X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสามีข้ากลายเป็นท่านอาเสียแล้ว

ทดลองอ่าน สามีข้ากลายเป็นท่านอาเสียแล้ว บทที่ 25-บทที่ 26

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 25 สถานการณ์ยกระดับ

 โจวหมัวมัวใช้ไม้เรียวชี้สะดึงอันที่ชำรุดบนโต๊ะ บนหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ก็จริง ทว่าคำที่กล่าวออกมากลับเข้มงวดอยู่บ้าง “คุณหนูรอง งานปักผ้ากลัวความใจร้อนที่สุด” นางเรียกสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างให้หยิบผ้าสะอาดมาหนึ่งผืน จากนั้นก็หันหน้ามามองเจียงชิงอวี้อีกครั้ง “คุณหนูรอง รบกวนท่านนำผ้าผืนนี้ขึงสะดึงเองให้เรียบร้อย”

ก่อนหน้านี้เจียงชิงอวี้อยู่ในจวนหย่งชางป๋อสามารถกล่าวได้ว่าทุกคนล้วนต้องเกรงกลัวนาง มีใครกล้าพูดกับนางอย่างเข้มงวดเช่นนี้เสียเมื่อไร หนำซ้ำยังเป็นแค่หมัวมัวสอนปักผ้าผู้หนึ่ง ในใจนางเห็นว่าไม่ต่างอันใดกับบ่าวไพร่

ครั้นเจียงชิงอวี้หันหน้าไปก็เห็นเจียงชิงอวิ๋นวางสะดึงในมือลงและกำลังมองมาทางนางอยู่ด้วยท่าทางเหมือนกำลังดูละครฉากสนุก นางจึงมองไปที่เจียงชิงเซวียนกับเจียงชิงหว่าน คนทั้งสองกลับไม่ได้มองมา เพียงแต่ต่างก้มหน้าก้มตาปักผ้า

ทว่าเจียงชิงอวี้ยังคงไม่พอใจยิ่ง รู้สึกว่าท่าทีของคนทั้งสองเป็นการดูถูกนาง ล้วนแต่ไม่อยากลดตัวมามองนาง

เจียงชิงอวี้รู้สึกว่าตั้งแต่เจียงชิงหว่านมาถึง นางก็ไม่มีช่วงเวลาที่ได้ดั่งใจเลย จึงอดจะถลึงตาใส่พวกเจียงชิงเซวียนทั้งสามคนอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้

เจียงชิงเซวียนกับเจียงชิงหว่านย่อมไม่ได้เห็นท่าทางถลึงตาของนาง แต่เจียงชิงอวิ๋นใจหายวาบ รีบหยิบสะดึงขึ้นมาก้มหน้าก้มตาทำท่าทางตั้งอกตั้งใจปักผ้าต่อ ทว่ายังคงแอบเหลือบมองมาทางนาง ดูว่าสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เจียงชิงอวิ๋นเห็นเจียงชิงอวี้แหงนหน้ามองโจวหมัวมัวพลางพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร แล้วเจ้าเป็นใคร”

โจวหมัวมัวมองเจียงชิงอวี้ปราดหนึ่ง ก่อนตอบอย่างสงบนิ่ง “ยายเฒ่าผู้นี้ย่อมจะรู้ ท่านเป็นคุณหนูรองของจวนนี้ ส่วนยายเฒ่าผู้นี้เป็นคนที่มาสอนท่านเย็บปัก”

น้ำเสียงไม่ยกตนสูงไม่กดตนต่ำ หลังก็ยืดตรง

“ข้ายังนึกว่าเจ้าไม่รู้เสียอีก” เจียงชิงอวี้หัวเราะเสียงเย็น “ในเมื่อรู้ก็ดีแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเจ้าเป็นแค่หมัวมัวที่จวนข้าใช้เงินจ้างมาสอนพวกข้าเย็บปักเท่านั้น แม้แต่บ่าวไพร่ในจวนข้ายังมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมากกว่าเจ้า ในขณะที่ข้านั้นเป็นคุณหนู ถือเป็นเจ้านาย เจ้ากล้าใช้ไม้เรียวชี้ข้าเยี่ยงนี้ ซ้ำยังบอกให้ข้าใส่ผ้าผืนนี้ในสะดึงเองได้อย่างไร นี่เป็นงานของคนรับใช้ชัดๆ” ว่าแล้วนางก็ยื่นมือส่งผ้าไหมขาวกับสะดึงที่ชำรุดแล้วอันนั้นไปให้ คางเชิดขึ้น “เจ้าขึงผ้าใส่สะดึงให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

ท่าทางเจียงชิงอวี้มีแต่ความหยิ่งผยองลำพองตน เห็นโจวหมัวมัวเป็นบ่าวไพร่โดยแท้

เสียงความเคลื่อนไหวนี้ออกจะดังเกินไปสักหน่อย ไม่เพียงเจียงชิงเซวียนและเจียงชิงอวิ๋น แม้แต่เจียงชิงหว่านก็ยังเงยหน้าขึ้นมามอง

โจวหมัวมัวยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งยิ่ง “เชิญคุณหนูรองนำผ้าใส่สะดึงให้เรียบร้อยด้วย”

เวลานี้เจียงชิงอวี้ก็รู้เช่นกันว่าพวกเจียงชิงหว่านต่างกำลังมองนางกับโจวหมัวมัวอยู่ แม้แต่เหล่าสาวใช้ที่รออยู่นอกห้องก็ล้วนกำลังมองพวกนางเช่นกัน แต่โจวหมัวมัวผู้นี้ถึงกับยังกล้าพูดกับนางเยี่ยงนี้

หากนางแสดงกิริยาอ่อนปวกเปียกแม้แต่นิดเดียว วันหน้าในใจบ่าวไพร่จะมองนางเยี่ยงไร แน่นอนว่าต้องรู้สึกว่าพวกเจียงชิงหว่านต่างหากที่เป็นเจ้านายตัวจริง ส่วนนางเป็นเพียงลูกอนุภรรยาผู้หนึ่งเท่านั้น

ไม่ได้…จะปล่อยให้ผู้อื่นมองข้าเป็นเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด เจียงชิงหว่านเป็นแค่เด็กสาวบ้านป่าที่มาจากชนบท ข้าจะต้องชนะเจียงชิงหว่านให้ได้

คิดเช่นนั้นคางของเจียงชิงอวี้ยิ่งเชิดสูงกว่าเดิม ซ้ำยังยื่นมือปัดไม้เรียวตรงหน้าอย่างแรง

จะอย่างไรโจวหมัวมัวก็อายุมากแล้ว ตอนสาวๆ ปักผ้ามาตลอด ทำให้ตอนนี้สองมือมักอ่อนปวกเปียก ไม่สามารถออกแรงได้ อีกทั้งเจียงชิงอวี้ก็แสดงอาการต่อต้านกะทันหัน นางจึงไม่ได้ถือไม้เรียวในมือให้มั่นคง ทำให้มันตกลงพื้น ส่งเสียงดัง

สีหน้าดูละครฉากสนุกของเจียงชิงอวิ๋นยิ่งชัดขึ้นกว่าเดิม เจียงชิงเซวียนเองก็ขมวดคิ้วแล้วเช่นกัน

ส่วนเจียงชิงหว่านถือคติว่าธุระไม่ใช่ก็ไม่ไปยุ่ง มองดูอึดใจหนึ่งแล้วก้มหน้าลงปักผ้าตามเดิม ทีละเข็มๆ ดูเชื่องช้าและท่าทางก็ไม่ค่อยช่ำชองนัก

นางรู้ว่าเจียงชิงหว่านในอดีตแทบไม่เคยทุ่มเทเรียนรู้งานปักผ้าเลย ตอนนี้จะให้ผู้อื่นมองออกว่าความจริงแล้วนางปักผ้าเป็นไม่ได้เด็ดขาด ฉะนั้นจะต้องทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่านางกำลังฝึกหัดเรื่องนี้อย่างมานะบากบั่น เช่นนี้ถึงจะไม่ถูกคนสงสัย

สายตาเจียงชิงหว่านพลันมองไปเห็นโจวหงเย่าที่ยืนอยู่อีกด้าน

ดวงตาทั้งสองของเด็กสาวเบิกโต กำลังมองดูโจวหมัวมัวกับเจียงชิงอวี้

มีฐานะเป็นหลานสาวของโจวหมัวมัว ฝีมือปักผ้าของโจวหงเย่าผู้นี้จะต้องไม่แย่อย่างแน่นอน หนำซ้ำพอผ่านเรื่องเมื่อวานของเหยาซื่อ นางก็อยากจะมีคนที่เชื่อใจได้อยู่ข้างกายตนเองเช่นกัน

บางทีอาจจะลองพูดกับโจวหมัวมัวดูว่าสามารถให้โจวหงเย่ามาติดตามข้างกายตนได้หรือไม่

ในใจเจียงชิงหว่านกำลังตรึกตรองเรื่องนี้ หางตาก็เหลือบไปเห็นสาวใช้นางหนึ่งหันหลังวิ่งไปยังเรือนหลักด้านหน้า

นางจำได้ว่านั่นคือสาวใช้ผู้หนึ่งของฮูหยินผู้เฒ่าเจียง

สถานที่ที่พวกนางเรียนปักผ้าตั้งอยู่ในห้องห้องหนึ่งของเรือนด้านหลังเรือนหลักของเรือนซงเฮ่อ ตอนนี้สาวใช้ผู้นั้นจะต้องเห็นว่าเรื่องวุ่นวายใหญ่แล้ว จึงไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นแน่แท้

บางทีอาจเพราะอยากได้ความดีความชอบจากฮูหยินผู้เฒ่าเจียง แต่ไม่ว่าสาวใช้ผู้นั้นมีจุดประสงค์ใด อย่างไรเจียงชิงอวี้ก็จะต้องเคราะห์ร้ายแน่แล้ว

เดิมทีเจียงชิงหว่านก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเจียงชิงอวี้อยู่แล้ว เวลาคนผู้นี้มองเห็นนางล้วนไม่เคยปิดบังความเหยียดหยามและความชิงชังที่มีต่อนาง ซ้ำยังเอาแต่พูดว่านางเป็นเด็กสาวบ้านป่าที่มาจากชนบท ส่วนตนเองนั้นเป็นคุณหนูจวนป๋อผู้สูงศักดิ์

ชาติก่อนเจียงชิงหว่านเองก็เป็นคนที่ดื้อรั้น หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ต่อมาได้ประสบความลำบากมากมายจนนิสัยค่อยๆ อ่อนลง พอได้ยินคนพูดถึงเยี่ยงนี้ ในใจนางก็ย่อมรู้สึกไม่ใคร่ดี

นางจึงไม่เตือนผู้ใดทั้งสิ้นว่าสาวใช้ผู้นั้นไปหาฮูหยินผู้เฒ่าเจียงแล้ว เพียงแต่ปักลายดอกไม้ใบไม้ตามที่วาดไว้บนผ้าต่อไปอย่างช้าๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเอนตัวหลับตาพักเอาแรงอยู่บนเตียงเตา จู่ๆ ก็เห็นสาวใช้วิ่งหน้าเริดมาบอกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า แย่แล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยังลืมตาขึ้นมาตำหนินางอย่างรุนแรงว่า “อะไรคือแย่แล้ว เจ้าพูดจาให้ชัดเจนเป็นหรือไม่” จากนั้นก็ถามนางว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

คนอายุมากแล้วย่อมจะชอบคำพูดที่เป็นมงคล ไม่ชอบฟังคนพูดจาเยี่ยงนี้ที่สุด

สาวใช้น้อยอึ้งไป

เดิมทีนางอยากวิ่งมาเอาความดีความชอบ แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงบริภาษแทนเสียได้ ยามนี้ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเจียงถามขึ้น นางก็ยังคงรีบเล่าเรื่องที่คุณหนูรองโต้เถียงร้องด่าโจวหมัวมัวออกมา

ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ฟังก็คิดว่าไม่ได้การแล้ว จึงรีบเรียกเถาเยี่ยมาประคองตนเดินไปห้องเรียนหลังเรือนหลัก ส่วนฝูหรงเห็นว่าเรื่องแย่แล้ว จึงรีบบอกให้ชุนเยี่ยนนำเรื่องนี้ไปบอกให้เมิ่งอี๋เหนียงทราบ

ชุนเยี่ยนรับคำแล้วหันหลังวิ่งรวดเร็วราวเหาะออกประตูไป

ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงถูกเถาเยี่ยประคองเดินมา ก็เห็นเจียงชิงอวี้กำลังยืนชี้หน้าด่าโจวหมัวมัวพอดี “ท่านย่าให้ไม้เรียวเจ้าอันหนึ่งก็แค่ให้เกียรติเจ้าเป็นพิธีเท่านั้น เจ้ากลับถือเป็นจริงเป็นจัง ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงกับกล้าใช้มันชี้ข้า หรือว่าเจ้ายังอยากใช้มันตีข้าด้วย!”

ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห เจียงชิงอวี้ถึงกับเรียกสาวใช้ที่เข้ามาดูเรื่องสนุกผู้หนึ่งให้เก็บไม้เรียวนั้นให้นาง นางถือไว้ด้วยสองมือพลางออกแรงคิดจะหักมัน

หากแต่ไม้เรียวมีความอ่อนนุ่ม ไหนเลยจะหักได้ง่ายๆ เจียงชิงอวี้จึงรู้สึกเก้อกระดากขึ้นมา คล้ายว่าคนในห้องล้วนกำลังรอดูเรื่องน่าขบขันของนางก็มิปาน ด้วยเลือดขึ้นหน้าจึงโยนไม้เรียวลงพื้น ซ้ำยังเห็นว่าไม่พอ จึงออกแรงเหยียบไปอีกหลายที

เหยียบไปพลางด่าโจวหมัวมัวไปพลาง “ข้าอยากจะดูซิว่าวันหน้าเจ้ายังจะเอาอะไรมาชี้ข้าอีก!”

ครั้นเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกำลังยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าเย็นยะเยือกราวกับปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง

เจียงชิงอวี้คล้ายถูกน้ำเย็นเฉียบทั้งถังราดลงหัว เพลิงโทสะและความอวดดีในใจนางหายไปทันใด พึมพำเอ่ยเรียก “ท่านย่า”

พวกเจียงชิงหว่านรู้เช่นกันว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมาแล้ว จึงพากันวางสะดึงในมือลงแล้วลุกขึ้นยืน เอ่ยเรียก “ท่านย่า”

สาวใช้ที่ด้านข้างก็ต่างเอ่ยปากเรียก “ฮูหยินผู้เฒ่า”

เมื่อครู่โจวหมัวมัวปล่อยให้เจียงชิงอวี้อาละวาดโดยมีสีหน้าสงบนิ่งตลอด ยามนี้รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมาแล้ว นางก็หันไปยอบตัวคารวะ เอ่ยเรียกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า” เสียงก็สงบนิ่งเช่นกัน ฟังดูไม่ใส่ใจสักนิดว่าเมื่อครู่เจียงชิงอวี้ด่าหยามเกียรติตนเองอย่างไร ทว่าคำพูดที่กล่าวถัดมายังคงทำให้คนรู้ว่าอันที่จริงนางใส่ใจยิ่ง “ยายเฒ่าผู้นี้รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง เกรงว่าคงสอนหลานสาวของท่านไม่ได้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญผู้มีความสามารถมาสอนจะดีกว่า”

แม้แต่ตุ๊กตาดินยังโมโหเป็นถูกเจียงชิงอวี้ชี้หน้าร้องด่าต่อหน้าคนจำนวนมากเพียงนี้ โจวหมัวมัวจะไม่โมโหได้อย่างไร ทว่านางก็สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี ไม่อยากด่าตอบเจียงชิงอวี้เท่านั้นเอง ยามนี้เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมาแล้ว จึงต้องการลาออกทันที

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมาถึงเรือนหลักก็ได้ยินวาจาสามหาวของเจียงชิงอวี้เองกับหู และเห็นเองกับตาว่าอีกฝ่ายคิดจะหักไม้เรียวอันนั้นอย่างไร ซ้ำยังโยนมันลงพื้นแล้วออกแรงเหยียบอีก

ไม้เรียวอันนี้เป็นนางมอบให้โจวหมัวมัว แต่ตอนนี้เจียงชิงอวี้ถึงกับจะหักมัน ซ้ำยังออกแรงเหยียบไว้ใต้เท้า นี่ยังเห็นนางอยู่ในสายตาหรือไม่ นี่คือการท้าทายบารมีนางโดยแท้ สิ่งที่เจียงชิงอวี้เหยียบก็คือหน้าของนาง

ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเดิมทีก็โมโหมากแล้ว ยังมาได้ยินโจวหมัวมัวขอลาออกอีก จึงรีบบอกให้เถาเยี่ยไปประคองโจวหมัวมัวแล้วปลอบอีกฝ่ายว่า “ล้วนเป็นหลานสาวผู้นี้ของข้าไม่ดีเอง ทำให้เจ้าต้องโมโห ข้าจะบอกให้นางขอขมาเจ้า แต่อย่าได้บอกให้ข้าเชิญผู้มีความสามารถคนอื่นมาอีก ในเมืองหลวงนี้ไหนเลยจะยังมีใครที่มีความสามารถเพียบพร้อมไปกว่าเจ้า”

ฝีมือปักผ้าของโจวหมัวมัวนั้นไม่เลวจริงๆ แต่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นห่วงยิ่งกว่าคืออีกฝ่ายจะบอกเรื่องในวันนี้ให้คนนอกรู้ เช่นนั้นชื่อเสียงของทั้งจวนหย่งชางป๋อคงต้องถูกเจียงชิงอวี้ทำลายแล้ว วันหน้ายังจะมีผู้สูงศักดิ์มีอำนาจจากตระกูลใดมาสู่ขอคุณหนูของบ้านนางอีก

ด้วยเหตุนี้ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเจียงชิงอวี้จึงมีสีหน้าถมึงทึง ซ้ำยังเอ่ยปากตะคอกว่า “นางเด็กไม่รักดี! ยังไม่รีบมาขอขมาโจวหมัวมัวอีก!”

แม้ในใจเจียงชิงอวี้จะกลัวฮูหยินผู้เฒ่าเจียงปานใด แต่จะให้นางยอมขอขมาหมัวมัวผู้หนึ่งได้อย่างไรเล่า ดังนั้นนางจึงยืนนิ่งอยู่กับที่ ในใจรู้สึกคับข้องยิ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงถึงกับตำหนินางต่อหน้าธารกำนัลเพื่อหมัวมัวที่ต่ำต้อยผู้หนึ่ง เห็นได้ว่าในใจฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่ชอบนางที่เป็นหลานสาวโดยสิ้นเชิง

…ชอบก็แต่เจียงชิงหว่าน

เจียงชิงอวี้หันหน้าไปถลึงตาใส่เจียงชิงหว่านอย่างอดไม่อยู่ เห็นยามนี้อีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉย ท่าทางไม่แยแสสนใจแม้แต่น้อย ในใจก็ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม

เวลานี้โจวหมัวมัวเองก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านไม่ต้องโมโห และก็ไม่ต้องดุด่าคุณหนูรองเพื่อยายเฒ่าคนนี้ เป็นเพราะยายเฒ่าผู้นี้มีทักษะความรู้ไม่ดีเอง คุณหนูรองดูถูกก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว ข้าขอลาออกกับท่านตรงนี้แล้วกัน ขอท่านได้โปรดอนุญาตด้วย”

พูดพลางยอบตัวคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอีกครั้ง

คราวนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงประคองโจวหมัวมัวลุกขึ้นด้วยตนเอง ในน้ำเสียงก็เปี่ยมไปด้วยแววกระอักกระอ่วนและขออภัย “ทำให้หมัวมัวต้องเห็นเรื่องน่าขันแล้ว”

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้โจวหมัวมัวลาออก ซ้ำยังบอกให้เถาเยี่ยส่งโจวหมัวมัวกลับห้องไปพักผ่อน อีกครู่นางจะทำให้เจียงชิงอวี้ไปขอขมาโจวหมัวมัวอย่างแน่นอน

เถาเยี่ยรับคำ ก่อนก้าวมาเชิญโจวหมัวมัวออกจากห้อง แม้โจวหงเย่าจะอยากอยู่ดูเรื่องครึกครื้นนี้ให้จบ แต่ขณะโจวหมัวมัวเดินผ่านนางไปก็ได้ใช้สายตามองมาปราดหนึ่ง นางจึงได้แต่เดินตามหลังอีกฝ่ายออกไปข้างนอกอย่างว่าง่าย

ในใจโจวหมัวมัวกระจ่างดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องน่าอับอายในจวน ไม่อยากให้พวกนางที่เป็นคนนอกรับรู้ ถึงได้บอกให้สาวใช้พาพวกนางส่งกลับห้องพัก

บทที่ 26 ถอยเพื่อรุก

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่นในห้องกลางของเรือนหลัก เห็นได้ชัดยิ่งว่าโมโหจนใบหน้าเปลี่ยนสีบ้างแล้ว

เจียงชิงอวี้ไม่เพียงออกแรงเหยียบไม้เรียวที่นางให้โจวหมัวมัวต่อหน้าคนทั้งหลาย แต่ขณะนางบอกให้เจียงชิงอวี้ขอขมาโจวหมัวมัว อีกฝ่ายกลับไม่ฟัง ซ้ำยังสะบัดหน้าหนี สีหน้ามีแต่ความดื้อรั้นและดูถูกดูแคลนผู้อื่น

นี่เท่ากับไม่เห็นนางอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเห็นเถาเยี่ยเดินเข้ามาก็ถามว่า “โจวหมัวมัวยังพูดว่าอยากลาออกอีกหรือไม่”

“ไม่เจ้าค่ะ” เถาเยี่ยรีบรายงาน “ตอนที่บ่าวกลับมา โจวหมัวมัวยังบอกให้บ่าวมาเตือนท่านด้วยว่าอย่าได้โมโห คุณหนูรองอายุยังน้อย ไม่รู้ความ รอโตขึ้นแล้วย่อมจะเข้าใจเหตุผลเอง สุขภาพท่านล้ำค่า ไม่อาจโมโหจนกระทบกระเทือนสุขภาพตนเองได้เด็ดขาด”

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเจียงชิงอวี้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพลางยิ้มเย็น “เจ้าหยามผู้อื่นซึ่งหน้าเยี่ยงนี้ ผู้อื่นยังอุตส่าห์มาขอความเมตตาแทนเจ้า เจ้าละอายบ้างหรือไม่”

เจียงชิงอวี้รู้สึกอับอาย มิใช่เพราะโจวหมัวมัวขอความเมตตาแทนนาง แต่เป็นเพราะตอนนี้พวกเจียงชิงเซวียนและเจียงชิงหว่านล้วนกำลังยืนอยู่ มีเพียงนางที่คุกเข่า ซ้ำทั้งในและนอกห้องยังมีสาวใช้อยู่จำนวนมาก ไม่นานคนในจวนจะต้องรู้เรื่องที่นางถูกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงลงโทษให้คุกเข่าอีกแน่นอน

นางอดไม่ไหวจึงเงยหน้าขึ้นพูดอย่างดื้อดึง “นางมีหรือจะขอความเมตตาแทนข้าจากใจจริง ข้าไม่เชื่อหรอก นี่จะต้องเป็นการเสแสร้งแน่นอน ที่จริงเมื่อครู่นางยังอยากใช้ไม้เรียวตีข้าอยู่เลย ข้ารู้ดี”

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่เคยถูกใครเถียงเยี่ยงนี้มาก่อน ซ้ำเรื่องที่เจียงชิงอวี้ทำออกมาเมื่อครู่นี้ก็ชวนให้คนโมโหมากจริงๆ

เพิ่งจะเข้าเรียนกับโจวหมัวมัวได้วันแรกก็กล้าทำเช่นนี้กับโจวหมัวมัวแล้ว ซ้ำว่ากล่าวไป นางก็ยังจะโต้เถียง หากลือกันออกไปผู้อื่นจะติฉินนินทาจวนหย่งชางป๋ออย่างไรบ้าง

ด้วยความเดือดดาล ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยมาปาใส่เจียงชิงอวี้

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนหวีดร้องอยู่ข้างนอก จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังเพล้ง เมื่อเพ่งดูดีๆ ก็เห็นบนพื้นเต็มไปด้วยเศษกระเบื้อง น้ำชาไหลนองเต็มพื้น

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่มีทางปาใส่ตัวเจียงชิงอวี้จริงๆ ถ้วยชานี้จึงถูกปาลงที่เบื้องหน้าอีกฝ่าย แต่แม้จะเป็นเช่นนี้เจียงชิงอวี้ก็ยังตกใจจนนิ่งงันไป ใบหน้าซีดเผือด

สาวใช้ทั้งในและนอกห้องก็ต่างคุกเข่าลงด้วยความตกใจเช่นกัน พวกเจียงชิงหว่านเองก็ต่างลุกขึ้นยืน

เวลานี้เองก็ได้ยินคนถามขึ้นว่า “นี่มันอะไรกัน เกิดเรื่องใดขึ้น!”

เจียงชิงหว่านหันหน้าไปมองก็เห็นเจียงเทียนโย่วกำลังเดินเข้ามาในห้อง ที่ด้านข้างมีเมิ่งอี๋เหนียงตามมาด้วยใบหน้าซีดขาว ซ้ำยังมีแววเป็นกังวล

คาดว่าเสียงหวีดร้องเมื่อครู่คงจะเป็นของเมิ่งอี๋เหนียง

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเองก็มองเห็นเจียงเทียนโย่วกับเมิ่งอี๋เหนียงแล้วเช่นกัน สายตาวนเวียนอยู่บนหน้าเมิ่งอี๋เหนียงรอบหนึ่ง ก่อนพูดอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “พวกเจ้ามาเร็วดีนี่”

วันนี้เป็นวันหยุดของเจียงเทียนโย่ว เขากำลังนั่งอยู่กับเมิ่งอี๋เหนียงที่เรือนอี๋ชุน มองดูแม่นมป้อนแกงข้นไข่ไก่ใส่เนื้อสับให้เจียงฉางหนิงกิน ทันใดนั้นก็เห็นสาวใช้นางหนึ่งวิ่งเข้าห้องมาด้วยสีหน้าร้อนใจ

ครั้นสอบถาม นางก็บอกว่า ‘ฮูหยินผู้เฒ่าเกิดโมโห กำลังต่อว่าคุณหนูรองอยู่ ขอให้นายท่านกับอี๋เหนียงรีบไป หากไปช้า ไม่แน่ฮูหยินผู้เฒ่าอาจจะลงโทษคุณหนูรองก็เป็นได้เจ้าค่ะ’

เจียงเทียนโย่วกับเมิ่งอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็รีบมา เพียงเข้ามาอยู่ในลานเรือนของเรือนซงเฮ่อ ก็มองเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกำลังใช้ถ้วยชาปาใส่เจียงชิงอวี้แล้ว

จะอย่างไรก็เป็นบุตรสาวของตน เมิ่งอี๋เหนียงจะไม่ปวดใจได้อย่างไร นางจึงรีบก้าวมาดู พอเห็นว่าบุตรสาวถูกน้ำชากระเซ็นเปียกไปทั้งร่าง แม้แต่บนหน้าก็ยังมีน้ำชา แตะดูยังคงร้อนจี๋ ในใจก็ยิ่งเจ็บปวดขึ้นกว่าเดิม

เจียงชิงอวี้เองก็ตกใจมากจริงๆ เมื่อครู่นางมองเห็นกับตาว่าถ้วยชาใบนั้นลอยมาหานาง หัวใจในอกก็แทบจะหยุดเต้นอย่างไรอย่างนั้น ยามนี้ถูกเมิ่งอี๋เหนียงกุมมือไว้ เรียกนางว่า “อวี้เจี่ย” ถามนางด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า “เป็นอะไรหรือไม่” นางก็รู้สึกว่าความคับข้องใจล้วนพรั่งพรูออกมาในบัดดล จึงโผเข้าสู่อ้อมกอดเมิ่งอี๋เหนียงแล้วร้องไห้โฮออกมา

เจียงเทียนโย่วที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็ให้เป็นห่วงยิ่ง จึงถามฮูหยินผู้เฒ่าเจียง “ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรถึงได้ทำให้ท่านโมโหเพียงนี้”

เขารู้สึกว่ามารดาทำเกินไปแล้วจริงๆ

ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่เพียงไร แต่สมควรถึงขั้นปาถ้วยชาใส่เจียงชิงอวี้เชียวหรือ หากปาถูกใบหน้าจนเศษกระเบื้องบาดเข้าจริงๆ ก็เป็นไปได้มากที่เจียงชิงอวี้ต้องเสียโฉม

หญิงสาวที่ถูกทำให้เสียโฉม วันหน้าจะยังหาสามีดีๆ ได้อย่างไร นี่เป็นการทำลายชีวิตนางอย่างแท้จริง

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีหรือจะไม่รู้ว่าเจียงเทียนโย่วกำลังคิดสิ่งใดในใจ อีกทั้งเห็นภาพเมิ่งอี๋เหนียงกับเจียงชิงอวี้กอดกันร้องห่มร้องไห้ ก็คล้ายว่านางข่มเหงรังแกสองแม่ลูกนั่นอย่างไรอย่างนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงยิ้มเย็นขึ้นมา “สาวใช้ที่ไปบอกเรื่องนี้ต่อพวกเจ้าไม่ได้บอกหรือว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ไยต้องมาถามเอากับข้าเล่า เรื่องที่นางทำ ข้าไม่มีหน้าจะพูดออกมาหรอก!”

ชุนเยี่ยนกับฝูหรงที่ยืนอยู่นอกห้องได้ยินเช่นนี้ก็ใจเต้นสะดุด เงยหน้าสบตากัน จากนั้นก็ก้มหน้าลงพร้อมกัน

เมิ่งอี๋เหนียงเองก็ตกใจ เสียงร้องไห้ชะงักลง แต่ต่อมานางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากร้องไห้กระซิกต่อ

นางไม่มีสิทธิ์ออกหน้าพูดอะไรต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็จริง ทว่าตอนนี้มีเจียงเทียนโย่วอยู่ที่นี่ ขอเพียงพวกนางแสดงท่าทางว่าได้รับความไม่เป็นธรรมออกมาก็ใช้ได้แล้ว

ส่วนเรื่องชุนเยี่ยนแอบไปส่งข่าวที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพูดนั้นนางจะทำเป็นไม่รู้เรื่อง ถึงฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะถามขึ้นมาจริงๆ นางก็จะบอกเพียงว่าชุนเยี่ยนเป็นห่วงว่าเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงโมโหหนัก จึงได้ขอให้นายท่านมาช่วยไกล่เกลี่ย คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคงว่าอันใดไม่ได้

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เมิ่งอี๋เหนียงจึงกอดเจียงชิงอวี้ร้องไห้ต่อ

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ยินเสียงร้องไห้ของพวกนางสองคนก็เริ่มรำคาญ จึงสั่งเถาเยี่ย “บอกนายท่านไปว่าเมื่อครู่บุตรสาวสุดที่รักของเขาทำเรื่องใดเอาไว้”

เถาเยี่ยรับคำ หันไปหาเจียงเทียนโย่วก่อนเล่าเรื่องเมื่อครู่ออกมาอย่างละเอียด เจียงเทียนโย่วได้ยินแล้วก็มีสีหน้าไม่น่ามองขึ้นมา

แม้ตระกูลพวกเขาจะเป็นทหาร แต่ก็ให้ความสำคัญกับผู้เป็นอาจารย์อย่างมาก เขายังจำได้ว่าตอนตนเองยังเด็กเคยเรียนหนังสือที่สถานศึกษาในหมู่บ้าน มีวันหนึ่งโดดเรียนออกไปเที่ยวเล่น เมื่อบิดารู้เข้าก็ใช้กระบองตีเขาแทบตาย จนเขาไม่กล้าหนีเรียนออกไปเที่ยวเล่นอีก แม้จะไม่มีพรสวรรค์ในด้านการเรียน ฟังไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าอาจารย์พูดสิ่งใด แต่เขาก็ยังคงนั่งฟังอย่างเรียบร้อยโดยตลอด

ทว่าบัดนี้เจียงชิงอวี้ถึงกับทำเช่นนั้นต่อโจวหมัวมัว หนำซ้ำยังพยายามหักไม้เรียวที่มารดามอบให้โจวหมัวมัวอีก

เจียงเทียนโย่วจึงหันหน้าไปมองเจียงชิงอวี้พลางพูดว่า “เรื่องนี้เจ้าทำผิดจริงๆ”

เวลานี้เมิ่งอี๋เหนียงก็ตกใจมากเช่นกัน

คิดไม่ถึงว่าเจียงชิงอวี้จะทำผิดถึงขั้นนี้

นางกระจ่างใจดีว่าเรื่องไร้มารยาทต่อโจวหมัวมัวเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือเจียงชิงอวี้ถึงกับออกแรงโยนไม้เรียวที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมอบให้โจวหมัวมัวลงพื้นแล้วเหยียบมันต่อหน้าธารกำนัล

นี่เท่ากับอกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอย่างโจ่งแจ้งแล้ว หากฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่ลงโทษเจียงชิงอวี้ วันหน้านางจะมีบารมีในจวนป๋อแห่งนี้ได้อย่างไร

ในใจเมิ่งอี๋เหนียงเองก็นึกต่อว่าต่อขานเจียงชิงอวี้อย่างมากเช่นกันว่าทำเรื่องไร้สมองเยี่ยงนี้ออกมาได้อย่างไร และก็เข้าใจดีว่าวันนี้อยากจะให้เจียงเทียนโย่วปกป้องเจียงชิงอวี้คงเป็นไม่ไปได้แล้ว

นางจึงคุกเข่าต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเจียง ร่ำไห้อย่างเศร้าโศกเสียใจพลางขอรับโทษ “ล้วนเป็นเพราะผู้น้อยไม่ได้ดูแลสั่งสอนอวี้เจี่ยให้ดี วันนี้นางถึงได้ทำเรื่องเยี่ยงนั้นออกมา ขอฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดลงโทษอวี้เจี่ยและผู้น้อยให้หนักด้วยเจ้าค่ะ”

เจียงชิงหว่านมองเมิ่งอี๋เหนียงปราดหนึ่ง

ยิ่งรู้สึกว่าเมิ่งอี๋เหนียงฉลาดกว่าเดิมแล้ว

เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะต้องลงโทษเจียงชิงอวี้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เมิ่งอี๋เหนียงกลับชิงพูดเช่นนี้ออกมาก่อน ไม่กล่าวถึงฮูหยินผู้เฒ่าเจียง เพราะนี่เป็นการสร้างภาพในใจเจียงเทียนโย่วว่านางเป็นคนที่เข้าใจเหตุผล

มิหนำซ้ำนางก็พูดถึงขั้นนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะลงโทษเจียงชิงอวี้สถานหนักได้อย่างไร หากยังลงโทษสถานหนักก็จะกลายเป็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่มีความเห็นใจแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมีหรือจะไม่เข้าใจ จึงยิ้มเย็นทันที เห็นว่าบุตรชายตนมองเมิ่งอี๋เหนียงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแววปลาบปลื้มและสงสารเห็นใจ รอยยิ้มเย็นที่มุมปากฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ยิ่งกดลึกขึ้น

เจียงชิงอวี้กลับไม่รู้ถึงความลำบากใจของเมิ่งอี๋เหนียง นางแค่ได้ยินว่าเจียงเทียนโย่วกำลังต่อว่านาง ส่วนเมิ่งอี๋เหนียงก็เป็นฝ่ายบอกให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงลงโทษนางสถานหนัก ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคับข้องใจ ความไม่พอใจและความเคืองแค้นในหลายวันที่ผ่านมานี้จึงระเบิดออกมาเช่นกัน

“ไยต้องลงโทษข้าสถานหนักด้วย ข้าทำผิดอันใด” นางมองฮูหยินผู้เฒ่าเจียงแล้วพูดเสียงดังว่า “ข้ารู้สึกว่าข้าไม่ได้ทำผิดอันใดเสียหน่อย ก็แค่ในใจท่านไม่ชอบข้า รำคาญข้าก็เท่านั้น!”

นางยังยกมือชี้เจียงชิงหว่านพลางพูดอย่างเข่นเขี้ยว “ในใจท่านชอบแค่นาง มีสีหน้าอ่อนโยนให้นาง แต่กับข้ามีแต่สีหน้าเย็นชา นางเป็นหลานสาวท่าน แล้วข้าไม่ใช่หลานสาวท่านหรือ มิหนำซ้ำนางก็เป็นแค่เด็กสาวบ้านป่าที่มาจากชนบทผู้หนึ่ง หยาบช้ายิ่งกว่าอะไร แต่ข้าเป็นถึงคุณหนูผู้สูงศักดิ์ของจวนป๋อแห่ง…”

ยังพูดไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงกังวานก้อง เมิ่งอี๋เหนียงตบหน้าเจียงชิงอวี้แล้ว

เนื่องด้วยออกแรงค่อนข้างมาก บนแก้มขาวผ่องของเจียงชิงอวี้จึงมีรอยนิ้วมือห้ารอยปรากฏชัดทันที

เจียงชิงอวี้หันหน้าไปมองเมิ่งอี๋เหนียง ในสายตาเต็มไปด้วยแววไม่อยากเชื่อ “อี๋เหนียง ท่าน…ท่านถึงกับตบข้า?!”

เวลานี้เหยาซื่อได้รับคำรายงานจากบ่าวรับใช้ รู้ว่าที่เรือนซงเฮ่อเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น จึงรีบพาจิ่นผิงมาถึงแล้วเช่นกัน ครั้นเข้ามาก็มองเห็นเมิ่งอี๋เหนียงตบหน้าเจียงชิงอวี้เข้าพอดี นางจึงตะลึงงันอยู่กับที่ ลืมว่าต้องเดินต่อไปชั่วขณะ

เมิ่งอี๋เหนียงโมโหเจียงชิงอวี้แทบตายแล้วจริงๆ

โง่เง่าเพียงนี้! ถึงกับมองไม่ออกว่าที่ข้าพูดไปเมื่อครู่คือการถอยเพื่อรุก กลับยังมาเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก ถ้าข้าไม่ตบฉาดนี้ลงไป ใครจะรู้ว่าอวี้เจี่ยยังคิดพูดอะไรออกมาอีก

เจียงชิงอวี้เห็นตนเองเป็นบุตรสาวสายตรงมาตลอดมิผิด นางเองก็เห็นตนเองเป็นภรรยาเอกมาตลอดเช่นกัน หากความคิดนี้ปรากฏชัดออกมา ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะต้องไม่ละเว้นพวกนางสองแม่ลูกแน่นอน

หางตาเหลือบเห็นว่าเหยาซื่อก็มาถึงแล้ว กำลังถามเถาเยี่ยอยู่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เถาเยี่ยมีท่าทีเคารพนบนอบต่ออีกฝ่ายยิ่ง บอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเสียงเบา

ในใจเมิ่งอี๋เหนียงอดจะมีความขุ่นเคืองขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้

หากพวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเหยาซื่ออยู่ที่กานโจวโดยตลอดไม่ได้มาที่นี่ ไหนเลยจะมีเรื่องมากมายอย่างในตอนนี้ นางกับเจียงชิงอวี้ก็ยังใช้ชีวิตสูงศักดิ์อย่างเมื่อก่อนต่อไปได้ ทว่าบัดนี้นางต้องทำความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียง ทั้งยังต้องทำความเคารพต่อเหยาซื่อ แม้แต่เวลาเห็นเจียงชิงหว่านนางก็ยังต้องแสดงท่าทีเคารพนบนอบเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นคุณหนูที่เกิดจากภรรยาเอก

หากพวกนางไม่ได้มาที่นี่ก็คงดี ตนเองจะเป็นภรรยาเอกก็ยังได้ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนั้น…

เมิ่งอี๋เหนียงเงยหน้ามองฮูหยินผู้เฒ่าเจียงปราดหนึ่ง เห็นจอนผมอีกฝ่ายเป็นสีขาวโพลน บนใบหน้าก็มีรอยกระสีน้ำตาลอยู่หลายดวง ในใจก็คิดอย่างเย็นชาว่า…คนอายุหกสิบกว่าแล้ว จะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไรเชียว ขอเพียงข้าได้เป็นนายหญิง พอฮูหยินผู้เฒ่าตาย ในจวนหย่งชางป๋อแห่งนี้ก็มิใช่ข้าพูดคำใดคำนั้นแล้วหรือไร

 

ในกระโจมแม่ทัพใหญ่ที่เมืองต้าถงในซานซี ชุยจี้หลิงพลันลืมสองตาขึ้น

เมื่อครู่เขารู้สึกง่วงอยู่บ้างจึงอยากจะงีบสักครู่หนึ่ง แต่เพิ่งจะหลับไปก็เริ่มฝัน

ในฝัน…คนผู้นั้นยืนอยู่ท่ามกลางดงดอกเสาเย่าแปลงใหญ่ มองเขาพร้อมกับแย้มยิ้มอย่างงดงาม เรียกเขาว่า ‘ชุยจี้หลิง’ ด้วยเสียงเสนาะใสไพเราะ

เขามองผ้าขนแกะที่อยู่เหนือศีรษะ บนใบหน้าคมคายไม่มีอารมณ์ใดๆ แม้แต่กระผีกเดียว มีเพียงริมฝีปากทั้งสองที่เม้มเป็นเส้นตรง แววตาก็อึมครึม

เขาพยายามลืมเรื่องเกี่ยวกับนางอย่างสุดชีวิตแล้ว และไม่อนุญาตให้ใครคนใดพูดถึงเรื่องนางต่อหน้าเขาด้วย ถึงขั้นว่าแม้แต่นามของนางเขาก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเอ่ยถึง ไม่กี่ปีมานี้เขานึกถึงนางน้อยครั้งมากจริงๆ แต่ก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้ พอเขาเข้านอนก็มักจะฝันถึงนาง

ที่น่าอับอายยิ่งกว่าคือขณะที่เขามองเห็นนางในความฝัน เขาหาได้เดือดดาลไม่พอใจเหมือนที่คิดไว้ แต่กลับตื่นเต้นดีใจยิ่ง อยากจะวิ่งไปหานาง ทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดแล้ววิงวอนให้นางอยู่ข้างกายเขา ยังบอกนางด้วยว่าตอนนี้เขามีอำนาจมีเงินทองมั่งคั่งแล้ว สามารถมอบชีวิตอันสุขสบายตามที่นางต้องการได้ แต่นางก็เอาแต่ยิ้มไม่พูดอะไร ต่อมายังหันหลังเดินตามเปี้ยนอวี้เฉิงจากไปต่อหน้าต่อตาเขาด้วย ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้เหลียวกลับมามองเขาแม้แต่แวบเดียว

ขณะโจวฮุยเปิดม่านกระโจมเดินเข้ามา ก็เห็นชุยจี้หลิงกำลังนั่งอยู่บนตั่ง สองตาอึมครึม สีหน้าสับสนปนเป มีความเดือดดาล แต่ที่มากกว่ากลับเป็นความโศกเศร้าเสียใจ

ฝีเท้าโจวฮุยชะงักลง

เขาเริ่มติดตามข้างกายชุยจี้หลิงตั้งแต่อยู่ที่กานโจว รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า บางครั้งถึงขั้นใจเย็นจนน่ากลัวอยู่บ้าง เรื่องที่สามารถทำให้อีกฝ่ายมีอารมณ์บนใบหน้าได้เช่นยามนี้ คิดว่าก็มีเพียงเรื่อง ‘คนผู้นั้น’ แล้ว

ทว่าไม่กี่ปีมานี้ชุยจี้หลิงมิใช่ไม่เคยเป็นเช่นนี้หรือไร โจวฮุยแทบจะคิดว่าเขาลืมคนผู้นั้นไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าระยะนี้จะเริ่มเป็นเช่นนี้อีกแล้ว…

โจวฮุยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าของชุยจี้หลิง เดินมาประสานมือเป็นการคารวะ เอ่ยเรียกว่า “ผู้บัญชาการ”

ชุยจี้หลิงเป็นคนประสาทสัมผัสไวมากเสมอมา กล่าวอย่างไม่เกินจริง แม้แต่เสียงคนเดินอย่างแผ่วเบาด้านนอกเขาก็ยังรู้ ทว่าเมื่อครู่เขาถึงกับไม่สังเกตเห็นว่าโจวฮุยเดินเข้ามา

เมื่อครู่เขานึกถึงจดหมายสองฉบับที่เจียงชิงหว่านทิ้งไว้ให้ตอนหนีไปจากบ้าน ฉบับหนึ่งบอกว่าที่ผ่านมานางไม่มีความสุขเวลาอยู่กับเขา และมีชีวิตที่ยากจนข้นแค้นมาพอแล้ว อยากจะกลับไปมีชีวิตสุขสบายเหมือนเมื่อก่อน ซ้ำยังบอกด้วยว่าในใจนางลืมเปี้ยนอวี้เฉิงไม่ลง ตอนนี้ต้องการไปหาอีกฝ่าย ไปอยู่กับเปี้ยนอวี้เฉิง

ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นหนังสือหย่าสามี

เมื่อก่อนเวลาคนทั้งสองล้อเล่นกัน นางเคยหัวเราะพลางพูดว่า ‘ถ้าวันหนึ่งท่านทำให้ข้าโกรธ ข้าก็จะโยนหนังสือหย่าสามีให้ท่านแล้วหันหลังจากไปสุดหล้าฟ้าเขียว ให้ท่านหาข้าไม่พบอีก’ เขายังจำได้ว่าเวลานั้นเขากดนางลงบนตั่ง กัดคอนางพลางพูดว่า ‘เจ้ากล้าหรือ!’

แต่คิดไม่ถึงว่านางจะกล้าจริงๆ

เจียงชิงหว่านหย่าเขาไปหา ‘พี่เฉิง’ ของนางแล้ว

ชุยจี้หลิงหลับตาลง สองมือที่วางอยู่บนตั่งกำหมัดแน่น เนื่องจากออกแรงมากเกินไปข้อนิ้วจึงขึ้นสีขาว

เวลานี้เองก็ได้ยินเสียงโจวฮุยเรียก ชุยจี้หลิงสูดหายใจลึกครั้งหนึ่งเสร็จเขาก็ลืมตาขึ้นมา สีหน้าเดือดดาลและโศกเศร้าเสียใจได้หายไปแล้ว กลับมาเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารที่ดูใจเย็นมากจนเรียกได้ว่าเย็นชาอีกครั้ง

“มีอะไร”

โจวฮุยลอบผ่อนลมหายใจเบาๆ หากผู้บัญชาการมณฑลทหารเป็นเช่นเมื่อครู่ตลอด เขาก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรแล้ว

เขากล่าวว่า “เมื่อครู่ได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนม บอกว่าเห็นร่องรอยเผ่าต๋าต๋าบริเวณแม่น้ำเอ้อเนิ่น ทว่าฝ่ายนั้นมีจำนวนไม่มาก เพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ท่านเห็นว่าเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไรขอรับ”

ชุยจี้หลิงแววตาเข้มขึ้นเล็กน้อย

ปีก่อนหัวหน้าเผ่าต๋าต๋ากักตัวทูตของราชสำนัก สังหารแม่ทัพประจำซานซี ฮ่องเต้พิโรธถึงได้ให้เขายกทัพขึ้นเหนือมาปราบปราม ทว่าทัพใหญ่ยังไปไม่ถึง หัวหน้าเผ่าต๋าต๋าก็เคลื่อนพลหลีกหนี พวกเขาตั้งทัพอยู่ตรงนี้มาหลายเดือนก็ยังไม่ได้สู้กับเผ่าต๋าต๋าแม้แต่ศึกเดียว

ทว่าจะเอาแต่ตั้งทัพอยู่ที่ซานซีเช่นนี้ก็ไม่ได้ แม้ทุกวันจะมีสายของเขาคอยขี่ม้าเร็วมารายงานเรื่องน้อยใหญ่ที่เกิดในเมืองหลวงและในราชสำนักให้เขารู้ แต่มีหรือจะสู้เขาอยู่ในเมืองหลวงเองได้ ซ้ำเซวียหมิงเฉิงยังใกล้ไว้ทุกข์ครบสามปีแล้ว อีกฝ่ายเป็นเว่ยกั๋วกงและเป็นหลานชายตระกูลเดิมของไทเฮา เป็นอาของรัชทายาท ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะมอบตำแหน่งใดให้เซวียหมิงเฉิง…

เพียงชั่วขณะชุยจี้หลิงก็ตัดสินใจได้เด็ดขาด จึงสั่งเสียงเข้ม “ให้หน่วยสอดแนมดูต่อไป หากพบอะไรอีกให้รีบมารายงาน พร้อมกันนี้จงแจ้งแก่สามทัพให้เตรียมพร้อมสู้กับศัตรู”

ศึกครานี้ต้องรีบสู้รีบจบ ไม่อาจยืดเยื้อต่อไปได้อีก ในเมื่อเผ่าต๋าต๋าหดหัวไม่ยอมปะทะซึ่งหน้า เขาก็จะขี่ม้านำทัพไล่ตามโจมตีบุกรังของพวกนั้นเอง

เมื่อเสร็จศึกก็ต้องเคลื่อนทัพกลับราชสำนักทันที มิเช่นนั้นอยู่ข้างนอกนานเข้าก็ยากจะรับรองได้ว่าในราชสำนักจะมีเรื่องหรือคนที่เป็นภัยต่อเขาปรากฏขึ้นหรือไม่

 

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กันยายน 64)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: