บทที่ 1 ชาติก่อนและชาตินี้
เจียงชิงหว่านคิดไม่ถึงว่าตนจะสามารถมีชีวิตได้อีกหนหนึ่ง…
นางเป็นบุตรสาวของพ่อค้าผู้มั่งคั่งแห่งอวิ๋นโจว เติบโตมาท่ามกลางความสุขสบายตั้งแต่เล็ก ครั้นถึงวัยปักปิ่น นางเกิดไปพึงใจชุยจี้หลิงบัณฑิตยากจนที่เข้าสอบเคอจวี่ เข้า และแต่งงานกับเขาโดยไม่สนใจคำคัดค้านของบิดา
หลังแต่งงานทั้งสองคนก็รักกันดี แต่น่าเสียดายที่สามีภรรยายากจนมีร้อยแปดเรื่องให้ทุกข์ใจ ทั้งยังมีมารดาและน้องสาวของสามีที่เข้ากันได้ยากอยู่ด้วย คนทั้งสองจึงค่อยๆ เริ่มมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน
ต่อมาชุยจี้หลิงสอบจิ้นซื่อ ไม่ผ่านเสียที จึงพาครอบครัวย้ายไปกานโจวเพื่อรับใช้หนิงอ๋องตามคำแนะนำจากสหายสนิท ด้านหนิงอ๋องเองก็ให้ความสำคัญกับเขา กระทั่งเขาค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาจนได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาประจำวังอ๋อง
เดิมทีแม่สามีก็รู้สึกว่าเจียงชิงหว่านเป็นเพียงบุตรสาวจากครอบครัวพ่อค้าที่ตะกายมาเกาะบุตรชายตน บัดนี้ชุยจี้หลิงเป็นถึงขุนนางขั้นห้า แม่สามีจึงยิ่งดูถูกนาง ไม่เคยมีสีหน้าที่ดีให้เห็น น้องสาวสามีเองก็คอยยุแยง ทำให้เจียงชิงหว่านอยู่ในบ้านสกุลชุยอย่างยากลำบากมาตลอด
หากมีเพียงเท่านี้ก็ช่างเถิด นางพึงใจในตัวชุยจี้หลิงจากใจจริง เพื่อเขาแล้วนางสามารถทนเรื่องเหล่านี้ได้ แต่คิดไม่ถึงสักนิดว่าเขาจะมีใจให้สหายสนิทที่สุดของนาง และทั้งสองยังแอบมีบุตรด้วยกัน อีกทั้งยังมอบนางให้ฮ่องเต้ชราผู้หมกมุ่นในโลกีย์ราวกับนางเป็นสิ่งของเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่มากขึ้น
วันที่เข้าวังฮ่องเต้ชราเห็นนางมีรูปโฉมงดงามก็จะให้ถวายตัวทันที นางไม่ยินยอม ระหว่างที่ขัดขืนเผลอไปข่วนหลังมือของฮ่องเต้ชราเข้า ฮ่องเต้ชราพิโรธหนัก จึงให้คนโบยนางยี่สิบไม้ จากนั้นก็ไล่ไปอยู่โรงซักล้าง
ชีวิตในโรงซักล้างย่อมยากลำบาก ฤดูหนาวแม้น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง นางก็ยังต้องซักเสื้อผ้าอาภรณ์ของบรรดาเจ้านาย มือทั้งสองเย็นเฉียบจนเป็นสีแดงเถือก ซ้ำยังเกิดเป็นแผลเปื่อย เวลาอาการกำเริบครั้งหนึ่งก็จะคันยิบๆ จนยากจะทานทน ทำเอานอนหลับไม่ลงทั้งคืน
สองปีหลังจากนั้นนางบังเอิญได้ยินคนพูดว่าหนิงอ๋องก่อกบฏ ในมือเขามีที่ปรึกษาเก่งฉกาจอยู่ผู้หนึ่ง ไม่เพียงแค่นำทัพและวางแผนการรบเท่านั้น ยังสามารถบุกตะลุยโจมตีข้าศึกได้โดยไม่เคยพ่ายแพ้ แม้แต่หนิงอ๋องยังออกปากชมว่าเขาเก่งทั้งบุ๋นบู๊ เป็นบุคคลอัศจรรย์แห่งยุค
คนผู้นั้นมีนามว่า…ชุยจี้หลิง
เจียงชิงหว่านแค่นหัวเราะเสียงเย็น
ชุยจี้หลิงเป็น ‘บุคคลอัศจรรย์แห่งยุค’ หรือไม่นั้นนางไม่รู้ แต่นางรู้ว่าเขาโหดเหี้ยมมากพอแน่นอน เพื่ออำนาจแล้ว แม้แต่ภรรยาร่วมผูกผม ยังมอบให้ผู้อื่นได้ เรื่องเช่นนี้จะมีสักกี่คนในโลกที่ทำได้กัน
ผ่านไปอีกหนึ่งปีทุกคนล้วนกำลังพูดกันว่าหนิงอ๋องเดินหน้าตีชิงเมืองได้แทบไม่เคยพลาด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าไม่นานก็จะบุกมาถึงเมืองหลวงแล้ว
จิตใจของคนในวังเริ่มระส่ำระสายขึ้นมา
ครั้นถึงวันที่ยี่สิบเก้า เดือนสิบสอง ทัพกบฏบุกเข้าวัง ท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียดเจียงชิงหว่านวิ่งออกมานอกโรงซักล้างโดยไม่ตั้งใจ
พอออกประตูมาก็มองเห็นทัพกบฏจำนวนมากกำลังเข่นฆ่าผู้คนในวัง ดวงตาของทหารแต่ละนายล้วนแดงก่ำ บนดาบที่ถืออยู่ในมือมีแต่คราบเลือดสีแดงฉาน ราวกับผีร้ายที่คลานออกมาจากนรก เห็นคนก็ลงมือสังหารทันที
ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน เจียงชิงหว่านไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่ร้องตะโกนขึ้นมา นางถึงได้รู้ว่าผู้นำทัพกบฏบุกเข้าวังคือชุยจี้หลิง
นางอึ้งงันอยู่กับที่ จากนั้นในใจพลันเกิดโทสะขึ้นมา
ในยามนั้นนางมองเห็นทหารนายหนึ่งเงื้อดาบกำลังจะฟัน ในใจนางไร้ซึ่งความหวาดกลัว นางเริ่มซอยเท้าออกวิ่งอีกครั้ง ครั้นมองไปยังทะเลสาบเบื้องหน้าก็กระโดดลงไป
วันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวจัด ซ้ำยังมีเกล็ดหิมะโปรยปราย น้ำในทะเลสาบเย็นเสียดแทงกระดูก ทำเอาทั้งร่างนางใกล้จะแข็งเต็มที
แต่นางก็มิได้ดิ้นรน เพียงปล่อยให้ร่างจมลงสู่ก้นทะเลสาบอย่างสงบนิ่ง
เจียงชิงหว่านคิดว่าการที่ตนเองยอมฆ่าตัวตายย่อมดีกว่ายอมให้ชุยจี้หลิงนำทัพกบฏเหล่านั้นมาสังหารนาง
คล้ายว่าทำเช่นนี้นางจะสามารถตัดสัมพันธ์กับคนผู้นั้นได้อีกครั้ง
เดือนสาม ฤดูใบไม้ผลิอากาศเย็น แม้กลางวันจะมีแสงแดดอบอุ่น แต่เวลาเช้าและเย็นกลับหนาวยะเยือก
ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองไท่หยวน สาวใช้นามจิ่นผิงกำลังปลอบเหยาซื่อผู้เป็นนายหญิง
พวกนางเป็นคนจากสกุลเจียงของหย่งชางป๋อ ซึ่งกำลังติดตามฮูหยินผู้เฒ่าไปเมืองหลวง เมื่อสองวันก่อนขณะที่ทุกคนหยุดพักอยู่ คุณหนูเกิดห่วงเล่นไปจับปลาข้างลำธารแล้วเผลอพลัดตกน้ำ แม้จะได้สาวใช้ที่ตามไปด้วยช่วยดึงตัวขึ้นมาทัน แต่ก็ยังได้รับความตื่นตกใจ เสื้อผ้าเปียกโชก ทำให้คืนนั้นมีไข้ขึ้นสูง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงสั่งให้ทุกคนพักอยู่ในโรงเตี๊ยม สองวันนี้คอยเชิญหมอมาตรวจอาการและต้มยาตามใบสั่งยาตลอด ทว่าคุณหนูยังคงสลบไสลมิได้ฟื้นขึ้นมา
เหยาซื่อเหลือบุตรสาวอยู่เพียงคนเดียว ย่อมจะเห็นอีกฝ่ายสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง ยามนี้มองเห็นบุตรสาวนอนไข้ขึ้น ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำอยู่บนเตียง นางก็เริ่มร่ำไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“หลายปีก่อนพี่ชายนางก็ตกน้ำเช่นนี้ ไข้ขึ้นสูงได้ไม่กี่วันก็จากไป บัดนี้หว่านวานจะเดินตามรอยพี่ชายอย่างนั้นหรือ สวรรค์! นี่จะให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร เช่นนั้นข้าเองก็จะตามนางไปด้วย พวกเราสองแม่ลูกลงไปยมโลกด้วยกันจะได้ไม่โดดเดี่ยว”
ยังพูดไม่ทันจบดีก็ได้ยินเสียงอันน่าเกรงขามเสียงหนึ่งดังมาจากนอกประตู “เจ้ากำลังพูดจาเหลวไหลอันใด ปากอัปมงคล จะแช่งหว่านเจี่ยกระนั้นรึ!”
เหยาซื่อได้ยินแล้วก็รีบลุกขึ้นจากขอบเตียงมายืนข้างๆ ก้มหน้าเอ่ยว่า “ท่านแม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอายุหกสิบกว่าปีแล้วย่อมรู้สึกหนาวง่าย ยามนี้บนตัวนางจึงสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีม่วงแก่ปักลายดอกไม้ทรงกลม ให้เถาเยี่ยผู้เป็นสาวใช้ประคองเดินเข้าห้องมานั่งลงบนขอบเตียง จากนั้นนางก็เอื้อมมือไปอังหน้าผากของเด็กสาวบนเตียง
ร้อนยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมุ่นหัวคิ้ว หันไปถามเหยาซื่อ “หว่านเจี่ยดื่มยาตามที่หมอสั่งแล้วหรือไม่”
เหยาซื่อรีบตอบ “ให้ดื่มแล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย ตอนนี้ตัวกลับร้อนหนักกว่าเดิมเสียอีก”
นางพูดไปน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาอีกครั้งอย่างสุดจะกลั้น ด้วยกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะตำหนิจึงรีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับ
“ตอนกลางคืนย่อมจะตัวร้อนกว่ากลางวันเล็กน้อย” พอมองเห็นเหยาซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ดุนางอย่างไม่ใคร่พอใจ “มิใช่ว่าข้าจะตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าช่างจิตใจบอบบางเสียจริง มีเด็กคนใดไม่ป่วยบ้าง เรียกหมอมาดู ให้กินยาสักสองสามเทียบก็ใช้ได้แล้ว ใช่เรื่องใหญ่อันใดกัน เจ้าร้องไห้แล้วช่วยทำให้หว่านเจี่ยหายป่วยได้หรือ หากเป็นโรคที่หมอบอกว่ารักษาไม่ได้จริงๆ นั่นก็เป็นชะตาของนาง ร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์”
วาจานี้กล่าวได้มีเหตุผล ทว่าออกจะไร้ความรู้สึกไปสักหน่อย เห็นได้ว่าผู้เป็นย่ามิได้รักใคร่ผูกพันกับหลานสาวผู้นี้นัก
เมื่อครู่เหยาซื่อน้ำตาไหลด้วยความปวดใจ แต่ยามนี้น้ำตาไหลเพราะความเสียใจแทน ด้วยนิสัยไม่เถียงคนของนาง รวมกับที่อีกฝ่ายเป็นแม่สามีของนาง นางจึงทำได้เพียงสะกดกลั้นความเสียใจไว้ ก่อนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมคล้อยตาม “ท่านแม่สั่งสอนได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพยักหน้า จากนั้นก็หันหน้าไปมองจิ่นผิง สีหน้าเยียบเย็นลง “เจ้าปรนนิบัติคุณหนูอย่างไร บอกให้พาคุณหนูไปผ่อนคลายอารมณ์ ไฉนจึงปล่อยให้นางตกน้ำได้”
จิ่นผิงโอดครวญในใจ รีบคุกเข่าลงอธิบาย “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านก็ทราบนี่เจ้าคะว่าคุณหนูของพวกเราชอบเล่นสนุก วันนั้นบ่าวพาคุณหนูไปผ่อนคลายอารมณ์ตามคำสั่ง นางก็วิ่งฉิวนำอยู่ข้างหน้า บ่าวไล่ตามไม่ทัน ครั้นบ่าวตามไปทัน คุณหนูก็ยืนอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่งข้างลำธารแล้ว บอกว่าจะจับปลา บ่าวจะไปดึงตัวนางกลับมา แต่ก้อนหินลื่น อีกทั้งคุณหนูก็สวมรองเท้าปักลาย บ่าวยังไม่ทันวิ่งไปถึงตัว คุณหนูก็พลัดตกน้ำแล้ว…”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ตะคอกปรามนางด้วยความโมโห “เจ้ายังกล้าเถียง?!”
เสียงของจิ่นผิงเบาลงทันควัน ฟุบตัวลงแนบหน้าผากกับพื้น “บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นคนแข็งกร้าว ไม่ชอบให้ใครโต้เถียง ไฉนเมื่อครู่นี้นางถึงร้อนใจจนลืมเรื่องนี้ไปเสียได้
ทว่าในใจจิ่นผิงยังคงรู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง
นายท่านกับเมิ่งอี๋เหนียง* มีชีวิตสุขสบายในเมืองหลวง มีบ่าวไพร่รับใช้ล้อมหน้าล้อมหลัง ที่ผ่านมาเรียกให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไปอยู่ด้วยหลายต่อหลายครั้ง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกลับบอกว่าอาศัยอยู่กานโจวจนชินแล้ว ไม่ยอมไปเมืองหลวง ซ้ำยังอยากให้นายหญิงกับคุณหนูอยู่เป็นเพื่อนนางที่กานโจวด้วย บอกว่าเป็นการแสดงความกตัญญูแทนนายท่าน หากมิใช่เมื่อสองเดือนก่อนองค์ชายพระองค์หนึ่งในราชวงศ์ก่อนไปพัวพันกับกลุ่มขุนนางทรยศเข้า ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นห่วงว่ากานโจวจะไม่ปลอดภัย อาจเกิดจลาจลขึ้น ก็คงจะไม่พานายหญิงกับคุณหนูเดินทางเข้าเมืองหลวงด้วยกันเช่นนี้
กานโจวย่อมจะสู้เมืองหลวงไม่ได้ สาวใช้ในเรือนมีทั้งหมดเพียงสองคนคือเถาเยี่ยกับนาง เถาเยี่ยปรนนิบัติแค่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียง แต่นางต้องปรนนิบัติทั้งนายหญิงและคุณหนู มิหนำซ้ำคุณหนูยังมีนิสัยซุกซน ไม่เชื่อฟังคำผู้ใด นางเองก็ลำบากไม่น้อย
ครั้นจิ่นผิงคิดว่าพอถึงเมืองหลวงแล้ว คุณหนูซึ่งมีฐานะเป็นถึงบุตรสาวสายตรงคนเดียวของนายท่านจะต้องมีสาวใช้ข้างกายเพิ่มมาแน่นอน ถึงเวลานั้นก็จะมีคนช่วยปลดเปลื้องภาระงานอันลำบากตรากตรำของนางลงได้ ในใจจิ่นผิงก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง
ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเจียงย่อมกระจ่างแจ้งดีว่าหลานสาวของตนมีความประพฤติเช่นไร นางชอบเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ไม่ชอบเด็กที่ซุกซน คิดว่าในใจเจียงชิงหว่านคงรู้ดี ดังนั้นจึงมิได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้เป็นย่าสักเท่าไร
กับผู้เป็นมารดาเองก็มิได้ใกล้ชิดสนิทสนมเช่นกัน ด้วยรังเกียจว่ามารดาเอะอะก็เอาแต่ร้องไห้ ซ้ำยังเอาแต่ตัดพ้อต่อว่าบิดาประหนึ่งเป็นหญิงร้างสามี เจียงชิงหว่านหนังสือไม่อ่าน งานฝีมือก็ไม่เรียน วันๆ เอาแต่ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกราวกับเด็กเร่ร่อน ไหนเลยจะเหมือนคุณหนูจากตระกูลใหญ่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ความกังวลเล็กๆ เมื่อครู่ของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็หายไปหมดสิ้นในทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเด็กสาวบนเตียงปราดหนึ่ง เห็นสองตาหลานสาวยังหลับสนิทก็ใช้มือยันขอบเตียงลุกขึ้นยืน เถาเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็รีบมาประคองนาง
“เจ้าเฝ้าหว่านเจี่ยให้ดี หากนางฟื้นแล้วก็ให้คนมาบอกข้า” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงสั่งเหยาซื่อ
เหยาซื่อตอบรับ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาซื่อเดินมาส่งฮูหยินผู้เฒ่าเจียงออกนอกประตูพร้อมกับจิ่นผิง เห็นอีกฝ่ายเข้าห้องใหญ่ที่อยู่ด้านข้างไปแล้วนางถึงได้หมุนตัวเดินกลับเข้าข้างใน
ชั่วขณะนั้นก็มองเห็นเด็กสาวบนเตียงฟื้นขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร นัยน์ตาสีดำขลับทั้งสองข้างกำลังมองนางอย่างสงบนิ่ง
บทที่ 2 หัวอกเดียวกัน
อันที่จริงขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงใช้มืออังหน้าผาก เจียงชิงหว่านก็ฟื้นแล้ว
คนสูงอายุเดิมทีก็มือเท้าเย็นเฉียบ อีกทั้งตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่อากาศยังพอหนาวเย็น เจียงชิงหว่านรู้สึกว่าจู่ๆ ก็มีของที่เย็นยะเยือกแนบลงมา นางจึงสะดุ้งแล้วฟื้นตื่นขึ้น
ทว่านางก็มิได้ลืมตา เพียงแต่ฟังคนเหล่านี้คุยกัน ในสมองสับสนยุ่งเหยิงไปหมด
นางไม่รู้ว่านี่มันคือเรื่องใด นางจำได้ชัดเจนว่าเวลานั้นตนเองกระโดดลงทะเลสาบ น้ำเย็นเสียดกระดูกอัดเข้ามาในหู จมูก ปากไม่หยุด นางต้องตายแล้วแน่นอน แต่ตอนนี้นางกลับได้ยินคนกำลังพูดคุยกัน มิหนำซ้ำพอนางลืมตาก็มองเห็นสตรีนางหนึ่งโผมาเรียกนางว่า ‘หว่านวาน’ อย่างตื่นเต้นดีใจ สาวใช้ข้างกายอีกฝ่ายก็เรียกนางว่า ‘คุณหนู’ ตลอดเช่นกัน
สตรีผู้นี้เป็นใคร และฮูหยินผู้เฒ่าคนเมื่อครู่เป็นผู้ใดกัน…
เจียงชิงหว่านต้องใช้เวลาทั้งวันถึงจะพอทำความเข้าใจได้
เวลานั้นนางตายไปแล้วมิผิดแน่ แต่ยามนี้นางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ชื่อเสียงเรียงนามยังคงเป็นเจียงชิงหว่าน ทว่าฐานะในยามนี้ของนางคือบุตรสาวสายตรงของหย่งชางป๋อเจียงเทียนโย่วที่อายุสี่สิบปี นางกำลังติดตามท่านย่าและมารดาเดินทางจากกานโจวไปเมืองหลวง
ซ้ำเจียงชิงหว่านยังรู้อีกว่ายามนี้ผ่านตอนที่นางกระโดดทะเลสาบมาได้หกปีแล้ว ในอดีตเจียงเทียนโย่วเป็นทหารที่ติดตามหนิงอ๋องก่อกบฏ เพราะความกล้าหาญในการศึก ทั้งยังเคยช่วยชีวิตหนิงอ๋องในสนามรบ เมื่อหนิงอ๋องได้ครองบัลลังก์จึงมอบบรรดาศักดิ์หย่งชางป๋อให้แก่เขา บัดนี้เขาเป็นขุนนางขั้นสี่หลัก มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการกองกำลังรักษาเมืองหลวง นับได้ว่าเป็นบุคคลตำแหน่งสูงในราชสำนัก
เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านมาหกปีแล้ว หนำซ้ำนางยังมีฐานะใหม่อีกด้วย
เจียงชิงหว่านไม่รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางควรรู้สึกเช่นไร หรือนี่จะเป็นเพราะสวรรค์เห็นชาติก่อนนางมีชีวิตน่าสงสาร ถึงได้ให้นางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
มองดูรูปโฉมของเด็กสาวในคันฉ่องสำริด ตาเรียวคิ้วโก่ง แม้ผิวพรรณคล้ำไปสักหน่อย แต่องคาพยพล้วนวิจิตรบรรจง คิดว่าพอโตขึ้นรูปโฉมคงไม่แย่แน่นอน
เจียงชิงหว่านยิ้มน้อยๆ
นี่นับว่าได้มาเกิดใหม่แล้ว
จิ่นผิงกำลังใช้ถาดกลมสีแดงใบเล็กยกชามยาเข้ามาในห้อง เห็นเจียงชิงหว่านถือบานคันฉ่องสำริดนั่งส่องอยู่บนเก้าอี้ก็รีบเดินมากล่าวว่า “คุณหนู อาการป่วยยังไม่หายดี เหตุใดถึงลุกขึ้นมาเล่าเจ้าคะ”
นางวางถาดกลมในมือลง ก่อนประคองเจียงชิงหว่านไปที่เตียงโดยไม่ยอมให้คัดค้าน ให้อีกฝ่ายเอนร่างพิงหัวเตียงแล้วค่อยหันไปหยิบชามยาที่วางอยู่บนโต๊ะ
ยาน้ำสีดำปี๋ ยังไม่ทันดื่มก็ได้กลิ่นขมก่อนแล้ว
เจียงชิงหว่านขมวดคิ้ว นางเป็นคนกลัวขม ที่ผ่านมาเวลาไม่สบายแล้วต้องกินยา ชุยจี้หลิงจะคิดหาวิธีมาหลอกล่อนางเสมอ ทั้งยังซื้อผลไม้แช่อิ่มของร้านต้าซิงกลับมาให้นางกินด้วย แม่สามีเห็นเข้าก็จะไม่พอใจยิ่ง บอกว่านางอ่อนแอเปราะบางเกินไป
ยามนี้เขาคงไม่มาหลอกล่อข้าเช่นนั้นอีก น่าจะเปลี่ยนไปหลอกล่อซุนอิ้งเซวียนแทนแล้วกระมัง
ในใจเจียงชิงหว่านพลันปวดหนึบ นางยื่นมือไปหยิบชามยามาจากมือจิ่นผิง ก่อนดื่มจนเกลี้ยงในไม่กี่อึกโดยไม่ใช้ช้อน
คนเราก็เป็นเช่นนี้ ผ่านความตายมาหนหนึ่งก็อยากจะมีชีวิตที่ดี เช่นนั้นยานี้จำต้องกิน
จิ่นผิงยืนมองอย่างตกตะลึงพรึงเพริดอยู่ด้านข้าง
เดิมทีการทำให้คุณหนูกินยาเป็นเรื่องยากลำบากยิ่ง นางเตรียมใจมาแล้วว่ายาชามนี้อาจจะต้องใช้เวลาป้อนถึงครึ่งชั่วยามแต่คิดไม่ถึงว่าคุณหนูจะหยิบชามยาขึ้นดื่มรวดเดียวจนเกลี้ยง
จนกระทั่งเจียงชิงหว่านยื่นมือส่งชามเปล่ามาให้ จิ่นผิงถึงเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน รีบรับชามมาวางบนถาด ก่อนจะหยิบผลไม้แช่อิ่มกระปุกเล็กมาพลางกล่าวว่า “คุณหนู นี่เป็นผลไม้แช่อิ่มที่นายหญิงเพิ่งสั่งให้คนไปซื้อมา รสชาติหวานๆ เปรี้ยวๆ อร่อยยิ่งนัก ท่านเพิ่งกินยาเสร็จ อมไว้ในปากสักลูกก็จะหายขมแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงชิงหว่านมองปราดหนึ่ง เห็นว่าในกระปุกเล็กเป็นบ๊วยเชื่อม ด้านบนยังมีเกล็ดน้ำตาลสีขาวติดอยู่
ทว่า…นางไม่อยากกินผลไม้แช่อิ่มอีกแล้ว จึงโบกมือ “ข้าไม่กิน”
เจียงชิงหว่านพูดพลางนอนลงแล้วห่มผ้า หลับตาเตรียมพักผ่อนสักครู่หนึ่ง
แม้ว่าตอนนี้ไข้นางจะลดแล้ว แต่ยังคงเวียนหัวอยู่ มือเท้านางก็อ่อนเปลี้ย ทั้งตัวคนไร้ซึ่งกำลังวังชา ยังต้องพักผ่อนให้มากหน่อย
จิ่นผิงเห็นเจียงชิงหว่านนอนแล้วก็ยกถาดที่มีชามเปล่าวางอยู่ถอยออกไปอย่างเบามือเบาเท้า
พอออกประตูมาก็เจอเถาเยี่ยเอ่ยถามนางว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าให้ข้ามาถามว่ายามนี้คุณหนูเป็นอย่างไรแล้ว”
โรงเตี๊ยมดีเพียงไรก็ไม่สบายเท่าที่จวน ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอยากจะรีบเดินทางต่อแล้ว
จิ่นผิงจึงตอบว่า “คุณหนูไข้ลดแล้ว แต่ยังดูไม่มีกำลังวังชา ข้าเห็นคุณหนูไม่อยากแม้แต่จะพูดด้วยซ้ำ เจ้าก็กลับไปเรียนฮูหยินผู้เฒ่าทีว่าหากเป็นไปได้ก็พักอยู่ที่นี่อีกสักสองวัน รอคุณหนูหายดีค่อยออกเดินทางต่อเถิด”
เสียงเบาๆ ลอดผ่านประตูฉลุลายเข้ามา เจียงชิงหว่านได้ยินไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นเรื่องใด
เจียงชิงหว่านนึกถึงคำพูดที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพูดกับเหยาซื่อตอนที่นางเพิ่งตื่นขึ้นมาได้ ในใจก็ครุ่นคิดว่า…เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ชอบหลานสาวผู้นี้สักเท่าไร ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ไม่ชอบ ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ในครอบครัว หากวันหน้าอยากจะมีชีวิตที่ดีในสกุลเจียง ก็ไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายระอาใจได้
ทางหนึ่งเจียงชิงหว่านครุ่นคิด อีกทางก็เคลิ้มหลับไป…
ยามเจียงชิงหว่านตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ยินเสียงเหยาซื่อพูดเบาๆ “เสื้อผ้าที่คุณหนูจะใส่วันพรุ่งนี้เจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่ นางยังไม่หายป่วยดี หยิบเสื้อคลุมมาให้นางคลุมด้วยเถอะ อีกอย่างยาที่หมอจ่ายให้เหล่านั้นต้องนำไปด้วยทั้งหมด หม้อต้มยาก็ด้วย ระหว่างทางยังต้องต้มให้นางกินอีก”
จิ่นผิงรับคำ มองเห็นเจียงชิงหว่านตื่นแล้วก็กล่าวกับเหยาซื่อด้วยความดีใจ “นายหญิง คุณหนูตื่นแล้วเจ้าค่ะ”
เดิมทีเหยาซื่อกำลังหันหลังให้เจียงชิงหว่าน พอได้ยินเช่นนั้นก็รีบหันร่างกลับมา ก้าวไม่กี่ก้าวไปนั่งลงริมเตียง เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า “หว่านวาน เจ้าตื่นแล้ว?”
