X
    Categories: With Loveทดลองอ่านสาวกี่เพ้าคนนี้เป็นของคุณ

ทดลองอ่าน สาวกี่เพ้าคนนี้เป็นของคุณ บทที่ 1-2

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 1

เดือนมีนาคม แสงแดดกำลังพอเหมาะ สายลมพัดผ่านต้นอ่อนสีเขียว ทุกที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ

ขณะที่เฉินซินอวี่มารับจี้ชิงอิ่งตรงประตูทางเข้าออกของสถานีรถไฟความเร็วสูง ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา แม้แต่นักท่องเที่ยวที่มีท่าทีเร่งรีบก็ชะลอฝีเท้าลงเมื่อเดินผ่านข้างกายพวกเธอ

คนสวยหน้าตางดงาม คนสวยที่ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ ยิ่งเป็นความงดงามในหมู่ความงาม

ขณะรอรถแท็กซี่เฉินซินอวี่ก็เดินวนรอบจี้ชิงอิ่งหนึ่งรอบ

“ทำไมเหรอ” จี้ชิงอิ่งช้อนตาขึ้น รับการสังเกตสังกาของอีกฝ่าย

เฉินซินอวี่ยื่นมือไปจิ้มแก้มของจี้ชิงอิ่ง “เธออารมณ์ดีมากเชียวนะ”

“หืม?” จี้ชิงอิ่งมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ

เฉินซินอวี่เปิดบันทึกการโทร “หนึ่งชั่วโมงก่อนตอนที่ฉันโทรไปหาเธอ เธอยังอ่อนระโหยโรยแรงอยู่เลย แค่ฟังก็รู้ว่าเธอกำลังหงุดหงิดหลังตื่นนอน ตอนนี้ดูแล้วกลับแตกต่างกันลิบลับ” เฉินซินอวี่หยุดฝีเท้า จงใจตีหน้าขรึม วางมาดของการบีบบังคับให้ตอบคำถามออกมา “พูด! เจอคนหล่อมาใช่ไหม!”

จี้ชิงอิ่งเผลอยิ้มออกมา

เฉินซินอวี่ตกตะลึง “มีจริงๆ เหรอ! ใครน่ะๆ”

“เจอคนคนนึงบนรถน่ะ” จี้ชิงอิ่งเปิดประตูรถ “ขึ้นรถแล้วค่อยพูด”

ต้องบอกว่าเฉินซินอวี่รู้จักจี้ชิงอิ่งดีมากจริงๆ

จี้ชิงอิ่งและเฉินซินอวี่เป็นทั้งเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยและรูมเมตกัน แม้ว่าจะอยู่กันคนละเมือง เวลาที่มารวมตัวกันก็ไม่มาก แต่ทุกครั้งที่เจอหน้ากันก็ล้วนไม่รู้สึกห่างเหิน เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง

หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้วไม่รอให้จี้ชิงอิ่งเอ่ยปาก เฉินซินอวี่ก็ไถโทรศัพท์มือถือไปเจอข่าวเสียก่อน เธอตะลึงงันพลางเอ่ยอย่างประหลาดใจ

“เมื่อกี้ที่มีรถพยาบาลเข้ามาเป็นเพราะรถคันของพวกเธอมีผู้โดยสารเกิดเจ็บป่วยขึ้นมากะทันหันเหรอ”

จี้ชิงอิ่งพยักหน้า “โบกี้ของพวกเรา”

เฉินซินอวี่มองเธออย่างตกตะลึง “ตกใจหรือเปล่า”

จี้ชิงอิ่งชำเลืองมองเธอ “ฉันอายุเท่าไหร่แล้ว ยังจะถูกทำให้ตกใจได้อีกเหรอ”

เฉินซินอวี่ริมฝีปากขยับ อยากบอกว่าเธอก็ใช่ว่าจะไม่เคยสักหน่อย แต่ก็อดกลั้นเอาไว้

จี้ชิงอิ่งเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาออกไป “ไม่กี่วันก่อนฉันบอกกับเธอว่าช่วงนี้ไม่มีแรงบันดาลใจ คิดไอเดียออกแบบใหม่ๆ ไม่ออกใช่ไหม” เธอหันหน้า ใช้ใบหน้าที่งดงามและเย้ายวนใจมองเฉินซินอวี่ “เมื่อกี้จู่ๆ ก็ดูเหมือนจะมีแรงบันดาลใจขึ้นมาแล้วล่ะ”

ในดวงตากระจ่างใสที่เย้ายวนใจที่สุดคู่นั้นเอ่อล้นไปด้วยความเบิกบานและการรอคอย

เฉินซินอวี่มองเธออย่างงงงัน “หมายความว่ายังไง”

จี้ชิงอิ่งเงียบไปแล้วเอ่ยขึ้น “เมื่อกี้เจอคนคนนึงในโบกี้ แรงบันดาลใจก็ถูกกระตุ้นออกมาแล้วน่ะ”

เฉินซินอวี่ “พูดภาษาคนซิ”

จี้ชิงอิ่งจุกอยู่ในลำคอ ก่อนเค้นออกมาหนึ่งประโยค “ฉันเหมือนจะตกหลุมรักคนคนนั้นตั้งแต่แรกพบ”

“…”

เฉินซินอวี่ไม่ได้สติกลับมาอยู่ครึ่งค่อนวัน “กับใคร”

“หมอคนนั้นที่ช่วยคน”

เฉินซินอวี่ไม่อยากจะเชื่อ “เธอรู้ชื่อของเขาไหม”

ได้ยินอย่างนั้นจี้ชิงอิ่งก็ยิ้มออกมา เอ่ยอย่างไม่รีบไม่ช้าว่า “ไม่รู้หรอก แต่ฉันมีความรู้สึกว่าพวกเราจะได้เจอกันอีก”

ต่อให้ไม่มีพรหมลิขิต ก็จะมี ‘บังเอิญพบกัน’

หลังจากถึงบ้านทั้งสองคนก็จัดการเก็บกวาดอย่างง่ายๆ กันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงล้มตัวลงพักผ่อนอย่างหมดสภาพพร้อมกันบนโซฟา

เฉินซินอวี่นิ่งเงียบ จิบน้ำไปหนึ่งอึก แล้วเอ่ยว่า “เดี๋ยวดึกๆ จะพาเธอไปกระตุ้นสักหน่อย”

“ไปไหนอะ”

“บาร์จ้า” เฉินซินอวี่เอ่ยต่อ “ร้านที่เปิดใหม่ มีความโดดเด่นมาก”

จี้ชิงอิ่งไม่ได้ปฏิเสธ

ตอนที่เธอไม่มีแรงบันดาลใจในการวาดภาพก็มักจะชอบดื่มเหล้า แอลกอฮอล์สามารถกระตุ้นสมองได้ บางครั้งก็ทำให้เธอปิ๊งไอเดียเด็ดๆ ออกมา

“งั้นฉันไปอาบน้ำก่อน แล้วเดี๋ยวนอนสักหน่อย”

“ได้เลย”

จี้ชิงอิ่งก็ไม่ได้เกรงใจเพื่อนเช่นกัน รื้อชุดนอนออกมาแล้วเข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าบ้วนปาก ก่อนจะพักผ่อน ผ้าม่านในห้องพักถูกดึงจนปิดสนิท ไม่เหลือช่องว่างไว้แม้แต่นิดเดียว

จี้ชิงอิ่งสวมผ้าปิดตานอนอยู่บนเตียง ระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่นภาพเหตุการณ์นั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

 

หลังจากขึ้นรถไฟความเร็วสูงเธอก็สวมหูฟังลดเสียงรบกวนและผ้าปิดตาก่อนจะนอนหลับ

เริ่มแรกเธอไม่พบความผิดปกติอะไร จนกระทั่งเสียงที่ข้างหูดังขึ้นเรื่อยๆ จี้ชิงอิ่งถึงได้ตื่นขึ้นมา

เพิ่งจะถอดหูฟังโบกี้หมายเลขหนึ่งก็มีผู้โดยสารเจ็บป่วยขึ้นมากะทันหัน เสียงประกาศตามหาแพทย์ของโบกี้ก็ทะลวงเข้ามาในหู

ข้างๆ หูล้วนเป็นเสียงดังเซ็งแซ่ จี้ชิงอิ่งลืมตาขึ้นถึงได้พบว่าผู้โดยสารท่านนั้นอยู่ข้างหน้าทางซ้ายมือของเธอ

ผู้โดยสารที่นั่งติดกันและที่นั่งด้านหน้าล้วนเป็นสาวน้อย พบเจอสถานการณ์แบบนี้ก็กระวนกระวายกันจะแย่ ดวงตาล้วนแดงก่ำ

จี้ชิงอิ่งลุกขึ้น ขณะกำลังจะไปช่วยเสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลัง มันเย็นกว่าน้ำแร่จากขุนเขาในฤดูใบไม้ผลิเสียอีก

เขากล่าว ‘สวัสดีครับ ผมเป็นหมอ’

ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น อารมณ์ร้อนรนของผู้คนโดยรอบก็ถูกปลอบประโลม

เธอช้อนตาขึ้น มองผู้ชายที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน

เดิมทีภายในโบกี้ล้วนมีแต่ความวุ่นวาย ทว่าเมื่อเขามาบริเวณโดยรอบก็เปลี่ยนเป็นมีระเบียบเรียบร้อย

ชายคนนั้นหน้าตาหล่อเหลา เขาสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงสีดำ ไม่เห็นสีหน้าร้อนรนใดๆ บนใบหน้าเลยสักนิด

ผู้โดยสารที่มีอาการเจ็บป่วยขึ้นมากะทันหันหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ไม่รู้สึกตัวแล้ว

ชายคนนั้นตรวจเช็กอาการของผู้ป่วยทันทีและทำการรักษาฉุกเฉินด้วยการทำ CPR*

เขาดูจดจ่อและสุขุมเยือกเย็นขณะปั๊มหัวใจอย่างต่อเนื่อง ไลน์กล้ามเนื้อแขนที่เปิดเปลือยอยู่ในระยะสายตานั้นขึ้นเป็นมัดๆ ปรากฏวับๆ แวมๆ ดูทรงพลังเป็นพิเศษ

ช่วงเวลานั้นหัวใจของผู้คนโดยรอบก็สงบลงมาตามการเคลื่อนไหวขึ้นลงของเขา

ความเร็วของเขาสม่ำเสมอทั้งยังทรงพลัง ทำให้ผู้คนรู้สึกหวั่นไหวแตกต่างกันไปคนละแบบ

สองนาทีเป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็ยาวนาน

ไม่ถึงชั่วอึดใจหนึ่งลมหายใจของผู้ป่วยก็มั่นคงขึ้นมาก เขาลืมตาขึ้น มองชายที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน

ชายหนุ่มคนนั้นแววตาราบเรียบ กล่าวประโยคหนึ่งว่า ‘ไม่เป็นไรแล้วครับ’

รอบด้านเต็มไปด้วยเสียงปรบมือ

สีหน้าท่าทางของเขายังคงเยือกเย็นอยู่เหมือนเดิม ไม่มีความเร่งร้อนและความกระวนกระวาย แต่ก็ทำให้ผู้คนจิตใจสงบ หลังจากเขากำชับผู้โดยสารสองสามประโยคแล้วก็หันกายจากไป

จี้ชิงอิ่งมองเขาอย่างไม่ละสายตา ฉับพลันนั้นจู่ๆ เขาก็หันหน้ากลับมาโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว

เส้นผมที่ปรกบริเวณหน้าผากของชายหนุ่มเปียกชื้นเล็กน้อย นัยน์ตาดำขลับลุ่มลึก ท่าทางเย็นชาอย่างยิ่ง ในช่วงเวลานั้นเองจี้ชิงอิ่งก็รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นรุนแรง

ตอนรถไฟความเร็วสูงมาถึงสถานีเขายังคงออกไปด้วยกันกับผู้โดยสารคนนั้นและไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนอีกฝ่าย

จี้ชิงอิ่งได้ยินสาวน้อยทางด้านข้างพลันร้องตะโกนด้วยความตกใจ ‘ที่แท้ก็เป็นเขา!’

เธออยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่ได้ถาม

ทว่าผู้โดยสารทางด้านข้างกลับพูดคุยกับสาวน้อยคนนั้นสองสามประโยคขณะต่อแถวลงจากรถ ‘ทำไมล่ะ เธอรู้จักเหรอ’

‘รู้จักค่ะ!’

สาวน้อยเอ่ยอย่างตื่นเต้น ‘เขาเป็นหมอของโรงพยาบาลเป่ยเฉิงหนึ่ง! เป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัยข้างๆ ของพวกเรา โด่งดังมากๆ เมื่อก่อนฉันไปที่มหา’ลัยของพวกเขา บนบอร์ดเกียรติยศของมหา’ลัยยังมีชื่อของเขาเลย! เขาเป็นศัลยแพทย์หัวใจประเภทที่เก่งขั้นเทพ! แถมยังหน้าตาหล่อเว่อร์ด้วย’

เรื่องความหล่อนี้ทุกคนต่างเห็นกับตาแล้ว

สำหรับความเก่งกาจก็เหมือนจะได้รับการพิสูจน์แล้วเช่นกัน

ขณะออกจากสถานีรถไฟความเร็วสูง ข้างหูของจี้ชิงอิ่งก็ยังคงหลงเหลือโทนเสียงแหลมสูงของสาวน้อยคนนั้นอยู่

‘ถ้าไม่ใช่เพราะต่างกันมากเกินไป ฉันก็อยากจะไปขอช่องทางการติดต่อของรุ่นพี่ที่มหา’ลัยของพวกเขา’

‘เขาเทพมากจริงๆ ตอนที่เรียนหนังสืออยู่ก็เคยตีพิมพ์บทความลง SCI** ตั้งหลายบทความ’

‘ตอนที่เขาปรากฏตัวแล้วพูดว่า ‘ผมเป็นหมอ’ ฉันก็จิตใจสงบในชั่วพริบตาแล้ว’

ข้างหูของเธอมีเสียงพูดคุยต่อเนื่องไม่ขาดสายดังออกมา

จี้ชิงอิ่งพลิกตัว ตัดเสียงพูดคุยทิ้งไว้ข้างหลัง ทว่าตรงหน้ากลับยังคงปรากฏรูปลักษณ์ของผู้ชายคนนั้นออกมาอย่างชัดเจน

ตอนที่เขาก้มตัวลงเสื้อเชิ้ตก็วาดเค้าโครงรูปร่างของเขาออกมาทั้งหมดอย่างพอเหมาะพอดี ทิ้งภาพมายาซึ่งมีความดูดีที่อธิบายออกมาไม่ได้ไว้

แสงตะวันนอกหน้าต่างตกลงบนกายของเขา วาดเค้าโครงใบหน้าด้านข้างที่หล่อเหลาและคิ้วตาที่ลุ่มลึกของชายหนุ่มออกมา ในชั่วพริบตานั้นภาพฉากนี้ก็หยุดนิ่งอยู่ในดวงตาของเธอ

รวมทั้งการหันกลับมามองในโบกี้ขณะที่เขากำลังจากไป ทำให้สายตาของทั้งสองสบประสานกันหนึ่งวินาทีท่ามกลางกระแสคนที่หลั่งไหล…

แค่หนึ่งวินาทีเขาก็เคลื่อนสายตาออกไป

 

ทันใดนั้นจี้ชิงอิ่งก็ตื่นขึ้น

เธอดึงผ้าปิดตาลง กะพริบตาจ้องมองฝ้าเพดานอยู่ครู่ใหญ่แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ด้านข้างมาส่งข้อความให้เพื่อน

จี้ชิงอิ่งมาที่นี่ครั้งนี้เป็นเพราะมาพบปะกับผู้กำกับชื่อดังท่านหนึ่ง

ผู้กำกับต้องการถ่ายทำซีรี่ส์ยุคสาธารณรัฐเรื่องหนึ่ง อยากเชิญเธอมาเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบเครื่องแต่งกาย

ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนจี้ชิงอิ่งไม่มีทางตอบรับ ทว่าตอนนี้เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถพิจารณาใหม่ได้

เธอมองดูที่อยู่ของโรงพยาบาลเป่ยเฉิง 1 แล้วแคปหน้าจอและกดบันทึก ตอนนี้ถึงได้เลิกผ้าห่มออกแล้วลุกจากเตียง

หลังจากตื่นนอนทั้งสองคนตั้งใจจะออกไปกินข้าว

จี้ชิงอิ่งหยิบกี่เพ้าสีเหลืองอ่อนมาชุดหนึ่ง บนกี่เพ้าปักลวดลายด้วยเลื่อมเล็กๆ ดูแล้วสง่างามทั้งยังสวยเก๋ ตอนที่เธอสวมใส่แล้วเดินออกมาก็ทำให้เฉินซินอวี่ตกตะลึง

คนอื่นอาศัยกี่เพ้าขับให้ตัวเองเด่น จี้ชิงอิ่งกลับขับเสน่ห์ของกี่เพ้าออกมาได้ด้วยตัวเอง

กี่เพ้าที่สวมอยู่บนตัวเธอดูมีชีวิตชีวา งดงามมีศิลปะ ดึงดูดให้ผู้คนมีความปรารถนาต่อชุดนี้

จี้ชิงอิ่งมองสีหน้าเว่อร์วังของเฉินซินอวี่แล้วหลุบตาลงติดกระดุม

“ทำไมเธอถึงเว่อร์ขนาดนั้น”

เฉินซินอวี่ไม่ยอม ดึงเธอมาที่หน้ากระจกแล้วเอ่ยว่า “เธอดูเอาเอง เป็นฉันเว่อร์หรือว่าเธอสวยเกินไป”

จี้ชิงอิ่งช้อนตาขึ้น มองตัวเองในกระจกโดยไม่ได้พูดอะไร

“ก็พอได้”

“คนอื่นได้ยินเข้าคงโมโหตาย”

“ไปกันเถอะ”

จี้ชิงอิ่งยื่นมือไปจัดเส้นผมแล้วลากเพื่อนออกจากบ้านไป

ทั้งสองคนตั้งใจจะไปกินอะไรเล็กๆ น้อยๆ รองท้องกันก่อน ตอนนี้ถึงได้มุ่งหน้าไปยังบาร์แห่งหนึ่ง

เฉินซินอวี่บอกว่าบาร์นี้เพิ่งเปิดได้ไม่นาน เป็นช่วงที่กิจการรุ่งเรืองพอดี บรรยากาศรอบบาร์ไม่เลว ที่หน้าประตูมีรถหรูจอดอยู่หลายคัน

หลังจากทั้งสองคนเข้าไป เฉินซินอวี่ยังเจอเพื่อนของเธอด้วยสองสามคน พอเจรจาหารือกันแล้ว คนกลุ่มหนึ่งก็นั่งอยู่ด้วยกันอย่างงุนงง

จี้ชิงอิ่งไม่ค่อยชอบพูดคุยกับคนแปลกหน้าสักเท่าไร ทว่าช่วยไม่ได้ที่เธอหน้าตาสะสวย เพิ่งนั่งลงได้ไม่นานคนที่เข้ามาพูดคุยด้วยก็เปลี่ยนไปหลายกลุ่มแล้ว

รับมืออย่างง่ายๆ ไปครู่หนึ่งจี้ชิงอิ่งก็เหนื่อยแล้ว

เธอเปลี่ยนที่นั่งกับเฉินซินอวี่ นั่งเงียบๆ อยู่ในมุม แสงและเงาภายในบาร์ตกลงบนตัวเธอ เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ร่างเค้าโครงท่าทางที่เฉื่อยชาของเธอออกมา หน้าตางดงาม ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา แค่มองก็ทำให้ผู้คนรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย

เพื่อนคนหนึ่งที่นั่งข้างๆ เฉินซินอวี่จ้องมองจี้ชิงอิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงเฉินซินอวี่เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเสียงเบาๆ

“เพื่อนเธอหน้าตาดีเกินไปแล้ว”

เฉินซินอวี่เชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “นั่นมันแน่อยู่แล้ว” เธอหัวเราะ “อย่าคิดที่จะเอาชนะใจนางล่ะ นางไม่เหมือนพวกเธอหรอกนะ”

เพื่อนคนนั้นยกยิ้ม “เขาไม่ค่อยพูดเท่าไหร่”

“นางอยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณของตัวเอง”

นี่เป็นนิสัยของจี้ชิงอิ่ง เฉินซินอวี่รู้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร

จี้ชิงอิ่งเป็นคนที่แปลกมากคนหนึ่ง บางครั้งเธอก็ต้องการสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบสุดขีด บางครั้งก็สามารถหาแรงบันดาลใจเจอในสภาพแวดล้อมที่เสียงดังโหวกเหวกที่สุด เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลก แต่ก็แปลกได้น่ารักมาก

จี้ชิงอิ่งไม่ได้สนใจบทสนทนาของคนข้างๆ เธอมองเวทีของบาร์และเหม่อลอย

บนเวทีมีคนหนุ่มสาวกำลังเต้น ภาพฉากนั้นเร่าร้อนอย่างยิ่ง

เธอมองอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าไม่น่าสนใจ กำลังจะถอนสายตากลับมาก็เห็นเงาร่างด้านข้างของคนผู้หนึ่งโดยไม่ตั้งใจ

เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็กส์สีดำ เขากำลังลุกขึ้นพอดี ภายใต้แสงไฟที่เปลี่ยนสีสันไปมาของบาร์ รูปร่างของเขาถูกร่างเค้าโครงออกมาให้ดูสูงโปร่งสะดุดตา บุคลิกสูงส่ง

เพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสังเกตเห็นสายตาของจี้ชิงอิ่งจึงมองตามไปแล้วยิ้มแย้มพูดคุยกับเธอ “เธอก็สังเกตเห็นทางด้านนั้นแล้วเหรอ”

จี้ชิงอิ่งพยักหน้า

เพื่อนคนนั้นกล่าวต่อ “ผู้ชายคนนั้นหน้าตาดีมากเลยนะ มาเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ผู้หญิงที่เข้าไปชวนคุยมีเยอะเว่อร์ แต่พวกหล่อนก็ต้องผิดหวังกลับไป”

เฉินซินอวี่ได้ยินทั้งสองคนออกความเห็นก็เหลือบมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ทำไมเขาไม่หันมา”

“น่าจะกลัวโดนมองมั้ง” เพื่อนคนนั้นยิ้มพลางเอ่ยต่อ “เมื่อกี้ฉันไปถามมาสองประโยค ไม่ได้คำตอบอะไรเลย”

“ไม่ใช่มั้ง” เฉินซินอวี่ประหลาดใจเล็กน้อย “ไม่ได้อะไรกลับมาเลยเหรอ”

“ไม่มี”

“ไม่ใช่ว่าพวกเธอมองคนแม่นยำที่สุดหรือไง มองไม่ออกเหรอว่าเขาทำงานอะไร”

“มองไม่ออก”

จี้ชิงอิ่งที่นิ่งเงียบไปชั่วครู่อยู่อีกด้านหนึ่งจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “ฉันรู้”

สองสามคนนั้นหันหน้ามามองเธอ สีหน้าดูประหลาดใจเล็กน้อย

จี้ชิงอิ่งยิ้มน้อยๆ มองไปทางผู้ชายคนนั้น “หมอ”

“อะไรนะ”

จี้ชิงอิ่งมีน้ำอดน้ำทน เธอเอ่ยออกมาทีละคำว่า “เขาเป็นหมอ”

บทที่ 2

 แสงไฟของบาร์เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างไม่อาจคาดเดา สว่างจ้าจนทำให้คนตาพร่า

ฟู่เหยียนจื้อนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของโซฟา บุคลิกที่เยือกเย็นกับบรรยากาศของบาร์ห่างกันไกลแสนไกล

บนเวทีเพลงเมามันเต้นกันเร่าร้อน เสียงเพลงร็อกแอนด์โรลทำให้คนปวดหัว

เขายื่นมือออกไปบีบคลึงสันคิ้ว มีความใจร้อนอยากจะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ก่อน

หลินเฮ่าหรานมองท่าทางเช่นนี้ของเขาก็ถามอย่างไม่พอใจ “หมอฟู่ นายเป็นอะไรน่ะ” เขาหัวเราะเยาะ “มาร้านเหล้าทำให้นายเป็นทุกข์ขนาดนี้เชียว?”

ฟู่เหยียนจื้อชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ไม่ได้พูดอะไรออกมา

หลินเฮ่าหรานถูกเขามองจนรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก เขายื่นมือไปลูบๆ ปลายจมูกพร้อมส่งเสียง “จิ๊” ออกมาทีหนึ่ง “ดีเลวอย่างไรก็เป็นวันเกิดฉัน ให้เกียรติกันบ้างไม่ได้หรือไง”

ฟู่เหยียนจื้อตอบ “อืม” ไปหนึ่งคำ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

วันนี้เป็นวันเกิดของหลินเฮ่าหราน ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาโหมทำงานจนเหนื่อยจะแย่แล้ว พอถึงวันเกิดก็อยากจะหาสถานที่ผ่อนคลายดีๆ

แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายเขาจะจองสถานที่น่าเบื่อๆ อย่างร้านเหล้า

เพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านข้างฟังบทสนทนาของทั้งสองคนแล้วก็ยิ้มออกมา “หมอหลิน นายไม่ต้องทำให้หมอฟู่ลำบากใจแล้ว”

หลินเฮ่าหรานเลิกคิ้วอย่างไม่พอใจ “ฉันทำให้เขาลำบากใจตรงไหน”

ได้ยินแบบนั้นเพื่อนร่วมงานก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “มาร้านเหล้าก็คือทำให้หมอฟู่ลำบากใจน่ะสิ! เทียบกับร้านเหล้า หมอฟู่จะต้องอยากอยู่บ้านอ่านหนังสือทางการแพทย์ทั้งคืนมากกว่า อีกอย่างเมื่อก่อนหมอฟู่ก็เคยบอกว่าเขาไม่ชอบดื่มเหล้า”

หลินเฮ่าหราน “…”

ฟู่เหยียนจื้อช้อนตาขึ้นและเอ่ยแก้ว่า “ผิดแล้ว”

ทั้งสองคนหันหน้าไปมองเขา

ฟู่เหยียนจื้อเอ่ยต่ออย่างราบเรียบ “ฉันเลือกนอน”

อาชีพของพวกเขาหากมีเวลานิดๆ หน่อยๆ ก็อยากจะช่วงชิงเวลาทุกวินาทีเพื่อพักผ่อน บำรุงจิตใจสะสมกำลัง ไหนเลยจะมาผลาญเวลาที่นี่ได้

ทุกคนไร้กำลังจะโต้แย้ง ได้แต่สบตากันโดยไร้คำพูด

หลินเฮ่าหรานกลับแตกต่างออกไป แต่ไหนแต่ไรมาเขาสนับสนุนให้ทำงานเมื่อควรทำ เล่นเมื่อควรเล่น ไม่อาจปล่อยช่วงเวลาที่ดีงามให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ได้

ขณะที่กำลังคิดเขาก็เอ่ยแขวะอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย “มิน่านายถึงไม่มีแฟน”

สาวน้อยคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างฟังคำพูดนี้ก็โต้แย้งว่า “หมอหลิน หมอฟู่ของพวกเราไม่หาต่างหาก ไม่ใช่หาไม่ได้สักหน่อย”

“ใช่ๆๆ โรงพยาบาลมีหมอกับพยาบาลผู้หญิงตั้งเท่าไหร่ที่แอบรักหมอฟู่ของพวกเรา!”

“หมอฟู่ ฉันแนะนำให้นายเอาไหม นายชอบน่ารักๆ หรือว่าสวยเซ็กซี่ล่ะ”

“…”

ทุกคนต่างแย่งกันถาม

หลินเฮ่าหรานมองคนที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาแล้วพูดตรงๆ ว่า “พวกนายเป็นอะไรกัน ทำไมแนะนำให้แต่หมอฟู่ ไม่แนะนำให้ฉันล่ะ” เขาแขวะฟู่เหยียนจื้ออย่างไร้ความปรานี “หมอฟู่ไม่มีความปรารถนาในด้านความรัก พวกนายก็ไม่ต้องทำให้เขาลำบากใจแล้ว”

ทุกคน “…ทำไมถึงไม่มี”

หลินเฮ่าหรานและฟู่เหยียนจื้อรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และหลินเฮ่าหรานก็ค่อนข้างจะรู้จักฟู่เหยียนจื้อดี

“ตั้งแต่วันที่ฉันรู้จักเขาก็ไม่เคยเห็นสายตาของเขาหยุดอยู่ที่ผู้หญิงคนไหนเกินสามวิเลย ยกเว้นคนไข้กับคนในครอบครัวน่ะ”

เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของทุกคนหลินเฮ่าหรานก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยสรุป “ดังนั้นน้องสาวทั้งหลายไม่ต้องคิดแล้ว หมอฟู่ของพวกเธอชีวิตนี้จะใช้ชีวิตอยู่กับหนังสือทางการแพทย์ รอเกษียณแล้วเขาก็จะไปเป็นพระที่วัด”

ทุกคน “เหอะ”

หลินเฮ่าหรานอึกอัก มองกลุ่มคนตรงหน้า “ถ้าไม่เชื่อฉันจะทดสอบให้พวกเธอดู”

“ทดสอบยังไงน่ะ”

หลินเฮ่าหรานครุ่นคิด “ก็หาคนที่สวยที่สุดในบาร์ออกมา พวกเธอดูว่าหมอฟู่ของพวกเราจะมองคนเขาเกินสามวิหรือเปล่า”

ทุกคน “…”

ระหว่างที่พูดอยู่หลินเฮ่าหรานก็ยังไม่ลืมที่จะหาคนที่สวยที่สุดในบาร์

ฟู่เหยียนจื้อไม่สนใจการทดสอบประเภทนี้เลยแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นยืนทันที ตั้งใจจะจากไป

เพิ่งจะยืนขึ้นมาจู่ๆ หลินเฮ่าหรานก็คว้าไหล่ของเขาไว้และร้อง “ว้าว!” อย่างเกินจริง “นายดูทางนั้นสิ”

ฟู่เหยียนจื้อไม่แม้แต่จะยกเปลือกตาขึ้น หลุบตาลงมองมือของเพื่อนที่วางอยู่บนไหล่ของตัวเองและเอ่ยอย่างเย็นชา “ปล่อย”

หลินเฮ่าหรานไม่กลัวเขา สายตาหยุดอยู่ที่จี้ชิงอิ่งแล้วกล่าวต่อ “ไม่ได้ นายมองสักแป๊บสิ ให้ฉันทำการทดสอบนี้ให้เสร็จ ขอแค่นายมองแวบนึง ฉันก็จะอนุญาตให้นายออกไปก่อน”

ฟู่เหยียนจื้อถูกอีกฝ่ายทำให้หนวกหูจนรำคาญใจจึงมองไปอย่างเย็นชา

ฉับพลันนั้นโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองคนที่ถูกคั่นด้วยโต๊ะสองสามโต๊ะก็สบประสานสายตากัน

แสงไฟเปลี่ยนแปลงไปมาตกลงบนใบหน้าของจี้ชิงอิ่ง ทำให้ทุกคนมองเห็นใบหน้าที่สะสวยและละเอียดงดงามของเธอได้ชัดเจนขึ้นทีละภาพๆ ขยายใหญ่ขึ้นตามการแปรเปลี่ยนของแสงไฟ ดึงดูดให้ผู้คนจับจ้องขึ้นเรื่อยๆ

หลินเฮ่าหรานตะลึงไปครู่หนึ่ง แม้แต่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ก็อุทานด้วยความตกใจ สองสามวินาทีให้หลังทุกคนถึงได้สติกลับมา พวกเขาที่ถูกทำให้ตกตะลึงต่างลืมนับว่าฟู่เหยียนจื้อจ้องมองเกินสามวินาทีหรือเปล่า

รอเมื่อหลินเฮ่าหรานนึกขึ้นมาได้ ฟู่เหยียนจื้อก็ไปห้องน้ำแล้ว

อีกด้านหนึ่งจี้ชิงอิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะหันหน้ามองมา

ตอนที่สบตากับเขาเธอยังคงรู้สึกว่าอารมณ์ในดวงตาคู่นั้นช่างจืดจางเหลือเกิน จืดจางจนเหมือนหมอกที่สลายไปในยามเช้าตรู่

ทว่าช่วงเวลานั้นเธอยังคงได้ยินเสียงหัวใจที่ดังขึ้นของตัวเอง

ไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็ลุกขึ้นด้วย

“เธอจะไปไหนน่ะ” เฉินซินอวี่มองท่าทางนี้ของเธอก็ถลึงตา “คงไม่ได้จะไปขอเบอร์โทรเขาใช่ไหม”

“ไม่” จี้ชิงอิ่งเสยผมขึ้น ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางไม่รีบร้อนแต่กลับมีเสน่ห์เย้ายวนเหลือล้น “ฉันจะไปห้องน้ำ”

…เพื่อพบกันโดยบังเอิญ

 

ด้วยระยะทางที่ไกลจากห้องน้ำ ตอนที่จี้ชิงอิ่งหาห้องน้ำเจอจึงไม่เห็นฟู่เหยียนจื้อแล้ว

เธอเลิกคิ้วขึ้นและไม่ได้รีบร้อนตามหาเขาเช่นกัน

รอเมื่อเธอออกมาจากห้องน้ำ เธอก็เห็นคนที่ยืนอยู่ปลายสุดของระเบียงทางเดิน

ภาพแผ่นหลังของชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง มือข้างหนึ่งสอดอยู่ในกระเป๋า มืออีกข้างถือโทรศัพท์และกำลังคุยกับคนปลายสายอยู่ เสียงของเขาเยือกเย็นน่าฟัง จังหวะในการพูดไม่เร่งไม่เนิบช้า ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายเป็นพิเศษ

จี้ชิงอิ่งหรี่ตา ไตร่ตรองว่าจะเข้าไปชวนคุยอย่างไรดีถึงจะดูไม่ไร้รสนิยม

เธอยังคิดไม่ออก เขาก็วางสายโทรศัพท์และหันกายเดินมาทางเธอแล้ว

จี้ชิงอิ่งช้อนตาขึ้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ริมฝีปากขมุบขมิบ ขณะกำลังคิดจะพูดจาฟู่เหยียนจื้อก็เดินผ่านที่ว่างข้างๆ เธอไปเรียบร้อยแล้ว

แม้แต่สายตาก็ไม่ชายมองเธอเลยสักนิด!

จี้ชิงอิ่งกะพริบตาปริบๆ หันหน้ากลับไปมองกระจกตรงอ่างล้างมือ นึกสงสัยใบหน้าของตัวเองเป็นครั้งแรก

ไม่สวยเหรอ

ไม่ดูดีเหรอ!

ทว่ารูปโฉมที่กระจกสะท้อนออกมาก็บอกเธออย่างชัดเจนว่า…

ดูดี

ฉันดูดีมากๆ

งั้นทำไมเขาไม่แม้แต่จะมอง!

 

จี้ชิงอิ่งนำ ‘ความอาฆาตแค้น’ นี้กลับเข้ามาในบาร์

สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็คือแค่เวลาเพียงไม่กี่นาทีนี้เฉินซินอวี่กับคนอื่นๆ ก็สนิทสนมกับคนอีกโต๊ะหนึ่งแล้ว

เธอยืนอยู่ที่เดิมพลางกะพริบตาเบาๆ

เฉินซินอวี่สังเกตเห็นเธอเป็นคนแรกก็รีบตะโกนเรียกทันที “ชิงอิ่ง รีบมาเร็ว!”

จี้ชิงอิ่งงุนงงไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “อื้อ”

ทันทีที่จี้ชิงอิ่งเดินเข้าไป เฉินซินอวี่ก็แนะนำคนอื่นๆ อย่างกระตือรือร้น “นี่เพื่อนของฉันเอง จี้ชิงอิ่ง” มุมปากของเธอโค้งยิ้ม “นี่คือหมอหลินเฮ่าหราน”

จี้ชิงอิ่งมองไปทางผู้ชายตรงหน้า

แต่ไหนแต่ไรมาหลินเฮ่าหรานค่อนข้างเป็นกันเอง เขาหยิบแก้วให้จี้ชิงอิ่งแล้วชนแก้วกับเธออย่างยิ้มแย้ม “สวัสดีครับ ผมหลินเฮ่าหราน”

“จี้ชิงอิ่งค่ะ”

เธอจิบเหล้าไปสองอึก ไม่ค่อยเข้าใจว่านี่มันคือสถานการณ์อะไรกันแน่

เฉินซินอวี่เข้าใจเธอดีที่สุด รีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “เมื่อกี้พวกเราเพิ่งพูดคุยกัน คิดว่าคนเยอะก็สนุกครื้นเครงดีน่ะ” ขณะที่พูดเธอก็ชี้หลินเฮ่าหรานและเอ่ยต่อ “ถึงก่อนหน้านี้จะเป็นคนแปลกหน้ากัน แต่ตอนนี้รู้จักกันแล้ว ถูกต้องไหมคะ”

ทุกคนพยักหน้า “ใช่เลย! คนเยอะยิ่งสนุก มาร้านเหล้าก็เพื่อหาเพื่อนฝูง”

นี่เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว

อยู่ที่บาร์น่ะมองแล้วถูกใจก็สามารถพูดคุยดื่มเหล้าได้เป็นธรรมดา เป็นเพื่อนกันได้ เป็นเรื่องปกติมาก

แม้จี้ชิงอิ่งจะไม่รู้ว่าเฉินซินอวี่สนิทสนมกับหมอและพยาบาลเหล่านี้ได้อย่างไรในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้ แต่ก็ต้องยกนิ้วให้เพื่อนในใจ ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว

พอได้รับสายตาของจี้ชิงอิ่ง เฉินซินอวี่ก็กะพริบตามองมาทางเธอ

จี้ชิงอิ่งช้อนตามองไปทางผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ หลินเฮ่าหราน

รอบด้านสนุกครื้นเครง เขากลับนั่งเงียบเชียบอยู่คนเดียว

หลินเฮ่าหรานมองตามสายตาของเธอไปแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างรู้งาน “ลืมแนะนำไปเลยครับ นี่เพื่อนร่วมงานของผม หมอฟู่เหยียนจื้อ”

เฉินซินอวี่โค้งริมฝีปากยิ้ม กล่าวชมเชยว่า “ระดับความหน้าตาดีของหมอสมัยนี้สูงขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”

ฟู่เหยียนจื้อช้อนตาขึ้นพลางเอ่ยเสียงเรียบ “สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะ” เฉินซินอวี่ยิ้มแย้ม “นี่เพื่อนของฉัน”

ฟู่เหยียนจื้อชำเลืองตามองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า

ชุดกี่เพ้าสีโทนร้อน เลื่อมเล็กๆ บนกี่เพ้าทำให้ชุดตัวนี้ดูแล้วไม่ซ้ำซากจำเจขนาดนั้น

สายตาของเขาชะงักงัน หยุดอยู่บนกี่เพ้าสองสามวินาทีแล้วพยักหน้าน้อยๆ “ฟู่เหยียนจื้อครับ”

จี้ชิงอิ่งถือโอกาสนั่งข้างๆ เขา เป็นฝ่ายเริ่มกล่าวว่า “พวกเราเคยเจอกันค่ะ”

ได้ยินดังนั้นหลินเฮ่าหรานก็อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที

“พวกคุณเคยเจอกันเหรอ เมื่อไหร่ครับ”

จี้ชิงอิ่งก็ไม่ได้ปิดบังทุกคน เอ่ยตามตรงว่า “ตอนบ่ายค่ะ เขาช่วยคนบนรถไฟความเร็วสูง”

ได้ยินดังนั้นหลินเฮ่าหรานก็หัวเราะออกมา “นี่มันเป็นพรหมลิขิตที่มหัศจรรย์อะไรของพวกคุณกัน”

จี้ชิงอิ่งได้ยินคำพูดนี้ก็มีความสุขมาก เธอชอบคนที่รู้จักพูดอย่างหลินเฮ่าหราน

ได้ยินคำพูดนี้ของเธอสีหน้าของฟู่เหยียนจื้อก็ยังคงราบเรียบเหมือนเดิม ไม่ได้แสดงความประหลาดใจและไม่ได้แสดงความคุ้นเคยออกมาเช่นกัน

ในยามปกติจี้ชิงอิ่งพูดน้อย ทว่าเมื่อถึงเวลาที่ควรพูดก็พูดได้เช่นกัน

ขณะกำลังคิดเธอก็เป็นฝ่ายหาหัวข้อสนทนาที่คิดว่าคนตรงหน้าจะสนใจ “คุณตามไปโรงพยาบาลด้วยใช่ไหมคะ”

“อืม”

“เขายังโอเคไหมคะ”

“อืม”

จี้ชิงอิ่ง “…”

เธอไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว

เฉินซินอวี่ฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่ด้านข้าง ไว้อาลัยให้กับเพื่อนของตัวเองสามวินาที

ผู้ชายที่ต่อบทสนทนาไม่เป็นจีบยากเกินไปแล้วจริงๆ

ทั้งสองคนเงียบลง

จี้ชิงอิ่งหันหน้ามองไปทางอื่น โทรศัพท์ที่วางอยู่บนตักสั่นขึ้นมาทีหนึ่ง เมื่อเธอหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นข้อความที่เฉินซินอวี่ส่งมา

 

เฉินซินอวี่ : สู้ๆ นะสาว ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็มอมเหล้า พวกเราช่วยเธอเอง

จี้ชิงอิ่ง : …

เธอวางโทรศัพท์ลง ตอนที่ชำเลืองตามองไปโดยไม่ได้ตั้งใจก็เห็นหน้าจอโทรศัพท์ของฟู่เหยียนจื้อเข้าพอดี

เธอชะงักไปชั่วขณะ ลืมเรื่อง ‘หากไร้มารยาทอย่ามอง’ ไปแล้ว

ฟู่เหยียนจื้อก็ไม่ได้ปิดบังเช่นกัน กดเปิดขึ้นมาอย่างเปิดเผยโต้งๆ เช่นนี้

จี้ชิงอิ่งอดไม่ไหว มองอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “นี่คือแบบร่างการออกแบบกี่เพ้าเหรอคะ”

ฟู่เหยียนจื้อมองเธอ

จี้ชิงอิ่งเป็นฝ่ายเริ่มกล่าว “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจแอบมอง เมื่อกี้บังเอิญเห็นเข้า เลยอดไม่ได้ที่จะมองนานขึ้นสองแวบ”

ฟู่เหยียนจื้อส่งเสียง “อืม” ออกมาหนึ่งคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าจี้ชิงอิ่งกลับรู้สึกได้ คนคนนี้ดูเหมือนจะเต็มใจพูดคุยเรื่องแบบร่างการออกแบบกับเธอมากทีเดียว

“นี่คุณวาดเหรอคะ”

“ไม่ใช่ครับ”

จี้ชิงอิ่งร้อง “อ้อ” ก่อนจะเอ่ยถาม “เพื่อนของคุณวาดเหรอคะ”

ฟู่เหยียนจื้อพยักหน้า “นับว่าใช่ครับ”

จี้ชิงอิ่งยิ้มอย่างเข้าใจ ไม่ได้ซักไซ้ต่อว่าเพื่อนคนนี้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

เธอดูอย่างตั้งใจสองแวบ ชี้พร้อมเอ่ยว่า “ออกแบบได้ไม่เลวค่ะ แต่การออกแบบกระดุมของแพตเทิร์นนี้จับคู่กับกระดุมผีเสื้อจะยิ่งสวยสะดุดตา”

ในด้านของกี่เพ้าไม่ว่าจะเป็นความรู้เฉพาะทางหรืออย่างอื่นจี้ชิงอิ่งล้วนเหนือกว่าคนทั่วไป

ด้วยกลัวว่าฟู่เหยียนจื้อจะไม่เข้าใจว่ากระดุมผีเสื้อเป็นแบบไหน จี้ชิงอิ่งยังตั้งใจหารูปให้เขาดูเป็นพิเศษ

“คุณดูสิ การจับคู่นี้เหมาะสมมากค่ะ”

ฟู่เหยียนจื้อหลุบตามองสองแวบ หยุดไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “คุณวาดเหรอครับ”

จี้ชิงอิ่งตกตะลึงแล้วยิ้มออกมา “ใช่ค่ะ ฉันก็เป็นดีไซเนอร์เหมือนกัน” เธอกล่าวต่อจากคำพูดของเขา “เพื่อนของคุณก็เป็นดีไซเนอร์ใช่ไหมคะ ถ้าหากสนใจกี่เพ้า พวกเราสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ”

จีบคนคนหนึ่ง…อันดับแรกต้องเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดรอบๆ ตัวเขาให้ชัดเจนเสียก่อน มีการบุกโจมตีเสริมจากกองหนุนก็ยิ่งเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

ฟู่เหยียนจื้อไม่ได้ตอบคำถาม เขาก้มหน้าพิมพ์ไปสองสามคำ ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็สั่นอีกครั้ง

ด้านนั้นส่งมาหนึ่งประโยค ‘อะๆๆ เมื่อกี้ฉันลองไป เหมือนว่าจะดีกว่าจริงๆ!! พี่ พี่เก่งเกินไปแล้ว ขอบคุณนะ ขอบคุณนะ!’

ฟู่เหยียนจื้อไม่ตอบข้อความ เขาโน้มตัวหยิบแก้วเหล้ามาชนแก้วกับจี้ชิงอิ่งและกล่าวเสียงเบาว่า “ขอบคุณมากครับ”

มุมปากของจี้ชิงอิ่งยกขึ้น แกว่งแก้วเหล้าไปมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นดื่มเหล้าในแก้วหมดในรวดเดียว

ฟู่เหยียนจื้อชะงักไปชั่วขณะแล้วดื่มหมดแก้วเช่นเดียวกัน

คนทั้งสองโต๊ะรวมตัวกัน ฉลองวันเกิดอย่างสนุกสนานครื้นเครงให้หลินเฮ่าหรานอยู่พักหนึ่งก็ต้องกลับบ้านแล้ว

จี้ชิงอิ่งและคนอื่นๆ ยังดี แต่พวกหลินเฮ่าหรานส่วนใหญ่ต้องทำงานในวันรุ่งขึ้น จำเป็นต้องรีบกลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย

เฉินซินอวี่และจี้ชิงอิ่งก็ถือโอกาสบอกลาเพื่อนกลุ่มนั้นของเธอเช่นเดียวกันและตามออกไปจากบาร์ด้วย

หลินเฮ่าหรานและเฉินซินอวี่เวลานี้คุ้นเคยกันเรียบร้อยแล้ว เขาจึงถามอย่างสบายๆ ว่า “พวกคุณพักอยู่ที่ไหนครับ”

เฉินซินอวี่ตอบทันที “อาศัยอยู่ที่ถนนชิงเหอค่ะ”

หลินเฮ่าหรานตกตะลึง “คนสวยท่านนี้ล่ะครับ”

เฉินซินอวี่ตอบ “เธอพักกับฉันชั่วคราว อีกสองสามวันค่อยหาที่อยู่ค่ะ”

ได้ยินดังนั้นหลินเฮ่าหรานก็เลิกคิ้วขึ้น “จะหาบ้านเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ”

“ต้องการก็บอกนะครับ”

“ได้ค่ะ”

หลินเฮ่าหรานจัดการเรียกรถแท็กซี่ส่งคนอื่นๆ กลับบ้าน

ถึงตอนสุดท้ายก็เหลือแค่พวกเขาสี่คน

“หรือไม่พวกเราสี่คนไปด้วยกันไหม” เขามองไปทางฟู่เหยียนจื้อ “เวลานี้มีคนรอรถเยอะ เบียดๆ กันเป็นไง”

เฉินซินอวี่และจี้ชิงอิ่งไม่มีความคิดเห็น ฟู่เหยียนจื้อส่งเสียง “อืม” อย่างราบเรียบไปหนึ่งคำ

ทั้งสี่คนขึ้นรถแท็กซี่ไป ฟู่เหยียนจื้อนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ จี้ชิงอิ่งนั่งเบาะหลังเยื้องกับเขา เมื่อช้อนตาขึ้นก็สามารถมองเห็นใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มได้

เธอไม่ได้เก็บอาการ จ้องมองอย่างไม่ละสายตา

เมื่อสังเกตเห็นสายตาของเธอฟู่เหยียนจื้อก็ช้อนตาขึ้น อาศัยกระจกมองหลังสายตาของทั้งสองก็สบประสานกัน

ไม่นานเขาก็หลุบตาลงไปอีกครั้ง

จี้ชิงอิ่งมองปฏิกิริยานี้ของเขาแล้วก็โค้งริมฝีปากอย่างไร้สุ้มเสียง

 

มาถึงที่ด้านล่างตึกของหมู่บ้าน จี้ชิงอิ่งและเฉินซินอวี่ก็ลงจากรถ

หลินเฮ่าหรานบอกลาหญิงสาวทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “ไปแล้วนะครับ เจอกันครั้งหน้า รีบพักผ่อนนะ”

“ได้ ขอบคุณค่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ”

ขณะมองภาพแผ่นหลังที่เดินจากไปไกลของหญิงสาวทั้งสอง หลินเฮ่าหรานก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางคนที่อยู่เบาะหน้าซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง

“ฟู่เหยียนจื้อ นายคิดว่าฉันหน้าตาเป็นไง”

ฟู่เหยียนจื้อ “…”

ภายในรถเงียบกริบ

คนขับรถยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ หันหน้ากลับไปมองเขา “พ่อหนุ่ม ฉันคิดว่านายหน้าตาไม่เลว”

“ใช่มะ”

หลินเฮ่าหรานส่องกระจกอย่างหลงตัวเอง “งั้นพี่ชาย พี่คิดว่าผมจะจีบคนที่สวยที่สุดเมื่อกี้นี้ติดไหม”

คนขับรถเลิกคิ้ว “คนที่ใส่ชุดกี่เพ้าเหรอ”

“ใช่”

ได้ยินดังนั้นคนขับรถก็ประหลาดใจ “นายไม่ได้คุยกันถูกคอกับอีกคนหนึ่งเหรอ”

“เธอมีแฟนแล้ว อีกอย่างระหว่างพวกเราน่ะเป็นมิตรภาพของพี่น้องที่สนิทสนมกันตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ผมอยากจีบคนที่ใส่ชุดกี่เพ้า”

“…”

คนขับรถยังไม่ทันได้พูด จู่ๆ ฟู่เหยียนจื้อก็หันหน้าไปมองเขาและแสดงความเห็นอย่างจริงจังว่า “ไม่มีหวัง”

“ทำไมล่ะ”

“หน้าตาน่าเกลียดเกินไป”

หลินเฮ่าหราน “…”

เขากำลังคิดจะด่าคน คนขับรถก็ปลอบใจเขาอยู่ข้างๆ “ไม่ใช่น่าเกลียด แค่สำหรับพวกนายสองคนแล้ว เขาค่อนข้างมีความหวังมากกว่า”

คนขับรถชี้ไปที่ฟู่เหยียนจื้อ

หลินเฮ่าหราน “???”

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: