บทที่ 3
หลังจากถึงบ้านแล้วจี้ชิงอิ่งก็ก้มตัวเปลี่ยนรองเท้า
เฉินซินอวี่ถอดรองเท้าส่งๆ ทิ้งไว้ที่หน้าประตูแล้วหันหน้ากลับไปมองจี้ชิงอิ่ง
คนงามในชุดกี่เพ้าเปลี่ยนรองเท้า แม้แต่กิริยาท่าทางก็ล้วนงดงามมีเสน่ห์
เธอจ้องมองส่วนโค้งเว้าของร่างกายจี้ชิงอิ่งอยู่สองสามวินาที ก่อนจะลูบคางและเอ่ยว่า “ถึงหมอฟู่คนนั้นจะเย็นชามาก…”
จี้ชิงอิ่งเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน
เฉินซินอวี่โค้งริมฝีปากยิ้ม “แต่ก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย”
ได้ยินดังนั้นจี้ชิงอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้น พูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว สายตาของฉันดีมาตลอดแหละ”
“…” เฉินซินอวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง “เธอมีความมั่นใจกี่ส่วน”
จี้ชิงอิ่งยิ้ม เอารองเท้าของพวกเธอวางไว้ในตู้เก็บรองเท้าแล้วเข้าไปล้างมือในห้องครัว เธอมัดผมขึ้นอย่างลวกๆ พลางเอ่ยตอบ
“เก้าส่วนมั้ง”
เธอไม่อาจพูดให้เต็มจนเกินไปได้
เฉินซินอวี่เลื่อมใสในความมั่นใจในตัวเองของเพื่อนเหลือเกิน คำพูดนี้ถ้าเป็นคนอื่นพูดออกมา เธออาจจะคิดว่าหลงตัวเองหรือไม่ก็มั่นใจในตัวเองอย่างหน้ามืดตามัว ทว่าเมื่อพูดออกมาจากปากของจี้ชิงอิ่ง เธอก็เชื่ออย่างอธิบายไม่ได้
เห็นท่าทางนี้ของจี้ชิงอิ่ง จู่ๆ เฉินซินอวี่ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
สมัยเรียนมหาวิทยาลัยพวกเธอเข้าร่วมการแข่งขันออกแบบครั้งใหญ่ หนึ่งคืนก่อนการแข่งขัน ผลงานที่จี้ชิงอิ่งเตรียมการอย่างพิถีพิถันเป็นเวลาหนึ่งเดือนถูกคนทำลาย มันถูกตัดจนมองรูปทรงเดิมไม่ออก
ในเวลานั้นเธอกับเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งต่างร้อนใจกันมาก ทั้งกลัดกลุ้มทั้งโมโห พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าต้องการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ให้อาจารย์มาตรวจสอบ
จี้ชิงอิ่งได้ยินคำพูดของเพื่อนทั้งสองก็หยิบโทรศัพท์ของเฉินซินอวี่มาอย่างใจเย็น ‘ตอนนี้ไม่ใช่เวลาตรวจสอบกล้องวงจรปิด’ เธอมองผลงานที่ถูกทำพังของตัวเองพลางเม้มริมฝีปากแน่น ‘อดนอนโต้รุ่งเป็นเพื่อนฉันได้ไหม เรื่องอื่นรอจบแล้วค่อยว่ากัน’
ทั้งสองคนตะลึงงัน
จี้ชิงอิ่งเลิกคิ้วและยิ้ม กล่าวอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ‘ฉันมีแรงบันดาลใจใหม่แล้ว รีบลงมือก็น่าจะทำออกมาได้ทันก่อนการแข่งขัน’
คืนนั้นจี้ชิงอิ่งก็ออกแบบชุดใหม่ออกมา ตัดและเย็บด้วยตัวเอง ทำกระโปรงออกมาใหม่ตัวหนึ่ง หลังจากนั้นกระโปรงตัวนั้นยังได้รับรางวัลอีกด้วย
นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาจู่ๆ เฉินซินอวี่ก็เชื่อว่าคนที่ดูเหมือนงดงามและไม่เป็นอันตรายคนนี้มีความสามารถที่พิเศษ ขอเพียงจี้ชิงอิ่งบอกว่าได้ เธอก็จะสามารถทำสำเร็จได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างแน่นอน
การเป็นนักออกแบบของจี้ชิงอิ่งเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นการจีบคนก็เช่นเดียวกัน
แม้ว่าเรื่องของความรู้สึกจะบีบบังคับกันไม่ได้ แต่ดูจากสถานการณ์ของคืนนี้แล้วจี้ชิงอิ่งมีโอกาสชนะ
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่นี้ทั้งสองคนเพิ่งจะสืบสถานการณ์ส่วนหนึ่งของฟู่เหยียนจื้อจากปากของหมอและพยาบาลกลุ่มนั้นมาได้
เขาไม่เคยมีแฟนมาก่อน ถึงขนาดที่ไม่มีแม้แต่คนคุย
แน่นอน คนที่มาจีบนั้นมีไม่น้อย แต่ทั้งหมดล้วนถูกหมอฟู่แช่แข็งไปหมดแล้ว
“ฉันซัพพอร์ตเธออย่างไม่มีเงื่อนไข”
จี้ชิงอิ่งหน้าตายิ้มแย้มสดใส “ขอบคุณนะ”
“จริงสิ เธอวางแผนว่าจะอยู่ที่ไหนน่ะ” เฉินซินอวี่เอ่ยต่อ “อันที่จริงฉันคิดว่าเธออยู่กับฉันที่นี่ก็ดีนะ ถึงยังไงแฟนของฉันก็ออกไปทำงานนอกสถานที่แล้ว”
จี้ชิงอิ่งส่ายหน้า “งานของฉันน่ะถ้ายุ่งขึ้นมาเวลามันจะไม่แน่นอน จะส่งผลต่อการทำงานตามปกติของเธอ”
เฉินซินอวี่รู้ข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนจึงไม่ได้ฝืนใจอีกเช่นกัน “งั้นฉันจะให้เพื่อนหาๆ ให้ดู”
“ได้เลย”
ทั้งสองคนรีบล้างหน้าแปรงฟันและพักผ่อน
เรื่องของฟู่เหยียนจื้อ จี้ชิงอิ่งก็ไม่ได้รีบร้อนเช่นกัน ใจร้อนกินเต้าหู้ร้อนไม่ไหว* เธอต้องค่อยๆ ดำเนินการตามลำดับ
วันต่อมาจี้ชิงอิ่งนัดพบกับผู้กำกับภาพยนตร์
‘Longevity’ เป็นภาพยนตร์ยุคสาธารณรัฐเรื่องหนึ่ง พล็อตไม่นับว่าแปลกใหม่ ทว่าเนื้อเรื่องไม่เลวเลยทีเดียว
เพื่อแสดงความจริงใจผู้กำกับถึงขั้นให้เธออ่านบทละครส่วนหนึ่งก่อน พูดตามความจริงจี้ชิงอิ่งรู้สึกใจเต้นเล็กน้อย ทว่าการใจเต้นประเภทนี้ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอรับงานที่เปลืองแรงงานนี้
ความจริงใจของผู้กำกับเต็มเปี่ยมและไม่ได้เอ่ยว่าเธอจะต้องรับงานเช่นกัน เพียงเชิญเธอมาพูดคุยแล้วถือโอกาสดูสถานที่ถ่ายทำของพวกเขาเท่านั้น
เมื่อจี้ชิงอิ่งเดินทางมาถึงสถานที่ที่นัดไว้ ผู้กำกับกวนและนักเขียนบทก็มาถึงแล้ว
ผู้กำกับกวนอมยิ้มมองเธอ “อาจารย์จี้”
จี้ชิงอิ่งยิ้มพลางมองทั้งสองคนตรงหน้า “ผู้กำกับกวน เรียกฉันว่าชิงอิ่งก็พอค่ะ คำว่าอาจารย์ไม่กล้ารับไว้”
ผู้กำกับกวนพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “คิดว่าที่นี่เป็นยังไงบ้างครับ”
สถานที่ที่ผู้กำกับกวนจองไว้เป็นเมืองจำลองสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ที่พวกเขาเลือกมาเป็นฉากในการถ่ายทำ มีรูปแบบการดำเนินชีวิตในยุคสาธารณรัฐอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งปลูกสร้างหรือสภาพแวดล้อมโดยรอบล้วนทำให้ผู้คนเกิดภาพลวงตาที่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในยุคสมัยนั้นได้
จี้ชิงอิ่งสัมผัสบรรยากาศของที่นี่อย่างเลื่อนลอยโดยไม่ได้พูดอะไร
ผู้กำกับกวนชำเลืองตามองเธอ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อาจารย์จี้ คุณเคยคิดที่จะให้นักแสดงสวมชุดที่คุณออกแบบเดินมาตรงหน้าผู้ชม ให้ทุกคนรู้จักคุณ รู้จักกี่เพ้าที่คุณออกแบบไหมครับ” เขาหยุดลงชั่วขณะ ค่อยๆ ชี้นำอย่างเป็นระบบ “กี่เพ้าไม่เป็นที่นิยมมานานแล้ว หรือว่าอาจารย์จี้ไม่อยากให้วัฒนธรรมเครื่องแต่งกายที่ค่อยๆ ถูกทุกคนลืมเลือนนี้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งเหรอครับ”
อยาก ทำไมจะไม่อยากล่ะ
จี้ชิงอิ่งก็เป็นสามัญชนคนธรรมดาคนหนึ่งเช่นกัน เธอชื่นชอบกี่เพ้า เป็นเพราะได้ยินได้เห็นมาตั้งแต่เด็ก และเพราะปัจจัยอื่นๆ อีกต่างๆ นานา เธอรู้สึกมาตลอดว่ากี่เพ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าเสื้อผ้าแฟชั่นอื่นๆ ตรงไหนเลย มันมีความงามที่เป็นรูปแบบเฉพาะของตัวเอง
แม้เธอจะไม่ได้คิดว่าตัวเองมีความสามารถมากมายถึงขนาดทำให้วัฒนธรรมการแต่งชุดกี่เพ้าที่ถูกทุกคนค่อยๆ ลืมเลือนกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งได้ แต่ไม่พูดไม่ได้เลยว่าเธออยากจะนำกี่เพ้ากลับมาสู่สายตาของทุกคนใหม่อีกครั้งจริงๆ
ไม่ว่าเรตติ้งจะเป็นอย่างไร เธอก็อยากให้ทุกคนรู้ว่าแท้จริงแล้วกี่เพ้านั้นสวยงามเพียงใด
ขณะกำลังคิดจี้ชิงอิ่งก็ยิ้มอย่างจนปัญญาและกล่าวว่า “ผู้กำกับกวนเคยเรียนจิตวิทยาใช่ไหมคะ”
ได้ยินคำพูดนี้ของเธอผู้กำกับกวนก็ยิ้มอย่างเบิกบาน “จับใจอาจารย์จี้ได้ก็พอครับ” เขากล่าว “ผมหาข้อมูลของนักออกแบบมามากมาย คุณพิเศษที่สุด”
จี้ชิงอิ่งครุ่นคิดอยู่สองสามวินาทีก่อนช้อนตาขึ้นมองเขา “โอเคค่ะ” เธอพูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา “จริงๆ แล้วฉันก็อยากโปรโมตให้กี่เพ้าแพร่หลาย ให้ผู้คนรู้จักมากขึ้น”
ผู้กำกับกวนพยักหน้า “คุณลองทำดูได้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
การเซ็นสัญญาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผู้กำกับกวนเตรียมมาพร้อมสรรพ หลังจากจี้ชิงอิ่งตอบรับก็มีผู้ช่วยส่งสัญญามาให้เลย สัญญาไม่มีปัญหาใดๆ ปัญหาบางส่วนที่จี้ชิงอิ่งกังวลก่อนหน้านี้ก็มีการรับประกันทั้งหมด
เธอเชื่อมั่นในตัวผู้กำกับตรงหน้าคนนี้ และเชื่อมั่นในตัวเองด้วยเช่นกัน
หลังจากเซ็นสัญญาแล้วจี้ชิงอิ่งก็พูดคุยกับผู้กำกับกวนเกี่ยวกับข้อกำหนดเครื่องแต่งกายของตัวละครในภาพยนตร์ ผู้กำกับกวนบอกผลลัพธ์ที่ต้องการให้ปรากฏออกมาต่อเธอทีละอย่างๆ เธอเองก็มีความเข้าใจของตัวเองเช่นกัน
รอเมื่อพวกเขาพูดคุยกันเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว
พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก แสงตะวันและก้อนเมฆงดงามเป็นพิเศษ
จี้ชิงอิ่งปฏิเสธที่จะให้ผู้กำกับกวนไปส่ง เธอเรียกแท็กซี่ออกไปเอง
“คุณผู้หญิง จะไปไหนครับ”
คนขับรถหันหน้ามามองเธอด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่ง สายตาหยุดอยู่บนเสื้อผ้าของเธอ
จี้ชิงอิ่งพบเห็นบ่อยจนชินตาและไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเป็นพิเศษ
เธอยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไปโรงพยาบาลเป่ยเฉิงหนึ่งค่ะ”
คนขับรถตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วรีบตอบรับ “ครับผม”
ภายในรถเงียบเชียบ คนขับรถคงรู้สึกเบื่อหน่ายจึงพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับเธอ
“ไปเยี่ยมเพื่อนเหรอครับ”
จี้ชิงอิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “ไม่ใช่ค่ะ”
คนขับรถเหลือบมองเธอ ยังอยากจะพูดอะไรอีกหน่อยจี้ชิงอิ่งก็หลุบตาลงไปมองโทรศัพท์เสียแล้ว
เฉินซินอวี่ส่งข้อความมาเป็นจำนวนมากในช่วงบ่าย เมื่อตอบกลับไปแล้วจี้ชิงอิ่งถึงค่อยหันหน้าไปด้านข้าง เหม่อมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเป่ยเฉิง 1 ก็เป็นเวลาหกโมงครึ่ง
ทันทีที่จี้ชิงอิ่งปรากฏตัวขึ้นก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนไม่น้อย เธอไม่มีความรู้สึกอะไรต่อสายตาเหล่านั้น ก้มหน้าเดินเข้าไปข้างใน
เมื่อคืนเธอถามแค่ว่าฟู่เหยียนจื้ออยู่แผนกไหน แต่ลืมถามอย่างเจาะจงว่าอยู่ตรงไหนกันแน่ และตอนนี้ก็ไม่เห็นป้ายบอกทางมาระยะหนึ่งแล้ว
จี้ชิงอิ่งยืนคิดอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย
มาโรงพยาบาลโดยไม่มีการเตรียมตัวเลยแบบนี้ นี่ช่างเหมือนคนตาบอดเกินไปแล้วหรือเปล่า
เธอกำลังคิด ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนเรียกเธอจากจุดที่ไม่ไกลนัก
“คุณจี้คนสวย?”
จี้ชิงอิ่งชะงักงัน กุมโทรศัพท์แล้วมองไปทางนั้นก็พบว่าเป็นหลินเฮ่าหราน
ทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง หลินเฮ่าหรานเป็นฝ่ายเดินเข้ามาก่อน
“ทำไมถึงมาโรงพยาบาลล่ะครับ มีธุระอะไรเหรอ”
จี้ชิงอิ่งตะลึงไปครู่หนึ่งขณะมองเขา “บังเอิญจังเลยค่ะ” เธอถาม “พวกคุณเลิกงานแล้วเหรอคะ”
หลินเฮ่าหรานพยักหน้า “ใช่ครับ” เขายิ้มถาม “แน่นอนว่าถ้าคุณจี้คนสวยมีเรื่องต้องการให้ช่วยล่ะก็ ผมไม่เลิกงานก็ได้ครับ”
ได้ยินดังนั้นจี้ชิงอิ่งก็แย้มยิ้ม “มีธุระจริงๆ ค่ะ ฉันมาหาหมอฟู่” เธอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เขาเลิกงานหรือยังคะ”
หลินเฮ่าหราน “…”
เขาเห็นมีดแทงเข้ามาที่ทรวงอกของตัวเองรางๆ
ทว่ามองคนสวยตรงหน้าหลินเฮ่าหรานก็พูดปฏิเสธไม่ออก
“ยังครับ เขาน่าจะยังอยู่ที่แผนก” เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา “หรือไม่ผมโทรหาเขาให้ไหมครับ”
“จะรบกวนเขาไหมคะ”
“ไม่ครับ” หลินเฮ่าหรานกล่าวอย่างใจเย็น “รับสายได้ก็แสดงว่าไม่ยุ่งหรอกครับ ถ้าไม่รับก็กำลังผ่าตัดอยู่ คุณก็อย่ารออยู่ที่นี่เลย การผ่าตัดของพวกเขาไม่แน่นอน เวลาสั้นๆ ก็สองสามชั่วโมง เวลานานๆ ก็สิบถึงยี่สิบชั่วโมงครับ”
จี้ชิงอิ่งพยักหน้า ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “นานขนาดนี้เชียว”
“ช่วยไม่ได้ครับ เขาเป็นศัลยแพทย์หัวใจ”
หลินเฮ่าหรานโทรออกไปสายหนึ่ง แต่ไม่มีคนรับ
เขาวางโทรศัพท์ลงแล้วมองมาทางจี้ชิงอิ่ง ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หรือไม่ครั้งหน้าตอนที่เขาไม่ได้ผ่าตัดผมค่อยส่งข้อความหาคุณดีไหมครับ”
“ไม่ต้องค่ะๆ ขอบคุณมากนะคะ” จี้ชิงอิ่งรีบปฏิเสธ
หลินเฮ่าหรานก็ไม่ได้ฝืนใจเช่นกัน
ทั้งสองคนคุยกันสองประโยค จี้ชิงอิ่งครุ่นคิด “งั้นพวกเขาไม่กินข้าวเหรอคะ”
หลินเฮ่าหรานชะงัก ก่อนจะยิ้มพลางกล่าวว่า “หมอเป็นแบบนี้กันทั้งนั้นครับ ยุ่งขึ้นมาอาหารสามมื้อก็ไม่แน่นอน ถึงเวลาพอผ่าตัดเสร็จแล้วจะมีคนสั่งอาหารส่งไปให้ครับ”
“อ่า…” จี้ชิงอิ่งเงียบไปสองสามวินาทีก่อนมองเขา “งั้นฉันส่งให้ได้ไหมคะ”
หลินเฮ่าหราน “…”
เยี่ยม
หัวใจของเขาแหลกสลายอย่างสมบูรณ์ รวมเข้าด้วยกันไม่ได้แล้ว
“ได้ครับ” เขากัดฟัน “ให้ผมพาคุณไปดูที่แผนกของเขาไหม”
จี้ชิงอิ่งใจเต้นเล็กน้อย หลังแน่ใจว่าจะไม่รบกวนการทำงานของใครๆ เธอก็ตามหลินเฮ่าหรานไป
หลินเฮ่าหรานเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง สไตล์การพูดคุยน่าสนใจ ไม่ทำให้คนกระอักกระอ่วน ถึงแม้จะรู้ว่าจี้ชิงอิ่งมาหาฟู่เหยียนจื้อก็ไม่ได้แสดงความไม่ชอบใจออกมา
ตอนที่ทั้งสองคนเข้าไปด้านนอกยังมีผู้ป่วยและคนในครอบครัวอยู่จำนวนไม่น้อย
หลินเฮ่าหรานคุ้นเคยกับพยาบาลและหมอในแผนกของฟู่เหยียนจื้อ ตลอดทางที่เดินผ่านมีหลายคนทักทายเขา
มาถึงจุดที่ไม่ไกลจากแผนก หลินเฮ่าหรานก็แนะนำเธอ “นั่นคือสถานที่ที่หมอฟู่ทำงานในทุกๆ วันครับ แต่เวลาส่วนใหญ่พวกเขาจะอยู่ในห้องผ่าตัด” เขากล่าวต่อ “ผมจะเข้าไปถามสักหน่อย ดูว่าวันนี้หมอฟู่จะเสร็จกี่โมง”
ผ่านไปไม่นานเขาก็กลับมา
“คาดว่ายังต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง” เขามองจี้ชิงอิ่งพลางพูด “คุณอย่ารอเลยครับ”
จี้ชิงอิ่งพยักหน้า “ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
หลินเฮ่าหรานมือหนึ่งล้วงกระเป๋า ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนผมจะไม่มีหวังอีกแล้ว”
“…”
เขามองสีหน้ากระอักกระอ่วนบนใบหน้าของเธอจึงกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ล้อเล่นครับ อย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ”
“ค่ะ” เธอยิ้ม มองอีกฝ่ายและกล่าวว่า “ขอบคุณหมอหลินนะคะ”
หลินเฮ่าหรานโบกมือ เอ่ยอย่างใจกว้างยิ่ง “ไม่มีปัญหาครับ ต้องการอะไรก็ให้ผมช่วยนะ”
หลินเฮ่าหรานไม่ได้รั้งอยู่นาน แนะนำจี้ชิงอิ่งอย่างง่ายๆ ครู่หนึ่งแล้วจากไปก่อน
จี้ชิงอิ่งเดินวนรอบโรงพยาบาลหนึ่งรอบ ตอนนี้ถึงได้จากไป แสงอาทิตย์อัสดงทำให้เงาของเธอทอดยาว เหลือรอยประทับไว้จางๆ
เวลาสามทุ่ม
ฟู่เหยียนจื้อออกมาจากห้องผ่าตัด เช้าวันนี้มีการส่งตัวผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลันเข้ามา หลังจากพูดคุยสื่อสารแล้วก็ทำการผ่าตัดทันที ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้การผ่าตัดเสร็จสิ้นไปอย่างราบรื่น
เขาถอดถุงมือและมาสก์ออกแล้วไปล้างมือที่ห้องน้ำ ก้มใบหน้าลง วางนิ้วมืออันเรียวยาวไว้ใต้ก๊อกน้ำ ปล่อยให้น้ำไหลผ่านไปเพื่อชะล้างมือให้สะอาด
ไม่กี่นาทีต่อมาฟู่เหยียนจื้อก็กลับมาที่แผนก
เขาเข้าไปด้านในแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ยังไม่ทันได้ตอบกลับข้อความก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ฟู่เหยียนจื้อช้อนตามอง
“หมอฟู่คะ”
เป็นพยาบาลที่เข้าเวร
เขาพยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ของผมไม่ต้องสั่งอาหารนะครับ”
พยาบาลยิ้ม “ไม่ได้สั่งให้หมอค่ะ มีคนส่งอาหารมาให้หมอ”
ฟู่เหยียนจื้อมองไปด้วยสีหน้าราบเรียบ
พยาบาลเอากล่องอาหารมาวางไว้บนโต๊ะของเขา
ฟู่เหยียนจื้อหรี่ตามอง เป็นของร้านซานสือ นิ้วมือของเขาชะงักไปครู่หนึ่ง เพิ่งคิดจะดันออกไปเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา…เป็นหลินเฮ่าหราน
“มีเรื่องอะไร”
“เห็นวีแชต* ที่ฉันส่งให้นายไหม” เวลานี้หลินเฮ่าหรานกำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้าน “วันนี้คุณจี้คนสวยไปหานายที่โรงพยาบาล แต่นายกำลังผ่าตัดอยู่”
ฟู่เหยียนจื้อไม่ได้พูดอะไร
หลินเฮ่าหรานร้อง “จิ๊” อย่างไม่เข้าใจ “ทำไมคนสวยๆ แบบนั้นต้องชอบนายด้วย นายมีเสน่ห์อะไรกันแน่”
ฟู่เหยียนจื้อคร้านจะสนใจคำพูดบ้าบอของเขา ถามด้วยเสียงเย็นชา “ยังมีธุระอีก?”
“ไม่มีแล้ว” หลินเฮ่าหรานกล่าวต่อ “แต่ฉันวางแผนจะเป็นแม่สื่อให้พวกนาย จริงสิ เธอถามฉันว่าสามารถส่งอาหารให้นายได้ไหม ฉันบอกว่าได้ เธอส่งให้นายหรือยัง”
ได้ยินดังนั้นฟู่เหยียนจื้อก็มองถุงที่อยู่ตรงหน้าอยู่พักใหญ่และแกะออก
ด้านในวางกระดาษโน้ตไว้แผ่นหนึ่ง
‘หมอฟู่ อย่าลืมกินข้าวนะคะ’
ลายมืองดงาม ตัวอักษรดูหวัดๆ เล็กน้อย ไม่ได้ลงชื่อ
หลังวางสายโทรศัพท์แล้วฟู่เหยียนจื้อก็ใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ
นี่เป็นความเคยชินขณะครุ่นคิดของเขา
ไม่กี่วินาทีให้หลังเขาก็ถอดเสื้อกาวน์ออกแล้วแขวนไว้อีกด้านหนึ่ง
เขาเดินออกไปแล้วมองไปยังพยาบาลที่อยู่ด้านนอก “ผมจะออกไปข้างนอกหน่อย อีกเดี๋ยวถ้ามีเรื่องด่วนก็โทรหาผม หรือไม่ก็ไปหาหมอสวีนะ”
“ได้ค่ะ”
ค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิมีความเย็นสบายที่อธิบายออกมาไม่ได้ ที่จริงแล้วจี้ชิงอิ่งไม่ได้มีความคิดว่าจะต้องเจอฟู่เหยียนจื้อให้ได้ เธอแค่รู้สึกเบื่อๆ
หลังออกมาจากโรงพยาบาลเธอก็ไปดูบ้านใหม่กับเฉินซินอวี่ แต่ยังดูไม่เสร็จเฉินซินอวี่ก็ถูกเรียกกลับไปทำโอทีแล้ว เธออยู่คนเดียวก็ไม่เป็นไร จับพลัดจับผลูมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
เธอก้มหน้ามองเวลาในโทรศัพท์
ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าการผ่าตัดของฟู่เหยียนจื้อเสร็จหรือยัง
เธอเดินอยู่บนถนนตรงข้ามโรงพยาบาล ระหว่างที่รอสัญญาณไฟแดงยังมองเห็นแสงไฟในโรงพยาบาลเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเสมือนเส้นชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
เสียงแตรบนถนนดังไม่ขาดสาย พลุกพล่านจอแจราวกับม่านราตรีไม่เคยมาถึงก็ไม่ปาน
จี้ชิงอิ่งยืนแกว่งเท้า ฟังเสียงพูดคุยของคนแปลกหน้าข้างๆ หู
ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว เธอดึงความคิดที่ล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกลับมาและก้าวเท้าเดินไปฝั่งตรงข้าม
ท่ามกลางผู้คนที่ขวักไขว่ไปมา เธอช้อนตาขึ้นมองเห็นคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
แสงของไฟถนนตกลงบนกายของเขา ทอดเงาของเขาให้ยืดยาว
เขารูปร่างสูงใหญ่ มือหนึ่งล้วงกระเป๋ายืนอยู่ตรงนั้น ดูสูงโปร่งเหมือนต้นสน และราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาของจี้ชิงอิ่ง เขาจึงช้อนตาขึ้นและมองมาทางเธอ
บนทางม้าลายมีผู้คนจำนวนมาก ไฟรถทั้งสองฝั่งเปิดอยู่ แสงไฟตัดสลับกัน สายตาของทั้งสองสบประสาน คลื่นใต้น้ำโหมกระหน่ำ
จี้ชิงอิ่งกะพริบตา ก้าวเดินไปบนทางม้าลายอย่างแช่มช้าโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
เธอหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วเงยหน้าขึ้น ดวงตาโค้งและแย้มยิ้ม “หมอฟู่ กินข้าวหรือยังคะ” เธอเป็นฝ่ายรุกทั้งยังกล่าวตรงๆ ว่า “ถ้ายังไม่ได้กิน ให้เกียรติมาร่วมกินด้วยกันไหมคะ”
ฟู่เหยียนจื้อหลุบตาลงมองเธออยู่ครู่ใหญ่และกล่าวนิ่งๆ ว่า “คุณไม่ได้ส่งมาแล้วเหรอครับ”
จี้ชิงอิ่ง “…”
บทที่ 4
หลังสิ้นเสียงของเขาอากาศบริเวณรอบๆ ก็เปลี่ยนเป็นเบาบางลง
พูดตามจริงแล้วจี้ชิงอิ่งไม่คิดว่าฟู่เหยียนจื้อจะเปิดโปงเธอ
เธอตื่นตระหนก ก่อนจะสบตากับเขา
นัยน์ตาสีอำพันของชายหนุ่มดูลุ่มลึกขึ้นเล็กน้อยภายใต้สีรัตติกาล จี้ชิงอิ่งเก้อเขินไปชั่วขณะ จัดระเบียบความรู้สึกอย่างรวดเร็ว
“ใช่ค่ะ” เธอไม่มีความละอายแม้แต่น้อย ยิ้มพลางถามว่า “รสชาติเป็นยังไงบ้างคะ”
ฟู่เหยียนจื้อไม่ได้พูดอะไร ขนตาของเขาหลุบลง สายตาหยุดอยู่บนมือของเธอที่ถือกระเป๋าอยู่ เนื่องจากความประหม่าหลังมือของเธอจึงมีเส้นเลือดดำปูดขึ้น
ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ถอนสายตากลับ
ใจของจี้ชิงอิ่งกำลังเต้นตึกๆ ตักๆ
เธอค่อนข้างหยั่งความนัยของฟู่เหยียนจื้อไม่ออก ผู้ชายคนนี้กับคนที่เธอรู้จักก่อนหน้าไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไร
เธอไม่เคยมีความรักมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินเพื่อนพูดถึงสิ่งมีชีวิตประเภทผู้ชายว่าเป็นอย่างไร ทว่าฟู่เหยียนจื้อกลับแตกต่างกับสิ่งที่พวกเธอคุยกันก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
จี้ชิงอิ่งเม้มริมฝีปาก หาทางลงด้วยตัวเอง
“ฉันได้ยินมาว่าร้านซานสือดีที่สุดในแถบนี้ใช่ไหมคะ”
ฟู่เหยียนจื้อหยุดไปชั่วขณะก่อนจะตอบรับว่า “อืม”
ริมฝีปากของจี้ชิงอิ่งขยับเล็กน้อยขณะมองเขา “ถ้างั้น…”
เธอยังพูดไม่ทันจบ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของฟู่เหยียนจื้อก็ดังขึ้น
เขารับสายอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย หันกายทำท่าจะเดินไปยังโรงพยาบาล
“ฮัลโหล”
“ฟู่เหยียนจื้อ ข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะนายน่ะเก็บไว้ให้ฉันเหรอ” สวีเฉิงหลี่หัวเราะเบาๆ “ขอบคุณนะ”
ฟู่เหยียนจื้อ “…”
“จริงสิ นายไปไหนน่ะ” สวีเฉิงหลี่มองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง เริ่มแกะห่อกล่องอาหารออก “นี่เป็นปริมาณของสองคนปะ ฉันต้องรอให้นายกลับมาก่อนแล้วค่อยกินไหม”
“…”
ฟู่เหยียนจื้อชำเลืองตามอง สายตาตกอยู่บนร่างของคนที่อยู่ข้างๆ
การเก็บเสียงของโทรศัพท์ไม่ได้ดีมากนัก จี้ชิงอิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของสวีเฉิงหลี่โดยไม่ตกหล่นสักคำเดียว
ในสายตาของเขา ตอนที่ได้ยินประโยคสุดท้ายแสงในดวงตาของเธอดูเหมือนจะจางลงเล็กน้อย มุมปากที่โค้งขึ้นก็ตกลงช้าๆ
เงียบไปสองสามวินาทีฟู่เหยียนจื้อก็กล่าวเสียงเย็นชา “ไม่ต้อง” เขาเอ่ยต่อ “นายกินเองเลย ฉันจะกลับไปทีหลัง”
สวีเฉิงหลี่เลิกคิ้ว “ทำไม ดึกดื่นป่านนี้นายยังมีธุระด่วนอีกเหรอ เดตกับแฟนหรือไง”
“ไม่ใช่” ฟู่เหยียนจื้อไม่ได้พูดอะไรกับอีกฝ่ายมาก เพียงกล่าวเสริมว่า “มีเรื่องด่วนก็โทรมาหาฉัน” แล้ววางสายไป
หลังจากเก็บโทรศัพท์เขาก็มองคนที่ยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ส่งเสียง “ไปกันเถอะ”
จี้ชิงอิ่งงุนงง มองเขาอย่างงงงัน “อะไรคะ”
ฟู่เหยียนจื้อเอ่ยอย่างเย็นชา “กินข้าวครับ”
ขณะที่มองชายหนุ่มก้าวเท้าเดินไปยังฝั่งตรงข้าม จี้ชิงอิ่งถึงเพิ่งจะมีท่าทีตอบสนองอย่างคนรู้สึกตัวช้า
ฟู่เหยียนจื้อตอบรับไปกินข้าวด้วยกันกับเธอ!
แม้ว่าอาจเป็นเพราะอาหารที่ตัวเองส่งให้เขาถูกคนอื่นกินไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร เทียบกับให้เขากินอาหารที่ตัวเองส่งให้ จี้ชิงอิ่งเต็มใจให้เขากับเธอกินอย่างอื่นด้วยกันมากกว่า!
‘ด้วยกัน’ สองคำนี้ฟังแล้วทำให้คนใจเต้น!
ใกล้ๆ โรงพยาบาลมีร้านอาหารมากมาย ทว่าดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้ร้านที่ได้มาตรฐานหน่อยล้วนปิดร้านกันหมดแล้ว
จี้ชิงอิ่งเดินตามฟู่เหยียนจื้อไปครู่หนึ่งพลางหันหน้าไปมองร้านเล็กๆ สองฟากฝั่ง
ร้านเล็กๆ มีคนมากมาย ทุกคนเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน จับกลุ่มคุยกันดูมีความสุข บรรยากาศมีชีวิตชีวา มองแล้วมีกลิ่นอายของการใช้ชีวิตอย่างมาก
ฝีเท้าของจี้ชิงอิ่งชะงักและหยุดลง
เมื่อสัมผัสได้ว่าเธอไม่ได้เดินตามมา ฟู่เหยียนจื้อจึงหันหน้ากลับไปมอง
ทันทีที่หันหน้ากลับไปก็สบเข้ากับดวงตาเป็นประกายของจี้ชิงอิ่ง
“หมอฟู่ ร้านนี้รู้สึกว่าไม่เลวเลยค่ะ หรือไม่พวกเรากินร้านนี้ไหม”
ฟู่เหยียนจื้อเหลือบมองสภาพแวดล้อมภายในร้านและถามด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “คุณแน่ใจนะ?”
หว่างคิ้วและดวงตาของเขาไม่มีความรังเกียจและความไม่ชอบ ราวกับไม่ได้ปฏิเสธบรรยากาศในร้านแบบนี้
“แน่ใจค่ะ” จี้ชิงอิ่งโค้งริมฝีปาก มองเขาด้วยแววตากระเพื่อมไหว “เป็นยังไงคะ”
ฟู่เหยียนจื้อมองเธอแล้วเดินตรงเข้าไป
ร้านเล็กมากจริงๆ จี้ชิงอิ่งนับดูก็พบว่ามีเพียงเจ็ดแปดโต๊ะเท่านั้น แต่ลูกค้ากลับมีจำนวนสิบถึงยี่สิบคน บวกกับการเดินไปมาของเถ้าแก่และพนักงานบริการ แม้แต่ทางเดินก็เบียดเสียดขึ้นเป็นพิเศษ
หลังจากทั้งสองคนเข้าไปเถ้าแก่ตรงหน้าประตูก็มองพวกเขาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ทั้งสองท่านต้องการสั่งอะไรดี”
ฟู่เหยียนจื้อชำเลืองตามองเธอ
จี้ชิงอิ่งก็เข้าใจ ช้อนตาขึ้นมองเมนูบนผนังและสั่งอาหารอย่างรวดเร็ว “โจ๊กซี่โครงหมูถ้วยนึงค่ะ”
“ได้เลย เอาอะไรอีกไหม”
จี้ชิงอิ่งส่ายหน้า มองไปทางฟู่เหยียนจื้อ
“คุณจะกินอะไรคะ”
หลังจากทั้งสองคนสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว เถ้าแก่ก็มองไปรอบๆ “ด้านนั้นยังแชร์โต๊ะกันได้ คุณทั้งสองถือสาไหม”
ไม่รอให้ฟู่เหยียนจื้อพูด จี้ชิงอิ่งรีบกล่าวทันทีว่า “ไม่ถือสาค่ะ”
“…”
ที่นั่งสำหรับสองคนประเภทที่นั่งข้างกันแบบนั้นแน่นอนว่าเธอไม่ถือสา
ทั้งสองคนเดินเข้าไป จี้ชิงอิ่งพบว่าโต๊ะนั้นเป็นคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่ง
โต๊ะสำหรับสี่คน สองคนนั้นนั่งอยู่ด้วยกัน กลิ่นอายความรักเข้มข้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อนจี้ชิงอิ่งไม่มีทางชอบการแชร์โต๊ะ เธอไม่ค่อยชอบสายตาของคนอื่นที่จับจ้องมาที่เธอ ทว่าในสายตาของคนส่วนใหญ่แล้วการสวมกี่เพ้านั้นโดดเด่นเป็นพิเศษ
ผ่านไปนานวันเข้าเธอก็เคยชินแล้ว
แน่นอนว่าเคยชินก็ส่วนเคยชิน การพินิจพิเคราะห์ใกล้ๆ ก็ยังคงทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอยู่ดี
วันนี้ชุดที่เธอสวมคือกี่เพ้าพื้นขาวมีดอกไม้สีฟ้า แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเครื่องลายคราม ทั้งตัวคนดูมีเสน่ห์อย่างมาก อีกทั้งผมยังเป็นทรงลอนยาวจึงค่อนข้างให้ความรู้สึกผสมผสานกับยุคสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ตัวเธอเองก็หน้าตางดงามมาก แต่เพราะนั่งอยู่ในร้านด้วยชุดนี้จึงไม่เข้ากับบริเวณโดยรอบอยู่บ้าง
คู่รักฝั่งตรงข้ามมองพวกเขาทั้งสอง มองแวบหนึ่งแล้วก็ถอนสายตากลับไป ไม่ทันไรก็แอบมองมาอีกครั้งอย่างอดไม่ไหว ในแววตามีความอยากรู้อยากเห็นและความตกตะลึง
จี้ชิงอิ่งรวบผมขึ้น ก้มหน้าลงเผยใบหูออกมา เธอขยับที่นั่งอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้นขาด้านนอกชนเข้ากับคนข้างๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ
ตอนที่ชายหนุ่มนั่งลงแผ่นหลังตรงแหน็ว
ฟู่เหยียนจื้อเป็นคนรูปร่างผอม อย่างน้อยภายนอกก็ดูผอม แต่จี้ชิงอิ่งรู้ว่าเขามีกล้ามเนื้อ น่าจะออกกำลังกายจนมีรูปร่างไม่เลว
ดีไซเนอร์ทุกคนมีดวงตาคู่หนึ่งที่สามารถมองทะลุผ่านเสื้อผ้าไปเห็นถึงเรือนร่างได้ เธอก็เช่นเดียวกัน
อีกทั้งที่ชนกันเมื่อครู่นี้กล้ามเนื้อส่วนขาของชายหนุ่มแน่นล่ำ แค่มองก็รู้ว่าออกกำลังกายมา
ขาของทั้งสองคนแนบติดอยู่ด้วยกัน จี้ชิงอิ่งสามารถรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายของเขาได้ผ่านเสื้อผ้าที่ขวางกั้น
ร่างกายของเธอแข็งค้างไปชั่วขณะ ใบหูขึ้นสีแดงเลือดฝาดโดยธรรมชาติ
เธอเลียริมฝีปาก หลุบเปลือกตาลง และหยิบน้ำที่วางอยู่ด้านข้างมาจิบหนึ่งอึก
เนื่องจากชนเข้าโดยบังเอิญจี้ชิงอิ่งจึงไม่ได้ตั้งใจจะขยับออกไป
เธอไม่คุ้นเคย แต่ก็ดูเหมือนจะโอเคอยู่ สายตาของเธอล่อกแล่ก รู้สึกใจฝ่อเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
การเคลื่อนไหวเล็กๆ ของคนข้างๆ ฟู่เหยียนจื้อไม่ใช่ไม่สังเกตเห็น เขาชำเลืองตามองไป สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือใบหน้าด้านข้างที่งดงามของเธอ
จี้ชิงอิ่งมีสัดส่วนเครื่องหน้าที่ดี ทั้งตัวคนดูงดงามและอ่อนโยน ดวงตาไม่เล็กไม่ใหญ่ ตอนที่หลุบตาลงขนตาก็งอนงามดึงดูดใจ
มีคนผลักประตูเข้ามา พาสายลมยามค่ำคืนด้านนอกผ่านเข้ามาด้วย กลิ่นหอมบนกายของคนข้างๆ พลันโชยเข้ามาในจมูกของเขา
ฟู่เหยียนจื้อถอนสายตากลับ นั่งนิ่งไม่ขยับ
ไม่นานเถ้าแก่ก็นำโจ๊กที่ทั้งสองต้องการมาเสิร์ฟ
ฟู่เหยียนจื้อลุกขึ้นไปหยิบถ้วยกับตะเกียบมา ตอนที่นั่งลงอีกครั้งเขาก็เว้นระยะห่างจากจี้ชิงอิ่งเล็กน้อย
จี้ชิงอิ่งไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก เธอค่อนข้างหิวแล้ว
ตอนเย็นเธอก็ไม่ได้กินข้าว เดิมทีวางแผนว่าจะดูบ้านแล้วค่อยไปกิน ผลลัพธ์คือเฉินซินอวี่หนีไปก่อนแล้ว หลังจากนั้นเธอคนเดียวก็ไม่ได้มีความอยากอาหารอะไร
หนุ่มสาวสองคนที่ฝั่งตรงข้ามไม่รู้ว่าออกไปตั้งแต่เมื่อไร รอจนจี้ชิงอิ่งกินเสร็จฟู่เหยียนจื้อก็นั่งดูโทรศัพท์อยู่ข้างๆ แล้ว
แสงไฟในร้านส่องลงบนใบหน้าของเขา ขับให้ใบหน้าของเขาอ่อนโยนลงสองสามส่วน
“เสร็จแล้วเหรอครับ”
จี้ชิงอิ่งพยักหน้า “อืม คุณยังต้องกลับไปที่โรงพยาบาลอีกใช่ไหมคะ”
ฟู่เหยียนจื้อตอบรับหนึ่งเสียง หลังจากจ่ายเงินแล้วก็เดินออกไป
พวกเขาเดินกันอย่างช้าๆ เมื่อใกล้จะถึงทางเข้าของโรงพยาบาลจู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ขอโทษนะครับ”
จี้ชิงอิ่งชะงักงัน
ฟู่เหยียนจื้ออธิบายต่ออีกหนึ่งประโยค “คนที่โทรมาก่อนหน้านี้เป็นเพื่อนร่วมงานของผม”
จี้ชิงอิ่งพยักหน้า “เดาได้แล้วค่ะ” เธอยิ้ม “ฉันไม่ได้ถือสาเรื่องนี้”
ฟู่เหยียนจื้อพยักหน้า “ผมจะให้เขาโอนเงินให้คุณ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจี้ชิงอิ่งแข็งค้าง จู่ๆ ก็พูดไม่ออก
เธอไม่ได้โง่ เธอรู้ว่าคำพูดนี้ของเขาหมายความว่าอย่างไร
“ไม่ต้องค่ะ” เธอหายใจเข้าออกลึกๆ และกล่าวเสียงเบาว่า “เมื่อกี้คุณก็เลี้ยงคืนแล้ว”
ฟู่เหยียนจื้อส่งเสียง “อืม” ไปหนึ่งคำแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ผมกลับไปก่อนนะครับ”
จี้ชิงอิ่งเม้มริมฝีปาก มองภาพด้านหลังของเขาและกล่าวว่า “หมอฟู่ ฉันขอถามคุณหนึ่งคำถามค่ะ”
ฟู่เหยียนจื้อหยุดฝีเท้ามองเธอ
“คุณไม่มีแฟนและไม่มีคนที่ชอบใช่ไหมคะ”
ฟู่เหยียนจื้อหยุดไปชั่วขณะ กำลังคิดจะตอบเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
เขารับสายพลางเดินไปทางถนน
“ฮัลโหล”
ไม่รู้ว่าทางด้านนั้นพูดอะไร จี้ชิงอิ่งได้ยินเพียงเขาพูดไปประโยคหนึ่งด้วยความเร็วสูง “ฉันจะไปถึงเดี๋ยวนี้”
วางสายโทรศัพท์แล้วฟู่เหยียนจื้อก็มองเธอ “ขอโทษครับ”
พูดจบเขาก็ไม่ให้โอกาสในการพูดใดๆ กับจี้ชิงอิ่งและหายไปจากขอบเขตสายตาของเธออย่างรวดเร็ว
ตอนที่เฉินซินอวี่กลับมาถึงบ้าน ไฟในบ้านเปิดอยู่ บรรยากาศเงียบสงัด
เมื่อเธอก้มหน้าลงมองก็พบว่าบนพื้นมีภาพสเก็ตช์ที่ถูกขยำเป็นก้อนอยู่เต็มไปหมด
เธอเหลือบมองประตูห้องพักแขกและยื่นมือไปเคาะ
“หลับหรือยัง”
“ยัง” จี้ชิงอิ่งตอบไปหนึ่งคำแล้วเอ่ยต่อ “เดี๋ยวออกไป”
เฉินซินอวี่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ก้มตัวลงหยิบภาพสเก็ตช์บนพื้นขึ้นมาดู มีภาพออกแบบชุด และยังมีภาพคน
เธอดูอย่างตั้งใจ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเลื่อมใสในฝีมือการวาดภาพของจี้ชิงอิ่ง
นี่เป็นภาพของฟู่เหยียนจื้อที่ดูดีมากจริงๆ
“ทำไมเธอกลับดึกขนาดนี้ล่ะ”
เฉินซินอวี่ชำเลืองตามองเพื่อนและถอนหายใจ “เจ้านายอันเป็นที่รักอยากให้ฉันกลับดึก ฉันก็ได้แต่กลับดึกแล้ว!”
จี้ชิงอิ่ง “…”
“เธอเป็นอะไร” เฉินซินอวี่ชูภาพสเก็ตช์ในมือขึ้น “เจออุปสรรคทางด้านฟู่เหยียนจื้อมาเหรอ”
จี้ชิงอิ่งดึงกระดาษแผ่นนั้นมามองแวบหนึ่ง “วาดได้น่าเกลียดจริงๆ”
เฉินซินอวี่หัวเราะพรวด ตบไหล่ของเพื่อนและกล่าวว่า “จริงๆ แล้วก็ไม่ได้น่าเกลียดนะ แถมยังหล่อมากอีกต่างหาก” เธอยิ้มถาม “เล่าให้ฉันฟังไหม”
จนถึงตอนนี้จี้ชิงอิ่งก็มีเฉินซินอวี่เป็นที่ปรึกษาเพียงคนเดียว เธอจึงเล่าออกไปเสียหมดเปลือกเป็นธรรมดา
หลังจากฟังจบเฉินซินอวี่ก็ตบไหล่ของเธอและเอ่ยด้วยความจริงใจเต็มเปี่ยม “หนทางอีกยาวไกล ถึงแม้ความหมายในการปฏิเสธของฟู่เหยียนจื้อจะชัดเจน แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมไปกินข้าวกับเธอนะ มีโอกาสน่า”
จี้ชิงอิ่งรู้ดี เธอเพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
เธอหยิ่งทะนงมาโดยตลอด เป็นครั้งแรกที่ถูกปฏิเสธแบบนี้จึงรับไม่ไหว ทว่าพอมาคิดอีกทีก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
ผู้ชายอย่างฟู่เหยียนจื้อถ้าจีบติดได้ง่ายๆ ไหนเลยตอนนี้ยังจะโสดอยู่ล่ะ
คิดได้แบบนี้เธอก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในชั่วพริบตา
เฉินซินอวี่มองสีหน้าของจี้ชิงอิ่งก็รู้ว่าเพื่อนคิดตกแล้ว เธอล้มตัวลงบนโซฟาแล้วนวดคลึงดวงตา “บ้านล่ะ จองที่นั่นไหม”
“อืม ที่นั่นสภาพแวดล้อมไม่เลว ไปไหนก็สะดวก”
“โอเค”
ทั้งสองคนคุยเรื่องงานกันอยู่พักหนึ่ง จี้ชิงอิ่งก็กลับห้องไปวาดภาพ ส่วนเฉินซินอวี่ก็พักผ่อน
รอเมื่อจี้ชิงอิ่งวาดภาพเสร็จแล้วกำลังจะพักผ่อน เธอก็บังเอิญเห็นข้อความที่หลินเฮ่าหรานส่งมา
หลินเฮ่าหราน : คุณจี้คนสวยกลับบ้านหรือยังครับ
จี้ชิงอิ่ง : กลับมาแล้วค่ะ ขอบคุณหมอหลินนะคะ
หลินเฮ่าหราน : เกรงใจแล้วครับ
จี้ชิงอิ่งไม่คิดเยอะ ส่งสติ๊กเกอร์ไปให้เขาแล้วปิดโทรศัพท์เข้านอน
อีกด้านหนึ่ง
ผู้ป่วยคนหนึ่งที่ฟู่เหยียนจื้อผ่าตัดให้เมื่อไม่กี่วันก่อนจู่ๆ ก็มีไข้ขึ้นมากะทันหัน รอหลังจากที่เขารีบกลับไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจและรักษาอาการเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
ภายในโรงพยาบาลเงียบสงัดลงแล้วเช่นกัน
นอกจากเสียงไอของผู้ป่วยและเสียงพูดคุยเบาๆ ของคนในครอบครัว คนส่วนใหญ่ก็เข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันกันหมดแล้ว
ทำงานวนไปทั้งวัน บนหน้าของฟู่เหยียนจื้อก็มีความอ่อนเพลียอยู่บ้าง
เมื่อกลับมาถึงแผนกสวีเฉิงหลี่ชำเลืองตามองเขา “ไม่เป็นไรแล้ว?”
“อืม”
ฟู่เหยียนจื้อไม่ได้ดื่มน้ำมานานมากแล้ว คอจึงแห้งเล็กน้อย
เขาดื่มน้ำไปอึกหนึ่งให้ชุ่มคอแล้วถึงกล่าวว่า “นายยังไม่พักอีกเหรอ”
สวีเฉิงหลี่ยิ้ม “นี่ไม่ใช่กำลังรอนายอยู่เหรอ” เขากล่าวอย่างราบเรียบ “นายพักก่อนสองชั่วโมง ทางนั้นเดี๋ยวฉันดูก็พอ”
ฟู่เหยียนจื้อไม่ปฏิเสธ
เขาก้มตัวลงเปิดลิ้นชักแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา
สวีเฉิงหลี่เหลือบมองอย่างไม่ได้ตั้งใจแล้วก็พูดหยอกล้อว่า “ดึกๆ ดื่นๆ นายส่งข้อความอะไรให้เฮ่าหรานน่ะ นายสองคนไม่ได้เป็นแบบนั้นอย่างที่ทุกคนพูดจริงๆ ใช่ไหม”
ฟู่เหยียนจื้อส่งข้อความเสร็จก็เหลือบมองสวีเฉิงหลี่อย่างตักเตือน
“จริงสิ” ฟู่เหยียนจื้อกดเปิดคิวอาร์โค้ดรับเงินของวีแชต “เงินค่าข้าว”
สวีเฉิงหลี่มองเขา “?”
เสียงของฟู่เหยียนจื้อกลับมาเป็นปกติขณะเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “อาหารเย็นฝากเพื่อนซื้อให้”
สวีเฉิงหลี่ “…”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ม.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.