เจียงชิงหว่านมองเหยาซื่ออย่างอึ้งงัน
เหยาซื่อสวมเสื้อผ่าหน้าสีม่วงอมน้ำเงินปักลายดอกสุ่ยเซียน ตรงคอเสื้อ บนศีรษะปักปิ่นเงินที่ดูเรียบง่ายยิ่งไว้เพียงอันเดียว ลักษณะท่าทางดูเรียบร้อยอ่อนโยนอย่างมาก
มารดาในชาติก่อนของเจียงชิงหว่านก็เป็นคนที่เรียบร้อยอ่อนโยนเช่นนี้ นางยังคงจำความอุ่นของฝ่ามือมารดาและท่าทางอ่อนโยนยามเรียกนางว่า ‘หว่านวาน’ ได้ แต่เมื่อมารดาสิ้นใจไปเพียงไม่นาน บิดาก็แต่งงานใหม่ นอกจากนางแล้วก็ดูเหมือนจะไม่มีใครจดจำมารดาได้อีก
เหยาซื่อเห็นเจียงชิงหว่านไม่พูดอะไร เอาแต่มองมาอย่างเหม่อลอย ในดวงตาก็มีประกายน้ำอยู่รางๆ ในใจนางพลันนึกเป็นห่วง จึงลูบแก้มของเจียงชิงหว่านอย่างอดไม่ได้ “ไฉนเด็กคนนี้จึงไม่พูดอันใดเล่า ใช่ไข้ขึ้นจนเลอะเลือนไปแล้วหรือไม่”
ฝ่ามือของเหยาซื่อก็อุ่นมากเช่นกัน เจียงชิงหว่านอ้าปากคิดจะเรียกอีกฝ่าย ทว่าสุดท้ายยังคงมิได้เรียกออกมา
ร่างกายนางในตอนนี้คือบุตรสาวของเหยาซื่อ ตามหลักเหตุผลนางควรเรียกเหยาซื่อว่า ‘ท่านแม่’ แต่ด้านจิตใจนางยังคงเรียกคำนั้นไม่ออก
จิ่นผิงเห็นเหยาซื่อมีสีหน้าเป็นกังวลก็รีบปลอบใจ “นายหญิง คุณหนูสบายดียิ่ง จะไข้ขึ้นจนเลอะเลือนได้อย่างไรเจ้าคะ ตอนบ่ายที่บ่าวยกยาเข้ามา คุณหนูดื่มโดยไม่ต้องให้บ่าวป้อนสักนิด ถึงกับหยิบชามยาไปดื่มเองจนเกลี้ยง ดูท่าจะหายดีแล้ว คุณหนูเพียงไม่ค่อยพูดเท่านั้น”
“เฮ้อ” เหยาซื่อถอนหายใจก่อนกล่าวเสียงเบา “เมื่อก่อนหว่านวานเป็นเด็กที่แข็งแรงร่าเริงยิ่ง นี่ล้มป่วยได้ไม่กี่วันคางก็ดูแหลมขึ้นแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็เหลือเกิน ข้าเพิ่งจะไปที่ห้องเพื่อขอร้องนางให้พักอยู่ที่นี่อีกสักสองวัน รอหว่านวานหายดีแล้วค่อยเดินทางต่อ นางกลับจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ให้ได้ นี่นางจะรีบไปเมืองหลวงเพื่อดูหลานชายหรือ ไม่ว่าอย่างไรนางก็เห็นหว่านวานมาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อก่อนไม่เห็นฮูหยินผู้เฒ่าจะเคยมองหลานชายผู้นั้นของนางสักแวบเดียว ตอนนี้กลับมีค่าเพียงนี้เชียว?” นางเศร้าใจขึ้นมาอีก “ถ้าหากผิงเกอยังมีชีวิตอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่ามีหรือจะเป็นเยี่ยงนี้”
บุตรชายคนโตของเหยาซื่อมีนามว่า ‘เจียงฉางผิง’ เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ต่อมาภายหลังเขาตกน้ำ แม้ช่วยขึ้นมาได้ก็ยังไข้ขึ้นจนล้มป่วยสิ้นใจไป นี่เป็นความเจ็บปวดในใจเหยาซื่อตลอดมา ด้วยเหตุนี้เองนางจึงไม่ชอบเมิ่งอี๋เหนียง และในใจก็โกรธแค้นเจียงเทียนโย่วด้วยเช่นกัน
จิ่นผิงเอ่ยเตือนเหยาซื่อเสียงเบา “นายหญิง ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ห้องติดกัน ระวังกำแพงมีหูนะเจ้าคะ”
เหยาซื่อรีบหยุดพูด เพียงยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาบนหน้า แต่ครั้นเงยหน้ามาเห็นเจียงชิงหว่านยังมองมา นางก็รีบพูดยิ้มๆ “ดูแม่สิ พูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าเจ้าอีกแล้ว แม่รู้ว่าเจ้าไม่ชอบฟังแม่บ่นเรื่องพวกนี้ ต่อไปแม่จะไม่บ่นต่อหน้าเจ้าอีก”
ดูท่าทางเมื่อก่อนเหยาซื่อคงจะพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าบุตรสาวไม่น้อย วันหน้าเกรงว่าจะยังต้องพูดอีกเป็นแน่แท้
ถึงอย่างนั้นเจียงชิงหว่านก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเหยาซื่อขึ้นมา เพราะนางก็เคยเป็นสะใภ้มาก่อน รู้ว่าถ้าแม่สามีไม่ชอบขึ้นมา ไม่ว่าทำสิ่งใดก็จะผิดในสายตาอีกฝ่ายเสมอ โดยเฉพาะเรื่องทายาทสืบสกุล
เมื่อก่อนนายหญิงชุยก็ตำหนินางเป็นประจำว่าแต่งงานกับชุยจี้หลิงได้สามปีแล้วก็ยังไม่มีบุตร คอยจัดแจงจะหาอนุให้ชุยจี้หลิงอยู่ตลอด แต่ก็ล้วนถูกเขาปฏิเสธ ยามนั้นนางยังคิดอย่างไร้เดียงสาว่าชุยจี้หลิงจริงใจต่อนาง รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่เขาไม่รับอนุ ย่อมคิดไม่ถึงว่าเขาจะไปมีสัมพันธ์ชู้สาวกับสหายสนิทของนาง ซ้ำยังมีบุตรอย่างลับๆ อีกด้วย
ตามเวลาที่คำนวณ ตอนนี้บุตรของพวกเขาสองคนน่าจะอายุได้เกือบเก้าขวบแล้วกระมัง อันที่จริงเวลานั้นนางก็ตั้งครรภ์เช่นกัน เพียงแต่รู้ตัวช้าเกินไป อีกทั้งภายหลังยังเกิดเรื่องเช่นนั้นอีก จึงรักษาลูกไว้ไม่ได้…
คิดถึงเรื่องเหล่านี้เจียงชิงหว่านก็รู้สึกทรมานใจยิ่ง และยิ่งเข้าใจความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรชายของเหยาซื่อมากขึ้นกว่าเดิม นางจึงยื่นมือไปจับมือเหยาซื่อ เพียงแต่กุมไว้เบาๆ โดยไม่พูดอะไร
เหยาซื่อกลับรู้สึกตกใจยิ่ง
บุตรสาวผู้นี้มักจะรังเกียจนาง น้อยนักที่จะใกล้ชิดสนิทสนมกับนางเช่นนี้ ทว่ายามนี้ถึงกับเป็นฝ่ายมาจับมือนางไว้เอง
เหยาซื่ออดไม่ได้ที่จะสะอื้นไห้ขึ้นมาด้วยอารามดีใจเป็นล้นพ้น ในดวงตาปรากฏประกายน้ำ “หว่านวาน นี่เจ้า…นี่เจ้ากำลังปลอบแม่หรือ”
เจียงชิงหว่านถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง
เหยาซื่อผู้นี้มีนิสัยปวกเปียก ทั้งยังเจ้าน้ำตายิ่ง ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “วันพรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทาง ท่านกลับไปพักผ่อนเร็วหน่อยเถิด”
เมื่อครู่เจียงชิงหว่านได้ยินเสียงตีกลองบอกเวลายามสาม ดังมาจากบนหอกำแพงเมืองที่ด้านนอก อีกทั้งหลายวันมานี้เหยาซื่อก็ทุ่มเทใจดูแลนางโดยตลอด แม้ตอนบ่ายจะพักผ่อนไปครู่หนึ่ง แต่ตอนนี้ดวงตาก็ยังดูเรื่อแดง
เหยาซื่อพยักหน้า น้ำตากลับยิ่งไหลหนักกว่าเดิม จึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “แม่รู้แล้ว จะกลับไปพักเดี๋ยวนี้เลย เจ้าเองก็รีบนอนเร็วหน่อย หลังจากนี้ยังต้องเดินทางอีกไกล เจ้าต้องรีบหายดี”
จากนั้นก็กำชับให้จิ่นผิงดูแลคุณหนูให้ดี แล้วหันหลังเดินออกประตูไป
เจียงชิงหว่านมองเหยาซื่อเดินออกนอกประตูแล้วก็พลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าด้านใน คิดเรื่องในใจไปเงียบๆ ทว่าคนที่เพิ่งป่วยหนักมักรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนเพลียง่ายอยู่แล้ว เพียงครุ่นคิดได้ไม่นานนางก็เคลิ้มหลับไปอีกครั้ง
บทที่ 3 พบโจรระหว่างเดินทาง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจิ่นผิงก็แหวกมุ้งสีครามเรียกให้เจียงชิงหว่านตื่นนอน
ตอนนี้เป็นเวลาราวยามเหม่าท้องฟ้าด้านนอกยังไม่สว่างนัก
เมื่อวานจิ่นผิงปูที่นอนนอนกับพื้นในห้อง ยามนี้ผ้าห่ม ฟูกที่นอน และหมอนของนางล้วนถูกพับวางไว้ด้านข้างอย่างเรียบร้อยแล้ว อีกประเดี๋ยวจะนำไปไว้ในรถม้า
ยามที่เจียงชิงหว่านตื่นขึ้นมายังงงงันอยู่บ้าง นางไม่แน่ใจไปชั่วขณะหนึ่งว่าตนเองเป็นใครกันแน่
จวบจนจิ่นผิงหยิบเสื้อผ้ามาสวมให้นาง แล้วเรียกนางไปนั่งบนเก้าอี้เพื่อจะหวีผมให้ ครั้นมองเห็นใบหน้าของเด็กสาวในคันฉ่อง นางถึงค่อยได้สติกลับมา
จิ่นผิงเกล้าผมเป็นทรงแกละห่วงคู่ให้เจียงชิงหว่าน ขณะเปิดกล่องจะเลือกเครื่องประดับให้นางประดับในวันนี้ เหยาซื่อก็ผลักประตูเดินเข้ามา
จิ่นผิงยอบตัวคารวะเหยาซื่อก่อนกล่าวทักทาย เหยาซื่อพยักหน้าให้นางแล้วสั่งว่า “เจ้าไปเก็บเครื่องนอนของคุณหนูให้เรียบร้อยแล้วนำไปไว้ในรถม้า”
แม้เหยาซื่อจะมีชาติกำเนิดไม่สูงส่ง ไม่จุกจิกกับเรื่องเล็กน้อย แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่เหมือนกัน เนื่องจากอีกฝ่ายเคยอยู่ในตระกูลใหญ่จึงพิถีพิถันกับหลายเรื่อง การออกเดินทางไกลก็ต้องพกเครื่องนอนของตนเองมาด้วย ไม่ใช้ของจากโรงเตี๊ยมด้วยรังเกียจว่าไม่สะอาด
จิ่นผิงรับคำ เดินไปที่เตียงเพื่อพับเครื่องนอนของเจียงชิงหว่าน จากนั้นก็อุ้มลงไปชั้นล่าง รถม้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว กำลังจอดรออยู่ด้านนอก
เจียงชิงหว่านกำลังมองกล่องเครื่องประดับสี่เหลี่ยมผืนผ้าทาสีแดงรูปแบบเรียบง่ายที่เปิดอยู่เบื้องหน้า ข้างในมีเครื่องประดับเงินสองสามชิ้นและดอกไม้ไหมสองสามดอก
สำหรับบุตรสาวสายตรงคนหนึ่งของจวนป๋อ เครื่องประดับเหล่านี้นับว่าซอมซ่อมากจริงๆ ชาติก่อนตอนที่นางเป็นคุณหนูมีกล่องเครื่องประดับขนาดใหญ่ถึงเจ็ดแปดกล่อง ทอง เงิน หยก โมรา มีเครื่องประดับแบบใดบ้างที่ไม่มี หลังจากแต่งงานกับชุยจี้หลิง แม้สกุลชุยจะอัตคัดขัดสน แต่ชุยจี้หลิงก็ซื้อเครื่องประดับให้นางหลายชิ้น ล้วนดีกว่าของตรงหน้าเหล่านี้
เวลานี้เองเหยาซื่อก็เดินมายื่นมือหยิบปิ่นผีเสื้ออันหนึ่งจากในกล่องมาทาบดูกับมวยผมเจียงชิงหว่าน รู้สึกว่าไม่เหมาะนักจึงวางกลับลงไป แล้วหยิบปิ่นมุกอีกอันขึ้นมาแทน
ปิ่นมุกอันนี้คาดว่ามีอายุพอสมควรแล้ว เนื่องจากผิวออกเป็นสีเหลืองอยู่บ้าง เหยาซื่อจึงถอนหายใจพูดเสียงเบา “บอกไปผู้อื่นคงไม่เชื่อ จะดีชั่วบิดาเจ้าก็เป็นถึงป๋อ บุตรสาวสายตรงเพียงคนเดียวถึงกับไม่มีเครื่องประดับดีๆ สักชิ้น ที่ผ่านมาเขาก็ให้คนนำเงินกลับมาให้ที่บ้านใช้ แต่ล้วนถูกท่านย่าของเจ้าเก็บไปหมด แม่เองก็ไม่รู้ว่ามีเท่าไรกันแน่ เพราะไม่เคยมีตกมาถึงมือแม่แม้สักนิด ท่านย่าเจ้าก็เหลือเกิน ไม่ยอมให้เจ้า…”
ประตูห้องเปิดอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพักอยู่ห้องติดกัน ถ้าหากถูกนางหรือเถาเยี่ยได้ยินเข้าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
เจียงชิงหว่านจึงตัดบทอีกฝ่าย “ท่านแม่ ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเหล่านี้หรอกเจ้าค่ะ”
ครั้นคำพูดหลุดออกจากปาก ตนเองก็ตะลึงไปอยู่บ้าง
เมื่อครู่นางเผลอเรียกเหยาซื่อว่า ‘ท่านแม่’ …
เหยาซื่อไม่ได้มีท่าทางประหลาดใจนัก เพราะต่อให้เมื่อก่อนเจียงชิงหว่านจะไม่อยากใกล้ชิดสนิทสนมกับมารดามากเพียงไร อย่างไรก็ยังต้องเรียกว่า ‘ท่านแม่’
“ที่แล้วมาเป็นเจ้าซุกซนเกินไป หนังสือไม่ยอมอ่าน งานฝีมือก็ไม่ยอมเรียน ปีนต้นไม้แหย่รังนกกับพวกเด็กในหมู่บ้านทั้งวัน ถึงขั้นลงแม่น้ำจับปลา มีตรงที่ใดเหมือนเด็กหญิงบ้าง ท่านย่าเจ้าไม่ชอบเจ้าก็เพราะเหตุเหล่านี้ ตอนนี้พวกเราต้องไปเมืองหลวง จะไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ต่อไปเจ้าต้องลดละนิสัยของตนเองลง เชื่อฟังท่านย่าของเจ้าให้ดี เช่นนี้ท่านย่าถึงจะชอบเจ้า”
แม้เหยาซื่อจะมีนิสัยอ่อนแอปวกเปียก แต่ก็รู้ดีแก่ใจว่าหลายปีมานี้เจียงเทียนโย่วได้พบเจียงชิงหว่านเพียงไม่กี่ครั้ง ในใจจะมีความผูกพันต่อบุตรสาวคนนี้ได้ลึกซึ้งสักเท่าไรเชียว บุตรสองคนของเมิ่งอี๋เหนียงต่างหากที่เป็นบุตรที่เติบโตมาข้างกายเขา อีกทั้งตัวนางเองก็เป็นคนไม่เอาไหน หากเจียงชิงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอีก ครั้นไปถึงเมืองหลวงแล้วจะต้องมีชีวิตที่ไม่ดีแน่นอน
เจียงชิงหว่านเองก็เข้าใจความหมายของเหยาซื่อ จึงพยักหน้า “ท่านแม่ ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ”
พอเรียก ‘ท่านแม่’ ออกมาได้หนหนึ่ง ภายหลังก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยากเพียงนั้นแล้ว มิหนำซ้ำนางก็คิดว่าเจียงชิงหว่านในอดีตผู้นั้นได้ตายไปแล้ว ตอนนี้นางก็คือบุตรสาวของเหยาซื่อ
เช่นนี้ก็สามารถไม่ไปสนใจเรื่องของ ‘คนผู้นั้น’ ได้แล้ว
“เช่นนี้แม่ก็วางใจ”
เหยาซื่อพยักหน้าด้วยความปลาบปลื้ม เลือกดอกไม้ไหมสีชมพูสองดอกจากในกล่องออกมาประดับบนมวยผมบุตรสาว
คนทั้งสองเดินออกจากห้องก่อนเข้าไปในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าเจียง เถาเยี่ยเพิ่งจะเกล้าผมให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเสร็จ ตอนนี้กำลังหยิบปิ่นค้างคาวฝังอัญมณีอันหนึ่งปักผมให้นาง
เหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านยอบตัวคารวะก่อนกล่าวทักทาย ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหันมามองเจียงชิงหว่าน เห็นว่าแม้บนหน้านางจะไม่มีสีเลือด แต่ดูกระปรี้กระเปร่ามีกำลังวังชากว่าเมื่อวาน จึงถามนางว่า “วันนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไร ยังไม่สบายอยู่หรือไม่”
เจียงชิงหว่านเข้าใจดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงตัดสินใจแล้วว่าจะออกเดินทางวันนี้ มิเช่นนั้นคงไม่ให้พวกตนตื่นเช้าถึงเพียงนี้ หากยามนี้ตอบไปว่าตนเองไม่สบาย ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ไม่มีทางพักที่นี่ต่อเพื่อตนแน่ กลับจะยังรังเกียจว่าตนดูสถานการณ์ไม่ออก ทำให้นางต้องลำบาก ได้ชื่อว่าปฏิบัติกับหลานสาวไม่ดี
ด้วยเหตุนี้เจียงชิงหว่านจึงตอบว่า “ขอบคุณท่านย่าที่เป็นห่วง ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อก่อนไม่เคยเห็นนางพูดจาน่ารักว่าง่ายโอนอ่อนคล้อยตามเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงรู้สึกแปลกใจ จึงมิวายต้องมองเจียงชิงหว่านนานขึ้นอีกอึดใจ
ป่วยอยู่หลายวันจนร่างกายผ่ายผอมลงไม่น้อย คางก็แหลมแล้ว ทว่าคิ้วและตายังคงเหมือนเดิม ตรงแก้มขวาใกล้กับหูมีไฝดำเล็กๆ เท่าครึ่งเมล็ดงา ไม่สังเกตก็มองไม่ออก
รูปโฉมยังคงเดิม นิสัยกลับดูจะนิ่งเงียบขึ้นไม่น้อย ซึ่งฮูหยินผู้เฒ่าเจียงชอบเด็กที่นิ่งเงียบเรียบร้อยอยู่แล้ว นางจึงพูดยิ้มๆ “เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยมีเวลาที่พูดกับข้าเช่นนี้ พอล้มป่วยก็ดูจะนิ่งเงียบขึ้นมาก”
แม้ว่าไม่กี่วันที่ผ่านมาเจียงชิงหว่านเพิ่งจะพบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ไม่กี่ครั้ง ทั้งยังมิได้คุยอะไรกันมาก แต่นางก็มองออกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นคนแข็งกร้าว และคนแข็งกร้าวส่วนมากล้วนชอบเด็กที่ว่านอนสอนง่าย คิดว่าเจียงชิงหว่านในอดีตคงจะซุกซนเกินไป ถึงได้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้อาวุโส
“ข้าป่วยหนักคราวนี้ได้เดินเฉียดประตูยมโลก ในใจคิดตกได้หลายเรื่อง ที่ผ่านมาเป็นข้าไม่รู้ความ ทำให้ท่านย่ากับท่านแม่ต้องกลัดกลุ้มใจ ต่อไปข้าจะปรับปรุงตัวเสียใหม่ ไม่ว่าเรื่องใดก็จะล้วนเชื่อฟังท่านย่าเจ้าค่ะ”
ชาติก่อนหลังนางได้ประสบเรื่องเหล่านั้นมา ไม่ว่าอย่างไรก็ทำตัวให้สดใสร่าเริงเหมือนเสี่ยวชิงหว่านเมื่อก่อนไม่ได้อีก ดังนั้นจึงถือโอกาสอ้างเรื่องล้มป่วยบอกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเช่นนี้ เพื่อทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคิดว่านางเปลี่ยนนิสัยไปแล้วจะดีกว่า ซ้ำยังสามารถทำให้อีกฝ่ายชื่นชอบได้ด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ยินก็ยินดีตามคาด พยักหน้ากล่าวยิ้มๆ “หากเจ้าคิดได้เช่นนี้จริงๆ โทษที่เจ้าได้รับในหลายวันนี้ก็นับว่ามิได้เสียเปล่า” นางชะงักเล็กน้อยก่อนกล่าวอีกว่า “รอไปถึงเมืองหลวงแล้วย่าจะให้บิดาเจ้าเชิญคนมาสอนหนังสือและงานฝีมือให้ เจ้าจงตั้งใจเรียน วันหน้าย่าจะหาสามีที่ดีให้เจ้าแน่นอน”
เมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเคยพูดกับเจียงชิงหว่านด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตรเยี่ยงนี้เสียที่ใด ส่วนใหญ่มีแต่ดุว่านางไม่รู้จักหาความก้าวหน้า ไม่มีระเบียบ แต่ตอนนี้ถึงกับบอกว่าวันหน้าจะหาสามีที่ดีให้นาง…
ในใจเหยาซื่อยินดีเป็นอย่างมาก รีบบอกให้เจียงชิงหว่านขอบคุณท่านย่า ส่วนตนเองก็เอ่ยปากขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าเจียงตามหลังด้วยเช่นกัน ซ้ำยังเดินไปรับปิ่นในมือเถาเยี่ยมาปักลงบนมวยผมให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพลางสนทนากับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา
เวลานี้เองจิ่นผิงก็ถือกล่องอาหารเข้ามา เป็นอาหารเช้าที่หญิงรับใช้เตรียมไว้ให้ เถาเยี่ยจึงรีบเดินไปช่วย
ครั้นอาหารจัดวางเรียบร้อย เหยาซื่อก็ประคองฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไปนั่งลงบนเก้าอี้ จับตะเกียบคีบกับข้าวให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงด้วยตนเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเรียกเจียงชิงหว่านมานั่งด้วยกัน เมื่อพวกนางกินเสร็จ ท้องฟ้าที่ด้านนอกก็สว่างมากแล้ว
แม้จะเป็นอาหารที่บรรดาหญิงรับใช้ยืมครัวโรงเตี๊ยมทำออกมา แต่อุปกรณ์ทั้งหมดล้วนเป็นของที่นำมาเอง จิ่นผิงกับเถาเยี่ยรีบเก็บถ้วยชามแล้วนำไปที่โรงครัวด้านล่างเพื่อให้หญิงรับใช้ล้าง ก่อนจะขนข้าวของของพวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไปไว้ในรถม้า แล้วถึงขึ้นมาเชิญฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับพวกเหยาซื่อลงไป
เหยาซื่อไม่วางใจร่างกายของเจียงชิงหว่าน จึงบอกให้จิ่นผิงประคองอีกฝ่าย ส่วนตนก็ประคองฮูหยินผู้เฒ่าเจียง
เมื่อออกมานอกโรงเตี๊ยมเจียงชิงหว่านก็มองเห็นรถม้าคันใหญ่สี่คันจอดอยู่หน้าประตู ด้านหลังยังมีชายแต่งกายรัดกุมสะพายง้าวเหน็บดาบไว้ที่เอวติดตามอยู่อีกราวสิบคน คงเพราะหย่งชางป๋อรู้ว่ามารดาชราของตนจะเข้าเมืองหลวง อีกทั้งระหว่างทางไม่สงบ จึงได้ส่งองครักษ์มาคุ้มกันโดยเฉพาะ
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนั่งรถม้าคันแรก เหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านนั่งรถม้าคันที่สอง ผู้โดยสารรถม้าคันที่สามคือบ่าวไพร่ ส่วนคันที่สี่ใช้ลากสัมภาระ แลดูยิ่งใหญ่อลังการ
แม้เหยาซื่อจะมีจิตใจของผู้เป็นมารดา อยากจะคุยกับเจียงชิงหว่านสักหลายคำ แต่สำหรับเจียงชิงหว่านแล้วการอยู่ด้วยกันตามลำพังสองคนเป็นเวลานานยังคงทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วน นางหาเรื่องมาคุยกับเหยาซื่อไม่ได้ ทว่ายังดีที่นางเพิ่งหายป่วย สภาพร่างกายยังไม่ดี ไม่นานก็พิงหมอนอิงอ่อนนุ่มใบใหญ่พลางรู้สึกง่วงขึ้นมา
ระหว่างที่สะลึมสะลือก็รู้สึกว่ามีคนคลุมเสื้อตัวหนาตัวหนึ่งลงบนตัว นางจึงหลับต่อไป
ระหว่างทางขบวนรถม้าได้หยุดลงครั้งหนึ่ง คนทั้งหลายลงจากรถมาพักผ่อน เจียงชิงหว่านได้ยินองครักษ์คนหนึ่งบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงว่ามาถึงชานเมืองไท่หยวนแล้ว ยังบอกด้วยว่าหนทางด้านหน้ามีป่าเขาล้อมรอบ ในป่ามีโจรชุกชุมต้องเร่งเดินทางผ่านไปในขณะที่ยังเป็นช่วงกลางวันอยู่ อย่ารอจนมืดแล้วพักค้างคืน
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ยินก็บอกให้ทุกคนขึ้นรถม้าเร่งเดินทางกันต่อ อาหารกลางวันก็มิได้ลงจากรถม้ามากิน แต่ต่างคนต่างกินอาหารแห้งที่มีติดรถม้าแทน
เดิมเจียงชิงหว่านรู้สึกว่าปากไม่รู้รสชาติ ทั้งยังนั่งรถม้ามาเป็นครึ่งวันจึงไม่รู้สึกอยากอาหาร กินขนมฝูหลิงไปเพียงครึ่งชิ้นและดื่มชาไปอีกสองสามอึก จากนั้นก็นั่งพิงหมอนอิงสัปหงก
ไม่รู้เช่นกันว่าเดินทางมาเป็นระยะทางเท่าไร จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงลากยาวดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝีเท้าม้า ทำเอาพื้นถนนสั่นสะเทือนประหนึ่งมีแผ่นดินไหว
เจียงชิงหว่านสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็มองเห็นเหยาซื่อหน้าซีดเผือด ตัวกำลังสั่นเทิ้ม เหยาซื่อหันมามองนางพลางพูดเสียงสั่น “แย่แล้ว! พวกเราเจอโจร!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 ส.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.