X
    Categories: With Loveทดลองอ่านสาวกี่เพ้าคนนี้เป็นของคุณ

ทดลองอ่าน สาวกี่เพ้าคนนี้เป็นของคุณ บทที่ 5-7

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 5

 สวีเฉิงหลี่ถูกการกระทำที่คาดไม่ถึงของฟู่เหยียนจื้อทำให้ตะลึงงันไปแล้ว

เขาก้มหน้ามองคิวอาร์โค้ดตรงหน้าแวบหนึ่งและเอ่ยอย่างตกใจว่า “นายจริงจังเหรอ”

ฟู่เหยียนจื้อชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “นายคิดว่าไงล่ะ”

“…” สวีเฉิงหลี่นิ่งงัน “ไม่สิ นายขี้งกขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาเบะริมฝีปาก แสดงความเหยียดหยามต่อพฤติกรรมประเภทนี้ของฟู่เหยียนจื้อ “ตอนนี้นายขี้งกกว่าพยาบาลจ้าวอีก”

พยาบาลจ้าวเป็นพยาบาลสาวคนหนึ่งในแผนกของพวกเขา เธอค่อนข้างจะขี้เหนียว เป็นคนลุ่มหลงในทรัพย์สินเงินทอง

สีหน้าของฟู่เหยียนจื้อไม่เปลี่ยนและไม่ได้พูดอะไรต่อ

สวีเฉิงหลี่มองท่าทางเช่นนี้ของเขาจึงเอ่ยว่า “ฉันไม่ให้” แล้วพูดอย่างหน้าด้าน “นั่นนายให้ฉันกิน ถือว่านายเลี้ยงฉัน”

ฟู่เหยียนจื้อเงียบไปนานแล้วพยักหน้า “ได้” เขาก็ไม่ได้ฝืนใจเช่นกัน เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ฉันเลี้ยงนาย”

“?”

สวีเฉิงหลี่มองฟู่เหยียนจื้อกลับไปสู่โหมดเดิม ไม่ค่อยเข้าใจอยู่บ้างว่าการกระทำนี้ของอีกฝ่ายนั้นทำเพื่ออะไรกันแน่

เขากำลังคิดจะถาม โทรศัพท์ของฟู่เหยียนจื้อก็ดัง ‘ติ๊ง’

พอเขากวาดตาไปมองก็พบว่าเป็นข้อความที่หลินเฮ่าหรานส่งมา มีเพียงสองคำเท่านั้น…‘ถึงแล้ว’

“อะไรถึงแล้วเหรอ”

สวีเฉิงหลี่มองฟู่เหยียนจื้อด้วยความประหลาดใจ

“ไม่มีอะไร” ฟู่เหยียนจื้อหลุบตาลงตอบไปหนึ่งประโยคแล้วจึงเก็บโทรศัพท์ “นอนแล้ว อีกสองชั่วโมงเรียกฉันด้วย”

“ได้” สวีเฉิงหลี่ก็ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นอีก “นายไปเถอะ”

พวกเขายุ่งกันมาทั้งวัน จำเป็นต้องบำรุงจิตใจสะสมพลังเพื่อต้อนรับรุ่งเช้าวันถัดไป

 

หลังจากวันนั้นจี้ชิงอิ่งไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าฟู่เหยียนจื้ออีกเลย

ไม่ได้มีเหตุผลพิเศษ เธอเพียงแค่ไม่ว่าง

เธอรับงานออกแบบเครื่องแต่งกายของภาพยนตร์เรื่องนั้นแล้ว กำลังอยู่ในช่วงการออกแบบขั้นต้นอยู่

หลังทำงานเสร็จช่วงสั้นๆ จี้ชิงอิ่งถึงเจียดเวลาออกมาย้ายบ้าน

ข้าวของเธอไม่เยอะ แค่กระเป๋าเดินทางใบเดียวเท่านั้น

สำหรับข้าวของอย่างอื่นเฉินซินอวี่ช่วยจัดการให้เสร็จเรียบร้อยแล้วในช่วงไม่กี่วันนี้ที่เธอยุ่งๆ อยู่ ของที่ยังขาดล้วนส่งตรงมาจากเมืองเจียงเฉิง และถือโอกาส ‘ส่ง’ ผู้ช่วยตัวน้อยมาด้วยเช่นกัน

ช่วงเช้าทั้งสามคนย้ายของเข้าไป

ซย่าหรงเสวี่ยมาที่นี่เป็นครั้งแรก เหมือนคุณยายหลิวเข้าเรือนต้ากวน* อย่างไรอย่างนั้น เริ่มการแสดงที่โอเวอร์แอ็กติ้ง

“พี่ชิงอิ่ง บ้านหลังนี้ใหญ่เว่อร์ สวยมากๆ เลยอ่า” เธอวิ่งเหยาะๆ เข้าไป “แถมยังมีระเบียงที่กว้างขนาดนี้อีก ฉันชอบม้ากมากกก!”

จี้ชิงอิ่งถูกผู้ช่วยตัวน้อยทำให้ขบขัน เธอโค้งริมฝีปากขึ้นเงียบๆ “ชอบจริงๆ เหรอ”

ซย่าหรงเสวี่ยพยักหน้าและหันกลับไปมองจี้ชิงอิ่ง “ชอบมากๆ เลย ฉันก็อยากอยู่บ้านหลังใหญ่โตแบบนี้บ้างจัง”

เฉินซินอวี่มองเธอและหัวเราะคิกคัก “เธออยู่ได้”

ซย่าหรงเสวี่ยมองเฉินซินอวี่อย่างขุ่นเคือง กล่าวอย่างหงอยๆ ว่า “งั้นฉันคงต้องกอดต้นขาของพี่ชิงอิ่งให้แน่นๆ มาเกาะกินฟรีดื่มฟรีถึงจะได้”

เฉินซินอวี่หัวเราะคิกคัก หันหน้าไปมองจี้ชิงอิ่ง “ผู้ช่วยของเธอทำไมถึงได้ตลกขนาดนี้”

จี้ชิงอิ่งยิ้ม “เธอไม่คิดว่ามันน่าสนใจมากเหรอ”

“มากอะ” เฉินซินอวี่กล่าว “ข้างตัวเธอต้องการคนที่ตลกแบบนี้แหละ ไม่งั้นก็น่าเบื่อตาย”

“…”

บ้านทั้งใหญ่และสวย ทั้งยังโปร่งอีกด้วย รับแสงแดดได้ดีมาก ทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านไม่นับว่าอยู่ใจกลางเมืองเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ห่างเท่าไร การคมนาคมสะดวกสบาย สิ่งจำเป็นทั้งหมดในการดำรงชีวิตสามารถเติมเต็มได้ครบครัน

ที่สำคัญกว่านั้นคือจี้ชิงอิ่งชอบระเบียงชมวิวของที่นี่

เมื่อมองออกไปจากระเบียงไม่เพียงมีวิวทะเลสาบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ คลื่นสีเขียวครามกระเพื่อมไหว น้ำทะเลสาบใสสะอาด ฝั่งตรงข้ามของวิวทะเลสาบยังเป็นย่านใจกลางเมืองอีกด้วย

ภายใต้แสงไฟนีออนผิวทะเลสาบปรากฏภาพเงาสะท้อนของอาคารสูง ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ในตอนกลางวันหรือกลางคืนเธอก็ชอบทั้งหมด

หลังจากจัดเก็บของเสร็จเรียบร้อยทั้งสามคนก็ขี้เกียจออกจากบ้านจึงสั่งอาหารดีลิเวอรี่มากินกัน

“จริงสิ ห้องตรงข้ามนี่ใครอยู่คะ”

ซย่าหรงเสวี่ยมาเป็นครั้งแรก จึงอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกสิ่ง

จี้ชิงอิ่งส่ายหน้า “ไม่แน่ใจ”

เฉินซินอวี่กลืนอาหารที่อยู่ในปากลงไปพลางครุ่นคิด “ตอนที่ฉันมาเซ็นสัญญา นายหน้าบอกว่าเขาเป็นมนุษย์เงินเดือน เหมือนจะเป็นโปรแกรมเมอร์หรืออะไรนี่แหละ ถึงยังไงก็เป็นพวกที่ทำโอทีบ่อยๆ”

จี้ชิงอิ่งกล่าวเสริม “ฉันมาที่นี่สี่ห้ารอบแล้ว ไม่เคยเจอเลยสักครั้ง”

การออกแบบของบ้านหลังนี้คือหนึ่งชั้นมีสองครัวเรือนและมีลิฟต์สองตัว จึงเป็นเรื่องปกติมากที่ไม่เคยเจอ

หลังจากกินอาหารกลางวันแล้ว ที่บริษัทของเฉินซินอวี่ยังมีงานอีกเธอจึงออกไปก่อน

ซย่าหรงเสวี่ยและจี้ชิงอิ่งก็ไม่ได้อยู่นานเช่นกัน กลับไปทำงานที่วิลล่าซึ่งผู้กำกับกวนเตรียมไว้

ครึ่งค่อนวันต่อจากนั้นจี้ชิงอิ่งก็วาดแบบร่างไปหลายต่อหลายชุด

ถึงตอนสุดท้ายเมื่อไม่มีไอเดียอะไรแล้วจึงได้เลิกงาน

เมื่อเธอกลับถึงบ้านที่มาเช่าใหม่นี้อีกครั้งก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว

ขณะยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้าน เธอก็ครุ่นคิดอยู่สองสามวินาทีว่าจะกลับบ้านเลยดีหรือไปเสี่ยงโชคที่โรงพยาบาลดีกว่า ทว่าเธอยังคิดไม่ออกข้อความของซย่าหรงเสวี่ยก็เด้งเข้ามาเสียก่อน

 

ซย่าหรงเสวี่ย : พี่ชิงอิ่ง ลืมบอกพี่ไปเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่พี่ให้ฉันส่งหนังสือและก็พวกเหล้าของพี่น่ะมาถึงหมดแล้วนะ วางไว้บนชั้นที่ห้องรักษาความปลอดภัย พี่อย่าลืมไปเอานะ

 

จี้ชิงอิ่งเลิกคิ้ว ก้มหน้าลงและอดยิ้มไม่ได้ ‘โอเค’

ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่ให้เธอไปที่โรงพยาบาลเสียแล้ว

 

ห้องรักษาความปลอดภัยใหญ่มากทีเดียว อยู่ที่ล็อบบี้ในชั้นหนึ่ง โดยมีชั้น G ซึ่งเป็นชั้นระดับพื้นดินเป็นส่วนหน้าของหมู่บ้าน

ทางด้านหนึ่งมีชั้นวางของอยู่สองสามชั้น ใช้วางพัสดุของลูกบ้านที่มารับไม่ทันโดยเฉพาะ

ตอนที่จี้ชิงอิ่งหาเจอก็ทึ่มทื่อไปสองสามวินาที

เธอคงจะลืมบอกซย่าหรงเสวี่ยว่าให้ส่งมาแค่ส่วนหนึ่งก็พอแล้ว เพราะยายเด็กคนนี้ส่งมาทั้งหมดเลยสองกล่องเต็มๆ

จี้ชิงอิ่งหายใจเข้าออกลึกๆ มองไปรอบๆ ทีหนึ่งก็ไม่เห็นรถเข็นคันเล็กเลย

เธอมองเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่อยู่ และก้มตัวลงอุ้มกล่องใบเล็กขึ้นมา ส่วนกล่องอีกใบนั้นกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดแล้วค่อยว่ากัน

จริงๆ แล้วจี้ชิงอิ่งมีพละกำลังมากทีเดียว เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนแออะไร ทว่าชุดกี่เพ้ามันผูกมัดเธอไว้

ตอนที่เข้าไปในลิฟต์จี้ชิงอิ่งก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่าข้างหลังมีใครบ้างเดินตามเข้ามาในลิฟต์

เธออุ้มกล่องยืนอยู่ตรงมุม ก้มหน้าเหม่อลอย

“…โชคดีที่ได้คุณหมอเป็นคนรักษาค่ะ ร่างกายของแม่ฉันดีขึ้นมากเลย ขอบคุณคุณหมอฟู่นะคะ”

“เป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้วครับ”

เสียงของชายหนุ่มเย็นชาทว่ากลับคุ้นเคย

จี้ชิงอิ่งตกตะลึง เงยหน้ามองไปด้วยจิตใต้สำนึก

หลังจากมองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว เธอก็กะพริบตาช้าๆ เกรงว่าจะเกิดภาพหลอน

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่เป็นประกายของเธอ ฟู่เหยียนจื้อก็หันหน้ามองมา ทั้งสองคนสี่ตาสบประสาน ในดวงตาของเขามีความประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็หายวับไปในชั่วพริบตา

หญิงวัยกลางคนยังคงพูดอยู่ “ตอนแรกถ้าไม่ใช่คุณหมอแนะนำให้พวกเรารีบผ่าตัดโดยเร็วที่สุดก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้อาการของแม่ฉันจะเป็นยังไง ยังคงต้องขอบคุณคุณหมอมากๆ ค่ะ”

ฟู่เหยียนจื้อหลุบตาลง มองของที่จี้ชิงอิ่งหอบอยู่ในมือ

น่าจะหนัก เธอเอากล่องยันไว้กับผนังลิฟต์ ทว่าคนกลับยืนตัวตรงแหน็ว

วันนี้กี่เพ้าที่เธอสวมเป็นแบบครึ่งแขนสีเหลืองอ่อน ท่อนแขนเล็กๆ ที่เผยออกมาขาวผ่องจนเปล่งแสง

ต่อลงมาอีกเป็นเอวบางที่โอบได้ด้วยหนึ่งอ้อมแขน กี่เพ้าร่างเค้าโครงส่วนโค้งเว้าของร่างกายเธอ ทำให้ผู้คนต้องมองมากขึ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วถอนสายตากลับมา “คุณน้าหลิวไม่ต้องเกรงใจครับ นี่เป็นหน้าที่ของพวกเรา”

ลิฟต์ลงมาถึงชั้น G

คุณน้าหลิวขอบคุณฟู่เหยียนจื้อแล้วเดินนำออกไปก่อน

ฟู่เหยียนจื้อตามอยู่ข้างหลัง ในมือยังถือถุงใบใหญ่อีกสองใบ “ผมเอาไปส่งให้คุณน้าแล้วกันครับ”

คุณน้าหลิวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “งั้นต้องขอบคุณคุณหมอฟู่แล้วค่ะ”

ฟู่เหยียนจื้อพยักหน้า หลังจากเดินไปข้างหน้าสองก้าวเขาก็หันกลับมามองจี้ชิงอิ่ง “หนักเหรอครับ”

จี้ชิงอิ่งตอบรับคำหนึ่ง “อืม”

ฟู่เหยียนจื้อหลุบตามองเธอสองสามวินาทีแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่รีบ รอผมที่นี่แป๊บนึง”

ได้ยินดังนั้นเธอก็โค้งริมฝีปาก ยิ้มตาหยีและเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่รีบค่ะ”

“…”

หญิงวัยกลางคนมองพวกเขาสองคน งุนงงไปครู่หนึ่ง “คุณหมอฟู่คะ คุณคนนี้คือ?”

เธอมองจี้ชิงอิ่งด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง

“เพื่อนครับ”

ฟู่เหยียนจื้อไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดีจึงใช้คำว่า ‘เพื่อน’ ออกไปโดยไม่ได้ยั้งคิด

หญิงวัยกลางคนร้อง “อ่า” ยังอยากจะพูดอะไรอีกสักหน่อย แต่ถูกฟู่เหยียนจื้อตัดบทเสียแล้ว

มองภาพด้านหลังที่เดินจากไปไกลของคนทั้งสอง จี้ชิงอิ่งก็เดินออกไปข้างนอกสองก้าวแล้ววางกล่องลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่มีไว้ให้ลูกบ้านพักผ่อน

เธอไม่ได้คิดจะเกรงใจฟู่เหยียนจื้อ ตั้งแต่จุดรักษาความปลอดภัยตรงประตูทางเข้าหมู่บ้านมาจนถึงตึกที่เธออาศัยอยู่ต้องเดินสองสามนาที

ถ้าเป็นคนแปลกหน้า เธอจะต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน ทว่านั่นคือฟู่เหยียนจื้อ คือคนที่เธออยากบังเอิญเจอแม้ต้องคิดจนมันสมองแห้งเหือด มีโอกาสแบบนี้เธอยินดีเป็นที่สุด

จี้ชิงอิ่งรออยู่สองสามนาที ฟู่เหยียนจื้อก็กลับมาพร้อมกับสองมือที่ว่างเปล่า

ทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ฟู่เหยียนจื้อก็เอ่ยถาม “อยู่ตึกไหนครับ”

จี้ชิงอิ่งตอบ “ตึกห้าค่ะ” เธอมองท่าทางก้มตัวลงของชายหนุ่มแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “หนักนิดหน่อยนะคะ”

“อืม” ฟู่เหยียนจื้อตอบรับด้วยเสียงทุ้มต่ำ

ทั้งสองคนเดินไปที่ตึกห้า คนหนึ่งนำอยู่ข้างหน้า คนหนึ่งอยู่ข้างหลัง ลมเย็นพัดโชยเบาๆ ในหมู่บ้านไม่ได้เงียบสงัดเป็นพิเศษ

ขณะเดินอยู่ภายในสวนยังได้ยินเสียงดุเด็กๆ ของลูกบ้านที่ไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามดังลอยมาเป็นครั้งคราว และยังมีคำโฆษณาที่ถ่ายทอดมาจากโทรทัศน์

เสียงต่างๆ ผสมปนอยู่ด้วยกัน ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่ามันดังเอ็ดตะโร ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งชีวิต

ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงตึกห้า

จี้ชิงอิ่งเดินไปกดหมายเลขชั้น เธออยู่ชั้นยี่สิบห้า

เธอไม่ได้สังเกตเห็นว่าขณะที่ตัวเองกดหมายเลขชั้น ในดวงตาของฟู่เหยียนจื้อฉายความประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่ง

ภายในลิฟต์มีเพียงพวกเขาสองคน เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ

จี้ชิงอิ่งชำเลืองตามองเขา “คุณเพิ่งเลิกงานเหรอคะ”

“อืม”

จี้ชิงอิ่งพยักหน้า ยิ้มอย่างเข้าใจ “วันนี้ยุ่งไหมคะ”

“ก็พอได้ครับ” ฟู่เหยียนจื้อมองเธอ “ย้ายมาเมื่อไหร่ครับ”

“วันนี้ค่ะ”

จี้ชิงอิ่งชำเลืองตามองเขาอีกครั้ง “คุณอยู่ตึกไหนคะ”

ฟู่เหยียนจื้อไม่ได้พูดอะไร

จี้ชิงอิ่งก็ไม่ได้รู้สึกท้อใจ เธอจ้องหมายเลขชั้นของลิฟต์เขม็งพลางกล่าวว่า “ฟู่เหยียนจื้อ พวกเรามีวาสนาต่อกันมากทีเดียว”

“…”

ประตูลิฟต์เปิดออก ทั้งสองคนเดินออกไปพร้อมกัน

จี้ชิงอิ่งกดรหัสผ่านเปิดประตูแล้วหันหน้ากลับไปมองชายหนุ่ม “วางไว้ที่หน้าประตูก็พอค่ะ”

เธอเงียบไปสองสามวินาที รอหลังจากฟู่เหยียนจื้อวางกล่องลงเรียบร้อยแล้วถึงถามว่า “อีกเดี๋ยวคุณมีธุระด่วนไหมคะ”

ฟู่เหยียนจื้อยังไม่ทันพูดเธอก็เอ่ยอีกว่า “ฉันยังมีกล่องอีกใบที่หนักกว่าอยู่ที่ห้องรักษาความปลอดภัย”

“…”

เธอกะพริบตามองเขา “ช่วยฉันขนอีกครั้งได้ไหมคะ”

ฟู่เหยียนจื้อส่งเสียง “อืม” ออกมาหนึ่งคำ

จี้ชิงอิ่งดวงตาเป็นประกาย กล่าวอย่างเบิกบาน “ฉันจะลงไปกับคุณ”

“ไม่ต้องครับ” ฟู่เหยียนจื้อปฏิเสธอย่างเย็นชา

ได้ยินดังนั้นจี้ชิงอิ่งก็กลอกตา แต่ก็ไม่ได้ฝืนใจเช่นกัน

“งั้นก็ได้ค่ะ รบกวนหมอฟู่แล้ว”

ฟู่เหยียนจื้อเห็นความเจ้าเล่ห์ในแววตาของเธอจึงตอบรับไปหนึ่งเสียงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

รอหลังจากที่ขนพัสดุของเธอขึ้นมาอีกครั้งเขาก็กล่าวอย่างราบเรียบหนึ่งประโยค “สามารถส่งพัสดุมาที่ล็อบบี้ชั้นล่างตึกได้นะครับ”

จี้ชิงอิ่งพยักหน้า “ตอนที่ผู้ช่วยส่งมาลืมเขียนหมายเลขตึกค่ะ”

หากไม่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ถึงกับต้องวางไว้ที่ห้องรักษาความปลอดภัยที่ไกลขนาดนั้น

แต่จี้ชิงอิ่งไม่คิดจะตำหนิซย่าหรงเสวี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะความผิดพลาดนี้ของผู้ช่วยตัวน้อย เธอก็ไม่มีโอกาสในตอนนี้เช่นกัน

ได้ยินดังนั้นฟู่เหยียนจื้อก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

จี้ชิงอิ่งช้อนตาขึ้นมองเขา “ลำบากหมอฟู่แล้ว”

ไม่รอให้ชายหนุ่มพูดอะไรต่อ เธอก็เลียริมฝีปากล่างแล้วถามว่า “คุณกินข้าวหรือยังคะ”

ฟู่เหยียนจื้อกำลังคิดจะบอกว่า ‘กินแล้ว’ จี้ชิงอิ่งก็ถือโทรศัพท์พลางเอ่ยขึ้น

“ฉันเพิ่งย้ายมา ไม่รู้ว่าแถวนี้อาหารดีลิเวอรี่ร้านไหนอร่อย” เธอมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “หรือไม่หมอฟู่แนะนำหน่อยได้ไหมคะ”

ฟู่เหยียนจื้อเงียบไปครู่ใหญ่ สายตาพินิจพิเคราะห์จับจ้องอยู่ที่ตัวเธอ

จี้ชิงอิ่งไม่ได้หวาดกลัวเช่นกัน สบตากับเขาทั้งแบบนี้

เธอมีดวงตาที่งดงามมากคู่หนึ่ง เมื่อมองเผินๆ จะรู้สึกเพียงว่ามันโตมากและใสแจ๋ว ทว่าพอสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่านั่นเป็นดวงตาสุนัขจิ้งจอกคู่หนึ่งที่ดูยั่วยวนเป็นพิเศษ

ไม่กี่วินาทีให้หลังฟู่เหยียนจื้อก็รับโทรศัพท์ของเธอมา เขาเหลือบมองร้านอาหารดีลิเวอรี่เหล่านั้นและกล่าวเสียงเรียบ

“อาหารดีลิเวอรี่ไม่ดีต่อสุขภาพครับ”

จี้ชิงอิ่ง “อืม”

แม้จะพูดแบบนี้ ทว่าที่ควรสั่งก็ยังคงต้องสั่งอยู่ดี

“…”

ฟู่เหยียนจื้อเลื่อนดูอยู่ครู่หนึ่ง ขณะกำลังจะพูดโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เขามองโทรศัพท์แล้วขมวดคิ้วก่อนจะกดรับสาย

“ฮัลโหล”

“พี่ พี่ไม่ได้บอกว่าจะถึงบ้านแล้วเหรอ ทำไมฉันกดกริ่งอยู่ตั้งนานพี่ก็ไม่เปิดประตูล่ะ”

ฟู่เหยียนจื้อ “…”

เขาเอียงตัวไปด้านข้าง มองไปยังบ้านฝั่งตรงข้ามผ่านประตูใหญ่ที่เปิดอ้าอยู่ ตรงนั้นมีคนถือโทรศัพท์หันหลังให้เขา ขณะที่พูดอยู่ยังยกเท้าขึ้นมาเตะประตูอีกด้วย

ฟู่เหยียนจื้อหนังตากระตุก ยังไม่ทันได้พูดอะไร จี้ชิงอิ่งก็มองไปก่อนแล้ว

ไม่กี่วินาทีต่อมาข้างหูเขาก็มีเสียงที่กระตือรือร้นของผู้หญิงดังขึ้น

“ฟู่เหยียนจื้อ เมื่อกี้ฉันมีคำพูดหนึ่งที่พูดผิดไป ฉันคิดว่าพวกเราไม่ใช่มีวาสนาต่อกันมากทีเดียว…” เธอกล่าวอย่างเนิบช้า “พวกเรามีวาสนาต่อกันมากเหลือเกินค่ะ”

ตอนที่เธอพูดยังจงใจเน้นคำว่า ‘มากเหลือเกิน’ สามคำนี้

 บทที่ 6

 ราวกับสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวทางด้านนี้ คนที่หันหลังให้พวกเขาจึงหันมา

สาวน้อยคนนั้นชูโทรศัพท์ขึ้น ขณะที่มองอยู่ดวงตายังเบิกกว้างอีกด้วย

ฟู่เหยียนจื้อขมวดคิ้ว ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ทันใดนั้นเยี่ยเจินเจินก็เดินมาทางนี้แล้ว

“พี่ๆๆ…” เธอเดินมาถึงหน้าประตู ชี้มาที่ทั้งสองคนและพูดติดอ่างขึ้นมา

ฟู่เหยียนจื้อมองเธออย่างเย็นชา “ไปกันเถอะ”

“ไม่” เยี่ยเจินเจินไม่สนใจเขา เธอก้มหน้ามองแวบหนึ่งแล้วถามว่า “ฉันเข้าไปได้ไหมคะ”

จี้ชิงอิ่งงุนงงเล็กน้อยเช่นกัน เธอพยักหน้า “แน่นอนค่ะ”

เมื่อสิ้นเสียงเยี่ยเจินเจินก็วิ่งแน่บไปตรงหน้าของจี้ชิงอิ่งโดยไม่มีความลังเลใดๆ สีหน้าแปลกใจระคนดีใจ “พี่ใช่จี้ชิงอิ่งหรือเปล่าคะ”

จี้ชิงอิ่งชะงัก มองสาวน้อยตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ “อืม”

“ว้าว!!” เยี่ยเจินเจินตื่นเต้นดีใจ “พี่ เป็นเธอไง!”

ฟู่เหยียนจื้อมองน้องสาวด้วยแววตาเย็นชา

เยี่ยเจินเจินคิดว่าเขาไม่เข้าใจจึงเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ก็คนนั้นที่ฉันเคยบอกพี่ก่อนหน้านี้ไง ดีไซเนอร์ที่ฉันชอบก็คือเธอ!”

“…”

เยี่ยเจินเจินเรียนการออกแบบ ตอนนี้เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สอง

เธอเป็นผู้หญิงที่นิสัยค่อนข้างร่าเริงแจ่มใสคนหนึ่ง มักจะเก็บเรื่องต่างๆ ไว้ไม่อยู่ เรื่องในชีวิตประจำวันและการเรียนล้วนชอบแชร์อย่างกะหนุงกะหนิงกับคนในครอบครัว

บางครั้งมีไอดอลคนใหม่หรืออะไรทำนองนั้นก็จะบอกกับคนในครอบครัวด้วยเช่นกัน

ฟู่เหยียนจื้อเคยได้ยินเธอพูดถึงไอดอลมากกว่าหนึ่งครั้ง

หลังจากขึ้นมหาวิทยาลัยได้ไม่นานเธอก็บอกกับทุกคนในครอบครัวอย่างจริงจังว่าเธอมีไอดอลคนใหม่แล้ว เป็นรุ่นพี่คนหนึ่งที่เรียนจบไปแล้ว

สรุปก็คือหนึ่งปีกว่ามานี้เยี่ยเจินเจินโอ้อวดไอดอลคนใหม่ของเธอไปไม่น้อย

บางครั้งขณะที่รู้สึกเบื่อๆ ยามดูแฟชั่นโชว์เธอก็สามารถพูดถึงจี้ชิงอิ่งขึ้นมาได้

อะไรทำนองว่า ‘ถ้าไม่ใช่เพราะไอดอลของฉันไม่เข้าร่วมการแข่งขันประเภทนี้นะ พวกเขาไม่มีทางได้มาอวดดีแบบนี้หรอก’

‘การออกแบบใหม่ๆ พวกนี้น่าเกลียดเกินไปแล้ว ยังสู้ผลงานสมัยเรียนมหา’ลัยของไอดอลฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ’

ผ่านไปนานวันเข้า ทั้งบ้านก็รู้ว่าเยี่ยเจินเจินมีดีไซเนอร์ที่ชื่นชอบแต่ไม่เคยพบเจอคนหนึ่ง

ฟู่เหยียนจื้อก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นเช่นกัน

จี้ชิงอิ่งมองสีหน้าท่าทางตื่นเต้นของสาวน้อยตรงหน้าและตอบสนองกลับไปอย่างรวดเร็ว

เธอถามเขา “รูปออกแบบชุดครั้งก่อนเป็นของเธอเหรอคะ”

ฟู่เหยียนจื้อพยักหน้า

ได้ยินดังนั้นมุมปากของจี้ชิงอิ่งก็ยกขึ้น

เยี่ยเจินเจินมองพวกเขาสองคน สมองขบคิดไม่ได้ไปชั่วขณะ

เธออ้าปากถามด้วยความตกใจว่า “พี่ พวกพี่รู้จักกันเหรอ”

จี้ชิงอิ่งไม่ได้พูดอะไร

ฟู่เหยียนจื้อส่งเสียง “อืม” ออกมาหนึ่งคำ

คำพูดเพิ่งหยุดลง เยี่ยเจินเจินก็เบิกตากว้างแล้วหันไปตะโกนใส่ฟู่เหยียนจื้อ

“พี่เกินไปแล้วนะ!” เธอพูดอย่างโมโห “พี่รู้จักไอดอลของฉันแต่ไม่บอกฉันเนี่ยนะ!”

ฟู่เหยียนจื้อ “…”

เขาได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของเยี่ยเจินเจินก็ขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นสองสามส่วน “พูดแบบนั้นได้ยังไงน่ะ”

เยี่ยเจินเจินถูกพี่ชายมองก็หวาดกลัวขึ้นมาในพริบตา เธอบ่นพึมพำ “ฉันแค่ตื่นเต้นนิดหน่อยอะ”

ฟู่เหยียนจื้อไม่สนใจคำพูดของเธอ เขาหลุบตามองไปยังจี้ชิงอิ่งก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” จี้ชิงอิ่งอมยิ้ม “น้องสาวคุณน่ารักมาก”

ฟู่เหยียนจื้อไม่ได้ตอบคำเธอ เขากล่าวเสียงเรียบ “อืม ไม่มีอะไรแล้วผมกลับก่อนนะครับ”

จี้ชิงอิ่งก็ไม่ได้ฝืนใจเช่นกัน

“ค่ะ”

เยี่ยเจินเจินลังเลที่จะพูดออกมา เธอมองไอดอลของตัวเองอยู่นาน อยากจะพูดอะไรสักหน่อย ทว่าเมื่อฟู่เหยียนจื้อมองมาเธอก็รู้สึกท้อแท้อีกครั้ง

เธอเดินตามฟู่เหยียนจื้อไปยังฝั่งตรงข้ามด้วยความโกรธเคือง ทั้งสองคนเข้าไปในบ้าน

รอเมื่อประตูบ้านของเพื่อนบ้านปิดลง จี้ชิงอิ่งก็มองทางเดินที่เงียบสงบ ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา

ยี่สิบนาทีให้หลัง เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น

จี้ชิงอิ่งเพิ่งเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านและกำลังเปิดกล่องพัสดุ เธอมัดผมขึ้นมาอย่างลวกๆ พลางเดินไปเปิดประตูโดยเผยหน้าผากที่อวบอิ่มและผุดผ่องออกมา

ประตูถูกเปิดออก เยี่ยเจินเจินเกาะขอบประตูด้วยดวงตาเป็นประกาย กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “รุ่นพี่จี้คะ พี่กินข้าวหรือยัง” เธอยื่นมือชี้ออกไป “เมื่อกี้ฉันเอาอาหารเย็นมา ถ้าพี่ยังไม่ได้กิน อยากไปกินด้วยกันกับพวกเราไหมคะ”

จี้ชิงอิ่งก้มหน้ามองเธอ ไม่ค่อยอยากปฏิเสธเท่าไรนัก “จะไม่สะดวกหรือเปล่า”

เยี่ยเจินเจินรีบส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ค่ะ คนมากขึ้นคึกคักออก พี่ชายฉันเย็นชาเกินไปแล้ว”

“…”

ตอนที่จี้ชิงอิ่งไปที่บ้านฝั่งตรงข้าม ฟู่เหยียนจื้ออยู่ในห้องครัว

แบบแปลนของบ้านทั้งสองหลังคล้ายคลึงกันมาก ทว่าสไตล์การตกแต่งกลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน

อีกอย่างบ้านหลังนี้ของฟู่เหยียนจื้อ…ถ้าไม่รู้ว่ามีคนอาศัยอยู่ จากสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้จี้ชิงอิ่งต้องสงสัยว่านี่เป็นเพียงสถานที่ที่ฟู่เหยียนจื้อใช้พักเป็นครั้งคราวเท่านั้น

โล่งเกินไปแล้ว นอกจากเฟอร์นิเจอร์พื้นฐานก็ไม่ค่อยมีกลิ่นอายของการใช้ชีวิตเลย

จี้ชิงอิ่งเหลือบมองชายหนุ่มในห้องครัวผ่านกระจกใส

เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว สวมชุดอยู่บ้านสีเทา ผมแห้งหมาดๆ น่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ดูแล้วให้ความรู้สึกเฉื่อยชากับผู้คน

เขาหลุบตาลง กำลังจัดวางอาหารที่เยี่ยเจินเจินนำมาบนจานอาหาร หน้าตาจดจ่อ เค้าโครงใบหน้าด้านข้างงดงาม

ขณะที่เธอกำลังมองจู่ๆ ฟู่เหยียนจื้อก็หันหน้ามองมาทางเธอ

จี้ชิงอิ่งไม่มีความรู้สึกว่าถูกจับได้เลยแม้แต่น้อย เก็บสายตากลับมาอย่างเยือกเย็น

ทั้งสามคนร่วมโต๊ะกินข้าวกัน

เยี่ยเจินเจินพูดเจื้อยแจ้วเหมือนนกกางเขนตัวน้อย พูดเรื่อยเจื้อยไม่หยุด

“รุ่นพี่จี้ พี่ไม่ได้อยู่ที่เมืองเจียงเฉิงเหรอ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ”

จี้ชิงอิ่งชะงักงัน “เรื่องนี้เธอก็รู้ด้วยเหรอ”

เยี่ยเจินเจินพยักหน้า “ฉันเห็นบนเว็บบอร์ดของมหา’ลัยน่ะ” ด้วยกลัวว่าจี้ชิงอิ่งจะเข้าใจผิด เธอจึงรีบอธิบาย “ไม่ได้ตั้งใจนะคะ ฉันแค่อยากรู้จักพี่เพิ่มขึ้นอีกหน่อย”

จี้ชิงอิ่งยิ้มปลอบเธอ “ไม่เป็นไรจ้ะ”

เยี่ยเจินเจินส่งเสียง “อื้มๆ” ไปสองคำแล้วถามว่า “ตอนนี้พี่วางแผนจะมาขยับขยายกิจการที่นี่เหรอ”

“ไม่ใช่” จี้ชิงอิ่งอธิบาย “รับงานไว้ชั่วคราวน่ะ”

“เป็นงานอะไรคะ” เยี่ยเจินเจินอยากรู้อยากเห็นเป็นพิเศษ “รุ่นพี่จี้ ดูเหมือนการแข่งขันดีไซเนอร์ครั้งใหญ่ของปีนี้ใกล้จะเปิดรับสมัครแล้ว พี่จะเข้าร่วมไหมคะ”

จี้ชิงอิ่งตกตะลึง นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “อาจจะไม่มีเวลาน่ะ งานที่พี่รับไว้ต้องล้นมือแน่”

เยี่ยเจินเจินรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ยังอยากจะพูดอะไรอีกหน่อยแต่ถูกฟู่เหยียนจื้อตัดบทเสียแล้ว

“กินข้าวดีๆ”

เยี่ยเจินเจินเบะปาก ทำตัวดีๆ แล้ว

ฟู่เหยียนจื้อช้อนตาขึ้นมองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ เขา

เดิมทีความเร็วในการกินอาหารของจี้ชิงอิ่งก็ไม่เร็วอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งเหมือนถูกชะลอลงไปอีกหลายเท่า จิตใจล่องลอย เคี้ยวอย่างไม่รับรู้รสชาติเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มในดวงตาที่มีในตอนแรกก็หายเกลี้ยงไปแล้วเช่นกัน

เขาหรี่ตา ก่อนถอนสายตากลับมา

หลังจากกินอาหารแล้วจี้ชิงอิ่งก็เสนอตัวว่าจะช่วยเก็บกวาด “ฉันทำเองค่ะ”

“ไม่ต้องครับ”

“…”

แม้เขาจะพูดเช่นนี้ ทว่าจี้ชิงอิ่งก็ยังคงช่วยเก็บกวาดอยู่ดี

เมื่อเอาชามกับตะเกียบวางไว้ในห้องครัวแล้ว เธอก็มองไปทางฟู่เหยียนจื้อ “ฉันล้างเองค่ะ”

เพื่อป้องกันไม่ให้ฟู่เหยียนจื้อปฏิเสธ เธอก็เอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “ฉันคงไม่สามารถมากินเฉยๆ โดยไม่ช่วยมั้งคะ ฉันจะรู้สึกละอายใจมาก”

สีหน้าของฟู่เหยียนจื้อไม่เปลี่ยน สีหน้าที่แสดงออกมาค่อนข้างมีความหมายลึกซึ้ง

“จริงเหรอครับ” เขาใส่ชามเหล่านั้นเข้าไปในเครื่องล้างจานแล้วเอ่ยถาม “ละอายใจอะไรครับ”

จี้ชิงอิ่ง “…”

เธอเหลือบมองเครื่องล้างจานตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันกายจากไปอย่างเงียบๆ

เธอไม่ควรตามเข้าไปเลย!!

ทันทีที่จี้ชิงอิ่งออกไป เยี่ยเจินเจินก็ถือโทรศัพท์เข้ามาหา

“รุ่นพี่จี้ พี่ช่วยฉันดูแบบร่างการออกแบบนี้ของฉันได้ไหมคะ”

“ได้จ้ะ”

ทั้งสองคนนั่งพูดคุยกันบนโซฟา จี้ชิงอิ่งมองโทรศัพท์ปราดหนึ่ง และมองไปรอบๆ ทีหนึ่ง “หรือไม่ไปที่บ้านพี่ไหม พี่จะวาดที่พี่พูดเมื่อกี้ออกมาให้เธอ”

เยี่ยเจินเจินดวงตาเป็นประกาย เอ่ยอย่างดีอกดีใจ “ดีเลยค่ะๆ”

ทั้งสองคนลุกขึ้น เยี่ยเจินเจินเดินผ่านห้องครัวพร้อมตะโกนว่า “พี่! ฉันไปบ้านรุ่นพี่จี้นะ พี่อย่าล็อกประตูล่ะ”

“…”

ฟู่เหยียนจื้อช้อนตาขึ้น กำลังคิดจะดุเยี่ยเจินเจินคนก็วิ่งหนีไปเสียแล้ว ทั้งยังปิดประตู ทิ้งไว้เพียงเสียงสะท้อนดัง ‘ปึง’

มองห้องรับแขกที่เงียบลง เขาก็ยกมือขึ้นมาบีบสันคิ้ว

จี้ชิงอิ่งยังไม่ทันได้ทักทายฟู่เหยียนจื้อก็ถูกเยี่ยเจินเจินดันออกไปแล้ว

เธออดยิ้มไม่ได้ ส่ายหน้าและพาเยี่ยเจินเจินไปที่บ้านของตัวเอง

เยี่ยเจินเจินมีพรสวรรค์และความสนใจในด้านการออกแบบ

เธอพูดคุยกับจี้ชิงอิ่ง หัวข้อสนทนาโดยทั่วไปล้วนวนอยู่กับเสื้อผ้า ตั้งแต่เทรนด์การออกแบบไปจนถึงกี่เพ้า เธอสามารถพูดออกมาได้บ้างเล็กน้อย แต่ไม่นับว่าเข้าใจทะลุปรุโปร่ง

จี้ชิงอิ่งถือว่าเป็นผู้อาวุโส เรื่องพวกนี้เธอเข้าใจมากกว่าเยี่ยเจินเจินอยู่มาก

เมื่ออีกฝ่ายถามจี้ชิงอิ่งก็ไม่มีอะไรที่ตัวเองรู้แล้วไม่บอก

ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสบายๆ โดยไม่มีความรู้สึกของระยะห่างใดๆ

สุดท้ายเป็นฟู่เหยียนจื้อเข้ามาเรียกคน เยี่ยเจินเจินถึงได้จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะจากไปเธอยังขอช่องทางการติดต่อของจี้ชิงอิ่งไว้ด้วย

 

ภายในรถเงียบสงัด

เยี่ยเจินเจินพูดเจื้อยแจ้วกับฟู่เหยียนจื้อไปหนึ่งยกแล้วหันหน้าไปมองเขา “พี่ พี่ไม่ยินดีกับฉันหน่อยเหรอ”

ฟู่เหยียนจื้อมองถนนตรงหน้าพลางถามอย่างเย็นชา “ยินดีอะไร”

“ฉันเจอไอดอลของฉันแล้ว!”

ฟู่เหยียนจื้อชำเลืองมองเธอ “ฉันรู้”

“…อ้อ!” เธอเบะปาก “เย็นชา”

ฟู่เหยียนจื้อไม่สนใจเธออีก

เงียบไปครู่หนึ่งเยี่ยเจินเจินก็ทนไม่ไหวจึงเอ่ยขึ้น “พี่ พี่รู้จักรุ่นพี่จี้ได้ยังไงน่ะ พี่เกินไปแล้วนะ รู้จักรุ่นพี่จี้ก็ไม่บอกฉัน พี่กลัวฉันทำอะไรใช่หรือเปล่า” พูดถึงตรงนี้ในดวงตาของเธอก็เปล่งประกายแสงแห่งการซุบซิบนินทา “พี่รีบพูดมา พี่กำลังตามจีบรุ่นพี่จี้ของพวกเราอยู่ใช่ไหม”

ฟู่เหยียนจื้อส่งสายตาให้เธอ

เยี่ยเจินเจินลูบต้นคอของตัวเองอย่างใจฝ่อ บ่นอุบอิบว่า “ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ รุ่นพี่จี้ของฉันสวยออกขนาดนั้น”

“…”

เธอบ่นอุบ “พี่น่ะไม่รู้ เมื่อก่อนฉันได้ยินพวกรุ่นพี่บอกว่าสมัยเรียนมหา’ลัย คนที่จีบรุ่นพี่จี้สามารถต่อแถวตั้งแต่โรงพยาบาลของพี่มาถึงหมู่บ้านของพวกพี่ได้เลยนะ” พูดมาถึงตอนท้ายเธอก็สรุปว่า “ดังนั้นพี่จีบรุ่นพี่จี้ของพวกเราจึงสมเหตุสมผล”

ฟู่เหยียนจื้อมองเธออย่างตักเตือน “ถ้าขืนพูดส่งเดชอีก ครั้งหน้าไม่ต้องมาแล้ว”

เยี่ยเจินเจิน “…”

เธอหุบปากลงทันที

 

หลังส่งน้องสาวกลับบ้านแล้ว ฟู่เหยียนจื้อก็กลับบ้านเช่นกัน วนกลับไปกลับมาก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

ประตูลิฟต์เปิดออก ฟู่เหยียนจื้อเพิ่งเดินออกไป ประตูอีกด้านหนึ่งก็เปิดออก

หน้าสดของจี้ชิงอิ่งปรากฏอยู่ในสายตาของเขา เธอเอ่ยถามว่า “ส่งกลับไปแล้วเหรอคะ”

ฟู่เหยียนจื้อหยุดฝีเท้ามองเธอ “อืม” เขากล่าวเสียงเบา “เมื่อกี้รบกวนคุณแล้ว”

ระหว่างทางกลับบ้านเยี่ยเจินเจินบอกกับเขาแล้วว่าจี้ชิงอิ่งช่วยเธอแก้รูปที่ออกแบบและยังให้เธอยืมหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบอีกสองสามเล่ม

“ไม่รบกวนค่ะ แค่เรื่องง่ายๆ เหมือนยกมือขึ้น” จี้ชิงอิ่งโค้งริมฝีปากยิ้ม “ฉันชอบเธอมาก”

ฟู่เหยียนจื้อพยักหน้า “หนังสือรอเธออ่านจบแล้วจะคืนให้คุณนะครับ”

“ไม่รีบค่ะ” จี้ชิงอิ่งมองเขาและถามด้วยดวงตาเป็นประกาย “พรุ่งนี้คุณหยุดไหมคะ”

ฟู่เหยียนจื้อไม่ได้ตอบ เขาเพียงยืนอยู่ที่หน้าประตูลิฟต์ แสงไฟอบอุ่นของทางเดินตกลงบนกายเขา ขับรูปลักษณ์ที่ละเอียดงดงามของเขาออกมา ทั้งมีมิติและลุ่มลึก ดึงดูดผู้คนเป็นพิเศษ

จี้ชิงอิ่งเม้มริมฝีปากล่าง “ถ้าไม่ได้ทำงาน ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหมคะ”

“อะไรครับ”

ฟู่เหยียนจื้อถามอย่างราบเรียบ

จี้ชิงอิ่งไม่ค่อยกล้าได้คืบจะเอาศอกเช่นกัน เธอกะพริบตาเบาๆ และกล่าวว่า “ฉันยังมีของบางส่วนที่ยังซื้อไม่หมดน่ะค่ะ พรุ่งนี้ตั้งใจว่าจะไปที่ตลาดของตกแต่งบ้าน แต่เพื่อนของฉันไม่มีเวลา หมอฟู่ช่วยเป็นคนขับรถครึ่งวันให้ฉันได้ไหม”

หลังจากพูดจบจี้ชิงอิ่งก็กังวลเช่นกัน เธอไม่มีความมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะให้ฟู่เหยียนจื้อรับปาก

ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ แสงไฟตรงทางเดินสลัวลงตามไป ทำให้เธอที่หันหลังให้แสงในบ้านมองเห็นสีหน้าของฟู่เหยียนจื้อไม่ชัด

ไม่รู้ว่าลมพัดเข้ามาจากไหน พัดพาความเงียบสงัดนี้กระจายไป

ฟู่เหยียนจื้อได้กลิ่นของดอกมะลิ อาศัยแสงไฟสลัวที่ส่องออกมาจากในบ้านของหญิงสาว เขาหลุบตาลงมองเธอทุกตารางนิ้ว มองจนทะลุปรุโปร่ง แม้แต่ขนตาที่สั่นไหวของเธอก็เข้าสู่สายตาของเขาอย่างชัดเจน

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรจี้ชิงอิ่งถึงได้ยินเสียงของชายหนุ่ม

“กี่โมงครับ”

บทที่ 7

 เธอนัดกับฟู่เหยียนจื้อไว้เก้าโมงครึ่ง จากที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ไปถึงที่นั่นต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่าๆ

เก้าโมงสามสิบนาที จี้ชิงอิ่งเปลี่ยนรองเท้าและเปิดประตู

เธอเพิ่งเปิดออกประตูที่ปิดสนิทของห้องฝั่งตรงข้ามก็ถูกคนดึงเปิดออกจากด้านในเช่นเดียวกัน

เมื่อได้ยินเสียงเธอก็ช้อนตาขึ้น

สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือชายหนุ่มในเสื้อกันลมสีดำ ด้านในจับคู่กับเสื้อเชิ้ตสีเดียวกัน กระดุมเม็ดบนสุดไม่ได้ติดไว้ เผยให้เห็นลูกกระเดือกที่นูนออกมา

ถัดขึ้นไปด้านบนคือใบหน้าที่ค่อนข้างมีความอดกลั้นและดูดีนั้น

จี้ชิงอิ่งในฐานะดีไซเนอร์มักจะพินิจพิจารณาเสื้อผ้าของคนคนหนึ่งด้วยความเคยชิน สำหรับเสื้อผ้าชุดนี้ของฟู่เหยียนจื้อ เธอให้เก้าสิบแปดคะแนน

การจับคู่เสื้อผ้าสีดำซ้อนกันของเขาไม่ทำให้คนรู้สึกมืดทึม กลับทำให้คนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อตัวเขา มีความอดกลั้นทั้งยังลึกลับ และคอเสื้อที่เปิดอ้าออกได้พอเหมาะนั้นเป็นแต้มสำคัญ เสียอย่างเดียวคือแว่นตา

เมื่อสังเกตเห็นสายตาของเธอ ฟู่เหยียนจื้อก็หลุบตาลงมองมา ทำลายความเงียบสงัดนี้

“เรียบร้อยแล้วนะครับ”

“อืม”

จี้ชิงอิ่งถอนสายตาที่มองเขาอย่างโจ่งแจ้งของตัวเองกลับมาพลางกล่าวว่า “ไปกันค่ะ”

 

ทั้งสองคนเข้าไปในลิฟต์ ตรงไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน

หลังขึ้นรถแล้วจี้ชิงอิ่งก็ยกมือขึ้นโบกพัดเพราะรู้สึกร้อนนิดหน่อย

“คุณกินอาหารเช้าหรือยังคะ”

“อืม”

จี้ชิงอิ่งชำเลืองตามองเขา สายตาหยุดอยู่ที่เขาครู่หนึ่งแล้วเบนมามองโทรศัพท์ ถือโอกาสคุยปัญหาเรื่องงานกับซย่าหรงเสวี่ย

เนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ รถบนถนนจึงไม่หนาแน่นมาก

ตลาดของตกแต่งบ้านที่จี้ชิงอิ่งเลือกมานั้นใหญ่มาก ข้าวของด้านในทั้งหมดล้วนเป็นยี่ห้อเดียวกัน

เป็นแบบที่มินิมอลและสะอาดสะอ้าน เธอชอบมันมาก

ทั้งสองคนลงจากรถ ฟู่เหยียนจื้อชำเลืองตามองเธอ “ต้องการอะไรครับ”

ดวงตาของจี้ชิงอิ่งโค้งขึ้น “เดินดูกันก่อนเถอะค่ะ ฉันอยากซื้อโคมไฟและเครื่องใช้ในห้องครัว” เธอเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา “เมื่อก่อนคุณเคยมาที่นี่ไหมคะ”

ฟู่เหยียนจื้อพยักหน้า

จี้ชิงอิ่งตามน้ำไป “งั้นคุณนำทาง? แนะนำฉันหน่อย?”

ฟู่เหยียนจื้อไม่พูดอะไร เพียงจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง

สายตาของเขาราบเรียบ นัยน์ตาดำขลับเป็นประกาย ตอนที่มองเธอสามารถมองทะลุความคิดที่เหนือคำบรรยายทั้งหมดของเธอได้

จี้ชิงอิ่งไม่ได้หลบเลี่ยง ปล่อยให้เขามองพินิจพิเคราะห์

ความคิดของเธอวางหราอยู่บนโต๊ะและไม่มีอะไรน่าซ่อนเร้น

ไม่กี่วินาทีต่อมาฟู่เหยียนจื้อก็เอ่ยขึ้น “ไปชั้นสองก่อนครับ”

ได้ยินดังนั้นจี้ชิงอิ่งก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

“โอเคค่า” เธอตอบอย่างกระฉับกระเฉง

อาจเป็นเพราะประตูเพิ่งเปิดตอนสิบโมง เวลานี้ด้านในคนจึงไม่มากนัก

จี้ชิงอิ่งเข็นรถเข็นคันเล็กตามอยู่ข้างหลังฟู่เหยียนจื้ออย่างสงบเยือกเย็น

เมื่อขึ้นไปบนชั้นสอง สิ่งที่เห็นก็คือการออกแบบบ้านที่อบอุ่น

เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงประสบการณ์ ห้องครัว ห้องนอน และห้องอื่นๆ ล้วนตกแต่งเหมือนบ้านอย่างไรอย่างนั้น จัดวางอยู่ตรงหน้าของทุกคนอย่างแท้จริง

เมื่อคืนนี้จี้ชิงอิ่งลิสต์รายการออกมาแล้ว การเลือกของจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองคนเดินชมกันอย่างช้าๆ บางครั้งบางคราวก็จะมีคนจับจ้องมาที่พวกเขา

จี้ชิงอิ่งไม่ต้องพูดถึง วันนี้เธอยังคงสวมใส่กี่เพ้าที่ดึงดูดสายตาเหมือนเคย สไตล์ลูกไม้สีขาว เรียบหรูและโดดเด่น แม้แต่แขนเสื้อก็เป็นแขนเสื้อยาวทรงโคมไฟจีน

ทว่าคอเสื้อต่ำมาก เผยคอหงส์ที่เรียวยาวขาวผุดผ่องออกมา ถัดลงไปอีกเป็นดีไซน์แบบผ่าข้างขึ้นมาถึงบริเวณน่อง ทั้งหมดทั้งมวลดูแล้วมีความรู้สึก ‘อยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา’ ทำให้ผู้คนเพลิดเพลินจนไม่อาจละสายตา

ส่วนฟู่เหยียนจื้อที่อยู่ข้างๆ เป็นสีดำไปทั้งตัว

ทั้งสองคนราวกับนัดกันแมตช์ชุดขาวดำ เหมาะสมกันจนทำให้ผู้คนตกตะลึง

ตอนที่ผู้หญิงคนที่ N หันหน้ากลับมามองฟู่เหยียนจื้อ จี้ชิงอิ่งก็ทนไม่ไหวแล้ว

“หมอฟู่”

ฟู่เหยียนจื้อช้อนตาขึ้นมองเธอ

จี้ชิงอิ่งกล่าวชม “การแมตช์ชุดของคุณวันนี้ไม่เลวเลยนะคะ”

ฟู่เหยียนจื้อเลิกคิ้ว รอประโยคต่อไปของเธอ

จี้ชิงอิ่งก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง พูดตามตรงว่า “สาวน้อยสองคนเมื่อกี้หันกลับมามองคุณสามรอบแล้ว”

“ใช่เหรอครับ” ฟู่เหยียนจื้อเดินไปข้างหน้าอย่างสงบเยือกเย็นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “แล้วคุณล่ะ”

จี้ชิงอิ่ง “…”

เธอสำลัก คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเขาจะถามแบบนี้

ริมฝีปากของเธอขยับ มองเขาอย่างงงงัน ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา

“ฉันมองตั้งหลายครั้ง จำไม่ได้แล้วค่ะ” มุมปากของเธออมยิ้ม ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันมองคุณอยู่”

ความหมายในคำพูดก็คือ…คุณไม่มองฉันแล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันมองคุณอยู่

“…”

ฟู่เหยียนจื้อไม่มีความรู้สึกลำบากใจที่ถูกเธอเปิดโปงเลยแม้แต่น้อย เขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ผมค่อนข้างความรู้สึกไว”

จี้ชิงอิ่ง “…”

 

ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าต่อ

ตอนที่เดินผ่านห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งจู่ๆ จี้ชิงอิ่งก็หยุดฝีเท้าลง

ฟู่เหยียนจื้อมองตามสายตาของเธอไปก็เห็นเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งกำลังถ่ายรูปอยู่กับคุณแม่ที่ด้านใน

ห้องเป็นแบบที่เด็กผู้หญิงชื่นชอบ มีโซฟาหนึ่งตัวและโต๊ะกลางตัวเล็ก ตรงกลางของผนังด้านตรงข้ามเป็นโทรทัศน์ ทั้งสองข้างเป็นตู้สีขาวสองใบ

มองถัดเข้าไปข้างในเป็นผ้าม่านลูกไม้สีขาวห้อยอยู่สองด้าน บนผ้าม่านแขวนไฟดวงเล็กๆ ดูสาวน้อยมาก

ทว่านี่ไม่ใช่สไตล์ที่จี้ชิงอิ่งจะชอบ

ฟู่เหยียนจื้อถอนสายตากลับมาและหลุบตามองเธอ

สีหน้าของเธอราบเรียบมาก สายตาล่อกแล่กเล็กน้อย

ฟู่เหยียนจื้อตะลึงไปสองสามวินาที ไม่ได้ส่งเสียงออกมา

ผ่านไปประมาณหนึ่งนาทีจี้ชิงอิ่งพลันได้สติกลับมา “ทำไมการออกแบบของตลาดของตกแต่งบ้านนี้ถึงไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะ”

“จะว่ายังไงดีล่ะ…”

ฟู่เหยียนจื้อยากที่จะตอบ

จี้ชิงอิ่งร้อง “อ่า” ไปหนึ่งคำ ดึงตัวเองออกมาจากอารมณ์เมื่อครู่นี้ “การจัดวางตกแต่งของห้องเมื่อกี้น่ะค่ะ ฉันเคยเห็นที่เมืองเจียงเฉิงเมื่อนานมาแล้ว ไม่เปลี่ยนไปเลย”

ฟู่เหยียนจื้อส่งเสียง “อืม” ออกมาหนึ่งคำ “ไม่เลวครับ”

จี้ชิงอิ่ง “…”

เธอเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ก็ธรรมดาค่ะ พวกเราไปซื้อโคมไฟกัน”

ฟู่เหยียนจื้อเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะส่งเสียงตอบ “ครับ”

ของที่จี้ชิงอิ่งซื้อมีไม่มาก หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ต่อมาทุกอย่างก็จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว

ทุกหนทุกแห่งของตลาดของตกแต่งบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการดำรงชีวิตซึ่งไม่เข้ากับเธอเลย

ระหว่างทางกลับทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน

ฟู่เหยียนจื้อเองเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ส่วนเวลานี้จี้ชิงอิ่งก็อารมณ์สงบนิ่ง ไม่มีความคิดจะหยอกเย้าชายหนุ่มแล้ว

เงียบมาจนถึงหมู่บ้าน ฟู่เหยียนจื้อจอดรถไว้ตรงจุดจอดรถแล้วชำเลืองตามองเธอ

จี้ชิงอิ่งถึงได้สติกลับมา “ถึงแล้วเหรอคะ”

“อืม”

จี้ชิงอิ่งลงจากรถตามฟู่เหยียนจื้อ ของที่กระโปรงหลังรถไม่นับว่ามาก แต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน

เธอเพิ่งยื่นมือออกไปหยิบก็ถูกชายหนุ่มปฏิเสธเสียแล้ว

“ไม่ต้องครับ” ฟู่เหยียนจื้อมองเธอ “ไปกดลิฟต์”

จี้ชิงอิ่งตกตะลึง มองสีหน้าเรียบเฉยของเขา “เยอะเกินไปแล้วค่ะ ฉันถือโคมไฟสองดวงเอง”

ฟู่เหยียนจื้อไม่ได้ห้ามเธออีก

ทั้งสองคนถือของเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปในลิฟต์

หลังจากถึงบ้านและวางของลงจี้ชิงอิ่งก็เข้าไปในห้องครัวรินน้ำให้เขาหนึ่งแก้ว

ฟู่เหยียนจื้อไม่ได้ปฏิเสธเธอ รับมาดื่มไปหนึ่งอึก

จี้ชิงอิ่งช้อนตาขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ สิ่งที่เห็นก็คือภาพลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลง

เธอจ้องมองสองวินาที ทันใดนั้นก็รู้สึกกระหายน้ำเล็กน้อยด้วยเช่นกัน

“หมอฟู่ ฉันเลี้ยงข้าวคุณดีกว่าค่ะ” จี้ชิงอิ่งเสนอขึ้นมากะทันหัน “วันนี้รบกวนคุณเกินไปแล้ว”

ฟู่เหยียนจื้อช้อนตาขึ้นถาม “จะเลี้ยงอาหารดีลิเวอรี่ผมเหรอครับ”

“…”

จี้ชิงอิ่งรู้สึกจุกอยู่ในลำคอ กล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ต้องรังเกียจอาหารดีลิเวอรี่ขนาดนี้ก็ได้มั้งคะ”

ฟู่เหยียนจื้อปราดมองเธอแล้วเอ่ยเสียงเบาเช่นกัน “ไม่ต้องครับ”

จี้ชิงอิ่งร้อง “อ้อ” แล้วพูดด้วยอารมณ์หดหู่ “ก็ได้ค่ะ งั้นครั้งหน้าค่อย…”

‘เลี้ยงคุณ’ สองคำนี้ยังไม่ทันพูดจบ ฟู่เหยียนจื้อก็เอ่ยขึ้นก่อน “ไปกินข้างนอก”

ดวงตาของจี้ชิงอิ่งเป็นประกายขึ้นมา

ฟู่เหยียนจื้อกวาดสายตาและเอ่ยเสริมว่า “เรื่องของเยี่ยเจินเจิน รบกวนแล้วครับ”

“…”

 

แม้ว่าจะเป็นเพราะเธอช่วยเยี่ยเจินเจิน ฟู่เหยียนจื้อถึงรับปากกินข้าวกับเธอ ทว่าความสัมพันธ์เชิงเหตุผลประเภทนี้จี้ชิงอิ่งไม่ได้สนใจขนาดนั้น

ถึงอย่างไรผลลัพธ์ก็สำคัญที่สุด

หลังจากกินข้าวเรียบร้อยแล้วทั้งสองคนก็ต่างคนต่างกลับบ้าน

จี้ชิงอิ่งไม่ได้รู้สึกเสียดายเช่นกัน เมื่อวานเธอได้ยินเยี่ยเจินเจินพูดถึงงานของฟู่เหยียนจื้อ

มันยุ่งกว่าที่เธอคิดไว้มากนัก เวลาพักผ่อนที่หาได้ยากนี้เธอจำเป็นต้องให้ฟู่เหยียนจื้อพักผ่อนครึ่งวัน

อาจเป็นเพราะได้กินอาหารกลางวันกับคนที่ชอบ ตลอดทั้งช่วงบ่ายจี้ชิงอิ่งราวกับฉีดเลือดไก่* ก็ไม่ปาน ประสิทธิภาพในการทำงานสูงปรี๊ด

ตอนพลบค่ำซย่าหรงเสวี่ยมาช่วยเธอ

เฉินซินอวี่ก็มาหลังจากเลิกงาน โดยใช้คำพูดที่ดูดีว่า ‘มาช่วยเหลือ’ แท้จริงแล้วก็แค่อยากฟังเรื่องซุบซิบ

ทั้งสามคนสั่งอาหารดีลิเวอรี่มากินกัน ทำงานไปพลางรอไปพลาง

เฉินซินอวี่และจี้ชิงอิ่งเรียนสาขาเดียวกัน หลังเรียนจบแล้วเธอก็เข้าทำงานที่บริษัทออกแบบที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง

วันนี้เธอทำโอที ถูกเจ้านายทรมานไปไม่เบา

ทันทีที่เข้ามาในบ้านก็นอนแผ่หลาบนโซฟา ถือรีโมตดูโทรทัศน์อย่างใจลอย

หาอยู่หนึ่งรอบก็หาสิ่งที่อยากดูไม่ได้ จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาแชร์หน้าจอเชื่อมต่อเข้ากับโทรทัศน์และเริ่มดูโชว์

เมื่อได้ยินเสียงดนตรีซย่าหรงเสวี่ยก็วิ่งออกมาจากในห้อง “พี่ซินอวี่ ดูโชว์อะไรอยู่เหรอ”

เฉินซินอวี่เชิดคาง “ดูโชว์ใหญ่คอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ปีที่แล้วของ Dior หาแรงบันดาลใจหน่อยน่ะ”

ซย่าหรงเสวี่ยร้อง “อ้อ” ไม่ได้สนใจมากนัก “ก่อนหน้านี้ฉันดูกับพี่ชิงอิ่งตั้งหลายรอบ”

เฉินซินอวี่ตกตะลึง มองเธออย่างประหลาดใจ

“ชิงอิ่งดูโชว์นี้แล้วเหรอ”

“ดูแล้วค่า” ซย่าหรงเสวี่ยพูดเสริม “พี่เขายังดูตั้งหลายรอบด้วย”

เฉินซินอวี่นิ่งเงียบ ดวงตาของเธอเป็นประกายระยิบระยับ กำลังคิดจะพูดอะไรหน่อยจี้ชิงอิ่งก็ออกมาจากข้างในแล้ว

เธอรีบปิดโทรทัศน์ทันที

จี้ชิงอิ่งไม่ได้สังเกตเห็นสถานการณ์ทางด้านนี้ เพียงแค่ถือแก้วน้ำเข้าไปในห้องครัวเพื่อรินน้ำหนึ่งแก้ว แล้วก็เข้าไปในสตูดิโอของตัวเองอีกครั้ง

ซย่าหรงเสวี่ยทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง มองเฉินซินอวี่อย่างสงสัย “พี่ซินอวี่ พี่ปิดทำไมน่ะ”

“…มือไปโดน” เฉินซินอวี่มองยายเด็กโง่ตรงหน้าที่ไม่เข้าใจอะไรเลย เขกหัวอีกฝ่าย และกล่าวว่า “ไปช่วยพี่ชิงอิ่งของเธอ ฉันจะรอดีลิเวอรี่อยู่ข้างนอก”

“อ้อ”

ซย่าหรงเสวี่ยก็ไม่ได้โกรธ หยิบขนมขบเคี้ยวแล้ววิ่งเข้าห้องไป

เฉินซินอวี่ลุกขึ้นนั่งบนโซฟา หลังจากครุ่นคิดอยู่สองสามวินาทีก็ส่งข้อความให้เพื่อน

ระหว่างกินข้าวหัวข้อสนทนาของคนทั้งสามก็ตกอยู่ที่งานของจี้ชิงอิ่งไปโดยธรรมชาติ

“งานนี้ของเธอต้องติดตามถึงเมื่อไหร่น่ะ”

จี้ชิงอิ่งส่ายหน้า “ยังไม่แน่ใจเลย ถ้าราบรื่นสามเดือนก็เสร็จ”

เฉินซินอวี่พยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “งั้นออเดอร์ของสตูดิโอล่ะ”

จี้ชิงอิ่งมีสตูดิโอของตัวเองคนเดียวห้องหนึ่ง เสื้อผ้าทั้งหมดที่เธอทำล้วนเป็นกี่เพ้าทั้งนั้น และรับเฉพาะการสั่งทำชุดกี่เพ้าระดับไฮเอ็นด์เท่านั้น

“ยุ่งจนล้นมือ” เธอถามต่อว่า “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ล่ะ”

เฉินซินอวี่ชะงัก คำพูดมาถึงขอบปากแล้วก็ยังคงเก็บกลับไป “ไม่มีอะไร แค่เป็นห่วงเธอเฉยๆ น่ะ”

“…อ้อ”

หลังจากกินอาหารแล้วทั้งสามคนก็เก็บขยะและออกจากบ้านไป

ขณะรอลิฟต์ คนในห้องฝั่งตรงข้ามก็ออกมาพอดี

เฉินซินอวี่ตะโกนเรียกอย่างกระตือรือร้น “หมอฟู่! บังเอิญจังเลยค่ะ”

เธอรู้เรื่องที่ทั้งสองคนอยู่ห้องตรงข้ามกันแล้ว เมื่อคืนยังไถอั่งเปาจากจี้ชิงอิ่งมาซองหนึ่งด้วย

ฟู่เหยียนจื้อพยักหน้า ตอบรับคำหนึ่งด้วยสีหน้าราบเรียบ เขาเหลือบมองจี้ชิงอิ่ง ในมือของเธอกำลังถือถุงอาหารดีลิเวอรี่อยู่

เมื่อจี้ชิงอิ่งก้มหน้ามองลงไปตามสายตาของเขาก็มีความลำบากใจเล็กน้อย เธอเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยถามเสียงเบา

“ดึกขนาดนี้ยังออกไปอีกเหรอคะ”

ฟู่เหยียนจื้อพยักหน้า “อืม ไปโรงพยาบาลครับ”

“หา?” จี้ชิงอิ่งตกตะลึง “มีเรื่องด่วนเหรอคะ”

“เปล่าครับ” ฟู่เหยียนจื้อกล่าวเสียงเรียบ “ไปเอาอะไรหน่อย”

ได้ยินดังนั้นจี้ชิงอิ่งก็ไม่ได้ถามมากอีก

ทั้งสี่คนเข้าไปในลิฟต์ ซย่าหรงเสวี่ยและเฉินซินอวี่พยายามลดการมีตัวตนของตัวเองให้เล็กลง

เมื่อมาถึงที่ชั้นหนึ่งพวกจี้ชิงอิ่งทั้งสามคนก็เดินออกไป

เธอหันหน้ากลับไปมองชายหนุ่มที่ยังคงยืนอยู่ในลิฟต์แล้วกล่าวประโยคหนึ่งว่า “ไปแล้วนะคะ”

ฟู่เหยียนจื้อพยักหน้า

เมื่อประตูลิฟต์ปิดลงเฉินซินอวี่ก็ถอนหายใจ “หมอฟู่เย็นชาเกินไปแล้วจริงๆ”

จี้ชิงอิ่งเลิกคิ้ว “อย่างนั้นเหรอ”

เฉินซินอวี่ “…นี่ยังไม่เย็นชาอีกเหรอ”

จี้ชิงอิ่งทิ้งขยะลงไปในถังขยะ โค้งริมฝีปากยิ้ม “แบบนี้แหละถึงจะดี”

เธอชอบความเย็นชาแบบนี้ของเขา

ซย่าหรงเสวี่ยไม่เข้าใจจึงถามด้วยความสงสัย “ดีตรงไหนกัน”

จี้ชิงอิ่งโค้งริมฝีปากยิ้มละไม “ดีทุกตรงเลย”

การอดทนอดกลั้นของเขากระตุ้นความปรารถนาของเธอ เธออยากให้เขาศีลขาด

เฉินซินอวี่มีสีหน้าหมดคำจะพูด บอกกับซย่าหรงเสวี่ยว่า “ตอนนี้พี่ชิงอิ่งของเธอเป็นนางปีศาจที่จ้องจะกินเนื้อพระถังซำจั๋ง เธอไม่ต้องไปสนใจนาง”

ซย่าหรงเสวี่ย “…”

จี้ชิงอิ่ง “…”

ทั้งสามคนเดินเล่นอยู่ข้างนอกพักหนึ่ง เฉินซินอวี่กับซย่าหรงเสวี่ยถึงได้กลับไป

จี้ชิงอิ่งยืนตากลม หลังจัดการกับความรู้สึกเรียบร้อยแล้วถึงได้กลับบ้าน

เมื่อกลับถึงบ้านเธอก็ไปโทรศัพท์หาคุณยายที่ระเบียง

“อาอิ่ง”

“ยายคะ” จี้ชิงอิ่งยืนตากลมที่พัดพามาในยามกลางคืน เอ่ยด้วยจิตใจที่เบิกบาน “ยายกำลังทำอะไรอยู่คะ”

ในเนื้อเสียงของคุณยายเต็มไปด้วยความโกรธ “ดูทีวีอยู่”

จี้ชิงอิ่ง “…”

เธอกุมหน้าผาก “ยายควรจะนอนแล้วใช่หรือเปล่า”

ทั้งสองคนพูดคุยกัน ระหว่างที่คุยอยู่นั้นไฟที่ระเบียงของห้องข้างๆ ก็สว่างขึ้น

จี้ชิงอิ่งหันหน้าไป

ฟู่เหยียนจื้อปรากฏตัวที่ระเบียงในชุดนอน ถือโทรศัพท์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่เช่นเดียวกัน

ราวกับสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวทางด้านนี้ เขาจึงช้อนตาขึ้นมองมา

ทั้งสองคนสายตาสบประสาน จี้ชิงอิ่งหลุบตาลง จับจ้องอยู่บนบริเวณกระดูกไหปลาร้าของชายหนุ่ม

ไม่กี่วินาทีต่อมามืออีกข้างหนึ่งของฟู่เหยียนจื้อก็ยกขึ้นมา ติดกระดุมสองเม็ดที่ไม่ได้ติดต่อหน้าเธอ ปกปิดส่วนที่อยู่ต่ำกว่าคอลงไปอย่างมิดชิด

จี้ชิงอิ่งเบะปากแล้วบ่นพึมพำ “ขี้งก”

คุณยายได้ยินไม่ชัด “หลานพูดว่าอะไร”

จี้ชิงอิ่งได้สติกลับมา มือกุมโทรศัพท์และเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรค่ะ ยาย ยายรีบไปนอนเถอะ หนูวางสายแล้วนะ”

“ดูจบแล้วจะไป”

เธอวางสายโทรศัพท์ จี้ชิงอิ่งมองคนที่วางสายโทรศัพท์แล้วเช่นกันก่อนจะเอ่ยเรียก “หมอฟู่”

ฟู่เหยียนจื้อมองเธอ

จี้ชิงอิ่งมุมปากโค้งขึ้นและกล่าวว่า “เมื่อกี้คุณทำอะไรคะ”

“มีธุระเหรอครับ”

“ไม่ค่า” จี้ชิงอิ่งเอ่ยด้วยอารมณ์สบายอกสบายใจ “แค่อยากคุยกับคุณ”

ฟู่เหยียนจื้อไม่ได้พูดอะไร

จี้ชิงอิ่งเท้าข้อศอกบนราวระเบียง ตากลมและมองดูทิวทัศน์ที่อยู่ห่างไกลออกไป

อาจเป็นเพราะคนข้างบ้านเงียบเกินไป จี้ชิงอิ่งจึงถูกลมทำให้สมองเลอะเลือน จู่ๆ ก็ถามไปหนึ่งประโยค

“หมอฟู่ คุณออกกำลังกายเป็นประจำใช่ไหมคะ”

ฟู่เหยียนจื้อยังไม่ทันได้พูด เธอก็เอ่ยต่อช้าๆ

“รูปร่างดีมากทีเดียว”

 

 

(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 2568)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: