บทที่ 16 น้ำนิ่งไหลลึก
ฝูหรงได้ยินคำถามก็มีสีหน้าหวาดหวั่นอยู่บ้าง “บ่าวมิทราบเจ้าค่ะ” นางรีบอธิบายเพิ่มเติมท่ามกลางสายตาไม่ชอบใจของเมิ่งอี๋เหนียง “ขณะฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านสนทนากันอยู่ได้ไล่สาวใช้ทั้งหมดออกจากห้อง ซ้ำยังปิดประตู ข้างกายเหลือเถาเยี่ยไว้คอยรับใช้เพียงผู้เดียว เดิมทีบ่าวอยากจะเอาหูแนบประตูเพื่อแอบฟัง แต่หน้าประตูห้องคุณหนูสามมีสาวใช้ยืนอยู่ บ่าวเกรงว่าถ้านางเห็นเข้าจะนำไปบอกให้คุณหนูสามกับฮูหยินผู้เฒ่าทราบ จึงไม่กล้าอยู่ใกล้ประตูมากเกินไปเจ้าค่ะ”
เสียงของฝูหรงค่อยๆ แผ่วลง
เมิ่งอี๋เหนียงรู้ว่าเถาเยี่ยเป็นสาวใช้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพามาจากกานโจว และการที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงทำเช่นนี้ก็เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อใจสาวใช้ในเรือนซงเฮ่อ
เป็นนางจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ
เมิ่งอี๋เหนียงแค่นเสียงเย็น จากนั้นก็บอกให้รุ่ยเซียงมอบเงินสามร้อยเฉียนให้ฝูหรง ก่อนสั่งฝ่ายหลังว่า “วันหน้าทางฮูหยินผู้เฒ่ามีเรื่องใดอีกจะต้องมาบอกข้าในทันที เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้ารวมถึงคนในครอบครัวเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน”
บิดาของฝูหรงตายไปเมื่อสองปีก่อน เหลือเพียงมารดาและพี่ชายหนึ่งคน เดิมทีมารดานางเป็นบ่าวใช้แรงงานในจวนป๋อแห่งนี้ ส่วนพี่ชายทำงานในคอกม้า ในตอนที่เมิ่งอี๋เหนียงเลือกสาวใช้ให้เรือนซงเฮ่อได้ถูกใจฝูหรงเข้า อยากให้นางช่วยตนจับตามองทุกความเคลื่อนไหวของฮูหยินผู้เฒ่าเจียง จึงให้มารดานางไปทำงานเฝ้าประตูหลังของจวนป๋อ ส่วนพี่ชายนางก็ให้ดูแลงานจัดซื้อของโรงครัว ล้วนเป็นงานเงินดี ซ้ำยังไม่เหนื่อย ฝูหรงย่อมจะยินดีทำงานให้ตน
ฝูหรงรับเงินไปแล้วคุกเข่าโขกศีรษะให้เมิ่งอี๋เหนียง จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปทันที
แม่นมอุ้มเจียงฉางหนิงไปกล่อมนอนที่เรือนปีกตะวันออกนานแล้ว แต่ยามนี้ไม่รู้อย่างไรจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเจียงฉางหนิงดังขึ้น เสียงแหลมยิ่ง ได้ยินในค่ำคืนอันเงียบสงัดก็สุดจะบาดแก้วหู
เมิ่งอี๋เหนียงหงุดหงิดในใจ จึงร้องเรียกฮุ่ยเซียง “เจ้าไปต่อว่าแม่นมที บอกให้นางกล่อมคุณชายนอน ไฉนนานเพียงนี้แล้วคุณชายยังไม่หลับอีก ถามนางว่าเกิดอะไรขึ้น ยังอยากทำงานอยู่ที่นี่ต่อหรือไม่”
ฮุ่ยเซียงรู้ว่าตอนนี้นายของตนไม่สบอารมณ์ จึงรับคำด้วยเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา ก่อนหมุนตัวเดินไปเรือนปีกตะวันออกด้วยฝีเท้าแผ่วเบา ครั้นได้พบแม่นมก็ทวนคำพูดเมื่อครู่นี้ของเมิ่งอี๋เหนียงให้นางฟัง
แม่นมได้ยินแล้วก็ไม่พอใจ
หนิงเกอผู้นี้นอนดึกประมาณนี้เป็นประจำ มิใช่วันแรกที่เป็นเช่นนี้เสียหน่อย เมิ่งอี๋เหนียงใช่ว่าจะไม่รู้ ทุกคืนข้าต้องกล่อมเขาเข้านอนนานเป็นชั่วยามสองชั่วยาม คิดว่าข้าไม่เหนื่อยหรือไร ไม่เห็นใจข้าก็ช่างเถอะ ยังจะมาต่อว่าข้าอีก
ในใจคิดอย่างขุ่นเคืองอีกว่า…อย่างมากก็เลิกทำงานที่นี่ไปก็ได้ มีที่ใดที่ไปเป็นแม่นมไม่ได้บ้างเล่า จะได้ไม่ต้องมารองรับอารมณ์เยี่ยงนี้
ทว่าภายนอกแม่นมกลับตอบรับอย่างนอบน้อม ครั้นฮุ่ยเซียงหันหลังเดินออกไปแล้วนางก็ยื่นมือไปหยิกต้นขาบอบบางของเจียงฉางหนิงอย่างแรงหนึ่งที ซ้ำปากก็ด่าพึมพำเบาๆ “ดึกดื่นแล้วไม่หลับไม่นอน ยังจะมาแหกปากร้องไห้อยู่ได้ แม่เจ้าเสียหรือไร ยังไม่รีบนอนอีก?”
เจียงฉางหนิงเจ็บก็ยิ่งร้องไห้ดังขึ้นกว่าเดิม
เมิ่งอี๋เหนียงที่อยู่ในห้องใหญ่ได้ยิน ในใจก็ยิ่งหงุดหงิด ยังดีที่เสียงร้องไห้ของเจียงฉางหนิงค่อยๆ เบาลงจนเงียบหายไป คิดว่าคงจะร้องไห้จนเหนื่อยแล้วเลยหลับไปในที่สุด เมิ่งอี๋เหนียงถึงได้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นบ้าง
คนในห้องมองออกว่าตอนนี้เมิ่งอี๋เหนียงอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง จึงไม่กล้ายั่วโทสะนาง แม้แต่หายใจแรงๆ ยังไม่กล้า
ในใจเจียงชิงอวี้เองก็รู้สึกกลัว กังวลว่าเมิ่งอี๋เหนียงจะทำโทษ จึงอยากจะกลับไปเรือนจิ่นอวิ๋นของตน แต่นางเพิ่งจะลุกขึ้นจากตั่งหลัวฮั่น ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินเมิ่งอี๋เหนียงเรียกนางเสียงเย็น “เจ้าหยุดก่อน”
เจียงชิงอวี้ได้แต่หยุดยืนกับที่ด้วยความอกสั่นขวัญแขวน เห็นเมิ่งอี๋เหนียงมองนางครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมา ท่าทางดูเหมือนอ่อนอกอ่อนใจยิ่ง จากนั้นนางก็เรียกรุ่ยเซียง “รุ่ยเซียง”
รุ่ยเซียงรีบก้าวมาสองก้าว ก้มหน้าเอ่ยถามด้วยเสียงเคารพนบนอบ กลัวว่าจะเผลอทำให้เมิ่งอี๋เหนียงไม่พอใจ “อี๋เหนียงมีงานใดจะสั่งหรือเจ้าคะ”
พึงต้องรู้ว่าเวลาคนผู้นี้โหดเหี้ยมขึ้นมาสามารถสั่งให้คนคุกเข่าแบกหินไว้เหนือหัวเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนระอุในช่วงวันที่อากาศร้อนที่สุดของปีได้เลยทีเดียว จำได้ว่าตอนนั้นสาวใช้ผู้นั้นคุกเข่าเสร็จ ทั้งร่างก็ถูกเหงื่อทำให้เปียกโชกราวกับถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น นอนซมอยู่บนเตียงหนึ่งเดือนเต็มๆ กว่าจะลุกขึ้นมาได้
รุ่ยเซียงได้ยินเมิ่งอี๋เหนียงพูดว่า “ต่อไปเจ้าไปติดตามปรนนิบัติข้างกายคุณหนูรอง หากนางพูดอะไรไม่เหมาะสม ทำอะไรไม่ถูกกฎระเบียบก็มาบอกข้า”
สมควรจะดูแลสั่งสอนเจียงชิงอวี้ให้ดีแล้ว มิเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วคงได้ก่อเรื่องให้นางแน่นอน
เจียงชิงอวี้ตกใจ
นี่อี๋เหนียงต้องการวางคนไว้ข้างกายข้า…เพื่อจับตามองข้า?
นางแสดงความไม่ยินยอมออกมาทันควัน “ข้าไม่ต้องการให้รุ่ยเซียงคอยติดตามข้างกายข้า”
เจียงชิงอวี้พูดได้ไม่อ้อมค้อมสักนิด ทำเอาเมิ่งอี๋เหนียงได้ยินแล้วในใจยิ่งเดือดดาล มองนางพลางพูดอย่างเย็นเยียบ “เจ้าไม่มีสิทธิ์บอกข้าว่าต้องการหรือไม่ ต่อไปข้าจะไม่ตามใจเจ้าอีก หากเจ้ายังพูดคำหยาบคายอย่างเมื่อครู่ ทำเรื่องโง่ๆ อะไรออกมาอีก ถ้าข้ารู้ ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าแน่”
รุ่ยเซียงตกใจมากเช่นกัน เนื่องจากนางก็ไม่อยากไปปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเจียงชิงอวี้
ปัจจุบันเมิ่งอี๋เหนียงกุมอำนาจดูแลงานในจวน การเป็นหัวหน้าสาวใช้สูงสุดของเมิ่งอี๋เหนียงจะมีหน้าตาเพียงใดแค่คิดก็รู้แล้ว ปกติบ่าวไพร่ในจวนมีใครพูดกับนางแล้วไม่ต้องให้ความเคารพนบนอบบ้าง แต่ตอนนี้ถึงกับบอกให้นางไปรับใช้เจียงชิงอวี้…
คุณหนูรองผู้นี้เป็นพวกไม่มีความคิด นิสัยใจคอก็ไม่ดี อีกทั้งยังเอ่ยปากชัดแล้วว่าให้นางไปจับตามองคุณหนูรองแทนเมิ่งอี๋เหนียง คุณหนูรองมีหรือจะพอใจแล้วทำดีกับนาง แทรกอยู่ตรงกลางระหว่างพวกนางสองแม่ลูกเช่นนี้ นี่เป็นงานที่เปลืองแรงแต่ไม่ได้ผลประโยชน์โดยแท้
ทว่าคนเป็นบ่าวไหนเลยจะสงสัยและขัดขืนในการตัดสินใจของเจ้านายได้ มิหนำซ้ำระยะนี้เมิ่งอี๋เหนียงก็สั่งให้นางติดตามข้างกายเจียงชิงอวี้อยู่บ่อยครั้ง คิดดูก็เห็นชัดว่ามีความคิดนี้อยู่นานแล้ว
รุ่ยเซียงโอดครวญในใจไม่หยุดแต่มิได้พูดอะไร ได้แต่หวังให้เจียงชิงอวี้ร้องไห้อาละวาดไม่ยินยอมออกมาเองเพื่อเมิ่งอี๋เหนียงจะได้เก็บการตัดสินใจนี้กลับไป
หากแต่เจียงชิงอวี้ถูกสายตาเย็นยะเยือกของเมิ่งอี๋เหนียงมองจนนึกขยาดกลัวตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะยังกล้าร้องไห้อาละวาดอีก ได้แต่พึมพำรับคำ จากนั้นก็เอ่ยปากบอกว่าจะกลับเรือนจิ่นอวิ๋น เมิ่งอี๋เหนียงเองก็มิได้รั้งไว้ โบกมือไล่ให้นางไป ทว่าบอกรุ่ยเซียงให้ตามไปด้วยในตอนนี้เลย ข้าวของค่อยมาเก็บวันพรุ่งนี้
รุ่ยเซียงได้แต่เชื่อฟัง เดินตามเจียงชิงอวี้ไปข้างนอก เพิ่งจะออกมานอกห้องก็เห็นเจียงชิงอวี้หันหน้ามาถลึงตาใส่ตนอย่างไม่เกรงใจ รุ่ยเซียงอดยิ้มเจื่อนในใจไม่ได้
เมิ่งอี๋เหนียงพลิกตัวไปมาตลอดทั้งคืน แค่เพียงคิดว่าคืนนี้เจียงเทียนโย่วค้างอยู่ที่เรือนของเหยาซื่อ นางก็รู้สึกคับอกคับใจเหลือแสน นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้นนางตื่นมาก็มีสีหน้าไม่สู้ดี ใต้ตายังมีรอยคล้ำจางๆ อยู่ด้วย
ฮุ่ยเซียงมาปรนนิบัติเมิ่งอี๋เหนียงล้างหน้าแต่งตัว บอกนางว่ารุ่ยเซียงมาเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว กำลังรอโขกศีรษะคำนับอยู่ข้างนอก
เมิ่งอี๋เหนียงจึงเรียกรุ่ยเซียงเข้ามา กำชับว่าต่อไปต้องปรนนิบัติคุณหนูรองให้ดี ทั้งยังให้ปิ่นทองแท้ลายผีเสื้ออันหนึ่งเป็นรางวัลแก่นาง รุ่ยเซียงโขกศีรษะขอบคุณก่อนกล่าวลานาง จากนั้นก็หยิบข้าวของของตนเดินไปเรือนจิ่นอวิ๋น
เมิ่งอี๋เหนียงมองต้นไห่ถังในลานอย่างเหม่อลอยครู่หนึ่ง จากนั้นก็เรียกฮุ่ยเซียงมาเกล้าผมเป็นมวยเอียงให้ตนเอง ก่อนใส่เครื่องประดับอัญมณีที่เลือกอย่างตั้งใจเป็นพิเศษสองสามชิ้น
สาวใช้ยกขนมสองจานกับน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวใส่พุทราแดงเข้ามาให้ เมิ่งอี๋เหนียงก็ไม่มีแก่ใจจะกินเสียเท่าไร คิดแล้วก็บอกให้ฮุ่ยเซียงไปหยิบเสื้อคลุมผ้าต่วนสีครามที่เพิ่งทำเสร็จไม่กี่วันก่อนออกมาจากตู้เสื้อผ้า ก่อนจะให้สาวใช้ไปเรียกให้แม่นมอุ้มคุณชายมา แล้วถึงลุกขึ้นเดินไปเรือนหลิวเซียง
อนุภรรยาสมควรไปคารวะนายหญิงทุกเช้า
ทว่าเมิ่งอี๋เหนียงยังไม่ทันเดินไปถึงเรือนหลิวเซียงก็บังเอิญเจอเจียงชิงหว่านเข้าระหว่างทางเสียก่อน
เห็นอีกฝ่ายสวมเสื้อผ่าหน้าสีรากบัวปักลายดอกซินอี๋ข้างจอนผมปักปิ่นกระดองเต่าลายเมฆไว้หนึ่งอัน พวงมุกยาวห้อยลงมาข้างหู ใบหน้างดงามราวกับบัวตูม
มองเห็นเมิ่งอี๋เหนียง เจียงชิงหว่านก็หยุดฝีเท้าลง เอ่ยเรียกพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก “อี๋เหนียง”
เมิ่งอี๋เหนียงเองก็ได้แต่หยุดฝีเท้า อมยิ้มเอ่ยเรียกว่า “คุณหนูสาม”
เจียงชิงหว่านใช้สายตาพินิจมองเมิ่งอี๋เหนียง จากนั้นก็พูดยิ้มๆ “เมื่อคืนอี๋เหนียงนอนหลับไม่สนิทหรือ ไฉนจึงดูสีหน้าไม่สู้ดี”
ขณะเมิ่งอี๋เหนียงออกมาได้ตั้งใจแต่งหน้าจนมั่นใจว่าปกปิดรอยคล้ำที่ใต้ตาดีแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเจียงชิงหว่านผู้นี้จะตาดีถึงขั้นมองออกเสียได้
เดิมทีเป็นเพียงคำทักทายแสนธรรมดา แต่เนื่องจากเมิ่งอี๋เหนียงรู้ว่าเรื่องที่เมื่อคืนเจียงเทียนโย่วค้างที่เรือนหลิวเซียงเป็นเจียงชิงหว่านช่วยส่งเสริมอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังกระแหนะกระแหนนาง
นางแอบกัดฟันกรอด ภายนอกกลับยังคงพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “เมื่อคืนหนิงเกอไม่รู้เป็นอะไร ร้องไห้งอแงไม่หยุด ผู้น้อยมัวแต่ยุ่งกับการกล่อมเขานอน จึงนอนไม่เต็มอิ่ม”
สายตาแฝงแววโอ้อวดอยู่พอสมควร
ใครใช้ให้เหยาซื่อไม่มีบุตรชายสายตรงเล่า ตอนนี้หนิงเกอจึงเป็นบุตรชายคนเดียวของนายท่าน
เจียงชิงหว่านมองเจียงฉางหนิง
ช่างบังเอิญนัก เสื้อคลุมสั้นตัวเล็กบนตัวเขาก็เป็นสีรากบัวเช่นกัน ทว่าลายดอกบัวบนคอเสื้อปักขอบด้วยดิ้นทอง ผ้าที่ใช้ทำเสื้อคลุมสั้นก็เป็นผ้าไหมหางโจวที่ล้ำค่ายิ่ง มองออกได้ว่าเมิ่งอี๋เหนียงเลี้ยงดูคุณชายน้อยผู้นี้ดีอย่างยิ่ง
หากเหยาซื่อยังไม่มีบุตรชายสายตรงไปตลอด ภายหน้าเจียงฉางหนิงที่เป็นบุตรชายสายรองคนโตก็จะได้บรรดาศักดิ์หย่งชางป๋อไป ฐานะจะสูงส่งถึงเพียงไรเล่า แน่นอนว่าตอนนี้จะเลี้ยงดูสั่งสอนอย่างไรก็ไม่ผิด
เจียงชิงหว่านจึงหันหน้าไปมองเมิ่งอี๋เหนียงพลางพูดยิ้มๆ “น้องสี่อายุยังน้อย อี๋เหนียงดูแลเขาต้องลำบากมากเป็นแน่ แล้วนี่ยังต้องดูแลงานในจวนอีก ข้าเองก็รู้สึกลำบากแทนอี๋เหนียงแล้ว มิสู้อีกประเดี๋ยวข้าลองพูดกับท่านย่าดูว่าอาจจะให้ผู้อื่นมาดูแลน้องสี่แทน หรือไม่ก็ไม่ต้องให้อี๋เหนียงดูแลงานในจวน เช่นนี้อี๋เหนียงก็จะสบายขึ้นใช่หรือไม่ อี๋เหนียงเห็นว่าข้อเสนอของข้าเป็นอย่างไร”
เมิ่งอี๋เหนียงพลันใจเต้นตึกตัก หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
ความหมายของเจียงชิงหว่านคืออยากอุ้มหนิงเกอไปให้เหยาซื่อเลี้ยงใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็จะให้หนิงเกอมีทะเบียนในนามของเหยาซื่อ? หรือไม่ก็ให้นางคืนอำนาจดูแลงานในจวนให้เหยาซื่อเสีย
จะอย่างไรเหยาซื่อก็เป็นนายหญิง หากในใจอีกฝ่ายมีความคิดสองอย่างนี้จริง ก็เป็นเรื่องสมควรไม่ว่าด้วยเหตุผลหรือน้ำใจ…ผู้ใดก็คัดค้านไม่ได้
ทว่านางไม่ยอมให้เจียงฉางหนิงไปอยู่ในนามของเหยาซื่อและให้อีกฝ่ายมาเลี้ยงดูเขาเด็ดขาด มิเช่นนั้นภายภาคหน้าเจียงฉางหนิงจะต้องไม่สนิทกับนางแน่นอน ซ้ำยังจะกลายเป็นที่พึ่งให้เหยาซื่อด้วย
บุตรชายที่ตนคลอดออกมากลับกลายไปเป็นที่พึ่งของผู้อื่น มิใช่เป็นที่พึ่งของตนเอง คิดแล้วก็รู้สึกคับอกคับใจยิ่ง
ส่วนเรื่องมอบอำนาจดูแลงานในจวนออกไปนั้น ใจนางก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
แม้ว่าตอนนี้นางจะเป็นเพียงอนุภรรยา แต่ขอเพียงนางยังดูแลจวนอยู่ บรรดาบ่าวไพร่ในจวนก็ล้วนต้องเคารพนาง ไม่กล้าดูถูกนาง ถ้าหากนางมอบอำนาจให้เหยาซื่อ ต่อไปใครจะมีความยำเกรงต่ออนุภรรยาผู้หนึ่งอีกเล่า
บทที่ 17 ความริษยา
คิดไม่ถึงว่าคุณหนูสามผู้นี้อายุยังไม่มาก กลับฝีปากคมคายเพียงนี้
เมิ่งอี๋เหนียงลอบกัดฟันกรอก ทว่าภายนอกยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยน “ขอบคุณคุณหนูสามมากเจ้าค่ะที่เป็นห่วง ทว่าสองเรื่องนี้ผู้น้อยยังรับมือได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนผู้อื่น”
เจียงชิงหว่านยิ้มน้อยๆ
นางย่อมจะไม่เสนอให้บันทึกเจียงฉางหนิงไว้ภายใต้นามของเหยาซื่อจริงๆ และก็ยังไม่ให้เมิ่งอี๋เหนียงมอบอำนาจดูแลงานในจวนออกมาตอนนี้ นางแค่ขัดนัยน์ตายามเห็นสีหน้าโอ้อวดและภาคภูมิใจของเมิ่งอี๋เหนียงขณะเอ่ยถึงเจียงฉางหนิงเมื่อครู่นี้ก็เท่านั้น
“ผู้มีความสามารถมากย่อมเหน็ดเหนื่อย อี๋เหนียงเป็นคนมีความสามารถ ทว่าถ้าวันหน้าอี๋เหนียงรู้สึกเหนื่อยแล้วก็บอกต่อท่านย่าและท่านแม่สักคำ หรือบอกข้าก็ได้ ข้าจะนำไปบอกท่านย่าและท่านแม่ให้ คิดว่าท่านย่ากับท่านแม่ทราบว่าอี๋เหนียงลำบากเพียงนี้คงรู้สึกปวดใจ ย่อมจะช่วยอี๋เหนียงแบ่งเบาภาระงานแน่นอน”
ตีงูต้องตีให้ตาย นางรู้ว่าสองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เมิ่งอี๋เหนียงใส่ใจเป็นที่สุดจึงได้ใช้พวกมันมาเตือนอีกฝ่าย เช่นนี้วันหน้าก็ขวางไม่ให้เมิ่งอี๋เหนียงพูดต่อหน้าเจียงเทียนโย่วและผู้อื่นทำนองว่าตนเองกำลังทำงานแทนเหยาซื่อ มีความลำบากตั้งเท่าไร จนกลายเป็นทำให้เจียงเทียนโย่วและผู้อื่นคิดว่าเหยาซื่อไร้ความสามารถได้
การแก่งแย่งชิงดีระหว่างสตรีในวัง แม้จะแค่ในโรงซักล้างเล็กๆ ก็ยังทารุณกว่านี้หลายเท่า หากอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ต่อให้เป็นคนใสซื่อเพียงไรก็ยังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมีกลอุบายขึ้นมา
ทว่าเจียงชิงหว่านรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่จะไม่ดี ชาติก่อนก็เป็นเพราะนางเชื่อใจชุยจี้หลิงกับซุนอิ้งเซวียนมากเกินไปถึงได้มีจุดจบน่าเศร้าสังเวชเช่นนั้น
การถูกคนที่ตนสนิทชิดเชื้อและให้ความสำคัญที่สุดทำร้ายจิตใจ นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่ทรมานที่สุด
เมิ่งอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกแน่นหน้าอก แต่จะอย่างไรเจียงชิงหว่านก็เป็นคุณหนูเพียงหนึ่งเดียวที่เกิดจากภรรยาเอกของจวนหย่งชางป๋อนี้ นางเป็นอนุภรรยา ต่อให้ยามนี้ในใจนางรู้สึกไม่ดีเพียงไร ภายนอกกลับยังต้องพูดขอบคุณในความห่วงใยของคุณหนูสามด้วยเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา
รู้ทั้งรู้ว่าผู้อื่นพูดคำเหล่านี้เพื่อเหน็บตนเอง แต่น้ำกลับท่วมปาก ซ้ำยังต้องกล่าวขอบคุณอีกด้วย น่าอึดอัดคับข้องเกินไปแล้วจริงๆ
เจียงชิงหว่านเห็นว่าพอสมควรแล้วก็หยุด ไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นคนทั้งสองก็มุ่งหน้าไปเรือนหลิวเซียงต่อ
ระหว่างทางต้องผ่านแปลงเสาเย่าตอนนี้กำลังเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน ดอกเสาเย่าแปลงใหญ่จึงกำลังบานสะพรั่ง
สีชมพู สีขาว สีม่วง จะกลีบซ้อนหรือกลีบเดี่ยว ล้วนมีสารพัดแบบ ขณะมีลมพัดมา ก้านเรียวเล็กของดอกเสาเย่าก็โยกไปมาเบาๆ กลิ่นหอมเย็นสดชื่นโชยมาแตะจมูก
ในบรรดาดอกไม้ทั้งหมดเจียงชิงหว่านชอบดอกเสาเย่าที่สุด นางรู้สึกว่ามันดูอ่อนช้อยงดงาม ยามนี้มองเห็นดอกเสาเย่ากำลังผลิบานดีก็หยุดฝีเท้ามองดูครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้ ซ้ำยังเด็ดมาหลายดอกแล้วส่งให้สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างถือไว้
ครั้นนางกับเมิ่งอี๋เหนียงมาถึงเรือนหลิวเซียงก็เห็นเจียงเทียนโย่วกำลังกางแขนให้เหยาซื่อสวมชุดขุนนางให้อยู่
ชุดขุนนางสีแดงเข้ม แผ่นผ้าตรงหน้าอกและหลังปักเป็นลายพยัคฆ์ราชาของสรรพสัตว์ ช่างดูองอาจน่าเกรงขาม
สาวใช้กำลังเก็บจานชามบนโต๊ะด้านข้าง สามารถมองเห็นได้ว่ามีกับข้าวอย่างมะเขือสิบรสกับเป็ดตุ๋นซีอิ๊ว และยังมีพวกแป้งนมปิ้งกับโจ๊กข้าวเจ้าด้วย
คิดว่าพวกเขาคงเพิ่งกินอาหารเช้ากันเสร็จ
เจียงชิงหว่านจึงยอบตัวคารวะเจียงเทียนโย่วและเหยาซื่อ บนหน้ามีรอยยิ้มพอเหมาะ “ลูกคารวะท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ”
ชุดขุนนางสวมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหยาซื่อกำลังรัดเข็มขัดให้เจียงเทียนโย่ว ครั้นได้ยินเสียงของเจียงชิงหว่านจึงหันหน้ามามอง
เจียงชิงหว่านเห็นบนหน้าเหยาซื่อมีรอยยิ้ม ดูท่าทางมีความสุขยิ่ง คิดว่าเมื่อคืนนางกับเจียงเทียนโย่วคงจะอยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง ในใจก็อดจะยินดีแทนนางไม่ได้
ทว่าเมิ่งอี๋เหนียงไม่ว่าอย่างไรก็ยินดีไม่ลง
เมื่อก่อนเจียงเทียนโย่วมักค้างที่เรือนอี๋ชุนของนาง ตื่นเช้ามาล้วนเป็นนางปรนนิบัติเขากินอาหารเช้า สวมชุดขุนนางให้เขา แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้นางถึงกับต้องมองดูสตรีอีกคนปรนนิบัติเจียงเทียนโย่ว ซ้ำนางยังพูดอะไรไม่ได้
เนื่องจากคนผู้นี้คือภรรยาที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของเขา
เมื่อคืนขณะเมิ่งอี๋เหนียงพลิกตัวไปมานอนไม่หลับยังคิดว่าในใจเหยาซื่อจะต้องมีความโกรธแค้นต่อเจียงเทียนโย่วแน่นอน ที่ผ่านมานางก็เป่าหูเจียงเทียนโย่วไม่น้อยครั้งเช่นกันเพื่อทำให้เจียงเทียนโย่วคิดว่าเหยาซื่อเป็นหญิงร้างสามี แม้ว่าเมื่อคืนจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงออกปาก เจียงเทียนโย่วถึงจำต้องค้างที่เรือนหลิวเซียง แต่นางก็คิดว่าคนทั้งสองต้องอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุขเป็นแน่ อีกทั้งเจียงเทียนโย่วก็อารมณ์เสียง่าย คงได้ออกจากเรือนหลิวเซียงมาที่เรือนอี๋ชุนของนางในทันที
แต่นางรออยู่ทั้งคืนเจียงเทียนโย่วก็ยังไม่มา มิหนำซ้ำบัดนี้ดูจากท่าทางของพวกเขาสองคน ชัดเจนว่าเมื่อคืนอยู่ด้วยกันอย่างปรองดองยิ่ง
สองมือที่กุมกันอยู่ตรงท้องน้อยของเมิ่งอี๋เหนียงกำแน่นขึ้นจนคล้ายว่าสามารถได้ยินเสียงเบาๆ จากการที่ข้อนิ้วถูกบีบ หากแต่นางถึงกับยังไม่รู้สึกถึงความเจ็บ
เจียงชิงหว่านมองดูเมิ่งอี๋เหนียงที่มีสีหน้าปั้นยากอยู่ข้างๆ สายตาที่อีกฝ่ายมองเจียงเทียนโย่วมีแววเศร้าเสียใจ แต่สายตาที่มองเหยาซื่อกลับมีแววเคียดแค้น ในใจเจียงชิงหว่านจึงพลันเข้าใจเรื่องหนึ่ง
เมิ่งอี๋เหนียงพึงใจในตัวเจียงเทียนโย่วจริงๆ มีเพียงพึงใจในตัวคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริง ยามเห็นเขากับสตรีอื่นอยู่ด้วยกันในใจถึงจะมีความริษยา
ความริษยาสามารถทำให้คนพลิกโฉมหน้าไปได้ ดังนั้นต่อให้เมิ่งอี๋เหนียงน้ำนิ่งไหลลึกเพียงไร ยามนี้ก็ยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยออกมามิได้
นี่ก็คือจุดอ่อนใหญ่ยิ่ง
มุมปากเจียงชิงหว่านมีรอยยิ้มบางๆ นางหยิบดอกเสาเย่ามาจากมือสาวใช้สองดอกก่อนกล่าวกับเหยาซื่อและเจียงเทียนโย่ว “ขณะเดินผ่านแปลงเสาเย่าเมื่อครู่นี้ ข้ามองเห็นดอกเสาเย่าในนั้นกำลังเบ่งบานดีจึงเด็ดมา คิดจะนำมาปักแจกันให้ท่านย่าและท่านแม่เจ้าค่ะ”
เหยาซื่อได้ยินก็ดีใจยิ่ง จึงใช้ให้จิ่นผิงไปหาแจกันมาใบหนึ่ง
จิ่นผิงรับคำก่อนไปหาแจกันทรงหยดน้ำสีเขียวไข่กามาใส่น้ำลงไปครึ่งหนึ่ง
เจียงชิงหว่านจึงนำดอกเสาเย่าปักลงไป ทางหนึ่งตัดแต่งใบที่มากเกินงามบนก้านออก ทางหนึ่งคอยเงี่ยหูฟังพวกเมิ่งอี๋เหนียงคุยกัน
เมิ่งอี๋เหนียงเก็บอาการเสียกิริยาบนใบหน้าลงแล้วรับตัวเจียงฉางหนิงจากแม่นมมาอุ้มไว้ ก่อนกล่าวคารวะเหยาซื่อและเจียงเทียนโย่วด้วยเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา ดูอ่อนน้อมมิมีใดเกิน
เจียงเทียนโย่วต้องรีบไปเข้าเวรยังกองบัญชาการกองกำลังรักษาเมืองหลวง พูดกับเมิ่งอี๋เหนียงได้สองคำก็ทำท่าจะจากไป แต่กลับถูกเมิ่งอี๋เหนียงเรียกเอาไว้ “นายท่าน เข็มขัดของท่านเบี้ยวเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
พูดพลางส่งเจียงฉางหนิงในอ้อมแขนให้แม่นมที่อยู่ข้างๆ อุ้ม ก่อนเดินไปหยุดเบื้องหน้าเจียงเทียนโย่ว ยื่นมือไปจัดเข็มขัดให้เขา จากนั้นก็รับเสื้อคลุมผ้าต่วนสีครามมาจากมือฮุ่ยเซียงคลุมลงบนบ่าเจียงเทียนโย่ว แล้วกล่าวเสียงนุ่มนวล “เสื้อคลุมตัวนี้เป็นผู้น้อยทำให้นายท่านโดยเฉพาะเมื่อไม่กี่วันก่อน แม้ว่าตอนนี้จะใกล้เข้าฤดูร้อนแล้ว แต่ตอนเช้ายังอากาศเย็นอยู่มาก นายท่านคลุมเสื้อคลุมตัวนี้ ผู้น้อยก็อุ่นใจขึ้นเจ้าค่ะ”
เจียงเทียนโย่วได้ยินแล้วก็ใจอ่อนยวบ เมื่อครู่มีทีท่าจะรีบออกไปแท้ๆ ยามนี้กลับหยุดลง กุมมือเมิ่งอี๋เหนียงพลางขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าห่วงแต่กำชับข้า แต่ไม่ดูแลตนเองดีๆ ตอนเช้าอากาศเย็น เจ้าออกมาก็ควรจะคลุมเสื้อคลุมเช่นกัน มือเย็นเพียงนี้แล้ว”
เมิ่งอี๋เหนียงมองเขาอย่างหวานซึ้ง “นายท่านสบายดี ผู้น้อยถึงจะสบายดีได้เจ้าค่ะ”
จากนั้นก็บอกให้เจียงเทียนโย่วเดินทางอย่างระมัดระวัง แล้วมองส่งเขาเดินจากไป
ครั้นหันหน้ากลับมาก็เห็นเหยาซื่อมีสีหน้าไม่สู้ดี
อารมณ์ของเมิ่งอี๋เหนียงจึงปลอดโปร่งขึ้นมาในพริบตา พยักหน้ายิ้มให้เหยาซื่อ “แม้นายท่านจะดูร่างกายแข็งแรงกำยำ แต่ขณะนำทัพออกรบเมื่อหลายปีก่อนเคยได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง หมอบอกว่าต้องบำรุงรักษาให้ดี ห้ามต้องอากาศเย็นเจ้าค่ะ”
ราวกับกำลังบอกว่าเหยาซื่อดูแลเจียงเทียนโย่วไม่เป็นโดยสิ้นเชิง
เหยาซื่อได้ยินแล้วในใจย่อมโมโหยิ่ง
นางต่างหากที่เป็นภรรยาร่วมผูกผมของเจียงเทียนโย่ว ในขณะที่เมิ่งอี๋เหนียงเป็นแค่อนุภรรยาผู้หนึ่ง
ทว่านางเดิมก็เป็นคนพูดไม่เก่ง ถึงแม้ยามนี้นางจะโมโหจนมือสั่นแล้วแท้ๆ ก็ยังคงพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ เอาแต่มองเมิ่งอี๋เหนียง
เมิ่งอี๋เหนียงใบหน้ายิ้มบางๆ มองตอบเหยาซื่ออย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
เจียงชิงหว่านที่อยู่ด้านข้างมองเห็นแล้วก็ลอบถอนหายใจในใจ
เมิ่งอี๋เหนียงแม้จะเป็นอนุภรรยา แต่ก็เป็นอนุศักดิ์สูงที่ได้รับความชมชอบจากเจียงเทียนโย่ว ตอนนี้บุตรชายเพียงคนเดียวของเจียงเทียนโย่วก็เกิดจากนาง ที่สำคัญที่สุดคือในตอนนั้นพี่ชายของนางเคยใช้ชีวิตของตนเองช่วยเจียงเทียนโย่วไว้จริงๆ เจียงเทียนโย่วกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียงล้วนกระจ่างในจุดนี้ดี จึงไม่มีทางทำอะไรนางเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้แน่นอน
หากยามนี้เหยาซื่อกับเมิ่งอี๋เหนียงมีเรื่องปะทะกัน ก็ไม่เป็นผลดีต่อเหยาซื่อจริงๆ
เจียงชิงหว่านจึงวางกรรไกรเล่มเล็กในมือลง ยกแจกันดอกเสาเย่านี้ไปวางตรงหน้าเหยาซื่อ ก่อนยิ้มพลางเอ่ยถาม “ท่านแม่ ท่านดูสิเจ้าคะว่าดอกเสาเย่าสองดอกนี้จัดได้ดีหรือไม่”
เป็นดอกเสาเย่าสีชมพูหนึ่งดอกและสีขาวหนึ่งดอก บนกลีบดอกยังมีน้ำค้างเกาะอยู่ ดูงามสะพรั่งยิ่ง
ถึงยามนี้ในใจเหยาซื่อจะกำลังโมโหเมิ่งอี๋เหนียงเพียงไร แต่ก็รู้ว่าเจียงชิงหว่านกำลังแสดงความกตัญญูต่อตนเอง จึงพยักหน้าตอบว่า “อืม จัดได้น่ามองยิ่ง”
เจียงชิงหว่านยื่นแจกันดอกไม้ให้สาวใช้ด้านข้าง สั่งให้นางนำไปวางบนโต๊ะยาวในห้องนอน จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับเหยาซื่อ “ท่านแม่ชอบก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
เวลานี้ซุนอี๋เหนียงกับเจียงชิงเซวียนและโจวอี๋เหนียงกับเจียงชิงอวิ๋นก็ทยอยมาคารวะเหยาซื่อแล้วเช่นกัน หลังคุยกันได้สองสามคำก็ต้องไปเรือนซงเฮ่อเพื่อคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียง
อนุภรรยาไม่มีสิทธิ์เข้าคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียง ดังนั้นหลังจากซุนอี๋เหนียงและโจวอี๋เหนียงคารวะเหยาซื่อเสร็จจึงขอตัวจากไปอย่างรู้ตัวดี ทว่าเจียงชิงหว่านกลับเรียกพวกนางไว้ “อี๋เหนียงทั้งสองโปรดช้าก่อน”
เจียงชิงหว่านมองออกว่าซุนอี๋เหนียงและโจวอี๋เหนียงล้วนเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวยิ่ง และก็ไม่เป็นภัยคุกคามเหยาซื่อ ดังนั้นเจียงชิงหว่านจึงให้ความเกรงใจพวกนางอยู่บ้าง
ซุนอี๋เหนียงกับโจวอี๋เหนียงได้ยินก็รีบหยุดฝีเท้า เอ่ยถามว่า “คุณหนูสามมีอันใดหรือเจ้าคะ”
จวนหย่งชางป๋อมีพื้นที่แค่เท่านี้ เกิดเรื่องอะไรสักนิด ทุกคนมีหรือจะไม่รู้ ล้วนรู้กันทั่วว่าเมื่อคืนนายท่านค้างที่เรือนของนายหญิง ในใจจึงไม่กล้าดูถูกเหยาซื่อ เช้าวันนี้จึงรีบมาคารวะ แน่นอนว่าไม่กล้าดูถูกเจียงชิงหว่านเช่นกัน
อีกทั้งเมื่อวานตอนอยู่หน้าประตูเรือนซงเฮ่อ พวกนางสองคนก็ได้เห็นเองกับตาแล้วว่าคุณหนูสามผู้นี้ปฏิบัติกับเมิ่งอี๋เหนียงเยี่ยงไร มีหรือจะกล้าดูถูกนางอีก
เจียงชิงหว่านพูดด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ “เรือนอี๋ชุนอยู่ทางเดียวกับที่พักของอี๋เหนียงทั้งสอง ไยอี๋เหนียงทั้งสองไม่รอเมิ่งอี๋เหนียงแล้วกลับไปพร้อมกับนางเล่า ได้เดินคุยกัน ระหว่างทางจะได้ไม่รู้สึกเหงา”
บทที่ 18 เรื่องคารวะ
เมิ่งอี๋เหนียงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
ความหมายของคำพูดเจียงชิงหว่านนี้ชัดเจนว่ากำลังเตือนว่านางก็เป็นเพียงอนุภรรยาผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียง
ในใจเมิ่งอี๋เหนียงรู้สึกไม่ดีอย่างยิ่ง
นางย่อมรู้เรื่องที่อนุภรรยาไม่มีสิทธิ์ไปเข้าคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียง แต่เมื่อก่อนตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเหยาซื่อยังไม่มา ล้วนเป็นซุนอี๋เหนียงกับโจวอี๋เหนียงมาคารวะนางทุกวัน นางเองก็ไม่ต้องไปคารวะผู้ใด ทว่าบัดนี้นางถึงกับต้องมาคารวะเหยาซื่อ แม้แต่สิทธิ์ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ยังไม่มี
แต่ต่อให้ในใจนางรู้สึกไม่ดีเพียงไร ก็ไม่มีหนทางจะโต้แย้งคำพูดของเจียงชิงหว่าน
เหยาซื่อนั้นช่างเถอะ ด้วยความรักใคร่โปรดปรานจากเจียงเทียนโย่ว นางไม่มีสิ่งใดให้ต้องกลัว หากแต่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียง…
เมิ่งอี๋เหนียงได้แต่สั่งให้แม่นมอุ้มคุณชายตามนายหญิงไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงดีๆ แต่ที่สุดแล้วก็ไม่วางใจ จึงยังเรียกให้สาวใช้อีกคนหนึ่งตามไปกับแม่นม บอกให้นางดูแลคุณชายดีๆ จากนั้นถึงกล่าวลาเหยาซื่อ หันหลังเดินออกประตูไปพร้อมกับซุนอี๋เหนียงและโจวอี๋เหนียง
ทว่าอย่างไรในใจเมิ่งอี๋เหนียงก็ไม่พอใจยิ่ง ดังนั้นหลังออกมาแล้วจึงเดินดุ่มๆ ไปข้างหน้าโดยไม่สนใจซุนอี๋เหนียงและโจวอี๋เหนียง
ซุนอี๋เหนียงกับโจวอี๋เหนียงย่อมไม่กล้าพูดอะไร แม้พวกนางสองคนจะต่างให้กำเนิดบุตรสาวทั้งคู่ แต่ตอนนี้คนทั้งสองต่างค่อยๆ อายุมากขึ้น ไม่ได้รับความโปรดปรานจากเจียงเทียนโย่วสักเท่าไร มีหรือจะเทียบกับเมิ่งอี๋เหนียงได้ ทำได้เพียงใช้ชีวิตไปอย่างเรียบร้อยซื่อตรงเท่านั้น
ขณะเมิ่งอี๋เหนียงเดินมาได้ครึ่งทางก็นึกขึ้นได้ว่าเจียงชิงอวี้ยังไม่ได้มา ด้วยห่วงว่านางตื่นสายจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงทำโทษ จึงรีบบอกให้ฮุ่ยเซียงไปเรือนจิ่นอวิ๋นเพื่อเร่งเจียงชิงอวี้ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยังเรือนซงเฮ่อ
วันนี้เจียงชิงอวี้ตื่นสายจริงๆ
แม้รุ่ยเซียงจะมาเร่งให้นางลุกจากเตียงตั้งแต่เช้า บอกว่าต้องไปคารวะนายหญิงและฮูหยินผู้เฒ่าเจียง แต่เจียงชิงอวี้เห็นท้องฟ้าข้างนอกยังไม่สว่าง อีกทั้งเมื่อก่อนนางก็ไม่เคยตื่นเช้าไปคารวะผู้ใดมาก่อนจึงไม่แยแสการเร่งเร้าของรุ่ยเซียงโดยสิ้นเชิง พอฝ่ายหลังเร่งหนักเข้าก็ยังคว้าหมอนมาปาใส่ก่อนด่านางเสียงดังลั่นด้วยความไม่พอใจ
รุ่ยเซียงหมดปัญญา ทำได้เพียงเงียบแล้วยืนร้อนใจอยู่ข้างนอก
จากนั้นนางก็เห็นฮุ่ยเซียงรีบร้อนเดินมา ครั้นเห็นบรรดาสาวใช้ล้วนยืนอยู่นอกห้องก็ถามว่า “คุณหนูรองยังไม่ตื่นอีกหรือ นายหญิงพาพวกคุณหนูใหญ่ คุณหนูสาม คุณหนูสี่ และคุณชายสี่ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงที่เรือนซงเฮ่อแล้ว อี๋เหนียงเห็นคุณหนูรองยังไม่ได้ไปจึงใช้ให้ข้ามาเร่ง”
รุ่ยเซียงจึงเล่าเรื่องที่เกิดเมื่อครู่ให้ฟังอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “ข้าไม่กล้าไปปลุกคุณหนูรองแล้ว เจ้าเข้าไปปลุกดูสิ”
ในใจยังคิดอย่างคับข้องด้วยว่า…เจ้านายน้อยที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ ไฉนอี๋เหนียงต้องให้ข้ามาคอยปรนนิบัติด้วย ข้าไม่อยากอยู่รับใช้ที่นี่จริงๆ
ฮุ่ยเซียงมองปราดหนึ่ง ได้แต่สูดหายใจลึกหนึ่งคำรบก่อนเดินเข้าห้องไปเรียกเบาๆ “คุณหนูรองเจ้าคะ”
ข้างในม่านไหมสีเขียวต้นหอมลายพฤกษชาติสี่ฤดูยังคงเงียบกริบ ปราศจากเสียง
ฮุ่ยเซียงได้แต่รวบรวมความกล้าร้องเรียกดังขึ้นอีกนิด “อี๋เหนียงบอกว่านายหญิงพาพวกคุณหนูใหญ่ คุณหนูสาม คุณหนูสี่ และคุณชายสี่ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงที่เรือนซงเฮ่อแล้ว ให้บ่าวมาปลุกท่านไปเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นทุกคนไปถึงแล้ว เหลือท่านไม่ไปเพียงคนเดียว เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคงจะลงโทษท่านอีก ถึงเวลานั้น…”
ยังพูดไม่ทันขาดคำก็พลันเห็นหมอนสีชมพูทำจากผ้าต่วนลายดอกใบหนึ่งถูกโยนออกมาจากในม่าน
ฮุ่ยเซียงตกใจจนสะดุ้ง รีบเอียงตัวหลบ ครั้นมองไปอีกครั้งก็เห็นเจียงชิงอวี้เปิดม่านนั่งอยู่ขอบเตียงแล้ว สีหน้าดูรำคาญยิ่ง “เร่งอะไรนักหนา เช้าไก่โห่ปานนี้ ข้าอยากนอนให้เต็มอิ่มอีกสักหน่อยไม่ได้หรือไร”
ฮุ่ยเซียงมองสีท้องฟ้าด้านนอก จะถึงยามเฉินอยู่แล้ว คิดดูว่าสาวใช้อย่างพวกนางต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางทุกวัน หากเป็นวันที่ต้องอยู่เวรยังเคยไม่ได้นอนทั้งคืน
แต่ฮุ่ยเซียงก็ยังคงผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ นับว่าปลุกเจ้านายน้อยผู้นี้ขึ้นมาได้เสียที
นางรีบหันหน้าไปเรียกให้สาวใช้ข้างนอกยกน้ำเข้ามาให้คุณหนูรองล้างหน้าบ้วนปาก ก่อนจะช่วยรุ่ยเซียงรีบหวีผมแต่งตัวให้อีกฝ่าย หลังเห็นเจียงชิงอวี้พารุ่ยเซียงเดินออกไปเรือนซงเฮ่อแล้ว นางถึงได้กลับไปรายงานเมิ่งอี๋เหนียง
แม้เจียงชิงอวี้จะตื่นแล้ว แต่ยังคงมีโทสะเต็มท้อง นางหาเหตุมาว่ารุ่ยเซียงอยู่ตลอดทาง รุ่ยเซียงก็ทำได้เพียงระมัดระวังตัวมากขึ้น
ครั้นมาถึงเรือนซงเฮ่อก็เห็นประตูเรือนทั้งสองบานเปิดอยู่ มีสาวใช้กำลังให้อาหารนกฮว่าเหมย และนกแก้วที่แขวนอยู่ตรงระเบียง และยังมีสาวใช้ถือกาน้ำกำลังรดน้ำดอกไม้ในลานเรือนอยู่ด้วย
เมื่อมองเห็นเจียงชิงอวี้ สาวใช้เหล่านี้ก็พากันวางงานในมือลง ยอบตัวคารวะ เอ่ยเรียกว่า “คุณหนูรอง”
เจียงชิงอวี้ไม่แม้แต่จะมองพวกนางตรงๆ เดินตามทางศิลาเขียวไปยังเรือนหลัก สาวใช้ที่เฝ้าประตูเปิดม่านเชิญให้นางเข้าไป
พอเข้ามาในห้องก็มองเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกำลังอุ้มเจียงฉางหนิงนั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่นทางด้านหน้า ด้านข้างมีเจียงชิงหว่านนั่งอยู่ บนโต๊ะเตี้ยมีแจกันเคลือบขาววางอยู่หนึ่งใบ ในนั้นปักดอกเสาเย่าสีชมพูไว้หลายดอก งดงามอ่อนช้อยน่าตรึงใจยิ่ง
บนเก้าอี้กุหลาบด้านข้างก็มีเหยาซื่อ เจียงชิงเซวียน และเจียงชิงอวิ๋นนั่งอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าพวกนางกำลังคุยเรื่องดอกเสาเย่าแจกันนี้อยู่
ได้ยินสาวใช้รายงานว่าคุณหนูรองมาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ยกเปลือกตาขึ้นมองเจียงชิงอวี้ปราดหนึ่งอย่างเย็นชา
ในใจเจียงชิงอวี้ยังคงกลัวฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอยู่บ้าง
ทั้งๆ ที่เป็นยายแก่อายุหกสิบกว่า ผมหงอกหมดหัวแล้ว แต่สายตาเวลามองคนกลับคมกริบ คล้ายว่าจะมองให้ถึงภายในใจของอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น
เพลิงโทสะและความงุ่นง่านในใจเจียงชิงอวี้ถูกสายตานี้ทำให้สลายหายไปกว่าค่อน นางยอบตัวคารวะอย่างเรียบร้อยมีมารยาท “คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองดูข้างนอกประตู
ดวงอาทิตย์ขึ้นมาแล้ว แสงแดดส่องลงบนต้นแปะก๊วยในลานเรือน ใบไม้ครึ่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง ครึ่งหนึ่งเหมือนกึ่งโปร่งใส
นางเก็บสายตากลับมามองเจียงชิงอวี้พลางเอ่ยถาม “นี่เจ้ามาคารวะข้ารอบเช้าหรือว่ารอบเย็น หากเป็นรอบเย็นนับว่าเร็วเกินไป เจ้ากลับไปนอนต่อเถอะ แต่ถ้าเป็นรอบเช้า เจ้าดูซิว่าตอนนี้เป็นเวลาใดแล้ว”
เจียงชิงอวี้ไม่เคยถูกใครต่อว่าเช่นนี้มาก่อน แต่คนผู้นี้คือฮูหยินผู้เฒ่าเจียง เมื่อวานพอนางมีน้ำเสียงท่าทีต่ออีกฝ่ายไม่ดีบิดาก็หน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที แล้วไหนจะเมิ่งอี๋เหนียงอีก พอกลับไปก็ต่อว่านางอย่างรุนแรงเช่นกัน
ดังนั้นต่อให้ตอนนี้ในใจนางจะโมโหเพียงไรก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ยังคงยืนก้มหน้า ท่าทางไม่ยินยอมอย่างยิ่ง
รุ่ยเซียงที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็รีบพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า เนื่องจากเมื่อคืนคุณหนูรองคัดจรรยาสตรีตามคำสั่งของท่านโดยตลอด วันนี้จึงได้ตื่นสายเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองรุ่ยเซียงปราดหนึ่ง ก่อนถามนางว่า “เจ้าคือสาวใช้ประจำตัวคุณหนูรอง?”
“เจ้าค่ะ” เมื่อวานรุ่ยเซียงเองก็ได้เห็นความน่าเกรงขามของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงแล้วเช่นกัน จึงรีบตอบอย่างระมัดระวัง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีสีหน้าเข้มขึ้น “ในเมื่อเจ้าเป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนูรอง ก็สมควรเตือนให้นางนอนเร็วตื่นเร็ว เมื่อวานนางนอนดึก วันนี้ตื่นสาย เห็นได้ว่าสาวใช้อย่างเจ้าทำหน้าที่ได้ไม่ดี”
มีคำสั่งให้รุ่ยเซียงไปคุกเข่าในลานเรือนข้างนอก
รุ่ยเซียงโอดครวญในใจแต่ก็ไม่กล้าทักท้วง ได้แต่ไปคุกเข่าอยู่ในลานเรือนข้างนอกอย่างสงบเสงี่ยม
เจียงชิงเซวียนกับเจียงชิงอวิ๋นเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งมีท่าทีเคารพนบนอบต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมากขึ้นกว่าเก่า ทว่าสายตายามมองเจียงชิงอวี้ยังคงมีประกายความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นอยู่เล็กน้อย
เมื่อก่อนเจียงชิงอวี้ไม่เคยเห็นพวกนางสองพี่น้องอยู่ในสายตา รู้สึกว่าพวกนางสองคนเกิดจากอนุภรรยา มีฐานะต่ำต้อย ทว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมาแล้ว เจียงชิงอวี้ก็กำเริบเสิบสานไม่ได้อีก
เมื่อวานให้เจียงชิงอวี้คุกเข่าพักใหญ่ ซ้ำยังลงโทษให้นางคัดจรรยาสตรีอีก วันนี้แม้จะไม่ได้ลงโทษนางอย่างโจ่งแจ้ง แต่ลงโทษให้สาวใช้ของนางคุกเข่าแทน เท่ากับทำให้นางขายหน้าต่อหน้าธารกำนัลเช่นกัน
ในใจเจียงชิงอวี้ตอนนี้โมโหเหลือประมาณ
สาวใช้ของผู้อื่นยังอยู่ดี สาวใช้ของนางกลับต้องไปคุกเข่าในลานเรือน เพียงแต่พอนางจะเอ่ยปากท้วงติง เงยหน้าขึ้นมาเห็นสีหน้าเย็นชาของฮูหยินผู้เฒ่าเจียง สุดท้ายแล้วก็ยังคงกลืนถ้อยคำทั้งหมดกลับลงไป
ทุกคนต่างได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกำลังพูดด้วยเสียงน่าเกรงขาม “พวกเจ้าทุกคนจำไว้ให้ดี พวกเจ้าเป็นคุณหนูของจวนป๋อ เป็นธิดาตระกูลใหญ่ ก็สมควรต้องมีกฎระเบียบตามที่ธิดาตระกูลใหญ่พึงมี เมื่อก่อนข้าไม่อยู่ที่เมืองหลวง ไม่มีใครดูแลความประพฤติพวกเจ้า ต่อไปสมควรต้องตั้งกฎระเบียบขึ้นมาแล้ว มิเช่นนั้นให้คนนอกรู้เข้าคงได้หัวเราะว่าคุณหนูของจวนป๋อเราไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน”
พวกเจียงชิงเซวียนและเจียงชิงหว่านต่างรีบลุกขึ้นตอบรับด้วยเสียงเคารพนบนอบ เจียงชิงอวี้เองก็ได้แต่รับคำตามไปด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพยักหน้า สายตามองเจียงชิงอวี้ปราดหนึ่ง จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้ยกอาหารขึ้นโต๊ะ
ครั้นกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย คนทั้งหลายก็นั่งคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงแยกย้ายกลับไป
เจียงชิงหว่านเองก็กลับไปเรือนปีกตะวันออกของตนเองเช่นกัน นางหยิบหนังสือสองสามเล่มที่ซื้อระหว่างทางมาอ่าน หลังกินอาหารกลางวันเสร็จก็รู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง จึงเอนตัวงีบบนเตียงเตาไม้ริมหน้าต่างครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปเรือนหลักเพื่อคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียง
ครั้นถึงยามเซินเจียงเทียนโย่วก็กลับมา ซ้ำยังนำกล่องของขวัญกลับมาด้วยจำนวนมาก เขาสั่งให้สาวใช้นำมาที่เรือนซงเฮ่อเพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงดู
เจียงชิงหว่านมองดูอยู่ข้างๆ เห็นว่ามีคทาสมปรารถนาทำจากหยกขาวสลักลายต้นสนและหลินจือ ที่ทับกระดาษหยกเขียวสลักลายทิวทัศน์และผู้คน ผ้าไหมแพรพรรณหลากสีสันจากหูโจวหางโจวอีกหลายพับ และยังมีไม้จันทน์แดงหนึ่งท่อนใหญ่วางอยู่ในกล่องลงรักเขียนลายทอง
แต่ละอย่างล้วนเป็นของล้ำค่าราคาแพง มองออกได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพอใจยิ่ง กล่าวชมเจียงเทียนโย่วไปหลายคำ
เจียงเทียนโย่วจึงถามว่า “ท่านแม่ ท่านคิดจะไปเยี่ยมเยียนทางนั้นเมื่อไร ลูกจะสั่งให้คนเตรียมรถม้าแล้วเรียกองครักษ์มาคุ้มกันท่านไปส่ง”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคิดแล้วเอ่ยว่า “วันพรุ่งนี้เลยแล้วกัน”
มองเห็นเจียงชิงหว่านที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวว่า “หว่านเจี่ย วันพรุ่งนี้ก็ตามข้าไปด้วย”
เจียงชิงหว่านเพียงแค่นึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะไปเยี่ยมมิตรสหายเก่าสักบ้านหนึ่ง จึงตอบรับด้วยเสียงเคารพนบนอบ
ตนเดานิสัยใจคอของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดขอเพียงไม่เอ่ยขัดนาง เชื่อฟังนาง ทำตัวเป็นหลานสาวที่ว่านอนสอนง่าย อันที่จริงนางก็แสดงออกว่ารักใคร่เอ็นดูหลานผู้นั้นเป็น
อีกทั้งเจียงชิงหว่านก็กระจ่างใจดีว่าตอนนี้อยู่ในจวนหย่งชางป๋อ ตนจำเป็นต้องได้ความรักใคร่เอ็นดูจากฮูหยินผู้เฒ่าเจียง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนบอกเจียงชิงหว่านว่าวันพรุ่งนี้ให้เลือกเครื่องแต่งกายที่หรูหราสักหน่อย เจียงชิงหว่านก็ล้วนรับปากทุกอย่าง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 01 ก.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.