกินไม่ทันเสร็จก็ต้องเผ่นหนีเลยเชียว หากไม่อยากอยู่ในเมืองนี้แล้วก็มาลองดูได้”

เขาเพิ่งจะพูดจบ แม่สื่อทั้งสองคนก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วโขกหัวไม่หยุด พวกนางบอกว่าเรื่องนี้ฮูหยินสกุลอวิ๋นเป็นคนเรียกพวกนางไปพบ บอกให้พวกนางจัดเตรียมสามหนังสือหกพิธีและของอื่นๆ ไว้ให้พร้อม บอกว่าแม่นางจวีตอบตกลงเรื่องงานมงคลแล้ว ใต้เท้าอวิ๋นเองก็รับรู้ ยังให้เงินรางวัลพวกนางอีกด้วย เดิมทีฮูหยินของใต้เท้าอวิ๋นตกลงกับพวกนางไว้ว่าจะต้องเตรียมของให้พร้อมก่อนปีใหม่ แล้วหลังปีใหม่จึงค่อยมามอบของหมั้น แต่ระยะนี้มีชาวเมืองเล่าลือกันว่าคฤหาสน์สกุลหลงจะมามอบของหมั้นให้แก่สกุลจวี อวิ๋นฮูหยินจึงบอกว่าไม่ว่าจะอย่างไรพวกนางต้องจัดการเจรจาเรื่องงานมงคลนี้ให้สำเร็จ พวกนางรับเงินไว้ตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงไม่กล้าผิดใจกับสกุลอวิ๋น คิดตัดหน้าชิงนำของหมั้นมามอบให้ก่อน เมื่อผู้เฒ่าจวีรับของจากสกุลใดก็ต้องถือว่ารับปากหมั้นหมายกับสกุลนั้น เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะพวกนางหน้ามืดตามัวไปชั่วขณะ ต่อไปไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้ว

พวกนางพร่ำพูดขอร้อง หลงเอ้อร์ไม่อยากฟังจึงโบกมือแล้วพูดเสียงดังว่า “ไสหัวไป”

พวกแม่สื่อเงียบเสียงลงทันที จากนั้นก็ลอบมองตากันแวบหนึ่งแล้วพาเหล่าบ่าวทั้งหลายวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดผู้เฒ่าจวีก็โล่งอกเสียที เขายิ้มออกมา กำลังจะเข้าไปขอบคุณหลงเอ้อร์ แต่เพิ่งก้าวเท้า หลงเอ้อร์ก็หันหน้าไปเอ่ยกับจวีมู่เอ๋อร์ว่า “เจ้าตามข้ามา”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่กล้าพูดว่าไม่ นางจึงปล่อยให้ท่านหลงเอ้อร์จูงมือเดินเข้าไปทางเรือนพักด้านหลัง

ตอนนี้ใจของนางวุ่นวายสับสน ทั้งรู้สึกดีใจที่ท่านหลงเอ้อร์จัดการเรื่องยุ่งยากนี้ได้ แต่ก็รู้สึกกังวลใจว่าเรื่องงานมงคลของนางกับเขาจะเปลี่ยนไปด้วยสาเหตุนี้เช่นกัน เพราะเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ท่านหลงเอ้อร์ก็คงพอรู้จุดประสงค์ที่นางขอแต่งงานกับเขาบ้างแล้ว

หากนางเป็นเขา นางต้องโกรธมากอย่างแน่นอน แม้นางจะถูกบีบให้แต่งงานจึงต้องการคนหนุนหลังที่มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่และบ้านสามีที่สามารถต่อกรกับสกุลอวิ๋นได้ แต่เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการ นางถึงขั้นใช้ความบริสุทธิ์ของหลงจู๊หลี่ว์มาข่มขู่เขา อย่างไรเสีย นางก็หลอกใช้เขา…

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกว่าการกระทำของตนต่ำช้าไร้ยางอายมาก หากท่านหลงเอ้อร์จะด่านางแล้วบอกว่าไม่แต่งงานกับนางเด็ดขาด รวมทั้งประกาศยกเลิกการแต่งงาน นางก็ไม่โทษเขาแม้แต่น้อย

หลงเอ้อร์จูงจวีมู่เอ๋อร์ให้เดินไปที่ห้องของนาง เมื่อไปถึงเขาก็นั่งลง ไม่ได้พูดอะไรออกมา จวีมู่เอ๋อร์ที่ยืนรออยู่ด้านข้างไม่กล้าส่งเสียงเช่นกัน ผ่านไปครู่ใหญ่หลงเอ้อร์จึงสั่งให้จวีมู่เอ๋อร์เทน้ำชาให้เขา

ครั้งนี้นางไม่ได้บ่ายเบี่ยงและไม่ได้กลั่นแกล้งแต่อย่างใด เพียงรีบเทน้ำชาให้เขาอย่างเงียบๆ

หลงเอ้อร์ยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างช้าๆ จนหมด เมื่อมองดูใบหน้าเคร่งเครียดของจวีมู่เอ๋อร์แล้ว เขาก็ขอเติมอีกถ้วย นางคลำหาถ้วยชาแล้วเทน้ำชาให้เขาเต็มถ้วยอีกครั้ง

ครั้งนี้หลงเอ้อร์ไม่ได้ดื่ม เพียงเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงไม่ถามข้าว่าอร่อยหรือไม่”

“ท่านหลงเอ้อร์ น้ำชาอร่อยหรือไม่”

“พอใช้ได้”

จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา รู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว

“ท่านหลงเอ้อร์ ข้านวดไหล่ให้ท่านดีหรือไม่”

“ดีสิ” หลงเอ้อร์ตอบรับอย่างรวดเร็วแล้วดึงมือของนางมาวางไว้บนไหล่ของตัวเอง

จวีมู่เอ๋อร์นวดไหล่ให้เขาอย่างตั้งใจ สักครู่ก็เปลี่ยนเป็นบีบแทน บ่าไหล่และแผ่นหลังของเขาแข็งแรง ดังนั้นเวลาบีบจึงต้องใช้แรงมาก จวีมู่เอ๋อร์บีบนวดไป ในใจก็มีความทุกข์ที่พูดไม่ออก ด้านหนึ่งโกรธเกลียดตัวเอง แต่อีกด้านก็ยังคงปรารถนาว่าจะสามารถแต่งงานกับเขาได้ นางอยากได้รับการปกป้องจากเขา

ตอนนั้นนางกล้ามาขอเขาแต่งงานเพราะบังเอิญได้รับโอกาสอันดี รู้สึกว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นลิขิตจากสวรรค์ ทั้งมอบเหตุผลและหมากเดินให้แก่นางเพื่อใช้ต่อรอง เขาจึงกลายเป็นตัวเลือกในการเป็นสามีของนางด้วยเหตุนี้ แม้นิสัยของเขาจะน่ารังเกียจอยู่บ้าง เขาชอบรังแกผู้อื่น แต่นางกลับเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างไร้สาเหตุ

นางรู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายนาง ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากคลุกคลีกับเขาระยะหนึ่ง นางยังได้รู้อีกว่าเขาสามารถปกป้องนางได้ และเขาก็ยินดีจะปกป้องนาง

อาจจะไม่มีโอกาสเหลือแล้ว แต่นางอยากแต่งงานกับเขาจริงๆ

จวีมู่เอ๋อร์กลั้นสะอื้น บางทีครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้บีบไหล่ให้เขา ดังนั้นนางจึงตั้งใจทำอย่างมาก

จู่ๆ เขาก็กุมมือของนาง จวีมู่เอ๋อร์อยากเรียกชื่อเขา แต่คอของนางเหมือนมีบางอย่างอุดไว้ นางพูดอะไรไม่ออก

นางได้ยินเขาถามว่า “นางบีบบังคับเจ้าอย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์หลับตาลง กระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาในที่สุด “นางบอกให้พ่อข้ารักษาสุขภาพให้ดี” เขารู้แล้วจริงๆ จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกถึงความสิ้นหวังที่ค่อยๆ ซึมลึกเข้ามาในใจ

เมื่อครู่ที่เขาพูดกับแม่สื่อล้วนเป็นการแสดงอำนาจเท่านั้นกระมัง เขาคงไม่แต่งงานกับนางแล้วใช่หรือไม่

หลงเอ้อร์ลุกขึ้นยืน หมุนตัวกลับไปมองหน้านางอย่างละเอียด เมื่อเห็นนางมีท่าทางเหมือนจะร้องไห้ เขาก็เอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าถูกคนรังแก เหตุใดจึงไม่บอกข้า”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งงัน คำพูดนี้ของเขาหมายความว่าอย่างไร

หลงเอ้อร์ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด แล้วพูดซ้ำอีกรอบ “เจ้าถูกคนรังแก เหตุใดจึงไม่บอกข้า”

จวีมู่เอ๋อร์ตัวสั่นเล็กน้อย นางกัดริมฝีปาก ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

หลงเอ้อร์กอดนางเอาไว้แนบอก ลูบเส้นผมของนาง “มู่เอ๋อร์ ข้าจะไม่ยอมให้ใครรังแกเจ้าอีก ข้ารับรอง”

จวีมู่เอ๋อร์อดกลั้นต่อไปไม่ไหว นางร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขา

ร้องอย่างน่าสงสาร ร้องจนหลงเอ้อร์ไม่รู้จะทำเช่นใด

หลงเอ้อร์โตมาจนป่านนี้ ทั้งชีวิตเคยกอดผู้หญิงที่ร้องไห้งอแงเพียงสองคน คนหนึ่งคือหลงเป่า ตอนนั้นเจ้าสามกับภรรยาตัวแสบออกไปนอกบ้าน ทิ้งหลงเป่าอายุสามขวบไว้ให้เขาดูแล ตอนที่หลงเป่าคิดถึงพ่อแม่ก็จะกอดเขาแล้วร้องไห้ ในตอนนั้นหลงเอ้อร์คิดว่าต่อไปหากใครกล้ายัดเยียดผู้หญิงขี้แยเข้ามาในอ้อมกอดเขา เขาจะซัดคนผู้นั้นให้ตาย

แต่ตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์กอดเขาร้องไห้อย่างน่าสงสาร เขากลับไม่อยากปล่อย ทั้งๆ ที่นางเป็นหญิงแก่อายุยี่สิบปี มีนิสัยเจ้าเล่ห์และชอบทำให้คนโกรธ เขากลับรู้สึกว่าเสียงร้องไห้ของนางทำให้คนปวดใจเช่นเดียวกับของหลงเป่าในตอนนั้นไม่ผิดเพี้ยน

สำหรับหลงเป่า เขาสามารถใช้ของเล่นมาหลอกล่อได้ แต่จวีมู่เอ๋อร์เป็นหญิงสาวตัวโต เขาไม่รู้จะปลอบนางอย่างไร

ยังดีที่จวีมู่เอ๋อร์ร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งก็หยุด หลงเอ้อร์รู้สึกโล่งอก ให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนตัวเองก็ลากเก้าอี้มาอีกตัวแล้วนั่งลงตรงหน้านาง หัวเข่าชนหัวเข่า เผชิญหน้ากัน

จวีมู่เอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาเช็ดน้ำตา หลงเอ้อร์แย่งผ้าเช็ดหน้าจากมือนางมาช่วยเช็ดให้แทน คนทั้งสองนั่งเงียบอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็จับมือนางแล้วถามว่า “ดีขึ้นบ้างหรือยัง”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า

หลงเอ้อร์พูดต่อทันที “ในคฤหาสน์มีหลงจู๊จากที่ต่างๆ รอข้ากลับไปปรึกษางานด้วย”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าอีกครั้ง

หลงเอ้อร์แสร้งทำทีไม่พอใจ “ตอนนี้เจ้าควรอ้อนแล้วรั้งตัวข้าให้อยู่ต่อไม่ใช่หรือ”

จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา “อยู่ต่อเพื่อทำอะไรหรือ”

อยู่เป็นเพื่อนเจ้าน่ะสิ ยังต้องถามอีกหรือ! นางรู้หรือไม่ว่าอะไรคือการอ้อน!

หลงเอ้อร์อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันใด เขายื่นนิ้วไปจิ้มหน้าผากนาง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ทำให้ใครชื่นใจได้”

“ข้าทำเป็น” จวีมู่เอ๋อร์จับมือของเขา น้ำเสียงอ่อนหวานเสียจนแทบจะคั้นเอาน้ำหวานออกมาได้ “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านอยู่เป็นเพื่อนมู่เอ๋อร์นะ”

หลงเอ้อร์ตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ถูกนางทำให้หัวใจหยุดเต้นไปครึ่งจังหวะ เขากระแอม พยายามแสดงอำนาจออกมา “ข้าไม่ว่าง ต้องกลับไปปรึกษางานกับเหล่าหลงจู๊แล้ว”

“มู่เอ๋อร์ไม่ยอม ท่านอยู่ต่อเป็นเพื่อนข้านะ” เสียงของนางอ่อนหวานยิ่งกว่าเดิม

หลงเอ้อร์แทบจะหัวเราะออกมา แต่เขากลั้นไว้ “ไม่ได้ เป็นสตรีอย่ามาขัดขวางการทำงานของข้า”

“ไม่ ไม่ ไม่ยอม…” จวีมู่เอ๋อร์พูดไปพูดมา สุดท้ายก็ทนไม่ไหว หลุดหัวเราะเสียงดังออกมาเอง นางหัวเราะจนเหนื่อย หลงเอ้อร์จึงฉวยโอกาสดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด ปากก็ยังพูดอบรม “ถ้ายังเกาะติดข้าอีก ข้าจะโกรธแล้วนะ”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ฟังก็ยิ่งหัวเราะจนน้ำตาไหล หลงเอ้อร์ก็เช่นกัน เขากอดแล้วบิดติ่งหูของนาง

คนทั้งสองกอดกันหัวเราะ ในที่สุดก็หยุดเมื่อพอใจ จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยถาม “ท่านหลงเอ้อร์ชอบแบบนี้หรือ”

หลงเอ้อร์กระแอม “ถูกต้อง”

จวีมู่เอ๋อร์อดหัวเราะออกมาอีกไม่ได้ “เช่นนั้นมู่เอ๋อร์จะพยายามทำให้ท่านหลงเอ้อร์ชื่นใจ”

หลงเอ้อร์ลองจินตนาการว่าในอนาคตจวีมู่เอ๋อร์พูดจาเช่นนี้ เขาก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที พูดเสียงเข้มว่า “ข้าอนุญาตให้เจ้าทำตัวเช่นเดิม”

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มกว้างแล้วดันตัวเขา “ท่านกลับไปเถอะ ต้องปรึกษางานอีกไม่ใช่หรือ”

“อืม” เขากอดนางอีกครั้ง นางไม่ขยับและไม่เอ่ยปากเร่ง ปล่อยให้เขากอดต่อไปเช่นนี้ ผ่านไปสักพักหลงเอ้อร์ก็ปล่อยมือ “ข้าต้องไปจริงๆ แล้ว แต่ต่อไปมีเรื่องใดเจ้าควรบอกให้ชัดแจ้งตั้งแต่แรก ข้าชอบขจัดปัญหาก่อนความเดือดร้อนจะเกิด หากให้ข้าทิ้งงานในมือแล้วรีบมาช่วยเจ้าเช่นนี้ทุกครั้ง ข้าก็ไม่ยินดี”

ปากหลงเอ้อร์พูดว่าไม่ยินดี แต่ความจริงก็ยังคงรีบรุดมา

จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาอีกครั้ง “ข้ากับใต้เท้าอวิ๋นไม่มีอะไรกันจริงๆ เขาเคยบอกว่าจะแต่งงานกับข้า แต่ข้าไม่ได้ตอบตกลง ภายหลังอวิ๋นฮูหยินมาที่นี่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นข้าคิดว่านางมาเพื่อเอาผิดข้า คาดไม่ถึงว่าเพื่อเอาใจใต้เท้าอวิ๋นแล้ว นางถึงกับบีบให้ข้าแต่งงาน”

“แล้วเหตุใดจึงยกเลิกการแต่งงานกับเฉินเหลียงเจ๋อ” หลงเอ้อร์สงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอวิ๋นชิงเสียนอีกหรือไม่

จวีมู่เอ๋อร์ลังเลสักครู่จึงเอ่ยตอบ “ข้าตาบอด”

หลงเอ้อร์มองหน้านาง เขาไม่รู้ว่าควรคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ตอนนี้นางก็ยังคงตาบอด แต่นางกลับอยากแต่งงานกับเขา

จวีมู่เอ๋อร์มองไม่เห็นสีหน้าของหลงเอ้อร์ แต่รู้สึกได้ถึงแรงกดดันภายใต้การจับจ้องของเขา นางก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าควรจะวางสองมือไว้ที่ใด ทำได้เพียงบิดเข้าหากัน

หลงเอ้อร์ตัดสินใจคิดไปในทางที่ดี คิดว่ายากนักที่จะได้พบกับหญิงสาวที่เข้ากับเขาได้ดีเช่นนี้ บางทีสวรรค์อาจได้ลิขิตเอาไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องเป็นเขากับนางด้วย

เพราะหากนางไม่ตาบอด คงเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว เป็นภรรยาของผู้อื่นก็คงไม่ถูกอวิ๋นชิงเสียนบีบให้แต่งงาน หากไม่ถูกบีบให้แต่งงาน นางคงไม่มาขอเขาแต่งงาน ถ้าน้องสาวข้างบ้านของนางไม่ป่วยหนัก นางคงไม่มาพบเขา หากหลงจู๊หลี่ว์ไม่ต้องคดี นางคงไม่กล้ามายื่นข้อเสนอกับเขา และหากไม่เกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น ความเกี่ยวพันระหว่างเขากับนางก็คงไม่มาถึงขั้นนี้

ดังนั้นต้องเป็นลิขิตสวรรค์แน่นอน

แม้ว่าหลงเอ้อร์จะรู้ว่าการคิดเช่นนี้งมงายและเหมือนเด็กอยู่บ้าง ไม่เข้ากับวิสัยของเขาที่จะทำอะไรต้องมีหลักการรองรับคาดการณ์ผลดีผลเสียไว้หมด แต่เขายังยินดีจะคิดเช่นนี้

อย่างไรเสียก็ต้องเป็นนาง

หลงเอ้อร์กระแอม ลูบผมของจวีมู่เอ๋อร์ พูดเสียงเบาว่า “กลางคืนข้าจะมาเยี่ยมเจ้า”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า รู้สึกโล่งอกที่เขาไม่ถามอะไรต่อ แต่ก็รู้สึกผิดต่อเขามากเช่นกัน ในใจยังคงรู้สึกเสียใจอยู่ นางต้องทำดีต่อเขามากเพียงใดจึงจะสามารถชดเชยความผิดความละอายใจที่มีต่อเขาได้

“ข้าไปล่ะ” หลงเอ้อร์บอก

จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับ หลงเอ้อร์มองหน้านาง กำลังจะหมุนตัวเดินจากไป แต่นางกลับเข้ามากอดเขาเอาไว้

“ท่านหลงเอ้อร์”

“หืม?”

“ท่านค่อยๆ เดินนะ”

“อืม” หากนางปล่อย เขาคงค่อยๆ เดินได้จริงๆ

แต่นางยังกอดเขาอยู่

“เหตุใดท่านหลงเอ้อร์ยังไม่ไป” เป็นคำถามที่โง่มาก เขาถูกนางกอดเอาไว้ จะไปได้อย่างไร “ถ้าท่านเดิน ข้าก็จะปล่อยมือเอง” จวีมู่เอ๋อร์เหมือนจะรู้ว่าหลงเอ้อร์คิดอะไรในใจ

“เจ้าปล่อยมือ ข้าก็จะเดินไป”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่โต้ตอบ แต่ไม่คลายมือออกเช่นกัน หลงเอ้อร์รอสักพักจนเขาเริ่มรู้สึกใจอ่อน คิดจะยกมือขึ้นกอดนางตอบ จวีมู่เอ๋อร์กลับปล่อยตัวเขา ถอยหลังไปสองก้าวแล้วยิ้มกว้าง “ท่านหลงเอ้อร์ค่อยๆ เดินนะ”

หลงเอ้อร์นิ่งไป เขาถูกยายเด็กคนนี้ปั่นหัวอีกแล้วหรือ นางแกล้งเขาจากนั้นก็ไล่เขาไป?

พอเห็นจวีมู่เอ๋อร์ยิ้มหวาน เขาก็อยากบอกว่าไม่ไปแล้ว แต่รู้ว่าหลงจู๊รออยู่เต็มบ้าน อย่างไรก็ต้องกลับไป

หลงเอ้อร์เดินออกจากห้องด้วยความขุ่นเคือง เดินพลางคิดถึงบทสนทนากับการกระทำเมื่อสักครู่ของจวีมู่เอ๋อร์ คิดไปคิดมากลับยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

ครั้นหลงเอ้อร์เดินกลับมาถึงโถงด้านนอกของร้านเหล้าก็เปลี่ยนกลับเป็น ‘ท่านหลงเอ้อร์’ ที่ฉลาดหลักแหลมและเคร่งขรึมคนเดิมอย่างรวดเร็ว

เขาสั่งให้องครักษ์สองคนเฝ้าอยู่ที่ร้านเหล้า หากมีเรื่องอะไรให้รีบไปแจ้งข่าว จากนั้นกำชับผู้เฒ่าจวีกับแม่นมอวี๋ว่าเรื่องทุกอย่างต้องปรึกษาให้เสร็จและคุยกันให้ชัดแจ้ง อย่าให้เกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นอีก และถ้าพูดคุยตกลงกันเสร็จแล้วต้องมารายงานให้เขาฟัง ผู้เฒ่าทั้งสองคนพยักหน้ารับคำ

หลงเอ้อร์กลับถึงคฤหาสน์ เขาไม่ได้รีบไปปรึกษางานที่โถง แต่กลับเรียกสายสืบคนหนึ่งให้ไปสืบความเคลื่อนไหวในระยะนี้ของสกุลอวิ๋น และคอยดูปฏิกิริยาของสกุลอวิ๋นหลังจากแม่สื่อสองคนนั้นกลับไปรายงาน เขายังให้พ่อบ้านเถี่ยเตรียมของขวัญ บอกว่าภายในสองวันนี้จะไปที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋นและสกุลติงเพื่ออวยพรปีใหม่ล่วงหน้า

นอกจากนี้เขายังสั่งให้หลี่เคอไปหาคนเพื่อขุดคุ้ยเรื่องราวทั้งหลายของอวิ๋นชิงเสียนกับติงเซิ่ง

หลี่เคอตกใจ “นายท่านรอง เหตุใดต้องเป็นปรปักษ์กับกรมอาญาด้วยขอรับ”

“ข้าไม่ได้จะเป็นปรปักษ์กับกรมอาญา ที่ข้าต้องการจัดการคืออวิ๋นชิงเสียน แต่คนผู้นี้ทำงานซื่อตรง ไม่สามารถหาข้อใดมาตำหนิได้ แต่ติงเซิ่งที่เป็นขุนนาง เขาสกปรกมีมลทินมานานแล้ว เจ้าไปสั่งการให้สายลับในราชสำนักเหล่านั้นส่งข่าวกลับมา ข้าต้องการรู้ว่าสองคนนั้นมีเรื่องใดที่จำเป็นต้องปกปิดบ้าง ในเมื่อจับอวิ๋นชิงเสียนไม่ได้ก็จับติงเซิ่งแทน หากจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นถูกแทงสักแผล จะต้องหาคนของตัวเองออกมาช่วยรับหน้าแน่นอน และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอวิ๋นชิงเสียนที่ไม่เพียงเป็นผู้ใต้บัญชา ยังเป็นลูกเขยของเขาอีกด้วย”

หลี่เคอเข้าใจแล้ว นายท่านรองต้องการคิดบัญชีเรื่องการแย่งงานมงคล เขาตั้งใจฟังคำสั่งของนายท่านรองอย่างละเอียด จดจำทุกสิ่งเอาไว้แล้วจึงคำนับถอยออกไป

หลงเอ้อร์กลับไปที่โถงเพื่อปรึกษางานกับเหล่าหลงจู๊ต่อ เขาฟังหลงจู๊จากเมืองเฟิ่งเฉิงรายงานสถานการณ์กิจการ แต่กลับใจลอยคิดไปถึงผมดำเงางามของจวีมู่เอ๋อร์ ใช่แล้ว คงครบกำหนดสิบกว่าวันแล้ว นางจึงสามารถสระผมได้ ในเมื่อวันนี้นางแกะผ้าพันแผลออก เขาก็ควรขอดูบาดแผลบนหัวนางสักหน่อย แต่เขากลับลืมไป

ทางคฤหาสน์สกุลหลง หลงเอ้อร์ปรึกษาเรื่องการค้าขายอย่างไม่ค่อยมีสมาธิ ส่วนทางร้านเหล้าสกุลจวี จวีมู่เอ๋อร์กับจวีเซิ่งสองพ่อลูกก็กำลังพูดคุยกัน

วันนี้ผู้เฒ่าจวีก่อเรื่องใหญ่ เขาจึงละอายใจนัก หากองครักษ์หลี่ไม่ได้นำคนรุดมาถึงทันเวลา เขากับเด็กช่วยงานทั้งสองคนคงขัดขวางบ่าวของแม่สื่อเหล่านั้นไม่อยู่ หากใบชื่อแซ่ดวงชะตากับของตอบแทนจากฝ่ายหญิงถูกส่งเข้าสกุลอวิ๋นไป คงเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตแน่นอน

เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านั้น ผู้เฒ่าจวีก็เกิดความกลัวขึ้นมาเต็มอก

“ลูกเอ๋ย วันนี้ท่านหลงเอ้อร์พูดอะไรกับเจ้าบ้าง กล่าวโทษพ่อหรือไม่”

“พ่อวางใจได้ เขาไม่ได้กล่าวโทษพวกเรา”

“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” ผู้เฒ่าจวีกอดไหเหล้า เมื่อได้ยินว่าหลงเอ้อร์ไม่ได้โทษเขาก็รู้สึกวางใจ รีบดื่มเหล้าเข้าไปอึกใหญ่

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของพ่อก็หัวเราะ

“ลูกเอ๋ย แท้จริงแล้วท่านหลงเอ้อร์ก็ไม่เลวนัก เจ้าเลือกได้ดีมาก สายตาดีเหมือนแม่ของเจ้าเลย”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าแล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นไปอีก

“พ่อคิดว่าชาตินี้เจ้าจะไม่แต่งงานเสียแล้ว เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องดูแลเจ้าไปชั่วชีวิต ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะมีสามีที่ดีเช่นนี้ได้”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าอีกครั้ง

ผู้เฒ่าจวีดื่มเหล้าสองอึกแล้วมองหน้าบุตรสาว “ลูกเอ๋ย เจ้าไม่ดีใจหรือ เจ้าโกรธพ่อหรือ”

“พ่อพูดอะไรอย่างนั้น” จวีมู่เอ๋อร์ยื่นมือไปลูบที่แขนของผู้เป็นพ่อ คล้องแขนเขาแล้วเอนหัวซบไหล่อย่างออดอ้อน

ผู้เฒ่าจวีวางใจ เขาแตะหัวบุตรสาวแล้วดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยถามขึ้นว่า “พ่อว่าการที่ข้าแต่งงานกับท่านหลงเอ้อร์เป็นการทำร้ายเขาหรือไม่”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ลูกสาวของพ่อเป็นหญิงสาวที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้”

หญิงสาวที่ดีซึ่งทั้งตาบอด ทั้งวุ่นวาย และนำพาอันตรายมาด้วยน่ะหรือ

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มกับตัวเอง นางต้องการแต่งงานกับเขา นางเลวเกินไปหรือไม่

 

คืนนั้นหลงเอ้อร์มาหาจวีมู่เอ๋อร์ที่ร้านเหล้าสกุลจวี

ยังนั่งมองหน้ากันได้ไม่นานเท่าไร ผู้เฒ่าจวีก็ดึงตัวเขาไปดื่มด้วยกัน บอกว่าพวกเขาหนึ่งพ่อตาหนึ่งลูกเขยไม่ได้พูดคุยกันดีๆ นานแล้ว

ปากบอกว่าพูดคุยกัน แต่แท้จริงแล้วผู้เฒ่าจวีเป็นคนพูดเสียส่วนมาก หลงเอ้อร์ที่ดื่มเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ พูดเสริมบ้างเป็นครั้งคราว ยังดีที่หัวข้อสนทนาของผู้เฒ่าจวีล้วนวนเวียนอยู่ที่ตัวจวีมู่เอ๋อร์ หลงเอ้อร์จึงยังรู้สึกสนใจบ้าง ยอมนั่งฟังเรื่องราวด้วยความอดทน

ดื่มไปได้สักพัก ผู้เฒ่าจวียิ่งดื่มยิ่งสดชื่น ส่วนหลงเอ้อร์เริ่มรู้สึกมึนหัว จนเขาลดความเร็วในการดื่มลง แต่ผู้เฒ่าจวีกลับรู้สึกว่ายังดื่มได้ไม่สะใจจึงตามเด็กช่วยงานของตน หลี่เคอ และองครักษ์อีกสองคนมาร่วมดื่มด้วยกัน

เดิมทีเหล่าองครักษ์ไม่กล้า แต่หลงเอ้อร์พูดเพียงคำเดียวว่า “ดื่ม” ทำให้พวกเขาทั้งหมดพากันนั่งลง เมื่อคนเยอะขึ้น หัวข้อสนทนาก็หลากหลายขึ้น หลงเอ้อร์รู้สึกเบื่อจึงแอบลุกจากโต๊ะแล้วเดินไปหาจวีมู่เอ๋อร์ที่เรือนพักของนาง

จวีมู่เอ๋อร์นั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนเตียง วางพิณไว้บนตักตัวหนึ่ง เกาสายพิณบรรเลงเพลงเล่น หลงเอ้อร์เคาะประตูสองทีพอเป็นพิธี ไม่รอให้มีเสียงตอบกลับก็ผลักประตูเดินเข้าไปแล้ว

“ท่านหลงเอ้อร์?” จวีมู่เอ๋อร์หยุดดีดพิณ เอียงหัวเอ่ยถาม

“เดินเข้ามาในห้องเจ้าได้เช่นนี้ยังจะเป็นใครอีกล่ะ” หลงเอ้อร์พูดอย่างไม่เกรงใจ ไม่รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องเสียมารยาทแม้แต่น้อย

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มกว้าง เอ่ยอย่างประนีประนอมคล้อยตาม “ก็มีเพียงท่านหลงเอ้อร์เท่านั้น”

หลงเอ้อร์พึงพอใจมาก เขาเดินเข้าไปนั่งลงบนขอบเตียงของนางแล้วถอนหายใจ ผู้เฒ่าจวีคอแข็งจริงๆ พาดื่มจนเขารู้สึกมึนหัวไปหมด

จวีมู่เอ๋อร์เอียงหัวมาทางเขา รอเขาเอ่ยปาก แต่ตอนนี้หลงเอ้อร์กลับมองพิณบนตักของนาง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าถูกพิณนั้นแย่งตำแหน่งไป ดังนั้นเขาจึงเอ่ยเสียงเข้มกับพิณนั้นว่า “เจ้าถอยไป”

จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา นางไม่เข้าใจ ให้นางถอยไปหรือ

นางกำลังถาม กลับได้ยินท่านหลงเอ้อร์พูดขึ้นอีก “นี่เป็นที่ของข้า”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งไปแล้วหัวเราะ “ท่านเมาแล้วหรือ”

“ไม่เมา” หลงเอ้อร์พูดพลางยกพิณโยนไปที่ปลายเตียง จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงพิณที่รักตกกระทบเตียงก็รู้สึกปวดใจ แต่หลังจากนั้นกลับรู้สึกหนักที่หน้าตักทันที ท่านหลงเอ้อร์นอนหนุนตักนางเสียแล้ว

จวีมู่เอ๋อร์ยื่นมือออกไปลูบถูกหัวของหลงเอ้อร์ เขาจึงดึงมือนางลงไปประกบบนแก้มของตน

ใบหน้าของหลงเอ้อร์ร้อนเพราะดื่มเหล้า ส่วนมือของจวีมู่เอ๋อร์เย็นเฉียบ เมื่อสัมผัสกันแล้วทำให้เขารู้สึกสบายพอดี เขากระแอมหนึ่งทีแล้วหลับตาลง

“ท่านดื่มไปมากเท่าใด”

“ไม่ได้นับ” ผู้เฒ่าจวีใช้ชามเป็นภาชนะ ไหเหล้าหลายใบวางเรียงกันอยู่ด้านข้าง เทเหล้าจากไหลงชามไปแล้วเท่าใดหลงเอ้อร์ไม่รู้จริงๆ แต่ถึงขั้นสามารถทำให้เขาที่ร่วมงานเลี้ยงเหล้ามานานรู้สึกมึนหัวได้ก็คงดื่มไปไม่น้อยเท่าไรนัก

จวีมู่เอ๋อร์ใช้มือลูบหน้าผากเขาเบาๆ ถามเสียงหวาน “ท่านหลงเอ้อร์อยากอาเจียนหรือไม่”

“ไม่”

“มึนหัวหรือไม่”

“เล็กน้อย”

“ข้าชงชาแก้เมาให้ท่านสักชามดีหรือไม่”

“ดี” หลงเอ้อร์ตอบรับแต่ไม่ยอมขยับตัว ได้นอนเช่นนี้เขารู้สึกสบายยิ่งนัก

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ ไม่ได้เร่งให้เขาลุก เพียงแค่ลูบใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน หลงเอ้อร์นอนไปสักพักก็เริ่มโอดครวญ “เตียงของเจ้าเล็กจริง”

“เทียบกับที่คฤหาสน์ของท่านไม่ได้อยู่แล้ว” จวีมู่เอ๋อร์ลูบผมของเขา

“เจ้าง่วงหรือยัง” หลงเอ้อร์เพิ่งคิดได้ว่าหญิงขี้เกียจผู้นี้ชอบนอนเป็นชีวิตจิตใจ

“เล็กน้อย” นางลูบหน้าผากของเขาอย่างอ่อนโยน

“ง่วงก็ทนไว้ มีอย่างที่ไหนมานอนได้ทั้งวี่ทั้งวัน”

“เจ้าค่ะ ท่านหลงเอ้อร์สั่งสอนได้ถูกต้อง” จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ

“รอจนแต่งงานแล้ว เจ้าต้องตื่นมาปรนนิบัติข้าแต่เช้าทุกวัน” หลงเอ้อร์ฉวยโอกาสตอนเมาเริ่มบอกความต้องการ

“ได้”

“หากข้าอ่านเอกสารเขียนหนังสือ เจ้าต้องฝนหมึกให้ข้า หากข้าเบื่อ เจ้าต้องคลายเบื่อให้ข้า หากข้าไปตรวจงานนอกบ้าน เจ้าก็ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูกให้ดี”

“ได้” จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา พยายามกดความคิดรบกวนใจบางอย่างเอาไว้ เขาพูดถึงเรื่องต่างๆ อย่างสวยงาม นางฟังแล้วมีความสุข

“พี่ชายข้ามีลูกชายหนึ่งคน เจ้าสามมีลูกสาวสองคน พวกเราก็มีลูกสักสองคน ข้าอยากได้ลูกชาย”

“ได้”

“คลอดลูกชายไม่ได้ข้าจะหย่าเจ้าทิ้ง”

“ได้”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว ยื่นมือไปบีบคางของนาง “ได้อะไรกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรเจ้าก็ตอบตกลงง่ายๆ กำลังหาเรื่องข้าอีกแล้วใช่หรือไม่”

“มู่เอ๋อร์ไม่กล้า”

“หึ มีเรื่องที่เจ้าไม่กล้าด้วยหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ “ตอนนี้ท่านหลงเอ้อร์ยังไม่ได้ทิ้งข้านี่นา รอให้ถึงตอนที่จะทิ้งจริงๆ ข้าค่อยหาเรื่องท่าน”

“เจ้าคิดจะทำอย่างไร”

“ต้องดูว่าท่านชอบมองคนร้องไห้ฟูมฟาย นอนกลิ้งไปมาบนพื้น หรือโวยวายขู่จะแขวนคอตาย ข้าล้วนสามารถทำได้หมด”

หลงเอ้อร์หัวเราะ ลุกขึ้นนั่ง กอดนางแล้วบีบแก้มของนาง “ข้ารู้ว่าเจ้าน่าสนใจที่สุด”

“มู่เอ๋อร์จะถือการทำให้ท่านหลงเอ้อร์มีความสุขเป็นหน้าที่ ต้องพยายามทำสุดกำลังจนกว่าชีวิตจะหาไม่”

หลงเอ้อร์หัวเราะเสียงดัง วางท่าแสดงอำนาจ แตะหลังนางแล้วสั่งว่า “ไป เทน้ำชาให้ข้าสักถ้วย”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับ นางก้าวลงจากเตียงเดินไปที่โต๊ะ หยิบขวดเล็กสองใบออกมาจากตู้ข้างโต๊ะ เดินออกไปด้านนอกสักครู่ก็ถือชามกับช้อนกลับมา จากนั้นจึงตักน้ำข้นๆ ออกมาจากในขวดทั้งสองใบ แล้วเทน้ำร้อนลงไป

หลงเอ้อร์มองดูกิริยาของนางอย่างเงียบๆ ได้กลิ่นหวานของส้มลอยมาในอากาศ เขาจึงพูดว่า “ข้าไม่ดื่มของหวาน ข้าจะดื่มชา”

จวีมู่เอ๋อร์หันหน้ามายิ้มให้เขา “นี่คือชาสร่างเมา เหล้าที่พ่อหมักมีฤทธิ์แรงมาก พรุ่งนี้ท่านต้องปวดหัวแน่นอน”

หลงเอ้อร์ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของนางรวมกับกลิ่นหอมหวานอบอวลก็พลันรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องงดงามขึ้นมาทันใด เขายืนขึ้น เดินเข้าไปกอดนางจากทางด้านหลัง

แม้จวีมู่เอ๋อร์จะเป็นคนขี้หนาว แต่ตอนนี้ภายในห้องจุดเตาถ่านเพื่อให้ความอบอุ่นไว้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้สวมเสื้อผ้าฝ้ายชั้นนอกตัวหนา เมื่อหลงเอ้อร์เข้าไปกอด มือใหญ่ข้างหนึ่งของเขาจึงเลื่อนไปกุมเข้าที่หน้าอกของนางพอดี จวีมู่เอ๋อร์ตัวแข็งแต่ไม่ได้ขัดขืน

“มู่เอ๋อร์” หลงเอ้อร์กระซิบข้างหูนาง ลมหายใจผสมกลิ่นเหล้าคลุ้งอยู่ข้างแก้ม

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ขยับ เพียงเรียกเขาเสียงเบา “ท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์กอดนางไว้แน่น ก้มหน้าต่ำลง เลื่อนให้หน้าของเขาแนบกับใบหน้าของนาง ปากก็เอ่ยเรียกว่า “มู่เอ๋อร์”

จวีมู่เอ๋อร์ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าแดงก่ำ นางไม่ขยับแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้เป็นไปตามความต้องการของเขา เมื่อนางทำเช่นนี้ หลงเอ้อร์ก็ยิ่งได้ใจ เขางับติ่งหูและหายใจรดต้นคอนางเบาๆ รับรู้ได้ว่าร่างของนางสั่นระริก จากนั้นจึงประทับจูบบนลำคอของนาง

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก แม้จะรู้สึกตกใจอยู่บ้าง แต่นางหลับตาลง ปล่อยตัวให้อิงแอบในอ้อมกอดของเขา พริบตาต่อมานางถูกจับให้หมุนตัวกลับ แล้วเขาก็เข้าครอบครองริมฝีปากของนางทันที

ในขณะที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความปรารถนา นอกประตูกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามติดด้วยเสียงของผู้เฒ่าจวีที่เล็ดลอดเข้ามา “มู่เอ๋อร์ มู่เอ๋อร์…”

หลงเอ้อร์ไม่สนใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาจุมพิตต่อไป ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ถูกประกบปากไว้จึงพูดอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงทุบแผ่นหลังของเขา จากนั้นผู้เฒ่าจวีที่อยู่ด้านนอกก็เคาะประตูอีกครั้ง “มู่เอ๋อร์ ท่านหลงเอ้อร์อยู่หรือไม่”

“ไสหัวไป!” หลงเอ้อร์ที่ถูกรบกวนจนโมโหหันหน้าไปตะโกนใส่ประตู คนนอกห้องเงียบเสียงลงทันที

จวีมู่เอ๋อร์ทุบเขาอย่างแรง พูดเสียงเบาว่า “นั่นพ่อข้านะ”

เขาต้องตะโกนคำว่า ‘ไสหัวไป’ ใส่พ่อตาของตนเช่นนี้ด้วยหรือ อีกอย่างนางกับเขายังไม่ได้แต่งงานกัน การที่เขามาอยู่ในห้องนอนของนางก็นับว่าเป็นการล้ำเส้นแล้ว นางตัดสินใจยอมตามใจเขาทุกอย่าง แต่ไม่รวมไปถึงท่าทางที่เขาเพิ่งทำกับพ่อของนางเมื่อสักครู่!

หลงเอ้อร์กะพริบตา ก้มลงมองจวีมู่เอ๋อร์ที่ใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกสร่างเมาไปแล้วครึ่งหนึ่ง นางผลักตัวเขา “ไปเปิดประตูให้พ่อข้า”

หลงเอ้อร์ปล่อยตัวนางอย่างอาลัยอาวรณ์ จัดผมและเสื้อผ้าให้นาง จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูอย่างไม่สบอารมณ์นัก แล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม “มีเรื่องอะไร”

ผู้เฒ่าจวีที่เดิมยืนหดคออยู่นอกห้องไม่กล้าส่งเสียงพูด เมื่อถูกถามก็นิ่งอึ้งไป คิดไม่ออกว่าควรจะพูดอย่างไรดี

จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ จำต้องเดินออกมาแก้ไขสถานการณ์เอง “พ่อ พวกท่านดื่มกันเสร็จแล้วหรือ”

“อืม ใช่ๆ ดื่มเสร็จแล้ว ล้มพับไปสามคน ส่วนคนอื่นๆ ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน ดังนั้นพ่อจึงจะมาถามท่านหลงเอ้อร์ว่าควรทำอย่างไรดี”

“รบกวนพ่อช่วยชงชาสร่างเมาให้พวกเขาสักนิด”

“ได้ๆ พ่อจะไปชงชาสร่างเมา” ผู้เฒ่าจวีรีบวิ่งเหยาะๆ จากไปทันที

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้วมองแผ่นหลังของผู้เฒ่าจวีอย่างไม่พอใจนัก แล้วจวีมู่เอ๋อร์ที่กลับเข้าห้องก็เรียกเขา “ท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์ตอบเสียงกระด้าง “มีอะไร”

“ท่านมานี่สิ” จวีมู่เอ๋อร์กวักมือเรียกเขา

หลงเอ้อร์เดินลงส้นตึงตังไปหานาง จวีมู่เอ๋อร์หมุนตัว หยิบชามชาที่เมื่อครู่ชงเสร็จแล้วขึ้นมาจากโต๊ะ ยื่นมาตรงหน้าเขา “ท่านหลงเอ้อร์เชิญดื่มชา”

สีหน้าหลงเอ้อร์อ่อนลง รับชามชามาดื่มรวดเดียวจนหมด กลิ่นหอมหวานของส้มทำให้เขาสดชื่นขึ้นหลายส่วน

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงชามถูกวางลงจึงรู้ว่าเขาดื่มหมดแล้ว นางเอ่ยถามเสียงหวาน “พรุ่งนี้ท่านหลงเอ้อร์มีกำหนดการทำอะไรหรือไม่”

หลงเอ้อร์คิดดูแล้วก็พบว่าพรุ่งนี้ยังมีงานให้ทำอีกทั้งวันจริงๆ เขายิ้มออกมาในทันใด ดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์เข้ามาในอ้อมกอด หญิงผู้ฉลาดเฉลียวคนนี้ไม่ได้ไล่เขากลับตรงๆ แต่กลับถามถึงกำหนดการในวันพรุ่งนี้ของเขา ให้เขารู้ว่าตนยังมีงานต้องทำ ควรรีบกลับไปพักผ่อนได้แล้ว

หลงเอ้อร์โยกตัวนางเบาๆ อยากรีบแต่งนางเข้าบ้านแล้วเก็บนางไว้ในห้อง จะได้ไม่มีใครมารบกวนเขา เวลาว่างก็สามารถเห็นหน้านางได้ทันที เช่นนี้คงดีไม่น้อย!

ตอนกลางคืนขณะที่หลงเอ้อร์นอนอยู่บนเตียงในห้องของตัวเองก็อดคิดถึงจวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ คิดว่านางชอบนอน ตอนนี้คงหลับแล้วกระมัง คิดไปอีกว่านางจะคิดถึงเขาหรือไม่ เขาว่านางต้องคิดถึงเขาอย่างแน่นอน

บทที่สิบเอ็ด

หลังจากนั้น หลงเอ้อร์ไม่ได้ไปหาจวีมู่เอ๋อร์อีก

เหตุผลข้อที่หนึ่งคืองานยุ่ง ข้อที่สองคือกำลังจะส่งของหมั้นไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องทำตามประเพณีที่แม่นมอวี๋กำชับไว้ว่าก่อนการหมั้นชายหญิงทั้งสองฝ่ายไม่อาจพบหน้ากันได้ กระทั่งก่อนแต่งงานหากไม่ได้พบหน้ากันเลยเป็นดีที่สุด

‘ก่อนแต่งงานอย่าพบหน้ากันเลย’ เมื่อได้ยินคำนี้หลงเอ้อร์ก็มีสีหน้าดำคล้ำอยู่บ้าง เพราะตอนนี้ยังห่างจากวันมงคลอีกหลายเดือน และช่วงนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เขากับจวีมู่เอ๋อร์เข้ากันได้ดี จะให้เขาไม่พบหน้านางเลยเช่นนั้น เขาไม่ชอบใจเท่าใดนัก

แม่นมอวี๋ย่อมรู้นิสัยของนายท่านรองของตน ดังนั้นนางจึงพูดโดยอ้อมว่าสามารถไปพบได้เป็นครั้งคราว แต่อย่าบ่อยเกินไป ถ้าจะให้ดีต้องมีสาวใช้ของฝ่ายหญิงอยู่ด้วย แต่ในเมื่อสกุลจวีไม่มีสาวใช้ อย่างนั้นต้องให้พ่อตาอยู่ข้างๆ แทน แม่นมอวี๋ยังบอกอีกว่าเรื่องนี้นางได้แจ้งแก่ผู้เฒ่าจวีไว้แล้ว

หลงเอ้อร์จึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขาดื่มเหล้าจนเมา ซ้ำยังตะคอกใส่พ่อตาในอนาคตอีกด้วย

หลงเอ้อร์เริ่มปวดหัวขึ้นมา หากพูดถึงเรื่องความกตัญญู หลงเอ้อร์นั้นเข้าใจดี คิดถึงเมื่อครั้งที่ท่านพ่อท่านแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาสามพี่น้องล้วนเคารพท่านพ่อท่านแม่มาก ภายหลังพวกท่านล่วงลับไป สกุลหลงก็ถูกทางการและเหล่าพ่อค้าใช้อำนาจกดขี่ สามพี่น้องจึงร่วมใจกันปกป้องครอบครัว พี่ใหญ่เข้ารับราชการ น้องสามออกท่องยุทธภพ ส่วนตัวเขาหลงเอ้อร์คอยดูแลกิจการของครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว วางแผนจัดการงานอย่างลำบาก ผ่านมาหลายปี เขาที่เคยปั้นหน้ายักษ์จนเคยชินกลับมีพ่อตาที่ต้องให้ความเคารพเพิ่มมาอีกหนึ่งคนอย่างกะทันหัน เขาจึงยังปรับตัวรับไม่ค่อยทัน

หลงเอ้อร์คิดใคร่ครวญ พ่อตาของเขาคนนี้ชอบดื่มเหล้า เช่นนั้นก็ต้องทำดีในจุดนี้เพื่อเป็นการไถ่โทษ ดังนั้นเขาจึงสั่งพ่อครัวใหญ่ในคฤหาสน์ให้ทำกับแกล้มมากมายหลายชนิดและให้บ่าวส่งไปที่ร้านเหล้าสกุลจวีทุกวัน

วิธีการไถ่โทษของหลงเอ้อร์ทำให้ผู้เฒ่าจวีเบิกบานใจมาก ยังฝากคำขอบคุณผ่านบ่าวมาเป็นพิเศษ หลงเอ้อร์จึงถามบ่าวที่กลับมารายงานว่าแม่นางจวีได้พูดอะไรบ้างหรือไม่ บ่าวตอบว่าแม่นางจวีเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร

หลงเอ้อร์ไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง พ่อตายังรู้จักฝากคำมากับบ่าว แต่เหตุใดมู่เอ๋อร์ของเขาจึงทำเฉย คำพูดแม้เพียงคำเดียวก็ไม่มีฝากมาถึง เขาอยากเขียนจดหมายถึงนาง แต่ก็คิดขึ้นได้ว่านางมองไม่เห็น และเขาก็ไม่อยากให้ผู้เฒ่าจวีอ่านจดหมายของเขา ดังนั้นเรื่องนี้จึงตกไป

ในระหว่างนี้หลงเอ้อร์ยังเดินทางไปมอบของขวัญปีใหม่ที่จวนของติงเซิ่ง เขาไม่ได้อยู่ที่นั่นนานนัก เพียงแค่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับจิ้งจอกเฒ่าติงเซิ่งผู้นั้นสักครู่ ไม่ได้พูดถึงเรื่องสำคัญแต่อย่างใด แต่แท้จริงแล้วทั้งสองคนต่างก็รู้ถึงความหมายของฝ่ายตรงข้าม

ติงเซิ่งย่อมเคยได้ยินเรื่องที่สกุลอวิ๋นชิงส่งของหมั้นก่อเรื่องใหญ่ เขาจึงรู้ถึงจุดประสงค์การมาของท่านหลงเอ้อร์ เมื่อไม่อยากจะหมางใจด้วย แต่ก็อ่อนข้อให้ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงปัดความเกี่ยวพัน บอกว่าตัวเองอยู่ห่างจากพวกเด็กๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องราวในคฤหาสน์สกุลอวิ๋นเท่าใดนัก จากนั้นก็เปลี่ยนมาแสดงความยินดีกับเรื่องงานมงคลของเขา

หลงเอ้อร์รู้อยู่แล้วว่าติงเซิ่งต้องพูดเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวถึงผลกระทบแง่ร้ายที่ติงเซิ่งอาจได้รับออกมาหลายเรื่องด้วยสีหน้าแสดงความเป็นห่วง ติงเซิ่งเอ่ยปากรับความหวังดีและขอบคุณคำชี้แนะของเขา จากนั้นเมื่อหลงเอ้อร์บรรลุเป้าหมายแล้วจึงลากลับด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

ด้านคฤหาสน์สกุลอวิ๋น สายสืบมารายงานว่าอวิ๋นชิงเสียนออกไปทำงานนอกพื้นที่ตั้งแต่หลายวันก่อน ตอนนี้ยังไม่กลับมา หลงเอ้อร์จึงไม่ไปด้วยตัวเอง เพียงแต่สั่งให้พ่อบ้านเถี่ยส่งของขวัญไปให้ติงเหยียนเซียง

 

สองวันผ่านไป ในที่สุดก็ถึงกำหนดวันมอบของหมั้นที่ตกลงกันไว้

แม่นมอวี๋เดินนำแม่สื่อ พาบ่าวทั้งหลายถือกล่องสิ่งของกองใหญ่ไปมอบให้เป็นของหมั้นที่ร้านเหล้าสกุลจวี เมื่อไปถึงแม่สื่อก็ตะโกนพูดคำมงคล จากนั้นเหล่าบ่าวทั้งหลายจึงขนกล่องสีแดงเข้าไปด้านในทีละกล่อง การกระทำนี้เสียงดังอึกทึก ทำให้คนบ้านใกล้เรือนเคียงต่างพากันแห่มาดู

คนทั้งหลายพูดว่าสกุลจวีนี้มากเรื่องจริง เมื่อสองวันก่อนมีคนมามอบของหมั้น ยังเกิดการต่อสู้กันขึ้นมา เหตุใดผ่านไปไม่ถึงสองวันก็มีคนมามอบของหมั้นอีกแล้ว

ผู้เฒ่าจวีเชิญเพื่อนบ้านที่ปกติมักจะไปมาหาสู่กันให้เข้ามานั่งในบ้าน แล้วถือถ้วยเหล้าดื่มกับทุกคน คนทั้งหลายต่างพูดแสดงความยินดี บรรยากาศคึกคักครึกครื้นมาก ผู้เฒ่าจวีสวมเสื้อตัวใหม่ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตั้งใจบรรจงมอบใบชื่อแซ่ดวงชะตากับของตอบแทนจากฝ่ายหญิงให้แก่แม่นมอวี๋ด้วยตัวเอง ในที่สุดผู้เฒ่าทั้งสองฝ่ายก็วางหินก้อนใหญ่ในใจลงได้เสียที

งานมงคลนี้ถือว่าได้กำหนดเรียบร้อยแล้ว!

ในส่วนเรือนพักด้านหลัง ซูฉิงที่วิ่งไปข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง นำสิ่งที่ได้เห็นได้ยินจากโถงหน้ามาเล่าให้จวีมู่เอ๋อร์ซึ่งนั่งอยู่ในห้องฟังทั้งหมด นางพูดด้วยความตื่นเต้นยินดี “พี่มู่เอ๋อร์ มีของที่ห่ออย่างสวยงามกองเอาไว้ถึงครึ่งห้อง เมื่อก่อนข้าคิดว่าท่านหลงเอ้อร์ตระหนี่แถมยังดุ ยังนึกว่าเขาเป็นคนไม่ดีเสียอีก แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว เขาดีต่อพี่มากเลย”

“ท่านหลงเอ้อร์เป็นคนดีมากจริงๆ”

ซูฉิงมองหน้าจวีมู่เอ๋อร์แล้วถามว่า “พี่มู่เอ๋อร์ เหตุใดพี่จึงไม่ยิ้มเลย พี่ไม่ดีใจ ไม่อยากแต่งงานกับท่านหลงเอ้อร์หรือ”

จวีมู่เอ๋อร์รีบส่ายหน้า แล้วยิ้มกว้าง “ดีใจสิ ข้าอยากแต่งกับเขา เพียงแค่ตื่นเต้นเท่านั้น”

ซูฉิงหัวเราะอย่างมีความสุข “ยังไม่ถึงเวลาแต่งงานพี่ก็ตื่นเต้นเสียแล้ว หากแต่งไปแล้วจะเป็นอย่างไร”

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มเศร้า นางหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว เกรงว่าคงต้องแบกรับความละอายใจแล้วเดินหน้าต่อไป

ในคฤหาสน์สกุลหลง หลงเอ้อร์กำลังร้อนใจ กังวลว่าการมอบของหมั้นจะมีอะไรผิดพลาดอีกหรือไม่ เขาทำงานพลางคิดฟุ้งซ่าน รออยู่ครึ่งวัน ในที่สุดแม่นมอวี๋ก็กลับมา ในมือนางถือใบชื่อแซ่ดวงชะตากับของตอบแทนจากฝ่ายหญิงกลับมาด้วย จากนั้นรีบดึงตัวหลงเอ้อร์ให้ไปคำนับกราบไหว้ป้ายบรรพชน

หลงเอ้อร์เดินตามไปอย่างเชื่อฟัง ได้เห็นใบชื่อแซ่ดวงชะตาของตัวเองกับจวีมู่เอ๋อร์วางไว้ต่อหน้าป้ายบรรพชน เขาก็วางใจลงได้ในที่สุด

อีกไม่นานเขาก็จะได้แต่งงานแล้ว

การกำหนดงานมงคลของสกุลหลงและสกุลจวีเสร็จสิ้นลง แต่ภายในร้านเหล้าสกุลจวีกลับเริ่มวุ่นวายขึ้นมา

เหตุเพราะหนึ่งเมื่อมีงานมงคลใหญ่ใกล้มาถึง ดังนั้นปีนี้ร้านเหล้าสกุลจวีจึงต้องเตรียมการให้มากเพื่อฉลองปีมงคลในปีหน้า สอง ผู้ช่วยว่าที่เจ้าสาวมีเรื่องต้องทำวุ่นวายหลายอย่าง เพราะจวีมู่เอ๋อร์จะตาบอด ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ หญิงชราบ้านใกล้เรือนเคียงและเหล่าสะใภ้ของพวกนางจึงล้วนยินดีมาช่วยเหลือ เพียงไม่นานภายในเรือนที่พักของร้านเหล้าก็มีคนมาเยี่ยมเยือนบ่อยครั้ง ผู้หญิงกลุ่มใหญ่มักอยู่ช่วยงานพลางพูดคุยกันอยู่ในเรือนที่พักเล็กๆ ของจวีมู่เอ๋อร์

ในเวลาเช่นนี้ติงเหยียนเซียงก็มาเยือนอีกครั้ง

ผู้เฒ่าจวีเตรียมพร้อมรับมือกับอวิ๋นฮูหยินผู้นี้เอาไว้แล้ว อย่างไรก็ไม่ยินยอมให้นางพบกับบุตรสาวของตน ติงเหยียนเซียงพูดขอร้องเสียงอ่อน ไม่ยอมจากไป คนของทั้งสองฝ่ายจึงกระจุกตัวกันอยู่ที่โถงด้านหน้าของร้านเหล้า เมื่อจวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเรื่องดังกล่าวจึงให้ซูฉิงออกมาบอกว่านางยินดีพบกับอวิ๋นฮูหยิน

ติงเหยียนเซียงเอ่ยขอบคุณเสียงเบา เดินตามซูฉิงไปทางเรือนด้านหลังที่มีผู้หญิงสองคนกำลังนั่งปักผ้ามงคลอยู่ในสวน เมื่อเห็นอวิ๋นฮูหยินพวกนางก็รีบลุกขึ้นคำนับ ติงเหยียนเซียงคำนับกลับเป็นมารยาท จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องของจวีมู่เอ๋อร์ตามลำพัง

ผู้หญิงสองคนได้พบกัน เผชิญหน้ากันแต่กลับนิ่งเงียบไร้คำพูด

สุดท้ายเป็นติงเหยียนเซียงที่เอ่ยปากก่อน “ข้ามาในครั้งนี้เพราะอยากขอโทษแม่นาง”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงว่าได้ยิน แต่ไม่ได้ตอบกลับ ติงเหยียนเซียงยิ้มเศร้า ลังเลอยู่นานจึงพูดต่อ “เป็นข้าไม่ดีเอง เพราะร้อนใจอยากเอาใจท่านพี่จึงได้พูดคำเหล่านั้นออกมา ตอนนั้นข้านึกว่าแม่นางตอบตกลงแล้ว คิดว่าหากแม่นางแต่งเข้าบ้านมา ข้าจะทำดีต่อแม่นางแน่นอน จะไม่ให้แม่นางต้องลำบากใจแม้แต่น้อย หากรอให้เวลาผ่านไปแม่นางคงสามารถเข้าใจจิตใจของข้าได้ วันนั้นข้าบอกข่าวกับท่านพี่ เขาดีใจมาก แต่ยังคงไม่เชื่ออยู่บ้าง เขาบอกว่าจะมาถามแม่นางด้วยตัวเอง ตอนนั้นปรากฏว่าแม่นางได้รับบาดเจ็บและพักรักษาตัวอยู่พอดี เขาจึงถูกผู้เฒ่าจวีขวางไว้ที่หน้าประตู เขากลับมาถามข้าครั้งแล้วครั้งเล่าว่าแม่นางตอบตกลงแล้วจริงหรือ ข้าก็ตอบว่าจริง ในตอนนั้นข้าจึงคิดได้ว่าเรื่องมอบของหมั้นต้องทำโดยไวจึงจะดี”

จวีมู่เอ๋อร์ฟังด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ติงเหยียนเซียงมองอีกฝ่ายแล้วกัดริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น ส่งผ่านความเสียใจออกมา “วันต่อมาท่านพี่ได้รับงานหลวงต้องออกไปนอกพื้นที่ ข้าจึงหาแม่สื่อมาพูดคุยเรื่องการมอบของหมั้น แต่ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินว่าแม่นางกับท่านหลงเอ้อร์จะหมั้นหมายกัน ข้ารู้สึกร้อนใจจึงไปเร่งให้แม่สื่อรีบมาเจรจา บอกว่าต้องจัดการเรื่องให้สำเร็จ แต่คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะใช้วิธีการสวมรอยวางของหมั้นเช่นนั้น แม้เรื่องก่อนหน้าข้าจะมีความผิดจริง แต่ยังคงอยากมาบอกกับแม่นางว่าข้าไม่ได้สั่งให้พวกนางทำเช่นนั้น หวังว่าแม่นางจะใจกว้างไม่ถือโทษโกรธข้า”

จวีมู่เอ๋อร์คิดอยู่นาน ในที่สุดก็ตอบกลับมาประโยคหนึ่ง “ในเมื่อเรื่องผ่านไปแล้ว ฮูหยินก็อย่าเก็บมาใส่ใจอีกเลย”

ติงเหยียนเซียงได้ฟังก็ยิ้มกว้าง น้ำตาสองหยดไหลออกมาจากหางตา นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ด สูดจมูกแล้วพูดว่า “ได้ยินแม่นางพูดเช่นนี้ข้าก็ดีใจนัก ข้าไม่ควร…ไม่ควรทำเรื่องเช่นนั้นเลย ช่างโง่เหลือเกิน แม้ข้าเคยพูดคำเหล่านั้นแต่ก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายคนในบ้านของแม่นางจริงๆ ข้าเพียงแต่…เพียงแต่อยากให้แม่นางตอบตกลง หวังว่าแม่นางจะให้อภัยด้วย”

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว”

“พรุ่งนี้ท่านพี่คงกลับมา ข้า…ข้ายังไม่รู้ว่าจะพูดกับเขาเช่นไร ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นตอนที่เขาขอแม่นางแต่งงานไม่สำเร็จ ในตอนนั้นเขามีสีหน้าเสียใจถึงเพียงใด ข้าก็ยังจำได้และรู้สึกไม่สบายใจนัก เดิมทีข้าอยากทำให้เขามีความสุข แต่ตอนนี้เกรงว่าคงทำให้เขาขุ่นเคืองใจแทน ข้า…” นางสูดจมูก น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง “สองวันนี้ใจข้าไม่เป็นสุขเลย ข้าละอายจนไม่มีหน้าจะมาพูดอะไรกับแม่นาง แต่คำขอโทษนี้อย่างไรก็ต้องพูดออกมาให้ได้ ตอนนี้ข้าได้พูดจนหมดสิ้นแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้น”

“ฮูหยินคิดมากเกินไปแล้ว” จวีมู่เอ๋อร์ก้มหัวลงเป็นการคำนับ “ข้าเป็นเพียงหญิงตาบอดธรรมดา ไม่มีความสามารถอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องถือโทษโกรธฮูหยิน เรื่องผ่านไปแล้วก็แล้วกันไปเถอะ ใต้เท้าอวิ๋นกับฮูหยินรักใคร่ลึกซึ้ง จะต้องอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า มีใจสมัครสมานกันอย่างแน่นอน ฮูหยินอย่าคิดมากอีกเลย”

“ได้ๆ” ติงเหยียนเซียงกุมมือของจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้ มือของนางเย็นมาก แตกต่างกับมือใหญ่ที่อบอุ่นของท่านหลงเอ้อร์ จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ หวังให้เรื่องราวเหล่านี้ผ่านไปโดยเร็ว

วันต่อมาอวิ๋นชิงเสียนก็มาหา เขายังไม่ได้เปลี่ยนชุดขุนนาง ใบหน้าอิดโรย ทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นผง

ผู้เฒ่าจวีไม่อยากให้อวิ๋นชิงเสียนพบหน้าบุตรสาว แต่ครั้งก่อนกับอวิ๋นฮูหยินผู้นั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็ต้องการพบหน้าพูดคุย เขาไม่รู้ว่าควรทำเช่นใด ดังนั้นจึงไปถามความประสงค์ของบุตรสาว

ปรากฏว่าจวีมู่เอ๋อร์บอกให้ผู้เฒ่าจวีอยู่ข้างกาย แล้วออกไปพบอวิ๋นชิงเสียนที่โถงด้านหน้าของร้านเหล้า

เสียงของอวิ๋นชิงเสียนแหบแห้งไปบ้าง ประโยคแรกที่เขาพูดก็คือ “ข้าเพิ่งกลับมาและได้ฟังเรื่องทุกอย่างแล้ว”

จวีมู่เอ๋อร์คำนับเป็นมารยาท “ใต้เท้าออกไปทำงานลำบากแล้ว” ผู้เฒ่าจวีที่ยืนมองอยู่ด้านข้างก็คำนับตามบุตรสาว

อวิ๋นชิงเสียนไม่มีใจจะพูดคำตามมารยาท เขามองจวีมู่เอ๋อร์ “ข้ายังคิดว่า…”

ผู้เฒ่าจวีลอบมองเขา เห็นท่าทางทั้งเศร้าทั้งเจ็บปวดก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมาบ้าง แต่ว่าใต้เท้าท่านแต่งฮูหยินแล้วนี่นา ในชามมีของเต็มแล้วยังจะจ้องของในหม้อ* อีกทำไม

“เจ้าอยากจะแต่งงานกับเขาจริงหรือ” อวิ๋นชิงเสียนถาม

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ข้าอยากแต่งงานกับเขา”

อวิ๋นชิงเสียนเม้มริมฝีปากปากแน่น สีหน้าดูน่ากลัวอยู่บ้าง ผู้เฒ่าจวีจึงรีบขยับเข้าใกล้ร่างบุตรสาว แสดงท่าทางปกป้องออกมา

อวิ๋นชิงเสียนไม่ได้พูดอะไรอีก หมุนตัวเดินจากไปในทันที

ในวันนั้นผู้เฒ่าจวีตามถามบุตรสาวจนรู้ว่าอวิ๋นฮูหยินพูดอะไรกับนาง จากนั้นก็ไปที่คฤหาสน์สกุลหลง เล่าเรื่องสองสามีภรรยาสกุลอวิ๋นแยกกันมาหาที่บ้านให้หลงเอ้อร์ฟัง ทั้งยังเลียนเสียงเลียนแบบลักษณะท่าทางของสองสามีภรรยานั้นอีกด้วย

หลงเอ้อร์ได้ฟังก็พูดปลอบใจผู้เฒ่าจวีไปหลายคำ บอกว่าช่วงสองสามวันนี้เขาไม่ว่างไปเยี่ยมจวีมู่เอ๋อร์ ขอให้ผู้เฒ่าจวีดูแลนางให้ดี อย่าให้นางไม่สบายใจ เมื่อผู้เฒ่าจวีเห็นบุตรเขยเป็นห่วงบุตรสาวของตนเช่นนี้ก็ดีใจมาก กลับบ้านไปด้วยความเบิกบานใจ

หลงเอ้อร์คิดทบทวนเรื่องนี้ เขาไม่กลัวสกุลอวิ๋นจะมาหาเรื่องอะไรอีก อย่างไรเสียเขากับจวีมู่เอ๋อร์ก็หมั้นหมายกันแล้ว เวลาแต่งงานก็กำหนดเสร็จแล้ว สองฝ่ายยินยอมพร้อมใจ ทุกอย่างเตรียมการไว้พร้อมสรรพ ไม่ว่าสกุลอวิ๋นจะขัดใจเพียงใดก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และทางฝ่ายติงเซิ่งก็แสดงท่าทีชัดเจน เขาเชื่อว่าการที่ติงเหยียนเซียงไปแสดงความอ่อนน้อมขอโทษถึงบ้านจวีมู่เอ๋อร์ก็คงเพราะถูกตำหนิมาแล้ว

หลงเอ้อร์เพียงแต่กังวลใจว่าว่าที่ภรรยาผู้มีใจละเอียดอ่อนราวเส้นไหมของเขาคนนั้น จะถูกเรื่องนี้ทำให้รำคาญใจหรือไม่

วันต่อมาหลงเอ้อร์กำลังคิดว่าจะส่งของอะไรไปที่บ้านสกุลจวีอีก บังเอิญเห็นบ่าวนำส้มหวานที่เพิ่งเก็บจากต้นมาให้พอดี แม้ผลจะเล็ก แต่หวานราวกับน้ำผึ้ง หลงเอ้อร์จึงให้บ่าวเลือกมาหนึ่งตะกร้าเล็กเพื่อส่งไปให้บ้านสกุลจวีชิมดู บ่าวตอบรับแล้วรีบไปทำตามคำสั่ง

หลงเอ้อร์เปลี่ยนเสื้อผ้า และให้คนเตรียมรถม้าเพื่อจะออกไปตรวจร้านค้า ในตอนกลางวันเขายังต้องไปร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันที่หอสุราอีก

เขาเดินไปทางประตูด้านข้างของคฤหาสน์ ระหว่างทางกลับเห็นสาวใช้สองคนเดินถือส้มสีเหลืองทองมาหนึ่งตะกร้าใหญ่ ผลโตอวบอิ่ม เปลือกเงางดงาม ดูเหมือนเป็นของที่เพิ่งได้รับมาและกำลังจะขนไปที่คลัง

หลงเอ้อร์รั้งพวกนางเอาไว้ ถามว่าในตะกร้าเป็นส้มหวานเช่นกันใช่หรือไม่ เขาคิดว่าส้มเมื่อครู่ที่บ่าวเอามาให้กินแม้จะอร่อย แต่ผลเล็กเกินไปดูไม่สวยเท่าใดนัก หากส้มนี้ดีก็จะส่งส้มตะกร้านี้ไปแทน

เหล่าสาวใช้รีบบอกว่าส้มนี้เปรี้ยวมาก กินไม่ได้ ทางห้องครัวจะเอาไปทำผลไม้เคลือบน้ำผึ้ง

เปรี้ยวมาก? ดูหน้าตาก็น่าจะรสชาติพอใช้ได้ หลงเอ้อร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจึงปอกมาชิมหนึ่งผล กินเข้าไปเพียงคำเดียวก็เปรี้ยวจนทำหน้าย่น เหล่าสาวใช้เห็นแล้วอยากหัวเราะแต่ไม่กล้า หลงเอ้อร์พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาในใจทันที เขายื่นมือไปหยิบส้มมาหนึ่งผลแล้วเดินจากไป

หลงเอ้อร์ไปขึ้นรถม้าที่ประตูข้าง บอกคนรถให้ไปที่ร้านเหล้าสกุลจวีก่อน จากนั้นค่อยเร่งรุดไปตรวจร้านค้า คนรถรับคำแล้วรีบลงแส้เพื่อส่งหลงเอ้อร์ไปให้ถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว

การมาของหลงเอ้อร์ทำให้ผู้เฒ่าจวีประหลาดใจมาก ตัวหลงเอ้อร์เองก็ไม่มีเวลาทักทายมากนัก จึงรีบตรงไปพบจวีมู่เอ๋อร์ที่เรือนด้านหลังทันที

จวีมู่เอ๋อร์กำลังนั่งคุยกับเพื่อนบ้านหญิงหลายคนอยู่ในสวน เพื่อนบ้านเหล่านั้นมาช่วยปักของมงคลให้กับนาง เมื่อทุกคนเห็นหลงเอ้อร์มาต่างก็รู้สึกประหลาดใจ

หลงเอ้อร์ไม่สนใจพวกนาง เขาดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์เข้ามาแล้วแกะส้มกลีบหนึ่งป้อนใส่ปากนาง

จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงอ้าปากรับ พอเคี้ยวไปหนึ่งคำก็รู้สึกเปรี้ยวจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา หน้านางย่นคล้ายซาลาเปา ท่าทางเปรี้ยวเข็ดฟันจนน่าเกลียดนั้นทำให้หลงเอ้อร์หัวเราะเสียงดังด้วยความเบิกบานใจ

เขาแตะใบหน้าเล็กของนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไปทำงานแล้ว เจ้าดูแลตัวเองนะ” จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปทันที

เพื่อนบ้านหญิงเหล่านั้นนั่งมองอย่างงงงัน ผู้เฒ่าจวีก็งงไม่ต่างกัน ท่านหลงเอ้อร์เดินทางมาไกลเพื่อแกะส้มป้อนบุตรสาวกลีบหนึ่งแล้วจากไป นี่หมายความว่าอย่างไรกัน เขาหันไปเอ่ยถามจวีมู่เอ๋อร์ “นี่มันเรื่องอะไรหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์กลืนส้มเปรี้ยวลงท้องอย่างไม่ง่ายนักแล้วตอบกลับ “ไม่มีอะไร แค่คฤหาสน์ท่านหลงเอ้อร์ใกล้บ้านพวกเรามากเกินไปเท่านั้น”

ใกล้เกินไป หมายความว่าอย่างไร ผู้เฒ่าจวีเกาหัว

 

ปีใหม่ใกล้จะมาถึง กำหนดการแต่งงานก็ยิ่งใกล้เข้ามาเช่นกัน

วันนี้จวีมู่เอ๋อร์ให้ซูฉิงเป็นเพื่อนนางไปที่ตรอกสือฮวา ภายในตรอกมีเรือนหลังหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ที่นางใช้เพื่อแอบสอนหญิงคณิกาดีดพิณ

ก่อนหน้านี้นอกจากซูฉิงก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่ตอนนี้ท่านหลงเอ้อร์ส่งองครักษ์สองคนให้คอยติดตามอยู่ที่ร้านเหล้า ดังนั้นหากจวีมู่เอ๋อร์จะออกจากบ้านย่อมไม่อาจหลบพวกเขาพ้น

เมื่อถึงกำหนดสอนพิณ จวีมู่เอ๋อร์จึงให้องครักษ์แซ่เฉินผู้หนึ่งตามไปด้วย แต่เมื่อถึงปากตรอกก็บอกว่ารบกวนให้เขารออยู่ด้านนอกเพราะว่าเหล่าหญิงสาวที่มาเรียนพิณไม่สะดวกจะพบกับคนนอก

องครักษ์ผู้นั้นจึงนั่งรอพวกนางอยู่ที่แผงขายน้ำชาตรงปากตรอก

ซูฉิงเดินนำจวีมู่เอ๋อร์เข้าไปในเรือน เรือนนี้มีประตูสองชั้น ชั้นในและนอกมีห้องอย่างละหนึ่งห้อง ภายในห้องชั้นในมีพิณหลายตัววางเรียงเอาไว้ ส่วนห้องชั้นนอกมีเพียงโต๊ะเก้าอี้จัดวางไว้อย่างเรียบง่าย

ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จวีมู่เอ๋อร์จะมาสอนพิณ อย่างไรเสียงานนี้ก็ต้องติดต่อกับหญิงคณิกา หากนางแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลหลงแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่เหมาะสมที่จะทำต่อไป

จวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงรอสักครู่ หญิงคณิกาห้าคนก็ทยอยเดินเข้ามา พวกนางทุกคนล้วนใช้ผ้าบางปิดหน้า ไม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง ซูฉิงที่รู้กฎในการสอนพิณดีจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก เพียงแค่นั่งเฝ้าอยู่ที่ห้องชั้นนอกเท่านั้น

พอเหล่าหญิงคณิกาเข้าไปถึงเรือนชั้นในก็เริ่มพูดคุยหัวเราะกันขึ้นมา ทุกคนต่างพูดเย้าแหย่เรื่องการแต่งงานของจวีมู่เอ๋อร์ ล้อมตัวนางสอบถามเกี่ยวกับท่านหลงเอ้อร์ จวีมู่เอ๋อร์พยายามทำตัวสงบนิ่ง แต่ยังคงถูกคำพูดที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งของพวกนางทำให้ใบหน้าแดงก่ำ

ผ่านไปสักครู่ จวีมู่เอ๋อร์จึงปั้นหน้าเคร่งขรึม บอกว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางมาสอนพิณแล้ว เหล่าหญิงคณิกาจึงรีบนิ่งเงียบ แล้วพูดถึงปัญหาที่พวกนางแต่ละคนพบตอนดีดพิณ จวีมู่เอ๋อร์ให้พวกนางดีดบทเพลงหนึ่งทีละคน จากนั้นจึงให้คำชี้แนะอย่างละเอียด สอนอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดการสอนในครั้งนี้ก็เป็นอันจบลง

เมื่อเหล่าหญิงคณิกาเห็นว่าเรียนจบแล้วก็เริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “แม่นางจวี ในเมื่อเป็นการพบหน้าครั้งสุดท้ายแล้ว แม่นางช่วยดีดเพลงทีเด็ดสักเพลงให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตากันสักนิดเถอะ” พอคำพูดนี้ออกมา เหล่าหญิงคณิกาต่างพากันกล่าวเห็นด้วย

พูดถึงศิลปะการดีดพิณ จวีมู่เอ๋อร์นั้นมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ยังเด็ก ภายในเมืองต่างเล่าลือกันมานานว่า ‘ร้านเหล้าทางทิศใต้ของเมือง มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อจวีมู่เอ๋อร์ เป็นเซียนพิณฝีมือดี เสียงพิณของนางราวกับดังมาจากสวรรค์’

นี่คือเหตุผลว่าทำไมในงานฟังพิณก่อนการประหารซือป๋ออินซึ่งมีการเชิญนักพิณชื่อดังไปร่วมงานกันอย่างคับคั่ง จวีมู่เอ๋อร์จึงมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปร่วมฟังด้วย ในตอนนั้นนางเป็นนักพิณหญิงเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าไปร่วมงานได้ และขณะเดียวกันก็เป็นนักพิณที่มีอายุน้อยที่สุดเช่นกัน

เพียงแต่ภายหลังเกิดเรื่องตาบอด ยกเลิกการแต่งงาน รวมทั้งเกี่ยวพันกับชายที่มีภรรยาแล้วตามมาเป็นพรวน ชาวเมืองจึงเล่าลือถึงฝีมือบรรเลงพิณของนางน้อยลงเปลี่ยนเป็นนินทาเรื่องอื่นของนางมากขึ้น น้อยคนนักจะพูดถึงนางในทำนองว่า ‘เป็นเซียนพิณฝีมือดี เสียงพิณราวกับดังมาจากสวรรค์’ เช่นในอดีต

แท้จริงแล้วจวีมู่เอ๋อร์ชอบเก็บตัวเงียบ ตอนที่นางสอนเหล่าหญิงคณิกาดีดพิณก็เพียงแต่สอนวิธีพื้นฐานตามความสามารถของพวกนางแต่ละคน แต่ไม่เคยดีดพิณโอ้อวดฝีมือของตน ทำให้เหล่าหญิงคณิกาเกิดความสงสัยในคำเล่าลือที่ถูกกล่าวถึงอย่างน่าอัศจรรย์นั้น ไม่รู้ว่าฝีมือดีดพิณของจวีมู่เอ๋อร์เป็นเช่นใดกันแน่ ในเมื่อวันนี้มีคนเสนอขึ้นมาเช่นนี้ พวกนางจึงพร้อมใจกันขอให้จวีมู่เอ๋อร์ดีดพิณให้ฟัง

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ “เพลงทีเด็ดเป็นอย่างไร”

หญิงคณิกาผู้หนึ่งพูดอย่างมีเลศนัย “ข้าเคยได้ยินแขกหลายคนถกกันว่าเทพพิณซือป๋ออินนั้นจึงจะนับว่าเป็นปรมาจารย์เพลงพิณตัวจริง หากพูดถึงฝีมือดีดพิณแล้ว เกรงว่าตอนนี้บนโลกนี้คงไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมได้ ทั้งยังได้ยินมาอีกว่ามีเหล่าขุนนางและเศรษฐีมากมายยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อจะได้ฟังเขาบรรเลงพิณเพียงหนึ่งเพลง แต่ซือป๋ออินผู้นี้มีนิสัยประหลาดนัก เขามีกฎข้อหนึ่งว่าจะดีดพิณให้แก่เพื่อนผู้รู้ใจฟังเท่านั้น”

“เพื่อนผู้รู้ใจ?” มีคนเอ่ยด้วยความสงสัย “อย่างไรจึงจะนับเป็นเพื่อนผู้รู้ใจของเขา”

“คงเป็นคนที่รู้เรื่องพิณ เข้าใจเรื่องพิณกระมัง” อีกคนหนึ่งคาดเดา

หญิงคณิกาผู้เล่าเรื่องเป็นคนตอบ “คงเป็นเช่นนั้น ข้าได้ยินแขกพูดว่าท่านสื่อเจ๋อชุนเสนาบดีกรมปกครองก็คือคนที่มีลักษณะเช่นนั้น”

จวีมู่เอ๋อร์เกิดความคิดขึ้นในใจ ฟังพวกนางคุยกันอย่างเงียบๆ

หญิงคณิกาอีกผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “เสนาบดีกรมปกครองคือคนที่ถูกซือป๋ออินทำร้ายจนตายไม่ใช่หรือ”

หญิงคณิกาผู้นั้นพยักหน้า “เป็นเขานั่นแหละ ได้ยินมาว่าเสนาบดีกรมปกครองหลงใหลในพิณมาก ภายในจวนของเขามีตำราเพลงพิณกับพิณชื่อดังเก็บไว้จนเต็ม เมื่อได้ข่าวว่าที่ใดมีตำราเพลงใหม่ ตำราเพลงสุดยอด หรือพิณดี พิณชื่อดัง เขาก็จะไปขอดูทุกครั้ง หากพบสิ่งที่ถูกใจ แม้ว่าต้องเสียเงินมากมายเท่าไรก็ต้องซื้อกลับมาให้ได้ เขารักและหลงใหลในเสียงพิณ จนคิดหาทุกวิถีทางเพื่อขอพบซือป๋ออิน ทั้งสอบถามไปทั่ว ไหว้วานให้คนไปแจ้งความประสงค์ รวมทั้งไปแสดงฝีมือดีดพิณหลายเพลงหน้าที่พักของซือป๋ออิน เขาจริงใจถึงเพียงนี้ ซ้ำยังมีฝีมือในการดีดพิณ ในที่สุดซือป๋ออินจึงใจอ่อน เล่าลือกันว่าคนทั้งสองบรรเลงพิณร่วมกันอยู่สามวันสามคืน สุดท้ายก็กลายเป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมกัน”

“อ้าว เป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมกัน แล้วเหตุใดเทพพิณซือป๋ออินจึงต้องฆ่าเขาด้วย”

“ได้ยินว่าเสนาบดีสื่อได้ตำราเพลงพิณสุดยอดมาเล่มหนึ่ง เขารู้ไม่กระจ่างดีดได้ไม่ดีจึงเชิญซือป๋ออินไปที่จวนเพื่อขอคำชี้แนะ แต่เมื่อพบว่าตำราเพลงพิณนี้ยอดเยี่ยมมาก ซือป๋ออินก็เกิดความโลภขึ้นในใจ อยากให้เสนาบดีสื่อสละของรักให้ แต่เสนาบดีสื่อไม่ยอม ทั้งสองคนจึงขัดแย้งกัน เพียงเพื่อแย่งชิงตำราเพลงพิณซือป๋ออินถึงกับวางยาพิษลงในเครื่องดื่มและอาหารของจวนเสนาบดีสื่อเจ๋อชุน”

“ร้ายกาจนัก” หญิงคณิกาทั้งหลายร้องตกใจ พูดว่าไม่ยุติธรรมสำหรับเสนาบดีสื่อที่ต้องตายอย่างไร้ความผิด

หญิงคณิกาผู้นั้นยังพูดต่ออีกว่า “ตอนที่ซือป๋ออินอยู่ในงานฟังพิณก่อนการประหาร คนที่ได้ฟังเล่ากันว่าเขาได้บรรเลงเพลงต่อกันอย่างยาวนาน หนึ่งในนั้นมีสุดยอดเพลงพิณรวมอยู่ด้วย แม่นางจวี เจ้าลองบรรเลงสุดยอดเพลงพิณนั้นให้พวกเราได้ฟังเพื่อเปิดหูเปิดตาสักนิดเถอะ”

พอนางกล่าวซ้ำออกมาอีกครั้ง เหล่าหญิงคณิกาก็ส่งเสียงเห็นด้วย สุดยอดเพลงพิณที่ทำให้เกิดคดีใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นนั้นย่อมทำให้ทุกคนเกิดความสงสัยจนอยากลองฟัง

จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มบาง “ข้าไม่เคยเห็นสุดยอดตำราเพลงพิณอะไรนั่น จะรู้ได้อย่างไรว่าเพลงพิณที่ท่านซือป๋ออินบรรเลงก่อนถูกประหารเป็นทำนองในตำราเล่มนั้นหรือไม่ อีกอย่างหนึ่ง ท่านซือป๋ออินมีฝีมือพิณราวกับเป็นเทพพิณจากสวรรค์จริงๆ บทเพลงในพิธีประหารเหล่านั้นซับซ้อนล้ำเลิศ ข้าฟังจนเคลิบเคลิ้มจึงจำไม่ค่อยได้นัก ที่พวกเจ้าเสนอมายากเกินไป ข้าดีดไม่ได้หรอก”

เหล่าหญิงคณิกาต่างบ่นว่าเสียดาย จวีมู่เอ๋อร์จึงพูดอย่างช้าๆ พร้อมเริ่มเกาสายพิณบรรเลงเพลง “ข้าดีดเพลง ‘ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น’ ที่พวกเจ้าคุ้นเคยที่สุดดีกว่า พวกเจ้าลองฟังดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิม และหากคิดว่าข้าดีดได้ดี ลองคิดดูว่าดีอย่างไร”

นางพูดพลางเริ่มบรรเลงเพลง ‘ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น’ ซึ่งเป็นหนึ่งในบทเพลงที่หญิงสาวในหอคณิกาชอบเล่นกัน ด้วยทำนองเพลงที่อ่อนหวานงดงาม เรียบง่าย ซ้ำยังมีเหตุผลคือหนึ่ง ดีดง่าย สอง จินตนาการเห็นภาพงดงาม สาม ไม่ล้าสมัยและไม่ใช่เพลงที่เข้าใจยาก ดังนั้นเพลงนี้จึงได้รับความนิยมจากเหล่าหญิงคณิกา

เพลงพิณนี้หญิงคณิกาที่เรียนพิณย่อมดีดเป็นทุกคน ดังนั้นเมื่อพวกนางได้ยินจวีมู่เอ๋อร์บอกว่าจะบรรเลงเพลง ‘ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น’ จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร

จวีมู่เอ๋อร์เหมือนไม่ได้ยินเสียงโอดครวญของพวกนาง บรรเลงเพลงต่อไปอย่างไม่รีบเร่งและไม่ช้าจนเกินไป แรกเริ่มนั้นเป็นทำนองที่ทุกคนต่างรู้จักดี ฟังดูอ้อยอิ่งและอ่อนหวาน นี่เป็นทำนองที่หญิงในหอคณิกาชอบดีดที่สุด แต่เมื่อจวีมู่เอ๋อร์ดีดต่อไป กลับเปลี่ยนทำนองให้เร็วขึ้นอย่างฉับพลัน เปรียบกับการเริ่มต้นทำนาในฤดูใบไม้ผลิที่เหล่าเกษตรกรต่างทำงานกันอย่างคึกคัก ทำให้คนฟังรู้สึกขึงขังมีพลังเพิ่มขึ้นมาก เมื่อดีดไปถึงรอบที่สามกลับเปลี่ยนเป็นทำนองช้าเจ็บปวดลึกซึ้ง ทำให้รู้สึกว่าเหมือนรอจนอากาศอบอุ่นดอกไม้ผลิบานแล้ว แต่กลับยังไม่เห็นเงาของคนรักกลับมา…

จวีมู่เอ๋อร์ดีดทั้งหมดหกรอบ แต่ละรอบมีการเปลี่ยนแปลงทำนองอยู่บ้าง ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปแก่คนฟัง เมื่อดีดรอบที่หกเสร็จนางก็หยุด

เหล่าหญิงคณิกาต่างตกตะลึง แม้ผู้มีฝีมือเพลงพิณระดับทั่วไปจะฟังอะไรไม่ได้ลึกซึ้งนัก แต่พวกนางก็ยังฟังออกว่าทำนองเพลงเรียบง่ายนี้ถูกเปลี่ยนไปถึงหกแบบ เพลงนี้เป็นเพลงที่พวกนางฟังบ่อยที่สุด แต่วันนี้กลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างคาดไม่ถึง

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยปาก “เรียนพิณใช่ว่าจะเรียนเล่นๆ แล้วเก่งได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนให้มาก หากต้องการความงดงามที่ผกผันเปลี่ยนแปลงหลากหลายก็สามารถดีดได้ตามใจชอบ นำความรู้สึกใส่ลงไป ย่อมทำให้เกิดเป็นเสียงพิณที่น่าฟังได้ สิ่งที่ข้าสอนพวกเจ้าได้ก็มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้น”

เหล่าหญิงคณิการีบเอ่ยขอบคุณ จวีมู่เอ๋อร์ยิ้มบางแล้วพูดว่า “เวลาผ่านไปนานแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ ข้าจะไม่มาที่นี่อีกต่อไป ขออำลาแม่นางทุกคนไว้ ณ ที่นี้ด้วย”

เหล่าหญิงคณิกายืนขึ้นกล่าวลา ก่อนอำพรางใบหน้าด้วยผ้าบางแล้วทยอยกันออกไป

ซูฉิงที่รออยู่ห้องชั้นนอกเห็นทุกคนออกไปหมดแล้ว แต่รออยู่นานจวีมู่เอ๋อร์ก็ยังไม่ออกมา นางจึงวิ่งเข้าไปเรียกที่ประตูห้องชั้นใน กลับเห็นจวีมู่เอ๋อร์นั่งนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

ในตอนนี้เองหญิงสาวคลุมผ้าบางพรางใบหน้าผู้หนึ่งก็เดินกลับมา นางเดินผ่านข้างกายซูฉิงเข้าไปในห้อง แล้วเอ่ยเรียก “แม่นางมู่เอ๋อร์”

จวีมู่เอ๋อร์ตกใจ เรียกชื่อนางกลับไปทันที “แม่นางเยวี่ยเหยา”

ซูฉิงยืนเอียงหัวมองพวกนางอยู่ตรงปากประตู

หลินเยวี่ยเหยาเดินเข้าใกล้จวีมู่เอ๋อร์ “ข้ามีปัญหาเรื่องพิณบางอย่างอยากจะขอคำชี้แนะจากแม่นางอีก”

จวีมู่เอ๋อร์เข้าใจ นางหันไปทางประตูแล้วพูดว่า “ฉิงเอ๋อร์ เจ้ารอข้าอีกสักนิดนะ”

ซูฉิงรับคำ แม้รู้สึกสงสัยแต่ยังคงปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็กลับไปนั่งรอที่ห้องชั้นนอก

หลินเยวี่ยเหยาเห็นในห้องเหลือเพียงตัวเองกับจวีมู่เอ๋อร์จึงวางใจแล้วหยิบพิณขึ้นมาตัวหนึ่ง ทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าจวีมู่เอ๋อร์ “แม่นางกำลังจะแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลหลง เช่นนั้นเรื่องสาเหตุการตายของอีไป๋ แม่นางยังคงจะช่วยข้าสืบต่อไปหรือไม่”

“แน่นอน” จวีมู่เอ๋อร์ตอบอย่างไม่ลังเล

หลินเยวี่ยเหยาได้ยินคำนี้ก็โล่งอก “แม่นางให้ความสำคัญกับมิตรภาพยิ่งนัก ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ ตอนที่ได้ยินข่าวมงคลของแม่นาง ข้ายังคิดว่าหลังจากนี้คงต้องอาศัยแรงตัวเองเพียงคนเดียวเพื่อล้างมลทินให้อีไป๋เสียแล้ว”

‘อีไป๋’ ที่หลินเยวี่ยเหยาพูดถึงคือหฺวาอีไป๋ เขาเป็นนักพิณที่มีชื่อเสียงในแคว้น และเป็นนักพิณอายุน้อยที่มีฝีมือดีผู้หนึ่ง มีนิสัยรักอิสระ เอาแต่ใจไม่ยอมแพ้ ชอบดื่มเหล้าประชันพิณ เป็นแขกประจำของหอคณิกาต่างๆ

ในวันงานฟังพิณก่อนการประหารซือป๋ออิน หฺวาอีไป๋กับเหล่านักพิณที่อยู่ในงานหลายคนฟังออกถึงความยอดเยี่ยมในเสียงพิณของซือป๋ออิน ดังนั้นหลังจบงานจึงมารวมตัวกันเพื่อถกเรื่องนี้

ทำนองเพลงที่ซือป๋ออินเล่นก่อนตายช้ามาก เป็นการผสมผสานหลายบทเพลงเข้าด้วยกัน ทุกคนเดาว่าความหมายของบทเพลงเหล่านั้นคือถูกใส่ร้าย และหลังจากนั้นจึงตามติดด้วยสุดยอดทำนองเพลงที่ทุกคนไม่เคยได้ยินมาก่อน ซึ่งทุกคนล้วนคิดว่าในทำนองเพลงนี้จะต้องมีความจริงของคดีเสนาบดีสื่อซ่อนเอาไว้อย่างแน่นอน

ในตอนนั้นซือป๋ออินเป็นเสมือนเซียนในวงการนักพิณที่ทุกคนต่างเคารพนับถือและหวังอยากรู้จัก ถ้าได้รับการชี้แนะจากเขา คงไม่เสียใจไปชั่วชีวิต หากบุคคลเช่นนี้ถูกใส่ร้ายจนต้องโทษประหาร เหล่านักพิณก็คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง

แต่คดีนี้กรมอาญาเป็นผู้พิจารณาและองค์จักรพรรดิก็ทรงดูแลด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่หน้าที่ของนักพิณธรรมดาเช่นพวกเขาที่อาศัยเพียงเดาเรื่องราวจากการฟังเพลงพิณแล้วนำมาอ้างเป็นหลักฐานในคดี ดังนั้นหฺวาอีไป๋จึงเสนอให้จดทำนองเพลงฉบับสมบูรณ์ที่ท่านซือป๋ออินบรรเลงที่ลานประหารเพื่อให้ทุกคนนำไปศึกษากันครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามค้นหาเบาะแสให้พบ

เพราะจวีมู่เอ๋อร์เป็นหญิง ดังนั้นจึงไม่เคยเข้าร่วมงานชุมนุมของนักพิณชายเหล่านั้น และในตอนนั้นนางก็กำลังเตรียมจะแต่งงานกับเฉินเหลียงเจ๋อ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด นางจึงไม่ได้ออกไปรวมกลุ่มพูดคุยกับนักพิณคนใด

แต่ความหมายของบทเพลงที่บอกว่าถูกใส่ร้าย จวีมู่เอ๋อร์เองก็ฟังเข้าใจ แม้นางจะเป็นหญิง แต่ก็มีความกล้าราวกับจอมยุทธ์ หากเทพพิณถูกใส่ร้ายจนต้องตายไป นางก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเช่นกัน ในวันนั้นขณะที่กำลังใคร่ครวญอยู่ว่าควรทำเช่นไรดี หฺวาอีไป๋กลับลอบมาพบนาง

การสืบความเพื่อล้างมลทินให้เทพพิณซือป๋ออินนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงความเลวร้ายมากมายหลายอย่าง ดังนั้นหฺวาอีไป๋จึงเชิญเพียงนักพิณที่รู้จักกันมานานแค่ไม่กี่คนมาร่วมสนทนาศึกษาบทเพลงนั้น ไม่แพร่งพรายให้ผู้อื่นรู้ หฺวาอีไป๋รู้จักกับจวีมู่เอ๋อร์ดี ปกติคนทั้งสองจะร่วมกันให้คำชี้แนะปรึกษาเรื่องศิลปะเพลงพิณซึ่งกันและกัน ดังนั้นนิสัยและความสามารถของจวีมู่เอ๋อร์นั้นหฺวาอีไป๋รู้เป็นอย่างดี เขาจึงตั้งใจมาพบนาง หวังให้นางช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้ คนทั้งสองพูดคุยปรึกษากัน แล้วก็พบว่าพวกเขาต่างมีความเห็นว่าทำนองเพลงทั้งเพลงบ่งบอกถึงการถูกใส่ร้ายเช่นเดียวกัน

ดังนั้นจึงตกลงกันไว้เช่นนี้ แต่การให้หญิงสาวไปร่วมเจรจาเรื่องงานคงไม่น่าดูนัก หนำซ้ำยังเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย กอปรกับเหล่านักพิณชายมักดูถูกนักพิณหญิง คิดว่าพิณที่ผู้หญิงดีดเป็นเพียงการขายศิลปะเท่านั้น ส่วนผู้ชายศึกษาเรื่องพิณจึงจะนับเป็นความรู้ความสามารถอย่างหนึ่ง หฺวาอีไป๋มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่เขาก็เข้าใจถึงความคิดแย่ๆ ของนักพิณชายเหล่านั้น เพื่อไม่ให้จวีมู่เอ๋อร์ต้องลำบากใจ เขาจึงยืนยันกับนางว่าจะไม่บอกผู้ใดอย่างเด็ดขาดว่านางมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย

ในตอนนั้นจวีมู่เอ๋อร์ยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง นางพยายามนึกย้อนกลับไปและจดทำนองเพลงทั้งวันทั้งคืน จากนั้นก็แอบมอบส่วนที่นางจดเอาไว้ให้หฺวาอีไป๋ เมื่อหฺวาอีไป๋เปรียบเทียบกับส่วนที่ตัวเองจดได้ก็สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นตำราเพลงพิณครึ่งท่อนแรกได้ในที่สุด

คำร้องทุกข์ท่อนแรกแม้จะใช้ทำนองเพลงหลายเพลงมาประกอบกัน แต่ล้วนเป็นทำนองเพลงที่ทุกคนต่างคุ้นเคย ดังนั้นจึงจดจำได้ค่อนข้างแม่นยำ แต่สำหรับสุดยอดทำนองท่อนหลังนั้น เพราะทุกคนได้ฟังเป็นครั้งแรกและเพียงครั้งเดียว ผู้ที่สามารถจดได้จึงมีไม่มากนัก

หฺวาอีไป๋ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่จวีมู่เอ๋อร์ แต่ตอนนั้นจวีมู่เอ๋อร์ไม่อาจเขียนทำนองเพลงได้อีกแล้ว เพราะดวงตาของนางแย่ลงทุกที นางตกปากรับคำกับหฺวาอีไป๋ว่ารอให้ดวงตาของนางดีขึ้นสักนิด จากนั้นนางจะลองจดทำนองเพลงท่อนหลังอีกครั้ง

แต่คิดไม่ถึงว่าดวงตาของนางยังไม่ดีขึ้น หฺวาอีไป๋กลับดื่มเหล้าเมาจนตกแม่น้ำจมน้ำตาย เมื่อหฺวาอีไป๋ตาย จวีมู่เอ๋อร์ก็ไม่เคยได้ยินข่าวอีกเลยว่าจะมีนักพิณคนไหนคิดช่วยล้างมลทินให้ท่านซือป๋ออิน ไม่รู้ว่าสุดท้ายพวกเขาคิดทำเช่นไร เพียงแต่เรื่องนี้เหมือนกับหินที่จมลงไปก้นทะเลสาบ ไม่มีข่าวคราวใดๆ อีกเลย

และสุดท้ายดวงตาของนางก็รักษาไม่หาย กลายเป็นคนตาบอดไปในที่สุด

จวีมู่เอ๋อร์ได้รู้จักกับหลินเยวี่ยเหยาหลังจากที่นางตาบอด

หลินเยวี่ยเหยาเป็นคนรู้ใจของหฺวาอีไป๋ เขาเป็นผู้มีความสามารถแต่กลับชอบหมกตัวเล่นพิณดื่มเหล้าอยู่ในหอคณิกา หลังจากได้รู้จักกับหลินเยวี่ยเหยาจึงสงบลงไปมาก เขามักจะไปที่หอซีชุนเพื่อเรียกให้หลินเยวี่ยเหยามาอยู่เป็นเพื่อน บางครั้งถึงกับอยู่ที่นั่นติดต่อกันหลายวัน เรื่องเหล่านี้จวีมู่เอ๋อร์รู้มาจากคำบอกเล่าของหญิงคณิกาคนอื่นตอนที่สอนพวกนางดีดพิณ

ในตอนนั้นหฺวาอีไป๋ประสบเหตุตายจากไป ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ก็เพิ่งตาบอด เป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดรวดร้าว แต่หลินเยวี่ยเหยากลับลอบมาพบนาง บอกกับนางว่าการตายของหฺวาอีไป๋อาจไม่ใช่อุบัติเหตุ

การที่หลินเยวี่ยเหยาบอกเรื่องนี้แก่จวีมู่เอ๋อร์ เพราะหฺวาอีไป๋ไม่ได้เก็บความลับเรื่องที่จวีมู่เอ๋อร์เป็นผู้เขียนทำนองเพลงเอาไว้จากหลินเยวี่ยเหยา เขาบอกนางตามตรง ดังนั้นหลินเยวี่ยเหยาจึงคิดว่าจวีมู่เอ๋อร์เป็นผู้ที่สามารถเชื่อใจได้ นางบอกแก่จวีมู่เอ๋อร์ว่านางตัดสินใจจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของหฺวาอีไป๋ และถามจวีมู่เอ๋อร์ว่าสามารถช่วยนางได้หรือไม่

จวีมู่เอ๋อร์ตอบตกลง

เรื่องนี้จึงกลายเป็นความลับที่บอกใครไม่ได้ของจวีมู่เอ๋อร์

การสอนหญิงคณิกาดีดพิณเป็นวิธีรวบรวมข่าวสารวิธีหนึ่งของจวีมู่เอ๋อร์ และใช้บังหน้าสำหรับการส่งข่าวระหว่างนางกับหลินเยวี่ยเหยาอีกด้วย

“พี่อีไป๋เป็นทั้งพี่ชาย อาจารย์ และเพื่อนของข้า ในเมื่อเขาถูกคนทำร้าย ข้าย่อมไม่อาจมองข้ามไปได้ สองปีก่อนข้าพูดไว้เช่นนั้น ในตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม” จวีมู่เอ๋อร์กดเสียงเบา “เพียงแต่เมื่อข้าแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลหลง ย่อมไม่สะดวกจะติดต่อกับเหล่าหญิงคณิกาอีก ดังนั้นการสอนพิณเช่นนี้จึงทำต่อไปไม่ได้ คงต้องรบกวนแม่นางเยวี่ยเหยาสืบข่าวหาความจากทางหอคณิกาให้มากขึ้นสักนิด”

หลินเยวี่ยเหยาพยักหน้า “เมื่อครู่คนที่ถามเรื่องทำนองเพลงของท่านซือป๋ออินคือซีเหยียนจากหอหรั่นชุ่ย ไม่รู้ว่านางจงใจทดสอบแม่นางหรืออย่างไร เรื่องนี้ข้าจะลองสืบดูว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงอื่นใดหรือไม่ แม่นางต้องระวังตัวให้มากด้วย”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าแล้วเอ่ยขอบคุณ

หลินเยวี่ยเหยาพูดต่อว่า “ข้าสืบรู้มาเรื่องหนึ่ง ได้ความว่าสุดยอดตำราเพลงพิณที่เสนาบดีสื่อให้ท่านซือป๋ออินช่วยแนะนำนั้น แท้จริงแล้วเป็นเคล็ดวิชา และเพราะเหตุนี้จึงเกิดคดีน่าสลดตามมา”

จวีมู่เอ๋อร์ตะลึงไป “แต่ท่านซือป๋ออินไม่รู้วรยุทธ์”

“รายละเอียดข้าไม่รู้แจ้ง เพียงแต่มีคำเล่าลือหนาหูเท่านั้น ตอนนี้ได้ยินว่ามีหลายคนกำลังตามหาตำราเพลงพิณเล่มนั้นอยู่ เป็นเช่นนั้นจริงก็ดี หากมีคนสนใจตำราเพลงพิณมากสักนิด อาจจะสามารถพบเบาะแสการตายของท่านซือป๋ออินกับอีไป๋ได้” จวีมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วไม่พูดจา หลินเยวี่ยเหยาพูดอีกว่า “เมื่อครู่ตอนที่ซีเหยียนขอให้แม่นางดีดเพลงนี้ ข้ายังรู้สึกกลัว”

“เรื่องนั้นไม่ต้องกลัว ข้าดีดเพลงนั้นไม่เป็น”

“แม่นางใช้เพลง ‘ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น’ เบนความสนใจของพวกนาง ฉลาดยิ่งนัก เรื่องนี้ข้าจะสืบดูอีกครั้ง หากมีข่าวใดจะรีบมาแจ้งแม่นางอีกครั้ง”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ข้าก็จะตั้งใจสังเกตให้มากขึ้น”

คนทั้งสองปรึกษากันต่อครู่ใหญ่ หลินเยวี่ยเหยาจึงเอ่ยลาจากไป รอจนหลินเยวี่ยเหยาไปแล้ว ซูฉิงจึงวิ่งเข้ามา นางย่นปากไม่พอใจ “คนผู้นี้เหตุใดจึงน่ารำคาญนัก ถามนานถึงเพียงนี้นับว่าเป็นการสอนล่วงเวลาแล้ว นางได้ให้เงินเพิ่มหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ “เจ้าเห็นแก่เงินเกินไปแล้วนะ”

“ไม่ได้ไปแย่งไปขโมยมาเสียหน่อย ที่ควรเก็บก็ต้องเก็บสิ” ซูฉิงพูดอย่างมีหลักการ นางประคองจวีมู่เอ๋อร์เดินออกไปอย่างช้าๆ

เมื่อออกมาจากตรอก จวีมู่เอ๋อร์จึงถอนใจออกมาในทันใด “ฉิงเอ๋อร์ เจ้าอยู่นอกบ้านบ่อยๆ ต้องระวังให้มาก สังเกตทุกอย่างให้มากนะ”

ซูฉิงกำลังจะรับคำ แต่กลับพูดขึ้นมาว่า “นั่นรถม้าของท่านหลงเอ้อร์นี่” พูดจบก็เห็นหลงเอ้อร์ก้าวลงมาจากรถม้า

ซูฉิงหัวเราะคิกคัก พาจวีมู่เอ๋อร์เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

หลงเอ้อร์เอ่ยถาม “สอนเสร็จนานแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ในนั้นนานถึงเพียงนี้ ข้ากำลังจะเข้าไปตามพอดี”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “เหตุใดท่านหลงเอ้อร์จึงอยู่ที่นี่”

“ข้าผ่านมาเห็นองครักษ์เฉินอยู่ข้างทางจึงหยุดถาม เขาบอกว่าเจ้าสอนพิณอยู่ด้านใน แต่เพิ่งถึงเวลาเลิกพอดี เจ้าคงออกมาในไม่ช้า ข้าคิดว่ายังพอมีเวลาจึงอยู่รอ จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องรอนานถึงเพียงนี้”

นานที่ไหนกัน จวีมู่เอ๋อร์เม้มริมฝีปาก อยากจะตอบโต้แต่กลับไม่พูด หลงเอ้อร์จ้องหน้านาง จวีมู่เอ๋อร์เหมือนรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา ใบหน้านางร้อนผ่าวขึ้นอย่างไร้สาเหตุ

ซูฉิงที่ยืนมองท่าทางของคนทั้งสองอยู่ด้านข้างเอามือปิดปากแอบหัวเราะคิกคัก

หลงเอ้อร์ดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์เข้าใกล้แล้วเอ่ยถาม “จะกลับหรือยัง ข้ายังพอมีเวลาอยู่บ้าง จะไปส่งเจ้าให้เอง”

จวีมู่เอ๋อร์ยังไม่ทันได้พูดอะไร ซูฉิงก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน “อ้อ พี่มู่เอ๋อร์ ข้านึกขึ้นได้ว่าหลายวันก่อนไปส่งดอกไม้ที่จวนหม่าฝู่สองตะกร้าแล้วยังไม่ได้เก็บเงิน ข้าจะรีบไปเก็บเงิน กลับไปกับพี่ไม่ได้แล้ว”

เป็นหญิงสาวที่รู้กาลเทศะเสียจริง หลงเอ้อร์ส่งสายตาชื่นชมซูฉิงแล้วพูดกับนางว่า “ต่อไปส่งดอกไม้มาที่คฤหาสน์สกุลหลงหนึ่งตะกร้าทุกวัน”

ซูฉิงดีใจมาก รีบตอบรับเสียงดัง “ขอบคุณท่านหลงเอ้อร์ ข้าจะเลือกดอกไม้ที่ดีที่สุดสวยที่สุดส่งไปที่คฤหาสน์สกุลหลงอย่างแน่นอน” นางพูดพลางบีบมือจวีมู่เอ๋อร์ จู่ๆ ก็มีเงินหล่นลงมาจากฟ้า เป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก

จวีมู่เอ๋อร์ถูกพวกเขาทั้งสองคนทำให้หัวเราะ หลงเอ้อร์หันไปสั่งองครักษ์เฉินให้ไปส่งซูฉิงเก็บเงิน ส่วนเขาจะพาจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นรถม้ากลับบ้านไป

คนสองคู่แยกกันบนถนนแห่งนี้ จวีมู่เอ๋อร์ถูกประคองขึ้นรถม้า เพิ่งจะนั่งลงก็ได้ยินเสียงปิดประตู จากนั้นตามด้วยเสียงของท่านหลงเอ้อร์พูดว่า “ไม่ได้พบกันเสียนาน มาให้ข้าดูเจ้าหน่อยสิ”

“ข้ายังมีหน้าตาเหมือนเดิม” จวีมู่เอ๋อร์ตอบเช่นนี้จึงถูกหลงเอ้อร์จิ้มหน้าผากไปหนึ่งที

“วันนี้ข้าให้บ่าวส่งสาลี่กรอบที่เพิ่งเก็บมาใหม่ไปให้ เจ้าได้กินหรือยัง”

“กินแล้ว” จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า สาลี่กรอบนั้นทั้งหอมและหวาน

“ชอบหรือไม่ หากชอบข้าจะให้พวกเขาส่งไปอีก” หลงเอ้อร์ลูบมือของนาง พบว่ามือนางเย็นเฉียบ จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปลูบที่ใบหน้าของนาง ยังคงรู้สึกเย็นอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงยื่นมือสองข้างไปกุมใบหน้าเล็กของนางเอาไว้ ปากก็พูดว่า “เหมือนน้ำแข็งเลย”

จวีมู่เอ๋อร์มองไม่เห็นเขา แต่จินตนาการท่าทางของเขาอยู่ในสมอง นางกุมหลังมือของเขาแล้วเรียก “ท่านหลงเอ้อร์”

นางอยากเข้าใกล้เขาสักนิด แต่ก็ยังคิดว่าควรห่างเขาสักหน่อย

“หืม?” หลงเอ้อร์ตอบรับ ท้ายเสียงยกสูง เขาพูดเสียงช้าๆ เอื่อยๆ “เจ้าคิดถึงข้าแล้วใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ ต้องไว้หน้าท่านหลงเอ้อร์ เรื่องนี้นางเข้าใจดี

“แล้วคิดถึงอย่างไร ลองบอกให้ข้าฟังสิ”

คิดถึงอย่างไรก็ต้องรายงานด้วยหรือ

“แบบเวลาลูบถูกไม้เท้าก็จะคิดว่าท่านก็ชอบไม้เท้าเช่นกัน…”

นางหาคำตอบแย่ๆ นี้มาจากที่ใดกัน

ใบหน้าของหลงเอ้อร์ยังไม่ทันเขียว จวีมู่เอ๋อร์ก็รีบพูดต่อ “ตอนพ่อข้าดื่มเหล้าข้าก็คิดว่าไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านต้อนรับแขกอยู่ที่หอใด จะดื่มมากเกินไปจนกลับบ้านไม่ได้หรือไม่ หรือตอนลูบพิณก็ยังคิดว่าไม่รู้ว่าจะดีดเพลงใดให้ท่านฟังจึงจะทำให้ท่านเบิกบานใจ”

เช่นนี้เรียกว่าคิดถึงเขาหรือ นี่เป็นการเหน็บแนม หยิบข้อด้อยของเขาขึ้นมาพูดชัดๆ หากจะคิดถึงเช่นนี้ก็ไม่คิดถึงเสียเลยดีกว่า!

หลงเอ้อร์หยิกแก้มนาง “จะหาเรื่องข้าอีกใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์เอาหัวซุกหลบในอ้อมอกเขา “ท่านถามเองนะ”

“กฎสกุลข้อที่หนึ่ง ห้ามพูดจาประชดข้า จำไม่ได้หรือ” หลงเอ้อร์ดึงตัวนางออกจากอ้อมอกของตน ตั้งใจจะคิดบัญชีกับนาง

ที่แท้กฎสกุลข้อที่หนึ่งว่าไว้เช่นนี้เองหรือ จวีมู่เอ๋อร์อยากหัวเราะ นางเอ่ยถามว่า “แล้วข้อที่สองคืออะไร”

“ข้อที่สองคือห้ามทำให้ข้าเบื่อ”

คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ นางหลุดหัวเราะเสียงดังออกมา หากต้องทำผิดกฎข้อที่หนึ่งเพื่อไม่ให้ผิดกฎข้อที่สอง เช่นนั้นจะทำอย่างไร

หลงเอ้อร์เห็นนางหัวเราะเบิกบานใจก็ยกมุมปากยิ้มตามอย่างอดไม่ได้ เขาบิดติ่งหูของจวีมู่เอ๋อร์ “กฎสกุลที่ข้าเขียนขึ้นทำให้เจ้าสำราญใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะร่างกฎสกุลบ้าง”

“ว่าอย่างไร”

“กฎข้อที่หนึ่ง ห้ามบิดติ่งหู” จวีมู่เอ๋อร์ตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับคิดว่ากฎข้อที่หนึ่งคืออย่าดีกับข้าเช่นนี้ ข้อที่สองคืออย่าดีกับข้าเช่นนี้ และข้อที่สามคืออย่าดีกับข้าเช่นนี้…

หลงเอ้อร์ไม่รู้สิ่งที่นางคิดอยู่ในใจ เขาไม่พอใจมากกับกฎห้ามบิดติ่งหู “กฎข้อนี้ผิดต่อกฎสกุลข้อที่สองของข้า ดังนั้นไม่อนุญาต”

“เช่นนั้นกฎสกุลข้อที่สามของท่านคืออะไร”

“ต้องเชื่อฟังคำของข้า”

“ข้อที่สี่ล่ะ”

“เรื่องที่ทำให้ข้าไม่มีความสุขล้วนห้ามทำ”

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะออกมาอีกครั้ง หลงเอ้อร์ก็หัวเราะเช่นกัน แต่ปากยังคงพูดต่อ “หากเจ้าทำผิดกฎสกุล ข้าก็จะจัดการด้วยบทลงโทษของสกุล”

จวีมู่เอ๋อร์แสร้งตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “มู่เอ๋อร์ขี้ขลาดที่สุดเลย กลัวบทลงโทษของสกุล ดังนั้นไม่กล้าขัดความประสงค์ของท่านแน่นอน”

นางหัวเราะจนแก้มแดงเรื่อ ท่าทางแก่นแก้วสดใส สองตาเหมือนมีประกาย ทันใดนั้นหลงเอ้อร์ก็คิดถึงคืนที่นางซบอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม ริมฝีปากและลิ้นของนางล้วนอ่อนนุ่มหอมหวาน

เขาเชิดใบหน้านางขึ้นอย่างอดไม่ได้ ใช้ริมฝีปากแตะริมฝีปากนาง รอยยิ้มของจวีมู่เอ๋อร์หายวับไป ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

ท่าทีเขินอายของนางทำให้เขายิ้มกว้าง เขาจุมพิตนางเบาๆ อีกครั้ง กระซิบข้างหูเสียงเบา “จูบข้าที”

จวีมู่เอ๋อร์ใบหน้าร้อนจนแดงก่ำ แต่ยังคงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใช้ริมฝีปากของนางประกบไปบนปากของเขา พอทำเสร็จนางก็รู้สึกอายเป็นอย่างมากจึงถอยหลังนั่งห่างออกไปเล็กน้อย

เดิมทีหลงเอ้อร์คิดจะแกล้งนางเล่น ทำให้นางเขินอายแล้วค่อยจุมพิตต่อ คิดไม่ถึงว่านางจะเชื่อฟังคำสั่งถึงเพียงนี้ เขาดีใจเบนสายตามองออกไปด้านนอก แต่จู่ๆ กลับโมโหขึ้นมาอีก “ใครเป็นคนกำหนดกฎห้ามพบหน้ากันก่อนแต่งงานนะ”

จวีมู่เอ๋อร์ถูกน้ำเสียงของเขาทำให้หัวเราะ หลงเอ้อร์ก้มหน้าลงจุมพิตนางอีกครั้ง พูดทั้งที่กำลังแนบปากอยู่บนริมฝีปากนาง “หัวเราะอะไร ข้ากลัวว่าเจ้าจะคิดถึงข้ามากเกินไปจนเป็นทุกข์”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ฟังก็ยิ่งอยากหัวเราะ แต่พริบตาต่อมาหลงเอ้อร์กลับจุมพิตลึกซึ้งมากขึ้น นางหัวเราะไม่ออก ทำได้เพียงยื่นแขนไปคล้องคอของเขาเอาไว้ ลิ้นของเขาแทรกเข้าไปเกี่ยวกับลิ้นของนาง กำลังลิ้มชิมรส เกิดอารมณ์คล้อยตาม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนรถพูดขึ้นมาว่า “นายท่านรอง ถึงร้านเหล้าสกุลจวีแล้วขอรับ”

หลงเอ้อร์ขุ่นเคืองอยู่ในใจ ไม่คิดจะหยุด แต่ประตูกลับถูกคนเคาะอย่างแรง เสียงของผู้เฒ่าจวีดังลอดเข้ามา “ท่านหลงเอ้อร์มาแล้วหรือ”

หลงเอ้อร์ตัวแข็งทื่อ จวีมู่เอ๋อร์จึงบอกว่า “พ่อข้าเอง”

“ข้ารู้ว่าเป็นพ่อเจ้า” หลงเอ้อร์หัวเสียอย่างหนัก อยากจะให้ตอนนี้เป็นวันแต่งงานไปเสียเลย ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงสามารถเก็บนางไว้ในห้องของตัวเองได้ อยากจะแสดงความสนิทสนมอย่างไรก็ทำได้ แล้วมาดูกันสิว่าจะมีผู้ใดกล้ามาเคาะประตูรบกวนเขาอีกหรือไม่

จวีมู่เอ๋อร์ดันตัวเขาออก หลงเอ้อร์ถอนหายใจ โน้มตัวไปเปิดประตูอย่างไม่ยินดี

ผู้เฒ่าจวีที่อยู่นอกรถม้าเรียกอย่างตื่นเต้น “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านมาแล้วหรือ”

ถามแล้วไม่รอให้หลงเอ้อร์ตอบกลับ ผู้เฒ่าจวีก็หันไปเห็นจวีมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในรถเช่นกัน “เอ๋? มู่เอ๋อร์ เจ้าก็มาด้วยหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ “พ่อ ไม่ใช่ข้า ‘มาด้วย’ แต่ข้ากลับมาแล้วต่างหาก”

“อ๋อ ใช่ๆ พ่ออยากพูดว่าเจ้ากลับมาแล้วนั่นแหละ แล้วเหตุใดจึงมากับท่านหลงเอ้อร์ได้”

หลงเอ้อร์ก้าวลงจากรถ หมุนตัวกลับไปรับจวีมู่เอ๋อร์ “ข้าเห็นนางอยู่ในเมือง จึงผ่านมาส่งนางกลับบ้าน”

“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านหลงเอ้อร์มาก ท่านรีบเข้ามานั่งสักครู่เถอะ ว่าแต่ท่านมาทำอะไรแถวนี้หรือ”

มาทำอะไร? หลงเอ้อร์ตะลึงไป เมื่อครู่เขาบอกไปแล้วว่ามาส่งจวีมู่เอ๋อร์กลับบ้านไม่ใช่หรือ

ผู้เฒ่าจวีเห็นท่านหลงเอ้อร์มีสีหน้างุนงง เหมือนไม่เข้าใจว่าเขาถามอะไร จึงยกมือขึ้นเกาหัว งงไปด้วยอีกคน “ก็ท่านหลงเอ้อร์บอกว่าผ่านมาไม่ใช่หรือ ดังนั้นจะต้องมาทำอะไรแถวนี้จึงผ่านมาส่งมู่เอ๋อร์ได้ไม่ใช่หรือ”

หลงเอ้อร์นิ่งไป เขารู้ว่าผู้เฒ่าจวีไม่มีจุดประสงค์จะหาเรื่อง แต่คำพูดนั้นฟังไม่เข้าหูจริงๆ แม้การที่เขามาส่งจวีมู่เอ๋อร์กลับบ้านจะไม่ใช่เพียงการผ่านมาแล้วอย่างไร เขาชอบที่ได้มาส่งจวีมู่เอ๋อร์จึงมา เขาจะต้องหาธุระอะไรแถวนี้ทำก่อนจึงจะเรียกว่าผ่านมาได้อย่างนั้นหรือ

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองก็ลอบถอนหายใจอยู่ภายใน “พ่อ ท่านหลงเอ้อร์อยากมาซื้อเหล้าสักหน่อย ช่วงฉลองปีใหม่ ในคฤหาสน์ต้องมีเหล้าดีเตรียมเอาไว้ เหล้าในร้านเหล้าสกุลจวีของเรามีชื่อเสียงโด่งดัง ท่านหลงเอ้อร์จึงมาตามคำเล่าลือ”

“อ๋า ใช่ๆ เหล้าของพวกเราดีมากเลย ปีนี้ข้าโกรธคนในเมือง สิ้นปีจึงไม่ได้ส่งเหล้าไปที่หอสุรา ท่านหลงเอ้อร์มาเอาที่ข้าก็ถูกต้องแล้ว ถ้าท่านชอบก็เอาไปหมดได้เลย ไม่ต้องซื้อหรอก” ผู้เฒ่าจวีได้ยินคนชมเหล้าของเขา ก็ดีใจจนมือเท้าเต้น เอ่ยต้อนรับไม่หยุดปาก “ท่านหลงเอ้อร์รีบเข้าไปนั่งสักครู่เถอะ ข้าจะไปเลือกเหล้ามาให้ท่าน” พูดจบก็วิ่งหายเข้าไปในร้านเร็วราวกับควัน

หลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์เดินเข้าไปด้านในอย่างช้าๆ เขาเข้าไปกระซิบข้างหูนาง “ข้ามาตามคำเล่าลือ? มาขอซื้อเหล้าด้วย?”

“อืม ท่านหลงเอ้อร์ไม่ต้องเกรงใจ เหล้าของพ่อข้านั้นดีมาก” จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าราวกับว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ทำให้หลงเอ้อร์เกิดความรู้สึกอยากบิดหูนางขึ้นมา

คนทั้งสองเข้าไปในโถงของร้านเหล้า หลงเอ้อร์กำลังคิดจะเดินไปบอกผู้เฒ่าจวีว่าเขาไม่มีเวลาแล้ว ต้องขอตัวกลับก่อน แล้วจะส่งบ่าวมารับเหล้าไป แต่ยังไม่ทันได้ไป ผู้เฒ่าจวีก็วิ่งโขยกเขยกกลับมาพร้อมพูดเสียงดัง “จริงสิ มู่เอ๋อร์ ข้านึกขึ้นได้ว่ามีสหายนักพิณแซ่เฉียนมาหาเจ้า ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่อยู่ แต่เขาพูดว่าอยากขอดูตำราเพลงพิณของเจ้า ข้าไม่ได้ให้เขานำกลับไป แต่อนุญาตให้เขานั่งเปิดอ่านในห้องพิณของเจ้า ตอนนี้คงยังอยู่ที่นั่น”

“ผู้ชายหรือ” หลงเอ้อร์เลิกคิ้ว จับประเด็นหลักในคำพูดได้อย่างรวดเร็ว

“ถูกต้อง” ผู้เฒ่าจวีพยักหน้า เฉียนเจียงอี้ผู้นี้ก่อนหน้านี้สนิทกับจวีมู่เอ๋อร์ดี พวกเขาเหล่านักพิณไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ดังนั้นเมื่อเขาอยากดูตำราเพลงพิณ ผู้เฒ่าจวีจึงปล่อยให้เข้าไป เพราะบุตรสาวไม่อยู่ ดังนั้นก็ไม่มีเรื่องผิดจารีตที่ว่าชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังไม่ได้ ผู้เฒ่าจวีไม่คิดว่าการทำเช่นนี้จะมีอะไรไม่ถูกต้อง

หลงเอ้อร์มองหน้าใสซื่อของผู้เฒ่าจวีแล้วเอ่ยปากพูดอะไรไม่ออก เห็นทีเขาต้องหาโอกาสมาคุยกับท่านพ่อตาที่ชอบ ‘ทำอะไรตามอำเภอใจ’ บ้างแล้ว อยากบอกท่านพ่อตาว่านอกจากบุตรเขยคนนี้แล้ว ต้องไม่อนุญาตให้ชายหนุ่มคนใดเข้าไปในเรือนพักของจวีมู่เอ๋อร์อีกเป็นอันขาด

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินผู้เป็นพ่อพูดเช่นนี้จึงบอกว่า “ข้าจะไปดูที่ห้องพิณ”

“พ่อไปเป็นเพื่อนเจ้านะ” ผู้เฒ่าจวีรีบพูดขึ้น แล้วหันไปบอกหลงเอ้อร์ว่า “ท่านหลงเอ้อร์เชิญนั่งสักครู่ ข้าใช้ให้เด็กไปหยิบเหล้าแล้ว อีกครู่ก็คงมา”

หลงเอ้อร์ถอนหายใจ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ได้ตะคอกผู้เฒ่าจวีว่า ‘ท่านให้ลูกเขยตัวเองนั่งรอด้านนอก จากนั้นก็พาลูกสาวตัวเองเข้าไปพบชายอื่นที่เรือนพักด้านหลัง ท่านพ่อตา ท่านคิดว่าจะไม่มีปัญหาใดจริงหรือ’

หลงเอ้อร์ท่องอยู่ในใจสามรอบว่า…เขาเป็นพ่อตา เขาเป็นพ่อตา เขาเป็นพ่อตา

จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฉีกยิ้มกว้าง พูดว่า “ข้าไปเป็นเพื่อนมู่เอ๋อร์เองดีกว่า ท่านทำงานของท่านไปเถอะ” เขาพูดพลางประคองแขนของจวีมู่เอ๋อร์ นำนางเดินไปทางเรือนพักด้านหลังทันที

การที่โดนแย่งตัวบุตรสาวไปเช่นนี้ ผู้เฒ่าจวีก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรไม่ดี “เช่นนั้นข้าไปเลือกเหล้าให้ท่านเองดีกว่า ข้าเลือกย่อมดีกว่าเด็กเลือกแน่นอน” พูดจบก็วิ่งหายไปเร็วราวกับสายลม

หลงเอ้อร์กัดฟันพูดอย่างอดไม่ได้ “ท่านพ่อตาช่างน่ารักจริงๆ”

จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ “หากพ่อข้าได้ยินท่านชมเขาจะต้องดีใจมากแน่นอน”

“เจ้าประชดข้าอีกแล้วใช่หรือไม่ รอข้ากลับไปจะเตรียมบทลงโทษของสกุลไว้ หากเจ้าแต่งเข้าบ้านเมื่อไร เกรงว่าคงได้ใช้ทุกวัน”

คนทั้งสองต่อปากต่อคำกันไปมาจนเดินมาถึงหน้าประตูห้องพิณอย่างรวดเร็ว

ภายในห้องพิณ ชายหนุ่มอายุสามสิบกว่าปีผู้หนึ่งกำลังเปิดตำราเพลงพิณอ่านอย่างตั้งใจ พอเขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที เมื่อเห็นจวีมู่เอ๋อร์กับชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งเดินเข้ามาก็รีบทักทายอย่างมีมารยาท “แม่นางจวี เจ้ากลับมาแล้ว” จากนั้นจึงหันไปพูดกับหลงเอ้อร์ “คารวะคุณชาย ข้าน้อยเฉียนเจียงอี้”

หลงเอ้อร์พยักหน้าตอบรับพอเป็นมารยาท จวีมู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างจึงแนะนำให้คนทั้งสองรู้จักกัน

เมื่อจวีมู่เอ๋อร์บอกว่านี่คือท่านหลงเอ้อร์ เฉียนเจียงอี้จึงเข้าใจในทันที รีบทำความเคารพทักทายอีกครั้ง ส่วนเฉียนเจียงอี้นั้นเป็นสหายนักพิณคนหนึ่งที่จวีมู่เอ๋อร์คบหาด้วย เขามีฝีมือดีดเพลงพิณได้เหนือคน สอนศิษย์มาจำนวนไม่น้อย ตัวเขาเองยังได้สร้างหอศิลป์เพลงพิณขึ้นหนึ่งแห่ง ถือได้ว่าพอมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่บ้าง

หลงเอ้อร์ไม่สนใจ เขาไม่รู้ดนตรี ไม่รู้จักนักพิณหอศิลป์เพลงพิณอะไรทั้งนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่เคยมีความสนใจต่อเรื่องพวกนี้เลย ตอนนี้เขาสนใจเพียงว่าเหตุใดชายหนุ่มผู้นี้มีตำราเพลงพิณของตัวเองแต่ไม่ไปดู กลับวิ่งมาพลิกอ่านตำราเพลงพิณของมู่เอ๋อร์ของเขาด้วย

ตามความคิดของหลงเอ้อร์ คำว่า ‘คนของตน’ หมายถึงเมื่อจวีมู่เอ๋อร์เป็นคนของเขา เช่นนั้นของของนางก็เท่ากับว่าเป็นของของเขา แม้มู่เอ๋อร์ของเขาจะตาบอดมองไม่เห็น แต่ตำราเพลงพิณเหล่านั้นก็ยังคงเป็นของของนาง เพราะฉะนั้นของของนางก็คือของของเขา ผู้อื่นจะมาแตะต้องของของเขาทำไม!

เฉียนเจียงอี้เห็นสีหน้าของท่านหลงเอ้อร์ไม่น่าดูจึงรู้สึกอึดอัดใจ แต่เขายังคงออกปากกับจวีมู่เอ๋อร์ว่าอยากจะขอยืมตำราเพลงพิณของนางกลับไปดู เพราะมีตำราบางเล่มที่นางมีแต่เขาไม่มี เขาอยากยืมกลับไปคัดลอก แล้วจะนำกลับมาคืนให้ดังเดิม

หลงเอ้อร์อดทนไม่พูดอะไร จวีมู่เอ๋อร์กลับตอบตกลงอย่างใจกว้าง

เฉียนเจียงอี้ดีใจมาก เขาจึงยกหัวข้อสนทนาเรื่องการดีดพิณหลายประเด็นขึ้นมาคุยกับจวีมู่เอ๋อร์ หลงเอ้อร์ที่ฟังอยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย แต่กลับมองหน้าเฉียนเจียงอี้อย่างเคร่งขรึม มองเสียจนเฉียนเจียงอี้จำต้องพูดความให้สั้น รีบรวบตำราเพลงพิณหลายเล่มที่เขาเลือกไว้ จากนั้นก็เร่งอ่านชื่อหนังสือให้จวีมู่เอ๋อร์ฟังแล้วเตรียมจะนำกลับไปทันที

แต่หลงเอ้อร์ไม่ยอม เขาเรียกให้องครักษ์ที่อยู่เฝ้าสกุลจวีไปหยิบพู่กันกับหมึกมา คัดลอกชื่อตำราที่เฉียนเจียงอี้ต้องการยืม และตอนนำกลับมาคืนจะต้องเทียบรายชื่อให้ถูกต้องด้วย

“คุณชายเฉียนโปรดอภัยด้วย ในเมื่อตำราเหล่านี้เป็นของสะสม คิดว่าคงหาได้ยากอยู่บ้าง มู่เอ๋อร์ของข้ารักพิณเป็นชีวิตจิตใจ ตอนนี้นางมองไม่เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าคุณชายหยิบตำราอะไรไปบ้าง ข้าจึงขอทำตัวเป็นคนตระหนี่โดยการจดรายชื่อตำราเอาไว้เพื่อให้คุณชายสามารถยืมคืนได้ง่าย ทุกคนไม่ต้องหมางใจกัน ท่านว่าจริงหรือไม่”

เฉียนเจียงอี้รีบตอบกลับว่าดี รอจนองครักษ์เขียนรายชื่อตำราเสร็จ เขาก็รีบกล่าวลาจากไป

จวีมู่เอ๋อร์ส่งเขาออกจากบ้านด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับครุ่นคิด เฉียนเจียงอี้เป็นหนึ่งในนักพิณที่ร่วมศึกษาคดีของท่านซือป๋ออิน เรื่องนี้จวีมู่เอ๋อร์รู้ดี แต่เฉียนเจียงอี้นั้นไม่รู้ว่านางเองก็เคยเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน วันนี้มีหญิงคณิกาใช้ข้ออ้างว่าสงสัยในศิลปะเพลงพิณของนางขอให้นางเล่นสุดยอดเพลงพิณนั้นออกมา และบังเอิญเหลือเกินที่วันนี้เฉียนเจียงอี้ก็มาพลิกดูตู้ตำราเพลงพิณของนางด้วยเช่นกัน

จวีมู่เอ๋อร์กังวลอยู่ในใจ หลังจากที่นางตาบอด ความขี้ระแวงสงสัยของนางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

บทที่สิบสอง

หลงเอ้อร์ไม่รู้ถึงความคิดในใจของจวีมู่เอ๋อร์ ด้านหนึ่งเขาทำงานวุ่น แต่อีกด้านก็ตั้งตารอวันแต่งงานที่จะมาถึง

ก่อนพิธีแต่งงาน ยังมีอีกหลายอย่างต้องจัดเตรียม ไหนจะของขวัญพิธีการ ไหนจะเกี้ยวเจ้าสาว ชุดมงคล ไหนจะอาหารงานฉลอง ยังมีการตกแต่งบ้านเรือน และค่าใช้จ่ายอีกสารพัด

เพียงแค่เตรียมของขวัญพิธีการและชุดมงคลก็เขียนร่างไว้สามหน้ากระดาษแล้ว รวมกับเรื่องจิปาถะอื่นๆ ที่ต้องเตรียมสำหรับพิธีแต่งงานทั้งหมดก็สามารถเขียนออกมาได้เต็มสมุดหนึ่งเล่ม

หลงเอ้อร์คิดไว้แล้วว่าพิธีแต่งงานต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ ของทุกอย่างต้องใช้สิ่งที่ดีที่สุด ส่วนรายชื่อแขกเหรื่อก็ร่างเอาไว้เต็มสิบหน้ากระดาษ ความคิดเช่นนี้ไม่เพียงทำให้แม่นมอวี๋วุ่นวายอย่างหนักเท่านั้น แต่คนทั้งคฤหาสน์สกุลหลงต่างพากันวุ่นวายจนแทบอยากให้มีมืองอกออกมาเพิ่มอีกคู่หนึ่ง

เหตุใดต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่เล่า คำตอบคือแม้หลงเอ้อร์กำลังจะแต่งงาน เขาก็ยังไม่ลืมที่จะหาเงิน

เชิญแขกเหรื่อมาได้มากเท่าใด ของขวัญและซองอวยพรที่ได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น งานเลี้ยงฉลองยิ่งใหญ่เพียงใด ปริมาณของขวัญและซองอวยพรที่แขกนำมามอบให้ก็ต้องเหมาะสมตามไปด้วย เมื่อคำนวณดูแล้ว หลงเอ้อร์ก็เห็นว่าการจัดการเช่นนี้มีแต่ได้ไม่มีเสีย

สิ่งเหล่านี้เขาคำนวณไว้ตั้งแต่แรก ทั้งเงินตอบแทนของแม่สื่อ ค่าใช้จ่ายจิปาถะต่างๆ ในงานแต่งงาน เขาล้วนต้องเอาคืนมาทั้งหมด เช่นนั้นเขาจึงจะรู้สึกสบายใจ

ในระหว่างที่หลงเอ้อร์กำลังวุ่นวายกับการคำนวณเรื่องเงิน จวีมู่เอ๋อร์ก็กำลังคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับความลับของนาง

วันหนึ่ง จวีมู่เอ๋อร์ใช้ข้ออ้างว่าจะไปซื้อของแล้วเข้าเมืองไป นางเดินผ่านหน้าประตูหอซีชุนอย่างช้าๆ สามรอบแล้วจึงไปซื้อของ หลังจากนั้นจึงไปนั่งที่ร้านเต้าหู้ตรงปากทางไปหอซีชุนแล้วสั่งเต้าฮวยเค็มหนึ่งชาม ขณะที่นางกำลังนั่งกินอยู่ที่มุมหนึ่งภายในร้าน หญิงสาวผู้หนึ่งก็นั่งลงข้างกายนาง กระซิบเรียกเสียงเบา “แม่นางมู่เอ๋อร์”

“แม่นางเยวี่ยเหยา”

หลินเยวี่ยเหยามองไปซ้ายขวา เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีผู้คน คนที่อยู่ไกลออกไปก็ไม่ได้สังเกตพวกนาง จึงเอ่ยถามเสียงเบา “แม่นางมาหาข้ามีข่าวอะไรแล้วหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินนางถามเช่นนี้ก็รู้ว่าตอนนี้สามารถพูดคุยได้ ดังนั้นจึงหยิบตำราเพลงพิณสองเล่มออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ “ยังไม่มีข่าวอะไร เพียงแต่อยากรบกวนแม่นางเยวี่ยเหยาช่วยเก็บตำราเพลงพิณสองเล่มนี้เอาไว้ให้ที”

หลินเยวี่ยเหยารับไป “ในนี้มีอะไรหรือ”

“ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่จดอะไรบางอย่างเอาไว้ วันข้างหน้าอาจใช้ได้ แต่ที่บ้านข้ามีคนไปมาบ่อยครั้ง ข้าตาไม่ดี ไม่รู้ว่าจะถูกใครพลิกอ่านหรือไม่ ดังนั้นจึงขอฝากไว้ที่แม่นางคงจะปลอดภัยกว่า”

“เรื่องเกี่ยวกับท่านซือป๋ออินกับอีไป๋มี…” หลินเยวี่ยเหยายังพูดไม่จบ เถ้าแก่ร้านเต้าหู้ก็ยกเต้าฮวยเค็มอีกถ้วยมาให้ ดังนั้นนางจึงรีบปิดปาก

จวีมู่เอ๋อร์กินเต้าฮวยเค็มจนหมดด้วยสีหน้าปกติ เอ่ยกับหลินเยวี่ยเหยาว่า “แม่นางมีใจอยากฝึกพิณนับเป็นเรื่องที่ดี ในตำราเล่มนี้ไม่มีวิธีลัดอะไรทั้งสิ้น เพียงต้องฝึกฝนให้มากเข้าไว้ ข้าต้องไปแล้ว หากแม่นางฝึกเล่นพิณแล้วมีปัญหาอะไรก็มาหาข้าได้”

เถ้าแก่ร้านเต้าหู้ที่อยู่ด้านข้างรีบพูดขึ้นว่า “แม่นางเดินระวังด้วย”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไป หลินเยวี่ยเหยากินเต้าฮวยเค็มโดยไม่ได้พูดอะไร นางหยิบตำราเพลงพิณทั้งสองเล่มเก็บเข้าอกเสื้อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จวีมู่เอ๋อร์มีเรื่องในใจ นางจึงเดินช้าๆ พลางคิดใคร่ครวญ แต่กลับพบติงเหยียนซานเข้าโดยบังเอิญ

ติงเหยียนซานเห็นจวีมู่เอ๋อร์ก็เกิดโทสะขึ้นมาทันที หญิงตาบอดผู้นี้ทำให้ท่านหลงเอ้อร์หลงใหล แย่งตัวสามีที่นางหมายตาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้พี่สาวของนางไม่อาจสู้หน้าพี่เขย และเป็นต้นเหตุให้พี่สาวของนางต้องแอบไปร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น พี่สาวของนางยังถูกพ่อว่ากล่าวสั่งสอนอย่างแรงอีกด้วย

ความแค้นเคืองเหล่านี้ ติงเหยียนซานล้วนหมายไว้บนหัวของจวีมู่เอ๋อร์

ดังนั้นเมื่อนางได้พบหน้าจวีมู่เอ๋อร์จึงเหมือนกับได้เจอศัตรูคู่อาฆาต รู้สึกมีอารมณ์โกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างรุนแรง ด้วยนิสัยของติงเหยียนซานแล้ว นางต้องไม่ยอมปล่อยให้จวีมู่เอ๋อร์อยู่อย่างเป็นสุขแน่นอน นางเดินเข้าไปตบหน้าจวีมู่เอ๋อร์อย่างแรง แย่งไม้เท้าจากมือจวีมู่เอ๋อร์แล้วโยนทิ้งออกไปไกล จากนั้นติงเหยียนซานก็ชี้หน้าจวีมู่เอ๋อร์ เอ่ยปากด่านางว่าเป็นนางจิ้งจอก บอกว่าการที่จวีมู่เอ๋อร์อยากแต่งเข้าสกุลหลงเป็นเรื่องเพ้อฝัน ให้คอยดูต่อไป พอด่าจบติงเหยียนซานก็เดินอาดๆ จากไปอย่างรวดเร็ว

จวีมู่เอ๋อร์ที่ล้มลงบนพื้น พอลุกขึ้นมาก็หลงทิศ ส่วนไม้เท้านางก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใดเสียแล้ว ถูกคนด่าต่อหน้าธารกำนัล ดูทุลักทุเลยิ่งนัก สุดท้ายคนข้างทางเห็นนางตาบอด เลยมีน้ำใจเก็บไม้เท้ามาคืน แล้วชี้บอกทางให้นาง นางจึงสามารถกลับบ้านได้

ในคืนวันนั้น พอเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของหลงเอ้อร์ เขาก็โกรธจนควันแทบจะออกมาจากทั้งเจ็ดทวาร

เขาคิดถึงจวีมู่เอ๋อร์จนปวดใจ ดังนั้นจึงไม่สนว่าตอนนี้จะเป็นเวลาค่ำมืดซึ่งไม่เหมาะไม่ควร แอบขี่ม้าไปที่ป่าด้านหลังของร้านเหล้าสกุลจวีตามลำพัง กระโดดข้ามกำแพงเรือนด้านหลังเข้าไปข้างใน แล้วมุ่งตรงไปที่ห้องนอนของจวีมู่เอ๋อร์

จวีมู่เอ๋อร์นอนหลับไม่สนิท สะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น ระหว่างงัวเงียก็รู้สึกว่ามีคนมาอยู่ข้างเตียง นางตกใจจนรีบลืมตาขึ้น ยังไม่ทันได้ตะโกนร้อง มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ยื่นมาปิดปากนางไว้ “ข้าเอง” จวีมู่เอ๋อร์ค่อยสงบลง หลงเอ้อร์พูดอีกครั้ง “ข้าเอง วันนี้ได้ยินว่าเจ้าถูกคนรังแกที่ถนน ข้าจึงมาดูเจ้า”

“ท่านหลงเอ้อร์”

“ถูกต้อง”

จวีมู่เอ๋อร์ดีดตัวโผเข้ามากอดอย่างแรง หลงเอ้อร์ตกใจรีบรับตัวนางเอาไว้ หากเขาช้าเพียงก้าวเดียวนางคงจะตกเตียงไปแล้ว

การที่จวีมู่เอ๋อร์กอดเขาไว้แน่นทำให้หลงเอ้อร์รู้สึกสงสารเหลือเกิน “หญิงบ้านั่นทำให้เจ้าตกใจใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ตอบ หลงเอ้อร์จึงอบรมนาง “เหตุใดจึงแอบออกไปโดยไม่พาองครักษ์ไปด้วย แล้วทำไมถูกคนรังแกจึงไม่มาหาข้า…นี่เจ้ายังนอนหลับได้อีกหรือ!”

ตัวเขาเองนอนไม่หลับจนต้องมาดูนาง แต่ปรากฏว่านางกลับหลับสนิทเหมือนลูกหมู หลงเอ้อร์มีคำพูดเต็มท้องที่เตรียมไว้อบรมนาง แต่ยังพูดไม่ทันจบ จวีมู่เอ๋อร์ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “ฟ้าสว่างแล้วหรือ” เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าเพิ่งนอนได้ไม่นาน

คำพูดของหลงเอ้อร์ถูกกลืนกลับลงท้องไป

ดียิ่งนัก พวกเขาสองคน คนหนึ่งพูดตะวันออก แต่อีกคนพูดตะวันตกอีกแล้ว

“ฟ้ายังไม่สว่าง” คำตอบนี้เขากัดฟันพูดออกมา

“อ้อ” จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับอย่างใจลอย เอาหัวซบลงที่อ้อมอกของหลงเอ้อร์ เมื่อครู่นางฝันร้าย ตอนนี้ได้เขามาอยู่ข้างกายนางเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน นางรู้สึกผ่อนคลายและเริ่มง่วงอีกครั้ง

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว สงสัยมากว่าหญิงโง่ผู้นี้ได้สติหรือยัง

“ข้าเป็นใคร”

“ท่านหลงเอ้อร์” นางงัวเงียตอบ

“ใช่หรือ” เขาจงใจพูดกวน

พอคำพูดนี้เข้าไปในสมองของจวีมู่เอ๋อร์ที่ช้าไปครึ่งจังหวะ นางก็ดีดตัวนั่งตรง ตกใจจนได้สติกลับมาครึ่งหนึ่ง “ไม่ใช่ท่านหลงเอ้อร์หรือ”

“ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร” หลงเอ้อร์โกรธจนมันเขี้ยว หญิงสาวผู้นี้ตอนตื่นสามารถทำให้เขาโกรธได้เช่นไร ตอนงัวเงียก็ยังคงสามารถทำให้เขาโกรธได้เช่นนั้น

จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา เรียกสติกลับมาได้กว่าครึ่ง “ฟ้ายังไม่สว่างเหตุใดท่านจึงเข้ามาในห้องของข้า”

หลงเอ้อร์ปั้นหน้านิ่งไม่พูดจา ใจคิดว่าหากนางกล้าบ่นว่าไม่เหมาะไม่ควร เขาก็จะโกรธให้นางดู

แต่จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้พูดคำเหล่านั้นออกมา สิ่งที่นางพูดคือ “หนาวจัง ท่านหลงเอ้อร์ ข้าห่มผ้าคุยกับท่านได้หรือไม่”

หลงเอ้อร์ใจอ่อนลงมาทันใด “เจ้ารีบนอนลง”

จวีมู่เอ๋อร์รีบนอนลงอย่างเชื่อฟัง ดึงผ้าห่มมาห่มตัวไว้อย่างแน่นหนา

“ห้ามหลับตา” หลงเอ้อร์นั่งพิงหัวเตียง อาศัยแสงจันทร์มองพินิจนางอย่างละเอียด จากนั้นก็หยิกแก้มนางเบาๆ แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ถูกตบหรือ”

“อืม”

“ถูกตบด้านไหน”

“ก็ด้านที่ท่านหยิกอยู่ตอนนี้แหละ”

หลงเอ้อร์นิ่งไป ก่อนจะดึงมือกลับมา ผ่านไปสักครู่ก็ยื่นมือไปลูบหน้านางแล้วพูดว่า “ข้าจะเอาคืนให้เจ้าเอง”

“อืม” จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ สิ่งที่ทำให้นางกลัวคือเรื่องอื่น

“ไม่ถามหรือว่าจะเอาคืนอย่างไร”

“เอาคืนอย่างไร” นางถามอย่างให้ความร่วมมือ แต่แท้จริงแล้วนางง่วงนอนมาก

“ข้าจะไปพูดเปรยให้พ่อนางฟัง เดี๋ยวพ่อนางก็สั่งสอนนางเอง” เรื่องการชิงวางของหมั้นในครั้งนั้น เขาได้ยินสายสืบมารายงานว่าติงเหยียนเซียงถูกเสนาบดีติงสั่งให้คุกเข่าและโดนตบไปสองฉาด

“อืม” จวีมู่เอ๋อร์ไร้ความรู้สึกเป็นเจ้าทุกข์ การที่นางเฉื่อยชาทำให้หลงเอ้อร์รู้สึกหมดสนุก เขาเขย่าหัวนาง “ห้ามนอน รีบพูดคำที่ทำให้ข้าเบิกบานใจออกมา”

ดึกดื่นค่อนคืน เขาตั้งใจมาฟังนางพูดให้เขาเบิกบานใจหรือ “เหตุใดท่านหลงเอ้อร์จึงไม่มีความสุข”

“สองวันก่อนข้าได้รับข่าวว่ากิจการเมืองเม่าผิงกับเมืองเช่อเฉิงถูกร้านอื่นแย่งไป มิน่าเล่าปีนี้เถ้าแก่หลายคนจึงไม่ได้มา”

จวีมู่เอ๋อร์ยื่นมือออกมาจากผ้าห่ม คลำหามือใหญ่ของเขาแล้วเอามากุมไว้ จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ไม่นานท่านก็สามารถหาเงินกลับมาได้เอง”

“หึ” หลงเอ้อร์บีบมือเล็กของนาง เขาคือท่านหลงเอ้อร์เชียวนะ ย่อมต้องหาเงินคืนมาได้อย่างแน่นอน แต่เงินเหล่านั้นไม่ใช่เงินที่หาได้จากทางนี้ มันไม่เหมือนกัน

“ท่านหลงเอ้อร์ก็ส่งเทียบเชิญมงคลไปให้คนเหล่านั้น พวกเขาที่เพิ่งจะชิงกิจการของท่านไป ในใจย่อมมีความหวั่นเกรงอยู่ การแต่งงานของท่านเป็นเรื่องใหญ่ หากไม่ส่งของขวัญมาคงไม่ได้ หากจะส่งของขวัญแต่ไม่ส่งของดีมาก็ไม่ได้อีก”

หลงเอ้อร์นิ่งงันไป ในที่สุดก็หัวเราะออกมา หญิงเจ้าเล่ห์ผู้นี้ช่างเข้าใจเขาจริง เมื่อวานเขาส่งเทียบมงคลไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ทำให้พวกชอบ ‘หักหลัง’ เหล่านั้นคายประโยชน์อะไรออกมาบ้าง เขาจะสบายใจได้อย่างไร

“ท่านหัวเราะแล้ว เช่นนั้นหมายความว่าเบิกบานใจแล้วใช่หรือไม่”

หลงเอ้อร์ยกยิ้มที่มุมปาก “ยังไม่”

จวีมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว สีหน้าเป็นทุกข์ “เช่นนั้นทำอย่างไรดีเล่า ข้าว่าท่านหลงเอ้อร์รีบกลับไปนอนดีกว่า นอนหลับแล้วก็จะได้เบิกบานใจ”

“เจ้าคิดว่าทุกคนเหมือนเจ้าหรือ” หลงเอ้อร์เห็นนางหลับตาลงจึงจิ้มหัวนางอย่างอดไม่ได้ “เอาแต่นอน ตอนกลางวันเจอเรื่องเช่นนั้นแล้วกลางคืนยังหลับลงอีก”

“ข้าก็นอนได้ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ก่อนหน้านี้ข้าหลับไม่สนิท แต่พอท่านอยู่ที่นี่แล้วข้าจึงรู้สึกสบายใจมาก ง่วงมากเลย ท่านหลงเอ้อร์”

“แต่ข้าไม่ง่วง” หลงเอ้อร์ยิ้มกว้าง อดหยิกแก้มนางไปทีหนึ่งไม่ได้ นางบอกว่าเพราะเขาอยู่ข้างกาย นางจึงสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ คำพูดนี้เป็นการบอกรักเขาสินะ “หญิงโง่ ข้าใจดีอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตรงนี้ เจ้าก็นอนหลับให้สบายเถอะ”

จวีมู่เอ๋อร์ถูกหยิกจนต้องหดคอ ซุกหัวเข้าไปในผ้าห่มครึ่งหัว จากนั้นจึงเอ่ยรับว่า “ได้” แล้วก็หลับไปจริงๆ

หลงเอ้อร์โน้มตัวลงมองนางที่หลับตาพริ้ม ขนตายาวเหมือนพัดเล็กๆ แสงจันทร์ส่องกระทบใบหน้าเล็กอีกครึ่งซีกที่โผล่ออกมาจากผ้าห่ม เขายื่นมือไปสอดเก็บมุมผ้าห่มให้ นางเอียงหัวเข้าหาฝ่ามือของเขาเหมือนจะอ้อน

หลงเอ้อร์รู้สึกพึงพอใจมาก เขาคิดว่าจวีมู่เอ๋อร์ต้องมีใจให้เขาอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นนางคงไม่มาขอเขาแต่งงานหรอก นางเป็นคนฉลาดและมีความหยิ่งทะนงอยู่บ้าง ด้วยนิสัยของนาง การที่มาทำท่าทางเหมือนนกน้อยขอพึ่งพิงเขาเช่นนี้ รวมทั้งไม่ได้ขัดขืนสัมผัสและการกระทำใกล้ชิดบางอย่างของเขา ดังนั้นย่อมสรุปได้ว่านางจะต้องมีใจต่อเขาแน่นอน

หลงเอ้อร์อารมณ์ดีขึ้นมาก เขาถอดรองเท้าออก ขยับเข้าไปนั่งบนเตียงเต็มตัว แนบติดข้างหมอนของนาง เขาปัดขนตา แตะริมฝีปาก แล้วบีบแก้มนางเล่นเบาๆ น่าสนุกจริงๆ แม้คนที่ถูกรบกวนจะไม่สนใจเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกเบื่อเลย จากนั้นเขาก็คิดขึ้นได้ในทันใดว่าจะเพิ่มกฎสกุลอีกหนึ่งข้อ…’หากข้ายังไม่นอน มู่เอ๋อร์ก็ห้ามนอน’

หลงเอ้อร์นั่งไปนั่งมาก็รู้สึกง่วงเช่นกัน เขาอิงแอบข้างตัวจวีมู่เอ๋อร์แล้วหลับไป จากนั้นก็ตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกหนาว เขาจึงพลิกผ้าห่มแทรกตัวเข้าอยู่ไปในผ้าห่มผืนเดียวกันกับจวีมู่เอ๋อร์

จวีมู่เอ๋อร์หลับสนิท แม้จะถูกเขารบกวนก็ยังไม่ตื่น กลิ้งตัวไปในอ้อมกอดของเขาทั้งๆ ที่หลับตา เอ่ยถามพึมพำว่า “ท่านหลงเอ้อร์หรือ”

หลงเอ้อร์สะลึมสะลือตอบกลับเพียง “อืม” เช่นกัน

จากนั้นคนทั้งสองก็หาท่าที่นอนกอดกันแล้วสบาย หลับต่อไปด้วยความสบายใจ

จวีมู่เอ๋อร์ที่กำลังหลับสบาย กลับถูกคนแตะตัวปลุกให้ตื่น

“มู่เอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว” เป็นเสียงของหลงเอ้อร์ เขาเรียกนางสี่ห้าครั้ง นางจึงมีปฏิกิริยาตอบกลับ

จวีมู่เอ๋อร์งัวเงียลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ฟ้าสว่างแล้วหรือ”

“สว่างแล้ว”

“จริงหรือ”

หลงเอ้อร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “จริงสิ”

“สว่างนานเท่าใดแล้ว”

“ไม่รู้” ตอนที่เขาลืมตาขึ้นแล้วพบว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของตน และเห็นว่านอกหน้าต่างมีแสงสว่างที่บ่งบอกว่าคงจะเช้าแล้ว เขาก็รู้สึกตกใจ คิดได้ว่าวันนี้ยังมีงานอีกมากมายที่ต้องสะสาง แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าเป็นเวลาใดแล้ว ในคฤหาสน์ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาไปที่ใด จะวุ่นวายกันหรือไม่

พอเขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ก็รีบลุกขึ้นทันที เมื่อลุกขึ้นจึงเห็นว่าเมื่อคืนตัวเองไม่ได้ถอดเสื้อผ้านอน ดังนั้นตอนนี้เสื้อผ้าจึงยับย่นเหมือนเอาผักแห้งมาพันไว้เต็มตัว เมื่อลูบไปที่ผม จากการนอนมาทั้งคืนผมย่อมต้องยุ่งเหยิงเป็นธรรมดา

หากเขาออกไปทั้งสภาพเช่นนี้ เมื่อผ่านถนนในเมืองเพื่อกลับไปยังคฤหาสน์ คงได้อับอายขายหน้ามากเป็นแน่ หลงเอ้อร์จึงรีบแต่งกาย แต่พอหมุนตัวไปมากลับหากระจกไม่เจอ เมื่อลองคิดดูก็พบว่ามู่เอ๋อร์ของเขามองไม่เห็น ดังนั้นในห้องของนางตั้งกระจกเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์

เขาหันหน้าไปมองหญิงสาวที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพน่าอึดอัดใจเช่นนี้ นางกำลังกอดผ้าห่มนอนหลับอย่างสบายอกสบายใจ เมื่อเขาลำบากย่อมไม่อาจทนเห็นนางมีความสุขได้ ดังนั้นจึงเข้าไปแตะตัวปลุกนาง

จวีมู่เอ๋อร์ยังไม่ได้สติเต็มที่ กอดผ้าห่มท่าทางเหม่อลอยเอ่ยถามอีกว่า “เหตุใดท่านหลงเอ้อร์จึงมาแต่เช้าเช่นนี้”

“ข้าไม่ได้มา แต่ข้าไม่ได้กลับไป”

“อ๋อ ดึกเพียงนี้แล้วเหตุใดท่านจึงยังไม่กลับอีก”

หลงเอ้อร์หยิกแก้มนาง “ตื่นหรือยัง”

“เจ็บ…” จวีมู่เอ๋อร์ย่นหน้าเหมือนซาลาเปา ตอนนี้นางตื่นแล้ว

“หวีของเจ้าล่ะ”

จวีมู่เอ๋อร์ชี้ไปที่ตู้เล็กๆ “อยู่ในลิ้นชัก”

“ไม่มีกระจกใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า

หลงเอ้อร์เดินไปเปิดลิ้นชักหาหวีมาหวีผมให้ตัวเอง หวีไปพลางก็หันหน้ากลับไปมองนาง เห็นจวีมู่เอ๋อร์ที่ใช้ผ้าห่มลายดอกเก่าๆ ห่อตัวเอาไว้กำลังอ้าปากหาว นางสยายผมตาปรือ ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เรียบร้อย แต่ในสายตาเขากลับรู้สึกว่านางน่าหลงใหลอย่างมาก

หลงเอ้อร์ไม่มีกระจกส่องหน้า จำต้องใช้มือสัมผัสรวบผมให้เรียบร้อย จากนั้นก็เข้าไปดึงมือของจวีมู่เอ๋อร์ “อย่านั่งสัปหงกอีกเลย มาฝึกปรนนิบัติดูแลข้าตื่นนอนสักนิดเถอะ”

“อ๋อ ได้ๆ” จวีมู่เอ๋อร์นั่งตัวตรง “ต้องทำอะไรบ้าง”

หลงเอ้อร์นิ่งไป นางมองไม่เห็น จะปรนนิบัติเขาได้อย่างไร หวีผมให้ก็ไม่ได้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก็ไม่ได้ จะให้นางยกน้ำล้างหน้ามาให้คงยิ่งเป็นไปไม่ได้ และการที่เขาบุกเข้าห้องหญิงสาวยามวิกาล จะให้เดินอาดๆ ออกไปอย่างเปิดเผยก็ทำไม่ได้เสียด้วย เห็นทีวันนี้เขาต้องกลับคฤหาสน์ด้วยความทุลักทุเลแล้ว

หลงเอ้อร์ขบกราม พูดเสียงแข็ง “ข้าไปล่ะ” กล่าวจบก็เดินลงส้นเท้าไปทางประตูห้อง

จวีมู่เอ๋อร์ร้องเรียกเสียงดังขึ้นอย่างฉับพลัน “ไม่ได้!”

หลงเอ้อร์ชะงักฝีเท้า มุมปากยกยิ้มขึ้น “ทำไม ไม่อยากให้ข้าไปหรือ”

“ออกทางประตูไม่ได้ ตอนกลางวันในสวนหน้าเรือนพักมีคนเดินไปมา หากมีใครเห็นท่านหลงเอ้อร์เข้าคงไม่ดี” จวีมู่เอ๋อร์ชี้ไปทางหน้าต่างด้านหลัง “ท่านออกไปทางหน้าต่างเถอะ”

หลงเอ้อร์โกรธจนควันขึ้นหัว

“เจ้าจะให้ข้าปีนหน้าต่างหรือ” เขาไม่มีทางออกไปทางนั้นอย่างแน่นอน เขาจะรอดูให้แน่ใจก่อนว่าด้านนอกไม่มีคนแล้วค่อยเปิดประตูออกไป แม้ว่าคำพูดของนางจะมีเหตุผล แต่การบอกให้เขาปีนหน้าต่างตรงๆ เช่นนี้ ยังคงทำให้เขาไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง

“ไม่ต้องปีนก็ได้ ท่านต้องมีวิชาตัวเบาเป็นแน่ กระโดดออกไปดีกว่า”

“มีอะไรแตกต่างกัน?” หลงเอ้อร์ยังคงโกรธอยู่ หากรู้แต่แรกคงไม่มาหานางแล้วทำให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบากเช่นนี้

ในตอนนี้เองนอกประตูก็มีเสียงร้องเพลงเบาๆ ของผู้เฒ่าจวีดังลอดเข้ามา ผ่านไปสักครู่ก็ได้ยินเสียงเขายกของ จวีมู่เอ๋อร์ตื่นตัวขึ้นมาบ้าง ส่วนหลงเอ้อร์สองแขนกอดอก ตั้งใจพูดให้นางกังวล “ข้าจะไม่ออกทางหน้าต่าง”

“เช่นนั้นเมื่อคืนท่านเข้ามาอย่างไร” นางพูดเพียงประโยคเดียวก็อุดปากเขาไว้ได้

ก่อนนอนนางลงกลอนประตูแล้ว แต่แง้มหน้าต่างไว้เพื่อระบายลม เมื่อคืนท่านหลงเอ้อร์ไม่ได้เรียกให้นางเปิดประตู และด้วยนิสัยของเขาคงไม่ลอบถอดสลักกลอนประตูแน่นอน ดังนั้นคงจะกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง

แต่การกระโดดเข้ามาเองกับถูกคนบอกให้กระโดดออกไปเป็นคนละเรื่องกัน

หลงเอ้อร์จ้องหน้าจวีมู่เอ๋อร์ แต่นางมองไม่เห็นเขา ดังนั้นจึงแสดงสีหน้าใสซื่อใส่เขา หลงเอ้อร์ยิ่งจ้องยิ่งหมดอารมณ์สนุก มีคนจำนวนมากยอมจำนนต่อแววตาดุดันของเขา แต่วิธีการนี้ใช้ไม่ได้กับคนตาบอดเช่นนาง

ตอนนี้หญิงตาบอดผู้นี้ยังเอ่ยถามอีกว่า “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านยังจ้องข้าอยู่อีกหรือ”

หลงเอ้อร์ไม่ได้ตอบ เพียงกระโดดออกทางหน้าต่างไปอย่างไร้เสียง

หลงเอ้อร์ไม่ได้ล้างหน้าไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ยังต้องแอบมาปลดทุกข์ในป่าอีกด้วย จากนั้นเขาจึงขี่ม้ากลับคฤหาสน์ไปด้วยสภาพเนื้อตัวไม่เรียบร้อยเท่าใดนัก ตลอดทางยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ หากเขายังไปเยี่ยมนางอีก เขาก็ไม่ใช่หลงเอ้อร์แล้ว!

เหตุใดเขาจึงคิดว่าหญิงผู้นั้นมีใจต่อเขาได้ นางแค่อยากทำให้เขาโกรธจนตายต่างหาก หึ รอดูต่อไปแล้วกันว่าหากนางแต่งเข้าสกุลหลงแล้ว เขาจะให้นางได้เรียนรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าอำนาจของสามี

แต่ก่อนจะแสดงอำนาจของสามี ต้องเป็นสามีแล้วจึงจะทำได้ และการเป็นสามีต้องเข้าพิธีไหว้ฟ้าดินอย่างเป็นทางการก่อนจึงจะสมบูรณ์

ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงเก็บความคิดของตนเอาไว้ก่อน รอคอยวันแต่งงานที่จะมาถึงอย่างยากลำบาก

 

ตามประเพณีของแคว้นเซียว ก่อนแต่งงานชายหญิงสองสกุลต้องนำใบชื่อแซ่ดวงชะตาของทั้งสองฝ่ายไปขอพรจากพระโพธิสัตว์เพื่อขอให้คุ้มครองชีวิตหลังแต่งงานให้มีความสุขงดงาม มีลูกเต็มบ้าน อยู่กันจนแก่เฒ่า

ตามประเพณีแล้ว วันนี้เป็นวันที่จวีมู่เอ๋อร์ต้องไปจุดธูปขอพรที่วัดฝูหลิง และตามธรรมเนียมแล้ว ชายหญิงทั้งสองฝ่ายต้องแยกวันกันไป ดังนั้นวันนี้หลงเอ้อร์จึงไม่อาจไปด้วยได้ มีเพียงผู้เฒ่าจวีกับซูฉิงตามนางไป ส่วนองครักษ์สกุลหลงอีกสองคนนั้นคอยเฝ้าอยู่ห่างๆ

หลังจากจวีมู่เอ๋อร์ไหว้พระโพธิสัตว์เสร็จแล้ว ผู้เฒ่าจวีอยากจะซื้อธูปมาไหว้แม่ของจวีมู่เอ๋อร์บ้าง อยากบอกให้นางที่อยู่ในปรโลกสบายใจ เขาจึงบอกให้บุตรสาวอยู่รอด้านนอก

วัดฝูหลิงเป็นวัดใกล้เมืองหลวงที่มีคนมาจุดธูปไหว้พระมากที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาสิ้นปี ผู้คนจำนวนมากจึงพากันมาจุดธูปขอพร ในวัดมีผู้คนพลุกพล่าน ควันธูปลอยคลุ้ง ดังนั้นคนเดินสวนกันไปมาย่อมเกิดการชนขึ้นมาได้ จวีมู่เอ๋อร์ตาบอดเดินไม่สะดวก นางจึงบอกว่าจะกลับไปรอที่รถม้า ผู้เฒ่าจวีตอบตกลง ดังนั้นซูฉิงจึงประคองจวีมู่เอ๋อร์เดินช้าๆ ไปยังลานพักรถม้านอกวัด

เนื่องจากวันนี้มีคนมาจุดธูปไหว้พระเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องจอดรถม้าไว้ค่อนข้างไกล จวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงสองคนเดินไปครู่ใหญ่ ซูฉิงก็วิ่งกระโดดไปมาแวะเข้าไปเด็ดผลไม้ป่าในป่าเล็กข้างทาง ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ยืนรออยู่ข้างทาง จู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์หลายคนโผล่มาจับตัวจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้

ชายคนที่เป็นหัวหน้าพูดเสียงดังว่า “รีบมาดูหญิงคนนี้สิ ข้าหมายตาเอาไว้แล้ว ปีใหม่เช่นนี้ควรหาเมียกลับบ้านไปอุ่นเตียงให้สักคน”

ชาวบ้านรอบข้างต่างตกใจจนรีบวิ่งหนี ผู้ที่มีสตรีหรือสาวใช้มาด้วยพากันวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ซูฉิงตะโกนเรียกเสียงดัง “พี่มู่เอ๋อร์” จากนั้นก็วิ่งทะยานไปหาจวีมู่เอ๋อร์ทันที นางวิ่งพลางร้องเรียก “พี่เฉินช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!”

ในตอนนี้เองมีรถม้าคันหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่มาเพื่อรับชายฉกรรจ์เหล่านั้น

เหล่าชายฉกรรจ์ดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ที่ต่อสู้ขัดขืนตะโกนขอความช่วยเหลือ จะฉุดกระชากนางขึ้นไปบนรถ จากนั้นองครักษ์เฉินที่เร่งรุดมาถึงก็กระโดดลอยตัว ชักกระบี่แทงไปยังหัวหน้าชายฉกรรจ์ที่จับตัวจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้

ชายฉกรรจ์เหล่านั้นรู้หน้าที่กันเป็นอย่างดี สามคนในนั้นหมุนตัวกลับ ตวัดดาบไปทางองครักษ์เฉินที่ตามมา องครักษ์สกุลหลงอีกคนหนึ่งที่ตามมาถึงแล้วเช่นกันคิดจะตัดเชือกที่เชื่อมรถม้ากับตัวม้า แต่ถูกชายฉกรรจ์สองคนขวางเอาไว้

ซูฉิงหวีดร้องเสียงดังแต่ไม่ได้หยุดฝีเท้า จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงก็ตะโกนพูดลนลาน “ฉิงเอ๋อร์เจ้ารีบหนีไป อย่าเข้ามา หนีไป!”

นางพูดยังไม่ทันจบก็ถูกผู้เป็นหัวหน้าโยนขึ้นไปบนรถม้าเสียแล้ว จวีมู่เอ๋อร์หัวชนเข้ากับตัวรถ ปลายคางถูกไม้เท้ากระแทก นางมองไม่เห็นอีกทั้งยังได้ยินรอบข้างมีเสียงดังอึกทึกครึกโครมจึงไม่กล้าขัดขืน เพียงจับไม้เท้าเอาไว้แน่น นางได้ยินซูฉิงตะโกนว่า ‘ปล่อย’ ได้ยินเสียงหวีดร้องของนาง และเสียงคนต่อสู้กัน

ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “สาวน้อยคนนี้ดูท่าจะชอบพวกเรานะ เอาตัวไปด้วยดีกว่า เพิ่มมาอีกคนก็ดี” จวีมู่เอ๋อร์ทั้งตกใจและหวาดกลัว กลัวว่าจะเป็นอย่างที่นางคิด ปรากฏว่ามีคนคนหนึ่งถูกโยนเข้ามาปะทะตัวนางอย่างแรง พิสูจน์ได้ว่าการคาดเดาของนางเป็นจริง

จวีมู่เอ๋อร์ร้องอย่างตกใจ “ฉิงเอ๋อร์?”

ซูฉิงกอดนางไว้แน่น “พี่มู่เอ๋อร์”

“ข้าบอกให้เจ้าหนีไป ให้เจ้าหนีไป ทำไมจึงไม่ทำ” จวีมู่เอ๋อร์ทั้งลนลาน ว้าวุ่น และร้อนใจ นางทำอะไรไม่ได้เลย ดวงตามืดบอดของนางคือภาระ

รถม้าเริ่มเคลื่อนที่ จากนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงร้องขององครักษ์เฉิน ตามด้วยเสียงหัวเราะได้ใจของเหล่าชายฉกรรจ์ ซูฉิงน้ำเสียงสั่นเครือ “พี่เฉิน พี่เฉินล้มลงแล้ว”

ล้มลงแล้ว? เลือดในกายจวีมู่เอ๋อร์พลันแข็งตัวลงในทันใด

รถม้ายิ่งวิ่งยิ่งเร็ว หัวหน้าชายฉกรรจ์กระโดดขึ้นรถแล้วปิดประตู ส่วนคนอื่นๆ ต่างขึ้นขี่ม้า คุมขนาบข้างรถม้าจากมาพร้อมกัน ปากก็พร่ำพูดเสียงดังว่า “ปีใหม่ได้แต่งเมียแล้วโว้ย!”

ท่ามกลางสายตาชาวเมืองทั้งหลาย พวกเขาชิงตัวคนจากไปอย่างไม่หวาดเกรงผู้ใด

บทที่สิบสาม

 

เกิดเรื่องกับหญิงตาบอดจวีมู่เอ๋อร์อีกแล้ว!

คู่หมั้นหมายของท่านหลงเอ้อร์ถูกลักพาตัวไปจากหน้าวัดฝูหลิง!

ในวันปีใหม่ โจรภูเขาออกมาลักพาตัวคนแล้ว!

ข่าวกระจายจากปากต่อปากลุกลามรวดเร็วดั่งไฟเข้าไปในเมือง

หลงเอ้อร์รีบกลับไปที่คฤหาสน์สกุลหลง องครักษ์ทั้งสองคนที่ส่งไปยังสกุลจวีมีเลือดท่วมตัว ท่านหมอกำลังช่วยชีวิตอยู่ ส่วนผู้เฒ่าจวีน้ำมูกน้ำตาไหลพราก มือเท้าสั่นเทา พูดอะไรไม่ออก

พอเขาเห็นหลงเอ้อร์กลับมาก็กระโจนเข้าไปหา กุมมือเอาไว้แน่น ริมฝีปากสั่นเทาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ระหว่างทางที่กลับมาหลงเอ้อร์ได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว ตอนนี้เขายังไม่มีใจไปปลอบใจผู้เฒ่าจวี จึงกดตัวผู้เฒ่าจวีให้นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพูดว่า “ท่านนั่งเฉยๆ ข้าจะจัดการเอง”

ผู้เฒ่าจวีน้ำตาอาบใบหน้า พยักหน้าไม่หยุด

ตอนที่องครักษ์ทั้งสองคนถูกส่งกลับมา พ่อบ้านเถี่ยก็รีบสอบถามเรื่องราวจากพวกเขาเอาไว้ ในตอนนี้นายท่านรองกลับมาแล้ว พ่อบ้านเถี่ยจึงรีบเข้าไปเล่ารายละเอียดให้ฟัง หลงเอ้อร์รับฟังด้วยสีหน้าเยือกเย็นราวน้ำแข็ง เขาเข้าไปดูอาการขององครักษ์ทั้งสองคนก่อน จากนั้นจึงหันหน้าไปถามหลี่เคอว่า “คนพร้อมแล้วหรือ”

“พร้อมแล้วขอรับ มีแปดคนออกไปสืบข่าวก่อนแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ต่างรอคำสั่งของนายท่านรองอยู่ขอรับ”

หลงเอ้อร์พยักหน้าแล้วหันไปทางพ่อบ้านเถี่ย “เจ้าไปแจ้งความที่จวนว่าการ นอกจากนี้ไปสอบถามดูว่าระยะนี้มีความเคลื่อนไหวใดเกี่ยวกับโจรภูเขาบ้างหรือไม่ แล้วนำข่าวทั้งหมดที่พวกเขาบันทึกเกี่ยวกับคดีกลับมารายงานข้า อีกอย่างหนึ่ง ให้จวนว่าการจัดกำลังคนไปตรวจค้นรอบเขตที่โจรภูเขาเคยลงมือเคลื่อนไหวด้วย”

พ่อบ้านเถี่ยรับคำ หลงเอ้อร์ถามอีกว่า “เจ้าสามกลับมาหรือยัง”

“กลับมาแล้ว” ผู้ที่ตอบคือเฟิ่งอู่ “ท่านพี่ได้ยินเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้กำลังออกไปพบสหายเพื่อสืบข่าว”

หลงเอ้อร์พยักหน้าอีกครั้ง เดินออกไปด้านนอกพลางสั่งการแก่หลี่เคอ “เหลือสองกลุ่มไว้รอคำสั่ง ที่เหลือกระจายออกไปให้หมด ส่งคนไปจับตาดูที่คฤหาสน์สกุลติงและสกุลอวิ๋นเอาไว้ด้วย วันนี้ต้องหาตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้เจอ”

หลี่เคอรับคำสั่ง คนในเรือนรีบกระจายตัวออกไปทำหน้าที่ของตน ส่วนหลงเอ้อร์เดินตรงออกไปขึ้นม้าแล้วขี่ไปทางวัดฝูหลิงทันที

ในตอนนี้นอกวัดฝูหลิงเงียบสงบมาก ทุกคนกลัวว่าหากอยู่นานจะถูกโจรปล้นจึงพากันรีบกลับบ้านไป เมื่อหลงเอ้อร์ไปถึงที่นั่น รอยเลือดบนพื้นทำให้เขารู้ว่ามาถึงสถานที่ที่พวกองครักษ์เฉินต่อสู้กับคนร้ายแล้ว ซึ่งก็คือสถานที่ที่จวีมู่เอ๋อร์ถูกลักพาตัวไปเช่นกัน

หลงเอ้อร์ลงจากหลังม้า เดินวนดูรอบๆ สถานที่แห่งนั้นหนึ่งรอบ เมื่อสายสืบของคฤหาสน์สกุลหลงสองคนที่ล่วงหน้ามาก่อนเห็นผู้เป็นนายก็รีบเข้ามาทำความเคารพ แล้วแจ้งข่าวที่สืบความมาได้ทั้งหมดแก่หลงเอ้อร์

ตามที่ผู้เห็นเหตุการณ์เล่า โจรเหล่านั้นเดินทะลุออกมาจากป่าอีกฝั่งหนึ่ง พวกเขาพูดเพียงว่าจะมาหาเมีย ไม่ได้เรียกชื่อกันและกัน และไม่ได้พูดถึงสถานที่ใดๆ ฟังดูเหมือนไม่มีเป้าหมายเจาะจง หลังจากจับตัวคนได้แล้วก็มีรถม้ากับม้าวิ่งเข้ามารับตัวพวกเขา จากนั้นจึงรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว สายสืบทั้งสองคนเดินสำรวจตามเส้นทางที่ผู้เห็นเหตุการณ์บอกเอาไว้แล้ว แต่ไม่พบเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์

หลงเอ้อร์ฟังแล้วก็มีสีหน้าเคร่งเครียด นิ่งเงียบไม่พูดจาอยู่นาน

เป็นโจรประเภทใดกัน พวกมันถูกลาเตะหัวมาหรือจึงกล้ามาลักพาตัวคนจากหน้าวัดที่มีคนมารวมตัวกันราวกับมดแมลงเช่นนี้ กลัวจะไม่มีใครรู้หรืออย่างไร

แม้มู่เอ๋อร์จะเป็นคนที่เขาชอบ แต่หากวิเคราะห์ตามความจริงแล้ว นางเป็นเพียงหญิงที่มีรูปลักษณ์ปานกลาง มีดีที่ความสุภาพเรียบร้อย และฉลาดหลักแหลมเท่านั้น หญิงสาวที่มาขอพรในวัดฝูหลิงมีมากมายขนาดนั้น เขาไม่เชื่อว่าโจรเหล่านั้นเพียงแค่มองก็จะหมายตามู่เอ๋อร์ของเขาเอาไว้ดังที่พูดออกมา

รวมทั้งในมือมู่เอ๋อร์ยังถือไม้เท้าของคนตาบอดเอาไว้ ยิ่งเป็นที่สะดุดตา เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าพวกโจรจะเลือกลงมือกับคนตาบอด หากเป็นโจรธรรมดาจริงจะทำเรื่องยุ่งยากเช่นนั้นไปทำไม

อีกอย่างหนึ่ง แม้องครักษ์ทั้งสองคนที่เขาส่งไปจะไม่มีวรยุทธ์เหนือคนเหมือนหลี่เคอ แต่ก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มีฝีมือไม่เลวนัก การที่โจรเหล่านั้นสามารถทำร้ายองครักษ์ทั้งสองคนให้บาดเจ็บเช่นนี้ได้ ดูแล้วคงไม่ใช่ระดับธรรมดาสามัญ และหากพวกเขามีฝีมือถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงไม่ปล้นทรัพย์จับหญิงสาวไปให้มากหน่อย ทำไมจึงจับเพียงมู่เอ๋อร์ของเขาไป เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร

หลงเอ้อร์ยิ่งคิดสีหน้ายิ่งไม่น่าดู เขาสั่งการให้เหล่าสายสืบไปสืบต่อ บอกพวกเขาว่าได้ส่งคนออกมาเพิ่มแล้ว ดังนั้นให้พวกเขาตามดูไปตลอดทางสายนี้ หากมีข่าวอะไรก็ให้กลับไปรายงานที่คฤหาสน์สกุลหลง

สายสืบรับคำ หลงเอ้อร์จึงขึ้นม้าและควบไปทางจวนที่พักของติงเซิ่งเสนาบดีกรมอาญา

วันนี้อากาศหนาวเป็นพิเศษ ลมที่พัดมาตลอดทางจึงเย็นเฉียบ หลงเอ้อร์ลงแส้อย่างหนักเพื่อให้ม้าวิ่งเร็วดังใจหวัง แต่กลับรู้สึกว่าได้ลงแส้ไปที่ใจของตัวเอง เจ็บจนเขาหายใจแทบไม่ออก

ท่าทางของจวีมู่เอ๋อร์ที่ขมวดคิ้วเม้มปากตอนที่ไม่พอใจเขา สีหน้าตอนที่นางแกล้งเขาแล้วแอบหัวเราะ รวมถึงการแกล้งทำโอนอ่อนผ่อนตามทั้งๆ ที่ไม่ยินดี…ภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นในสมองของหลงเอ้อร์เป็นฉากๆ

หลงเอ้อร์มีสีหน้าเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง แต่ในใจลุกโชนด้วยไฟแค้น เขาสาบานว่าจะจับตัวคนที่รังแกและลักพาตัวนางให้ได้ จากนั้นก็จะเฉือนร่างมันออกเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น สับให้ละเอียดแล้วเอาไปเลี้ยงสุนัข

ติงเซิ่งรู้สึกประหลาดใจกับการมาของหลงเอ้อร์ แต่ครั้งนี้หลงเอ้อร์ไม่มีอารมณ์มาพูดจามีมารยาทกับเขา จึงพูดตามตรง “วันนี้คู่หมั้นของข้าถูกลักพาตัวที่หน้าวัดฝูหลิง ข้ามาพบแม่นางติงเพื่อถามอะไรบางอย่าง”

ติงเซิ่งรีบสั่งให้คนไปที่เรือนพักด้านหลัง ตามติงเหยียนซานออกมา จากนั้นจึงเตรียมน้ำชา เชิญให้ท่านหลงเอ้อร์นั่งรออย่างมีมารยาทก่อนจะสอบถามเรื่องราวอย่างละเอียด ติงเซิ่งสัญญาว่าเขาจะส่งคนไปช่วยตามหาอีกแรง

ในตอนนี้เองติงเหยียนซานก็ออกมาพอดี นางที่ได้พบหน้าหลงเอ้อร์เหมือนไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างที่ผ่านมา แต่กลับกระวนกระวายอยู่บ้าง นางมองหน้าติงเซิ่งแล้วสลับไปมองหน้าหลงเอ้อร์ จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ท่านหลงเอ้อร์มาที่นี่มีธุระอะไรหรือ”

หลงเอ้อร์ถามอย่างตรงไปตรงมา “มู่เอ๋อร์ถูกคนลักพาตัวไป เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่”

ติงเหยียนซานตะลึงไป แต่ต่อมาก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง เอ่ยปากพูดอย่างตกใจ “ข้าจะทำได้อย่างไร ข้าไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำไป”

ติงเซิ่งที่อยู่ด้านข้างเล่าเรื่องราวอย่างคร่าวๆ จากนั้นจึงพูดกับบุตรสาวว่า “ซานเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็พูดให้ชัดแจ้งเลยดีกว่า”

ติงเหยียนซานจึงพูดเสียงดัง “ไม่เกี่ยวข้องกับข้าอยู่แล้ว ข้าจะไปยุ่งเกี่ยวกับโจรเหล่านั้นได้อย่างไร ข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่”

หลงเอ้อร์ยิ้มเย็นชา “แม่นางติงถ่อมตัวเกินไปแล้ว หลายวันก่อนเจ้าหาอันธพาลสองคนมาลงไม้ลงมือกับมู่เอ๋อร์บนถนน แล้วให้คนสาดน้ำสกปรกใส่นาง วันก่อนยังลงมือเองอย่างอาจหาญโดยไม่กลัวเกรง วันนั้นเจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าให้นางรอดูต่อไป เหตุใดวันนี้จึงพูดว่าตัวเองไร้ความสามารถเช่นนี้กันล่ะ”

ติงเหยียนซานถูกคำเหน็บแนมของเขาทำร้ายจิตใจ ใบหน้าแดงก่ำ “นั่นเป็นเพียงการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่เรื่องลักพาตัวฆ่าคนข้าไม่ทำเด็ดขาด ข้าไม่รู้จักโจรภูเขาพวกนั้นด้วย อันธพาลในวันนั้นข้าก็ให้คนในจวนปลอมตัวไป ข้าไม่ได้เป็นคนทำเรื่องลักพาตัวหญิงแพศยาคนนั้น หากข้าใจร้ายถึงเพียงนั้น จะลักพาตัวนางให้ยุ่งยากไปทำไม ฆ่านางให้จบเรื่องไปเลยดีกว่า”

“ซานเอ๋อร์!” ติงเซิ่งตะคอก หยุดยั้งติงเหยียนซานที่พูดโดยไม่คิด

ติงเหยียนซานปิดปากทันที นางกัดริมฝีปากแน่น สุดท้ายจึงพูดว่า “สรุปคือข้ากล้าสาบาน จะให้สาบานอะไรก็ได้ เรื่องนี้ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น”

หลงเอ้อร์จ้องนางด้วยสายตาเย็นชาอยู่นาน ก่อนจะเดินเข้าใกล้นางสองก้าว พูดลอดไรฟันว่า “เจ้านั่นแหละหญิงแพศยา!”

ติงเหยียนซานตัวสั่นระริก หันหน้าไปมองหลงเอ้อร์ ขอบตาแดงเรื่อทันที จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมา ติงเซิ่งได้ยินคำพูดของหลงเอ้อร์ก็ไม่พอใจมาก กำลังจะตะคอกตำหนิเขา แต่หลงเอ้อร์กลับชิงพูดขึ้นก่อนว่า “อย่าให้ข้าสืบรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนใดคนหนึ่งในสกุลติงนะ”

ความรังเกียจที่ฉายชัดในดวงตาของเขาทำให้ติงเหยียนซานทนไม่ไหว นางตะโกนเสียงดัง “ท่านรังแกกันเกินไปแล้ว” นางหยิบถ้วยชาบนโต๊ะสาดไปที่หลงเอ้อร์

น้ำชาสาดรดแผ่นอกของหลงเอ้อร์ แต่เขาไม่ได้ขยับ เพียงแค่จ้องนางด้วยแววตาเย็นชา จากนั้นก็ก้มหน้าลง ใช้มือปัดเศษใบชาบนเสื้อ ก่อนหมุนตัวเดินจากไปเขาได้ทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยค

“ไม่ใช่หญิงทุกคนที่สาดน้ำชาใส่ข้าแล้วข้าจะชอบ”

 

รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตัวรถโคลงเคลงอย่างแรง

จวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงกอดกันแน่น ซุกตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของรถ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเพราะบนรถยังมีชายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย

หัวหน้าโจรคนนั้นนั่งอยู่ตรงข้ามกับพวกนาง เขามีหนวดเฟิ้มทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ในมือถือมีดสั้นไว้ใช้ขู่หญิงสาวทั้งสองไม่ให้ส่งเสียง ดวงตาที่ฉายแววร้ายกาจกับท่าทางกรุ้มกริ่มรวมทั้งกล่าววาจาน่ารังเกียจบ่อยครั้งทำให้หญิงสาวทั้งสองกลัวจนตัวสั่น

จวีมู่เอ๋อร์พยายามสงบจิตใจ นางแอบเขียนอักษรลงบนฝ่ามือของซูฉิงว่า ’จำทาง’ ซูฉิงบีบมือของจวีมู่เอ๋อร์ บอกเป็นนัยว่าตนเข้าใจแล้ว

รถม้าคันนี้ตกแต่งเรียบง่าย ระหว่างแผ่นไม้ของตัวรถมีร่องไม้ ซูฉิงจึงทำทีกอดจวีมู่เอ๋อร์ไว้ แอบมองลอดระหว่างช่องว่างออกไปดูนอกรถ

ซูฉิงมองอย่างตั้งใจ นางต้องรู้ว่าพวกนางถูกพาตัวไปที่ใด หากโชคดี บางทีอาจมีโอกาสหนีได้

รถเคลื่อนที่อยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม เลี้ยวไปมาหลายโค้ง จากนั้นจึงเข้าสู่ทางขึ้นภูเขา

ทางขึ้นภูเขาอันตราย รถม้าวิ่งไปได้เพียงครึ่งทางก็ไปต่อไม่ได้อีก หัวหน้าโจรเปิดประตูออกด้วยท่าทางกักขฬะ จากนั้นยื่นมือไปดึงตัวซูฉิงแล้วลากนางลงจากรถ

ซูฉิงกับจวีมู่เอ๋อร์หวีดร้องขึ้นพร้อมกัน จับมือกันไว้ไม่ยอมปล่อย สุดท้ายคนทั้งสองจึงถูกลากตัวลงมาแล้วเหวี่ยงลงพื้นไปด้วยกัน

เหล่าโจรพากันลงจากหลังม้า สามคนในนั้นจูงม้าทั้งหมดเดินเข้าไปในป่าทึบ ซูฉิงเห็นแล้ว ใจคิดว่าในป่านั้นคงมีที่ซ่อนม้าอยู่

ในตอนนี้รถม้าก็เปลี่ยนทิศทางเคลื่อนลงจากเขากลับไปทางเดิม หัวหน้าโจรใช้แรงดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นมา ซูฉิงรีบลุกขึ้นกอดจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้แน่น

หัวหน้าโจรคนนั้นเหลือบมองซูฉิงด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วปล่อยตัวจวีมู่เอ๋อร์ ตะโกนเสียงดังว่า “พี่น้องทั้งหลาย ไปกันเถอะ”

ชายฉกรรจ์ทั้งหลายแบ่งกลุ่มคนออกเป็นหน้าหลังสองกลุ่ม ประกบหญิงสาวสองคนไว้ตรงกลาง เดินขึ้นเขาไปพร้อมกัน

จวีมู่เอ๋อร์ที่ตาบอดเดินได้ช้า สะดุดเศษดินเศษหินบ่อยครั้ง ถูกโจรที่อยู่ด้านหลังตะคอกและผลักให้นางเดินเร็วๆ นางเม้มริมฝีปากพยายามเดินต่อไปข้างหน้า ในมือกุมไม้เท้าเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย กลัวว่าหากไม่ระวังจะทำไม้เท้าหล่นหาย และโจรเหล่านี้คงไม่ใจดีถึงขั้นเก็บกลับมาให้นางแน่นอน

ซูฉิงประคองนาง เดินไปพลางแอบจำทางไปพลางอย่างระมัดระวัง

กลุ่มคนทั้งหลายเดินอยู่นาน ในที่สุดก็เข้ามาในป่าลึก เหล่าโจรแหวกกำแพงพุ่มไม้ทึบออก จากนั้นเรือนสีเทาหลายหลังก็ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า

จวีมู่เอ๋อร์มองไม่เห็น เพียงตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียง พยายามเดินตามฝีเท้าของทุกคน ส่วนซูฉิงช้อนตาขึ้นจ้องเรือนนั้น ในใจแทบหมดสิ้นซึ่งความหวัง สถานที่ลึกลับเช่นนี้ คนที่ตามมาช่วยพวกนางจะหาเจอได้อย่างไร

ด้านจวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงกำลังถูกเหล่าชายฉกรรจ์คุมตัวเข้าไปในเรือน ส่วนด้านหลงเอ้อร์ ตอนนี้เขากำลังเดินออกจากคฤหาสน์สกุลติง

เมื่อออกมาก็เหลือบมองเข้าไปในตรอกถนนฝั่งตรงข้ามโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นจึงขี่ม้าจากไปท่ามกลางสายตาคนเฝ้าประตูกับพวกบ่าวของสกุลติง

ภายในคฤหาสน์สกุลติง ติงเซิ่งกำลังโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ส่วนติงเหยียนซานปิดหน้าร้องไห้อย่างปวดใจ

ติงเซิ่งเอ่ยปากด่า “ร้องทำไม ไร้ประโยชน์กันทั้งนั้น!”

“เขาดูหมิ่นข้าเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าจะกล้าทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร เขามองข้าเช่นนั้นได้อย่างไร” ติงเหยียนซานทั้งเสียใจและโมโห

ส่วนติงเซิ่งที่ถูกหลงเอ้อร์บุกเข้ามาพูดเหยียดหยามถึงที่มีไฟโทสะเต็มท้องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่ตอนนี้บุตรสาวมานั่งร้องไห้ฟูมฟายยิ่งเป็นการกระพือให้ไฟโกรธของเขารุนแรงเพิ่มมากขึ้นไปอีก เขาจึงเอ่ยปากด่า “เจ้าทำเรื่องเช่นนั้นไม่ได้หรอก เจ้าไม่มีสมองถึงขั้นนั้น เจ้าลูกโง่! ข้าให้กำเนิดพวกเจ้ามามีประโยชน์อะไรกัน รู้จักแต่หาความยุ่งยากมาให้”

ติงเหยียนซานถูกตะคอกจนตัวสั่น นางเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อ ติงเซิ่งกลับด่าต่อ “กลับห้องเจ้าไปซะ อย่ามาอยู่ตรงนี้ให้ข้ารำคาญใจ”

ติงเหยียนซานกัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น จากนั้นจึงหมุนตัววิ่งออกไปทั้งน้ำตา

เมื่อติงเหยียนซานจากไป บ่าวคนหนึ่งก็เข้ามารายงานติงเซิ่งเสียงต่ำว่า “ท่านหลงเอ้อร์มาคนเดียว เมื่อครู่ก็จากไปตามลำพัง ไม่มีใครติดตามข้างกายขอรับ”

ติงเซิ่งเดินกลับไปกลับมาหลายรอบ แล้วจึงพยักหน้าโบกมือให้บ่าวคนนั้นถอยออกไป

หลงเอ้อร์ออกจากคฤหาสน์สกุลติง จากนั้นก็ควบม้ามุ่งตรงไปที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋นโดยไม่หยุดพัก

ที่มุมถนนไม่ไกลจากคฤหาสน์สกุลอวิ๋นเท่าไรนัก มีแผงขายของเล็กๆ สองแผงกำลังร้องเรียกลูกค้า ขณะที่หลงเอ้อร์ผ่านไป ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย เจ้าของแผงยกของเล่นในมือขึ้นตะโกนขาย แต่หลงเอ้อร์ไม่ได้หันกลับมามองพวกเขา ควบม้าตรงไปที่ประตูคฤหาสน์สกุลอวิ๋น

อวิ๋นชิงเสียนเพิ่งได้รับข่าวจวีมู่เอ๋อร์ถูกลักพาตัวไปเช่นกัน ขณะที่เขากำลังบอกกับติงเหยียนเซียงว่าจะนำคนออกไปตามหาจวีมู่เอ๋อร์ก็ได้ยินว่าท่านหลงเอ้อร์มาเยือน จึงรีบให้บ่าวไปเชิญเขาเข้ามา

เมื่อเขาพบหน้า อวิ๋นชิงเสียนก็รีบพูดว่า “ท่านหลงเอ้อร์มาด้วยเรื่องของแม่นางจวีใช่หรือไม่ ข้าเพิ่งได้รับข่าว กำลังคิดจะนำคนออกไปช่วยค้นหา”

หลงเอ้อร์ไม่มีอารมณ์พูดทักทายเป็นมารยาทกับเขา เอ่ยถามเสียงแข็งตรงประเด็นทันที “รู้เบาะแสของนางหรือไม่”

อวิ๋นชิงเสียนตกตะลึง ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์กับน้ำเสียงของหลงเอ้อร์เท่าไรนัก จึงตอบกลับเสียงเย็น “ยังไม่ทันนำคนออกไปค้นหา ย่อมต้องไม่รู้”

หลงเอ้อร์ถามต่อ “ใต้เท้าอวิ๋นคิดจะไปค้นหาที่ใด” น้ำเสียงเหน็บแนมนี้ฟังแล้วน่ารังเกียจยิ่งนัก

“ท่านหลงเอ้อร์!” อวิ๋นชิงเสียนโมโห “ท่านคิดว่าเรื่องนี้ข้าเป็นคนทำหรือ”

“ใต้เท้าอวิ๋นทำคดีมาไม่น้อย ย่อมต้องเข้าใจแจ่มแจ้งถึงคำว่าแรงจูงใจ ตามที่ข้าคิด ใต้เท้าอวิ๋นถูกจวีมู่เอ๋อร์ปฏิเสธการแต่งงานทำให้เสียหน้ามาก ดังนั้นความอับอายจึงกลายเป็นความโมโห สั่งการให้คนมาลักพาตัวจวีมู่เอ๋อร์ไป ใต้เท้าอวิ๋น ท่านเห็นว่าสมมติฐานนี้เป็นอย่างไร”

“ท่านอย่าพูดจาใส่ร้ายคนสิ” ติงเหยียนเซียงที่ยืนดูอยู่ด้านข้างทนไม่ไหว พูดขึ้นด้วยความโมโห “ท่านพี่ไม่ทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน”

“หากเขาไม่ทำ แล้วเจ้าล่ะ” หลงเอ้อร์หันหน้าไปมองติงเหยียนเซียง เอาไฟโทสะไปลงที่ตัวนาง “ตอนนั้นที่เจ้าบังคับให้นางแต่งงานก็ใช้ความปลอดภัยของนางกับครอบครัวนางมาบีบบังคับไม่ใช่หรือ เมื่อบังคับให้นางแต่งงานไม่สำเร็จจึงทำตามที่เคยข่มขู่เอาไว้ใช่หรือไม่”

ติงเหยียนเซียงโกรธจนหน้าเขียว แต่หลงเอ้อร์พูดจี้ใจดำนาง นางไม่รู้ว่าควรจะโต้กลับอย่างไร

อวิ๋นชิงเสียนไม่ลงรอยกับหลงเอ้อร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อรวมกับความแค้นที่เขาแย่งตัวจวีมู่เอ๋อร์ไป ทั้งตอนนี้ยังเหยียบเข้ามาในคฤหาสน์ของเขาแล้วพูดจาหยาบคายไร้มารยาทใส่พวกเขาสองสามีภรรยา เมื่อนับรวมเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกันก็ทำให้อวิ๋นชิงเสียนโกรธจนแทบจะชักกระบี่ออกมาต้อนรับแขกผู้นี้เสียตอนนี้เลย

อวิ๋นชิงเสียนสะกดกลั้นความโมโหเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว เขาตะคอกเสียงเข้มใส่หลงเอ้อร์ “ไสหัวไป!”

หลงเอ้อร์ไม่สนใจ เขามองหน้าสองสามีภรรยาสลับกันไปมา ก่อนจะยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า “คราวนี้เป็นตาข้าที่จะบอกกับพวกเจ้าแล้วว่าคอยดูกันต่อไป!”

หลงเอ้อร์สะบัดชายเสื้อเดินอาดๆ ออกจากประตูไป

ติงเหยียนเซียงปิดหน้าร้องไห้ พูดปนสะอื้น “ท่านพี่ เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ข้าทำเรื่องโง่ๆ ลงไป หากวันนั้นข้าไม่หน้ามืดตามัวไปที่บ้านสกุลจวี วันนี้คงไม่ทำให้ท่านถูกคนมาดูหมิ่นถึงที่นี่”

อวิ๋นชิงเสียนขบกรามไม่พูดจา ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถอนหายใจแล้วโบกมือ พูดออกมาว่า “ช่างเถอะๆ วันนี้พูดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาจะมีประโยชน์อะไร”

ติงเหยียนเซียงน้ำตาเอ่อแต่กลับไม่กล้าพูดอะไรอีก อวิ๋นชิงเสียนมองนางหลายครั้ง ในที่สุดก็ทนไม่ได้ ต้องยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้นาง จากนั้นก็บอกว่า “ข้าจะออกไปแล้วนะ” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินออกไป

ติงเหยียนเซียงมองตามแผ่นหลังของสามีไปแล้วกัดริมฝีปากแน่น

เมื่อหลงเอ้อร์ออกจากคฤหาสน์สกุลอวิ๋น เขาก็ไปที่จวนว่าการต่อ

พ่อบ้านเถี่ยกำลังสืบข่าวอยู่ที่นั่น พอเขาเห็นว่าหลงเอ้อร์มาจึงรีบเข้าไปรายงาน “นายท่านรอง จวนว่าการรับคดีไว้แล้วขอรับ วันนี้นอกจากแม่นางจวีแล้ว ยังมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งถูกลักพาตัวไปจากนอกเมือง แต่สถานที่และทิศทางในการลงมือแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม่นางจวีเป็นทิศตะวันออก หญิงอีกคนเป็นทิศตะวันตก โจรเหล่านั้นถึงขั้นอาจหาญบอกว่าจะเข้ามาจับผู้หญิงในเมืองอีกจำนวนหนึ่งด้วยขอรับ ตอนนี้ท่านเจ้าเมืองมีคำสั่งให้ค้นหาอย่างเต็มที่ และเพิ่มการป้องกันภายในเมืองให้แน่นหนาขึ้น ข้าน้อยได้รายละเอียดคดีและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับโจรภูเขาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ท่านเจ้าเมืองบอกว่าคดีเหล่านั้นปิดไปเรียบร้อยแล้ว รังโจรก็ถูกทลายจนหมดสิ้น เกรงว่าคงช่วยอะไรได้ไม่มากนัก ส่วนคดีที่ยังปิดไม่ได้ก็ยังไม่พบสถานที่ที่แน่ชัดขอรับ”

หลงเอ้อร์ฟังด้วยสีหน้าสงบนิ่งไร้ความรู้สึก พอฟังจบก็พยักหน้า จากนั้นจึงเข้าไปในจวนว่าการเพื่อเข้าพบท่านเจ้าเมืองชิวรั่วหมิง เขาพูดกดดันชิวรั่วหมิงด้วยตัวเอง ขอให้ช่วยตามหาจวีมู่เอ๋อร์อย่างเต็มกำลัง

เรื่องคดีของจูฟู่ในครั้งก่อนทำให้ชิวรั่วหมิงจำจวีมู่เอ๋อร์ได้อย่างแม่นยำ ในตอนนี้จึงพูดชมไม่ขาดปากว่าเพราะวันนั้นได้รับความช่วยเหลือจากแม่นางจวีจึงสามารถจับคนร้ายตัวจริงได้ เขารู้สึกตื้นตันใจมาก ดังนั้นวันนี้จะช่วยตามหานางอย่างเต็มที่แน่นอน

เมื่อหลงเอ้อร์กับชิวรั่วหมิงพูดคุยเตรียมการทุกอย่างชัดเจนแล้ว หลงเอ้อร์ก็กล่าวลาขอตัวกลับ

ระหว่างทางกลับคฤหาสน์ พ่อบ้านเถี่ยเห็นสีหน้าของนายท่านรองไร้ความรู้สึกมาตลอดทาง เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างจึงรู้สึกกังวลใจมาก เขาเห็นพี่น้องสกุลหลงเติบโตขึ้นมาด้วยกัน นายท่านรองเป็นผู้มีความสามารถที่สุดในสามพี่น้อง และมีนิสัยคาดเดาได้ยากที่สุดเช่นกัน เวลาเขาโมโหหรือต้องการประชดกลั่นแกล้งก็มักจะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ท่าทางไม่มีความรู้สึกใดเหมือนเช่นตอนนี้กลับพบเห็นได้น้อยนัก

พ่อบ้านเถี่ยกำลังคิดว่านายท่านรองที่เคยถ่วงเวลาการแต่งงานมาจนถึงทุกวันนี้โชคร้ายนัก ตอนที่คิดจะแต่งงานจริงๆ กลับทำได้ไม่ง่ายเลย ต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมาย จนกระทั่งสุดท้ายยังมาประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก หากแม่นางจวีโชคร้ายก็คงถึงขั้นเสียชีวิต แต่หากมีชีวิตรอดก็เกรงว่าคงยากจะรักษาพรหมจรรย์เอาไว้ได้ เดิมทีคำเล่าลือก็ไม่น่าฟังอยู่แล้ว ต่อไปคนจะเอาไปพูดเช่นไรก็สุดรู้ แม้จะช่วยแม่นางจวีกลับมาได้ก็ไม่รู้ว่านางจะมีสภาพเช่นไร และการแต่งงานนี้จะทำอย่างไรต่อไป

หลงเอ้อร์ลงจากม้าเดินเข้าประตูคฤหาสน์โดยมีพ่อบ้านเถี่ยเดินตามด้านหลัง พ่อบ้านเถี่ยทุกข์ใจไม่รู้จะปลอบใจนายท่านรองของตนอย่างไร

จู่ๆ หลงเอ้อร์ที่เดินอยู่ก็หันหน้ากลับมาแล้วพูดว่า “นางไม่เป็นอะไรหรอก”

พ่อบ้านเถี่ยนิ่งงัน ทำได้เพียงอ้าปากไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร

หลงเอ้อร์ที่มีสีหน้านิ่งเฉย พูดขึ้นมาอีกว่า “นางจะต้องรอจนกว่าข้าจะไปช่วย นางไม่เป็นอะไรหรอก”

พ่อบ้านเถี่ยขยับปาก คิดจะคล้อยตามพูดว่า ‘ใช่’ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหากเรื่องราวไม่เป็นไปตามที่นายท่านรองคาดหวัง เกรงว่าจะเกิดผลร้ายมากยิ่งกว่าเก่า ดังนั้นเขาจึงปิดปากเงียบดังเดิม

หลงเอ้อร์ยังคงพูดต่ออีก “นางไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าไม่รู้ว่านางฉลาดเพียงใด นางต้องรอจนกว่าข้าจะไปถึงแน่นอน”

พ่อบ้านเถี่ยเห็นท่าทางเขาเป็นเช่นนี้แล้วขอบตาก็รู้สึกร้อนผ่าว น้ำตาแทบจะไหลออกมา แต่หลงเอ้อร์ไม่สนใจ รีบหมุนตัวเดินเข้าไปในเรือน

หลี่เคอรีบเข้ามารายงาน “ติดตามแกะรอยไปทางที่รถม้าลักพาคนไป แต่ระหว่างทางมีทางแยกมากมาย ตอนนี้ยังไม่มีข่าวดีอะไรขอรับ”

“แล้วความเคลื่อนไหวของคฤหาสน์สกุลติงกับสกุลอวิ๋นล่ะ” หลงเอ้อร์เอ่ยถาม วันนี้เขาบุกไปเหยียบย่ำพวกนั้นถึงที่ ปกติควรมีปฏิกิริยาอะไรกลับมาบ้าง

“ใต้เท้าอวิ๋นออกจากคฤหาสน์สกุลอวิ๋นก็ไปรวบรวมกำลังคนที่กรมอาญา จากนั้นนำคนออกไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะไปตามหาแม่นางจวีเช่นกัน สายสืบแยกกันไปตามหลายเส้นทาง เหลือคนสองคนไว้คอยจับตาดูใต้เท้าอวิ๋น ส่วนทางด้านคฤหาสน์สกุลติงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ขอรับ”

หลงเอ้อร์นิ่งเงียบ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นมา “หาโอกาสไปลักพาตัวติงเหยียนซาน ในเมื่อโจรเหล่านั้นบอกไว้ว่าจะมาจับตัวหญิงสาวในเมืองอีก พวกเราก็ช่วยทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆ สักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นคนของคฤหาสน์สกุลติงหรือสกุลอวิ๋นที่เป็นคนทำเรื่องนี้ หากติงเหยียนซานหายตัวไป ข้าก็อยากจะดูว่าพวกเขาจะแสร้งทำอย่างไรอีก”

หลี่เคอรับคำแล้วรีบออกไปเตรียมการทันที

หลงเอ้อร์นั่งลง ยื่นมือไปทางพ่อบ้านเถี่ย “เอกสารคดีความล่ะ” พ่อบ้านเถี่ยรีบยื่นเอกสารคดีความส่งให้ หลงเอ้อร์รับมาเปิดอ่านทีละหน้า แล้วถามด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ว่า “เจ้าสามส่งข่าวอะไรกลับมาหรือยัง”

พ่อบ้านเถี่ยรีบตอบกลับ “ยังขอรับ”

หลงเอ้อร์ถามต่อ “ที่หอคณิกาล่ะ ส่งคนไปที่นั่นบ้างหรือยัง โจรพวกนี้ชอบพูดจาโอ้อวด บางทีหญิงในหอคณิกาอาจมีเบาะแสอะไรบางอย่าง ลองไปสืบข่าวดู”

พ่อบ้านเถี่ยเอ่ยตอบ “สั่งการลงไปหมดแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวคราวตอบกลับมาขอรับ”

หลงเอ้อร์ได้ฟังก็นั่งนิ่งไปสักครู่ จากนั้นจึงก้มหน้าลงอ่านเอกสารคดีความต่อ

พ่อบ้านเถี่ยเห็นนายท่านรองนั่งนิ่งก็ลอบถอนหายใจ รีบสั่งให้บ่าวนำชาร้อนมาให้เขาหนึ่งกา ส่วนตัวเองออกไปจัดเตรียมเรื่องคนที่จะออกไปช่วยตามหาแม่นางจวี

เมื่อหลงเอ้อร์อ่านเอกสารคดีความจบก็หยิบแผนที่นอกและในเมืองหลวงมาคลี่ออกดูอย่างละเอียด ในตอนนี้เองมีสายสืบวิ่งเข้ามารายงานเสียงดัง “นายท่านรอง แม่นางติงถูกลักพาตัวไปจริงๆ แล้วขอรับ”

หลงเอ้อร์ช้อนดวงตาคมกริบขึ้นมา “เป็นฝีมือใคร”

“ชายสองคนที่แต่งตัวเป็นคนส่งของขอรับ” สายสืบตอบ “พวกเราเพิ่งเตรียมการเสร็จ คิดจะหาโอกาสลอบเข้าไปในคฤหาสน์สกุลติง กลับเห็นแม่นางติงออกมาจากทางประตูหลัง ไม่มีสาวใช้ติดตาม ท่าทางเหมือนร้องไห้มาอย่างหนัก ดูจากทิศทางที่นางเดิน น่าจะกำลังไปที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋น ขณะที่พวกเราจะลงมือ กลับมีรถม้าที่บังคับโดยชายฉกรรจ์สองคนผ่านมา พวกเขาเห็นแม่นางติงก็ทุบนางจนหมดสติ ใช้ถุงผ้าคลุมตัวแล้วโยนขึ้นไปบนรถ จากนั้นจึงออกจากเมืองไปทางประตูเมืองทิศตะวันออก”

“ตามไปแล้วหรือยัง”

“ตามไปแล้วขอรับ” สายสืบพยักหน้า “นายท่านรองโปรดวางใจ เหล่าพี่น้องรู้ความดี ไม่มีทางปล่อยให้คลาดสายตาเด็ดขาด พวกเขาไปทางทิศตะวันออก ท่านหลี่บอกให้ข้ารีบกลับมารายงานนายท่านรอง ส่วนตัวเขานำคนแอบตามไปด้วยตัวเองแล้วขอรับ”

หลงเอ้อร์พยักหน้า ก้มหน้ามองแผนที่ทางทิศตะวันออก

จากนั้นก็ตบฝ่ามือใหญ่ของตนลงไปบนแผนที่ส่วนนอกเมืองทางทิศตะวันออก

 

เรือนของกลุ่มโจรใหญ่มาก ภายในเรือนนั้นเย็นมาก ซ้ำยังมีกลิ่นอับ

จวีมู่เอ๋อร์ถูกผลักเข้ามาอย่างแรง นางเซล้มลงบนพื้น ซูฉิงจึงรีบเข้ามาประคองนางแล้วคล้องแขนดึงตัวนางถอยไปอยู่ที่มุมหนึ่งของเรือน

จวีมู่เอ๋อร์ลูบนิ้วมือ สัมผัสเปียกชื้นบนพื้นเมื่อครู่ยังติดอยู่ที่ปลายนิ้ว นางคิดว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกโจรพักอยู่เป็นประจำ

แล้วก็เป็นจริงดังคาด โจรคนหนึ่งตะโกนพูดเสียงดัง “หนาวเหลือเกิน ที่นี่มีคนจุดกองไฟไว้บ้างหรือไม่”

โจรอีกคนหนึ่งตอบกลับ “ด้านหลังมีห้องเก็บฟืน เจ้าไปหาเอาเองสิ”

โจรคนที่บ่นว่าหนาวเดินพูดพึมพำออกไป

ต่อมาจวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินพลุกพล่าน ฟังดูเหมือนเหล่าโจรกำลังเดินวนไปวนมาภายในเรือน ผ่านไปสักครู่โจรคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ดูจนทั่วแล้ว มีแค่สี่ห้องสามเตียง พวกเราคนเยอะจะพอนอนได้อย่างไร”

โจรคนหนึ่งยิ้มกรุ้มกริ่ม “จะนอนอย่างไรหรือ ก็นอนกับสาวๆ ไง” เหล่าชายฉกรรจ์ต่างพากันหัวเราะเสียงดัง

จวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงจับมือกันไว้แน่น เสียงหัวเราะของพวกเขาทำให้พวกนางอดขนลุกไม่ได้

โจรอีกคนหนึ่งพูดอีกว่า “แต่สาวๆ ไม่พอแบ่งนี่นา”

“ร้อนใจอะไรล่ะ!” หัวหน้าโจรพูดเสียงดัง “อีกสักครู่พวกเขาคงกลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะมีเหล้ามีสาวๆ พวกเราจะได้ฉลองปีใหม่กันอย่างมีความสุข”

เหล่าโจรได้ฟังก็พากันตอบรับเสียงดังว่าดี

จู่ๆ หัวหน้าโจรก็จ้องไปยังจวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงที่ขดตัวอยู่ตรงมุมห้อง ลูบปลายคางแล้วพูดว่า “หญิงสาวสองคนนี้ช่างเชื่อฟังนัก ไม่ร้อง ไม่โวยวาย ไม่วิ่งหนี น่ารักจริงๆ”

พอเขาพูดคำนี้แล้ว โจรคนอื่นๆ ก็ต่างหันไปจ้องมองหญิงสาวทั้งสองคน หนึ่งในนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “นางเป็นคนตาบอด จะวิ่งไปที่ใดได้เล่า ไม่รู้ว่าหญิงตาบอดกับหญิงตาดีจะมีรสชาติแตกต่างกันอย่างไร”

คำพูดหยาบโลนนี้ทำให้เหล่าโจรทั้งหลายพากันหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

จวีมู่เอ๋อร์กลัวจนตัวเกร็ง รู้สึกเจ็บไปทั้งร่าง ส่วนซูฉิงจับแขนนางเอาไว้แน่น เผยความกลัวในใจออกมาเช่นกัน

ผ่านไปชั่วครู่ ด้านนอกก็มีเสียงดังอึกทึก ก่อนที่ชายฉกรรจ์สี่คนจะคุมตัวหญิงสาวสองคนและแบกถุงใหญ่สามถุงเดินเข้ามา เมื่อเหล่าโจรได้พบหน้ากันแล้วก็ต่างพูดคำหยาบทั้งหัวเราะทั้งโวยวาย ชายฉกรรจ์วางถุงในมือลง จากนั้นพูดว่า “พวกเราเอาเหล้า เนื้อ และของกินจำนวนหนึ่งกลับมาด้วย วันนี้พวกเราพี่น้องมาสนุกกันสักหน่อยเถอะ”

ซูฉิงแอบมองไปโดยรอบแล้วนับจำนวน ในห้องมีโจรทั้งหมดแปดคน นางพยายามจดจำใบหน้าของพวกเขาเอาไว้ โจรคนหนึ่งหันหน้ามาสบตากับนางพอดี ซูฉิงตกใจกลัวจนห่อไหล่ก้มหน้าลง

ในตอนนี้เองหัวหน้าโจรก็พูดขึ้นว่า “ยังไม่ต้องรีบกิน รอพวกหมาจื่อสองคนนั้นกลับมาก่อน ตอนนี้พวกเรามาปรึกษาเรื่องสำคัญกัน” เขาพูดถึงตรงนี้แล้วกวาดตามอง ก่อนจะชี้นิ้วไปยังจวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิง “นำสองคนนี้ไปโยนไว้ในห้องในสุดด้านหลัง”

ครั้นจวีมู่เอ๋อร์ได้ยินคำนี้ นางจึงรู้แล้วว่าตอนนี้พวกนางสองคนยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต หากพวกโจรไม่อยากให้พวกนางได้ยินความลับ นั่นก็เท่ากับว่ายังไม่อยากสังหารพวกนางเร็วนัก

โจรคนหนึ่งเดินเข้ามาลากตัวพวกนางสองคนออกไป จวีมู่เอ๋อร์ยังคงได้ยินเสียงของหัวหน้าโจรสั่งให้นำตัวหญิงสาวที่จับมาอีกสองคนไปขังไว้ในอีกห้องหนึ่ง จากนั้นพวกเขาพูดอะไรกันอีก จวีมู่เอ๋อร์ก็ไม่ได้ยินแล้ว

พวกนางถูกผลักเข้าไปในห้องที่หนาวเย็นห้องหนึ่ง นางล้มลงบนพื้น จากนั้นประตูห้องจึงปิดลงเสียงดังกึก

“พี่มู่เอ๋อร์” ซูฉิงเห็นว่าตอนนี้ไม่มีใครจึงรีบวิ่งเข้าไปหาจวีมู่เอ๋อร์

จวีมู่เอ๋อร์กุมมือซูฉิงไว้แน่น แม้ตัวนางจะตกใจแทบตายเหมือนกัน แต่ยังคงพูดปลอบใจซูฉิง “ไม่ต้องกลัว”

ซูฉิงกวาดสายตามองไปรอบห้อง เห็นตรงริมผนังมีเตียงอยู่หนึ่งหลัง จึงประคองจวีมู่เอ๋อร์ไปนั่งลงบนเตียงก่อน

“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใด” จวีมู่เอ๋อร์ถาม

“อยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง” ซูฉิงบรรยายสภาพแวดล้อมภายในห้องให้จวีมู่เอ๋อร์ฟัง “มีหน้าต่างเล็กหนึ่งบาน มีเตียงหนึ่งหลัง ก็คือที่ที่พวกเรานั่งอยู่นี่แหละ ยังมีโต๊ะไม้ผุกับเก้าอี้ขาหักอีกอย่างละหนึ่งตัว”

จวีมู่เอ๋อร์ให้ซูฉิงพานางไปคลำดูสภาพภายในห้อง นางลูบโต๊ะเก้าอี้ แล้วจับหน้าต่าง ตัวหน้าต่างสูงไปบ้าง นางต้องยืดมือขึ้นไปจึงจะจับถูกส่วนล่างของหน้าต่างได้ นางลองดึงแต่มันไม่ขยับ สุดท้ายพวกนางจึงกลับไปนั่งที่เตียง

ห้องนี้อยู่ห่างจากห้องด้านนอกอยู่มาก ซูฉิงจึงวิ่งไปที่ประตูแล้วเอาหูแนบลงไป นิ่งอยู่สักครู่ก็บอกว่าไม่ได้ยินอะไรเลย

ตอนนี้ไม่มีคนร้ายคอยจับตามองแล้ว พวกนางจึงไม่กลัวเท่าเมื่อครู่ ซูฉิงวิ่งกลับไปอยู่ข้างกายจวีมู่เอ๋อร์แล้วพูดเสียงเบา “ไม่รู้ว่าแม่นางสองคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง”

จวีมู่เอ๋อร์ก้มหน้าลง นิ้วมือที่กุมไม้เท้าไว้แน่นของนางซีดขาว “ข้าทำให้เจ้าลำบาก ฉิงเอ๋อร์”

“พี่อย่าพูดแบบนี้ สถานการณ์ในตอนนั้นข้าทิ้งพี่ไปโดยไม่สนใจไม่ได้ หากข้าจะโทษต้องโทษคนร้ายเหล่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่เลย” ซูฉิงกัดริมฝีปาก “น่าโมโหที่ข้าไร้ความสามารถจึงช่วยพี่ไม่ได้ หากคราวนี้พวกเรามีบุญหนักวาสนาใหญ่สามารถรอดกลับไปได้ ข้าจะไปหาอาจารย์สักคนเพื่อให้เขาสอนวรยุทธ์ให้ หากคราวหน้าเกิดเรื่องเช่นนี้อีกจะได้ไม่ถูกคนรังแก”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไร เหมือนนางกำลังใช้ความคิดอยู่ ผ่านไปสักครู่นางจึงยื่นมือมาทางซูฉิงแล้วดึงตัวซูฉิงเข้ามาในอ้อมกอด “ฉิงเอ๋อร์ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากรบกวนเจ้า หากไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าต่อไปอาจไม่มีโอกาสอีกแล้ว”

ซูฉิงตกใจ ลุกขึ้นยืนมองหน้านาง “พี่มู่เอ๋อร์”

จวีมู่เอ๋อร์ดึงตัวซูฉิงเข้ามาแนบอก กระซิบข้างหูนาง “เจ้าฟังข้าให้ดี…”

นางพูดยังไม่ทันจบ ประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรง หญิงสาวทั้งสองคนตกใจจนดีดตัวลุกขึ้นยืน ปรากฏว่ามีโจรคนหนึ่งเปิดประตูเพื่อดูว่าพวกนางยังเชื่อฟังกันดีอยู่หรือไม่ เมื่อเขาเห็นพวกนางกอดกันกลมและมีท่าทางตกใจไม่น้อยก็หัวเราะอย่างได้ใจ ก่อนจะพูดว่า “อยู่นิ่งๆ นะ หากไม่เชื่อฟังจะสับมือและขาของพวกเจ้าทิ้งซะ”

จวีมู่เอ๋อร์กับซูฉิงก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไร โจรคนนั้นเห็นแล้วพอใจมากจึงลงกลอนประตูแล้วจากไป

ในตอนแรกหญิงสาวทั้งสองคนไม่กล้าขยับตัว ผ่านไปสักครู่ซูฉิงก็ดีดตัวขึ้น เดินย่องไปที่ประตู แนบหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก จากนั้นหมุนตัววิ่งกลับไปอยู่ข้างกายจวีมู่เอ๋อร์แล้วกระซิบเสียงเบาว่า “พี่มู่เอ๋อร์ ไม่มีเสียงใดแล้ว”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า กดเสียงต่ำพูดต่อ “หากครั้งนี้ข้าหนีไม่รอด ให้เจ้านำตำราเพลงพิณและตัวพิณไปให้หมด หากวันหน้าเจ้าได้พบกับคนมีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกคดีของท่านซือป๋ออินได้ และเขารู้สึกว่าการตายของพี่หฺวาอีไป๋กับข้ามีพิรุธก็ให้เจ้ามอบตำราเพลงพิณของข้าให้แก่เขา”

ซูฉิงตกใจอย่างมาก “พี่มู่เอ๋อร์ พี่จะบอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องของท่านซือป๋ออินกับพี่หฺวาหรือ”

“ข้าไม่แน่ใจ เพียงแต่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ หากข้าตาย…”

“พี่ไม่เป็นไรหรอก” ซูฉิงร้อนใจจนอยากร้องไห้ “พี่มู่เอ๋อร์ พี่ต้องไม่เป็นไร ข้าไม่ต้องการของของพี่ ข้าไม่เอา”

“ฉิงเอ๋อร์ ข้าก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ข้าไม่อยากทำที่สุดคือการทำให้เจ้าต้องลำบาก ข้า…” จวีมู่เอ๋อร์แทบจะพูดต่อไปไม่ได้ “ข้า…ข้าทำผิดต่อท่านหลงเอ้อร์เช่นกัน”

“ใช่ๆ ยังมีท่านหลงเอ้อร์ เดี๋ยวท่านหลงเอ้อร์ต้องมาช่วยพวกเราแน่นอน พี่มู่เอ๋อร์ อย่าเพิ่งสิ้นหวัง…”

ซูฉิงยังพูดไม่จบ นอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าและเสียงต่อสู้ขัดขืนของหญิงสาวดังขึ้น ซูฉิงกับจวีมู่เอ๋อร์รีบหยุดพูดทันที ยื่นมือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า

จากนั้นประตูห้องของพวกนางก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง หญิงสาวในเสื้อผ้างดงามแต่สภาพทุลักทุเลถูกโยนเข้ามาในห้อง

เจ้าโจรตะคอกเสียงดัง “อยู่นิ่งๆ ถ้ากล้าส่งเสียงข้าจะตบปากเจ้าให้ฟันร่วง”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางได้ยินเสียงฝีเท้าหนักของเจ้าโจรเดินออกไป แล้วได้ยินเสียงปิดประตูลงกลอน จากนั้นนางได้ยินซูฉิงเรียกชื่อคนผู้นั้นอย่างตกใจ “แม่นางติง!”

“แม่นางติง?” จวีมู่เอ๋อร์ตกใจมาก

ซูฉิงกระซิบข้างหูนาง “บุตรสาวเสนาบดีไงล่ะ คนที่ดุๆ น่ะ”

ติงเหยียนซานลุกขึ้นจากพื้น พอเงยหน้ามองเห็นพวกจวีมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกขายหน้า นางอ้าปากเตรียมจะด่า แต่เมื่อเห็นว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ตัวนางยังมีสภาพดีกว่าพวกจวีมู่เอ๋อร์มากมายนัก นางจึงสะบัดหน้ามองไปรอบห้องแทน ทั้งรู้สึกกลัวและเหน็บหนาว จึงกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นไม่พูดจา เพียงแค่ยืนพิงอยู่ข้างโต๊ะผุพังตัวนั้น

“นางได้รับบาดเจ็บหรือไม่” จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของติงเหยียนซานจึงเอ่ยถามซูฉิง

ซูฉิงเหลือบมองติงเหยียนซานอยู่หลายครั้ง “ดูแล้วยังดีอยู่” นางคิดสักครู่แล้วส่งเสียงเอ่ยถาม “นี่ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

“ไม่ต้องยุ่ง!” ติงเหยียนซานตวัดหางตามองพวกนาง

“ใครอยากยุ่งกับเจ้ากัน!” ซูฉิงโต้ตอบกลับ

เมื่อจวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงอันทรงพลังของติงเหยียนซานก็รู้ว่านางคงไม่เป็นอะไรมาก ดังนั้นจึงไม่ส่งเสียงพูดอะไรอีก เพียงก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ตามลำพัง แต่ซูฉิงกับติงเหยียนซานสองคนต่างจ้องตากันด้วยความโมโห ยิ่งมองยิ่งเห็นอีกฝ่ายดูขัดตา

ผ่านไปครู่ใหญ่ จวีมู่เอ๋อร์จึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “แม่นางติง เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ลักพาตัวพวกเรามาเป็นใคร”

ก่อนหน้านี้ติงเหยียนซานที่ถูกหลงเอ้อร์สงสัยก็ปวดใจเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงอยู่แล้ว รู้สึกไม่พอใจเป็นทุนเดิม มาตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยถามเช่นนี้อีก ยิ่งทำให้ไฟโทสะของนางลุกโชนขึ้นมาทันที “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร พวกเจ้าแต่ละคนล้วนคิดว่าข้าเป็นคนทำหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ก็แค่คนที่จะแต่งงานกับท่านหลงเอ้อร์เท่านั้น ไม่อยู่ในสายตาข้าหรอก ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางหาคนมาลักพาตัวเจ้าหรอก เรื่องที่ข้าไม่ได้ทำ พวกเจ้าห้ามใส่ร้ายป้ายสีข้า พวกเจ้าดูสิ ตอนนี้ข้าก็ถูกลักพาตัวมาเหมือนกันไม่เห็นหรือ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครจริงๆ”

“ถามเจ้าคำเดียว เจ้าตอบเสียหลายคำเชียว” ซูฉิงจ้องเขม็ง “ถ้าเจ้าไม่พูดข้ายังคิดไม่ถึงเลย ที่แท้เจ้าก็น่าสงสัยมากเหมือนกัน หากเจ้าแกล้งเข้ามาเพื่อลวงให้พวกเราคิดว่าเจ้าถูกลักพาตัวมาด้วยเล่า ใครจะไปรู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่ เจ้าอิจฉาที่พี่มู่เอ๋อร์จะได้แต่งงานกับท่านหลงเอ้อร์ เจ้าใจร้ายมาก ยังเคยตบพี่มู่เอ๋อร์อีกด้วย ตอนนี้กล้าทำเรื่องลักพาตัวเช่นนี้ออกมาก็ไม่แปลกอะไร”

“เจ้ากล้าใส่ร้ายข้า ข้าจะฉีกปากเจ้า” ติงเหยียนซานโกรธราวสายฟ้าฟาด จะกระโจนเข้าใส่ซูฉิง

ท่านหลงเอ้อร์ว่านางก็แล้วไป ตอนนี้คนธรรมดาสามัญพวกนี้ยังกล้ามาว่านางแบบนี้อีก จะให้นางไม่โกรธได้อย่างไร

ซูฉิงไม่กลัวนางแม้แต่น้อย “จะสู้กันหรือ ข้าไม่กลัวหรอก” นางหมุนตัวไปหยิบไม้เท้าของจวีมู่เอ๋อร์ “พี่มู่เอ๋อร์ ขอยืมไม้เท้าสักหน่อยนะ ข้าจะใช้ตีนาง”

ยังกล้าถืออาวุธด้วยหรือ ติงเหยียนซานมองไปซ้ายขวา ไม่สนใจรักษากิริยาอะไรแล้ว นางยกเก้าอี้ขาหักตัวนั้นขึ้น คิดจะสั่งสอนยายเด็กคนนี้สักหน่อย

จวีมู่เอ๋อร์ยังไม่ทันจะเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมก็มีเสียงฝีเท้าดังลอดเข้ามาจากนอกประตู จากนั้นประตูก็เปิดออกอย่างแรง โจรทั้งสองคนเหมือนจะดื่มเหล้ามาเพราะมีกลิ่นเหล้าติดทั่วกาย หนึ่งในนั้นตะโกนด่าอยู่ตรงหน้าประตู “ส่งเสียงเอะอะอะไรกัน”

ติงเหยียนซานกับซูฉิงตกใจจนหลบไปอยู่ข้างกายจวีมู่เอ๋อร์พร้อมกัน จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงดื่มเหล้าเล่นทายนิ้วแว่วมาจากด้านนอก จึงเดาได้ว่าโจรเหล่านั้นกำลังจัดงานฉลองกันอยู่

โจรคนหนึ่งตรงประตูพูดว่า “โอ้ สาวๆ ในห้องนี้ดูมีชีวิตชีวาดีจริง น่าสนใจกว่าสองคนนั้นตั้งเยอะ”

โจรอีกคนหนึ่งรีบบอก “เจ้าร้อนใจทำไม พี่ใหญ่บอกไว้แล้วว่าหากจะลงมือก็ให้เลือกสองคนนั้นก่อน สาวๆ ในห้องนี้ต้องรออีกสักนิด” พอเขาพูดคำนี้ออกมา ห้องด้านข้างก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือและเสียงหวีดร้องของผู้หญิงดังเล็ดลอดมา

โจรคนนั้นไม่พอใจมาก “พี่ใหญ่อยากจะเก็บไว้คนเดียวสินะ เลวจริง” พอเขาพูดจบก็หมุนตัวเดินไปห้องด้านข้าง “นี่ พวกเจ้าต้องทำรุนแรงถึงขนาดนั้นเชียวหรือ เหลือให้ข้าสักคนสิ”

ไม่นานพวกจวีมู่เอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงหญิงสาวในห้องอีกห้องหนึ่งหวีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง พวกนางทั้งสามคนตกใจกลัวจนหน้าซีดขาว กอดกันกลม

โจรที่ยังเหลืออีกคนหนึ่งจ้องมองพวกนางแล้วยิ้มเย็นชา “พวกเจ้ามีแรงก็เก็บไว้เถอะ พวกเราพี่น้องมีกันหลายคน ยังมีเวลาให้พวกเจ้าได้ออกแรงอีกมากแน่นอน หากไม่ใช่เพราะห้องไม่พอก็คงไม่ขังพวกเจ้าไว้รวมกัน อย่าคิดว่าพวกข้าให้พวกเจ้ามาอยู่ด้วยกันเพื่อพูดคุยตบตีกันนะ อยู่นิ่งๆ หน่อยเข้าใจหรือไม่ ไม่เช่นนั้นหากส่งเสียงเอะอะจนทำลายความสนุกของพวกเรา พวกเจ้าโดนดีแน่”

หญิงสาวทั้งสามคนตกใจจนพูดอะไรไม่ออก โจรคนนั้นเห็นแล้วรู้สึกพึงพอใจจึงปิดประตูแล้วเดินจากไป

พอเขาจากไป ติงเหยียนซานก็ร้องไห้ออกมา สิ่งที่หญิงสาวข้างห้องได้รับทำให้นางไม่เหลือความกล้าอีกแล้ว นางกลัวเหลือเกิน นางไม่อยากมีสภาพเหมือนหญิงเหล่านั้น

“พวกเจ้าต้องหนีออกไป” จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยขึ้นในทันใด

“หนี?” ติงเหยียนซานตกใจ

“ ’พวกเจ้า’ หมายความว่าอย่างไร” ซูฉิงตกใจยิ่งกว่า

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบ แต่กลับถามอีก “แม่นางติง เจ้าถูกจับมาได้อย่างไร”

ตอนนี้ติงเหยียนซานไม่มีเวลาสนใจความแค้นที่มีต่อจวีมู่เอ๋อร์ นางรีบตอบ “ข้าออกจากบ้าน คิดจะไปพบพูดคุยกับพี่สาวที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋น ปรากฏว่าออกมาได้สักครู่ก็ถูกคนทุบจนหมดสติ พอตื่นมาก็พบว่าตัวเองนอนโคลงเคลงอยู่บนรถม้า ยังไม่ทันจะได้รู้เรื่องอะไรก็ถูกลากตัวลงจากรถม้าและคุมตัวมาที่นี่แล้ว ข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้านะ ไม่ได้แกล้งทำเป็นถูกลักพาตัวด้วย เรื่องนี้ข้าไม่ได้ทำจริงๆ”

“เป็นโจรกลัวความผิดน่ะสิ” ซูฉิงที่อยู่ด้านข้างใช้แววตาดูแคลนจ้องมองนาง

“ว่าอย่างไรนะ เจ้ายังกล้าใส่ร้ายป้ายสีข้าอีก!” ติงเหยียนซานเดินผ่านหน้าจวีมู่เอ๋อร์คิดจะไปตบหน้าซูฉิง ซูฉิงที่รออยู่แล้วใช้ไม้เท้าตวัดถูกหน้าอกของติงเหยียนซานจนนางรู้สึกเจ็บหน้าอก พอเจ็บก็ยิ่งโกรธ กำลังจะแผลงฤทธิ์ กลับได้ยินจวีมู่เอ๋อร์ปรามเสียงเข้ม

“พวกเจ้าสองคนหุบปากซะ”

ซูฉิงใช้ปลายไม้เท้าชี้ไปที่ติงเหยียนซาน แต่ปิดปากแน่น ติงเหยียนซานกัดฟันไว้ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน

จวีมู่เอ๋อร์พูดว่า “แม่นางติง เรื่องที่เจ้าถูกลักพาตัวมีความเป็นไปได้สามอย่าง หนึ่งคือบังเอิญถูกโจรเห็นเข้าพอดีจึงลักพาตัวมาด้วย สองคือเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวของเจ้าหรือคนรู้จัก ที่ลักพาตัวเจ้ามาเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจออกจากตัวเอง สามคือพวกโจรคิดจะใช้เจ้าเป็นตัวประกัน พวกเขาอาจจะคิดทำเรื่องเลวร้ายอะไรบางอย่าง และใช้เจ้าที่อยู่ในกำมือไปต่อรองควบคุมครอบครัวของเจ้า หากท่านพ่อของเจ้าหรือพี่เขยของเจ้าหวาดกลัว เหล่าขุนนางชั้นผู้น้อยลงมาย่อมถูกควบคุมไปด้วย”

ติงเหยียนซานได้ฟัง ในใจก็รู้สึกเคร่งเครียด ความเป็นไปได้อย่างที่สองและสามล้วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวของนาง หากเป็นเช่นนั้นจริง การลักพาตัวจวีมู่เอ๋อร์มาก็เพื่อต่อกรกับท่านหลงเอ้อร์อย่างนั้นหรือ

ติงเหยียนซานคิดแล้วก็รู้สึกอับอายขึ้นมาในทันใด สิ่งที่นางไม่ยินดีที่สุดก็คือการต้องขายหน้าต่อหน้าท่านหลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์ ตอนนี้นางไม่สามารถกลืนความโกรธลงท้องไปได้ แต่ก็ต้องรักษาหน้าตาเอาไว้ หากเรื่องการลักพาตัวนี้เป็นฝีมือของคนในครอบครัวนางจริง ต่อไปนางจะกล้าเชิดหน้าชูคอต่อหน้าท่านหลงเอ้อร์ได้อย่างไร

“แม่นางติง ไม่ว่าจะเป็นอย่างใด เจ้าล้วนมีอันตรายมาก”

“อันตรายอะไร” ติงเหยียนซานยังคงจมอยู่ในความรู้สึกเสียหน้าเพราะคนในครอบครัวของตนอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จึงยังคิดอะไรไม่ออก

“หากเป็นความเป็นไปได้อย่างแรก สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องด้านข้างก็อาจเกิดขึ้นกับเจ้า” จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก สะกดความหวาดกลัวและความรังเกียจภายในใจเอาไว้ รีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว “หากเป็นอย่างที่สอง ผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลังอาจใช้ชีวิตของเจ้าเพื่อหลอกลวงปิดบังหูตาของผู้คน หากเจ้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เจ้าก็คงไม่รู้เช่นกันว่ามาอยู่ที่นี่แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

คำพูดนี้เปรียบได้กับมีดที่ปักใส่ตัวติงเหยียนซานอย่างแรง

จวีมู่เอ๋อร์พูดต่อ “หากเป็นอย่างที่สาม เจ้าก็ยิ่งมีอันตราย เพราะหากพวกโจรบรรลุเป้าหมาย ข่มขู่ครอบครัวเจ้าสำเร็จและสามารถบังคับให้คนในครอบครัวเจ้าทำตามต้องการได้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าต่อไป และหากข่มขู่ไม่สำเร็จ เจ้าก็ไม่มีประโยชน์อย่างใดต่อพวกโจร”

หากไม่มีประโยชน์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น พวกนางล้วนรู้อยู่แก่ใจ

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยอีกว่า “ฉวยโอกาสตอนนี้ที่พวกเขาไม่ทันระวัง พวกเจ้ารีบคิดหาทางหนีออกไป หากชักช้าแล้วเกิดมีการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาหรือพวกโจรจะแยกพวกเราออกจากกัน เช่นนั้นพวกเราก็คงหมดโอกาสแล้ว”

“แต่จะมีวิธีอะไรล่ะ” ติงเหยียนซานยิ่งฟังจวีมู่เอ๋อร์พูดก็ยิ่งรู้สึกกลัว นางอยากจะหนีไป แต่นางไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไร

“เหตุใดจึงพูดว่า ‘พวกเจ้า’ ” ซูฉิงไม่ชอบใจกับคำนี้เลย “ควรจะพูดว่าพวกเราสิ พี่มู่เอ๋อร์ พวกเราจะหนีไปด้วยกัน”

“ข้าไปกับพวกเจ้าไม่ได้ ข้าเดินได้ไม่เร็ว เป็นภาระให้พวกเจ้าเปล่าๆ พวกเจ้าสองคนรีบหนีไป หากออกไปได้แล้วค่อยตามคนมาช่วยข้า”

“ไม่ได้ ไม่มีพี่ข้าก็ไม่ไป” ซูฉิงลดไม้เท้าลง กอดแขนจวีมู่เอ๋อร์เอาไว้

“พวกเจ้าจับประเด็นสำคัญเป็นหรือไม่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถกกันว่าใครจะไปใครไม่ไปหรอกกระมัง วิธีหนีต่างหากจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ” ติงเหยียนซานเห็นซูฉิงบ่นอุบก็โมโห “ไม่มีทางหนีไปได้เลย พวกเราถูกคุมตัวอยู่ ซ้ำร้ายด้านนอกยังมีโจรเหล่านั้นเฝ้าอยู่อีก แม้พวกเราจะหนีออกจากเรือนนี้ได้ แต่เมื่อเข้าไปในป่าทึบ หากเดินหลงทางก็ต้องกลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าอยู่ดี”

ซูฉิงจ้องเขม็ง “เช่นนั้นเจ้าก็รอให้คนเลวเหล่านั้นมาสับนิ้วมือของเจ้าเฉือนใบหูของเจ้าส่งไปให้ที่คฤหาสน์สกุลติงแล้วกัน หรือจะรอให้โจรพวกนั้นดื่มกินจนหนำใจแล้วมาย่ำยีเจ้าก็ได้”

“เจ้า…” ติงเหยียนซานโกรธจนอยากจะด่ากลับ แต่ถูกจวีมู่เอ๋อร์พูดขัดขึ้นก่อน

จวีมู่เอ๋อร์ถามซูฉิงว่า “ฉิงเอ๋อร์ เจ้าจำทางได้ทั้งหมดหรือไม่”

“จำได้” ปกตินางก็ขึ้นเขามาเก็บดอกไม้ขายอยู่แล้ว ซ้ำยังเดินวนเวียนไปมาบนถนนหลายสาย ดังนั้นจึงมีความสามารถในการจำทิศทางอยู่มาก

“ดี นับจากนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าทั้งสองคนต้องร่วมแรงร่วมใจ ห้ามทะเลาะกันอีก”

ซูฉิงกับติงเหยียนซานจ้องตากันเขม็ง แต่ยังคงตอบรับคำพร้อมกัน “ได้”

จวีมู่เอ๋อร์พอใจ จึงพูดว่า “รบกวนแม่นางติงไปอยู่ที่ประตูเพื่อฟังเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอก ส่วนฉิงเอ๋อร์ หน้าต่างนั้นสูงเกินไป เจ้ายกเก้าอี้ไปวางไว้ด้านล่างหน้าต่าง ข้าจะช่วยจับเก้าอี้ให้ แล้วเจ้าขึ้นไปดูว่าด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง”

ทั้งสามคนรีบขยับตัว ติงเหยียนซานแนบหูกับบานประตู โบกมือแสดงท่าทางว่าด้านนอกไม่มีเสียงใด ซูฉิงจึงยกเก้าอี้ไปวางไว้ด้านล่างหน้าต่าง ส่วนจวีมู่ก็ใช้แรงจับเก้าอี้เอาไว้ให้มั่น เก้าอี้ขาหักเช่นนี้ต้องใช้แรงมากจึงจะตั้งให้คนเหยียบขึ้นไปได้ จากนั้นเมื่อซูฉิงขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ นางก็สามารถมองผ่านช่องหน้าต่างได้อย่างพอดี

นางมองออกไปเห็นเพียงผืนป่าทึบ ห้องพักนี้อยู่ด้านหลังสุดของเรือนหลังนี้ ใกล้กับผืนป่าด้านหลังเพียงนิดเดียว เมื่อมองต่อไปก็พบผืนป่าทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ซูฉิงมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นว่าด้านนอกมีผู้ใด นางจึงคิดจะเปิดหน้าต่างออก แต่พอลองดึงดูมันกลับไม่ขยับ เมื่อดูอย่างละเอียดก็พบว่าด้านล่างหน้าต่างมีการลงกลอนเอาไว้

ซูฉิงเล่ารายละเอียดของสภาพแวดล้อมด้านนอกให้ฟัง จวีมู่เอ๋อร์จึงเอ่ยถามว่า “ในห้องนี้มีของอะไรมาดึงสลักกลอนออกได้หรือไม่”

ซูฉิงกับติงเหยียนซานรีบหาของในห้อง แต่ไม่พบอะไรเลย

“ของประเภทปิ่นก็ได้” จวีมู่เอ๋อร์ถามอีกครั้ง

ติงเหยียนซานลูบไปบนหัว “ข้ามี ข้ามี”

นางดึงปิ่นลงมา วิ่งไปส่งให้ซูฉิง ซูฉิงหยิบไปแล้วใช้ปลายปิ่นเขี่ยกลอนไม้นั้นทีละนิดๆ ติงเหยียนซานดูอยู่ด้านล่างอย่างร้อนใจ รีบถามว่า “เจ้าทำได้หรือไม่ หากไม่ได้ข้าจะทำเอง”

“อย่าพูดมาก รีบไปฟังเสียงที่ประตู” ซูฉิงที่เขี่ยกลอนไม้จนรู้สึกเครียดอยู่แล้ว ถูกนางเซ้าซี้เช่นนี้ก็ยิ่งไม่พอใจ

ติงเหยียนซานคิดอยู่สักครู่ สุดท้ายก็กัดริมฝีปากแล้วเดินกลับไปที่ประตู

ผ่านไปสักพัก ในที่สุดซูฉิงก็ดึงสลักกลอนไม้ออกมาได้ นางกำลังจะร้องด้วยความดีใจ ติงเหยียนซานก็กดเสียงเบากระซิบว่า “เหมือนจะมีคนมาแล้ว”

นางพูดพลางวิ่งกลับมา ซูฉิงกระโดดลงจากเก้าอี้ในทันที นางกับติงเหยียนซานสองคนประกบซ้ายคนขวาคน ดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ไปที่เตียง

แต่พวกนางลืมไปว่าเก้าอี้ตัวนั้นขาหัก ดังนั้นเมื่อจวีมู่เอ๋อร์ปล่อยมือ เก้าอี้ตัวนั้นจึงเริ่มคลอน โอนเอนทำท่าจะล้มลง แต่ตอนนี้เสียงฝีเท้านอกประตูดังขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่ามีผู้กำลังเดินมาที่หน้าห้อง

หญิงสาวทั้งสามคนไม่สนใจสิ่งใด รีบกลับไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว แล้วรวมตัวกอดกันกลม ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยปากใดๆ

นอกประตูมีเสียงปลดกลอนดังขึ้น เก้าอี้ตัวนั้นยังคงตั้งอยู่ตรงหน้าต่าง คลอนแคลนอยู่เช่นเดิม

เสียงดังกุกกักหยุดลง จากนั้นประตูก็เปิดออก

ในตอนนี้เองเก้าอี้ขาหักตัวนั้นพลันหยุดนิ่งลงทันใด

ซูฉิงใช้หางตาแอบเหลือบมอง รู้สึกหวาดกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้น นางไม่กล้ามองนาน กลัวว่าพวกโจรจะรู้สึกตัวและสังเกตเห็นเก้าอี้ที่ถูกย้ายไปอยู่ตรงหน้าต่าง รวมทั้งพบว่าพวกนางดึงสลักกลอนไม้ของหน้าต่างออก สรุปก็คือนางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

คนที่เปิดประตูคือโจรตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขากวาดตามองไปรอบห้อง เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสามคนนั่งนิ่งอยู่บนเตียงจึงปิดประตูลงกลอนดังเดิม

หญิงสาวทั้งสามคนนิ่งไปครู่ใหญ่ จากนั้นจึงกล้ากลับมาขยับตัว ซูฉิงวิ่งไปแนบหูเข้ากับหลังบานประตู จากนั้นก็วิ่งกลับมา พูดเสียงเบาว่า “เอาล่ะ พวกเราลงมือกันต่อเถอะ เปิดหน้าต่างออกไปดูสภาพด้านนอกก่อน”

ติงเหยียนซานพยักหน้า แล้วกลับทำหน้าที่เหมือนเมื่อครู่คือไปแนบหูฟังเสียงตรงประตู ส่วนซูฉิงปีนเก้าอี้ขึ้นไปผลักหน้าต่างนั้นเบาๆ แต่มันยังคงไม่ขยับ ซูฉิงตกตะลึง สังเกตอย่างละเอียดอีกครั้งก็เห็นว่ากลอนไม้นั้นถูกดึงสลักออกแล้ว แต่เหตุใดหน้าต่างจึงยังเปิดไม่ออกอีก

นางสงบสติอารมณ์ ครั้งนี้ออกแรงผลักให้มากขึ้น แต่ก็ยังคงเปิดไม่ออก นางเริ่มรู้สึกตระหนก ลองเพิ่มแรงผลักอีกครั้ง แต่หน้าต่างไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว

ติงเหยียนซานที่อยู่หลังประตูมองอย่างร้อนใจ นางวิ่งเข้ามาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

“เปิดไม่ออก ทั้งๆ ที่ดึงสลักกลอนออกแล้วแท้ๆ” ซูฉิงร้อนรนจนเหงื่อตก

“ยังมีส่วนอื่นติดอยู่หรือไม่” จวีมู่เอ๋อร์รีบเอ่ยถาม

“ไม่มีนี่นา” ซูฉิงมองหาอีกรอบอย่างละเอียด พอนางเงยหน้าขึ้นก็ร้องออกมาทันที “อ๋า ด้านบนก็ลงกลอนไว้เหมือนกัน” นางดึงสลักกลอนเพียงแค่ด้านล่าง แต่ด้านบนยังมีอีกอัน

ซูฉิงสูงไม่ถึงสุดขอบหน้าต่าง นางลองเขย่งเท้าดู แต่ก็ยังเอื้อมไม่ถึง

ติงเหยียนซานพูดอย่างร้อนใจ “ยายเตี้ย เจ้าลงมานี่ ข้าทำเอง” นางพูดพลางใช้แรงดึงตัวซูฉิงลงมา

ซูฉิงไม่ยอม บ่นพึมพำว่า “ข้าอายุแค่สิบสี่ รอให้ข้าโตจนอายุเท่าเจ้า ข้าก็สูงได้เช่นกัน”

ติงเหยียนซานไม่สนใจ นางแย่งปิ่นมาแล้วยืนขึ้นบนเก้าอี้ ใช้ปลายปิ่นเขี่ยกลอนไม้อันนั้น ซูฉิงเห็นติงเหยียนซานทำงานแทน ตัวนางจึงรีบวิ่งไปแนบหูฟังการเคลื่อนไหวของด้านนอก

ผ่านไปครู่ใหญ่จนกระทั่งติงเหยียนซานรู้สึกเมื่อยแขน ในที่สุดก็สามารถถอดสลักกลอนไม้นั้นออกมาได้ นางสะกดความรู้สึกอยากจะร้องตะโกนเอาไว้ เพียงเอ่ยเสียงเบา “ข้าทำได้แล้ว ทำได้แล้ว”

ซูฉิงรีบวิ่งเข้ามา “อย่าเพิ่งรีบร้อนเปิดออก ดูก่อนว่าด้านนอกมีคนหรือไม่”

ติงเหยียนซานมองลอดผ่านช่องออกไป ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มี”

ซูฉิงพูดว่า “ขอข้าดูสักหน่อย”

ติงเหยียนซานเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ตื่นเต้นน่ากลัวเกินไป ดังนั้นจึงก้าวลงมาจากเก้าอี้อย่างไม่ขัดขืน เปลี่ยนให้ซูฉิงขึ้นไปยืนแทน

ซูฉิงค่อยๆ แง้มเปิดหน้าต่างแล้วยื่นหัวออกไปดู จากนั้นจึงปิดหน้าต่างลงอย่างเบามือ แล้วกระโดดลงมา

“ข้าคิดว่าหนีได้” นางพูดเสียงเบา น้ำเสียงมีความตื่นเต้นอยู่บ้าง “แม้หน้าต่างจะสูง แต่ข้างล่างเป็นพื้นโคลน หากพวกเรากระโดดลงไป ขอเพียงอดทนไว้อย่าส่งเสียงร้องออกมา คงไม่ทำให้เกิดเสียงอะไรมากมายนัก หลังจากออกไปแล้ว ป่าด้านทิศใต้อยู่ใกล้ตรงนี้ที่สุด พวกเราก็วิ่งเข้าไปที่นั่นให้เร็วหน่อย ขอเพียงเข้าไปแล้วก็จะสามารถปิดบังซ่อนตัวได้ง่าย”

“ตอนนี้เป็นเวลาอะไร” จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยถาม

“ดวงอาทิตย์ใกล้จะคล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้ว” ซูฉิงตอบ

“เช่นนั้นตอนนี้ก็เป็นโอกาสดี พวกเจ้ารีบไป พวกเขาเพิ่งจะมาตรวจคงยังไม่กลับมาเร็วนัก ตอนนี้ได้ดื่มเต็มที่กินเต็มอิ่ม พวกเขาคงจะคลายความระวังลงบ้างแล้ว พวกเจ้ารีบหนีไปตอนนี้เลย หากเร่งเดินทางก่อนฟ้ามืดก็ยังมีโอกาสจะออกจากป่านั้นไปได้”

“แล้วพี่ล่ะ” ซูฉิงรู้สึกไม่พอใจมากกับคำว่า ‘พวกเจ้า’ ของจวีมู่เอ๋อร์ “หากพี่ไม่ไป ข้าก็ไม่ไป”

“ไม่ได้ เจ้าต้องไป” จวีมู่เอ๋อร์กล่าวเสียงดุ “หากข้าตามพวกเจ้าไป นอกจากจะเป็นภาระทำให้พวกเจ้าเดินทางช้าลงแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าเพราะข้า ข้าคงไม่สบายใจไปชั่วชีวิต ฉิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าลืมสิ ข้ายังมีเรื่องต้องรบกวนเจ้า ดังนั้นเจ้าจะต้องปลอดภัย” ซูฉิงยังมีท่าทางไม่ยินยอม จวีมู่เอ๋อร์จึงพูดอีกว่า “เจ้าออกไปแล้วรีบตามคนมาช่วยข้าจึงจะถูก”

ซูฉิงกัดฟันแน่น “ได้ ข้าจะไปตามคนกลับมาช่วยพี่”

“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”

ซูฉิงขอบตาร้อนผ่าว “พี่มู่เอ๋อร์ พี่ต้องรอข้านะ ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด”

จวีมู่เอ๋อร์ร้อนใจเช่นกัน แต่นางรู้ดีว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องแสดงท่าทางสงบนิ่งเอาไว้ “ชักช้าไม่ได้แล้ว พวกเจ้ารีบไปเถอะ”

ในตอนนี้ติงเหยียนซานจึงถามขึ้นว่า “ไปอย่างไร”

“ตามข้ามา!” เมื่อซูฉิงคิดว่าตนต้องไปพาคนมาช่วยจวีมู่เอ๋อร์ก็พลันรู้สึกมีพลังขึ้นมา “พี่มู่เอ๋อร์ ข้าจะพาคนกลับมาช่วยพี่แน่นอน”

“หากกลับมาแล้วไม่เจอข้าและโจรเหล่านี้ก็หนีไปแล้ว เช่นนั้นฉิงเอ๋อร์เจ้าจำไว้ให้ดี ยังมีอีกเบาะแสหนึ่งก็คือรถม้าที่ลักพาตัวพวกเรามาที่นี่ ข้าเขียนชื่อของตัวเองเอาไว้ในรถ” นางยื่นมือที่ปลายนิ้วมีบาดแผลออกมา เป็นบาดแผลซึ่งนางใช้นิ้วขูดร่องกระดานรถอย่างแรงตอนอยู่ในรถม้า และใช้เลือดเขียนชื่อเอาไว้บนแผ่นกระดานของรถ คิดว่าอาจใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อค้นหารถคันนี้ต่อไปในภายหน้าได้

“ข้าเข้าใจแล้ว” ซูฉิงสูดลมหายใจเข้าลึก กลั้นน้ำตาเอาไว้ ตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจว่าจะหารถม้าเจอหรือไม่ เหตุการณ์ตรงหน้าจึงจะสำคัญที่สุด

“พี่มู่เอ๋อร์ ข้าไปแล้วนะ”

“ดูแลตัวเองด้วยนะ ฉิงเอ๋อร์ หาก…เจ้าช่วยดูแลพ่อแทนข้าด้วย” จวีมู่เอ๋อร์กุมมือซูฉิงไว้แน่นแล้วดึงนางมากอด บางทีนี่อาจเป็นการกอดครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ จวีมู่เอ๋อร์ใช้ฟันกัดปลายลิ้นตัวเอง บังคับให้น้ำตาไหลย้อนกลับไปก่อนจะยิ้มแล้วพูดอีกครั้ง “ดูแลตัวเองนะ ฉิงเอ๋อร์”

ซูฉิงกัดฟันแน่น “พี่รอข้านะ ข้าจะรีบนำคนมา” นางหันหน้าไปพูดกับติงเหยียนซาน “พวกเราไปกันเถอะ”

แม้ติงเหยียนซานจะไม่ค่อยมั่นใจกับการหนีไปกับยายเด็กคนนี้ แต่หากเทียบกับการรอความตายอยู่ที่นี่แล้ว นางย่อมยินดีลองหลบหนีด้วยวิธีนี้ นางหันหน้าไปมองจวีมู่เอ๋อร์ รู้สึกทนไม่ได้ที่ต้องทิ้งจวีมู่เอ๋อร์ซึ่งเป็นคนตาบอดไว้ที่นี่ตามลำพัง นางกัดริมฝีปาก สุดท้ายไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จึงเอ่ยเพียงว่า “พวกเราไปแล้วนะ”

“ดูแลตัวเองด้วย ต้องกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยนะ” จวีมู่เอ๋อร์จับเก้าอี้ไว้มั่น ขณะที่พูดกับติงเหยียนซาน

ซูฉิงปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง ก่อนจะหันหน้ามาพูดกำชับติงเหยียนซาน “เจ้าจำไว้ ตอนกระโดดลงไปจะส่งเสียงร้องไม่ได้เด็ดขาด แม้ขาหักก็ต้องอดทนไว้ หลังจากลงถึงพื้นแล้วอย่าหยุด อย่าพูด รีบวิ่งตามข้าเข้าไปในป่า เข้าใจหรือไม่”

ติงเหยียนซานพยักหน้า ซูฉิงยื่นหน้าออกไปดูรอบๆ แล้วหันหน้ามาพูดกับจวีมู่เอ๋อร์ “พี่มู่เอ๋อร์ ข้าไปล่ะ พี่ต้องรอข้านะ”

“ได้” หลังจากได้ยินเสียงตอบรับจากจวีมู่เอ๋อร์ ซูฉิงก็ทิ้งตัวกระโดดออกนอกหน้าต่าง

เสียงกระทบพื้นดังพรึบนั้นไม่หนักไม่เบา ทำให้ติงเหยียนซานกับจวีมู่เอ๋อร์กลั้นหายใจด้วยความตื่นเต้น แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรตามมาอีก คิดว่าคงจะราบรื่นดี ดังนั้นจวีมู่เอ๋อร์จึงจับเก้าอี้แล้วเอ่ยเร่ง “แม่นางติง เจ้าก็รีบไปเถอะ”

ติงเหยียนซานเหยียบเก้าอี้ปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง จวีมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะพูดเสริมอีกประโยค “แม่นางติง เจ้าฟังข้าสักคำ แกล้งโง่สามารถช่วยรักษาชีวิตไว้ได้”

ติงเหยียนซานงุนงง แต่ยังไม่ทันได้คิดตาม เท้าก็ยันขอบหน้าต่างกระโดดตามซูฉิงออกไปแล้ว

จวีมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงนางลงสู่พื้น ตามด้วยเสียงของคนทั้งสองวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ใจที่อึดอัดรัดแน่นของนางจึงคลายลงได้ในที่สุด

นางขาอ่อน ทรุดนั่งลงบนพื้น

พื้นนั้นเย็นมาก เย็นจนเสียดกระดูก ความหนาวค่อยๆ ซึมเข้าร่างกายนาง แทรกเข้าไปในใจนาง รู้สึกเหน็บหนาวมากขึ้นทุกที ในที่สุดนางก็สามารถแสดงความหวาดกลัวที่คอยสะกดเอาไว้ตลอดออกมาได้

นางกลัว กลัวเหลือเกิน

ความเงียบและความโดดเดี่ยวทำให้นางหวาดกลัวมากขึ้น

จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าใดแล้ว แต่ทันใดนั้นนางก็ได้สติ นางจะนั่งรอความตายเช่นนี้ไม่ได้ หากนางยังมีลมหายใจอยู่ก็จะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด

นางลุกขึ้นคลำหาไม้เท้า เมื่อไม่พบก็รู้สึกลนลานอยู่บ้าง นางคลำไปทั่วพื้นห้อง จนสุดท้ายนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่วางมันไว้บนเตียง นางจึงเดินไปคลำหาที่เตียงแล้วก็เจอไม้เท้าของนางในที่สุด

เมื่อได้จับไม้เท้า นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แม้ความจริงแล้วมันจะไร้ประโยชน์ ไม้เท้าช่วยอะไรนางไม่ได้ จวีมู่เอ๋อร์ทรุดนั่งลงบนขอบเตียง นางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ไม่รู้ว่าพวกซูฉิงจะกลับเข้าไปในเมืองได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ และไม่รู้ว่าโจรเหล่านั้นจะมาเปิดประตูห้องของนางเมื่อใด

จวีมู่เอ๋อร์สั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางไม่กล้าคิดว่าหากพวกเขาเปิดประตูบานนั้นเข้ามาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป นางไม่กล้าคิดว่าตนจะถูกย่ำยีอย่างไร แต่นางคิดถึงท่านหลงเอ้อร์ขึ้นมาจับใจ คิดถึงความบ้าบิ่นของเขา คิดถึงความรักในศักดิ์ศรีของเขา คิดถึงความเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยของเขา และคิดถึงความดีที่เขามีต่อนาง

บทที่สิบสี่

จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าตอนนี้หลงเอ้อร์ก็กำลังคิดถึงนางเช่นกัน เขาคิดถึงนาง แต่ขณะเดียวกันก็มีไฟโทสะลุกโชนอยู่ในใจ

พวกหลี่เคอปล่อยให้พวกโจรหลุดรอดสายตาไป!

เขารีบรุดมาอย่างร้อนใจ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับเป็นข่าวร้ายเช่นนี้

หลี่เคอไม่กล้าเงยหน้า ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พวกเขาตามโจรสองคนที่จับตัวติงเหยียนซานไป เห็นพวกนั้นเดินทางมาถึงตีนเขาก็ทิ้งรถม้าไว้ เปลี่ยนเป็นขี่ม้าขึ้นเขาแทน พวกเขากลัวว่าหากตามติดจนเกินไปอาจจะถูกพบเห็นได้จึงคอยติดตามอยู่ห่างๆ คิดไม่ถึงว่าสภาพพื้นที่ในภูเขาลูกนี้จะซับซ้อนถึงเพียงนี้ พวกเขาแอบตามไปได้ช่วงหนึ่ง แต่เพียงพริบตาคนก็หายไปเสียแล้ว

พวกเขาค้นหาโดยรอบอยู่นาน แต่ก็ไม่พบร่องรอยของโจรสองคนนั้นแม้แต่น้อย

หลงเอ้อร์โกรธมากจนไม่อยากจะเอ่ยปากด่า

สถานการณ์ของเหล่าสายสืบทางวัดฝูหลิงก็เป็นเช่นเดียวกับของพวกหลี่เคอ ก่อนหน้านี้มีสายสืบมารายงานว่าละแวกใกล้ๆ นี้พบรถม้าที่ดูน่าสงสัย หลงเอ้อร์วิเคราะห์แล้วว่าพื้นที่แถวนี้เป็นจุดที่น่าสงสัยที่สุดซึ่งอาจจะเป็นที่ซ่อนตัวของพวกโจร

ดังนั้นเขาจึงรีบรุดมา คิดว่าพวกหลี่เคอที่ตามรอยติงเหยียนซานไปจะต้องมีความคืบหน้าอย่างแน่นอน คาดไม่ถึงว่าพอมาถึงทางขึ้นภูเขาก็หาทางไปต่อไม่พบเสียแล้ว

หลงเอ้อร์มองภูเขาลูกใหญ่เบื้องหน้า แล้วถามว่า “ส่งคนไปเท่าใด”

“แบ่งพี่น้องเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละห้าคน ตอนนี้ขึ้นเขาไปทำการค้นหาแล้วขอรับ” หลี่เคอรายงาน แต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น คนที่ส่งขึ้นไปค้นหาบนภูเขา ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รายงานกลับมา คิดว่าคงไม่พบอะไร ตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว หากฟ้ามืด การค้นหาจะยิ่งลำบากมากขึ้น

“รถม้าล่ะ” หลงเอ้อร์ถามอีก

“พักรถอยู่ทางนั้นทั้งหมดขอรับ” หลี่เคอชี้บอกทิศทาง “เหล่าพี่น้องเจอรถม้าที่ดูน่าสงสัยสามคันบริเวณใกล้ๆ ห่างออกไปไม่กี่ลี้ ลักษณะเหมือนกับรถม้าที่องครักษ์เฉินบอก และเหมือนรถม้าที่ลักพาตัวแม่นางติงไป พวกเราทำการยึดรถเหล่านั้นไว้แล้ว แต่คนรถบอกว่าเป็นรถม้าที่หมู่บ้านการเกษตรของตนใช้ส่งของ และพวกเราก็ค้นอะไรอย่างอื่นไม่พบขอรับ”

หลงเอ้อร์เอ่ยเสียงแข็ง “เจ้าไปเถอะ” พูดจบก็ไม่ได้หันมามองหลี่เคอ และเดินไปทางรถม้าตามลำพัง

หลี่เคอถอนหายใจ รีบขึ้นเขาไปรวมตัวกับกลุ่มค้นหา

หลงเอ้อร์มาถึงจุดที่พักรถม้า มีรถม้าทั้งหมดสามคันและคนรถสามคน รถม้ามีลักษณะคล้ายคลึงกัน คนรถดูไปแล้วก็เหมือนชาวบ้านทำการเกษตรทั่วไป หลงเอ้อร์เข้าไปตรวจดูรถทีละคัน ตัวรถตกแต่งเรียบง่าย ใช้แผ่นไม้มาต่อกัน ภายในรถว่างเปล่า ไม่ได้บรรจุของอะไรเอาไว้

หากดูเพียงผิวเผินก็ไม่เห็นความผิดปกติใดจริงๆ

หลงเอ้อร์ก้าวขึ้นไปบนรถม้าคันหนึ่ง เขาไม่เชื่อว่าหากจวีมู่เอ๋อร์ถูกขังอยู่ในรถแล้วจะไม่คิดทำอะไรเลย นางต้องทิ้งเบาะแสอะไรเอาไว้อย่างแน่นอน ทิ้งร่องรอยบางอย่างที่พิสูจน์ได้ว่ารถคันนี้เคยเป็นรถที่ใช้ขังนางเอาไว้

หลงเอ้อร์ตรวจดูภายในรถม้าคันที่หนึ่งอย่างละเอียดแต่ไม่พบอะไร ดังนั้นเขาจึงกระโดดขึ้นบนรถคันที่สอง เขาโยนกระสอบผ้าและของอื่นๆ ออกจากตัวรถแล้วตรวจดูอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบอะไรเช่นกัน

หลงเอ้อร์ขึ้นไปบนรถคันที่สาม ภายในรถคันนี้มีเบาะผ้ากองไว้จำนวนหนึ่ง เหมือนเอาไว้ใช้รองสินค้า ดูจากสภาพคงถูกใช้งานอย่างหนักจนเก่าและดำ หลงเอ้อร์พลิกหาทีละนิดอย่างอดทน ทันใดนั้นเขารู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง ที่มุมหนึ่งใต้เบาะผ้ามีตัวอักษรสีแดงเข้มสองตัวเขียนไว้…’มู่เอ๋อร์’

หลงเอ้อร์จ้องตัวอักษรสองตัวนั้น ไม่กล้าเชื่อสายตาของตัวเอง เขากะพริบตาแล้วดูอีกครั้งก็ยังเห็นว่าเป็นตัวอักษรสองตัวนั้นจริงๆ

มู่เอ๋อร์

มู่เอ๋อร์ของเขา

ในห้วงพริบตานั้นหลงเอ้อร์ไม่รู้ว่าตนมีความรู้สึกเช่นใด นางเป็นคนอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ นางไม่ยอมอยู่เฉย นางฉลาดเพียงนั้น นางจะต้องทิ้งร่องรอยอะไรให้เขาบ้าง

เพียงแต่รอยสีแดงคล้ำนั้นทิ่มแทงเข้าไปที่ดวงตาของเขา เขาเห็นตรงระหว่างร่องไม้มีรอยสีแดงคล้ำเช่นเดียวกัน เรื่องนี้กระจ่างแล้ว นางคงใช้ร่องไม้กรีดนิ้วให้เป็นแผลเพื่อใช้เลือดเขียนตัวอักษร

หลงเอ้อร์กระโดดลงจากรถม้า เอ่ยถามด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “รถคันนี้เป็นของใคร”

คนรถคนหนึ่งก้าวออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เรียนนายท่าน เป็นของข้าน้อยเองขอรับ”

“วันนี้เจ้าใช้รถคันนี้ทำอะไรบ้าง”

“ขนอาหารภายในหมู่บ้านสองรอบขอรับ”

“เจ้าเป็นคนขนด้วยตัวเองหรือ”

“ขอรับ” คนรถเริ่มตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด

หลงเอ้อร์พยักหน้า ก้าวเท้าเข้าไปหาคนรถ เมื่อเดินไปถึงก็ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเย็นชา ทันใดนั้นก็ยื่นมือไปบีบคอ ยกแขนตรึงชายคนนั้นเอาไว้บนต้นไม้ด้านข้าง

หลงเอ้อร์ฉีกยิ้มที่เต็มไปด้วยรังสีสังหาร “ทางที่ดีเจ้าจงรีบบอกมาว่าส่งตัวหญิงตาบอดคนนั้นไปที่ใด ไม่เช่นนั้นชีวิตของเจ้าข้าคงไม่อาจรับรองให้ได้”

 

ซูฉิงพาติงเหยียนซานวิ่งเข้าไปในป่า พวกนางสองคนไม่กล้าหยุด ไม่กล้าหันกลับไปมอง พยายามวิ่งออกไปให้ไกลที่สุด วิ่งจนกระทั่งเหนื่อยหอบหายใจไม่ทันจึงหยุดพัก

ซูฉิงหาพุ่มไม้แล้วซ่อนตัวอยู่ในนั้น นางดึงติงเหยียนซานให้นั่งลง เอ่ยเสียงเบา “หยุดพักก่อน ข้าจะบอกแผนการให้เจ้าฟัง”

ติงเหยียนซานหอบหายใจ ทรุดนั่งลงแล้วขยับเข้าไปซ่อนตัวด้วย

ซูฉิงเอ่ยถาม “เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่”

“เป็น”

“เช่นนั้นก็ดีมาก” ซูฉิงหยิบกิ่งไม้มาวาดลงบนพื้นโคลน “ข้าจะบอกเจ้าว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่นี่ ตรงนี้คือเรือนที่ขังพวกเรา ตรงนี้เป็นจุดที่ข้ากับพี่มู่เอ๋อร์ถูกลากลงจากรถม้า พวกเราอยู่ใกล้กับที่นั่นมากแล้ว ข้าเห็นพวกเขาจูงม้าทั้งหมดมาทางนี้ ตรงนั้นคงจะมีที่ซ่อนม้าเอาไว้” ซูฉิงอธิบายเป็นส่วนๆ

“จากนั้นล่ะ”

“หากพวกเราใช้วิธีเดิน ต่อให้ฟ้ามืดแล้วก็คงหนีออกไปไม่ได้”

ติงเหยียนซานเห็นด้วย “ใช่ หากตอนกลางคืนมีหมาป่า พวกเราแย่แน่”

ซูฉิงเหลือบมองนาง “ถ้าชักช้าจะมาช่วยพี่มู่เอ๋อร์ไม่ทัน”

ติงเหยียนซานถูกคำพูดของนางทำให้รู้สึกละอายใจอย่างไร้สาเหตุ นางกระแอมแล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร”

“พวกเราไปขโมยม้าก่อน”

“ขโมยม้า?”

“ใช่ หากมีม้า เจ้าก็ให้ข้านั่งซ้อนหลัง พวกเราจะลงจากเขาได้เร็วขึ้น”

“ข้าให้เจ้านั่งซ้อนหลัง?”

“ใช่ เพราะข้าขี่ม้าไม่เป็น”

ติงเหยียนซานเม้มปากเบาๆ แล้วเชิดหน้าขึ้น นางรู้สึกดีใจอยู่บ้างที่นางก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด อย่างน้อยนางก็ขี่ม้าเป็น ยายเด็กคนนี้ยังต้องอาศัยนาง

ซูฉิงเห็นท่าทางของนาง ในใจก็ไม่ยอมแพ้ พูดขึ้นว่า “ข้าขี่ลาเป็น เจ้าขี่เป็นหรือไม่”

ติงเหยียนซานจ้องตาเขม็ง “ใครอยากขี่ลากัน น่าขายหน้าจะตายไป”

“เช่นนั้นเจ้าก็ขี่ไม่เป็นสินะ” ซูฉิงเม้มปากเชิดหน้าเลียนแบบท่าทางของอีกฝ่าย

ติงเหยียนซานจ้องนางอย่างหัวเสีย “ขี่ลามีอะไรน่าภูมิใจกัน ต้องขี่ม้าจึงจะดูองอาจ”

ซูฉิงจ้องกลับ “ลาน่ารักกว่าม้า…เอาเป็นว่าเจ้าฟังคำข้า พวกเราไปขโมยม้าก่อน ถ้าไปถึงที่นั่นเจ้าก็อย่าวิ่งวุ่น ตามหลังข้ามา สบโอกาสแล้วค่อยลงมือ”

ติงเหยียนซานพยักหน้า นางไม่รู้จักทาง ไม่มีทางวิ่งวุ่นแน่นอน แต่นางยังคงคิดว่าการขี่ม้านั้นเยี่ยมยอดกว่าการขี่ลา

หญิงสาวทั้งสองคนต่างทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาใส่ใจว่าการขี่ม้ากับขี่ลาต่างกันมากน้อยเพียงใด

ซูฉิงเริ่มขยับตัวเดินเข้าไปในพุ่มไม้อีกพุ่มด้านหน้า ผ่านไปสักครู่ติงเหยียนซานก็เห็นนางมีสีหน้ายินดี ซูฉิงหยิบกิ่งไม้กิ่งใหญ่ออกมาจากพุ่มไม้

ติงเหยียนซานสะดุ้ง คงไม่เหมือนที่นางคิดไว้หรอกนะ

ซูฉิงออกแรงหักกิ่งเล็กๆ ออกจากกิ่งใหญ่ จากนั้นนางก็ถือท่อนไม้ไว้ในมือ เดินก้มตัวต่ำๆ กลับมา แล้วใช้เท้าเขี่ยภาพแผนที่บนพื้นให้เลือนออกจนหมด กวักมือเรียกติงเหยียนซานพร้อมกับพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ”

คราวนี้คนทั้งสองไม่มีแรงวิ่งเหมือนตอนแรก ทำได้เพียงเพิ่มความเร็วในการเดิน ซูฉิงเดินไปสักครู่ก็หันมาพูดกับติงเหยียนซาน “หากพวกเราขโมยม้าไม่สำเร็จแล้วถูกพบเข้า ข้าจะพยายามขวางพวกเขาเอาไว้ เจ้าขี่ม้าหนีไปก่อน จากตรงนั้นลงไปจะมีทางรถม้า เจ้าก็เลือกทิศทางที่ลงจากเขา ไม่ว่าอย่างไรต้องลงไปให้ได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้า เมื่อลงไปแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำคือนำคนมาช่วยข้ากับพี่มู่เอ๋อร์”

ติงเหยียนซานได้ยินก็รู้สึกร้อนใจ นางไม่กล้าคิดถึงสภาพการที่ต้องหนีตายอยู่ในป่าเพียงลำพัง ตอนนี้ฟ้าค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ ผู้ใดจะรู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง

“นี่” ซูฉิงเห็นนางไม่ตอบเลยคิดว่านางไม่รับปากจึงใช้ท่อนไม้ชี้ไปที่ติงเหยียนซานแล้วพูดว่า “เจ้าอย่าคิดวางแผนอะไรร้ายๆ นะ เจ้าเป็นคนจิตใจไม่ดี ที่จริงข้าไม่เชื่อใจเจ้า แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่น ข้ายกโอกาสหนีเอาชีวิตรอดให้เจ้าก่อน หากเจ้ากลับไปแล้วไม่ยอมพาคนมาช่วย แม้ข้าตายกลายเป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้า”

“ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น” ติงเหยียนซานโกรธ ใครกันที่บอกว่านางจิตใจไม่ดี นางเป็นคนดีมากเลยนะ ฤดูหนาวทุกปีจะมอบอาหารแก่พวกยาจก ยังซื้อลูกกวาดให้เด็กที่ยากไร้ด้วย ทุกคนล้วนชมว่านางเป็นหญิงสาวที่ดี

“หึ” ซูฉิงไม่ได้ชะงักฝีเท้า หันมากลอกตาให้ติงเหยียนซาน

ติงเหยียนซานฉุนจนรีบชิงเดินนำหน้านางไป

คนทั้งสองเขม่นกันไปพลางเดินไปยังที่ซ่อนม้าอย่างระวังตัว หลังจากผ่านป่าทึบก็มีเสียงการเคลื่อนไหวของม้า ซูฉิงโบกมือด้วยท่าทางเหมือนผู้ชำนาญการก่อนหลบเข้าไปหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

ติงเหยียนซานตกใจ รีบหลบหลังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง นางแอบมองไปด้านหน้า ในป่าด้านหน้ามีคอกที่ล้อมด้วยเถาวัลย์ ในคอกผูกม้าเอาไว้หลายตัว เมื่อนางมองไปซ้ายขวาก็ไม่เห็นมีใครอยู่

ติงเหยียนซานใจเต้นโครมคราม กัดริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น นางหันหน้าไปมองซูฉิง ซูฉิงยกนิ้วขึ้นแตะปากเป็นสัญญาณว่าอย่าส่งเสียง จากนั้นกอดท่อนไม้ที่เก็บมาแล้ววิ่งไปซ่อนตัวหลังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง

ติงเหยียนซานมองดูอย่างลุ้นระทึก ซูฉิงเคลื่อนย้ายจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่งเรื่อยๆ ค่อยๆ หายไปจากสายตาของติงเหยียนซาน คิดว่าคงไปสอดแนมดูสถานการณ์ ดังนั้นนางจึงอดทนรอ

แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นซูฉิงกลับมา และไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ ติงเหยียนซานเริ่มรู้สึกหวาดกลัว จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับยายเด็กนั่นหรือไม่ ถูกโจรจับตัวไปแล้วใช่หรือไม่

นางอยากหนีแต่ก็ไม่กล้า ไม่รู้ว่าจะลงเขาไปได้อย่างไร หากขโมยม้ามาไม่ได้ อาศัยเพียงสองเท้าของนางคงวิ่งได้ไม่ไกล ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว นางเพียงแค่ผู้เดียวลงจากเขาไม่ได้อย่างแน่นอน

อีกอย่าง อีกอย่าง…

ติงเหยียนซานกำหมัดแน่น นางทิ้งยายเด็กนั่นไปโดยไม่สนใจไม่ได้ ก่อนหน้านี้ยายเด็กคนนั้นเคยบอกว่าจะยกโอกาสหลบหนีให้นาง แม้เรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น แต่การที่ซูฉิงทำเช่นนั้นเท่ากับมีคุณธรรมน้ำใจต่อนาง ตอนนี้ยายเด็กนั่นอาจมีอันตราย หากนางหนีไปโดยไม่บอกกล่าว คงผิดต่อซูฉิงมาก

ติงเหยียนซานคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงตัดสินใจเข้าไปดูสถานการณ์ในคอกม้าก่อน

นางเดินออกจากหลังต้นไม้ มองเข้าไปในคอกม้าผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ นอกจากม้าเหล่านั้นก็ไม่เห็นใครอื่นอีก นางคิดสักครู่แล้วย่อตัวเดินโดยใช้เถาวัลย์และใบไม้เป็นเครื่องกำบัง หาทางเข้าไปขโมยม้าออกมาก่อน จากนั้นค่อยว่ากัน

นางขยับฝีเท้าอย่างระมัดระวัง ตื่นเต้นจนหัวใจแทบกระเด็นออกมา ในที่สุดก็หาช่องเล็กๆ พบจนได้ นางดีใจเป็นอย่างมาก คิดจะลองดึงเถาวัลย์ออกให้เป็นช่องเพื่อมุดเข้าไป แต่พอยื่นมือไปกลับถูกหนามบนเถาวัลย์ปักมือ นางอุทานร้องเจ็บอย่างเผลอตัว จากนั้นก็ตกใจที่ตัวเองส่งเสียงออกมา รีบวิ่งกลับไปซ่อนตัวที่เดิม รอฟังเสียงความเคลื่อนไหวสักพัก เมื่อยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางจึงคิดจะลองมุดเข้าไปอีกครั้ง แต่พอหันหน้าไปก็เห็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งยื่นอยู่ด้านข้างไม่ไกลจากจุดที่นางอยู่

ติงเหยียนซานตกใจจนหน้าถอดสี ชายฉกรรจ์คนนั้นเดินเข้ามา ตะโกนเสียงดังว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

สิ่งแรกที่ติงเหยียนซานคิดได้ก็คือต้องหนี แต่ขาของนางอ่อนแรงจนขยับไม่ได้ จะร้องขอความช่วยเหลือก็ร้องไม่ออก ได้แต่เบิกตามองชายคนนั้นที่กำลังยื่นมือมาทางนางด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว นางยืนตัวแข็ง ภายในสมองว่างเปล่า

มือใหญ่นั้นยื่นมาตรงหน้านาง เห็นอยู่ว่ากำลังจะจับตัวนาง ทันใดนั้นทางด้านหลังของชายฉกรรจ์ก็มีเสียงดังตุบ

เขาหยุดเดิน ใบหน้าเหยเกดูเหมือนจะเจ็บปวดมาก ชายฉกรรจ์หมุนตัวกลับทันที

ติงเหยียนซานเห็นซูฉิงยืนถือท่อนไม้อยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์จึงคิดจะตะโกนเรียก แต่ทันใดนั้นซูฉิงก็ยกท่อนไม้ขึ้นสูง กระโดดลอยตัวตีไปที่หัวของชายฉกรรจ์อีกหนึ่งที

ชายฉกรรจ์ถูกตีติดต่อกันสองครั้ง ในที่สุดก็ล้มลง ซูฉิงยังคงไม่วางใจ ตีเขาไปอีกหลายครั้ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับตัวแล้วจริงๆ จึงได้หยุด และใช้ท่อนไม้ยืนค้ำพื้นเช็ดเหงื่อหายใจหอบ

ติงเหยียนซานเบิกตาโตอ้าปากค้าง ซูฉิงมองนางแวบหนึ่งแล้วยกนิ้วโป้งให้ “ทำได้ดี”

ติงเหยียนซานส่ายหน้า เหตุใดจึงเป็นนางที่ทำได้ดี นางไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่ทุบชายคนนั้นอย่างดุดันเมื่อสักครู่ไม่ใช่นางเสียหน่อย ติงเหยียนซานเอ่ยถามอย่างงุนงง “เจ้าโผล่ออกมาจากตรงไหนกัน”

ซูฉิงชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ทางด้านหลัง “ข้าวางแผนจะเดินดูสักรอบว่ามีคนอยู่เฝ้าม้าหรือไม่ แต่ตอนที่ซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นก็เห็นเขาเดินไปมาอยู่ข้างหน้า ข้าจึงไม่กล้าขยับ ตอนที่กำลังร้อนใจว่าเหตุใดม้าในคอกจึงไม่ผายลมเพื่อล่อเขาไปดูสักนิด เจ้าก็เข้ามาพอดี เจ้าทำได้ดีมาก นี่ไง เขาล้มไปแล้ว”

ติงเหยียนซานใบหน้าดำคล้ำ เหตุใดจึงเอานางไปเทียบกับม้าผายลม!

ซูฉิงไม่สนใจ เอื้อมมือไปดึงเถาวัลย์และกิ่งไม้ออก พลางพูดว่า “แถวนี้ไม่มีคนอื่นแล้ว คงมีแค่เขาคนเดียว เจ้ารีบไปเอาม้าเถอะ”

ติงเหยียนซานรีบตามซูฉิงเข้าไปในคอกม้า เลือกม้าที่ดูคึกคักที่สุดมาหนึ่งตัว จากนั้นแก้เชือกล่ามออก กำลังจะขึ้นม้า กลับเห็นซูฉิงเอาฟางที่กองอยู่ด้านข้างมาวางไว้บนหลังม้าอีกตัวหนึ่ง

“เจ้าทำอะไร”

ซูฉิงมองนางแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยตอบ “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะไม่ลงเขาไปพร้อมกับเจ้า” ซูฉิงเดินเข้ามาชี้ทางให้ติงเหยียนซาน “ทางที่พวกเราเพิ่งผ่านมานั้นมีทางดินโคลนเล็กๆ ที่ใช้ลงเขา เจ้าเห็นใช่หรือไม่ เจ้าขี่ม้าลงไปตามทางสายนั้นก็พอ”

ติงเหยียนซานพยักหน้า ในใจรู้สึกตื่นกลัว “แต่หากตอนลงเขามีทางแยกมากมาย ข้าจะทำอย่างไร”

ซูฉิงขมวดคิ้ว “เส้นทางที่รถม้าสามารถเคลื่อนผ่านได้มีไม่มากนัก เจ้าคงไม่หลงทางหรอกกระมัง”

ติงเหยียนซานขมวดคิ้วเช่นกัน “ตอนที่ข้าถูกจับตัวมาไม่ได้นั่งรถม้า และตอนนั้นก็หมดสติด้วย ไม่รู้ว่าพวกเขาขึ้นมาจากทางใด”

“เช่นนั้นก็ต้องดูโชคของเจ้าแล้ว ข้าเห็นมีหญ้าแห้งอยู่ เลยคิดจะกลับไปเผาเรือนนั้น ถือโอกาสตอนชุลมุนพาพี่มู่เอ๋อร์หนีออกมา ขอเพียงหนีเข้าไปในป่าได้ พวกเราก็มีที่ซ่อนตัว ข้าจะถ่วงเวลาเอาไว้ รอเจ้านำคนกลับมาช่วย” ซูฉิงไม่สนใจติงเหยียนซานที่อ้าปากด้วยความตกใจ พูดต่อทันที “หากข้าพาเจ้าลงเขาแล้วค่อยนำคนกลับมา ต่อให้ทำได้เร็วเพียงใดก็ต้องใช้เวลาเกือบถึงเที่ยงคืน ตอนนั้นพี่มู่เอ๋อร์คง…” ซูฉิงกัดริมฝีปาก เอ่ยอีกว่า “สรุปก็คือคงไม่ทันการแน่ ไม่สู้พวกเราแยกย้ายกันลงมือ ข้าจะยอมเชื่อเจ้า เรื่องตามคนมาช่วยขอมอบให้เจ้า ส่วนข้าจะไปพาพี่มู่เอ๋อร์หนีออกมาแล้วซ่อนตัวอยู่ในป่าที่พวกเรานั่งวาดแผนที่กันเมื่อสักครู่ รอให้เจ้ามาช่วย หากไม่ทำเช่นนี้ข้ากลัวว่าตอนที่พวกเรากลับมาพี่มู่เอ๋อร์อาจถูกทำร้ายไปแล้ว”

ติงเหยียนซานนิ่งงัน นางรู้ว่าซูฉิงพูดมีเหตุผล แต่ให้นางทำเรื่องสำคัญเช่นนี้ นางไม่มั่นใจและรู้สึกกลัว ตอนนี้แค่รักษาชีวิตของตัวเองให้ได้ก็ยังยากแล้ว

ซูฉิงยังคงวางหญ้าแห้งขึ้นบนหลังม้า คิดจะใช้ม้าบรรทุกสิ่งนี้แล้วแอบเข้าไปทางด้านหลังของเรือน จากนั้นค่อยหาโอกาสลงมือ

ติงเหยียนซานกำลังจะทักท้วง แต่พลันเกิดเสียงผิวปากแหลมดังขึ้นเสียก่อน ซูฉิงตกใจ หมุนตัวกลับไปยกท่อนไม้ขึ้นมา พูดกับติงเหยียนซานว่า “รีบหนี! ขี่ม้าไปตามเส้นทางที่ข้าบอก ขอเพียงไม่หลงทิศ เจ้าก็สามารถลงเขาไปได้อย่างแน่นอน ข้ากับพี่มู่เอ๋อร์รอเจ้าอยู่นะ!”

ขณะที่นางพูดคำนี้ ชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็พุ่งพรวดออกมาจากในป่า วิ่งทะยานมาทางพวกนางทั้งสองคน

เลือดในกายติงเหยียนซานเย็นเยือก นางกัดริมฝีปากกระโดดขึ้นหลังม้า ออกแรงสะกิดท้องม้า แล้วตะโกนตอบ “เจ้ารอข้านะ ข้าสาบานว่าจะนำคนกลับมาช่วยแน่นอน ข้าสาบาน!” จากนั้นม้าก็วิ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้ซูฉิงหวาดกลัวจนขนลุกไปทั้งร่าง แต่นางยังคงยกท่อนไม้ขวางไว้ตรงหน้าชายฉกรรจ์คนนั้น เพียงพริบตาเดียวชายคนนั้นก็มาถึงตรงหน้านาง ซูฉิงวาดท่อนไม้ออกไปอย่างสุดแรง แต่ชายฉกรรจ์มีวรยุทธ์ เขาจับท่อนไม้ไว้ได้อย่างง่ายดาย ซูฉิงรีบปล่อยมือ คิดเปลี่ยนมาใช้เท้าเตะไปที่ช่วงล่างของเขา

ชายฉกรรจ์คนนั้นตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะใช้วิธีสกปรกเช่นนี้ได้

ซูฉิงกำลังจะเตะถูกเป้าหมาย แต่ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังนาง จับตัวนางดึงถอยหลัง ชายฉกรรจ์คนนั้นเกือบจะถูกแตะที่สำคัญจึงใช้มือบังเอาไว้ด้วยความกลัว

ซูฉิงที่ถูกดึงตัวออกไปบิดกายกลับมาชกหนึ่งหมัด แต่กำปั้นกลับถูกหยุดเอาไว้ นางตวัดขาเตะไปที่ใต้ท้องน้อยของอีกฝ่าย คนผู้นั้นร้อง “เฮ้ย” ออกมา แล้วเลื่อนฝ่ามือลงต่ำ จับขาข้างนั้นของนาง “แม่นางซู ข้าเอง”

ซูฉิงกำลังกลัวจนลนลาน มือและขาข้างหนึ่งของนางถูกจับยึดไว้ ดังนั้นจึงไม่สนใจเรื่องอื่น ก้มตัวลงกัดไปที่มือของฝ่ายตรงข้ามทันที แม้จะได้ยินเสียงของคนผู้นี้ แต่นางก็ฝังเขี้ยวลงไปแล้ว

ซูฉิงที่งับมือใหญ่ไว้เต็มปาก สมองพลันคิดได้ว่าฝ่ายตรงข้ามพูดอะไรกับนางจึงช้อนตาขึ้นมอง เห็นใบหน้าเศร้าที่ดูจนใจและเจ็บปวดของหลี่เคอ นางจึงคลายปากออกแล้วตะโกนเสียงดัง “พี่หลี่! พี่หลี่!”

“ข้าเอง” หลี่เคอปล่อยตัวซูฉิง นางร้องไห้โฮพลางกระโจนเข้าไปในอ้อมกอดของเขา

จากนั้นสายสืบหลายคนที่ได้ยินเสียงสัญญาณผิวปากต่างพากันวิ่งมาตามเสียง หลี่เคอยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา ในอ้อมกอดมีสาวน้อย เขาเก้อเขินจนไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี แต่ทันใดนั้นซูฉิงก็ผละออกมายืนตัวตรง เช็ดน้ำตาแล้วมองไปรอบๆ พูดเสียงดังว่า “ไป ตามข้าไปช่วยพี่มู่เอ๋อร์!”

นางหมุนตัวเก็บท่อนไม้ใหญ่นั้นขึ้นมา ท่าทางเตรียมพร้อมต่อสู้ ก่อนจะเดินนำทางไปด้วยความฮึกเหิม

เหล่าสายสืบต่างมองหน้ากัน ส่วนหลี่เคอโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนตามไป

 

ติงเหยียนซานควบม้าให้วิ่งไปตลอดทาง นางไม่มั่นใจและหวาดกลัวมาก แต่นางต้องทำให้ได้ นางต้องนำกำลังคนกลับมาให้ได้

การเดินทางราบรื่นมาตลอด แต่ตรงทางแยกหนึ่ง นางที่สติไม่อยู่กับตัว ไม่รู้ว่าจะไปเส้นทางใดในทางสองสายที่เป็นทางลงเขาทั้งคู่ ขณะที่กำลังลังเลใจไม่รู้จะเลือกซ้ายหรือขวา เจ้าม้าก็สะบัดตัวนางตกลงมา

ติงเหยียนซานหวีดร้องด้วยความตกใจ ร่างตกกระทบพื้นโคลนดังตุบ เจ้าม้าไม่สนใจวิ่งลงเขาจากไปทันที เวลาผ่านไปนานกว่าที่ติงเหยียนซานจะได้สติ เมื่อขยับตัวก็พบว่าแขนซ้ายเจ็บจนเคลื่อนไหวไม่ได้ นางลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ขาซ้ายเองก็ดูเหมือนจะพลิกเช่นกัน

เมื่อช้อนตาขึ้นดูก็พบว่าเจ้าม้าวิ่งหายลับไปนานแล้ว ติงเหยียนซานอยากร้องไห้ นางบอกตัวเองว่าจะร้องไห้ไม่ได้ แต่ภาพเบื้องหน้าเริ่มมัว น้ำตาร่วงพรูลงมาอย่างควบคุมไม่ได้

ติงเหยียนซานยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดดวงตา พบว่าแขนเสื้อเต็มไปด้วยโคลน แขนของนางเจ็บมาก ขาก็ปวดเช่นกัน นางกำลังอยู่ตามลำพังในภูเขาที่เป็นรังของโจรภูเขาซึ่งบางทีอาจมีหมาป่าด้วย นางไม่เคยดูน่าสมเพชและทุลักทุเลถึงเพียงนี้มาก่อนเลย

ติงเหยียนซานร้องไห้โฮ ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว นางคงทำไม่ได้อย่างแน่นอน ลงจากเขาไม่ได้และทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับซูฉิงก็ไม่ได้ด้วย นางร้องไห้อย่างหนัก รู้สึกเกลียดตัวเองที่ไร้ประโยชน์

ลมพัดผ่านผืนป่าทำให้เกิดเสียงน่ากลัวและแปลกประหลาด ติงเหยียนซานนึกถึงคำพูดของจวีมู่เอ๋อร์ที่เคยบอกว่าตัวนางนั้นมองไม่เห็นวิ่งไม่เร็ว ไม่อาจเป็นภาระของตนกับซูฉิงได้ ยังนึกถึงคำพูดของซูฉิงที่บอกว่านางจะขวางพวกโจรเอาไว้ ให้ตนรีบขี่ม้าหนีไป ที่พวกนางทำเช่นนั้น ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าหวังเพียงให้มีคนนำกำลังมาช่วยพวกนางเท่านั้น

ส่วนตัวนางล่ะ นางแค่หกล้มก็สิ้นหวังแล้วหรือ

ติงเหยียนซานสูดจมูก มองดูเส้นทางสองสายตรงหน้า แล้วตัดสินใจเลือกเส้นทางที่เจ้าม้าวิ่งไป บางทีตรงนี้อาจจะห่างจากตีนเขาไม่ไกลแล้ว แม้ตอนนี้ไม่มีม้า แต่นางยังมีขา นางยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด

ติงเหยียนซานทนเจ็บ กัดฟันเดินไปข้างหน้า สิ่งที่นางสาบานกับซูฉิงไว้ นางควรต้องพยายามให้ถึงที่สุด คนตาบอดยังไม่กลัว เด็กหญิงอายุน้อยก็ยังไม่กลัว นางที่เป็นถึงคุณหนูรองของคฤหาสน์สกุลติงจะกลัวได้อย่างไร นางก็ไม่กลัวเช่นกัน!

ติงเหยียนซานให้กำลังใจตัวเองพลางกัดฟันเดินต่อไป แต่แขนเริ่มเจ็บมากขึ้น ขาก็เช่นกัน นางอยากร้องไห้อีกครั้ง ถ้าตอนนี้พี่สาวอยู่ด้วยก็คงดี ท่านพ่อด้วย พี่เขยก็ยิ่งดี…นางคิดไปคิดมากลับเห็นพ่อและพี่เขยของตนอยู่ตรงหน้าจริงๆ

นางกะพริบตา ได้ยินเสียงท่านพ่อเรียกชื่อนางและเห็นเงาร่างของอวิ๋นชิงเสียน นอกจากนี้ยังเห็นท่านหลงเอ้อร์อีกด้วย เพียงพริบตาพวกเขาก็มาถึงตรงหน้านาง ติงเหยียนซานทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องไห้โฮออกมาทันที

ที่แท้คนรถที่หลงเอ้อร์สอบความตรงตีนเขากลัวตายจึงรีบรับสารภาพทุกอย่าง บอกว่าตัวเองถูกจ้างให้มารับและส่งโจรเหล่านั้นให้ถึงกลางภูเขา จากนั้นก็กลับไปที่ตีนเขาเพื่อรอรับคำสั่ง เขาไม่รู้เบื้องลึกของพวกโจร ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด และไม่รู้ว่าแหล่งที่พักบนภูเขาของพวกโจรอยู่ที่ใดด้วย

ขณะที่คนรถกำลังเล่าความ ติงเซิ่งกับอวิ๋นชิงเสียนก็นำคนมาถึง พวกเขาได้รับรายงานว่าติงเหยียนซานก็ถูกลักพาตัวเช่นกันจึงเร่งค้นหามาจนถึงที่นี่

หลงเอ้อร์ไม่มีเวลาพูดทักทายกับพวกเขา เพียงคุมตัวคนรถไว้ให้เขานำทาง ติงเซิ่งกับอวิ๋นชิงเสียนที่ได้ยินว่าติงเหยียนซานถูกนำตัวมาทางภูเขานี้จริงจึงรีบตามมาด้วย

เพียงแต่ทุกคนล้วนไม่คาดคิดว่าพอเดินมาถึงครึ่งทางก็จะเจอกับติงเหยียนซานในสภาพมอมแมม ได้รับบาดเจ็บและตัวเปื้อนโคลนเช่นนี้

ติงเซิ่งกับอวิ๋นชิงเสียนรีบเข้าไปดูอาการของนาง หลงเอ้อร์ทนไม่ไหวกำลังจะเข้าไปถามความ สายสืบของเขาก็ตะโกนรายงานเสียงดัง “นายท่านรอง เจอสถานที่นั้นแล้วขอรับ”

หลงเอ้อร์ดีใจแทบคลั่ง ไม่สนใจคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด แตะปลายเท้าลอยตัวไปอยู่ข้างกายสายสืบคนนั้นทันที

สายสืบคนนั้นรายงานว่า “พบตัวแม่นางซูฉิงแล้วขอรับ นางรู้สถานที่ ตอนนี้กำลังนำทางพวกท่านหลี่ไป ท่านหลี่ให้ข้าน้อยมารายงานก่อนขอรับ”

ติงเหยียนซานได้ยินว่าซูฉิงได้รับการช่วยเหลือแล้วก็รู้สึกเบาใจจนทรุดตัวฮวบลง ด้วยความเบาใจทำให้ตัวนางทนต่อไปไม่ไหว เอ่ยเรียก ‘ท่านพ่อ’ ได้เพียงคำเดียวก็หมดสติไป

หลงเอ้อร์ใช้วิชาตัวเบาตามสายสืบคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาอยากให้บนร่างมีปีกสักคู่ จะได้บินไปถึงข้างกายจวีมู่เอ๋อร์ทันที เขาร้อนใจดั่งไฟลน ไม่นานสายสืบก็พาเขามาถึงเรือนที่ซ่อนตัวของพวกโจร

ตลอดทางมา หลงเอ้อร์คิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา คิดไปถึงสภาพต่างๆ ของจวีมู่เอ๋อร์ในตอนที่เขาไปถึง แต่กลับไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้มาก่อน…

นางหายตัวไปแล้ว!

หญิงตาบอดคนหนึ่งหายตัวไปจากห้องที่ถูกใส่กลอนเอาไว้!

หลงเอ้อร์ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น

ซูฉิงเองก็ไม่เชื่อ

ตอนที่หลงเอ้อร์รุดมาถึง ซูฉิงที่อยู่ในโถงชั้นนอกของเรือนโจรกำลังใช้เก้าอี้ทุบโจรที่ถูกคุมตัวอยู่บนพื้น ร้องตะโกนให้อีกฝ่ายมอบตัวจวีมู่เอ๋อร์ออกมา

ในตอนที่ซูฉิงกลับมาถึง ในเรือนก็ไม่มีจวีมู่เอ๋อร์อยู่แล้ว จากนั้นนางจึงเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดในเพียงพริบตาเดียว หลี่เคอกับสายสืบสองคนที่คอยอยู่เฝ้าที่นั่นไม่ยุ่งเกี่ยว เรื่องสอบปากคำพวกโจร พวกเขาเข้าไปยุ่งไม่ได้

โจรทั้งสองคนปากแข็งบอกแต่ว่าไม่รู้ ซูฉิงเตะพวกเขาอย่างแรงไปหลายที ต้องการบีบให้พวกเขาพูดออกมาให้ได้

ในตอนนั้นเองหลี่เคอที่เห็นหลงเอ้อร์เข้ามาพอดีจึงรีบเข้าไปรายงานว่าตอนพวกเขาตามซูฉิงมาถึงที่นี่ ในห้องนี้ก็เหลือเพียงโจรสองคนกับหญิงชาวบ้านสองคนที่หายใจรวยรินเท่านั้น ส่วนคนอื่นหายไปอย่างไร้ร่องรอย และในห้องที่เคยขังจวีมู่เอ๋อร์ไว้ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว

โจรสองคนที่เหลืออยู่ไม่ใช่พวกกระดูกแข็งอะไรนัก ซ้อมไปไม่กี่ครั้งจึงรับสารภาพออกมาหมด บอกว่าหญิงทั้งสามคนนั้นหนีไปพร้อมกัน และโจรคนอื่นกระจายกำลังออกไปค้นหาเพื่อจับตัวพวกนางกลับมา

ซูฉิงตะโกนออกมาว่า “เขาโกหก พี่มู่เอ๋อร์มองไม่เห็นจะหนีไปได้อย่างไร นางบอกว่านางวิ่งไม่เร็ว หนีเองไม่ได้ทำให้เป็นภาระพวกเรา จึงให้พวกเราหนีออกมาก่อน นาง…นาง…นางให้พวกเราไปก่อน ส่วนตัวนางจะรอให้พวกเราตามคนมาช่วย…” ซูฉิงยิ่งพูดเสียงยิ่งสั่นเครือ ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมา

พอคนช่วยมาถึง จวีมู่เอ๋อร์กลับหายตัวไปแล้ว

โจรสองคนนั้นเห็นท่าทางของหลงเอ้อร์ก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้เป็นเจ้าคนนายคน จึงรีบโขกหัวขอชีวิต “นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย พวกข้าน้อยไม่ได้โกหก ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเป็นคนไปตรวจดูความเคลื่อนไหวของแม่นางทั้งสามคนเอง พบว่าในห้องไม่มีใคร บานหน้าต่างถูกเปิดเอาไว้ มีเก้าอี้วางไว้ตรงด้านล่างหน้าต่าง ดังนั้นข้าน้อยจึงรีบไปรายงานพี่ใหญ่ เขานำคนเข้าไปค้นดูในห้องก็พบว่าแม่นางทั้งสามคนหนีไปแล้วจริงๆ หลังจากนั้นมีคนพบไม้เท้าของหญิงตาบอดผู้นั้นอยู่ด้านนอกห่างออกไปทางทิศตะวันออกไม่ไกลนัก จึงคิดว่าพวกนางหนีไปทางนั้น ดังนั้นพี่ใหญ่จึงสั่งให้พวกข้าสองคนอยู่เฝ้าที่นี่ ส่วนเขานำพี่น้องคนอื่นตามไปทางนั้นเพื่อไล่ล่าพวกนาง”

ในตอนนี้ซูฉิงทนไม่ไหวอีกต่อไป ทรุดนั่งลงบนพื้นร้องไห้โฮ “พี่หลอกข้า พี่บอกว่าจะรอข้ากลับมาช่วย นางหลอกข้า ที่แท้นางไล่พวกเราไป จากนั้นใช้ตัวเองหลอกล่อคนเลวเหล่านี้ไม่ให้ตามล่าพวกเรา พวกเราตกลงกันว่าจะหนีไปทางป่าด้านทิศใต้แท้ๆ นางรู้ดี นางรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นนางจึงไปทางทิศตะวันออก แต่นางมองไม่เห็น นางจะหนีไปที่ใดได้ ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว พี่ก็หายตัวไปแล้ว”

หลงเอ้อร์มีสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างมาก หลี่เคอรีบพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยให้เหล่าพี่น้องกระจายตัวออกค้นหาแล้วขอรับ สั่งให้พวกเขาจับโจรพวกนั้นกลับมา และช่วยแม่นางจวีกลับมาให้ได้”

หลงเอ้อร์พยักหน้า เอ่ยถามเสียงเข้ม “นางถูกขังอยู่ที่ห้องใด”

ซูฉิงยังคงร้องไห้อยู่ ไม่อาจตอบคำถามได้ หลี่เคอจึงรีบตอบแทน “ห้องในสุดห้องนั้นขอรับ พวกเราไม่ได้เคลื่อนย้ายของในห้องเลย” แท้จริงแล้วไม่มีอะไรให้เคลื่อนย้าย ในห้องนั้นนอกจากเตียงหนึ่งหลังโต๊ะหนึ่งตัวเก้าอี้หนึ่งตัวแล้วก็ไม่มีของอื่นใดอีก

หลงเอ้อร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เดินเข้าไปในห้องนั้นตามลำพัง

ภายในห้องยังคงเหมือนกับตอนที่พวกซูฉิงหนีไป เก้าอี้ยังอยู่ตรงหน้าต่าง เพียงแต่ตอนนี้มันล้มลง หน้าต่างเปิดออก ท้องฟ้าด้านนอกมืดแล้ว อุณหภูมิบนภูเขาต่ำลง มีไอเย็นพัดเข้ามาในห้อง

หลงเอ้อร์มองดูภายในห้องอย่างละเอียด หลังจากกวาดตามองไปรอบหนึ่ง สายตาก็จับอยู่ที่บานหน้าต่างนั้น หน้าต่างค่อนข้างสูง หากจวีมู่เอ๋อร์จะปีนหน้าต่างก็ต้องเหยียบขึ้นไปบนเก้าอี้

เขาหันไปมองเก้าอี้ขาหักที่ล้มอยู่บนพื้น ในใจคิดว่านางมองไม่เห็น การปีนขึ้นเก้าอี้ขาหักเพื่อกระโดดออกจากหน้าต่างเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

หลงเอ้อร์มองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ระยะห่างจากหน้าต่างถึงพื้นทำให้เขากังวลว่าจวีมู่เอ๋อร์อาจได้รับบาดเจ็บ

เขาหลับตา พยายามทำให้ใจสงบลง ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ในป่าอันตรายมาก อีกทั้งพวกโจรเหล่านั้นก็ยังไล่ล่าเพื่อจับตัวนางอยู่ นางต้องมีแผนการอยู่ในใจแน่นอน ไม่เช่นนั้นนางคงไม่วิ่งวุ่นเช่นนี้

มีคนบุกเข้ามาพาตัวนางไป หรือว่านางหนีออกไปเองโดยคิดดีแล้วว่าหลังจากนั้นควรทำอย่างไร

หลงเอ้อร์เดินสำรวจรอบห้องอย่างรวดเร็ว บนโต๊ะไม่มีตัวอักษรเขียนทิ้งไว้ บนพื้นไม่มี บนเก้าอี้ไม่มี บนเตียงก็ไม่มี ในห้องนี้ไม่มีสัญลักษณ์หรือของอะไรที่นางทิ้งเอาไว้เลย

นางไม่มีทางที่จะไม่ทิ้งสัญลักษณ์อะไรเอาไว้ ก็เหมือนกับในรถม้าคันนั้น ดังนั้นตอนนี้นางต้องทิ้งสัญลักษณ์บางอย่างไว้เพื่อบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นแน่นอน

แต่ที่ใดก็ไม่มี

เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้นางรับมือไม่ทัน เตรียมการไม่ทัน หรือว่าแท้จริงแล้วนางทิ้งร่องรอยเอาไว้แต่เขาหาไม่ถูกที่กันแน่

หลงเอ้อร์กระโดดออกทางหน้าต่าง เดินไปรอบๆ ไม้เท้าของจวีมู่เอ๋อร์ที่ถูกทิ้งเอาไว้ห่างจากหน้าต่างไม่ไกลนัก โจรพวกนั้นไม่ได้เก็บมันขึ้นมา

หลงเอ้อร์เก็บไม้เท้าขึ้นมา สังเกตบนไม้เท้าอย่างละเอียด ไม่มีร่องรอยอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้สลักอักษรไว้ ไม่ได้ทำสัญลักษณ์ ไม่มีอะไรสักอย่าง แต่เป็นไม้เท้าที่นางใช้จริงๆ ไม้เท้าที่ไม่เคยห่างกายของนางเลย

ทันใดนั้นหลงเอ้อร์ก็วิ่งทะยานเข้าไปในป่า ในป่าลึกยามค่ำคืนเช่นนี้ แม้แต่ชายฉกรรจ์ผู้กล้าก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบใจได้ นับประสาอะไรกับหญิงอ่อนแอที่มองไม่เห็นเช่นนาง หลงเอ้อร์ตามหาไปตลอดทาง วิ่งอยู่นานก็ได้ยินเสียงต่อสู้ดังขึ้น เขารีบรุดไปถึงก็เห็นผู้ใต้บัญชาของตัวเองกำลังต่อสู้ชุลมุนอยู่กับพวกโจร หลงเอ้อร์มองไปรอบๆ ด้วยความตึงเครียด แต่ไม่เห็นร่างผอมบางนั้น เขาวิ่งวนดูสองรอบ พลันรู้สึกว่า…เขาวิ่งมาไกลเกินไปแล้ว

ระยะทางเช่นนี้เป็นระยะการเดินของคนปกติ เป็นระยะทางที่พวกโจรมาตามหานาง แต่ไม่ใช่ระยะทางที่จวีมู่เอ๋อร์จะเดินได้

เขาไม่ควรใช้มุมมองของคนปกติไปคิดในมุมของนาง เขาควรใช้มุมมองของนางคิดเรื่องเหล่านี้

นางให้ซูฉิงกับติงเหยียนซานหนีไปก่อน จากระยะวิ่งของหญิงสาวทั้งสองคนการวิ่งไปถึงคอกม้านั้นใช้เวลาไม่นาน นั่นเป็นระยะเวลาเดียวกับที่พวกเขารีบรุดขึ้นเขามา ส่วนตรงจุดที่เขายืนอยู่ห่างจากคอกม้าพอๆ กับระยะทางที่พวกนางวิ่งหนีจากเรือนซ่อนตัวมาถึงคอกม้า ด้วยความเร็วในการเดินของจวีมู่เอ๋อร์ ไม่มีทางมาได้ไกลถึงเพียงนี้แน่นอน

หลงเอ้อร์เดินกลับไปทางเดิม ตรวจดูสถานที่ที่สามารถซ่อนตัวได้ทั้งหมด แต่ก็ยังคงไม่พบร่องรอยของนาง

เขากลับไปยืนนอกเรือนตรงจุดที่เก็บไม้เท้าได้ จากนั้นสงบสติอารมณ์คิดทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง หากนางจะเดินทางต้องใช้ไม้เท้า แต่เหตุใดจึงทิ้งเอาไว้ตรงนี้ เพราะนางหกล้มจึงทำไม้เท้าหลุดมือ แล้วกลัวมีคนไล่ตามจึงไม่ทันเก็บกลับมาหรือ

หลงเอ้อร์มองดูบนพื้นอย่างละเอียด บนพื้นใต้หน้าต่างมีร่องรอยคนกระโดดลงมาจริง แต่พื้นโคลนที่ไม้เท้าตกอยู่กลับมองไม่เห็นว่ามีคนเคยหกล้ม หลงเอ้อร์ย้อนคิดถึงทิศทางที่ไม้เท้าวางอยู่บนพื้น จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปมองป่าอีกด้านหนึ่ง เขาเข้าใจในทันใด ไม้เท้านำทางโจรให้ไปทิศทางนั้น แต่นางไม่ได้เดินไปทางนั้นจริงๆ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้นางยอมทิ้งไม้เท้าไว้

หลงเอ้อร์กลับไปยังโถงในเรือน ตอนนี้มีคนใต้บัญชาของคฤหาสน์สกุลหลงมาเพิ่มมากขึ้น แม้แต่อวิ๋นชิงเสียนก็นำคนของกรมอาญาขึ้นมา และท่านเจ้าเมืองชิวรั่วหมิงก็นำคนมาถึงแล้วเช่นกัน

อวิ๋นชิงเสียนกับชิวรั่วหมิงกำลังวางขอบเขตและทิศทางในการค้นหา จวนว่าการ คฤหาสน์สกุลหลง และกรมอาญาร่วมกันจัดวางกำลังคน พวกเขาแบ่งเขตการค้นหาอย่างรวดเร็ว เตรียมคบไฟและโคมไฟเสร็จแล้วก็ออกเดินทาง

หลงเอ้อร์เห็นคนทั้งหลายกระจายกันออกไป พวกเขาค่อยๆ เข้าไปค้นหาในป่าทีละจุด แต่หลงเอ้อร์ยังคงครุ่นคิด

เขาพลาดอะไรไปหรือไม่ จวีมู่เอ๋อร์จะหนีไปที่ใดได้

หรือนางสามารถแยกแยะกลิ่นของสิ่งต่างๆ ในผืนป่าได้ทำให้รู้ว่าควรต้องหลบซ่อนที่ใด

หลงเอ้อร์คิดเช่นนี้ จึงลองเดินเข้าไปค้นหาในป่าที่อยู่ตรงกันข้ามกับทิศทางของไม้เท้า เขาหลับตา พยายามคิดว่าหากตนเป็นจวีมู่เอ๋อร์จะทำอย่างไร เขายื่นมือไปลูบต้นไม้แล้วลองเดินไปข้างหน้า แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็สะดุดรากไม้บนพื้น

หลงเอ้อร์ลืมตาขึ้นทันใด…ไม่ถูก เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ถูกต้อง

นางไม่มีทางหนีออกมาเองได้ นางไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน ดังนั้นมีคนลักพาตัวนางไปอีกครั้ง นางจึงใช้ไม้เท้าชี้ทิศทางที่ถูกพาตัวไปอย่างนั้นหรือ

หลงเอ้อร์วิ่งเข้าไปในป่าอีกครั้ง ตอนนี้เหล่าผู้ใต้บัญชาของคฤหาสน์สกุลหลงเริ่มคุมตัวโจรหลายคนกลับมา หลงเอ้อร์ไม่สนใจยังคงเดินต่อไป ก่อนจะดึงตัวสายสืบคนหนึ่งที่กำลังค้นหามาสอบถามว่าพบเบาะแสอะไรหรือไม่ สายสืบส่ายหน้า บอกว่าไม่พบอะไรเลย โจรเหล่านั้นก็บอกว่าไม่เห็นอะไรเช่นกัน

หลงเอ้อร์ร้อนใจแทบคลั่ง ฟ้ามืด เขากว้างใหญ่ ทำเช่นใดจึงจะหาตัวนางพบ

เขาวิ่งวนไปวนมาในป่า ถามคนที่กำลังค้นหาอีกครั้งก็ได้รับคำตอบว่ายังไม่มีผู้ใดพบเจออะไร เขาเองก็ไม่พบเบาะแสอะไรเช่นกัน หลงเอ้อร์รู้ว่าการทำเช่นนี้ไม่ใช่ทางออก เขาต้องทำสมองให้ปลอดโปร่ง ทำใจให้สงบนิ่ง มู่เอ๋อร์ของเขาเป็นคนฉลาด นางต้องทำบางอย่างเพื่อให้เขาหานางเจอแน่นอน

หลงเอ้อร์กลับไปในเรือนของพวกโจร ตอนนี้ในเรือนจุดไฟสว่าง เขาเดินวนในห้องพักเหล่านั้นหลายรอบ แต่ก็ไม่พบอะไร ห้องอีกสองห้องมีรอยเลือดและร่องรอยการต่อสู้ มีเพียงห้องของจวีมู่เอ๋อร์ที่ไม่มี หลงเอ้อร์ยืนดูตรงหน้าประตูอยู่นานจึงหมุนตัวเดินกลับไปที่โถง

อวิ๋นชิงเสียนไม่อยู่ที่นั่น เขาออกไปค้นหาด้วยตัวเองแล้ว ส่วนชิวรั่วหมิงนั่งอยู่ในห้องโถง รอให้ทหารประจำการมารายงานผลการค้นหาในป่า เมื่อชิวรั่วหมิงเห็นท่านหลงเอ้อร์นั่งลงก็อยากปลอบใจแต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ส่วนข่าวหญิงสาวอีกสองคนที่ถูกลักพาตัวมาด้วยได้ตายไปแล้วนั้น ตอนนี้เขายังไม่กล้าบอกท่านหลงเอ้อร์

หลงเอ้อร์ไม่ได้มองหน้าชิวรั่วหมิงและไม่ได้มองหน้าใคร ยังคงพยายามคิดอยู่

เขาเหลือบไปเห็นถ้วยบนโต๊ะจึงนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบหน้าจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นมาในทันใด นางบอกว่ามีวิธีทำให้เขาหนีรอดจากการรับรองแขกได้ บอกว่าสามารถทำให้เขามีเหตุผลพร้อมสรรพในการจากไป ซ้ำคนที่เกาะติดเขายังต้องรีบเชิญให้กลับไปเองด้วย ตอนนั้นเขาเดาวิธีต่างๆ ไว้มากมาย แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายนางกลับใช้วิธีการง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่รุนแรง แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นนั้น

ถูกต้อง นั่นเป็นแผนการเล็กๆ ของจวีมู่เอ๋อร์ นางมองไม่เห็นสิ่งใด มีหลายเรื่องที่นางทำไม่ได้ ดังนั้นนางจะต้องใช้วิธีที่ง่ายที่สุดเพื่อทำให้บรรลุเป้าหมาย

วิธีที่นางใช้จะต้องเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด

หลงเอ้อร์ยืนขึ้น เดินไปทางห้องที่เคยขังนางเอาไว้อีกครั้ง เขาเข้าไปในห้อง แล้วเดินไปนั่งลงที่ขอบเตียง

ตรงนี้เป็นที่เดียวภายในห้องที่สามารถนั่งได้ ดังนั้นนางต้องเคยนั่งอยู่ตรงนี้แน่นอน

นางนั่งอยู่ตรงนี้ หันหน้าไปทางประตู ประตูลงกลอนอยู่ นอกประตูเป็นกลุ่มโจรดุร้ายที่มีวรยุทธ์

ซูฉิงกับติงเหยียนซานไปแล้ว หน้าต่างเปิดอยู่ เก้าอี้วางอยู่ใต้หน้าต่าง มีโจรมาตรวจดูบ่อยครั้ง เมื่อโจรเปิดประตูออกดูย่อมเห็นว่าคนหายไป ที่นี่เหลือนางเพียงคนเดียว นางจะทำอะไรต่อไป

หลงเอ้อร์ถือไม้เท้าของนางแล้วลุกขึ้น เดินไปหยุดด้านหน้าของหน้าต่าง ยืนอยู่ข้างเก้าอี้

นางเหยียบเก้าอี้ขาหักปีนออกไปด้านนอกได้หรือ

เขากลับมานั่งลงตรงขอบเตียงอีกครั้ง

หลงเอ้อร์มองไปที่ประตู คิดจำลองเหตุการณ์ทั้งหมด

เมื่อเปิดประตูออก ในห้องว่างเปล่า หน้าต่างเปิดอยู่ เก้าอี้วางอยู่ใต้หน้าต่าง ดังนั้นคนคงหนีไปแล้วแน่นอน ไม้เท้าตกอยู่ด้านนอกในทิศทางหนึ่ง นางคงวิ่งหนีไปทางนั้นแล้ว

ดังนั้นพวกโจรจึงไล่ตามไปทางทิศนั้น

หลงเอ้อร์เดินไปที่หน้าต่างอีกครั้ง เขาหลับตา ย่อตัวลงให้มีความสูงพอๆ กับจวีมู่เอ๋อร์ แล้วใช้มือคลำไปที่ขอบหน้าตา จากนั้นก็โยนไม้เท้าออกไป เมื่อลืมตาขึ้น อาศัยแสงจันทร์นวลก็พบว่าไม้เท้าตกลงในทิศทางเดียวกับตอนที่เขาเก็บมา

หลงเอ้อร์หมุนตัวกลับมามองดูรอบห้องอีกครั้ง

เขาครุ่นคิด หยิบเทียนจากบนโต๊ะเก่า จากนั้นจึงเดินไปทางเตียงไม้นั้น เตียงนี้ใช้ไม้เก่าๆ ประกอบขึ้น พื้นเตียงเตี้ยมาก แต่หากคนรูปร่างผอมจะเข้าไปซ่อนตัวก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

หลงเอ้อร์วางเทียนลงบนพื้น หมอบลงแล้วมองไปใต้พื้นเตียง

บริเวณใต้พื้นเตียงมืดสนิท หากยื่นมือเข้าไปก็มองไม่เห็น แสงเทียนไม่สว่างนักจึงส่องได้ไม่ไกลเท่าไร ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น หลงเอ้อร์ยังสามารถมองเห็นรางๆ ว่ามีคนนอนอยู่มุมในสุดใต้เตียง ตรงมุมนั้นมืดมาก มองเห็นไม่ชัดเจน แต่รู้ได้ว่าร่างเล็กนั้นเป็นผู้หญิง

ทันใดนั้นขอบตาหลงเอ้อร์ร้อนผ่าว เขาเอ่ยปากพูด กลับพบว่าเสียงของตนนั้นสั่นเครือ

“ข้าเอง ข้ามาแล้ว”

คนในนั้นขยับตัว แต่ก็เหมือนไม่ขยับ หลงเอ้อร์พูดอีกว่า

“ซูฉิงกับติงเหยียนซานไม่เป็นไร พวกนางถูกช่วยเอาไว้แล้ว”

คนผู้นั้นขยับตัวอีกครั้ง เหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก

“ข้าเอง เจ้าไม่ต้องกลัว” หลงเอ้อร์สูดลมหายใจลึก รู้สึกว่าลำคอคล่องขึ้นมากแล้ว “เจ้าไม่ต้องขยับ อย่ากลัว ข้าจะขยับเตียงออกเอง”

หลงเอ้อร์ยกแผ่นไม้เก่าบนเตียงออกโยนทิ้งไปด้านข้าง

คราวนี้แสงเทียนไม่ถูกแผ่นไม้บดบัง เขามองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น นางขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งด้านในสุด นอนขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่บนพื้น เอามือกุมหัวไว้ ทั้งร่างเต็มไปด้วยฝุ่นและตัวสั่นเทา หากจะมีสภาพทุลักทุเลได้เท่าใดก็มีเท่านั้น น่าสงสารได้เพียงใดก็น่าสงสารได้เพียงนั้น

“มู่เอ๋อร์” หลงเอ้อร์ก้าวไปนั่งข้างกายนาง ค่อยๆ กุมมือนางเบาๆ มือของนางเย็นเฉียบ ทิ่มแทงจนหัวใจของเขาเจ็บ

จวีมู่เอ๋อร์ขยับตัว แต่ร่างนั้นแข็งเกร็ง ขยับเขยื้อนไม่ได้

หลงเอ้อร์ดึงตัวนางขึ้นมาลูบหลัง เอว และแขนเบาๆ เพื่อช่วยให้นางผ่อนคลาย เขากอดนางไว้ในอ้อมอก แล้วเรียกชื่อนางอีกครั้ง “มู่เอ๋อร์”

จวีมู่เอ๋อร์พยายามทำตัวให้ผ่อนคลายอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยปากพูดได้ นางเรียกเขาเสียงเบาหวิว “ท่านหลงเอ้อร์”

หลงเอ้อร์ไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกของตัวเองอย่างไรตอนที่ได้ยินเสียงเรียกนี้ เขากอดจวีมู่เอ๋อร์ไว้แน่น รู้สึกว่ามือของตัวเองสั่นเทา

เขามองสำรวจทั่วตัวจวีมู่เอ๋อร์ ดูให้มั่นใจว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บ ใบหน้านางซีดขาว ตัวแข็งเกร็ง พูดไม่ค่อยออก หลังจากเค้นเสียงเรียก ‘ท่านหลงเอ้อร์’ ออกมาก็หลับตาลง

สิ่งนี้ทำให้หลงเอ้อร์ตกใจ เขารีบอุ้มนางออกไปด้านนอก เมื่อคนที่อยู่ในโถงเห็นเขาอุ้มคนออกมาจากในห้องที่เดิมควรจะว่างเปล่าก็ต่างพากันแสดงสีหน้าตกใจ

หลงเอ้อร์ไม่มีเวลาอธิบาย เขาบอกกับชิวรั่วหมิงว่าจะพาจวีมู่เอ๋อร์กลับคฤหาสน์สกุลหลงไปก่อน ส่วนเรื่องการจับโจรที่นี่ขอมอบให้เป็นหน้าที่ของชิวรั่วหมิง

เขาไม่ได้รอให้ชิวรั่วหมิงตอบรับ รีบอุ้มจวีมู่เอ๋อร์เดินจากไป ซูฉิงทั้งวิ่งทั้งตะโกนอยู่ด้านหลังแต่ก็ตามไม่ทัน สุดท้ายได้แต่กระทืบเท้าแล้วทรุดตัวลงนั่งร้องไห้เอ่ยปากด่าว่า “ให้ข้าดูพี่มู่เอ๋อร์หน่อยสิ เจ้าคนเลวคนนี้นี่ เหตุใดจึงมาแย่งชิงตัวพี่สาวข้าไป”

หลี่เคอมองด้วยความอึดอัดใจ เด็กน้อยคนนี้ด่าผู้เป็นนายของเขาว่า ‘คนเลว’ ในฐานะที่ตัวเขาเป็นองครักษ์ผู้จงรักภักดีและซื่อตรงต่อหน้าที่ เขาควรต้องพูดอะไรสักอย่างใช่หรือไม่

หลี่เคอเดินเข้าไปเพื่อจะดึงตัวซูฉิงให้ลุกขึ้นจากพื้น ปรากฏว่ายายเด็กน้อยทำดุแล้วปัดมือเขาออก หลี่เคอจนใจ เข้าไปดึงตัวนางอีกครั้ง คราวนี้นางลุกขึ้นยืน เขาเพียงพูดว่า “บนพื้นเย็น”

ซูฉิงกำลังโมโห ตอนนี้มีคนเสนอตัวมาให้ถึงที่ ดังนั้นจึงถลึงตา “ไม่ต้องยุ่ง!”

หลี่เคอค่อยๆ ดึงมือกลับ เขาไม่อยากยุ่งกับนางหรอก ไม่ใช่องครักษ์ของนางเสียหน่อย แต่เพียงพริบตาเดียวซูฉิงก็จะวิ่งลงจากเขาทันที หลี่เคอรีบดึงตัวนางเอาไว้ “เจ้าจะไปที่ใด”

“ลงเขาไปหาพี่มู่เอ๋อร์ จากนั้นกลับบ้าน แม่ข้าคงร้อนใจแย่แล้ว”

“ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว เจ้าจะลงเขาไปเองได้อย่างไร”

“เช่นนั้นพี่หลี่ไปส่งข้าหน่อยสิ” ซูฉิงร้องขออย่างไม่เกรงใจ

หลี่เคอตะลึง บนเขานี้ยังมีเรื่องอีกมาก โจรยังถูกจับไม่หมด ทุกคนกำลังค้นหาเพื่อจับกุมให้ครบอยู่ เขาต้องอยู่เฝ้าที่นี่ คิดสักครู่จึงเอ่ยว่า “ข้าจะให้คนอื่นไปส่งเจ้า อย่าเพิ่งวิ่งวุ่นนะ”

ซูฉิงพยักหน้า ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ หลี่เคอจึงเดินเข้าไปในเรือน คิดจะให้องครักษ์ของคฤหาสน์สกุลหลงสองคนไปส่งนาง แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าเรือนก็หันกลับมามองนางแวบหนึ่ง

สาวน้อยกำลังมองทางลงเขาด้วยสีหน้าเศร้าสลด หลี่เคอหัวใจกระตุก หากจะว่าไปแล้วยายเด็กคนนี้มีความกล้าไม่ธรรมดา พบเจอเรื่องเช่นนี้ยังพยายามปกป้องจวีมู่เอ๋อร์และยังพาคนหลบหนี กล้าขโมยม้า ทำร้ายโจร จากนั้นนำทางพวกเขากลับขึ้นมา นางยังบอกเรื่องการจัดวางกำลังและจำนวนโจรในเรือนได้อีกด้วย ซ้ำยังวางแผนให้พวกเขา บอกว่าจะโจมตีด้านหน้าด้านหลังอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้คนเลวเหล่านั้นจับจวีมู่เอ๋อร์เป็นตัวประกัน

หลี่เคอส่ายหน้าถอนหายใจ หากเขาไม่เคยตรวจสอบด้วยตัวเอง คงไม่มีทางเชื่อว่านางเป็นเพียงเด็กขายดอกไม้เท่านั้น

เด็กหญิงสมัยนี้ล้วนร้ายกาจเช่นนี้แล้วหรือ

หลี่เคอเข้าไปในเรือน ผ่านไปสักครู่จึงออกมา แล้วเดินไปพูดกับซูฉิงว่า “ไปกันเถอะ”

ซูฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “พี่ก็คือคนอื่นหรือ”

“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ตอนนี้ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ที่นี่ยังมีคนของใต้เท้าชิวอยู่ และข้าก็กำชับพี่น้องคนอื่นเสร็จแล้ว เช่นนั้นข้าไปส่งเจ้าดีกว่า”

ซูฉิงพยักหน้า คิดว่าเช่นนี้ก็ดี อย่างไรเสียหลี่เคอก็เป็นคนรู้จัก นางเพิ่งหนีตายมาได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นนางคงไม่วางใจเท่ากับหลี่เคอ

หลี่เคอพานางไปที่คอกม้าของพวกโจร จากนั้นจูงม้ามาตัวหนึ่ง หันหน้าไปคิดจะถามซูฉิงว่าขี่ม้าเป็นหรือไม่ นางกลับเชิดหน้าพูดเสียงดังอย่างเย่อหยิ่งขึ้นมาก่อนว่า “ข้าขี่ลาเป็น”

หลี่เคอตะลึง จากนั้นก็รู้สึกอยากหัวเราะ แต่ท่าทางของนางทำให้เขาต้องกลืนความอยากนั้นกลับลงไป เขากระแอมเบาๆ กวักมือเรียกนาง หลังจากตัวเองขึ้นม้าแล้วก็ดึงตัวนางตามขึ้นมา คนทั้งสองขี่ม้าตัวเดียวกันลงเขาไปอย่างรวดเร็ว

บทที่สิบห้า

ที่ตีนเขา หลงเอ้อร์กำลังกลัดกลุ้มเพราะอาการของจวีมู่เอ๋อร์แย่ลงทุกที

อาจเป็นเพราะเริ่มผ่อนคลายจากสภาพตกใจกลัวสุดขีด หรือหมอบอยู่บนพื้นเย็นเฉียบนานเกินไป เมื่อลงจากเขามา ใบหน้าของจวีมู่เอ๋อร์จึงเริ่มแดงขึ้นอย่างผิดปกติ หลงเอ้อร์ใช้มือแตะแก้มนาง รู้สึกว่าตัวนางร้อนจนน่าตกใจ

หลงเอ้อร์ขี่ม้าลงมา อาการของจวีมู่เอ๋อร์ทำให้เขาไม่กล้าพานางขี่ม้าตากลมต่อเพื่อกลับไปที่คฤหาสน์ ขณะกำลังร้อนใจก็หันหน้าไปเห็นรถม้าของจวนว่าการจอดอยู่ด้านข้างพอดี นั่นเป็นรถม้าที่ชิวรั่วหมิงนั่งมา

หลงเอ้อร์ไม่คิดใคร่ครวญอะไรทั้งสิ้น โบกมือให้คนใต้บัญชาไปชิงรถมา ทหารจวนว่าการที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่มองดูรถม้าของใต้เท้าของตนถูกท่านหลงเอ้อร์ ‘ยืมไปใช้’

หลงเอ้อร์สั่งให้คนใต้บัญชาคนหนึ่งรีบขี่ม้ากลับคฤหาสน์ล่วงหน้าไปก่อน แจ้งคนให้ตามท่านหมอมารอไว้ จากนั้นจึงอุ้มจวีมู่เอ๋อร์ขึ้นรถม้า รีบรุดกลับคฤหาสน์สกุลหลงทันที

ตลอดทาง หลงเอ้อร์ที่เห็นจวีมู่เอ๋อร์ป่วยจนไม่ได้สติเจ็บปวดหัวใจราวกับถูกเข็มทิ่มแทง เขากล่าวโทษตัวเองไม่หยุดว่าเหตุใดสมองจึงไม่รู้จักคิดให้ออกไวกว่านี้ว่านางอาจซ่อนอยู่ใต้เตียง เมื่อเรื่องเห็นได้เด่นชัดว่านอกจากตรงนั้นแล้วนางจะไปซ่อนตัวที่ใดได้อีก

เขาโทษตัวเองอีกว่าเดินไปเดินมาในห้องนั้นตั้งหลายครั้งหลายครา เหตุใดจึงไม่เรียกชื่อนางออกมา ด้านนอกมีเสียงวุ่นวายอึกทึก นางที่หวาดกลัวถึงเพียงนี้คงแยกไม่ออกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ย่อมไม่กล้าขยับตัวส่งเดช แต่หากเขาเรียกชื่อนาง และนางได้ยินเสียงของเขาจะต้องรู้ว่าปลอดภัยแล้ว จากนั้นก็ต้องส่งเสียงทำให้เขาหาตัวนางเจอ

เขาควรต้องฉลาดมากกว่านี้สักนิด เพราะเขาจึงทำให้นางได้รับความลำบากมากขึ้น

หากเขาคิดได้เร็วกว่านี้นางคงไม่ต้องทนหนาวและได้รับความตกใจถึงเพียงนี้

รถม้าเคลื่อนไปทางคฤหาสน์สกุลหลงเร็วราวติดปีกบิน จวีมู่เอ๋อร์นิ่งไม่ขยับอยู่ในอ้อมกอดของหลงเอ้อร์ ร่างนางยังคงแข็งเกร็ง หลงเอ้อร์ลูบแผ่นหลังของนาง พูดปลอบใจเสียงเบา แต่เมื่อพูดไปพูดมาก็พูดต่อไม่ได้ เขาคิดย้อนไปถึงตอนที่เห็นนางขดตัวอยู่ในมุมที่มืดมิดและเย็นเยือกนั้นเพียงลำพัง คอยฟังเสียงคนเปิดประตู ได้ยินเสียงพวกโจรบุกเข้ามาในห้อง ฟังเสียงพวกเขาหลงกลวิ่งออกนอกเรือนไปไล่ตาม…จากนั้นล่ะ…อยู่นิ่งเงียบราวคนตายอย่างนั้นหรือ นางต้องรอนานเพียงใดจึงมีเสียงฝีเท้าเคลื่อนไหววุ่นวายดังขึ้นอีกครั้ง เรื่องเหล่านี้ต้องทำให้นางกลัวมากอย่างแน่นอน

วิธีนี้ของนางเป็นวิธีที่อันตราย อันตรายมาก

อาจถูกมองออกในเพียงแวบแรก หรือไม่นานอาจถูกคนพบตัวเข้า หรือบางทีผ่านไปหลายวันก็คงยังไม่มีผู้ใดคิดว่านางจะทำเช่นนี้

หากพวกโจรพบนางแล้วย้ายนางไปที่อื่นเขาก็คงหาตัวนางเจอได้ยาก แต่หากนางขดตัวนิ่งจนตัวชา หนาวจนทั้งร่างแข็งไปหมด ทั้งไม่อาจส่งเสียงขอความช่วยเหลือออกมา ไม่อาจหนีออกไปเองได้ และทุกคนล้วนคิดว่านางหนีไปแล้ว ไม่ได้คิดถึงใต้เตียงเลย เช่นนั้นนางไม่ต้องติดอยู่ตรงนั้นจนตายหรอกหรือ

หลงเอ้อร์ยิ่งคิดยิ่งกลัว เขารู้สึกว่าทรวงอกบีบรัดขึ้นทันใด เมื่อก้มหน้าลงมองก็เห็นจวีมู่เอ๋อร์จับคอเสื้อของเขาไว้ มือเล็กของนางเย็นจนแข็ง อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง นางหลับตาไม่พูดอะไร แต่ยังคงจับเสื้อของเขาเอาไว้แน่น

หลงเอ้อร์หัวใจกระตุก ยื่นมือไปประกบบนหลังมือของนาง กอดนางไว้ในอ้อมอกแน่น อีกนิดเดียว หากพลาดไปเพียงนิดเดียวก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดพวกเขาจะได้พบหน้ากันอีกครั้ง

คนทั้งสองนิ่งเงียบไปตลอดทาง เขาเพียงกอดนางไว้แน่น ส่วนนางก็ซบอยู่บนแผ่นอกเขา

เรื่องราวหลังจากนี้ก็วุ่นวาย

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์สกุลหลง ท่านหมอรีบเข้ามาตรวจชีพจรดูอาการ ผู้เฒ่าจวีร้องไห้ฟูมฟาย ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ยังนอนไม่ได้สติ แต่มือยังคงจับเสื้อของหลงเอ้อร์ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

ตกดึก อาการป่วยของจวีมู่เอ๋อร์ก็หนักขึ้น นางอาเจียนเอายาที่ดื่มเข้าไปออกมาจนหมด หลงเอ้อร์มองดูด้วยสีหน้าเย็นเยือกทำให้สาวใช้ที่ป้อนยาตกใจจนมือสั่น ท่านหมอตรวจชีพจรแล้วรู้สึกกังวลใจมาก บอกว่าหากนางไม่กินยา เกรงว่าคงจะหายได้ยาก

ผู้เฒ่าจวีพูดขึ้นว่าจวีมู่เอ๋อร์เป็นบุตรสาวของตน เขาย่อมรู้จักดีที่สุด เขาจะป้อนยาเอง แต่ไม่รู้ว่าทำไมจวีมู่เอ๋อร์จึงกัดฟันแน่นไม่ยอมเปิดปาก สีหน้านางซีดเซียว มีเหงื่อท่วมหัว ไม่ยอมดื่มยาลงไปเลย ท่าทางเจ็บปวดของนางทำให้ผู้เฒ่าจวีปวดใจจนร้องไห้ออกมา

หลงเอ้อร์ทนดูต่อไปไม่ไหว เขาแย่งถ้วยยามา ใช้ช้อนง้างเปิดปากนาง ค่อยๆ กรอกยาลงไปทีละนิดๆ

จวีมู่เอ๋อร์ปัดมือเขาออกอย่างทรมาน แต่หลงเอ้อร์ไม่ยอม เขาบังคับกรอกยาให้นางจนหมดถ้วย แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกแย่มาก แต่เจ้าต้องดื่มยาลงไปอาการป่วยจึงจะหาย เจ้าเป็นเด็กดีเชื่อฟังนะ ข้ารับรองว่าทุกข์ที่เจ้าได้รับในวันนี้ ข้าจะให้คนสารเลวพวกนั้นใช้คืนมาหลายร้อยเท่า”

จวีมู่เอ๋อร์มีสติเลือนราง แต่เหมือนฟังเข้าใจดี

นางน้ำตาไหล

ดูแลกันมาทั้งคืน ในที่สุดไข้ของจวีมู่เอ๋อร์ก็ลดลง

แน่นอนว่าการทำให้ไข้ลดลงในครั้งนี้ หลงเอ้อร์ต้องปลุกปล้ำกับนางตลอด คนอื่นไม่กล้ายื่นมือเข้าไปช่วย หลงเอ้อร์เป็นผู้ลงมือเอง เขากรอกยานาง ห่มผ้าหนาๆ เพื่อให้นางขับเหงื่อออกมา นางขัดขืนร้องไห้ แต่เขากลับทำเป็นมองไม่เห็น

ผู้เฒ่าจวีเช็ดน้ำตาด้วยความยินดี โชคดีที่ท่านหลงเอ้อร์ใจแข็งกว่าเขา

รบกันอยู่ทั้งคืน ในที่สุดท่านหมอก็ประกาศว่าจวีมู่เอ๋อร์พ้นอันตรายแล้ว หลังจากนี้ต้องกินยาตามเวลา จากนั้นค่อยๆ พักฟื้นรักษาตัวก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คนทั้งหมดจึงโล่งอก

ตอนที่จวีมู่เอ๋อร์ตื่นขึ้น ฟ้าก็สว่างแล้ว ในตอนแรกนางไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใด แต่เมื่อหันไปพบว่ามือของนางถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งกุมเอาไว้ นางจึงไม่ได้ขยับ แต่นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแทน

มือที่กุมมือของนางเอาไว้เป็นมือของท่านหลงเอ้อร์ นางรู้ดี

ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมักจะส่งผ่านจากฝ่ามือเขามาที่ใจของนาง ตอนนี้นางคิดว่าเขาคงหลับ เพราะฝ่ามือนั้นไม่ได้ขยับ

ดังนั้นจวีมู่เอ๋อร์จึงไม่ขยับเช่นกัน นางหลับตาลงอีกครั้ง

ค่อยๆ ย้อนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

นางจำความหวาดกลัวตอนที่คลานเข้าไปใต้เตียงได้ ห้องว่างเปล่าเงียบสนิทจนทำให้รู้สึกหวาดผวาเจียนคลั่ง นางขดตัวเองให้เล็กที่สุดจนแทบหายใจไม่ออก นางรับรู้แม้กระทั่งว่าความเย็นบนพื้นค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในกระดูกของนาง

นางรู้สึกว่าได้ยินเสียงเปิดประตูอยู่เสมอ แต่ความจริงแล้วกลับไม่มี เพราะรู้สึกว่ากลัวมากเกินไปจึงทำให้ได้ยินเสียงหลอนเช่นนี้ จากนั้นเมื่อเสียงเปิดกลอนดังขึ้นจริง นางก็แทบจะหวีดร้องออกมา

นางพยายามอดทน ได้ยินเสียงโจรตะโกนว่าคนหนีไปแล้ว จากนั้นก็มีคนวิ่งเข้ามาอีกหลายคน ตอนนั้นนางกำลังตัวสั่น กลัวมากว่าเช่นนี้อาจทำให้เกิดเสียงดัง แต่นางควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ

จากนั้นทุกอย่างก็เงียบลงราวกับสุสาน

นางรู้สึกว่าเวลาในตอนนั้นยาวนานไม่จบไม่สิ้น คิดว่าตนต้องตายอยู่ใต้เตียง หากไม่ใช่หนาวตายก็ต้องตกใจตาย หรือท้ายที่สุดอาจไม่มีผู้ใดหาตัวนางเจอและถูกขังตายอยู่ตรงนั้น

จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานมาก นานจนตัวนางแข็งเกร็งไปทั้งร่าง ด้านนอกจึงมีเสียงดังอึกทึกขึ้นอย่างฉับพลัน นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางขยับตัวไม่ได้ พูดอะไรไม่ออก นางคิดว่าคงต้องตายอยู่ตรงนั้นจริงๆ แต่ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เป็นเสียงของท่านหลงเอ้อร์ เขาพูดว่า ‘ข้าเอง ข้ามาแล้ว’

ราวกับเสียงเป็นที่มาจากสรวงสวรรค์

ด้วยคำพูดนี้ของเขาทำให้จวีมู่เอ๋อร์คิดขึ้นทันทีว่านางไม่ควรต้องทำให้เขาลำบากเช่นนี้ ตอนแรกนางคิดอะไรอยู่นะ เหตุใดจึงไปขอเขาแต่งงาน

เขาตระหนี่ เจ้าคิดเจ้าแค้นฝังใจ คิดเล็กคิดน้อยไปเสียทุกเรื่อง ชอบแกล้งโดยใช้วิธีเด็กๆ แต่เขาก็ดีต่อนาง

ดีจนทำให้นางรู้สึกกลัว

ความกลัวนั้นมันช่างรุนแรงเหมือนกับความสบายใจตอนที่เขากุมมือนางไว้เช่นในตอนนี้

นางคงบ้าไปแล้วกระมัง

นางตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นนางจึงบ้าไปแล้ว

“เจ้าเป็นอะไร รู้สึกไม่สบายหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ตกใจ นางถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอด เสียงของท่านหลงเอ้อร์ดังขึ้นข้างหู มือของเขากุมใบหน้านาง เช็ดน้ำตาให้นาง

ที่แท้นางก็ร้องไห้ จวีมู่เอ๋อร์สวมกอดเขาแล้วร้องไห้โฮ

“อย่าร้อง ไม่ต้องกลัว พวกเขาถูกจับตัวแล้ว ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้อีก”

“ท่านหลงเอ้อร์ แท้จริงแล้วข้าไม่ใช่คนดีเลย”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว พวกเขาสองคนพูดกันคนละเรื่องอีกแล้วหรือ

“เพราะเจ้าไม่ดีพอ พวกเขาจึงจับตัวเจ้าไปเพื่อขจัดอันตรายให้กับชาวเมืองหรือ” หลงเอ้อร์ล้อนางเล่น เขาไม่ชอบน้ำตาของนาง

น่าเสียดายที่ครั้งนี้จวีมู่เอ๋อร์ไม่มีอารมณ์จะทำให้เขาสุขใจ พอนางได้ยินคำของเขาก็ยิ่งร้องไห้เสียใจหนักกว่าเดิม

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้วอีกครั้ง ทำได้เพียงส่งเสียงขึงขังขึ้นมา “เอาเถอะ เจ้าร้องไห้ก่อน ร้องเสร็จแล้วค่อยกินยา” เสียงร้องไห้ของจวีมู่เอ๋อร์เบาลงในทันใด หลงเอ้อร์หัวเราะ “อย่างไรก็ต้องดื่มยา”

จวีมู่เอ๋อร์สูดจมูก หยุดร้องไห้แล้ว นางซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว “ข้าง่วง อยากจะนอนอีกสักครู่” ความรู้สึกเศร้าใจระคนปวดใจเมื่อครู่หายไปในพริบตา

ดื่มยาหรือ น่ากลัวเหลือเกิน นางลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร

ในตอนนี้เองมีสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามารายงานพอดี “นายท่านรอง ยาของแม่นางจวีต้มเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

“เอาเข้ามา” หลงเอ้อร์มองหญิงสาวที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกขำ เขาดึงตัวนางขึ้นมา “ดื่มยา! เมื่อคืนเจ้าไม่ได้สติ ข้าก็เป็นคนกรอกยา ตอนนี้เจ้าตื่นแล้ว ยังต้องให้กรอกยาอีกหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ฟังก็ไม่กล้าพูดอะไร หลงเอ้อร์ถือถ้วยยามานั่งลงข้างเตียง จากนั้นตักยาขึ้นมาหนึ่งช้อน เป่าให้เย็น แล้วใช้ริมฝีปากแตะเพื่อทดสอบความร้อน กลิ่นเหม็นของยานั้นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ

จวีมู่เอ๋อร์หน้าย่นเป็นซาลาเปา คิดอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากบอกเงื่อนไข “ท่านหลงเอ้อร์ ข้าดื่มยาแล้วก็กลับไปได้ใช่หรือไม่”

“กลับไปที่ใด”

“บ้านข้าน่ะสิ”

“ทำไม”

“ที่นี่ข้าไม่คุ้นเคย ตาข้าไม่ดี ไม่ค่อยสะดวก”

“ก่อนเจ้าจะดื่มยาที่ท่านหมอเขียนสั่งไว้จนหมด ข้ายังไม่อนุญาตให้กลับบ้าน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าพอกลับบ้านไป พ่อเจ้าก็จะถูกเจ้ากล่อมจนไม่บังคับให้ดื่มยาต่อ” หลงเอ้อร์บอกจุดประสงค์ของนางออกมา ใบหน้าจวีมู่เอ๋อร์สลดลงทันที “อีกอย่าง…” หลงเอ้อร์พูดต่อ “อย่างไรเสียอีกไม่นานเจ้าก็ต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ ฉวยโอกาสนี้ทำความคุ้นเคยสักนิด หรือข้าควรให้เจ้าย้ายเข้าไปในห้องข้า เจ้าจะได้คุ้นเคยเร็วขึ้น”

สาวใช้ด้านข้างได้ยินคำหยอกเย้าเช่นนี้สองแก้มก็แดงเรื่อ เม้มปากแอบหัวเราะ ส่วนจวีมู่เอ๋อร์นิ่งตะลึงไป หลงเอ้อร์เห็นปฏิกิริยาทั้งหมดก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจทันที

“ดื่มยา”

ครั้งนี้จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้อิดออด เพียงแค่ขมวดคิ้วแน่น กลืนยาลงไปด้วยท่าทางเหมือนยอมตาย

ดื่มไปค่อนถ้วยจนกลืนไม่ลงจริงๆ หลงเอ้อร์จึงยอมหยุดมือ เขาให้สาวใช้นำบ๊วยชุบน้ำตาลมาให้จวีมู่เอ๋อร์อมเพื่อแก้ความขม หลังจากนั้นคอยดูนางกินข้าวต้มไปครึ่งชามจึงยอมปล่อยให้นางล้มตัวลงนอน

จวีมู่เอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรมาก หลับตาลงเตรียมตัวนอน หลงเอ้อร์โน้มตัวมาบอกเสียงเบาว่าเขาจะไปที่จวนว่าการเพื่อไปดูว่าโจรเหล่านั้นถูกไต่สวนได้ความว่าอย่างไรบ้าง จวีมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วแน่น ขยับเปลือกตา

หลงเอ้อร์ถอนหายใจ แตะใบหน้านาง แล้วเอ่ยปลอบใจ “ไม่ต้องกลัว”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า ยื่นมือไปกุมมือของเขาเอาไว้ หลงเอ้อร์มองดูมือของนาง คิดถึงตอนที่ช่วยนางกลับมาแล้วนางจับคอเสื้อเขาไว้แน่นจึงอดไม่ได้ที่จะก้มหัวลงไปจุมพิตที่หว่างคิ้วของนาง

จวีมู่เอ๋อร์ตะลึง จากนั้นรีบพูดประโยคหนึ่งว่า “ข้านอนล่ะ” นางปล่อยมือ ตะแคงตัวหันหลังให้เขาแล้วเงียบไปทันที หลงเอ้อร์มองดูนางสักครู่จึงหันไปสั่งสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างให้ดูแลนางอย่างดี แล้วเดินออกไป

หลงเอ้อร์ออกจากห้องแล้วตรงไปพบแม่นมอวี๋ บอกให้แม่นมอวี๋เลื่อนเวลาจัดงานมงคลให้เร็วขึ้น

แม่นมอวี๋ตกใจจนอ้าปากกว้าง “ตะ…แต่ว่าทุกอย่างจัดเตรียมไปตามกำหนดการเดิม หากเลื่อนให้เร็วขึ้นเกรงว่าจะไม่ทัน ตอนนี้ใกล้วันปีใหม่แล้ว หากคาบเกี่ยวกับช่วงสิ้นปี เรื่องบางอย่างอาจจัดการได้ยาก”

“แม่นม มันต้องมีวิธี เอาเป็นว่าจัดงานมงคลในเดือนอ้ายก็แล้วกัน อาศัยความครึกครื้นสนุกสนานของปีใหม่ก็ดีเหมือนกัน”

“เดือนอ้าย?” แม่นมอวี๋ตกใจไม่น้อย นี่ไม่ใช่เลื่อนเร็วขึ้นธรรมดา แต่เลื่อนเร็วขึ้นมากต่างหาก! ต้องการจัดงานในเดือนอ้าย เวลาจะพอได้อย่างไร

“ใช่ เดือนอ้ายก็แล้วกัน ต้องลำบากแม่นมแล้ว” หลงเอ้อร์ลงน้ำเสียงหนักแน่น แสดงให้เห็นว่าจะไม่ยอมรับข้อโต้แย้งใดๆ เขารับรู้ได้ถึงความลังเลของจวีมู่เอ๋อร์ นี่อาจเป็นจุดประสงค์ที่พวกโจรลักพาตัวนางไป…ต้องการทำลายความบริสุทธิ์ของนาง ทำลายชื่อเสียงของนางทำให้นางไม่อาจแต่งงานกับเขาได้

ตอนนี้สาวชาวบ้านสองคนนั้นตายไปแล้ว แต่นางยังไม่ตาย

ต้องมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังพวกโจรอย่างแน่นอน เขาสงสัยว่าจะเป็นอวิ๋นชิงเสียน เขาต้องการพิสูจน์เรื่องนี้ แต่ก่อนได้รู้ความจริง เขาย่อมไม่ปล่อยให้นางถอนตัว นางเป็นคนขอเขาแต่งงานก่อน เมื่อเขาตอบรับแล้วก็จะไม่ยอมให้นางผลักไสเขาออกไปเด็ดขาด

หลงเอ้อร์กำชับแม่นมอวี๋ “เรื่องเลื่อนวันแต่งงานให้เร็วขึ้นไม่ต้องบอกผู้เฒ่าจวีกับจวีมู่เอ๋อร์”

แม่นมอวี๋ทำหน้างง ไม่บอกอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเรื่องมากมายที่พวกเขาต้องเตรียมการจะทำอย่างไร

“รอให้ข้าเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ข้าจะบอกพวกเขาเอง” หลงเอ้อร์เข้าใจถึงความกังวลของแม่นมอวี๋ เมื่อแม่นมอวี๋เห็นเขาพูดเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร ทำได้เพียงพยักหน้ารับคำ

หลงเอ้อร์สั่งการเสร็จสรรพจึงออกจากคฤหาสน์ไป แต่เขาคิดไม่ถึงว่าตอนนี้ทางจวนว่าการกำลังวุ่นวาย เพราะโจรแปดคนที่ถูกจับได้ในคดีนี้กลับถูกสังหารในห้องขังทั้งหมด

 

พูดถึงทางด้านของชิวรั่วหมิง โจรทั้งหมดสิบคนจับได้เพียงแปดคน ยังเหลือหัวหน้าอีกสองคนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ชิวรั่วหมิงให้คนวาดรูปเหมือน เขียนประกาศนำจับติดไว้ทั่วเมือง ต้องการจับตัวคนทั้งสองนั้นกลับมาดำเนินคดี

ส่วนโจรที่ถูกจับทั้งแปดคน ในคืนที่จับตัวกลับมาเขาได้สอบสวนไปรอบหนึ่งแล้ว แปดคนนั้นบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำตามคำสั่งใครคนอื่น หัวหน้าให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เรื่องอื่นล้วนไม่รู้ทั้งสิ้น

ชิวรั่วหมิงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีพิรุธ สาวชาวบ้านสองคนนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่เหตุใดผู้ที่ถูกลักพาตัวไปจึงบังเอิญเป็นจวีมู่เอ๋อร์กับติงเหยียนซาน

พวกโจรล้วนยืนยันว่าเป็นเรื่องบังเอิญ พวกเขาตามหัวหน้าไปที่วัดฝูหลิงเพื่อหาเป้าหมายในการลงมือ หัวหน้าบอกว่าตอนนี้ผู้หญิงชอบไปไหว้พระ หากไปที่นั่นก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบ ปรากฏว่าเมื่อไปถึงที่นั่น เห็นจวีมู่เอ๋อร์เข้าตาพอดีจึงพาตัวไป ส่วนเรื่องลักพาตัวติงเหยียนซาน พวกเขาได้รับคำสั่งจากหัวหน้าให้ไปจับหญิงสาวในเมืองอีกหลายคน พอบังเอิญเห็นติงเหยียนซานเดินอยู่ข้างทางจึงลักพาตัวมา

ชิวรั่วหมิงไม่เชื่อ เรื่องการลักพาตัว หากไม่ได้เกิดจากความคิดชั่ววูบพลันลงมือก็คงมีการเตรียมการไว้อย่างดี มีเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้ว การลักพาตัวในครั้งนี้แบ่งการลงมือเป็นสามจุด เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนการเบี่ยงเบนความสนใจของจวนว่าการเพื่อป้องกันการสะกดรอย เรื่องนี้ย่อมต้องมีการเตรียมการไว้ก่อนอย่างแน่นอน แต่การลงมือครั้งนี้กลับเป็นการลักพาตัวอย่างไร้สาเหตุแรงจูงใจ เรื่องนี้จะอธิบายว่าอย่างไร

แต่หากบอกว่าพวกเขามีเป้าหมายแน่ชัดก็คือมุ่งลงมือไปที่ตัวของจวีมู่เอ๋อร์กับติงเหยียนซาน เรื่องนี้ทำไปเพื่ออะไรกัน ต้องการพุ่งเป้าไปที่ท่านหลงเอ้อร์กับเสนาบดีติงหรือ แต่สองคนนั้นไม่ได้ติดต่อกัน จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นพร้อมกันได้อย่างไร

ชิวรั่วหมิงคิดจนปวดหัวก็ยังคิดไม่ออก ดังนั้นจึงไปที่คฤหาสน์สกุลติงเพื่อเยี่ยมเยือนติงเซิ่ง และถามสถานการณ์ในตอนนั้นจากติงเหยียนซานอย่างละเอียด ต่อมาเขาไปตรวจสอบจุดที่เกิดการลักพาตัวอีกครั้ง เมื่อกลับถึงจวนว่าการก็เรียกผู้เห็นเหตุการณ์มาไต่สวน และยังเรียกตัวซูฉิงมาให้ปากคำด้วย แต่กลับยังหามูลเหตุใดๆ ไม่ได้เลย

สุดท้ายเขาจึงคิดว่าสกุลหลงกับสกุลติงอย่างไรก็ไม่มีทางมาเกี่ยวข้องกันได้ หรือว่าเป้าหมายจะไม่ใช่พวกเขาทั้งสองสกุล แต่เป็นหญิงสาวทั้งสองคนนั้น แล้วหญิงสาวสองคนนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน

ความเกี่ยวข้องนี้ชิวรั่วหมิงคิดได้เพียงเรื่องเดียว…ท่านหลงเอ้อร์แห่งสกุลหลง

หญิงสาวสองคนนี้ คนหนึ่งเตรียมจะแต่งงานกับท่านหลงเอ้อร์ อีกคนอยากแต่งแต่ไม่ได้แต่ง ดังนั้นคดีลักพาตัวในครั้งนี้อาจเกิดจากใครบางคนมีความแค้นจากเรื่องความรักจึงสั่งให้โจรเหล่านั้นทำเรื่องเช่นนี้

ชิวรั่วหมิงรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูมีเหตุผล เพราะเมื่อเหล่าหญิงสาวถูกลักพาตัวไป ชื่อเสียงของพวกนางต้องเสียหายอย่างหนัก ชายหนุ่มที่ถือสากับสิ่งนี้คงไม่ยอมแต่งงานกับพวกนางอีกแน่นอน

ชิวรั่วหมิงมีข้อสันนิษฐานบางอย่างในใจแล้ว เขาคิดจะไปคฤหาสน์สกุลหลงเพื่อพูดคุยกับท่านหลงเอ้อร์ ดูว่าเขาสามารถให้รายชื่อผู้ที่น่าสงสัยที่อาจชักใยอยู่เบื้องหลังได้บ้างหรือไม่ หากมีรายชื่อแล้ว ค่อยกลับไปสอบสวนพวกโจรแปดคนนั้นอีกครั้ง

แต่ชิวรั่วหมิงคาดไม่ถึงว่ายังไม่ได้ขยับตัวออกจากบ้าน กลับได้รับข่าวร้ายที่น่าตกใจว่าโจรแปดคนนั้นถูกสังหารในห้องขังเสียแล้ว

ชิวรั่วหมิงตื่นตกใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ผู้ร้ายคดีสำคัญทั้งแปดคนต่างตายอย่างไร้สาเหตุภายใต้การคุมขังของเขา เรื่องนี้ไม่น่าตระหนกหรอกหรือ

ในตอนนี้เองทหารเฝ้าประตูจวนว่าการก็เข้ามารายงานว่าท่านหลงเอ้อร์มาขอพบ

ชิวรั่วหมิงที่กำลังรู้สึกว้าวุ่นใจรีบเชิญท่านหลงเอ้อร์เข้ามา เมื่อเขามาถึง ชิวรั่วหมิงก็รีบเล่าเรื่องให้ฟัง บอกว่ากำลังจะไปดูที่ห้องขัง ท่านหลงเอ้อร์สนใจจึงจะขอติดตามไปด้วย

แท้จริงแล้วชิวรั่วหมิงก็มีความคิดเช่นเดียวกัน ผู้ร้ายคดีสำคัญถูกสังหารจนหมด เรื่องนี้หนักหนานัก เขาไม่อาจไปรายงานกับฝ่ายใดได้เลย ท่านหลงเอ้อร์มีความเกี่ยวข้องเหมาะสมกับคดี นับเป็นหนึ่งในเจ้าทุกข์นี้ การที่จะดึงตัวท่านหลงเอ้อร์เข้ามาร่วมปรึกษาด้วย อย่างไรเสียก็ดีกว่าให้เขาแบกหม้อดำ* เอาไว้เพียงลำพัง

ชิวรั่วหมิงพร้อมกับหลงเอ้อร์เดินไปยังห้องที่คุมขังโจรทั้งแปดคน ตอนนี้ผู้พลิกศพตรวจศพเสร็จแล้ว เมื่อเห็นชิวรั่วหมิงเข้ามาจึงรีบรายงาน บอกว่าโจรทั้งแปดคนตายเพราะถูกพิษ

“ถูกพิษ?” หลงเอ้อร์กับชิวรั่วหมิงสบตากัน ก้มลงมองดูศพเหล่านั้นพร้อมกัน

ศพทั้งแปดมีใบหน้าเขียวคล้ำ ขอบตาม่วง ปากและจมูกมีคราบเลือด เมื่อดูที่นิ้วมือก็มีสีม่วงคล้ำเช่นกัน หลงเอ้อร์เอ่ยถาม “ถูกพิษอะไร”

ผู้พลิกศพตอบอย่างขัดเขิน “เรื่องนี้…ข้าน้อยไม่เคยเห็นพิษชนิดนี้มาก่อนขอรับ”

ไม่มีอาการให้เห็นก่อน ออกฤทธิ์อย่างฉับพลัน และไม่รู้ว่าถูกพิษเมื่อใด จะว่าไปแล้วเรื่องที่เป็นไปได้มากที่สุดคือได้รับพิษจากน้ำและอาหาร แต่ตอนนี้เลยเวลาอาหารกลางวันมาหลายชั่วยามแล้ว นักโทษคนอื่นก็ดื่มน้ำเช่นเดียวกัน แต่แปดคนนี้กลับตายลงอย่างกะทันหัน ส่วนคนอื่นๆ กลับไม่มีอาการใดๆ ทำให้ยากจะอธิบายได้จริงๆ

ชิวรั่วหมิงเรียกคนครัวกับทหารที่ดูแลเรื่องส่งน้ำส่งอาหารมาไต่สวน แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

ชิวรั่วหมิงกับหลงเอ้อร์คิดอะไรไม่ออก ชิวรั่วหมิงจึงทำได้เพียงคุมตัวผู้ที่เกี่ยวข้องเอาไว้ และให้ผู้พลิกศพตรวจสอบที่มาของพิษอย่างละเอียดอีกครั้ง เขากับหลงเอ้อร์กลับไปที่โถงว่าการ ชิวรั่วหมิงถามหลงเอ้อร์หลายคำถามเกี่ยวกับจวีมู่เอ๋อร์และติงเหยียนซาน ยังถามอีกว่ายังมีหญิงสาวคนอื่นที่มีใจหรือมีความแค้นต่อเขาอีกหรือไม่

คำถามนี้ทำให้หลงเอ้อร์มีสีหน้าขุ่นเคือง “หากบอกว่ามีใจให้ เช่นนั้นก็คงมีไม่น้อย แต่หากมีใจให้ข้าแล้วถึงขนาดกล้าลักพาตัวมู่เอ๋อร์ของข้า ข้ายังคิดไม่ออก”

ชิวรั่วหมิงพยักหน้าอย่างขัดเขิน

หลงเอ้อร์พูดต่ออีก “แต่ว่า…ผู้ที่มีใจให้จวีมู่เอ๋อร์แต่ขอความรักไม่สำเร็จ และมีความกล้าความสามารถถึงขนาดสั่งให้คนลักพาตัวนางได้ ข้าคิดออกหนึ่งคน”

ชิวรั่วหมิงมองไปยังหลงเอ้อร์ รอให้เขาพูดต่อ

หลงเอ้อร์จึงพูดต่อ “อวิ๋นชิงเสียน”

ชิวรั่วหมิงตกใจจนอ้าปากกว้าง โบกมือรัว “ท่านหลงเอ้อร์ช่างชอบพูดเล่น ใต้เท้าอวิ๋นเป็นคนซื่อตรง ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้หรอก และแม่นางติงเองก็ถูกลักพาตัวไป ใต้เท้าอวิ๋นเป็นพี่เขยของนาง ยิ่งไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้”

“เช่นนั้นหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้ว และเรื่องการจับตัวคนร้ายในครั้งนี้ ใต้เท้าอวิ๋นก็ลงแรงไปไม่น้อย” ชิวรั่วหมิงเหงื่อตก เขาได้ยินมานานแล้วว่าท่านหลงเอ้อร์ไม่ลงรอยกับใต้เท้าอวิ๋น แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีความเคียดแค้นถึงขั้นนี้ คดีใหญ่เช่นนี้ยังกล้าคาดเดาส่งเดช

หลงเอ้อร์เม้มปาก “ข้าพูดเล่น แต่เมื่อครู่ปฏิกิริยาของใต้เท้าดูน่าตลก”

ชิวรั่วหมิงหน้านิ่งไป ตอนนี้เขาร้อนใจจนเหมือนไฟลุกไปถึงหัวคิ้วแล้ว ท่านหลงเอ้อร์ผู้นี้ยังมาแกล้งคนเล่นเพื่อหาความสุขอีกหรือ

หลงเอ้อร์ไม่สนใจชิวรั่วหมิงอีก เอ่ยปากลาแล้วจากไป พอเขาออกจากประตูจวนว่าการแล้วก็ยิ้มเย็นชาในทันที ผู้ที่เป็นขุนนางพึ่งพาไม่ได้เสียแล้ว ดังนั้นเรื่องอวิ๋นชิงเสียนเขาต้องเป็นผู้ตรวจสอบเอง

 

ในตอนนี้อวิ๋นชิงเสียนอยู่ที่คฤหาสน์สกุลติง เขาพาติงเหยียนเซียงมาเยี่ยมติงเหยียนซาน

หลังจากติงเซิ่งช่วยติงเหยียนซานกลับบ้านมา เขาก็เรียกท่านหมอมาดูอาการ โชคดีที่บาดแผลภายนอกไม่หนักหนา แต่จิตใจได้รับความตื่นตระหนกมากเกินไป เกรงว่าต้องอยู่รักษาตัวเงียบๆ ไปสักระยะ

ติงเซิ่งเห็นนางไม่เป็นอะไรจึงพูดปลอบหลายคำแล้วก็จบเรื่อง ตอนนี้เขาเห็นอวิ๋นชิงเสียนมาจึงเรียกให้ไปปรึกษาเรื่องงานหลวง

ติงฮูหยินเป็นห่วงบุตรสาวจึงแอบบ่นว่าติงเซิ่งไปหลายคำ ติงเหยียนเซียงพูดปลอบผู้เป็นแม่แล้วไปเยี่ยมน้องสาว บอกว่าจะเร่งให้อวิ๋นชิงเสียนจับคนเลวเหล่านั้นกลับมาตัดหัวให้หมดจึงสามารถคลายแค้นลงได้ บังอาจนักที่กล้ามากระตุกหนวดจวนเสนาบดี

ตอนนี้สมองติงเหยียนซานว้าวุ่น นางคิดถึงคำพูดที่จวีมู่เอ๋อร์บอกกับนางว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับสกุลติงของนาง นางสงสัยว่าคนใต้บัญชาของท่านพ่อจะมีคนคิดไม่ซื่อ คงไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรไว้จึงคิดจับตัวนางไปเพื่อข่มขู่ แต่นางคิดไม่ออกว่าเหตุใดคนเหล่านั้นต้องจับตัวจวีมู่เอ๋อร์ไปด้วย

สรุปก็คือมีปมร้อยพันอย่างปนเปวุ่นวายกันไปหมด นางอยากบอกเรื่องนี้ให้พี่สาวฟัง แต่คิดไปคิดมากลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากจุดใด สุดท้ายจึงเก็บไว้ในใจ คิดว่ารอจนกว่าจะเข้าใจมากกว่านี้แล้วค่อยไปปรึกษากับพี่สาว บางทีรอให้นางดีขึ้นแล้ว นางควรไปพบจวีมู่เอ๋อร์สักหน่อย

ในตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์เองก็คิดอะไรไม่ออกเช่นกัน ใจของนางว้าวุ่นสับสน

หลังจากอยู่พักรักษาตัวที่คฤหาสน์สกุลหลงสามวัน นางก็บอกให้ผู้เฒ่าจวีพานางกลับบ้าน เพราะวันพรุ่งนี้จะเป็นวันสิ้นปีแล้ว

ตามประเพณี ชายหญิงที่ยังไม่แต่งงานกัน ก่อนงานมงคลไม่ควรอยู่ด้วยกัน และตอนนี้ยังเป็นช่วงปีใหม่อีกด้วย การที่พวกนางสองพ่อลูกมาอยู่ในคฤหาสน์สกุลหลงยิ่งไม่เหมาะสม ดังนั้นผู้เฒ่าจวีจึงพาตัวจวีมู่เอ๋อร์กลับบ้านไป

วันตรุษจีนปีนี้แน่นอนว่าสกุลจวีไม่ได้ฉลองกันอย่างมีความสุข จวีมู่เอ๋อร์เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ดีดพิณติดต่อกันหลายวัน ดีดจนผู้เฒ่าจวีรู้สึกกลัว เพราะทุกครั้งก่อนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น บุตรสาวของเขามักจะยิ่งเล่นพิณมากขึ้น

วันที่ห้าเดือนอ้าย ผู้เฒ่าจวีที่ทนไม่ไหวมาพูดคุยกับบุตรสาว เขาคิดว่าเป็นเพราะพวกโจรล้วนตายกันหมด คดีนี้จึงกลายเป็นคดีที่อาจปิดไม่ลง ดังนั้นบุตรสาวจึงหวาดกลัวเป็นกังวล เขาจึงควรต้องไปปลอบใจสักนิด

แต่เขายังไม่ทันพูดเข้าประเด็นหลัก จวีมู่เอ๋อร์กลับเอ่ยขึ้นมาทันใดว่า “พ่อ พ่อว่าข้าไม่แต่งงานแล้วดีหรือไม่”

ไม่แต่งงาน?

ไม่แต่งงานแล้ว?

ตอนนี้นางอายุยี่สิบปีแล้ว และการได้คู่หมั้นหมายที่ดีเช่นนี้เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ท่านหลงเอ้อร์ก็ดีกับครอบครัวของเขา เหตุใดนางจึงคิดจะไม่แต่งงานเสียแล้ว

ผู้เฒ่าจวีตกใจจนขนหัวลุก รีบดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที “อ๋า วันนี้อากาศดีจริง ตอนเช้าพ่อคงดื่มมากไปแน่นอน ตอนนี้จึงรู้สึกมึนๆ”

“พ่อ…”

“อืม มึนมากจริงๆ พ่อต้องไปนอนสักครู่ ลูกเอ๋ย เจ้าดีดพิณต่อเถอะ ดีดเยอะๆ เจ้าดีดได้เพราะจริงๆ” ผู้เฒ่าจวีไม่ให้โอกาสจวีมู่เอ๋อร์พูดอะไรอีก รีบวิ่งออกไปทันที

ผู้เฒ่าจวีกลับไปหลบในห้องของตัวเอง คิดซ้ายคิดขวา ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว เรื่องยกเลิกการแต่งงาน บุตรสาวคงไม่ได้หลุดปากพูดออกมาโดยไม่คิด สองปีก่อนนั้นเรื่องงานมงคลกับสกุลเฉินเองก็ตอกมั่นเป็นคำสัญญาหนักแน่น แต่พอนางเอ่ยปากบอกให้ยกเลิกการแต่งงานก็ได้ยกเลิกจริงๆ ตอนนี้นางเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง นั่นต้องเป็นสิ่งที่คิดใคร่ครวญอยู่นานแล้วแน่นอน

ไม่ได้การ ไม่ได้การแล้ว เรื่องนี้ต้องไปคุยกับท่านหลงเอ้อร์เสียหน่อย จากนั้นผู้เฒ่าจวีก็อุ้มเหล้าสองไหไปที่คฤหาสน์สกุลหลง

เมื่อได้พบหลงเอ้อร์ ผู้เฒ่าจวีไม่กล้าบอกตามตรงว่าจวีมู่เอ๋อร์มีความต้องการจะยกเลิกการแต่งงาน พูดอ้อมๆ เพียงรู้สึกว่าหลายวันนี้บุตรสาวอารมณ์ไม่ค่อยดี เขากลัวว่าหลังจากผ่านเรื่องพวกโจรนั้นมาแล้ว นางกำลังคิดฟุ้งซ่านอะไรบางอย่างอยู่

“คิดฟุ้งซ่าน?” หลงเอ้อร์เลิกคิ้ว พูดคำนี้ซ้ำอีกครั้ง

ผู้เฒ่าจวีพยักหน้าอย่างแรง “นางยังคงดีดพิณไม่หยุด”

“ดีดพิณไม่หยุด?”

“ถูกต้อง ทุกครั้งที่นางดีดพิณก็จะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น”

หลงเอ้อร์หัวเราะ “ผู้เฒ่าโปรดวางใจ ข้าไม่ใช่เฉินเหลียงเจ๋อ”

ผู้เฒ่าจวีตะลึงไป เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเหลียงเจ๋อ เมื่อครู่เขาพูดถึงเหลียงเจ๋อหรือ

“มู่เอ๋อร์คงพักรักษาตัวจนเบื่อแล้ว รอข้าไปจัดการ นางก็จะกลับมาเป็นเด็กดี ไม่คิดฟุ้งซ่านอีกอย่างแน่นอน” หลงเอ้อร์มีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม แต่ผู้เฒ่าจวีในสมองกลับว่างเปล่า เมื่อครู่เขาคงไม่ได้พูดว่าบุตรสาวเป็นเด็กไม่ดีหรอกนะ

ในวันนี้ผู้เฒ่าจวีจึงกลับจากคฤหาสน์สกุลหลง โดยมีผลไม้สดและของฉลองปีใหม่หนึ่งตะกร้าพร้อมกับความลับอีกเรื่องหนึ่ง

ความลับก็คือกำหนดการแต่งงานเปลี่ยนเป็นวันที่สิบแปดเดือนอ้าย แม้อาจดูเร่งรีบไปสักนิด ไม่สิ เร่งรีบไปมาก แต่ในเดือนอ้ายมีเพียงวันนี้ที่เหมาะสมที่สุด แท้จริงแล้วกำหนดการแต่งงานเป็นวันใด ผู้เฒ่าจวีล้วนไม่มีความเห็น ขอเพียงให้บุตรสาวได้แต่งงานกับคนที่ดีก็พอแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านผู้เฒ่าจวีก็พูดท่องมาตลอดทาง “กำหนดการแต่งงานนี้เป็นความลับ บอกลูกไม่ได้ กำหนดการแต่งงานนี้เป็นความลับ บอกลูกไม่ได้…”

นอกจากนี้การไปเยือนคฤหาสน์สกุลหลงในครั้งนี้ของผู้เฒ่าจวียังได้รับข่าวมาอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือท่านหลงเอ้อร์บอกว่าจะจัดการกับบุตรสาวที่ชอบคิดฟุ้งซ่านของเขา แล้วจะจัดการอย่างไรล่ะ ผู้เฒ่าจวีไม่รู้ จากนั้นนึกขึ้นได้ว่าตอนป้อนยาก็มีเพียงท่านหลงเอ้อร์เท่านั้นที่จัดการกับบุตรสาวได้ ดังนั้นครั้งนี้คงไม่มีปัญหาอะไรกระมัง

อืม ผู้เฒ่าจวีเห็นว่ามีบุตรเขยเช่นนี้ช่วยลดความกังวลใจไปได้มากเลยทีเดียว

บทที่สิบหก

คืนวันที่สิบห้าเดือนอ้ายเป็นวันเทศกาลหยวนเซียว

เทศกาลโคมไฟนี้จัดขึ้นบนถนนตงต้าปีละครั้ง โคมไฟงดงามหลากหลายแบบจะถูกแขวนไว้เต็มทั้งถนนสายยาว

หลงเอ้อร์รับตัวจวีมู่เอ๋อร์ไปกินอาหารที่หอเซียนเว่ยตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด

จวีมู่เอ๋อร์มีเรื่องในใจเต็มไปหมด นางคิดหาโอกาสบอกท่านหลงเอ้อร์ว่านางไม่อยากแต่งงานแล้ว ทว่าก็รู้สึกผิดต่อเขามาก แต่หากแต่งงานไปอาจยิ่งผิดมากขึ้นไปอีกก็ได้ จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรดี

ในใจนางยังคงสับสน คิดถึงเมื่อตอนล้มเลิกการแต่งงานกับเฉินเหลียงเจ๋อในอดีต นางยังไม่ลังเลใจเหมือนตอนนี้เลย เป็นเพราะในอดีตนางไม่รู้สึกกลัวสิ่งใด หรือตอนนี้นางไม่มีความอดทนพอ เห็นแก่ตัว และอ่อนแออย่างนั้นหรือ

จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก นางเกลียดตนเอง เกลียดตนเองเหลือเกิน

หลงเอ้อร์มองนางไม่วางตา เทียบกับครั้งแรกที่ได้พบกัน เขาอ่านท่าทีของนางได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น เขารู้ว่านางคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้เป็นวันฉลองตรุษจีน เขากำลังมีงานยุ่งยากมากมาย กอปรกับเรื่องสืบหาพวกโจรยังไม่ได้เบาะแสใดๆ กลับมา ช่างน่าปวดหัวนัก ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้นางอยู่ว่างไปครึ่งเดือน

แต่เขาหลงเอ้อร์ไม่ใช่เฉินเหลียงเจ๋อคนนั้น และไม่ใช่อวิ๋นชิงเสียนด้วย ระหว่างเขากับนางใช่ว่านางบอกว่าไม่แล้วทุกอย่างก็จะจบลง

หลงเอ้อร์ตั้งใจเลือกห้องส่วนตัวบนชั้นสองที่ติดกับถนน และจัดที่ให้จวีมู่เอ๋อร์นั่งพิงราวระเบียงห้อง ห้องส่วนตัวนี้กับโถงด้านนอกห่างกันพอสมควร ยังมีม่านมุกกั้นไว้อีกด้วย ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาคุยกัน คนด้านนอกจะไม่ได้ยิน แต่สามารถเห็นความเคลื่อนไหวของพวกเขาสองคนได้

เมื่อคนบนถนนเงยหน้าขึ้นจะสามารถเห็นพวกเขาได้ และคนที่มานั่งกินอาหารบนชั้นสองก็เห็นพวกเขาได้เช่นกัน หลงเอ้อร์ไม่สนใจสายตาของคนเหล่านั้น ส่วนจวีมู่เอ๋อร์มองไม่เห็น เขาคิดว่านางเองยิ่งไม่ต้องไปสนใจ

อาหารที่หลงเอ้อร์สั่งมากินง่าย ไม่มีกระดูก ไม่มีก้าง หลงเอ้อร์ช่วยจัดวางจานอาหารให้นาง บอกนางว่ามีอะไรบ้าง จวีมู่เอ๋อร์นั่งกินเงียบๆ พลางคิดว่าจะเอ่ยปากพูดอย่างไรดี

รอจนกินไปได้พอสมควร หลงเอ้อร์จึงถามว่า “ถูกปากหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า ในสมองยังคงคิดว่าจะพูดเรื่องยกเลิกการแต่งงานอย่างไร

“งานเลี้ยงแต่งงาน ข้าจะเชิญพ่อครัวใหญ่หลายคนในหอนี้ไปช่วยที่คฤหาสน์เพราะพวกพ่อครัวที่นั่นคงเตรียมการไม่ทัน” บังเอิญเหลือเกินที่หลงเอ้อร์ยกหัวข้อสนทนามาถูกเรื่องพอดี

จวีมู่เอ๋อร์ตกตะลึง แต่ก็พยักหน้ารับรู้ นางกัดฟันแน่นก่อนจะพูดออกมาในที่สุด “ท่านหลงเอ้อร์ งานแต่งงานของพวกเรา…”

“ทำไมหรือ” หลงเอ้อร์ตัดบทคำพูดของนาง

“ข้าคิดว่า…”

“คิดว่าอะไร”

“เป็นไปได้หรือไม่…”

“หืม?”

จวีมู่เอ๋อร์ปิดปาก นางรู้ เห็นได้ชัดว่าท่านหลงเอ้อร์เองก็รู้ว่านางอยากพูดอะไร แต่เขาไม่อยากฟัง

จวีมู่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกรวบรวมความกล้าอีกครั้ง ขณะกำลังจะพูดซ้ำอีกรอบ กลับได้ยินเสียงเขาร้องเบาๆ “อ๊ะ ไม้เท้าของเจ้าตกลงไปแล้ว”

จวีมู่เอ๋อร์ตะลึง เบิกตาโต นางได้ยินเสียงดังตุบที่นอกหน้าต่างชั้นล่าง พอยื่นมือไปคลำข้างโต๊ะ ไม้เท้าของนางก็หายไปเสียแล้ว นางวางเอาไว้อย่างดีนี่นา มันตกลงไปได้อย่างไรกัน

“โชคดีที่ไม่โดนใคร” เสียงของหลงเอ้อร์ฟังไปแล้วดูมีความสุขมาก “ต้องโทษที่ข้าไม่ระวังไปเตะโดนเข้าพอดี”

“ท่านหลงเอ้อร์” จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ นิสัยเด็กๆ ของเขากำเริบอีกแล้ว แต่การที่เขาพาลเช่นนี้ทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

“กินให้มากหน่อย” หลงเอ้อร์คีบกับข้าวให้นาง “เดิมทีเจ้าก็ผอมแห้งอยู่แล้ว พอป่วยครั้งนี้ยิ่งเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก รีบเพิ่มเนื้อขึ้นบ้าง ไม่เช่นนั้นเวลาข้ากอด กระดูกเจ้าคงจะทิ่มตัวข้า”

จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเขาพูดก็หน้าแดงเรื่อ ท่าทางนั้นทำให้หลงเอ้อร์หัวเราะเบาๆ

เขาหัวเราะจนนางรู้สึกหวาดกลัว จึงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นวิธีอื่นเพื่อพูดเรื่องยกเลิกการแต่งงาน

“ท่านหลงเอ้อร์ ท่านชอบข้าหรือไม่”

หลงเอ้อร์คีบกับข้าวให้นางจนพูนถ้วย “เจ้ากินข้าวในถ้วยให้หมด แล้วข้าค่อยบอกเจ้า”

เขาจงใจแกล้งนางหรือ

จวีมู่เอ๋อร์เบ้ปาก คีบกับข้าวเข้าปากหนึ่งคำแล้วถามอีกครั้ง “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านชอบข้าหรือไม่”

“เรื่องนี้ต้องดูว่าเทียบกับใคร” หลงเอ้อร์พูดอย่างมีหลักการ “หากเทียบความรักชอบของเจ้าสามที่มีต่อเฟิ่งเฟิ่ง หรือของพี่ใหญ่ที่มีต่อพี่สะใภ้ใหญ่ เกรงว่าข้าคงเทียบไม่ได้ แต่หากเปรียบเทียบกับแม่นางติง แม่นางเฉิน แม่นางหลิวแล้ว เช่นนั้นข้าก็ชอบเจ้ามากที่สุด”

จวีมู่เอ๋อร์ปิดปาก ไม่รู้ว่าในตอนนี้ควรพูดอะไรต่อดี เดิมทีนางคิดว่าเขาจะบอกว่าไม่ค่อยชอบเท่าใด เช่นนั้นนางก็สามารถพูดต่อไปได้ แต่เขากลับตอบลื่นไหลเช่นนี้ ทั้งยังไม่ได้พูดคำหวานหลอกลวงนาง แต่ก็ไม่ได้ให้โอกาสนางพูดอะไรได้เช่นกัน

จวีมู่เอ๋อร์ลอบถอนหายใจ กำลังคิดจะถอยทัพถอนกำลังพล แล้วค่อยหาโอกาสทำศึกอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตามติดโจมตีสวนกลับ

หลงเอ้อร์เอ่ยถามว่า “มู่เอ๋อร์ เจ้าชอบข้าหรือไม่” จวีมู่เอ๋อร์แทบจะกัดลิ้นตัวเอง นางยังไม่ทันตอบ เขาก็พูดขึ้นอีก “เจ้าต้องชอบข้าแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะยกเลิกงานมงคลกับเฉินเหลียงเจ๋อไปทำไม ทั้งยังปฏิเสธอวิ๋นชิงเสียนอีก สุดท้ายยังมาเอ่ยปากขอข้าแต่งงานด้วยตัวเอง นี่ต้องเป็นเพราะเจ้าชอบข้าแน่นอน ใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งไป ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ อย่างจนใจ “ท่านหลงเอ้อร์ ถนนด้านนอกฟังดูคึกคักมาก เทศกาลโคมไฟใกล้เริ่มขึ้นแล้วใช่หรือไม่”

“เจ้าลองพูดมาสิว่าเจ้าชอบข้าอย่างไร ทำให้ข้ามีความสุขสักนิด”

จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ นางเริ่มแต่งเรื่อง “ท่านหลงเอ้อร์รูปโฉมงามสง่า…”

“เจ้ามองไม่เห็นไม่ใช่หรือ”

“เสียงของท่านเพราะมาก”

“ข้อนี้ฟังดูไม่เลว” หลงเอ้อร์ชมนางพอเป็นพิธี

“ท่านดูองอาจ แตกต่างจากคนทั่วไป”

“เจ้ารู้สึกได้หรือ” คำพูดนางฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนัก

“มือของท่านอบอุ่นมาก”

หลงเอ้อร์ยิ้มอย่างพอใจ ยื่นมือไปกุมมือของนางไว้ จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากแล้วดึงมือกลับอย่างกระเง้ากระงอด มีอย่างที่ไหนกัน แอบแกล้งนางแล้วยังมาทำดีต่อนางอีก

พอนางดึงมือกลับ หลงเอ้อร์ก็ไม่พอใจ น้ำเสียงแข็งกระด้างขึ้น “ยื่นมือมา”

จวีมู่เอ๋อร์วางมือไว้บนหัวเข่า กัดฟันแล้วกลั้นใจพูดออกมา “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านอย่าแต่งกับข้าไม่ดีกว่าหรือ”

“ไม่ดี” หลงเอ้อร์ตอบกลับทันควันอย่างชัดถ้อยชัดคำ จวีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก ก้มหน้าลงบิดนิ้วมือ “ทำไมต้องไม่แต่งด้วย” น้ำเสียงของหลงเอ้อร์ฟังดูดุมาก

จวีมู่เอ๋อร์ไม่กล้าพูดจา

“เจ้าไม่อยากแต่งงานแล้วหรือ”

นางไม่กล้าพยักหน้า

“เจ้ากำลังคิดอะไรกันแน่”

นางไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรจึงก้มหน้าบิดนิ้วมือต่อไป

หลงเอ้อร์เห็นด้านล่างมีกลุ่มคนหนาตาจึงลุกขึ้นยืนแล้วพูดทันใดว่า “ไปกันเถอะ ไปดูเทศกาลโคมไฟ”

จวีมู่เอ๋อร์กลัดกลุ้มใจ ตอบรับหนึ่งคำ แล้วยื่นมือไปคลำหาไม้เท้าของนาง เมื่อไม่เจอจึงนึกขึ้นได้ว่าไม้เท้าถูกเขาทำหล่นหายไปเสียแล้ว “ท่านหลงเอ้อร์ ไม้เท้าของข้า…”

“อ๋อ ตกลงไปด้านล่างแล้ว” หลงเอ้อร์ไม่รู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย

จวีมู่เอ๋อร์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น นางรู้แล้วว่าตกลงไปด้านล่าง แต่เขาเป็นคนทำก็ควรเป็นคนไปเก็บกลับมาไม่ใช่หรือ

หลงเอ้อร์เหมือนจะรู้ว่านางกำลังคิดอะไร เขาดึงมือนางมาอย่างไร้ความอ่อนหวาน จูงมือนางเดินไปด้านนอก “ไม้เท้าผุๆ นั่นไม่รู้ว่าถูกใครเก็บไปแล้ว ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว”

“เช่นนั้นข้าจะเดินอย่างไร”

“ตอนนี้เจ้าเดินอย่างไรล่ะ” หลงเอ้อร์ดึงมือของนางอย่างอุกอาจ เดินนำนางลงบันไดท่ามกลางสายตาของคนทั้งหลาย เดินผ่านโถงชั้นหน้าออกจากประตูใหญ่ของหอเซียนเว่ยไป

ตอนนี้ท้องฟ้ามืดลง แต่ละบ้านที่กินอาหารเย็นเสร็จแล้วก็พากันออกมาเดินเล่นซื้อของอย่างสนุกสนานบนท้องถนนเพื่อรอดูโคมไฟ

กิจกรรมที่มีคนแออัดเบียดเสียดเช่นนี้ จวีมู่เอ๋อร์ไม่ค่อยชอบนัก หลังจากนางตาบอดจึงไม่เคยไปร่วมงานคึกคักเช่นนี้อีกเลย แต่ท่านหลงเอ้อร์กลับพานางมาในที่ที่มีคนมากมายเช่นนี้ ทำให้นางถูกเหยียบเท้าไปหลายที ถูกชนไปหลายครั้ง เป็นความทุกข์ใจที่พูดออกมาไม่ได้

นางรู้ว่าทำให้เขาโกรธแล้ว แต่นางอยากยกเลิกการแต่งงานจริงๆ การที่เขาดีต่อนางเช่นนี้ นางควรทำอย่างไร จวีมู่เอ๋อร์ที่กำลังคิดใจลอย จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บที่หน้าผากขึ้นมาทันใด นางถูกเขาเอานิ้วจิ้มเข้าไปหนึ่งที “เวลาเดินยังใจลอยได้หรือ”

“ข้าไม่ได้ใจลอย”

“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้มาถึงที่ใดแล้ว”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งงัน นางจำไม่ได้เลย

“เจ้าชอบนับก้าวเพื่อจำทางที่สุดไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าเดินไปถึงที่ใดเจ้าก็รู้หรือ”

เมื่อก่อนนางเป็นเช่นนั้นจริงเพราะนางกลัวหลงทาง กลัวอันตราย ดังนั้นนางจึงมักพยายามจำไว้ตลอด แต่ตอนนี้เขาจูงมือนางอยู่ เขาพานางเดิน นางถึงได้ลืมไปว่าต้องจำทาง

หลงเอ้อร์พานางมาที่ข้างถนน ดึงมือของนางไปลูบโคมไฟสีสดที่แขวนอยู่บนไม้ไผ่ จวีมู่เอ๋อร์ได้กลิ่นร้านแป้งหอมที่อยู่ด้านข้าง…ที่นี่คือถนนตงต้า

กลิ่นนี้คือกลิ่นของร้านแป้งหอมตรงปากทางถนนตงต้า

“ถนนตงต้า” หลงเอ้อร์หัวเราะ พานางเดินไปลูบโคมไฟดวงถัดไป แล้วบอกนางว่า “รอให้สิ้นเดือนอ้าย ถนนสายนี้ก็จะเริ่มทำกันสาดแล้ว ต่อไปตรงจุดที่เจ้ายืนอยู่ ด้านบนก็จะมีกระเบื้องกันสาด”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งอึ้ง ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นทันใด

หลงเอ้อร์พูดต่ออีกว่า “ฉิงเอ๋อร์ที่เจ้ารัก ตอนมาขายดอกไม้ที่นี่ก็ไม่ต้องตากแดดโดนน้ำฝนแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์พูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ นางเอ่ยตอบ “ดีใจ”

“ตอนที่เจ้ามาหาข้าแล้วยื่นเงื่อนไขนี้ เคยคิดหรือไม่ว่าข้าจะปฏิเสธ”

“ตอนนั้นข้าหน้ามืดตามัว ท่านหมอบอกว่าฉิงเอ๋อร์อาจตายได้ ด้วยความหุนหันข้าจึงไปหาท่าน”

“หึ เจ้าเป็นคนอารมณ์ร้ายเช่นกัน ข้าไม่ตอบตกลง เจ้าก็หาข้ออ้างมาสาดน้ำชาใส่ข้า” หลงเอ้อร์ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากนางอีกครั้ง

จวีมู่เอ๋อร์คลึงหน้าผาก พูดอย่างเศร้าสลดว่า “เรื่องนี้ท่านได้แก้แค้นไปแล้วไม่ใช่หรือ”

“ข้าเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้นหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ไม่กล้าตอบว่า ‘ใช่’ นางถูกเขาจูงมือเดินต่อไปข้างหน้า

หลงเอ้อร์เดินไป จากนั้นก็พูดขึ้นอีกว่า “มู่เอ๋อร์ รอให้เจ้าแต่งเข้าบ้านแล้ว ญาติของเจ้าก็เป็นญาติของข้า ข้าจะดูแลพวกเขาอย่างดี เมื่อบนถนนสายนี้สร้างกันสาดแล้ว การค้าขายของฉิงเอ๋อร์ก็คงดีขึ้นบ้าง หากนางไม่ยินดีจะขายดอกไม้แล้ว ข้าสามารถจัดหางานอื่นให้นางได้”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า “นางดื้อรั้นมาก หากช่วยออกนอกหน้าเกินไปนางจะไม่พอใจ”

หลงเอ้อร์พยักหน้าอย่างไม่ได้สนใจนัก อย่างไรเสียประเด็นสำคัญก็ไม่ใช่ซูฉิง เขาดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้หยุดยืนนิ่ง แล้วพูดว่า “แต่หากเจ้าไม่แต่งเข้ามา ข้าจะทำให้นางขายไม่ได้แม้แต่ดอกไม้”

จวีมู่เอ๋อร์นิ่งด้วยความตกใจ หลงเอ้อร์กุมใบหน้านางไว้ “เจ้ามาขอแต่งงานกับข้า ข้าก็รับปากแล้ว ดังนั้นหากเจ้าคิดถอยกลับก็ต้องคิดถึงผลที่จะตามมาให้ดี คนที่บังคับให้แต่งงานเป็น ไม่ได้มีเพียงแค่ติงเหยียนเซียงเท่านั้น”

จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา ใบหน้าย่นยู่ขึ้นมา

หลงเอ้อร์พูดขู่นาง “เจ้ากลัวหรือไม่”

“กลัว” น้ำเสียงนั้นดูเศร้าสลด

เขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด จุมพิตไปที่ติ่งหูของนาง “เจ้าลังเลอะไรอยู่กันแน่”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า พูดอะไรไม่ออก

“คำพูดส่งเดชของพวกชาวเมืองเหล่านั้นทำให้เจ้าไม่สบายใจหรือ”

นางส่ายหน้าอีก

“เจ้ากลัวอะไร ติงเหยียนซานยังไม่ได้แต่งงานทำให้ผู้คนลือกันไปจนไม่น่าฟัง แต่เจ้ามีคนที่จะแต่งด้วยแล้ว ยังสนใจอะไรกับคำพูดของคนเหล่านั้นอีก”

จวีมู่เอ๋อร์ขยี้ตา เอ่ยปากบ่น “อย่าพูดถึงแม่นางติงเช่นนี้”

“นางไม่ได้เป็นอะไรกับข้า ข้าไม่สนใจนางหรอก” หลงเอ้อร์ใช้นิ้วขยี้หัวจวีมู่เอ๋อร์เล่น “ข้าสนใจแต่คนของข้าเท่านั้น”

ใช่สิ ท่านหลงเอ้อร์ใจแคบและคอยปกป้องคนของตนเสมอ เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกเสียใจอีกครั้ง นางจับเสื้อของเขาไว้แน่น ขณะที่พยายามคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี หลงเอ้อร์ก็พูดขึ้นว่า “ข้ามีวิธีดีวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยให้เจ้าขจัดความลังเลใจได้”

จวีมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้น “วิธีอะไร”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือที่ใด”

“ถนนตงต้า”

“วันนี้คือวันอะไร”

“วันที่สิบห้าเดือนอ้าย”

“ดังนั้นวันนี้คนบนถนนจึงมีจำนวนมากใช่หรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า คนมากแล้วเป็นอย่างไร เขาคิดจะบอกว่าหากนางไม่เชื่อฟังก็จะทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางฝูงชน ให้นางถูกเบียดจนตายหรือ

จวีมู่เอ๋อร์กำลังคิดฟุ้งซ่าน ทันใดนั้นริมฝีปากของนางก็ถูกประทับจุมพิตแนบแน่น

นี่ไม่ใช่การสัมผัสเพียงชั่วครู่เท่านั้น

เพราะหลงเอ้อร์เป็นคนชอบทำอะไรด้วยความจริงจัง ดังนั้นจุมพิตนี้จึงทั้งร้อนแรงและลึกซึ้ง

จวีมู่เอ๋อร์ยังคงตกตะลึง นางถูกเขาจับหลังหัวเอาไว้ จากนั้นจุมพิตก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น จวีมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงคนรอบข้างสูดลมหายใจด้วยความตกใจ ยังมีคนร้องโอ้ๆ อ้าๆ อีกด้วย

นางเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าจึงแดงก่ำในทันใด ทั้งรู้สึกว่าตัวเองถูกเขากอดไว้แน่น และรู้สึกถึงริมฝีปากและลิ้นของเขา

จุมพิตนี้ทำให้นางร้อนวูบไปทั้งตัว

เสียงรอบข้างอึกทึก แม้จวีมู่เอ๋อร์จะมองไม่เห็น แต่ก็สามารถจินตนาการได้ถึงแววตาที่คนรอบข้างมองมา นางรู้สึกว่าในหูมีเสียงวิ้งดังขึ้น บนใบหน้าร้อนจนเลือดแทบหยดออกมา แต่ท่านหลงเอ้อร์กอดนางไว้แน่นเช่นนี้ นางไม่อาจและไม่กล้าผลักเขาออก

‘วันนี้คนบนถนนจึงมีจำนวนมาก’ นางเข้าใจความหมายของเขาแล้ว

ในตอนนี้หากให้นางขัดขืนและตบหน้าเขาต่อหน้าธารกำนัล นางทำไม่ได้ นางคิดว่าเขาคงมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้จึงได้กล้าทำแบบนี้ จวีมู่เอ๋อร์อิงแอบเข้าไปในอ้อมกอดของเขา จับคอเสื้อของเขาเอาไว้แน่น

หากจะบอกปัดการแต่งงาน ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด แต่การทำเช่นนั้นต้องใช้ศักดิ์ศรีของเขาเป็นสิ่งตอบแทน นางทำไม่ได้จริงๆ

ที่แท้นางห่วงใยเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ จวีมู่เอ๋อร์นึกอยากร้องไห้ขึ้นมาในทันใด

หลงเอ้อร์ปล่อยตัวนาง เขาก้มลงมองดูริมฝีปากที่ถูกจุมพิตจนชุ่มชื้นของนางก่อนจะใช้ปลายนิ้วแตะลงไป

จวีมู่เอ๋อร์ยังคงจับคอเสื้อของเขาไว้แน่น และเหมือนกุมหัวใจของเขาเอาไว้แน่นเช่นกัน หลงเอ้อร์วางมือไปบนแผ่นหลังของนาง แล้วพูดขึ้นว่า “วันที่สิบแปดเดือนอ้าย ข้าจะใช้เกี้ยวสิบแปดคัน ไปรับเจ้ามาแต่งเข้าบ้าน”

จวีมู่เอ๋อร์ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดเขาแล้วหลับตาลง น้ำตาไหลซึมผ่านเสื้อถูกแผ่นอกของเขา

หลงเอ้อร์หัวเราะ กระซิบข้างหูนาง “อย่าคิดฟุ้งซ่านอีกเลย ทำใจให้สบายรอเป็นสะใภ้สกุลหลงของข้าดีกว่าหรือไม่”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า นางพยักหน้าอย่างแรง

จวีมู่เอ๋อร์ผ่านค่ำคืนนี้ไปอย่างงุนงง นางไม่รู้ว่าหลังจากนั้นพวกนางสองคนเดินเที่ยวต่ออีกนานเท่าใด นางจำได้เพียงว่าไม่มีไม้เท้า และท่านหลงเอ้อร์เป็นคนจูงมือนางตลอดเวลา ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ทำให้นางต้องแอบอิงแนบชิดตัวเขาจนรู้สึกเหมือนว่าบนถนนนี้เหลือเพียงพวกนางสองคน

นางไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าโคมไฟที่แขวนตลอดถนนหน้าตาเป็นอย่างไร แต่หากท่านหลงเอ้อร์เห็นอะไรน่าสนใจก็จะเล่าให้นางฟัง ให้นางได้ลูบดู เขายังพานางไปทายปริศนาบนโคมไฟอีกด้วย นางได้ยินเสียงคึกคักรอบข้าง ทุกคนต่างแย่งกันทายปริศนาไปมา บางข้อน่าสนุกจนทำให้หัวเราะออกมา นางไม่เคยชอบงานอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ แต่วันนี้นางได้มายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ได้ยืนอยู่ข้างกายเขา นางกลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

น่าประหลาดจริง คนที่หลายวันก่อนเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มใจคนนั้นคือนางหรอกหรือ

จวีมู่เอ๋อร์ไม่รู้เลยว่าบริเวณที่ทายปริศนาโคมไฟนั้นเฉินเหลียงเจ๋อมองเห็นนางจากที่ไกล และนางก็ไม่รู้อีกว่าท่ามกลางฝูงชนนั้นนางได้เดินเบียดไหล่กับอวิ๋นชิงเสียน นางรู้เพียงว่าไม่ว่าผู้คนข้างกายจะเบียดเสียดเข้ามาเพียงใด ท่านหลงเอ้อร์ก็ยังคงจับมือนางไว้ตลอด กุมมือนางเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยมือนาง

บนถนนนั้นมีกระทั่งคนนำโคมไฟมามอบให้พวกนาง บอกว่าเป็นการอวยพรให้นางกับท่านหลงเอ้อร์อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า เขารับเอาไว้แล้วมอบให้นางถือ จวีมู่เอ๋อร์หน้าแดงเรื่อ แต่ก็อดที่จะยิ้มตลอดเวลาไม่ได้เช่นกัน

นางแต่งงานกับเขาก็แล้วกัน

นางควรเชื่อความรู้สึกแรกของตัวเอง 

บทที่สิบเจ็ด

วันที่สิบแปดเดือนอ้ายเหมาะแก่การแต่งงาน จัดพิธี และรับคนเข้าบ้าน

ทุกคนในคฤหาสน์สกุลหลงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริง ผ้าต่วนแดงปูยาวตั้งแต่ประตูใหญ่ไปจนถึงหน้าถนน

แม้ตอนนี้ยังไม่ถึงฤกษ์ดี แต่ก็มีแขกเหรื่อมามอบของขวัญอวยพรให้เป็นตั้งๆ แล้ว และหลงเอ้อร์ผู้เป็นเจ้าบ่าวก็รับเอาไว้โดยไม่เกรงใจ ใบจดรายการของขวัญอวยพรยาวเป็นพับๆ เหล่าแขกเหรื่อบางคนยังดึงตัวบ่าวที่คอยดูแลงานในคฤหาสน์สกุลหลงมาสอบถามว่าสกุลอื่นมอบของขวัญอวยพรอะไรบ้าง เนื่องจากกลัวว่าของที่ตัวเองมอบให้จะไม่ดีพอ ซึ่งอาจทำให้ท่านหลงเอ้อร์ไม่พอใจได้ ซ้ำยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่เมื่อมาถึงก็มาขออภัยหลงเอ้อร์ บอกว่าเพราะวันมงคลเลื่อนเร็วขึ้น ของขวัญที่เดิมจัดเตรียมไว้จึงยังไม่พร้อมสรรพ ตอนนี้ขอมอบของเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นพิธีก่อน รออีกสามสี่วันค่อยส่งของขวัญมาชดเชยอีกหลายชิ้น หลงเอ้อร์ยิ้มรับของไว้ทั้งหมดด้วยความยินดี ไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย

แท้จริงแล้วหลงเอ้อร์ไม่เพียงไม่ปฏิเสธ แต่ในใจยังคำนวณเอาไว้อย่างดีแล้วว่าการเลื่อนกำหนดงานมงคลเพื่อจวีมู่เอ๋อร์นั้นทำให้เขาเสียหายไปเท่าใด ทุกอย่างล้วนถูกคำนวณเอาไว้อย่างละเอียดแล้ว

เมื่อได้รับของขวัญอวยพรมากมาย หลงเอ้อร์จึงอารมณ์ดีมาก ครั้นเวลามงคลใกล้มาถึง เขาก็ขี่ม้าตัวใหญ่คลุมด้วยผ้าต่วนสีแดง นำเกี้ยวไปรับตัวเจ้าสาว ตลอดทางเขาคิดคำนวณเศษเล็กเศษน้อยอย่างรอบคอบ ส่วนที่เขาเสียไปจะต้องเรียกกลับคืนมาจากตัวภรรยาของเขาแน่นอน

รอนางแต่งเข้าบ้าน หึๆ เขาคิดทำกับนางอย่างไรก็ได้ เขาจะได้เห็นหน้านางทุกวัน ให้นางคอยทำให้เขาเบิกบานใจทุกวัน หากทำได้ไม่ดี เขาก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะจัดการกับนางได้

อืม เรื่องจัดการกับนาง วันนี้เขาสามารถเริ่มทำได้เลย

หลงเอ้อร์ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกยินดี เขายิ้มจนมุมปากแทบฉีกไปถึงใบหู

ตอนนี้จวีมู่เอ๋อร์สวมชุดเจ้าสาว มีผ้าคลุมหน้าสีแดง นั่งอยู่ขอบเตียงด้วยความตื่นเต้น รอสามีที่มีฝ่ามืออบอุ่นผู้นั้นมารับนางเข้าบ้าน

นางจะพยายามเป็นภรรยาที่ดีของเขา เชื่อฟังเขาทุกอย่าง ทำให้เขาเบิกบานใจ นางยังคิดว่าจะบอกความลับของนางให้เขาฟังอีกด้วย แต่คืนนี้คงไม่ใช่โอกาสเหมาะเท่าใดนัก

เมื่อคิดถึงคืนแต่งงานคืนแรก คิดถึงหญิงชราและสะใภ้ข้างบ้านเหล่านั้นที่พูดถึงเรื่องสามีภรรยาให้นางฟัง จวีมู่เอ๋อร์ก็บิดนิ้วมือด้วยความตื่นเต้น

นอกประตูมีเสียงหัวเราะคิกคักรื่นเริง ยังมีเสียงพูดแสดงความยินดีอีกมากมาย เหล่าหญิงสาวและหญิงชราต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน “มาแล้วหรือ มากันแล้วหรือ”

ซูฉิงวิ่งเข้ามาจากทางด้านนอก ตะโกนเสียงดังว่า “พี่มู่เอ๋อร์ๆ ท่านหลงเอ้อร์มาแล้ว เจ้าบ่าวมาแล้ว ได้เวลาขึ้นเกี้ยวแล้ว”

หัวใจของจวีมู่เอ๋อร์เต้นโครมคราม ซูฉิงเข้ามาประคองนาง เพื่อนบ้านผู้หญิงหลายคนก็รีบเข้ามาช่วยเช่นกัน คนทั้งหมดรุมล้อมพาจวีมู่เอ๋อร์เดินออกไปทางประตูใหญ่ร้านเหล้าสกุลจวี นอกประตูเต็มไปด้วยบรรยากาศของความยินดี เสียงแห่งความเบิกบานดังอึกทึก เสียงอวยพรก็มีไม่ขาดสาย

จวีมู่เอ๋อร์กำลังรู้สึกมึนงง ผู้เฒ่าจวีก็จับมือของบุตรสาวไว้ แล้วพูดทั้งน้ำมูกน้ำตา “ลูกเอ๋ย ลูกเอ๋ย…”

จวีมู่เอ๋อร์อยากยิ้ม อยากปลอบใจพ่อของตน แต่พบว่าตัวเองตื่นเต้นเสียจนพูดอะไรไม่ออก ในตอนนี้เองมีมือหนาใหญ่ข้างหนึ่งกุมมือนางเอาไว้ ความอบอุ่นนั้นทำให้ใจของจวีมู่เอ๋อร์สงบลงได้ นางหันไปทางผู้เฒ่าจวี พูดปลอบใจผู้เป็นพ่อหลายคำ ผู้เฒ่าจวีดึงตัวบุตรสาวไว้ ทั้งร้องไห้ทั้งดีใจ

สุดท้ายแม่สื่อที่อยู่ด้านข้างพูดเร่งขึ้นว่าได้เวลาสมควรแล้ว ผู้เฒ่าจวีจึงปล่อยมือ หลงเอ้อร์จูงจวีมู่เอ๋อร์ส่งตัวนางขึ้นไปบนเกี้ยว ร่างใหญ่เบียดเข้าไปในเกี้ยวครึ่งตัว ฉวยโอกาสที่เกี้ยวบังสายตาของทุกคนเอาไว้ แอบเปิดผ้าคลุมหน้าจวีมู่เอ๋อร์ขึ้น จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ให้ข้าดูเจ้าสักนิด ดูสิว่าถึงที่สุดแล้วยังคิดทำอะไรแผลงๆ เช่นเปลี่ยนตัวคนมาแกล้งข้าหรือไม่”

“ข้าไม่ใช่คนไม่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควร” เขายังกลัวนางหาตัวปลอมมาสวมรอยอีกหรือ จวีมู่เอ๋อร์ทั้งโมโหและรู้สึกขำ “เป็นข้าจริงๆ หากเป็นตัวปลอมรับเปลี่ยนคืน”

หลงเอ้อร์หัวเราะ รู้สึกอารมณ์ดีมาก เขาโน้มตัวไปจุมพิตที่ริมฝีปากของนางแล้วกระซิบว่า “ดีมาก ในที่สุดเจ้าก็ตกอยู่ในมือของข้าแล้ว”

ผ้าคลุมหน้าปิดลง เขาปล่อยมือของนาง จากนั้นจวีมู่เอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงแม่สื่อพูดคำมงคล แล้วตะโกนให้ยกเกี้ยว

เกี้ยวถูกยกขึ้น จวีมู่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างในโอนเอนไปมา นางจับเกี้ยวจนนั่งได้มั่น กัดริมฝีปาก ใบหน้าแดงเรื่อ

นางคิดถึงคำที่เขาพูดว่า ‘ในที่สุดเจ้าก็ตกอยู่ในมือของข้าแล้ว’ ก็อยากหัวเราะ นางยังไม่ยอมแพ้ นางไม่กลัวเขาหรอก

เกี้ยวโยกไปมา จวีมู่เอ๋อร์หวนคิดไปถึงตอนที่นางกับเขาเพิ่งรู้จักกันจนถึงปัจจุบัน ครั้งแรกที่เห็นความโอหังของเขา นางอดไม่ได้ที่จะใช้น้ำชาสาดใส่เขา ต่อมาเขาจัดเลี้ยงเพื่อทำให้นางขายหน้า นางก็ไม่ยอมให้เขามีชีวิตเป็นสุขเช่นกัน จากนั้นเขาขโมยไม้เท้าของนาง นางก็ส่งพิณกลับไปเป็นการเหน็บแนม…เรื่องราวแต่ละเรื่องล้วนทำให้อดหัวเราะไม่ได้

หลังจากที่ตาบอด นางก็เปลี่ยนไปมากจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับชายที่น่ารังเกียจเช่นนี้ เขาดึงนิสัยด้านร้ายของนางออกมา นางไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแม้ระหว่างที่ได้รู้จักกันอาจมีการต่อปากต่อคำกันมาโดยตลอด แต่นางกลับได้รับความรู้สึกเบิกบานใจที่หาได้ยากยิ่งภายหลังจากตาบอด

เกี้ยวเจ้าสาวโยกไปมาตลอดทางจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์สกุลหลง จวีมู่เอ๋อร์ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง นางได้ยินเสียงม่านกั้นถูกเปิดออก ตามด้วยเสียงอันทรงพลังของท่านหลงเอ้อร์พูดว่า “มา!”

จวีมู่เอ๋อร์ยื่นมือออกไป นางมองไม่เห็น แต่มือของนางกลับวางลงกลางฝ่ามือของเขาอย่างแม่นยำ มือของเขาทั้งหนาใหญ่และอบอุ่น

เขาจูงมือนาง นำตัวนางออกจากเกี้ยว

รอบข้างมีแต่เสียงผู้คนคึกคักครื้นเครง สนุกสนานรื่นเริงจนแสบหู

จวีมู่เอ๋อร์หัวใจเต้นโครมคราม นางจับมือของท่านหลงเอ้อร์ไว้ด้วยความตื่นเต้น ได้ยินคำพูดของเขาไม่ชัดเจนอยู่บ้าง นางกับเขาเดินข้ามธรณีประตูของคฤหาสน์สกุลหลง จากนั้นเดินต่อไปได้อีกไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเขาพูดขึ้นอย่างฉับพลันว่า “ยกเท้า”

‘ยกเท้า’ หรือ จวีมู่เอ๋อร์จำได้ว่าประตูใหญ่ของคฤหาสน์สกุลหลงมีธรณีประตูอันเดียว ดังนั้นพอเดินเข้ามาจึงทำตามเสียงที่บอกไม่ทัน เท้าเตะเข้ากับธรณีประตูสูงอันหนึ่งจนเกือบสะดุดล้ม

จากนั้นนางก็รู้สึกว่าท่านหลงเอ้อร์เข้าใกล้ตัวนาง พูดกับนางว่า “ตรงนี้วางธรณีประตูปูผ้าแดงเอาไว้ ใช้ในประเพณีการแต่งงาน พวกเราต้องข้ามไปพร้อมกัน”

จวีมู่เอ๋อร์นึกขึ้นได้ว่าแม่สื่อเคยบอกเอาไว้แล้วจึงพยักหน้า ยกเท้าจะก้าวข้าม แต่กลับเตะถูกธรณีประตูอีกครั้ง ท่านหลงเอ้อร์พูดว่า “ยกเท้าสูงอีกนิดก็พ้นแล้ว”

คนรอบข้างพากันหัวเราะ จวีมู่เอ๋อร์หน้าแดงหูแดง แม้จะเป็นธรรมเนียม แต่ธรณีประตูนี้สูงเกินไปสักหน่อยหรือไม่ ทันใดนั้นนางจึงรู้ตัวว่าสองมือของตนเกาะท่านหลงเอ้อร์เอาไว้แน่น ท่ามกลางสายตาของคนมากมาย นางอายจนต้องรีบปล่อยมือ

นางที่กำลังลนลานมือเท้าเปะปะ ได้ยินเขาบอกว่า “ด้านหน้ามีอ่างไฟเล็กๆ เจ้าก้าวข้ามไปก็พอ” เพื่อให้สะดวกต่อจวีมู่เอ๋อร์ที่ดวงตามองไม่เห็น อ่างไฟนั้นจึงเล็กกว่าในงานมงคลอื่นถึงสองเท่า

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า ยกเท้าขึ้นแล้วหยุดคิดด้วยความลังเล นางไม่รู้ว่าต้องก้าวยาวเพียงใด หากเหยียบอ่างไฟพลิกคว่ำจะเป็นการทำลายฤกษ์ดีไปหรือไม่

นางกัดฟันคิดจะลองก้าวให้ยาวที่สุด จู่ๆ เสียงของท่านหลงเอ้อร์ก็ดังขึ้นที่ข้างหู “เจ้านี่ ยุ่งยากจริง” จากนั้นเอวของนางก็ถูกเขากอดเอาไว้แน่น ยกตัวนางข้ามอ่างไฟมา

หลังจากเท้าของจวีมู่เอ๋อร์แตะพื้น นางก็หน้าแดงอย่างไม่อาจแดงไปกว่านี้ได้อีก ยังโชคดีที่มีผ้าแดงคลุมปิดบังใบหน้าเอาไว้

ในที่สุดคนทั้งสองก็ไปถึงโถงมงคล ถือเวลามงคลทำพิธีไหว้ฟ้าดินจนเสร็จสิ้น จวีมู่เอ๋อร์ถูกแม่สื่อดันตัวหมุนไปมา เมื่อทำพิธีเสร็จจึงแยกแยะทิศทางได้ไม่ชัดเจน

จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า ‘เสร็จพิธี’ ต่อด้วยคำว่า ‘ส่งตัวเข้าห้องหอ’ จวีมู่เอ๋อร์ถูกดันตัวให้เดินไป นางไม่ได้กุมมือกับท่านหลงเอ้อร์ ในใจจึงรู้สึกลนลานเล็กน้อย

กลุ่มหญิงชราและสาวใช้พากันล้อมตัวพาจวีมู่เอ๋อร์ไปที่ห้องหอ ประคองนางให้นั่งลงบนเตียงมงคล เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการ ทุกคนก็ถอยออกไป เพียงไม่นานแม่นมอวี๋ก็เดินกลับเข้ามา บอกว่าตนยังมีงานต้องจัดการอยู่ด้านนอกอีก คงไม่เข้ามาแล้ว และบอกให้จวีมู่เอ๋อร์พักผ่อนอย่างสบายใจ ที่นี่มีเสี่ยวผิงกับเสี่ยวจู๋สาวใช้สองคนคอยรับใช้อยู่ หากนางต้องการอะไรก็บอกพวกนางได้ จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า หลังจากนั้นแม่นมอวี๋ก็กำชับสาวใช้อีกหลายคำแล้วจึงเดินออกไป

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกเกร็ง นางนั่งนิ่งอยู่นานไม่กล้าขยับ ทันใดนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าผู้เฒ่าจวีมอบซองแดงให้นางมาหลายซอง หญิงชราข้างบ้านเคยสอนไว้ว่านี่เป็นซองเงินมงคลที่ต้องมอบให้พวกแม่นมอวี๋หลังจากเสร็จพิธีและพานางไปรอในห้องหอเพื่อเป็นรางวัลตามธรรมเนียม แต่ตอนนี้พวกแม่นมอวี๋ออกไปแล้ว นางคิดอยากเรียกตัวให้กลับมารับเงินมงคลก่อน แต่ไม่รู้ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ หากรอให้ในวันพรุ่งนี้แทนจะเป็นการไม่ดีหรือไม่

จวีมู่เอ๋อร์กำลังลังเลใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเอ่ยเรียก “ฮูหยินสาม คุณหนูเป่าเอ๋อร์”

ที่แท้เป็นเฟิ่งอู่พาหลงเป่ามาที่นี่

พอเฟิ่งอู่มาถึงก็บอกว่า “ข้าได้รับคำสั่งจากพี่รองให้มาดูแลเจ้าสาว”

หลงเป่าที่อยู่ด้านข้างเลียนแบบคำพูด “ข้าได้รับคำสั่งจากลุงรองให้มาดูแลป้ารอง”

น้ำเสียงของพวกนางสดใสดูมีความสุข ทำให้จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะ เฟิ่งอู่ก็หัวเราะเช่นกัน นางเลียนแบบน้ำเสียงและการพูดของหลงเอ้อร์ “อย่างไรเสียเจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรทำ ไปอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้รองของเจ้าดีกว่า ดูสิว่านางเหนื่อยหรือไม่ หิวข้าวหรือไม่ หิวน้ำหรือไม่ เบื่อหรือไม่”

คราวนี้ไม่เพียงแต่จวีมู่เอ๋อร์ที่หัวเราะ สาวใช้สองคนก็พลอยหัวเราะไปด้วย เฟิ่งอู่ไม่วางท่ามาแต่ไหนแต่ไร ชอบพูดเล่นกับเหล่าสาวใช้อยู่เสมอ เสี่ยวจู๋จึงพูดแซวขึ้นว่า “นายท่านรองต้องป้องกันไม่ให้ฮูหยินสามแกล้งเขาในงานฉลองแน่นอน จึงส่งฮูหยินสามมาที่นี่”

เสี่ยวผิงเองก็พูดเสริม “นั่นสิๆ ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ให้ฮูหยินใหญ่มาแทน”

“หึ” เฟิ่งอู่โบกมือ ต่อปากกับพวกนางทันที “พี่รองฉลาดเป็นกรด ช่างวางแผนนัก เขาคิดจะรับซองอวยพรให้มากหน่อย ดังนั้นไม่ว่าใครก็กล้าเชิญมา ในจำนวนแขกมีคนที่พี่ใหญ่ไม่ลงรอยอยู่ด้วย หากพี่สะใภ้ใหญ่ไม่อยู่ตรงนั้นคอยช่วยรับหน้าเอาไว้ ถ้าพี่ใหญ่อาละวาดขึ้นมาใครจะเอาอยู่ล่ะ” เฟิ่งอู่พูดพลางยื่นมือไปจับมือของจวีมู่เอ๋อร์ “ตอนนี้พี่สะใภ้รองแต่งเข้าบ้านมาแล้ว จะต้องจัดการจิ้งจอกอย่างพี่รองให้ดีล่ะ”

จวีมู่เอ๋อร์ได้แต่หัวเราะ หลงเป่ารู้สึกสนใจเมล็ดแตงและถั่วลิสงที่อยู่บนเตียงมงคล จึงปีนขึ้นเตียงไปนั่งข้างกายจวีมู่เอ๋อร์ แล้วแกะเปลือกถั่วลิสงกินเอง จวีมู่เอ๋อร์ที่ถูกพวกนางพูดหยอกเล่นก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ในตอนนี้เองบ่าวสองคนก็ส่งเหล้าและอาหารเข้ามา บอกว่านายท่านรองเป็นคนสั่ง

ดังนั้นเฟิ่งอู่จึงช่วยเปิดผ้าคลุมหน้าของจวีมู่เอ๋อร์ออกเพื่อให้กินอาหาร บอกว่างานเลี้ยงฉลองมงคลยังต้องใช้เวลาอีกนาน ตอนนี้กินอาหารก่อนดีกว่า

จวีมู่เอ๋อร์ฉวยโอกาสดึงตัวเฟิ่งอู่มากระซิบถามถึงธรรมเนียมการมอบเงินมงคลหลังพิธี ปรากฏว่าเฟิ่งอู่ตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “ข้ากับท่านหลงซานไม่ได้จัดพิธีไหว้ฟ้าดินกันจริงจังจึงไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ ตอนนั้นท่านหลงซานหลอกข้า ข้าที่คิดว่าได้แต่งกับเขาแล้วจึงไม่ได้จัดการเรื่องเหล่านี้ ภายหลังพอได้รู้ กลับคิดว่ายุ่งยาก ไม่อยากจัดพิธีอะไรแล้ว เจ้าก็อย่ากังวลไปเลย ธรรมนงธรรมเนียมอะไรไม่ใช่เรื่องสำคัญนักหรอก เจ้าดูข้ากับท่านหลงซานสิ ไม่มีพิธีอะไร ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ด้วยกันดีไม่ใช่หรือ”

จวีมู่เอ๋อร์งุนงงอยู่บ้าง นางฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก จู่ๆ เฟิ่งอู่ก็ถามกลับว่าเหตุใดต้องก้าวข้ามธรณีประตูที่ปูด้วยผ้าแดงและข้ามอ่างไฟ จวีมู่เอ๋อร์ตอบตามที่หญิงชราเคยสอนนาง “จะได้รุ่งเรืองสว่างไสวเหมือนดั่งไฟ”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ตอนนั้นข้ายังรู้สึกประหลาดใจ คิดว่าหญิงสาวที่แต่งงานกับพี่รองต้องมีความกล้าที่จะบุกน้ำลุยไฟเสียอีก”

บุกน้ำลุยไฟ? จวีมู่เอ๋อร์นิ่งไป อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังไปพร้อมกับทุกคน คนในสกุลหลงทุกคนล้วนน่าสนใจเช่นนี้หรือ

จากนั้นเฟิ่งอู่ก็เร่งให้นางไปที่โต๊ะเพื่อกินอาหาร หลงเป่ากระโดดลงจากเตียง ยื่นมือไปดึงตัวจวีมู่เอ๋อร์ จวีมู่เอ๋อร์ที่เริ่มรู้สึกสนิทสนมกับพวกนาง ถอดผ้าคลุมหน้าออก นั่งลงที่โต๊ะกินอาหารและดื่มเหล้าร่วมกับพวกนาง

หญิงทั้งสองคนดื่มเหล้ากินอาหารจนเต็มอิ่ม พูดคุยกันอยู่นาน ต่างรู้สึกว่าถูกชะตากัน

ดึกมากแล้ว ไม่รู้ว่าหลงเป่าขึ้นไปแกะถั่วลิสงกินตั้งแต่เมื่อใด แกะไปแกะมา ตอนนี้ยังซุกตัวเข้าไปนอนในผ้าห่มอีก เฟิ่งอู่ที่ดื่มจนรู้สึกมึน กำลังเล่าเรื่องหน้าแตกหลายเรื่องของหลงเอ้อร์อย่างออกรสออกชาติ ด้านนอกกลับมีเสียงฝีเท้าและเสียงคนพูดคุยกันดังขึ้นในทันใด

เสี่ยวผิงกับเสี่ยวจู๋ที่ยืนเฝ้าหน้าประตูวิ่งเข้ามาประคองจวีมู่เอ๋อร์กลับไปที่เตียง รีบปิดผ้าคลุมหน้าลง เพิ่งจะคลุมเสร็จ ประตูก็เปิดออก หลงเอ้อร์ที่ตัวมีแต่กลิ่นเหล้ายืนอยู่ตรงหน้าประตู

หลงเอ้อร์ดื่มมามากพอสมควร เขาเดินโงนเงนขยับเข้ามาอย่างช้าๆ เหล่าคุณชายกลุ่มหนึ่งตามอยู่ด้านหลังตะโกนว่าอยากเห็นหน้าเจ้าสาวและจะรอป่วนห้องหอตามธรรมเนียม หลงเอ้อร์ที่เมาแล้วไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินเข้าห้องมา เดือดร้อนถึงหลงซาน ทำให้เขาต้องพยายามขวางคนทั้งหลายไม่ให้เข้าไปสร้างความวุ่นวาย น่าเสียดายที่มีกำลังเพียงหนึ่ง เกรงว่าคงขวางไม่ได้

ในตอนนี้เองเฟิ่งอู่ที่ดื่มจนหน้าแดงก่ำก็กระโดดขึ้นมา นางเดินผ่านตัวหลงเอ้อร์ไปนอกห้อง ร้องรับเสียงดัง “ดีเลยๆ พวกเรามาป่วนห้องหอกัน”

เมื่อนางเข้าร่วม เสียงอึกทึกนอกห้องก็พลันเงียบลง ทุกคนต่างมองหน้ากัน จากนั้นพูดอวยพรแล้วจากไป

ล้อเล่นน่า ทุกคนต้องการป่วนห้องหอแค่เพียงหยอกเย้าเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทำจริงหรอก แต่หากฮูหยินสามเข้าร่วม เกรงว่าคงรักษาความสงบไว้ไม่ได้ ดังนั้นแยกย้ายกันดีกว่า อย่าก่อเรื่องจนทุกคนต้องแบกรับความผิดเลย

หลงซานโล่งอก คนกลุ่มนั้นตัวเขาขวางเอาไว้ไม่อยู่ แต่ภรรยาของเขากลับสามารถจัดการได้อย่างยอดเยี่ยม เฟิ่งอู่เห็นทุกคนจากไปแล้วก็รู้สึกผิดหวัง ทำได้เพียงบ่นอย่างเศร้าสลดกับหลงซาน

ในตอนนี้เหล่าหญิงชราพากันกรูเข้ามาในห้อง ยื่นไม้คันชั่ง* ให้หลงเอ้อร์ใช้เปิดผ้าคลุมหน้าสีแดง แล้วจัดเตรียมของต่างๆ เช่นเหล้าคล้องใจ เกี๊ยวสด จากนั้นเมื่อธรรมเนียมเสร็จสิ้นลง ทุกคนก็รีบเดินออกไป

คืนแรกในการเข้าหอของนายท่านรอง ใครจะกล้ามาก่อกวนรนหาที่ตายกัน

 

หลงซานกำลังพาเฟิ่งอู่กลับไปที่ห้อง เฟิ่งอู่ที่รู้สึกเมาอยู่บ้างกอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย หลงซานทั้งกอดทั้งดึงตัวนางกลับไป พลางเอ่ยปากถามว่า “เชี่ยวเอ๋อร์ล่ะ”

เฟิ่งอู่โงนเงนไปมาตอบอย่างมึนงง “ให้แม่นมช่วยดูอยู่ คงนอนแล้วล่ะ”

หลงซานเห็นท่าทางเหมือนแมวเมาของนางก็อยากหัวเราะ เขาจุมพิตที่แก้มของนางแล้วถามต่อ “เป่าเอ๋อร์ล่ะ นอนแล้วเหมือนกันหรือ”

เฟิ่งอู่พยักหน้า แต่หลังจากนั้นกลับส่ายหน้า นางหยุดนิ่งมองไปรอบๆ ถามหลงซานกลับว่า “เป่าเอ๋อร์ล่ะ”

หลงซานทำหน้างง “เจ้าถามข้าหรือ”

เฟิ่งอู่ตกตะลึง ทันใดนั้นก็กระโดดอย่างร้อนใจ “อ๋า แย่แล้วๆ ข้าลืมเป่าเอ๋อร์ไว้บนเตียงของพี่รอง”

 

ในห้องหอตอนนี้ หลงเอ้อร์กำลังวุ่นวายใจที่บนเตียงมีเด็กน้อยปรากฏตัวออกมาอย่างฉับพลัน

เขารอให้คนออกไปหมดอย่างอดทน กำลังคิดจะกอดภรรยาของตน กลับถูกปิ่นมุกบนมงกุฎมงคลของนางแทงเข้าหนึ่งที หลงเอ้อร์บ่นอย่างไม่พอใจ ลงมือถอดมงกุฎมงคลออกด้วยตัวเอง แต่สิ่งนี้ถอดได้ยาก ด้านซ้ายมีตัวหนีบหนึ่งตัว ด้านขวามีปิ่นอีกหนึ่งตัว ดังนั้นหลงเอ้อร์จึงขมวดคิ้วจนมันย่นเข้าหากัน แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าสิ่งนี้หนักหรือไม่”

“หนัก” จวีมู่เอ๋อร์ตอบ หลงเอ้อร์รู้สึกว่าแขนเสื้อของตนถูกนางดึงหนึ่งที

“หากใส่ไว้เหนื่อยหรือไม่” เขาถามอีก

“พอทนไหว”

หลงเอ้อร์ขมวดคิ้ว “ข้าจะรีบถอดออกให้”

“อืม” หนังหัวของจวีมู่เอ๋อร์ถูกดึงจนเจ็บ แต่นางไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย กลับเป็นหลงเอ้อร์ที่บ่นขึ้นอีก “ข้าบอกว่าข้าจะรีบถอดออกให้ เจ้าอย่าเร่งข้าสิ”

“ข้าไม่ได้เร่ง”

“เช่นนั้นเจ้าดึงแขนเสื้อข้าทำไม”

“ข้าไม่ได้ดึง”

หลงเอ้อร์หยุดมือลงทันที ไม่ทันรอให้เขาพูดอะไร ด้านหลังจวีมู่เอ๋อร์ก็มีเสียงเด็กพูดงัวเงียดังขึ้น “ลุงรอง ท่านแม่ข้าล่ะ”

หลงเอ้อร์กับจวีมู่เอ๋อร์ตกใจจนอ้าปากกว้าง หลงเอ้อร์สร่างเมาไปครึ่งหนึ่ง โชคดีที่มงกุฎมงคลถอดออกยาก โชคดีที่เขาไม่ได้ใจร้อนรีบเข้าหอ เฟิ่งอู่ทิ้งลูกเอาไว้ที่นี่ จงใจก่อกวนเขาหรือ

หลงเอ้อร์ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร หลงซานและภรรยาก็มาเคาะประตูขอรับลูกคืนเสียก่อน หลงเอ้อร์ทำหน้าบึ้งตึงแล้วคืนหลงเป่าให้พวกเขา แววตาดุดันของหลงเอ้อร์ทำให้เฟิ่งอู่ตัดสินใจว่าสามวันหลังจากนี้นางต้องอยู่นิ่งๆ ไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าพี่รองเด็ดขาด

หลงเอ้อร์ปิดประตูอย่างแรง จวีมู่เอ๋อร์ทนไม่ไหวหัวเราะออกมาเสียงดัง หัวเราะจนหยุดไม่ได้ นางเอนตัวล้มลงบนเตียง

“หัวเราะๆๆ เจ้า…” หลงเอ้อร์คิดจะอบรมนาง แต่พอเอ่ยปากกลับอดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน เมื่อหัวเราะจนพอใจแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปจิ้มหน้าผากของจวีมู่เอ๋อร์ “เมื่อครู่เจ้าหัวเราะเยาะข้าหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า คนโง่เท่านั้นจึงจะพูดความจริง

แต่หลงเอ้อร์ไม่ยอมปล่อย ถามไปอีกเรื่อง “เจ้าท่องกฎสกุลได้หรือยัง เมื่อครู่เจ้าทำผิดกฎสกุล ข้าต้องลงโทษตามกฎ”

จวีมู่เอ๋อร์กะพริบตา “ท่านจะให้ข้าท่องกฎสกุลตอนนี้หรือ”

หลงเอ้อร์จ้องหน้านางเขม็ง คิดก่อกวนหรือ จะมีใครเสียเวลาเข้าหอคืนแรกเพื่อการท่องกฎสกุลบ้าง

“ต้องท่องจริงหรือ” จวีมู่เอ๋อร์เอียงหัวถาม ไม่สนใจ ‘ความดุร้าย’ ของเขาเลย

หลงเอ้อร์กัดฟัน คิดได้ว่าการจ้องหน้าจวีมู่เอ๋อร์เป็นการเสียเวลา เขาจึงทดแทนด้วยการใช้น้ำเสียงดุดัน “ข้าจ้องเจ้าอยู่นะ”

ถูกจ้องอีกแล้วหรือ

จู่ๆ จวีมู่เอ๋อร์ก็คิดถึงคำว่า ‘มีความกล้าที่จะบุกน้ำลุยไฟ’ ขึ้นมา นางอดหัวเราะเสียงดังอีกครั้งไม่ได้

หลงเอ้อร์โมโห เขากระโจนขึ้นเตียง กดตัวจวีมู่เอ๋อร์ให้อยู่ใต้ร่างของตน แต่จวีมู่เอ๋อร์ยังคงหัวเราะจนน้ำตาไหล ส่วนหลงเอ้อร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าเด็กซน” เขาพูดพลางประกบปิดปากนางเอาไว้

คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์หัวเราะไม่ออกเสียแล้ว

จุมพิตของท่านหลงเอ้อร์ร้อนแรง เขาตวัดปลายลิ้นของนาง กัดริมฝีปากนางเบาๆ

จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวราวกับว่าตัวนางจะละลาย นางได้ยินเสียงครางเบาๆ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยรู้ตัวว่านั่นเป็นเสียงที่นางเปล่งออกมาเอง

หลงเอ้อร์มีกลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่วตัว แม้แต่ในจุมพิตยังมีรสชาติของเหล้า เขายังมีอาการมึนเมา กิริยาจึงป่าเถื่อนอยู่บ้าง เขาบีบไหล่นางจนเจ็บ ยังดึงผมของนางอีก มงกุฎมงคลยังติดอยู่บนหัวของนาง เมื่อถูกดึงผมจึงทำให้เจ็บจนต้องสูดลมหายใจเข้า

หลงเอ้อร์ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ พอได้ยินเสียงนางร้องเจ็บก็ชะงักไป แต่เหมือนไม่รู้ตัวยังคงยื่นมือไปดึงทึ้งเสื้อผ้าของนาง เขาถอดเสื้อของนางออกชั้นแล้วชั้นเล่า ถอดจนรู้สึกรำคาญ เมื่อจับถูกคอเสื้อจึงคิดจะฉีก จวีมู่เอ๋อร์รู้สึกลนลานกับการกระทำของเขา นางรีบกุมมือเขาไว้แล้วพูดว่า “ท่านหลงเอ้อร์ เสื้อตัวนี้แพงมากนะ”

หลงเอ้อร์นิ่งไป ไม่มีปฏิกิริยาอยู่ครู่ใหญ่ จวีมู่เอ๋อร์ยื่นมือไปลูบหน้าของเขา ใบหน้าของเขาร้อนดั่งไฟ นางจึงประกบกุมไว้เบาๆ

“แพงมากหรือ” เขาถามออกมา เช่นนั้นก็ไม่ฉีกเสื้อแล้ว แต่ยังคงกอดนางไว้ไม่ยอมปล่อย

คนทั้งสองนอนกอดกันไม่ได้พูดจา ผ่านไปครู่ใหญ่ จวีมู่เอ๋อร์จึงแตะตัวหลงเอ้อร์แล้วเรียกเขาเบาๆ “ท่านหลงเอ้อร์ ท่านเมาแล้ว”

หลงเอ้อร์เงยหน้าขึ้นทันใด หรี่ตามองนางอยู่นาน จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งตัวโงนเงนไปมา พูดเสียงดังว่า “ข้าไม่เมา ดื่มพันถ้วยข้าก็ไม่เมา” จวีมู่เอ๋อร์อดหัวเราะไม่ได้ หลงเอ้อร์ดึงตัวนางขึ้นมา “ทำไม เจ้าไม่เชื่อหรือ มาๆ มาดื่มเหล้ากับข้า ดูสิว่าใครจะเมาก่อนกัน”

จวีมู่เอ๋อร์เอ่ยเกลี้ยกล่อม “ท่านอย่าดื่มอีกเลย ไม่อย่างนั้นคงจะเมาเข้าจริงๆ”

หลงเอ้อร์บ่นอย่างไม่พอใจ บอกว่าในกฎสกุลต้องเพิ่มอีกหนึ่งข้อ…อย่าดูถูกหลงเอ้อร์

จวีมู่เอ๋อร์กลั้นหัวเราะ มือประคองจับมงกุฎมงคลที่แทบจะหลุดลงมา แล้วพูดว่า “ท่านหลงเอ้อร์มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ ใครจะกล้าดูถูก ขอร้องท่านหลงเอ้อร์ช่วยถอดมงกุฎบนหัวของข้าออกก่อนเถอะ!”

หลงเอ้อร์หรี่ตาจ้องมองมงกุฎมงคล ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้ช่วยนางถอดออกจนเสร็จ เขายื่นมือไปแกะมงกุฎนั้นต่อ แกะพลางพูดว่า “ดูสิ ช่วงเวลาสำคัญก็ต้องอาศัยข้า”

“ใช่ๆ ต้องอาศัยท่านหลงเอ้อร์ทั้งหมด” จวีมู่เอ๋อร์อดทนกับความเจ็บที่ถูกดึงทึ้งเส้นผม ส่วนปากก็เอ่ยชมต่อไป

“รอแกะเสร็จแล้ว เจ้าก็มาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้า เจ้าจะได้เห็นความสามารถดื่มพันถ้วยไม่เมามายของข้า”

จวีมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ “ท่านพักผ่อนให้เร็วสักนิดไม่ดีกว่าหรือ”

หลงเอ้อร์หัวเราะหึๆ เสียงหัวเราะปนหยอกเย้านั้นทำให้จวีมู่เอ๋อร์หน้าแดง

“ทำไม เจ้าใจร้อนแล้วหรือ” หลงเอ้อร์โยนมงกุฎมงคลไปที่ปลายเตียง ผลักตัวจวีมู่เอ๋อร์เพียงเบาๆ นางก็ล้มลงนอนบนเตียง ริมฝีปากเขาตามติดนาง กระซิบเสียงเบา “ใจร้อนอะไร ข้าอยู่ตรงนี้ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลนัก”

จวีมู่เอ๋อร์หน้าแดงก่ำทันที “ใคร…ใครใจร้อน”

หลงเอ้อร์หัวเราะ ก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของนางเบาๆ “คิดไม่ถึงว่าฮูหยินของข้าจะใจร้อนเช่นนี้”

“ท่าน…ท่านอย่าพูดส่งเดช ข้าไม่ได้ใจร้อนนะ”

“ข้าชอบที่เจ้าใจร้อน”

“ข้าไม่ได้ใจร้อน”

“ข้าชอบที่เจ้าใจร้อนแต่ยังปากแข็งบอกว่าไม่ได้ใจร้อน” หลงเอ้อร์ยิ้มกว้าง

จวีมู่เอ๋อร์ถูกเขาพูดจนรู้สึกว่าตนใจร้อนขึ้นมาจริงๆ เพิ่งจะแต่งเข้าบ้าน เขาก็เริ่มแกล้งนางแล้วหรือ จวีมู่เอ๋อร์กัดฟัน “ท่านหลงเอ้อร์ ข้าไม่ได้ใจร้อนจริงๆ หากจะดื่มเหล้า ข้าดื่มเป็นเพื่อนท่านแล้วกัน”

“จะดื่มเหล้าแล้วหรือ” หลงเอ้อร์ลากเสียงยาวมาก แนบริมฝีปากติดริมฝีปากของนางแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าให้เจ้าดื่ม เหตุใดจึงไม่ตอบตกลง”

“ข้าผิดไปแล้ว ท่านดื่มพันถ้วยไม่เมามาย ข้าไม่ควรไปขัดความสุขของท่าน”

หลงเอ้อร์เอียงหัวมองจวีมู่เอ๋อร์ นางปัดแก้มด้วยสีชาด ซ้ำยังถูกเขาแกล้งจนหน้าแดงเพิ่มขึ้นอีก เขาอดใจไม่ได้จึงก้มหน้าลงไปจุมพิตนางครั้งแล้วครั้งเล่า คิดอยากเห็นความงามของนางหลังจากดื่มเหล้าเมา ดังนั้นจึงดึงตัวนางขึ้นมา พาไปที่โต๊ะแล้วเทเหล้าให้นางหนึ่งถ้วย

จวีมู่เอ๋อร์กลัวว่าหลงเอ้อร์จะกล่าวหาว่านางใจร้อนอยากเข้าหอจึงรีบกระดกเหล้าถ้วยนี้เข้าปากไป

หลงเอ้อร์งุนงง เขาคิดว่านางจะถือถ้วยเหล้าบ่ายเบี่ยงไปมา ต้องให้เขาเกลี้ยกล่อมก่อนจึงยอมดื่ม คาดไม่ถึงว่านางจะดื่มรวดเดียวเช่นนี้ หลงเอ้อร์กระแอมไอ ใจคิดว่าตนจะยอมแพ้ไม่ได้ เขาเทเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย จากนั้นดื่มจนหมดเช่นกัน ยังใช้ถ้วยเหล้าเปล่าแตะถ้วยเหล้าของนางแล้วพูดว่า “ข้าดื่มหมดถ้วยเป็นเพื่อนเจ้า”

จวีมู่เอ๋อร์พยักหน้า หลงเอ้อร์เทเหล้าจนเต็มถ้วยทั้งสองใบอีกครั้ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “หมดถ้วย”

จวีมู่เอ๋อร์กระดกดื่มจนหมดอีกครั้ง หลงเอ้อร์ที่เดิมทีรู้สึกมึนหัวมากอยู่แล้ว แต่พอเห็นนางดื่มเช่นนี้ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกอยากเอาชนะ ใจคิดว่าจะแพ้นางไม่ได้ ดังนั้นจึงดื่มรวดเดียวจนหมด

คนทั้งสองแข่งกันดื่ม ‘เจ้าหนึ่งถ้วยข้าหนึ่งถ้วย’ ต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ

ความทรงจำสุดท้ายของหลงเอ้อร์ในคืนนี้ก็คือใบหน้าแดงระเรื่อของจวีมู่เอ๋อร์ที่มีรอยยิ้มอยู่นั้นเอ่ยถามเขาว่า “ท่านหลงเอ้อร์ ยังจะดื่มอีกหรือไม่”

เขาหัวหนักเท้าเบา รู้สึกมึนงง เอ่ยตอบอย่างไม่ยอมแพ้ “ดื่ม!”

หลังจากนั้นเขาก็ตื่น พอลืมตาขึ้นมากลับพบว่าฟ้าสว่างเสียแล้ว

นอกประตูมีเสียงความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง คิดว่าคงได้เวลาลุกจากเตียงไปล้างหน้ากันแล้ว ส่วนเหล่าสาวใช้ไม่กล้ารบกวนจึงคอยเฝ้าอยู่นอกประตูอย่างเงียบๆ

หลงเอ้อร์คิดอยู่ครู่ใหญ่จึงจำได้ว่าเมื่อคืนเขาดื่มเหล้าจนเมา ตอนนี้เขาสวมชุดมงคลยับๆ นอนอยู่บนเตียงมงคลที่เต็มไปด้วยเปลือกถั่วลิสง ส่วนจวีมู่เอ๋อร์ที่สวมชุดมงคลยับๆ เช่นกันก็นอนหลับสบายอยู่ข้างกายเขา

หลงเอ้อร์ปวดหัวมาก เขาคิดย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรง หรือว่าเขาจะลืมตัวหลงกลมู่เอ๋อร์ของเขาเข้าอีกแล้ว

เขาหันหน้าไปมองจวีมู่เอ๋อร์ นางที่นอนหลับมีใบหน้าสีฝาดเลือด มองดูมีน้ำมีนวลน่ากินเป็นอย่างยิ่ง

แต่ว่านางยิ่งดูน่ากิน ความโมโหในใจของหลงเอ้อร์ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น คืนแรกใต้แสงเทียนในห้องหอ เขากลับแข่งดื่มเหล้าจนเผลอหลับไปเสียแบบนั้น!

หลงเอ้อร์ใช้แรงปลุกจวีมู่เอ๋อร์ให้ตื่น นางงัวเงียพูดขึ้นว่า “พ่อ ข้ายังอยากนอนต่อ”

“ข้าคือสามีของเจ้า” ความโกรธของหลงเอ้อร์พุ่งสูงขึ้น

“ท่านพี่ ข้ายังอยากนอนต่อ” จวีมู่เอ๋อร์เปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ยอมลืมตา

หลงเอ้อร์จิ้มหน้าผากนาง “นอนๆๆ รู้จักแต่นอน”

จวีมู่เอ๋อร์ถูกจิ้มจนดูเหมือนจะได้สติ นางเริ่มขยี้ตา

หลงเอ้อร์เห็นท่าทางงัวเงียของนางก็ยิ่งโกรธ เรื่องนี้ต้องโทษนาง หากนางไม่ได้หลอกล่อเขา เขาคงไม่ดื่มมากจนถึงขนาดนอนหลับปล่อยให้คืนเข้าหอผ่านไปอย่างสูญเปล่าเช่นนี้ เขาเอ่ยถามอย่างดุดัน “สามีของเจ้าล่ะ”

จวีมู่เอ๋อร์ชี้มาที่ตัวเขา “อยู่ตรงนี้ไง”

“เจ้ายังจำได้หรือ”

“จำได้”

“หึ” หลงเอ้อร์กอดอกมองนางขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วเอ่ยถามอีก “ยังอยากดื่มเหล้าอีกหรือไม่”

คราวนี้จวีมู่เอ๋อร์ได้สติเต็มที่ รีบก้มหน้าตอบเสียงประนีประนอม “หากท่านหลงเอ้อร์อยากให้ข้าดื่มเป็นเพื่อน ข้าก็จะดื่ม”

“เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว ใช่หรือไม่”

“ไม่กล้าๆ”

“มีเรื่องที่เจ้าไม่กล้าด้วยหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์ก้มหน้าก้มตาเหมือนภรรยาตัวน้อย “ไม่กล้าจริงๆ”

“จริงหรือ”

“กฎสกุลข้อแรกข้ายังจำได้นะ”

นางเชื่อฟังขนาดนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงเป็นแน่

หลงเอ้อร์หรี่ตาลง พยายามย้อนคิดถึงท่าทางเมาเหล้าของนางเมื่อคืน แต่เขากลับคิดไม่ออก เหมือนมีบางอย่างผิดปกติ แต่มันคืออะไรล่ะ

เมื่อหลงเอ้อร์คิดไม่ออกจึงเลิกคิด เขาเอ่ยถามนางว่า “ปวดหัวหรือไม่”

เดิมทีจวีมู่เอ๋อร์จะส่ายหน้า แต่คิดได้ว่าเขาต้องปวดหัวแน่นอนจึงเปลี่ยนเป็นพยักหน้า “ปวด”

นางเป็นเหมือนกับเขา หลงเอ้อร์รู้สึกสบายใจขึ้นในทันที

ในตอนนี้เองด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น สาวใช้เอ่ยถามผู้เป็นนายเสียงเบาว่าจะตื่นขึ้นมาล้างหน้าแล้วหรือยัง หลงเอ้อร์กำลังจะตอบ แต่คิดขึ้นได้ว่าตัวเองยังสวมชุดมงคลอยู่ หากสาวใช้เห็น เขาคงขายหน้ามาก ดังนั้นจึงรีบถอดเสื้อตัวนอกออกโยนไปบนตัวของจวีมู่เอ๋อร์ จากนั้นปล่อยม่านกั้นเตียงลงแล้วเอ่ยปากอนุญาตให้สาวใช้เข้ามา

จวีมู่เอ๋อร์ที่อยู่หลังม่านกอดเสื้อผ้าของหลงเอ้อร์เอาไว้แล้วแอบหัวเราะ ในใจก็ท่องกฎสกุล…ห้ามแกล้งประชดท่านหลงเอ้อร์ ห้ามทำให้ท่านหลงเอ้อร์เบื่อ คำพูดของท่านหลงเอ้อร์ต้องเชื่อฟัง ห้ามทำเรื่องที่ทำให้ท่านหลงเอ้อร์ไม่พอใจ…แต่พอนางท่องไปท่องมา กลับหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาช่างดีเหลือเกิน นางอยากอยู่กับเขาไปชั่วชีวิตเลย

เสียงหัวเราะของจวีมู่เอ๋อร์ทำให้หลงเอ้อร์รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ ยิ่งรู้สึกว่าเมื่อคืนต้องมีอะไรเกิดขึ้น

 

วันแรกหลังการแต่งงานของคนทั้งสองมีเวลาว่างมาก นอกจากต้องกินอาหารกลางวันกับหลงต้าและหลงซานแล้วก็กลับไปพักผ่อนในเรือนพักของตัวเอง จวีมู่เอ๋อร์กอดผ้าห่มนอนหลับอย่างสบายใจเพื่อเป็นการชดเชย แต่หลงเอ้อร์กลับหงุดหงิดจนเดินไปมาไม่หยุด คืนแต่งงานเสียไปเปล่าๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจไปที่หอหนังสือ แล้วนั่งอ่านบัญชีเพื่อสงบสติอารมณ์

เมื่อคืนทุกคนสนุกสนานกันมาก บ่าวจำนวนมากยังคงมีอาการมึนเมา มีบางคนมายืนคุยทับถมกันตรงมุมทางเดินว่าผู้ใดคอแข็งกว่ากัน หลงเอ้อร์ที่หูดีได้ยินทุกอย่างชัดเจน เขาคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ในทันใด จึงหมุนตัวเดินกลับห้องไป

จวีมู่เอ๋อร์ยังคงนอนหลับอยู่ หลงเอ้อร์จ้องมองใบหน้าตอนนอนของนางอยู่นาน ก่อนจะเรียกสาวใช้ให้ไปนำเหล้าและอาหารเข้ามา

จวีมู่เอ๋อร์ยังไม่ลืมตาก็ได้กลิ่นเหล้าแล้ว นางครุ่นคิดสักครู่แล้วลุกขึ้นนั่ง

จากนั้นก็ได้ยินท่านหลงเอ้อร์ถามว่า “มู่เอ๋อร์ เมื่อคืนไม่ทันได้ถามเจ้าว่าเจ้าคอแข็งมากแค่ไหน”

จวีมู่เอ๋อร์ตอบอย่างระมัดระวังตัว “พอใช้ได้”

หลงเอ้อร์ยื่นมือไปบิดติ่งหูของนาง “เช่นนั้นเมื่อคืนเจ้าดื่มเหล้ากับข้า เหตุใดจึงไม่บอกว่าเจ้าคอแข็งไม่เลว”

“ท่านไม่ได้ถาม”

“เหตุใดจึงไม่บอกให้ข้าหยุดดื่ม”

“ท่านไม่ยอม”

“พูดเช่นนี้หมายความว่าที่เราพลาดคืนแรกของการแต่งงานไปเป็นความผิดของข้าหรือ”

จวีมู่เอ๋อร์หน้าแดงก่ำขึ้นมาในทันที หลงเอ้อร์ยื่นหน้าเข้าไปกัดริมฝีปากนางทีหนึ่ง พูดทั้งที่ปากยังแตะริมฝีปากของนาง

“เจ้าว่าควรทำอย่างไรกับความเสียหายของข้า”

จวีมู่เอ๋อร์เขินอายจนไม่รู้จะทำเช่นใด นางควรพูดอย่างไรดี

“เจ้าต้องชดใช้” หลงเอ้อร์ใช้น้ำเสียงพูดราวทวงหนี้และบิดติ่งหูของนางอีกครั้ง

จวีมู่เอ๋อร์ร้องเจ็บ นวดหูพลางพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “เช่นนั้นข้าก็สูญเสียเช่นกัน สามีข้าห่วงแต่จะดึงข้าไปดื่มเหล้า เรื่องนี้ข้าต้องไปร้องเรียนกับใคร”

“มาร้องเรียนกับข้าสิ” หลงเอ้อร์นั่งเบียดข้างกายนาง “เจ้าว่ามา ข้ากำลังรอฟังอยู่”

จวีมู่เอ๋อร์จะพูดอะไรได้ นางสูดจมูกแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านพี่เตรียมเหล้าและอาหารไว้หรือ อยากดื่มกับข้าอีกหรือไม่”

“ก่อนหน้านี้ก็คิดเช่นนั้น แต่ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

จวีมู่เอ๋อร์หัวใจเต้นรัว เลือดฉีดขึ้นบนใบหน้า หลงเอ้อร์ผลักนางล้มลงแล้วกดไว้บนเตียง “เดิมคิดจะดูว่าเจ้าคอแข็งขนาดไหน แต่ตอนนี้ไม่ต้องรีบร้อนแล้ว ข้าตัดสินใจจะทวงหนี้คืนก่อนแล้วค่อยคุยกันเรื่องอื่น”

จวีมู่เอ๋อร์เขินอายอย่างหนัก พูดแย้งทันใด “ฟ้ายังไม่มืดเลย”

“เจ้ามองเห็นข้าหรือ” หลงเอ้อร์ถาม

“ไม่เห็น”

“เช่นนั้นฟ้าก็มืดแล้ว”

ความเอาแต่ใจของเขาทำให้จวีมู่เอ๋อร์ทั้งเขินอายและอยากหัวเราะ นางกัดริมฝีปากไว้แต่ในที่สุดก็ถูกเขาครอบครองเอาไปได้

มือใหญ่ของเขาเลื่อนเข้าไปใต้เสื้อของนาง ลูบผิวกายของนาง จวีมู่เอ๋อร์ผ่อนลมหายใจยาว รู้สึกว่าส่วนที่ฝ่ามือของเขาลูบผ่านยังคงสั่นสะท้าน

ร่างของหลงเอ้อร์เต็มไปด้วยความดุดัน เขาถอดเสื้อตัวในของนางออก จวีมู่เอ๋อร์ตกใจจนครางเบาๆ นางขดตัวด้วยความตื่นเต้น พยายามหาคำมาพูด “ท่านหลงเอ้อร์ ความจริงแล้วข้าคอแข็งไม่เลวเลย”

“หืม?”

“หนึ่งพันกับอีกหนึ่งถ้วยก็ไม่ล้ม”

ภายในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ

“มู่เอ๋อร์”

“หืม?”

“เจ้าทำผิดกฎสกุลข้อที่หนึ่ง”

“…”

“ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าหากทำผิดกฎสกุลต้องถูกลงโทษตามกฎสกุล เจ้ายังจำได้หรือไม่” หลงเอ้อร์พูดพลางกัดใบหูของนาง จวีมู่เอ๋อร์สูดปาก ตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงจับแขนของเขาเอาไว้แน่น

หลงเอ้อร์พ่นลมใส่หูนาง รับรู้ได้ว่านางเกร็งตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา เขายิ้มแล้วจุมพิตนาง จวีมู่เอ๋อร์โอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ได้ต่อต้าน แต่ความตื่นเต้นกลับไม่ลดลง หลงเอ้อร์แนบหน้าผากติดกับหน้าผากของนาง แล้วเอ่ยเรียกชื่อนางเบาๆ “มู่เอ๋อร์”

“ท่านพี่” จวีมู่เอ๋อร์ตอบรับ

คำเรียกขานนี้ทำให้หลงเอ้อร์ยิ้ม ฟังแล้วรื่นหูจริง เขาลองเรียกนางอีกครั้ง “มู่เอ๋อร์”

“ท่านพี่” นางตอบรับอีกครั้ง

“มู่เอ๋อร์”

“…”

“มู่เอ๋อร์”

“…”

“มู่เอ๋อร์”

ยังไม่จบอีกหรือ จวีมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ท่านพี่!” เสียงตอบรับนี้พูดได้มีน้ำหนักมาก

หลงเอ้อร์หัวเราะร่วน “เจ้าอารมณ์เสียจริง”

นางไม่ได้เจ้าอารมณ์ นางเป็นคนอ่อนโยนเรียบร้อยที่สุด ไม่เช่นนั้นจะทนรับเขาได้อย่างไร

จวีมู่เอ๋อร์ถูกเขายั่วจนลืมความตื่นเต้น กำลังจะโต้ตอบกลับ ริมฝีปากกลับถูกเบียดแน่น เขากำลังจุมพิตนางอย่างอ่อนโยน

จุมพิตที่อ่อนโยนอ่อนหวานนี้ ทำให้จวีมู่เอ๋อร์ลืมไปว่าตัวเองคิดจะพูดอะไร ในสมองปรากฏคำว่า ‘ใช้ร่างกายตอบแทน’ ขึ้นมาในทันที

หลงเอ้อร์ก่อเปลวเพลิงในตัวนาง ทำให้นางรู้สึกว้าวุ่นแต่กลับสุขสมจนเกือบจะทนไม่ไหว นางกอดเขาไว้แน่น ในที่สุดก็รู้ว่าแท้จริงแล้วการใช้ร่างกายตอบแทนเป็นเรื่องที่ทำให้เหน็ดเหนื่อยอย่างมาก

 

 

(โปรดติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 17

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: