บทที่ 22 สหายสนิทในชาติก่อน
แม้จะผ่านมาถึงปัจจุบัน เจียงชิงหว่านก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดซุนอิ้งเซวียนถึงทำกับนางเช่นนั้น อีกฝ่ายมีสิทธิ์อันใดมาทำกับนางเช่นนั้นด้วย
มารดาของซุนอิ้งเซวียนเป็นบุตรสาวช่างตัดเสื้อ บิดาเป็นนายกองอยู่ที่อวิ๋นโจว เพียงแต่ในบ้านเขามีนายหญิงอยู่แล้ว นายหญิงผู้นั้นมีนิสัยเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ถึงมารดาของซุนอิ้งเซวียนจะคลอดเด็กออกมาแล้วก็ยังคงไม่อนุญาตให้พวกนางสองแม่ลูกเข้าบ้าน นายกองซุนจนปัญญา ได้แต่เช่าเรือนให้พวกนางแม่ลูกอยู่ อาศัยจังหวะที่นายหญิงเผลอไปเยี่ยมเป็นครั้งคราว ทว่าเบี้ยหวัดเงินเดือนล้วนให้นายหญิงไปหมด ดังนั้นซุนอิ้งเซวียนกับมารดาจึงมีชีวิตลำบากยากแค้นยิ่ง
หลังจากเจียงชิงหว่านได้รู้จักกับซุนอิ้งเซวียน เห็นอีกฝ่ายน่าสงสารจึงช่วยจุนเจือพวกนางแม่ลูกเป็นประจำ ซ้ำยังสอนให้ซุนอิ้งเซวียนรู้หนังสือ แม้ต่อมานางจะตัดสัมพันธ์กับบิดา แต่งงานกับชุยจี้หลิง ในมือไม่มีเงินเหลือใช้เหมือนเมื่อก่อน ก็ยังมักจะไปเยี่ยมเยียนอีกฝ่าย คอยช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้
นางเห็นซุนอิ้งเซวียนเป็นสหายสนิทเสมอมา ถึงแม้ภายหลังนางจะตามชุยจี้หลิงไปกานโจว ทว่าไม่นานซุนอิ้งเซวียนก็ยังตามมา นางก็ยังให้อีกฝ่ายพักอยู่ด้วย
ไม่คิดว่าจะเป็นการชักศึกเข้าบ้านโดยแท้
ดังนั้นพอได้เห็นซุนอิ้งเซวียนในยามนี้ แม้เจียงชิงหว่านจะรู้สึกว่าเรื่องในชาติก่อนล้วนผ่านไปแล้ว นางไม่อยากไปคิดถึงอีก แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกไม่ดี
นางจึงเบือนหน้าไปมองภาพสลักนูนต่ำรูปดอกโบตั๋นและดอกไห่ถังบนกำแพงกั้นด้านข้าง
เวลานี้ซุนอิ้งเซวียนกลับมองเห็นพวกนางสองย่าหลานแล้ว สายตาพินิจมองขึ้นลงเล็กน้อย เห็นพวกนางสองคนแต่งกายหรูหรา อีกทั้งเจียงชิงหว่านก็ดูงดงามหยาดเยิ้มนิ่มนวลตรึงใจจึงถามปี้อวี้ “สองท่านนี้คือ…”
ปี้อวี้ยอบตัวคารวะซุนอิ้งเซวียน เอ่ยเรียกว่า “แม่นางซุน” จากนั้นก็ตอบว่า “สองท่านนี้คือฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูของจวนหย่งชางป๋อเจ้าค่ะ”
จากนั้นก็กล่าวแนะนำต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเจียงชิงหว่าน “ท่านนี้คือบุตรสาวของผู้บังคับการซุนแห่งกองกำลังรักษาเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
ซุนอิ้งเซวียนรู้ว่าหย่งชางป๋อคือเจียงเทียนโย่ว และขณะเดียวกันเจียงเทียนโย่วก็เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการของกองกำลังรักษาเมืองหลวง มีตำแหน่งสูงกว่าบิดานางที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของอีกฝ่าย
ในเมื่อสองคนตรงหน้านี้เป็นมารดาและบุตรสาวของหย่งชางป๋อหรือก็คือผู้ช่วยผู้บัญชาการเจียง ซุนอิ้งเซวียนจึงได้แต่ยอบตัวคารวะพวกนางสองคน ก่อนกล่าวอย่างเคารพนบนอบ “ผู้น้อยซุนอิ้งเซวียนคำนับฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูเจียง”
เจียงชิงหว่านไม่ได้มองซุนอิ้งเซวียนและไม่ได้คารวะตอบ
เมื่อครู่เจียงชิงหว่านมองเห็นซุนอิ้งเซวียนยังทำทรงผมของหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน ปี้อวี้เองก็เรียกนางว่า ‘แม่นางซุน’ จึงรู้ว่าอันที่จริงนางยังไม่ได้แต่งงาน
ตอนนั้นนางมิใช่ตั้งครรภ์บุตรของชุยจี้หลิง ซ้ำยังบอกว่านางกับชุยจี้หลิงมีใจให้กันหรือไร ระหว่างนั้นเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ถึงได้ไม่มีบุตรของพวกเขาสองคน อีกทั้งชุยจี้หลิงก็ไม่ได้แต่งนางเป็นภรรยาหรือรับนางเป็นอนุภรรยา
มิใช่เจียงชิงหว่านไม่อยากรู้ แต่ในใจนางรู้สึกอยู่ตลอดว่าเรื่องของชุยจี้หลิงกับซุนอิ้งเซวียนไม่เกี่ยวข้องกับนางอีกต่อไปแล้ว นางไม่อยากไปถามให้มากความอีก ดังนั้นจึงไม่ถาม ไม่คิด และพยายามทำให้อารมณ์ของตนเองสงบลง
เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกำลังมองดูซุนอิ้งเซวียน นางสังเกตเห็นแล้วเช่นกันว่าทรงผมบนศีรษะอีกฝ่ายเป็นทรงของสตรีที่ยังไม่ออกเรือน
เห็นอีกฝ่ายสวมเสื้อผ่าหน้าสีเขียวอมฟ้าปักลายดอกอิ๋งชุนตรงคอเสื้อ รูปโฉมก็ดูงามหยาดเยิ้มนิ่มนวลน่าพึงใจ เพียงแต่ดูจะอายุปาไปยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ถึงกับยังไม่ได้แต่งงาน
ในใจจึงมีความฉงนสงสัย แต่ครั้นได้ยินว่าบิดาของซุนอิ้งเซวียนเป็นเพียงผู้บังคับการก็ไม่มีความสนใจจะไปยุ่งเรื่องของนาง เพียงแต่พยักหน้าให้น้อยๆ ถือเป็นการทักทาย จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินออกนอกประตูโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
เจียงชิงหว่านย่อมจะไม่มองซุนอิ้งเซวียนตรงๆ แม้แต่แวบเดียว เพียงเดินตามหลังฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ซุนอิ้งเซวียนมองแผ่นหลังของพวกนางสองคน ลอบกัดฟันเงียบๆ
ย่าหลานสองคนนี้มีท่าทีเย็นชาต่อนางมากจริงๆ ใครใช้ให้พวกนางเป็นคนในครอบครัวของหย่งชางป๋อเล่า ในขณะที่บิดานางจนบัดนี้ยังเป็นแค่ผู้บังคับการ สองคนนั้นมีพื้นเพใหญ่พอจะเย็นชาต่อนางเช่นนี้จริงๆ
ปี้อวี้กับเป่าจูเดินไปส่งฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเจียงชิงหว่านเสร็จก็เดินกลับมาเรียกซุนอิ้งเซวียน “แม่นางซุน”
เมื่อครู่ซุนอิ้งเซวียนยังมีสีหน้าคล้ำเคร่ง ยามนี้กลับปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นมาทันที ก่อนรับผ้าเช็ดหน้าแพรผืนหนึ่งมาจากมือสาวใช้ด้านข้าง เมื่อนางคลี่ผ้าออก ทุกคนก็เห็นแหวนพลอยสีขี้นกการเวกอยู่ข้างในนั้นสองวง
“ไม่กี่วันก่อนข้าไปเลือกเครื่องประดับเป็นเพื่อนท่านแม่ที่ร้าน มองเห็นแหวนพลอยสีขี้นกการเวกสองวงนี้ก็คิดว่าพวกเจ้าสองคนใส่แล้วต้องดูดีแน่นอน จึงซื้อมาให้พวกเจ้าสองคน”
ปี้อวี้กับเป่าจูล้วนเป็นหัวหน้าสาวใช้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าชุย อีกทั้งฮูหยินผู้เฒ่าชุยก็ไว้ใจพวกนางสองคนมาก ซุนอิ้งเซวียนจึงต้องผูกสัมพันธ์กับพวกนางสองคนให้ได้
นี่มิใช่ครั้งแรกที่ซุนอิ้งเซวียนมอบสิ่งของให้พวกนาง ปี้อวี้กับเป่าจูปฏิเสธสองสามคำเสร็จก็รับแหวนมา จากนั้นก็เชิญให้ซุนอิ้งเซวียนมุ่งหน้าไปต่อ
ซุนอิ้งเซวียนจึงถามว่าไม่กี่วันมานี้ฮูหยินผู้เฒ่าชุยสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง อาการป่วยดีขึ้นหรือไม่ จากนั้นก็ถามถึงฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเจียงชิงหว่าน “ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนหย่งชางป๋อท่านนี้พาหลานสาวมาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสาเหตุใด”
จนบัดนี้ชุยจี้หลิงก็ยังไม่ได้แต่งงานใหม่ ในเมืองหลวงมีผู้สูงศักดิ์ทรงอำนาจตั้งเท่าไรอยากยกบุตรสาวหรือไม่ก็พี่สาวน้องสาวของตนเองให้แต่งงานกับเขา และคุณหนูจากจวนหย่งชางป๋อผู้นี้ก็ดูหน้าตาดียิ่งยวด ฐานะตระกูลก็คู่ควรกัน…
ซุนอิ้งเซวียนอดคิดมากไม่ได้ ในใจเริ่มหวาดหวั่นขึ้นมา
หากกล่าวถึงฐานะตระกูล นางจะต้องสู้คุณหนูเจียงคนเมื่อครู่นี้ไม่ได้แน่นอน หนำซ้ำตอนนี้นางก็อายุยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีเข้าไปแล้ว จะเทียบกับสาวน้อยผู้งามหยาดเยิ้มเมื่อครู่นี้ได้อย่างไร
ปี้อวี้กับเป่าจูเพิ่งจะรับแหวนจากซุนอิ้งเซวียน จึงย่อมจะบอกออกมาอย่างครบถ้วน
“พวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงถูกโจรปล้นระหว่างเดินทางเข้าเมืองหลวง แต่ได้ท่านโหวของพวกเรายื่นมือช่วยเหลือ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงซาบซึ้งใจ วันนี้จึงได้นำของขวัญอย่างงามมาขอบคุณ ไม่คิดว่าพอได้พบหน้ากัน…แม่นางลองเดาสิเจ้าคะว่าเป็นอย่างไร ที่แท้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราเป็นคนรู้จักกันในอดีต สองตระกูลนับได้ว่ามีไมตรีแน่นแฟ้นกันมาหลายชั่วคนจนเปรียบเสมือนญาติ ฮูหยินผู้เฒ่าดีใจ จึงรั้งฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับคุณหนูเจียงให้อยู่สนทนากันครู่ใหญ่ ทั้งยังรั้งให้พวกนางกินอาหารด้วยกันด้วย ก่อนฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะกลับ ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราก็ยังอาลัยอาวรณ์ยิ่ง ชวนให้นางกับคุณหนูเจียงมาอีก ซ้ำยังบอกด้วยว่าถ้ามีเวลาว่างจะไปเยี่ยมที่จวนหย่งชางป๋อ พวกเราปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามานานเพียงนี้ เพิ่งจะได้เห็นฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขมากเพียงนี้เป็นครั้งแรก”
ในเมื่อสองตระกูลเปรียบเสมือนญาติ เช่นนั้นจะว่าไปแล้วคุณหนูเจียงคนเมื่อครู่ก็ต้องเรียกชุยจี้หลิงว่าท่านอา ดูท่านางจะคิดมากเกินไป
ซุนอิ้งเซวียนวางหัวใจที่เป็นกังวลลง เดินตามปี้อวี้และเป่าจูต่อไป
ครั้นมาถึงเรือนเหยี่ยนชิ่งของฮูหยินผู้เฒ่าชุย ก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่าชุยกำลังเอนตัวอยู่บนเตียงเตาไม้ตรงหน้าต่างทิศใต้ สองตาพริ้มหลับ ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไร
ปี้อวี้กับเป่าจูเข้าไปรายงาน “ฮูหยินผู้เฒ่า แม่นางซุนมาเยี่ยมท่านแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าชุยถึงลืมตาขึ้น เรียกให้ซุนอิ้งเซวียนมานั่ง ก่อนจะสั่งให้สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามา
ซุนอิ้งเซวียนนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะเตี้ย บอกให้สาวใช้ที่ติดตามตนเองนำกล่องอาหารที่ถืออยู่ในมือมาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นนางก็เปิดฝากล่องออก หยิบน้ำแกงโถหนึ่งออกมา ยามเปิดออกดูก็เห็นเป็นรังนกเย็นใส่ดอกไป่เหอและเห็ดหูหนูขาว ตุ๋นมาได้เปื่อยยิ่ง
“ตอนข้ามาเยี่ยมท่านเมื่อสองวันก่อน ได้ยินท่านไออยู่หลายที ไม่กี่วันนี้ในใจเอาแต่คิดเรื่องนี้ตลอด วันนี้ตื่นเช้ามาข้าจึงได้ตุ๋นรังนกเย็นใส่ดอกไป่เหอและเห็ดหูหนูขาวโถนี้ กินแล้วดีต่อปอด ท่านต้องดื่มให้หมดนะเจ้าคะ”
จากนั้นก็หยิบขนมสองจานเล็กออกมาจากก้นกล่องอาหาร จานหนึ่งเป็นขนมซานเย่าไส้พุทรา อีกจานเป็นถั่วลันเตากวน ยิ้มพลางกล่าวว่า “ขนมสองอย่างนี้ข้าก็เพิ่งทำเสร็จเช่นกัน คิดว่าท่านชอบกิน จึงนำมาให้ท่านด้วยเจ้าค่ะ”
ปี้อวี้กับเป่าจูรู้จักดูสถานการณ์ จึงไปหยิบจานชามกระเบื้องเคลือบขาวเขียนลายทองมาสองชุดเตรียมไว้นานแล้ว ทั้งยังหยิบตะเกียบงาช้างคู่เล็กมาสองคู่วางลงเบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าชุยและซุนอิ้งเซวียน ซุนอิ้งเซวียนจึงคีบขนมซานเย่าไส้พุทราและถั่วลันเตากวนอย่างละชิ้นวางลงในจานเล็กเขียนลายทองที่เบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าชุย ก่อนกล่าวยิ้มๆ “ท่านลองชิมดูเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าชุยเพิ่งจะกินอาหารกลางวันเสร็จไม่นาน อันที่จริงกินอะไรไม่ลงแล้ว แต่คิดว่าจะอย่างไรก็เป็นขนมและน้ำแกงที่ซุนอิ้งเซวียนตั้งใจทำมาให้นาง จึงยังคงกินไปอย่างละนิดอย่างละหน่อย
ในใจเองก็นึกยินดีเช่นกัน หลังวางช้อนในมือลงก็ยิ้มให้ซุนอิ้งเซวียน “เจ้าช่างใส่ใจนัก วันก่อนข้าไอแค่ไม่กี่ทีเจ้าก็ยังจำได้ ซ้ำยังไม่ลืมว่าช้าชอบกินขนมสองอย่างนี้ ตั้งใจทำมาให้ข้ากินอีก”
“ท่านเกรงใจแล้วเจ้าค่ะ” ซุนอิ้งเซวียนก้มหน้าน้อยๆ เผยต้นคอขาวผ่องนวลเนียนออกมา กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน “ข้าไม่เคยลืมการดูแลที่ท่านมีต่อข้าขณะอยู่ที่กานโจว แล้วจะไม่ตอบแทนได้อย่างไร หากมิใช่พักอยู่ไกล ข้าก็อยากตุ๋นน้ำแกง ทำขนมที่ท่านชอบกินมาให้ทุกวันเจ้าค่ะ”
จวนจิ้งหนิงโหวกับจวนสกุลซุนอยู่กันคนละทิศ หนึ่งตะวันออกหนึ่งตะวันตก ห่างกันไกลพอสมควร นั่งรถม้าต้องใช้เวลาถึงหนึ่งในสี่ชั่วยาม
ฮูหยินผู้เฒ่าชุยชอบซุนอิ้งเซวียนมาตลอด รู้สึกว่านางอ่อนน้อมอ่อนหวาน ตอนอยู่ที่กานโจวก็เกิดความคิดอยากให้ชุยจี้หลิงรับนางเป็นอนุภรรยา ยามนี้มองเห็นนางยังทำผมเป็นทรงของสตรียังไม่ออกเรือน ในใจก็รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร จึงถอนหายใจเบาๆ
“ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีหลิงเกอมาตลอด และก็เป็นเพราะเขาเจ้าจึงไม่ได้แต่งงานมาตลอดเช่นกัน” เสียงฮูหยินผู้เฒ่าชุยระคนแววปวดใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหญิงสาวที่ดีมาก ในใจก็ชมชอบเจ้ายิ่ง อยากให้เจ้ามาเป็นสะใภ้ของข้าเช่นกัน แต่หลิงเกอเขา…”
กล่าวถึงตรงนี้ ในเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าชุยก็แฝงแววจนใจอยู่เล็กๆ “เจ้าเองก็รู้ ทั้งๆ ที่หญิงผู้นั้นทิ้งจดหมายฉบับนั้นไว้ บอกว่าทนรับชีวิตที่ยากจนข้นแค้นเพียงนี้ไม่ไหว ต้องการไปหาพี่เฉิงของนาง ทั้งยังเขียนหนังสือหย่าสามีไว้ด้วย นี่เป็นเรื่องผิดจารีตประเพณีโดยแท้ ยามนั้นข้ามีหรือจะไม่เคยโน้มน้าวให้หลิงเกอลืมนาง แต่สองตาเขาก็เอาแต่แดงก่ำ ไม่สนใจคำพูดของข้าโดยสิ้นเชิง ต่อมายังถึงกับทิ้งพู่กันเข้าร่วมกองทัพ ไปนำทัพออกศึก ข้าเข้าใจความคิดความอ่านของเขาดี ขุนนางบุ๋นเลื่อนขั้นช้า ไหนเลยจะเร็วเท่าขุนนางบู๊ สตรีนางนั้นทิ้งเขาไปเพื่ออำนาจและความร่ำรวย เขาก็จะไปแสวงหามันมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะต้องการประชดหรือต้องการให้สตรีนางนั้นเห็นเขามั่งคั่งมีอำนาจแล้วกลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้งกันแน่”
ซุนอิ้งเซวียนฟังมาถึงตรงนี้ มือทั้งสองก็กำปลายแขนเสื้อตนเองแน่น ออกแรงมากจนข้อนิ้วขึ้นสีขาวอยู่บ้าง
ทั้งๆ ที่ในใจริษยาแทบตาย แต่นางกลับต้องปลอบฮูหยินผู้เฒ่าชุยด้วยเสียงนุ่มนวล “ท่านโหวเป็นคนมีความรักลึกซึ้ง อีกอย่างถ้ามิใช่ตอนนั้นเขาทำการตัดสินใจอันเด็ดขาดชาญฉลาดนี้ออกมา ยอมทิ้งพู่กันเข้าร่วมกองทัพ บัดนี้ก็คงไม่ได้รับบรรดาศักดิ์จิ้งหนิงโหวจากฝ่าบาท ซ้ำยังได้เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารแล้ว นี่เป็นเรื่องมีเกียรติมีศักดิ์ศรีตั้งระดับใด ท่านสมควรดีใจจึงจะถูกนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าชุยเองก็ไม่ได้คุยเรื่องในอดีตกับใครมานานแล้ว อาจเป็นเพราะวันนี้ได้ยินชื่อเจียงชิงหว่านเข้า จึงไปสะกิดให้เรื่องในอดีตเหล่านั้นพรั่งพรูขึ้นมา
“มีอะไรน่าดีใจกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าชุยมีสีหน้าเรียบเฉย “ทหารหยาบช้า จะเทียบกับบัณฑิตที่สูงส่งบริสุทธิ์ได้อย่างไร”
บรรพบุรุษของนางเคยทำงานเป็นอาลักษณ์ในสำนักฮั่นหลินนับได้ว่าเป็นตระกูลบัณฑิต จึงดูถูกทหารเสมอมา ยามนี้จึงไม่ได้คิดมาก นึกอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น
ซุนอิ้งเซวียนจึงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาน้อยๆ บิดานางก็เป็นทหาร นางเองก็เป็นบุตรสาวของทหาร ทว่าเพียงไม่นานก็เก็บแววกระอักกระอ่วนบนใบหน้าลง ฟังฮูหยินผู้เฒ่าชุยพูดต่อ
“มิหนำซ้ำความดีความชอบเหล่านี้ก็ล้วนเป็นเขาใช้ชีวิตไปแลกมา มีหนหนึ่งถูกธนูอาบยาพิษ แม้จะช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ที่สุดแล้วก็ขจัดพิษได้ไม่หมด ทุกครั้งที่พิษกำเริบ อวัยวะภายในล้วนราวกับถูกไฟเผา อยู่มิสู้ตาย ข้าบอกให้เขาเลิกไปนำทัพออกศึก เขาก็ไม่ฟัง ยังคงจะไป”
พูดถึงตรงนี้ฮูหยินผู้เฒ่าชุยก็มีน้ำตาคลอ สีหน้าเปี่ยมแววปวดใจ ในใจพลันเคืองแค้นขึ้นมาอยู่บ้าง “ไม่รู้ว่าสตรีนางนั้นกรอกยาเสน่ห์ใดให้เขา ทั้งๆ ที่ทำเรื่องไร้ยางอายพวกนั้นออกมาแล้วแท้ๆ ในใจหลิงเกอก็ยังคิดถึงนางตลอด แม้เขาจะไม่พูด ถึงขั้นไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเอ่ยถึงชื่อและเรื่องใดๆ ของสตรีนางนั้นต่อหน้าเขาอีก ทว่าไม่มีใครเข้าใจบุตรชายเท่าผู้เป็นแม่ ข้าเป็นแม่ของเขา มีหรือจะไม่รู้ว่าในใจเขากำลังคิดสิ่งใด สุดท้ายแล้วก็ยังคงลืมสตรีนางนั้นไม่ได้”
ด้วยอารามพลุ่งพล่าน ฮูหยินผู้เฒ่าชุยจึงเผลอกระแทกลูกประคำในมือลงกับโต๊ะ เกิดเป็นเสียงเบาๆ ออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่าชุยก้มหน้ามองลูกประคำแล้วก็พลันอึ้งงันไป จากนั้นก็ส่ายศีรษะยิ้มเจื่อน
หลายปีมานี้นางหันหน้าเข้าหาธรรมะ นึกว่าจะปลงเรื่องในอดีตได้หมดแล้ว และไม่ไปถือสากับความเย็นชาที่ชุยจี้หลิงมีต่อมารดาอย่างนางตลอดหลายปีมานี้ แต่แค่เอ่ยถึงสตรีนางนั้น ในใจก็ยังคงนึกโมโห
หากไม่มีสตรีนางนั้น ความสัมพันธ์ของพวกนางแม่ลูกต้องไม่เย็นชาราวหิมะน้ำแข็งเหมือนปัจจุบันแน่นอน
หลับตาท่องนามของพระพุทธองค์ออกมาสองจบ ฮูหยินผู้เฒ่าชุยถึงได้รู้สึกว่าใจสงบลง มองซุนอิ้งเซวียนพลางกล่าว “เด็กดี ข้าไม่ปิดบังเจ้า หลายปีมานี้ข้าก็เสนอต่อเขาหลายครั้งว่าให้เขาแต่งเจ้า หรือไม่ก็รับเจ้าเป็นอนุภรรยา แต่ข้าดูท่าทีของเขาแล้ว…ช่างเถอะ เจ้าไปหาคนดีๆ แต่งงานด้วยแล้วใช้ชีวิตของเจ้าไปเสียดีกว่า ไม่มีความจำเป็นต้องทิ้งทั้งชีวิตของตนเพื่อเจ้าตัวบัดซบเช่นนี้ ข้าเห็นแล้วรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าแทนเจ้า”
ซุนอิ้งเซวียนก้มหน้าไม่พูดอะไร นางเป็นคนละเอียดอ่อน ย่อมล่วงรู้ความคิดความอ่านของชุยจี้หลิง จึงอดไม่ได้ที่จะริษยาขึ้นมา
เจียงชิงหว่านมีอะไรดีกันแน่ หายตัวไปตั้งเก้าปีแล้ว ชุยจี้หลิงก็ยังคิดถึงนางอยู่เช่นนี้ ถึงขั้นเรื่องความอกตัญญูมีสามประการ ประการใหญ่ที่สุดคือไร้ทายาทสืบสกุลนี้เขาก็ยังไม่แยแส
นางทำอะไรไปตั้งมากมายเพียงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางปล่อยมือจากชุยจี้หลิงแน่ ถึงจะเป็นภรรยาหรืออนุภรรยาของเขาไม่ได้ ขอแค่ได้อยู่ข้างกายเขาก็ได้เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้นางจึงเงยหน้ามองฮูหยินผู้เฒ่าชุย ในสายตามีแววเด็ดเดี่ยวและยังมีแววบ้าคลั่งอยู่รางๆ
“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านก็ทราบในความคิดจิตใจของข้า หลายปีมานี้มันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย” เสียงของนางแผ่วเบาราวกับปุยหลิวร่วงหล่นลงพื้น “เอาทั้งชีวิตมาทิ้งนับเป็นอะไรได้เล่า ท่านไม่ต้องโน้มน้าวข้าแล้วเจ้าค่ะ ข้ายินยอมพร้อมใจจะทำเช่นนี้”
บทที่ 23 พบกันกลางดึก
หลังฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกลับจวนมาก็ดีใจยิ่ง
เดิมทีก็ไปด้วยจุดประสงค์ที่จะแอบอิงจวนจิ้งหนิงโหว คิดไม่ถึงว่าสองตระกูลจะเคยรู้จักกันในอดีต ซ้ำกล่าวไปแล้วยังมีไมตรีแน่นแฟ้นมาหลายชั่วคน นี่เป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงโดยแท้
ด้วยเหตุนี้พอเจียงเทียนโย่วกลับมาจากที่ทำงาน นางจึงบอกเรื่องนี้ต่อเขา
“…หากจะกล่าวขึ้นมาจริงๆ สกุลชุยกับสกุลเจียงของเรามีไมตรีต่อกันอย่างลึกซึ้งยาวนานยิ่ง ตอนที่ท่านปู่ของเจ้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ใต้เท้าชุยก็เป็นสหายที่สนิทที่สุดเพียงคนเดียวของเขา กล่าวว่ามิตรภาพแน่นแฟ้นยิ่งกว่าชีวิตก็ไม่เกินไป มิเช่นนั้นต่อมาพอใต้เท้าชุยไปล่วงเกินเสนาบดีกรมโยธาเข้า ท่านปู่เจ้าก็คงไม่ก้าวออกมาสู้แล้ว และเป็นเพราะเหตุนี้คนทั้งสองถึงได้ถูกปลดจากตำแหน่งขุนนาง”
เจียงเทียนโย่วได้ยินแล้วก็ตระหนกตกใจยิ่ง
เมื่อก่อนเขาก็เคยได้ยินบิดาผู้ล่วงลับพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าเจียง รู้ว่าท่านปู่มีสหายที่สนิทที่สุดอยู่ท่านหนึ่ง แซ่ชุย เป็นผู้ช่วยเสนาบดีกรมโยธา แต่คิดไม่ถึงว่าชุยจี้หลิงจะเป็นทายาทของสกุลชุยนี้
เวลานี้เองฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็เริ่มตำหนิเจียงเทียนโย่ว “เป็นเพราะหลายปีมานี้เจ้าไม่สนิทชิดเชื้อกับท่านโหวชุยนี่แหละ ถ้าสนิทกันเร็วกว่านี้ สองคนเล่าถึงประวัติวงศ์ตระกูล มิใช่ได้รู้ไปนานแล้วหรือว่าพวกเจ้าสองคนนับเป็นพี่น้องกัน ตอนนี้เจ้ามีหรือจะยังเป็นแค่ผู้ช่วยผู้บัญชาการ ดีไม่ดีอาจจะได้เป็นผู้บัญชาการไปแล้ว”
ครั้นแล้วก็ต่อว่าเจียงเทียนโย่วอย่างหนักอีกสองสามคำ
เจียงเทียนโย่วเป็นคนกตัญญู จึงปล่อยให้มารดาพูดโดยไม่ยอกย้อนกลับไปแม้แต่คำเดียว รอนางต่อว่าจบแล้ว เขาถึงยิ้มปะเหลาะพลางกล่าวว่า “วันก่อนท่านแม่บอกให้ลูกไปหาอาจารย์สอนงานเย็บปักมาคนหนึ่ง ลูกจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงถามว่าเป็นคนเช่นไร ก็ได้ยินเจียงเทียนโย่วตอบว่า “ตอนยังสาวหมัวมัวผู้นี้เป็นช่างปักผ้า ได้ยินว่าผลงานแม้แต่ช่างปักผ้าในวังก็ยังสู้ไม่ได้ ต่อมาอายุมากแล้วจึงผันตัวมาสอนงานปักให้คุณหนูตระกูลใหญ่ ตอนนี้อายุห้าสิบกว่าแล้ว ในบ้านมีบุตรชายและสะใภ้ รวมถึงหลานชายหลานสาวอีกสองคน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพยักหน้า บอกให้เจียงเทียนโย่วตรวจสอบชาติตระกูลของอีกฝ่ายให้แน่ชัดว่าขาวสะอาดหรือไม่ ก่อนจะกล่าวว่า “แม่เองก็ไม่ได้อยากให้พวกนางพี่น้องเย็บปักถักร้อยได้ดีมากมาย วันหน้าคุณหนูของจวนป๋อเราจะต้องได้แต่งงานกับคนที่ฐานะไม่เลวอย่างแน่นอน ในบ้านย่อมจะมีคนทำงานเย็บปักโดยเฉพาะ แต่คุณธรรมสตรีมีสี่ประการอย่างไรก็ต้องทำงานบ้านงานเรือนเป็น”
เจียงเทียนโย่วรับคำ ก่อนจะได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเจียงถามถึงเรื่องไปยื่นป้ายประจำตัวเพื่อขอเข้าเฝ้าเจียงฮุ่ยเฟย เจียงเทียนโย่วจึงตอบว่า “ยังไม่ได้รับการตอบกลับมาเลยขอรับ คิดว่ายังต้องรออีกสักสองวัน”
แม้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะอยากพบบุตรสาวเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็รู้ว่าในวังมีกฎระเบียบมาก มีฐานะเป็นสนมชายาของฮ่องเต้ ถึงแม้คนในตระกูลเดิมอยากเข้าวังไปเยี่ยมก็ยังต้องให้ฝ่าบาท ไทเฮา และฮองเฮาพยักหน้าตกลงก่อนถึงจะทำได้ แน่นอนว่าย่อมไม่เร็วถึงเพียงนั้น
ทันใดนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็นึกได้ว่าฮองเฮาองค์ปัจจุบันคือบุตรสาวของฮูหยินผู้เฒ่าชุย ในใจนางนึกยินดีขึ้นมาอีก คิดว่าจะต้องใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์นี้ให้ดี
คุยกับเจียงเทียนโย่วได้อีกไม่กี่คำ เมื่อเห็นท้องฟ้ามืดแล้วฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงให้เขากลับไปพักผ่อนที่เรือนหลิวเซียงเร็วหน่อย ด้วยวันพรุ่งนี้ยังต้องไปทำงาน
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเองก็อยากจะได้หลานชายสายตรงสักคน อีกทั้งในใจก็รู้สึกว่าหลายปีมานี้ให้เหยาซื่อคอยปรนนิบัติแสดงความกตัญญูต่อตนเองจนเสียเวลาของพวกเขาสามีภรรยาไป ดังนั้นไม่กี่วันนี้จึงตั้งใจกำชับให้เจียงเทียนโย่วไปค้างที่เรือนหลิวเซียงเป็นพิเศษ
เจียงเทียนโย่วตอบรับเสร็จก็ลุกขึ้นขอตัว เมื่อเดินออกนอกประตู ฝูหรงที่ยืนอยู่ตรงระเบียงเห็นแล้วก็รีบเรียกให้สาวใช้นามชุนเยี่ยนถือโคมไปส่งนายท่าน ทางหนึ่งก็ส่งสายตาให้นาง ชุนเยี่ยนก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
คืนนี้มีแสงจันทร์สลัว ต้นไม้ใบหญ้าข้างทางล้วนราวกับมีมุ้งผืนบางปกคลุม บางคราวจะได้ยินเสียงแมลงหน้าร้อนดังมา
เจียงเทียนโย่วเดินทอดอารมณ์ ขณะผ่านระเบียงยาวสายหนึ่งก็ได้ยินคนกำลังพูดอยู่ข้างซุ้มดอกสายน้ำผึ้งด้านหน้า
ฟังคล้ายจะเป็นเสียงของเมิ่งอี๋เหนียง
พอเขาเดินไปก็ได้ยินเมิ่งอี๋เหนียงกำลังพูดว่า “…ดอกสายน้ำผึ้งตรงนี้กำลังผลิบาน ข้าอยากเด็ดอีกสักหน่อย”
ครั้นเจียงเทียนโย่วชะโงกหน้ามองก็เห็นเมิ่งอี๋เหนียงกำลังเด็ดดอกสายน้ำผึ้งบนซุ้ม ในมือฮุ่ยเซียงที่ยืนอยู่ข้างนางประคองถาดสีแดงไว้ใบหนึ่ง ด้านในมีดอกสายน้ำผึ้งกองเล็กวางอยู่แล้ว
ในใจเจียงเทียนโย่วนึกสงสัยใคร่รู้ จึงเดินไปถาม “เจ้าเด็ดดอกสายน้ำผึ้งนี้ไปใช้ทำอะไร”
เมิ่งอี๋เหนียงทำท่าทางสะดุ้งออกมา เงยหน้าเห็นเป็นเจียงเทียนโย่ว สีหน้าก็ยังคงดูตกใจไม่หาย
“นายท่าน” นางร้องเรียกออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ยอบตัวคารวะเขา ถามเขาว่าเหตุใดจึงมาอยู่ตรงนี้ พอได้รู้ว่าเขาเพิ่งออกมาจากเรือนซงเฮ่อก็ถามถึงฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอีกสองสามคำ จากนั้นถึงกล่าวเสียงนุ่มนวล “วันนี้ผู้น้อยได้ยินบ่าวชายที่รับใช้ท่านบอกว่าท่านรู้สึกเจ็บคอยามตื่นมาตอนเช้า ทั้งยังไอหลายครั้ง วันนี้ผู้น้อยเป็นห่วงมาทั้งวัน คิดว่าใช้ดอกสายน้ำผึ้งไปต้มน้ำดื่มสามารถรักษาอาการเจ็บคอได้ดีที่สุด ซ้ำยังช่วยแก้ร้อนในได้ด้วย ดังนั้นยามนี้จึงอาศัยแสงจันทร์เดินมาเด็ดดอกสายน้ำผึ้ง วันพรุ่งนี้นำไปตากแดดสักหน่อย จากนั้นก็ต้มกับน้ำตาลทรายให้นายท่านดื่มเจ้าค่ะ”
ตอนตื่นนอนเจียงเทียนโย่วรู้สึกว่าคอทั้งเจ็บทั้งคันและมีอาการไออยู่บ้างจริงๆ ตนเองมิได้ใส่ใจ แต่คิดไม่ถึงว่าเมิ่งอี๋เหนียงจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ ซ้ำยังมาเด็ดดอกสายน้ำผึ้งด้วยตนเองในเวลาดึกดื่นเพื่อนำไปต้มให้เขาดื่มด้วย
ด้วยความซาบซึ้งใจ เขาจึงเดินไปกุมมือทั้งสองของเมิ่งอี๋เหนียงไว้ แล้วก็รู้สึกว่ามือนางเย็นเฉียบ
เห็นนางสวมเสื้อผ่าหน้าผ้าไหมหางโจวสีฟ้าอ่อนปักลายดอกไห่ถังตรงคอเสื้อก็ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าออกมาไยไม่สวมเสื้อผ้าหลายๆ ชั้น”
จากนั้นก็ปลดเสื้อคลุมผ้าต่วนสีครามบนร่างตนเองลงมาคลุมไว้บนร่างนาง
นี่ก็คือเสื้อคลุมตัวที่ไม่กี่วันก่อนเมิ่งอี๋เหนียงคลุมให้เจียงเทียนโย่วต่อหน้าเหยาซื่อในเรือนหลิวเซียง เมิ่งอี๋เหนียงเห็นแล้วก็มองเจียงเทียนโย่วพลางกล่าวว่า “นายท่านยังคลุมเสื้อคลุมตัวนี้อยู่? ผู้น้อยนึกว่าท่านจะโยนทิ้งไปแล้วเสียอีก”
เจียงเทียนโย่วเป็นคนไม่ละเอียดอ่อน ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนาง จึงถามว่า “เสื้อคลุมดีๆ ข้าจะทิ้งได้อย่างไร”
“ผู้น้อยคิดว่านายหญิงจะต้องทำเสื้อคลุมที่ดียิ่งกว่าให้ท่าน นายท่านจะยังเห็นของที่ผู้น้อยทำอยู่ในสายตาได้อย่างไรเจ้าคะ” เมิ่งอี๋เหนียงคอตก เสียงที่เอ่ยก็เบาลง
ภายใต้แสงจันทร์มองเห็นเพียงเรือนร่างผอมบางของนาง อีกทั้งยามนี้ก้มศีรษะพูดถ้อยคำเหล่านี้เสียงแผ่ว ดูไปก็น่าสงสารเป็นหนักหนา แม้แต่เหล็กกล้ายังอ่อนลงจนพันรอบนิ้วได้แล้ว
เจียงเทียนโย่วชมชอบสตรีที่อ่อนน้อมอ่อนหวานอยู่แต่เดิม เห็นเมิ่งอี๋เหนียงคิดเผื่อเขาทั้งใจ ดึกแล้วยังอุตส่าห์มาเด็ดดอกสายน้ำผึ้งไปต้มให้ดื่มด้วยตนเอง ยามนี้ยังได้ยินนางพูดเช่นนี้อีก ก็รู้สึกว่าเขามีความสำคัญในใจนางอย่างมาก นางเองก็ไม่อาจไม่มีเขาเช่นกัน หัวใจจึงถูกทำให้หวั่นไหวและก็อ่อนยวบ
เขาจึงกุมมือนางพลางพูดยิ้มๆ “ข้ารู้ว่าสองสามคืนนี้ข้าไม่ได้ไปเรือนเจ้า ในใจเจ้าจะต้องตำหนิข้าเป็นแน่ แต่เหยาซื่อเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ท่านแม่ก็บอกให้ข้าไปเรือนนางตลอด ข้าได้แต่เชื่อฟังทำตาม เจ้าวางใจได้ ในใจของข้ามีเจ้าเพียงผู้เดียว ใครก็สู้เจ้าไม่ได้”
เมิ่งอี๋เหนียงได้ยินแล้วในใจก็รู้สึกหวานล้ำ
จริงอยู่ว่านางอยากแย่งชิงความโปรดปรานให้ตนเอง แต่นางก็พึงใจในตัวเจียงเทียนโย่วจริงๆ ด้วย เพราะพึงใจจึงทนเห็นสตรีอื่นมาร่วมแบ่งปันกับนางไม่ได้ ดังนั้นพอเห็นไม่กี่วันมานี้เจียงเทียนโย่วเอาแต่ไปค้างที่เรือนหลิวเซียง ในใจนางก็รู้สึกราวกับมีมดนับแสนคอยกัดอยู่ตลอด
ในใจอยากให้เจียงเทียนโย่วไปที่เรือนนาง ทว่าได้ยินเขาพูดเช่นนี้ นางก็ยังคงแสดงสีหน้ายอมรับอย่างว่าง่ายออกมา “ผู้น้อยเข้าใจเจ้าค่ะ นายท่านกับนายหญิงไม่ได้พบกันหลายปี นายท่านสมควรจะไปอยู่เป็นเพื่อนนางให้มาก”
เมิ่งอี๋เหนียงมองแสงจันทร์เหนือศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวกับเจียงเทียนโย่ว “ดึกมากแล้ว นายท่านรีบไปเถิดเจ้าค่ะ หากไปช้า นายหญิงจะต้องคอยชะเง้อมองอยู่ที่ประตูแน่นอน อย่าปล่อยให้นายหญิงรอนาน ความรู้สึกของการรอคอยนายท่านมาหาอยู่ทุกเวลาเช่นนี้ไม่ดีเอาเสียเลย”
พูดถึงตรงนี้เสียงเมิ่งอี๋เหนียงก็เจือแววโศกาอาดูรหลายส่วน ทว่ายังคงเร่งให้เจียงเทียนโย่วไปเรือนหลิวเซียง
เจียงเทียนโย่วไม่ได้ไป กลับถามนางว่า “สองสามวันมานี้เจ้ามิใช่ชะเง้อมองว่าข้าจะมาหรือไม่มาอยู่ที่ประตูทุกวันเช่นกันหรอกรึ”
มิเช่นนั้นจะพูดเรื่องอย่าง ‘ความรู้สึกของการรอคอยนายท่านมาหาอยู่ทุกเวลาเช่นนี้ไม่ดีเอาเสียเลย’ ออกมาได้อย่างไร ชัดเจนว่าตัวนางได้ลิ้มรสความรู้สึกเองถึงได้รู้
เมิ่งอี๋เหนียงไม่ตอบ แต่ยังคงเร่งให้เจียงเทียนโย่วไปเรือนหลิวเซียง ซ้ำยังบอกว่ารอนางต้มน้ำดอกสายน้ำผึ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วจะให้บ่าวนำไปส่งให้เขา กำชับเขาว่าต้องดื่มอย่างเป็นห่วงเป็นใย
นางใช้ความรักอันแสนละมุนละไมถักทอเป็นตาข่ายตาถี่เช่นนี้ เหยื่ออย่างเจียงเทียนโย่วจะยังหนีรอดไปได้อย่างไร
เห็นเมิ่งอี๋เหนียงมีท่าทางเสียใจแท้ๆ ทว่าภายนอกกลับบอกให้เขาไปหาเหยาซื่ออย่างใจกว้าง เจียงเทียนโย่วก็รู้สึกว่าในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสารเห็นใจและอาลัยอาวรณ์ จึงกุมมือเมิ่งอี๋เหนียงแน่นขึ้นพลางกล่าวทันที “คืนนี้ข้าไม่ไปเรือนหลิวเซียงแล้ว ข้าจะไปเรือนเจ้าแทน”
เมิ่งอี๋เหนียงตกใจ รีบกล่าวว่า “ไม่ได้นะเจ้าคะ นี่เป็นเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับมา ผู้น้อยจะกล้าให้นายท่านไปที่เรือนของผู้น้อยได้อย่างไร นายท่านรีบไปเรือนของนายหญิงเถอะเจ้าค่ะ”
อุบายถอยเพื่อรุกนี้ใช้งานได้ดีจริงๆ เจียงเทียนโย่วไม่เพียงจับสังเกตไม่ได้ ยังรู้สึกว่าเมิ่งอี๋เหนียงเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นและคำนึงถึงส่วนรวมโดยแท้
เขาจึงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไปอยู่เป็นเพื่อนนางหลายวันเท่านี้ก็พอแล้ว คืนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ท่านแม่จะต้องไม่ว่าอะไรแน่นอน”
ครานี้เมิ่งอี๋เหนียงถึงแย้มยิ้มนุ่มนวลออกมา ไม่พูดอะไรอีก เพียงปล่อยให้เขาจับมือตนเองเดินไปเรือนอี๋ชุน
เมื่อคืนเจียงชิงหว่านนอนหลับไม่สนิทนัก
เมื่อวานได้พบฮูหยินผู้เฒ่าชุยกับซุนอิ้งเซวียนกะทันหัน ตอนกลางคืนนางจึงเริ่มฝัน
ในฝันกลับไม่มีฮูหยินผู้เฒ่าชุยกับซุนอิ้งเซวียน มีแค่เพียงชุยจี้หลิงผู้เดียว
คนทั้งสองพบกันข้างแปลงเสาเย่า คนหนุ่มอายุสิบเก้าในชุดบัณฑิตสีคราม ดูสง่างามนุ่มนวล ภายหลังได้แต่งงานกัน ยามอยู่บนเตียงเขาจุมพิตร่างกายนางอย่างลุ่มหลง บอกว่านางงดงามหยาดเยิ้มตรึงใจ ชวนหลงใหลถึงวิญญาณราวกับดอกเสาเย่า ซ้ำยังบอกอีกว่าวันหน้าจะปลูกดอกเสาเย่าไว้เต็มสวนใหญ่ให้นาง จับมือนางเดินทอดน่องอยู่กลางดงเสาเย่า
ในฝันคล้ายว่าจะสามารถได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกเสาเย่า ขณะตื่นขึ้นมาคนก็ยังอึ้งงันอยู่
เวลานี้เองลวี่หลัวก็เปิดประตูเดินเข้ามา ในมือประคองดอกเสาเย่าสีชมพูมาด้วยหลายกิ่ง
เห็นเจียงชิงหว่านตื่นแล้ว นางก็วางดอกเสาเย่าในมือลงบนโต๊ะ เดินมาแขวนม่านไหมขึ้นก่อนเอ่ยถามยิ้มๆ “คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
เจียงชิงหว่านตอบรับในลำคอคำหนึ่ง สายตามองดอกเสาเย่าที่อยู่บนโต๊ะ
เห็นได้ชัดเจนว่าดอกเสาเย่าเหล่านี้เพิ่งเด็ดมา บนกลีบดอกยังมีน้ำค้างติดอยู่
ลวี่หลัวมองตามสายตาเจียงชิงหว่าน จากนั้นก็กล่าวว่า “วันก่อนบ่าวเห็นคุณหนูเด็ดดอกเสาเย่ามาปักแจกันให้ฮูหยินผู้เฒ่าและนายหญิง คิดว่าคุณหนูต้องชอบดอกเสาเย่าเป็นแน่ ดังนั้นเมื่อครู่บ่าวจึงตั้งใจไปเด็ดกลับมา หากไปช้าอีกไม่กี่วัน ดอกไม้ก็คงโรยแล้ว อยากจะปักแจกันก็ไม่อาจทำได้”
ครั้นแล้วก็ถามเจียงชิงหว่านว่าจะให้ใช้แจกันแบบใดมาใส่ดอกเสาเย่าเหล่านี้
เสาเย่าเป็นดอกไม้ที่บอบบางมาก และยังผลิบานเป็นเวลาสั้นยิ่ง นับดูวันก็ใกล้จะโรยแล้วจริงๆ
หากเป็นที่แล้วมา เมื่อมองเห็นดอกเสาเย่าเหล่านี้เจียงชิงหว่านจะต้องดีใจมาก และไปหาแจกันมาใส่พวกมันด้วยตนเองแน่นอน ซ้ำยังจะตัดแต่งกิ่งใบอย่างละเอียดลออด้วย แต่ครั้นนึกถึงความฝันเมื่อคืน รวมถึงดอกเสาเย่าแปลงใหญ่ที่ได้เห็นในจวนจิ้งหนิงโหวเมื่อวานขึ้นมา…
เจียงชิงหว่านทำหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่ชอบดอกเสาเย่า เจ้าเอาดอกเสาเย่าเหล่านี้กลับไปไว้ในห้องตนเองเถอะ”
ลวี่หลัวมีสีหน้าอึ้งงัน
วันก่อนนางตามเจียงชิงหว่านไปคารวะนายหญิงที่เรือนหลิวเซียง ขณะเดินผ่านแปลงเสาเย่าและได้เห็นสายตาที่มองดอกเสาเย่าเหล่านั้นของเจียงชิงหว่านดูนุ่มนวลยิ่ง ซ้ำบนใบหน้าก็มีรอยยิ้ม นางมองออกว่าผู้เป็นนายจะต้องชอบดอกเสาเย่ามากแน่นอน แต่ตอนนี้อีกฝ่ายถึงกับบอกว่าไม่ชอบ…
ทว่าเจ้านายบอกอะไรก็ต้องเป็นตามนั้น นางเป็นบ่าว ต่อให้ไม่เข้าใจเพียงไรก็ยังทำได้เพียงทำตาม
ลวี่หลัวตอบรับคำหนึ่ง จากนั้นก็ปรนนิบัติเจียงชิงหว่านสวมเสื้อลุกจากเตียงมาล้างหน้าแต่งตัว
ครั้นเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างแล้วก็เดินตามเจียงชิงหว่านออกไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงที่เรือนหลัก
บทที่ 24 พอฟัดพอเหวี่ยง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งดื่มชาหวานใส่เมล็ดซิ่งอยู่บนเตียงเตาตรงหน้าต่างทิศใต้
เครื่องปรุงสิบกว่าชนิดจำพวกถั่วลิสง งา โก่วฉี่ถูกบดใส่กับเมล็ดซิ่งแล้วต้มให้ร้อน เวลาดื่มก็ใส่น้ำตาลทรายกับน้ำตาลดอกกุ้ยลงไปเพิ่ม อยู่ไกลก็ยังได้กลิ่นหอมบริสุทธิ์ เป็นของชั้นดีสำหรับบำรุงร่างกายให้อายุยืนยาว
เจียงชิงหว่านยอบตัวคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็เรียกนางมานั่งบนเตียงเตา แล้วบอกให้เถาเยี่ยรินชาหวานใส่เมล็ดซิ่งให้นางถ้วยหนึ่ง มองเห็นใต้ตานางมีรอยคล้ำจางๆ ก็ถามด้วยความเป็นห่วง “เมื่อคืนเจ้าหลับไม่สนิท?”
เมื่อคืนเจียงชิงหว่านหลับไม่สนิทจริงๆ ฝันเห็นชุยจี้หลิงตลอดทั้งคืนจนแทบจะเป็นฝันร้าย
ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่อาจบอกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้เด็ดขาด จึงยิ้มพลางตอบว่า “เมื่อคืนข้าได้ยินท่านย่ากับท่านพ่อคุยกันว่าได้เชิญหมัวมัวมาสอนงานฝีมือให้พวกเรา จึงเป็นกังวลว่าจะเรียนได้ไม่ดี ดังนั้นเมื่อคืนจึงหลับไม่สนิท ทำให้ท่านย่าต้องเป็นห่วงแล้วเจ้าค่ะ”
งานฝีมือของนางในชาติก่อน แรกๆ ก็ทำได้ไม่ดีนัก นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าชุยมักใช้เหน็บแนมนาง ทว่าต่อมาในช่วงสามปีที่อยู่โรงซักล้าง นางได้รู้จักกับซุนกูกู
ในตอนแรกซุนกูกูเริ่มทำงานที่โรงเย็บปักในวัง มีฝีมือปักผ้าไม่เป็นสองรองใคร แต่เพียงแค่ทำผิดพลาดเล็กน้อยกลับถูกขันทีที่เห็นซุนกูกูขัดตามาตลอดหาเหตุส่งอีกฝ่ายมาอยู่ที่โรงซักล้าง
ซุนกูกูเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนเมตตาใจดี ซ้ำยังศรัทธาในพุทธศาสนา รู้ทุกเรื่องในพุทธสูตร แรกๆ ด้วยความที่เจียงชิงหว่านเศร้าเสียใจจึงเงียบขรึมยิ่ง ผู้อื่นเห็นนางอ่อนแอปวกเปียกก็จะรังแกนาง ซุนกูกูให้การปกป้องนางหลายหน หลังจากรู้เรื่องราวของนางก็ปลอบใจนางต่างๆ นานา บอกให้นางปล่อยวาง อย่าไปแค้นผู้ใดอีก มาบำเพ็ญภาวนาให้ชาติหน้ามีชีวิตราบรื่นแทน เวลาว่างก็ยังสอนงานฝีมือให้นางด้วย ดังนั้นตอนนี้แม้จะกล่าวไม่ได้ว่านางมีฝีมือไม่เป็นสองรองใคร แต่อย่างไรก็นับว่านำออกมาอวดได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ยินแล้วก็วางใจ ก่อนกล่าวยิ้มๆ อีกว่า “เจ้าเป็นคนฉลาด ขอแค่เจ้าตั้งใจจริงๆ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องเรียนได้ดีแน่นอน ไม่ต้องดูถูกตนเอง”
ไม่กี่วันมานี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคอยสังเกตดูหลานสาวแต่ละคนของตน เจียงชิงเซวียนแม้จะมีนิสัยว่าง่าย แต่กิริยาวาจาดูกระโดกกระเดกเกินไป เจียงชิงอวี้ย่อมไม่ต้องพูดถึง นิสัยวางอำนาจบาตรใหญ่ป่าเถื่อนเอาแต่ใจ ต้องดูแลสั่งสอนให้ดี เจียงชิงอวิ๋นนั้นเป็นคนร่าเริง แต่ไม่แน่ว่าจะตั้งใจจดจ่อกับอะไรได้ อีกทั้งอายุก็ยังน้อยอยู่ เช่นนี้ดูไปแล้วเจียงชิงหว่านก็คือคนที่โดดเด่นที่สุดจากในบรรดาพี่สาวน้องสาว
เจียงชิงหว่านขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าเจียง ก่อนจะถามถึงหมัวมัวผู้สอนงานฝีมือผู้นั้นว่าจะมาเมื่อไร ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงบอกว่าจะมาในอีกวันสองวันนี้ นางให้คนเก็บกวาดห้องให้สะอาดๆ เตรียมไว้ให้อีกฝ่ายพักอาศัยแล้ว
สองย่าหลานคุยกันได้ครู่หนึ่ง เหยาซื่อก็พาพวกเจียงชิงเซวียนพี่น้องมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียง
เดิมเจียงชิงหว่านอยากจะไปคารวะเหยาซื่อทุกเช้า แต่เหยาซื่อสงสารที่นางต้องตื่นเช้า อยากให้นางนอนให้มากหน่อย จึงบอกนางว่าไหนๆ ก็ต้องมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงที่นี่ทุกวันอยู่แล้ว เจียงชิงหว่านไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าไปคารวะตนที่เรือน เจียงชิงหว่านได้ยินแล้วก็ล้มเลิกความคิด
ส่วนเจียงชิงอวี้ผ่านการเตือนจากฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ยามนี้จึงดูมีมารยาทต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงขึ้นไม่น้อย ไม่กล้าตื่นสายอีก
คนทั้งหลายคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็บอกให้สาวใช้ยกอาหารขึ้นโต๊ะ หลังจากนั้นก็พูดถึงเรื่องที่เชิญหมัวมัวมาสอนหนังสือและงานฝีมือให้คุณหนูในจวน
“ข้าคุยกับบิดาพวกเจ้าเรียบร้อยแล้ว ต่อไปนี้ทุกเช้าพวกเจ้าพี่น้องจะต้องเรียนหนังสือกับอาจารย์หญิง ตอนบ่ายก็เรียนงานฝีมือกับหมัวมัว จะต้องตั้งใจหมั่นเพียร ห้ามเกียจคร้าน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงบอกให้เถาเยี่ยหยิบจี้หยกประดับชิ้นหนึ่งมา หยกชิ้นนั้นเป็นทรงเหรียญมีรูตรงกลาง ทำจากหยกขาวมันแพะ ดูเนียนวาว
“ข้าเป็นคนยุติธรรม วันนี้จะกำหนดกฎให้เรียบร้อยก่อน หากพวกเจ้าเรียนได้ไม่ดีจะต้องถูกลงโทษโดยการคุกเข่าหน้าป้ายวิญญาณบรรพบุรุษหรือไม่ก็คัดจรรยาสตรี แต่หากพวกเจ้าเรียนได้ดี ข้าก็มีรางวัลให้” เอ่ยจบแล้วก็ชี้จี้หยกขาวชิ้นนั้นพลางกล่าวว่า “ผู้ที่เรียนได้ดีที่สุดในเดือนนี้ ข้าจะมอบจี้หยกประดับชิ้นนี้ให้เป็นรางวัล”
เจียงชิงเซวียนกับเจียงชิงหว่านมองจี้หยกประดับชิ้นนั้นปราดหนึ่ง สีหน้าล้วนเรียบเฉย ทว่าในดวงตาเจียงชิงอวิ๋นกลับมีแววสนอกสนใจอยู่หลายส่วน แต่ยังไม่เข้มข้นเท่ากับเจียงชิงอวี้
อันที่จริงเจียงเทียนโย่วรักใคร่โปรดปรานเจียงชิงอวี้มาก มีของดีใดบ้างที่นางไม่มี จี้หยกประดับชิ้นนี้แม้จะล้ำค่าราคาแพง แต่อันที่จริงก็ไม่นับเป็นอะไรสำหรับนาง
ทว่าไม่กี่วันมานี้นางถูกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงลงโทษต่อหน้าคนทั้งหลาย ในใจไม่ยินยอมยิ่ง รู้สึกว่าขายหน้ามากจึงอยากจะลืมตาอ้าปากต่อหน้าคนทั้งหลายให้ได้ เพื่อให้ในใจคนทั้งหลายไม่กล้าดูถูกนางอีก และจะได้กู้ศักดิ์ศรีของตนกลับมาเช่นกัน
เจียงชิงอวี้อดจะมุ่งมั่นขึ้นมาไม่ได้ พอกลับไปก็ใช้ให้รุ่ยเซียงหาหนังสือที่ไม่รู้โยนทิ้งไปตามซอกตามมุมใดแล้วออกมา และยังเตรียมตะกร้าใส่อุปกรณ์เย็บปักอันวิจิตรบรรจงไว้ใบหนึ่ง เรียกให้คนไปซื้อด้ายหลากหลายสีมา
ดูท่าทางเหมือนจะปรับปรุงตัวใหม่ มุมานะเอาชัยนับตั้งแต่นี้ หลังจากเมิ่งอี๋เหนียงรู้ก็ดีใจยิ่ง กำชับให้รุ่ยเซียงปรนนิบัติเจียงชิงอวี้ให้ดี
ครั้นพวกเจียงชิงเซวียนแยกย้ายกลับไปแล้ว เหยาซื่อก็รั้งอยู่สนทนาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าเจียง
และก็พูดถึงเรื่องที่เมื่อคืนเจียงเทียนโย่วไม่ได้ไปเรือนหลิวเซียงขึ้นมา “…ต่อมาข้าให้สาวใช้ไปถามดู ได้ยินว่าระหว่างทางนายท่านเห็นเมิ่งอี๋เหนียงกำลังเด็ดดอกสายน้ำผึ้งอยู่ บอกว่าจะใช้ต้มให้นายท่านดื่ม นายท่านมีท่าทางดีใจมาก จึงตามนางไปเรือนอี๋ชุน เช้านี้ก็กินอาหารที่เรือนนั้น”
น้ำเสียงเหยาซื่อเจ็บใจอยู่บ้าง
นายท่านเพิ่งจะค้างคืนที่เรือนนางได้กี่คืน นี่กลับไปเรือนของเมิ่งอี๋เหนียงเสียแล้ว
เจียงชิงหว่านได้ยินเช่นนั้น มุมปากก็โค้งเป็นรอยยิ้มเยาะ
แม้จะเพิ่งมาถึงจวนหย่งชางป๋อได้ไม่กี่วัน แต่เจียงชิงหว่านก็รู้ว่าระหว่างทางไปเรือนหลิวเซียงไม่มีทางเดินผ่านซุ้มดอกสายน้ำผึ้ง มิหนำซ้ำช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเก็บดอกสายน้ำผึ้งก็คือเช้าตรู่ เวลานั้นดอกยังไม่บาน กลิ่นยังเข้มข้น แย่ที่สุดก็ต้องเก็บในตอนบ่ายก่อนอาทิตย์ตกดิน ไม่เคยได้ยินเรื่องเก็บดอกสายน้ำผึ้งตอนกลางคืนมาต้มดื่มเลย
เห็นได้ว่าเมิ่งอี๋เหนียงผู้นั้นตั้งใจทำเช่นนั้น เพียงพูดเช่นนั้นให้เจียงเทียนโย่วฟัง อีกฝ่ายก็หลงกลเข้าจริงๆ ถึงกับตามเมิ่งอี๋เหนียงไปด้วยความยินดี
ทว่าบุรุษมักจะชอบสตรีที่เชื่อฟังและต้องพึ่งพาบุรุษเหมือนดอกถูซือกระมัง เช่นนี้จึงจะทำให้เขารู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ ซุนอิ้งเซวียนก็เป็นคนเยี่ยงนี้เช่นกัน สายตาเวลามองผู้อื่นมักจะนุ่มนวล ให้ความรู้สึกโอนอ่อนผ่อนตามจนอยากจะปกป้องคุ้มครองนาง…
เจียงชิงหว่านหลุบตาลง สายตามองลายดอกกล้วยไม้ที่ปักอยู่บนชายกระโปรงตนเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเองก็เป็นคนฉลาดมองอะไรได้ทะลุปรุโปร่ง ได้ยินที่เหยาซื่อเล่าแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นเรื่องอะไร สีหน้าจึงอดจะเข้มขึ้นเล็กน้อยไม่ได้
เรือนซงเฮ่อของข้ามีคนของเมิ่งอี๋เหนียงอยู่จริงๆ
ทว่าภายนอกยังคงติเตียนเหยาซื่อ “มิใช่ข้าว่าเจ้าหรอก แต่เหตุใดเมิ่งอี๋เหนียงถึงรู้ว่านายท่านไอก็รีบเก็บดอกสายน้ำผึ้งไปต้มให้เขาดื่ม ไม่กี่วันมานี้นายท่านค้างที่เรือนเจ้าทุกวัน ได้ยินเขาไอแล้วเจ้าไม่เคยคิดจะทำอะไรสักหน่อยเลยหรือ เห็นได้ว่าเจ้าเอาใจใส่เขาไม่มากพอ หากข้าเป็นนายท่าน เห็นเมิ่งอี๋เหนียงเอาใจใส่ตนเองปานนั้น ในใจต้องซาบซึ้งแน่นอน ไปเรือนอี๋ชุนของนางนับเป็นอันใด วันหน้ายังจะยิ่งใส่ใจนางมากขึ้นกว่าเดิมด้วย”
แม้ว่าเรื่องที่เมิ่งอี๋เหนียงไปเก็บดอกสายน้ำผึ้งตอนกลางคืนนี้จะเป็นการจงใจทำให้เจียงเทียนโย่วเห็น แต่มีบุรุษคนใดไม่ชอบให้สตรีของตนเองเอาใจใส่ตนเองบ้างเล่า
เหยาซื่อหน้าชา
เรื่องนี้เป็นนางสังเกตไม่ละเอียดจริงๆ ทำให้เมิ่งอี๋เหนียงชิงเอาใจของนายท่านไปได้ก่อน
ทั้งยังเริ่มกังวลใจว่าเจียงเทียนโย่วจะเบื่อหน่ายนาง แล้วยิ่งชอบเมิ่งอี๋เหนียงมากกว่าเดิม จึงอดจะหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ได้
เจียงชิงหว่านเห็นแล้วก็ทอดถอนใจ
เมิ่งอี๋เหนียงฉลาดมากจริงๆ เกรงว่าเหยาซื่อจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย หากแต่เรื่องระหว่างสามีภรรยาเหล่านี้นางไม่อาจสอดมือยุ่งหรือวางแผนให้เหยาซื่อไปทุกเรื่องได้ตลอด ที่สุดแล้วใครจะไปรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกะทันหันบ้าง และนางเองก็ไม่มีทางเฝ้าอยู่ข้างกายเหยาซื่อได้ตลอดเวลา
บางทีอาจจะสามารถหาคนที่มีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกับเมิ่งอี๋เหนียงมาอีกคน ที่สำคัญคือต้องรับรองตำแหน่งนายหญิงให้เหยาซื่อได้ เนื่องจากเห็นได้ชัดยิ่งว่าเมิ่งอี๋เหนียงอยากได้ตำแหน่งนี้
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงติเตียนเหยาซื่ออีกสองสามคำ ไม่พ้นบอกให้นางต้องละเอียดลออ ต้องยึดถือสามีเป็นดั่งฟ้า เอาใจใส่เจียงเทียนโย่วทุกเวลา เหยาซื่อรับปากอย่างเชื่อฟัง เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่มีท่าทีจะคุยกับนางอีกจึงลุกขึ้นขอตัว
ครั้นเหยาซื่อออกไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็มีสีหน้าเข้มขึ้น สั่งเถาเยี่ย “เจ้าไปสืบมาให้ข้าว่าเมื่อคืนเป็นสาวใช้คนใดถือโคมไปส่งนายท่าน สืบได้แล้วก็ไม่ต้องเอะอะ มาบอกข้าเงียบๆ ก็พอ”
ถ้ามิใช่เพราะสาวใช้ผู้นั้นนำทาง เมื่อคืนเจียงเทียนโย่วจะเดินผ่านซุ้มดอกสายน้ำผึ้งแห่งนั้นจนไปเห็นเมิ่งอี๋เหนียงเก็บดอกสายน้ำผึ้งอยู่ภายใต้แสงจันทร์ได้อย่างไร เห็นได้ว่าสาวใช้นางนั้นก็คือคนของเมิ่งอี๋เหนียง
เถาเยี่ยรับคำแล้วหันหลังเดินออกไป
เจียงชิงหว่านรู้อยู่แล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงต้องการจัดระเบียบสาวใช้ในเรือนซงเฮ่อ ทว่านี่เป็นเรื่องดี จะอย่างไรไม่ว่าใครก็ไม่ชอบที่ถูกผู้อื่นวางคนไว้ข้างกายตนเอง บางทีทุกการกระทำหรือถึงขั้นทุกคำพูดของตนล้วนต้องถูกผู้อื่นล่วงรู้
โดยเฉพาะคนที่แข็งกร้าวอย่างฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยิ่งแล้วใหญ่
วันรุ่งขึ้นโจวหมัวมัวที่มาสอนงานฝีมือก็มาถึงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงบอกให้คนไปเชิญนางมาคุยกันที่เรือนซงเฮ่อ และยังเรียกเจียงชิงหว่านกับพี่น้องให้มาพบอีกฝ่ายก่อนด้วย
เจียงชิงหว่านเห็นว่าโจวหมัวมัวผู้นี้ยังอายุไม่ถึงหกสิบ สวมเสื้อกั๊กตัวยาวสีกระดองปู บนศีรษะปักปิ่นเงินลายดอกเบญจมาศไว้หนึ่งอัน ดูท่าทางเข้มงวดยิ่ง
ส่วนเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างกายนางมีอายุราวสิบสี่สิบห้าปี สวมเสื้อฤดูร้อนสีชมพูดอกท้อ ดวงตากลมทั้งสองข้างกลอกไปมา ดูสดใสร่าเริงยิ่ง
นี่คือหลานสาวของโจวหมัวมัว นามว่า ‘หงเย่า’
พวกเจียงชิงหว่านยอบตัวคารวะโจวหมัวมัว โจวหมัวมัวก็คารวะตอบ
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเรียกให้โจวหมัวมัวนั่งลง นางกลับไม่นั่ง จะยืนฟังฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพูด
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเองก็มิได้ฝืนใจ บอกให้เถาเยี่ยหยิบไม้เรียวขนาดเท่านิ้วมือไปให้โจวหมัวมัวอันหนึ่ง ยิ้มพลางกล่าวว่า “บรรพบุรุษของตระกูลเราก็เคยเป็นขุนนาง ให้ความสำคัญกับอาจารย์เสมอมา เจ้ามาสอนงานฝีมือให้พวกนางก็ไม่ต้องเกรงกลัวอะไร สมควรดุด่าก็ดุด่า สมควรลงโทษก็ลงโทษ หากมีใครไม่เชื่อฟังเจ้า เจ้าก็ให้คนมาบอกข้าได้เลย ข้าจะไม่ละเว้นโทษแน่นอน”
โจวหมัวมัวรับปากแล้วยื่นมือมารับไม้เรียว
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพูดอีกสองสามคำเสร็จก็เรียกสาวใช้มาพาโจวหมัวมัวสองย่าหลานไปที่พักของพวกนาง ให้วันนี้พวกนางพักผ่อนก่อน
จากนั้นก็กำชับกำชาพวกเจียงชิงหว่านอีกสองสามคำ แล้วบอกให้พวกนางแยกย้ายกันไป
วันรุ่งขึ้นเหล่าคุณหนูสกุลเจียงต่างตื่นเช้าไปเข้าเรียน ห้องเรียนตั้งอยู่ในเรือนแห่งหนึ่งไม่ไกลจากเรือนหลักของเรือนซงเฮ่อ เงียบสงัดยิ่ง อาจารย์หญิงอายุราวสามสิบปี ทั้งยังมีนิสัยอ่อนโยนเป็นมิตร
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเองก็ไม่ได้คิดจะให้หลานสาวของตนกลายเป็นนักประพันธ์ใหญ่ แค่รู้หนังสือ รู้เนื้อหาของจรรยาสตรี บันทึกคำสอนสตรี และชีวประวัติกุลสตรีบ้าง ไม่ถึงขั้นทำให้คนนอกหัวเราะเยาะว่าคุณหนูของจวนป๋อนี้ไม่มีความรู้ก็พอแล้ว
ทว่างานฝีมือนั้นจะต้องตั้งใจเรียน ในความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงงานฝีมือคือรากฐานในการสร้างเนื้อสร้างตัวของสตรี
มองออกได้ว่าเจียงชิงเซวียนและเจียงชิงอวิ๋นล้วนเคยเรียนงานเย็บปักถักร้อยมาจากมารดาของตนเองจนมีพื้นฐานระดับหนึ่งแล้ว ส่วนเจียงชิงอวี้นั้นเมื่อก่อนต้องหยิบจับกรรไกรด้ายเข็มเหล่านี้น้อยครั้งมากเป็นแน่ ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเข็มปักผ้าที่ถืออยู่ในมือก็แทงนิ้วตนเองไปห้าครั้งแล้ว เจ็บจนต้องนิ่วหน้า และปาสะดึงในมือลงบนโต๊ะเบื้องหน้าเสียเลย
เผอิญว่าปาถูกกรรไกรเล่มเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะพอดิบพอดี
กรรไกรเล่มนั้นกางออกอยู่ ใบมีดคมปลาบปรากฏออกมาด้านนอก อีกทั้งผ้าไหมขาวที่อยู่บนสะดึงก็ขึงตึงอย่างที่สุด ยามมันกระทบกับคมกรรไกรเข้าก็ได้ยินเสียงดังแควก ผ้าผืนนั้นฉีกจากตรงกลางเป็นทางยาวทันที
เจียงชิงอวี้มีสีหน้าไม่แยแสยิ่ง แค่ผ้าไหมขาวผืนหนึ่งเท่านั้น มีค่าอันใด เรียกสาวใช้ไปหยิบผ้าผืนใหม่มาขึงให้เรียบร้อยก็หมดเรื่องแล้ว
ขณะกำลังคิดเช่นนี้ ตรงหน้าก็มีเงามืดปกคลุมลงมา
นางเงยหน้ามองก็เห็นโจวหมัวมัวกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะนาง ในมือยังถือไม้เรียวอันที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงให้มาไว้ด้วย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 06 ก.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.