บทที่ 1
…หายไปแล้ว…มันหายไปแล้ว…ทั้งๆ ที่เมื่อเช้ามันยังจอดอยู่ตรงนี้ ตอนที่เธอเปิดประตูออกมาหยิบต้นไม้หน้าบ้านไปเปลี่ยนกระถาง เจ้าสีเงินก็ยังจอดนิ่งสงบอยู่ใต้เงาแดด
…หากแต่นี่…ตรงที่เคยเป็นที่จอดเจ้าสีเงินกลับมีโซ่สีดำวางอยู่แทน
หญิงสาวร่างโปร่งบางก้มลงหยิบเจ้าโซ่ดำที่ถูกประทุษร้ายตัดคอขาดขึ้นมาดูด้วยอาการเลื่อนลอย
…หมดกัน…มันตัดเจ้าดำแล้วเอาเจ้าเงินไป
“โว้ย ไอ้บ้า”
เสียงตะโกนดังอย่างเหลืออดของเธอทำคนร่างสูงที่เพิ่งเปิดประตูบ้านออกมาสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาคมสีดำสนิทของหญิงสาวตวัดมอง อารมณ์ที่เพิ่งเสียของรักที่ซื้อมาได้แค่สองอาทิตย์ก็ทำเอาพาลโกรธไปเสียหมด
“มองหน้าทำไม มีปัญหาหรือไง”
ชายหนุ่มร่างสูงเกินกว่ามาตรฐานหนุ่มๆ ในประเทศนี้สะดุ้งอีกรอบ ด้วยไม่นึกว่าสาวเจ้าอารมณ์คนนี้จะหันมาพูดด้วย เขาขยับปากจะปฏิเสธ หากแต่ไม่ทันสาวน้อยอารมณ์ลมกรด เพราะร่างโปร่งบางผลุบหายเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูกระแทกใส่หน้าเขาเสียงดังปัง
“ยายเหรอ หนูเองนะยาย จักรยานหายอีกแล้ว หายไปแล้ว” เสียงโอดครวญดังฟ้องข้ามขอบฟ้า
“อะไร หายอีกแล้วเหรอ คันที่สองแล้วนะ” คนทางปลายสัญญาณร้องดังอย่างตกใจ ยิ่งทำชาคริยาเดือดในอารมณ์ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างขัดใจ
“ใช่สิยาย หายไปอีกแล้ว คันที่สองแล้ว คันแรกหายต้นเดือน คันที่สองหายปลายเดือน จะบ้าเปล่าเนี่ย ใครนะที่บอกว่าญี่ปุ่นปลอดภัย ปลอดภัยกับผีน่ะดิ โอ๊ยยยยยย อยากฆ่าคน”
ไม่พูดเปล่า เพราะตุ๊กตาหมีตัวกลมที่ตั้งโชว์อยู่หลังโทรทัศน์ถูกปาไปกระทบข้างฝาระบายอารมณ์
“แล้วเจ้าจะทำไง”
“ไปแจ้งตำรวจ แค่นี้ก่อนนะยาย หนูไปแจ้งตำรวจก่อนล่ะ”
รวดเร็วราวกับพายุหมุน เธอก็กดปุ่มตัดสัญญาณ ก้มลงคว้าหมีที่ถูกปาลงไปนอนเค้เก้บนพื้นมาตั้งไว้ที่เดิม หันไปเอื้อมหยิบหมวกแก๊ปมาสวมกันแดดอันจัดจ้าของหน้าร้อน แล้วเปิดประตูเดินจ้ำพรวดตรงไปยังป้อมตำรวจที่จำได้ว่าเคยเห็นอยู่แถวๆ หน้ามหาวิทยาลัยในทันที
ชาคริยาย้ายมาอยู่เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของเกาะฮอกไกโดได้เกือบสี่เดือนแล้ว ย้ายมาจากเมืองเล็กๆ บนเกาะเล็กสุดของญี่ปุ่น เกาะชิโกกุ
…มันเป็นความผกผันของชีวิต
เธอเคยบอกตัวเองว่าอย่างนั้น หลังจากที่จำต้องเปลี่ยนมหาวิทยาลัยเรียนต่อระดับปริญญาโทอย่างฉุกละหุกทั้งที่เลือกที่เรียนไปเรียบร้อยแล้วนับตั้งแต่ได้รับการตอบรับเรื่องทุนมาเรียนต่อ ในตอนแรกชาคริยาเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยเล็กๆ บนเกาะเล็กๆ แห่งนั้น และเธอก็เตรียมพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรียนภาษาหกเดือนในเมืองใกล้ๆ มหาวิทยาลัยที่เลือก เรียนจบหลักสูตรภาษาก็เข้าไปเป็นนักวิจัยเพื่อสร้างพื้นฐานความรู้ในแล็บของอาจารย์ที่หมายตาไว้ว่าจะเรียนต่อปริญญาโทด้วยอีกครึ่งปี ทั้งยังเฝ้าทำคะแนนสร้างสัมพันธ์อันดีกับเด็กๆ ในแล็บ รวมทั้งการหาห้องพักแสนสบายที่เธอจะต้องอยู่ไปอีกสองปีตลอดเวลาการเรียนระดับปริญญาโท
แต่แล้ว…มันก็เป็นความพลิกผันของชีวิตจริงๆ ที่ทำให้อาจารย์ที่ตอบรับเธอเข้าเรียนเกิดเปลี่ยนใจไปทำวิจัยที่ต่างประเทศกะทันหัน ก่อนจะมีการสอบเข้าปริญญาโทตามระเบียบของมหาวิทยาลัย นัยว่ามีสาเหตุมาจากการต่อสู้ขัดแย้งกับอาจารย์คนอื่นในภาคของตัวเอง นั่นทำให้เธอต้องเสาะแสวงหาที่เรียนใหม่อย่างทุลักทุเล ก่อนจะมาจบลงที่แล็บของอาจารย์ที่นี่ ที่เมืองนี้ เมืองเล็กๆ บนเกาะที่หนาวเย็น
…และคนขี้ขโมย
เธอต่อให้ในใจอย่างแค้นเคือง ก็จะไม่ให้แค้นได้อย่างไร จักรยานคันแรกที่เธอซื้อมาชื่นชมใช้งานได้แค่สามเดือนกว่าๆ เป็นต้องอันตรธานหายไปหลังจากที่เธอจอดมันทิ้งไว้หน้าบ้าน แล้วเริงร่าขึ้นรถประจำทางไปช็อปปิ้งแหลกในตัวเมือง ซื้อของเพลินจนรถประจำทางหมดต้องนั่งรถไฟมาลงที่สถานีซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไม่น้อยแล้วเดินกลับบ้านเพื่อพบว่าเจ้าสีเงินนัมเบอร์วันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ครั้งนั้นชาคริยายอมทำใจแต่โดยดี หลังจากที่โทรไปโวยวายกับที่บ้านและเพื่อนคนไทยที่เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยกันก่อนหน้านี้ จนทุกคนต่างหูชาไปตามๆ กัน หญิงสาวเฝ้ารออยู่สองอาทิตย์เผื่อว่าโจรจะกลับใจเอาจักรยานมาคืน แต่เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น โจรไม่มีทางกลับใจแน่ๆ เธอจึงตัดใจควักเงินในกระเป๋าซื้อจักรยานใหม่อีกคัน…เจ้าสีเงินนัมเบอร์ทู
ชาคริยายังไม่ทันจะได้ซื้อสีสเปรย์มาพ่นสร้างลวดลายเวียนหัวตามคำแนะนำของพ่อที่เมืองไทย ยังไม่ได้เอาค้อนมาทุบให้มันบุบบี้ หรือเอาอะไรมาขูดให้สีถลอกดูเหมือนจักรยานเก่าๆ ตามคำแนะนำของเพื่อนๆ เจ้าสีเงินนัมเบอร์ทูก็อันตรธานหายไปอีกครั้งภายใต้ระยะเวลาการใช้งานไม่ถึงสองอาทิตย์
…แล้วอย่างนี้จะไม่ให้แค้นได้ยังไง…จริงมั้ย
ป้อมตำรวจที่ตั้งอยู่ระหว่างร้านขายข้าวกล่องกับร้านเสริมสวยเงียบสงบไร้เงาคนที่เธอต้องการพบ ชาคริยาหันซ้ายแลขวาหาเงาตำรวจสักคนที่พอจะให้เธอแจ้งความจักรยานหายได้
“หายไปไหนกันหมดเฟ้ย ไม่อยู่รับใช้ประชาชนเลย”
อดไม่ได้ต้องพูดระบายอารมณ์ที่เหมือนจวนเจียนจะระเบิด ยืนรออยู่เสี้ยวนาทีก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะตะโกนเรียกออกไปทั้งสามภาษา ไทย อังกฤษ และญี่ปุ่น หากในห้องเล็กๆ นั้นก็ยังเงียบร้างผู้คน เธอเลยถือวิสาสะเดินตรงไปลองหมุนลูกบิดประตูที่ต่อเชื่อมห้องทางด้านหลังทันที
…ล็อก
…โว้ย แล้วหายไปไหนกันหมดฟะ ไม่รู้หรือไงว่าประชาชนตาดำๆ กำลังเดือดร้อน
เพราะทั้งเดือดทั้งร้อนจนทนรออยู่เฉยๆ ในห้องแคบๆ ของป้อมตำรวจเล็กๆ นั่นไม่ได้ ชาคริยาจึงเลื่อนเปิดประตูกระจกแล้วออกมายืนข้างนอก เพ่งสายตามองไปรอบๆ เผื่อตำรวจจอมอู้จะหลบไปนั่งสูบบุหรี่อยู่ตรงไหน หากแล้วสายตาเธอกลับไปปะทะเข้ากับใครบางคนที่เพิ่งรองรับอารมณ์ของเธอไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา
…ซามูไรตาฟ้า
นั่นล่ะ คำเรียกขานที่เธอตั้งให้หนุ่มข้างห้องในอพาร์ตเมนต์ที่อาศัยอยู่ ซามูไรตาฟ้า…ชายหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่เหมือนชาวตะวันตก เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยแบบที่ไม่ต้องย้อมตามสมัยนิยมเหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ ถูกมัดไว้เรียบร้อยที่ท้ายทอย โครงหน้าคมเข้ม จมูกโด่งผิดวิสัยชาวเอเชียบวกเข้าไปกับตาสีฟ้าใสแบบที่ถ้ามองอย่างเดียวก็คงจะคิดว่าเป็นนักเรียนต่างชาติมากกว่าเจ้าของประเทศ แต่เจ้าหนุ่มคนนั้นน่ะเจ้าของประเทศแน่…เพราะเขามีทั้งนามสกุลและชื่อตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างชัดเจน เพียงแต่เธอไม่เคยสนใจจะอ่านและจำเท่านั้นเอง
จักรยานสีฟ้าอ่อนคันเก่าโทรมจอดลงตรงหน้าเธอ ซามูไรตาฟ้าชะงักนิดๆ ราวกับตัดสินใจจะพูดอะไรสักอย่าง หากมันก็ช้าเหลือเกินในความรู้สึกเธอ ดังนั้นคำถามห้วนๆ จึงหลุดออกไปจากปากก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมา
“มีอะไร”
“คือ…”
คิ้วเรียวขมวดฉับ…อยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาสิเฟ้ย มาคือมาแคอยู่ได้
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ” เสียงถามเป็นภาษาญี่ปุ่นที่คนพูดคงจะพยายามพูดช้าๆ ดังมาอย่างมีน้ำใจ และนั่นก็ทำเอาคิ้วที่ขมวดมุ่นคลายลง ก่อนจะพยักหน้าไปยังป้อมตำรวจทางด้านหลัง
“มาหาตำรวจ แต่ไม่อยู่สักคน ไม่รู้ไปอู้อยู่ที่ไหน”
ชายหนุ่มตีหน้าลำบากกับภาษาลุ่นๆ ที่พวกผู้ชายชอบใช้กันของเธอ หากเขาก็ไม่เอ่ยท้วงอะไร นอกจากจะจอดจักรยานเข้าข้างทางพร้อมล็อกกุญแจเรียบร้อย แล้วเดินเข้าไปในป้อมตำรวจนั้นโดยมีหญิงสาวตามหลังเข้าไปติดๆ
“ต้องโทรเรียกครับ” ซามูไรตาฟ้าบอก พร้อมกับชี้มือไปทางโทรศัพท์รุ่นเก่าที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ตัวเดียวของห้อง “เขาเขียนป้ายบอกอยู่ตรงนี้ว่าถ้าต้องการพบตำรวจให้กดเลขศูนย์”
นิ้วเรียวสวยเลื่อนชี้ไปยังแผ่นป้ายกระดาษแข็งที่เขียนภาษาญี่ปุ่นเป็นพืดให้ดู คนเจ้าอารมณ์หน้ามุ่ยอีกแล้ว
“อะไร จะช่วยแต่คนญี่ปุ่นหรือไง คนต่างชาติอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกนี่จะไม่ให้ความช่วยเหลือเลยใช่มั้ย”
คนฟังดูเหมือนจะอึ้งๆ กับคำพูดของเธออีกแล้ว หากชายหนุ่มก็ใจเย็นเกินกว่าจะโกรธ
“ตรงนั้นมีภาษาอังกฤษเขียนอยู่ครับ” เขาอธิบายพร้อมกับชี้ให้เห็นภาษาอังกฤษตัวเล็กแสนเล็กที่เขียนอยู่บนป้ายกระดาษอีกอันที่ตั้งอยู่ในมุมอับของห้องที่เธอกวาดสายตามองไปไม่เห็นในตอนแรก หญิงสาวเชิดหน้าทำเป็นฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ กลบเกลื่อนความหน้าแตกของตัวเอง ชายหนุ่มลอบถอนหายใจก่อนจะเอ่ยถามต่ออย่างปลงตก
…ไหนๆ ก็หลวมตัวมาช่วยแล้ว ก็คงต้องช่วยให้ถึงที่สุด
“ผมโทรให้มั้ยครับ”
“ไม่ต้อง ฉันโทรเอง” ไม่พูดเปล่า เพราะมือเล็กยกหูโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์โทรทันที ชายหนุ่มก้าวถอยมายืนด้านหลัง ด้วยความมีน้ำใจทำให้ผละจากไปไม่ได้เพราะก็ไม่รู้ว่าเธอจะมีอะไรให้ช่วยอีกหรือเปล่า
หากพอเขาฟังบทสนทนาภาษาญี่ปุ่นแสนคล่องของสาวชาวต่างชาติที่กำลังวีนแตกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วก็อยากจะล่าถอยเสียเป็นกำลัง ด้วยว่าเจ้าของร่างบางดูจะเก่งเกินกว่าขนาดรูปร่างไปมากนัก ไม่รู้ว่าคุณตำรวจดวงกุดที่ปลายสายว่าอย่างไร หากท้ายสุดเธอก็วางสายแล้วทรุดตัวลงนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้หน้าโต๊ะใหญ่ตัวนั้น ส่วนเขาก็ยังยืนนิ่งแบบไม่รู้จะทำอะไรกับตัวเองดีจนเธอกวาดสายตามาเจอ คิ้วเรียวสวยจึงเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ
“อ้าว ยังอยู่เหรอ นึกว่ากลับไปแล้ว”
เจอคำถามแบบนั้นเขาก็อยากจะแทรกตัวหายไปในอากาศโดยทันที แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไร คนที่คงมีอารมณ์เป็นจรวดก็เอ่ยสวนออกมาอีก
“อีกห้านาทีเดี๋ยวตำรวจจะเข้ามา ตำรวจประจำที่ป้อมเขาออกไปลาดตระเวน”
เสียงใสๆ พูดเชิงบอกเล่า เขาพยักหน้ารับและชวนคุยฆ่าเวลา เพราะดูท่าว่าหากปลีกตัวไปตอนนี้คงจะไม่เหมาะนัก
“ไม่ทราบว่าอะไรหายหรือครับ”
คำถามนั้นเข้าไปจุดรอยโกรธในใจเธอให้ลุกโชน เพราะหน้าใสๆ ที่ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงกลับบึ้งตึงขึ้นมาทันที
“จักรยานหาย หายไปเป็นคันที่สองแล้ว บ้าจริงๆ เลย”
“ไม่ได้ล็อกหรือครับ”
ก้อนถ่านสีดำสนิทสองก้อนติดไฟลุกพึ่บเขม่นมองมาทางเขาโดยทันที
“ล็อกสิ ไม่ใช่ล็อกที่จักรยานอย่างเดียว แต่ล็อกด้วยโซ่ต่างหากอีกด้วย แล้วเป็นไงรู้มั้ย”
เธอถามใส่อารมณ์ เขาส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่กล้าพูดอะไรเพราะเกรงตัวเองจะมอดไหม้ไปด้วยสายตาเธอ
“มันตัดเจ้าดำทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าแทนเจ้าสีเงินนัมเบอร์ทูของฉัน”
ทั้งๆ ที่สงสารคนที่ของเพิ่งจะหาย หากเขาก็ต้องกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถกับคำเรียกขานโซ่กุญแจและจักรยานของเธอ
“แย่เลยนะครับ”
“แย่สิ คุณคิดว่ามันสบายหรือไง”
สาวเจ้าอารมณ์พาลใส่คนที่ไม่รู้เรื่องไปอีกหนึ่งดอก ชายหนุ่มยืนนิ่งไม่กล้าเถียง ได้แต่ภาวนาให้ตำรวจรีบๆ มาก่อนที่เขาจะถูกอารมณ์ของเธอเผาเป็นจุณ และแล้วคำภาวนาของเขาก็เป็นผล เมื่อรถตำรวจคันเล็กกะทัดรัดเคลื่อนเข้ามายังที่จอดรถข้างๆ ป้อมตำรวจทันเวลาก่อนที่เขาจะถูกเผาเป็นเถ้าธุลี
มาร์คยืนมองสาวน้อยร่างโปร่งบางเพื่อนข้างห้องให้การกับตำรวจร่างอ้วนที่คอยซักถาม และมีตำรวจคู่หูร่างผอมเป็นคนคอยเขียนรายละเอียดเอกสารแจ้งความ สาวน้อยชาวต่างชาติควักเอาหลักฐานประกอบคดีของหายมาวางเรียงตรงหน้าตำรวจหนุ่ม เริ่มด้วยกุญแจรถจักรยานสองคัน ต่อด้วยเจ้าดำโซ่คล้องต่างหากที่ถูกตัดขาดกันเห็นๆ แล้วตามมาด้วยเอกสารการซื้อขายจักรยานที่ได้รับมาจากร้านค้า ซึ่งมีหมายเลขประจำตัวรถเขียนกำกับอยู่ ชาคริยาอธิบายเรื่องราวและตอบคำถามเป็นภาษาญี่ปุ่นได้คล่อง แถมบางคำตอบยังมีเหน็บแนมนิดๆ ให้เจ้าของประเทศพอเจ็บใจเล่น หากก็มีบางครั้งที่ฟังคำศัพท์ยากๆ และไม่ค่อยได้ใช้บ่อยนักไม่เข้าใจจนต้องหันมองมาทางเขาเป็นเชิงถาม มาร์คจึงอธิบายกลับไปด้วยคำง่ายๆ ให้เธอเข้าใจ มารู้ตัวอีกครั้งเขาก็กลายมาเป็นผู้ช่วยของเธอเต็มตัวเมื่อลงมานั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้กันแบบนี้
“มันขโมยไปสองคันแล้วคุณตำรวจ เจ้าสีเงินนัมเบอร์วันเมื่อตอนต้นเดือน แล้วที่เพิ่งหายไปนี่ก็เจ้าสีเงินนัมเบอร์ทู”
เสียงใสๆ เล่า ปลายเสียงยังมีรอยแค้นเคืองไม่จาง ตำรวจคนอ้วนหันไปมองสบตาตำรวจคนผอมอย่างลำบากใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมาอย่างเกรงใจคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธจนอาจจะเห็นช้างเป็นหนูได้ถ้าเกิดพูดอะไรไม่ถูกหูคุณเธอเข้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเขียนคำร้องแจ้งความสองใบครับ ว่าแต่ทำไมตอนที่หายไปคันแรกถึงไม่มาแจ้งความล่ะครับ”
“ก็ไม่นึกนี่ว่ามันจะหายอีกคัน ตอนหายไปคันแรกนึกว่าฟาดเคราะห์ ทำบุญทำทานคนอดอยาก แต่ไม่นึกว่าที่นี่คนอดอยากจะมีเยอะขนาดนี้”
เธอลอยหน้าพูดกัดให้คนฟังได้แสบๆ คันๆ อีกแล้ว มาร์คมองสบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองคนก่อนจะยิ้มแหยๆ เป็นเชิงขอโทษ
…ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำผิดอะไร แต่ยิ้มขอโทษแทนคนข้างตัวไปก่อนคงจะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
“คนญี่ปุ่นไม่ใช่ขโมยทั้งหมดนะครับ”
ตำรวจคนอ้วนแก้ตัวอ่อยๆ หญิงสาวตอบรับ แต่คำบ่นยังตามมาอีกยาวเหยียด ก่อนที่คุณตำรวจจะดึงกลับเข้าไปซักถามยังหัวข้อที่ต้องการต่อ
ราวยี่สิบนาทีการเขียนเอกสารแจ้งความจึงเสร็จ ชาคริยาเซ็นชื่อรับรองเรียบร้อย แถมมาร์คยังต้องเซ็นชื่อตัวเองเป็นพยานด้วยอีกคน
“อ้าว คนญี่ปุ่นหรือ นึกว่าคนต่างชาติ….ซากุระอิ ฮายาโตะ” คุณตำรวจคนผอมถามชายหนุ่มอย่างแปลกใจ ชาคริยาก็เพิ่งจะรู้ว่าเพื่อนข้างห้องชื่อ ‘ซากุระอิ ฮายาโตะ’ เอาตอนนี้นี่ล่ะ หลังจากที่เห็นหน้ากันมานานหลายเดือน
“ครับผม เป็นลูกครึ่งครับ พ่อเป็นคนญี่ปุ่น แม่เป็นคนเยอรมัน” ชายหนุ่มอธิบายเสียงเรียบๆ ไม่แสดงความรู้สึกอะไร
“เอาล่ะ เดี๋ยวช่วยไปชี้ตำแหน่งที่จอดจักรยานให้ด้วยนะครับ ว่าแต่มากันยังไงครับ” คุณตำรวจคนอ้วนถามอย่างมีน้ำใจ
“เดินมาค่ะ จักรยานถูกขโมยไปแล้วนี่” เสียงใสสะบัดตอบ มาร์คแทบอยากจะส่ายหน้าด้วยความระอา
…มีเหน็บทุกคำเลย ทำไมเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้นี่
“งั้นไปด้วยกันมั้ยครับ แต่รถอาจจะแคบไปหน่อย”
หญิงสาวทอดสายตามองตามสายตาตำรวจหนุ่มคู่หูต่างไซส์ รถยนต์คันเล็กแบบมินิคาร์สี่ประตูสีขาวแถบดำ บนหลังคารถมีไฟฉุกเฉินสีแดงติดตั้งพร้อมด้วยตราตำรวจติดหราอยู่ด้านหน้าดูคันกระจ้อยจนคุณตำรวจตัวโตไม่น่าจะยัดร่างเข้าไปได้
“ไม่เป็นไรค่ะ แคบก็นั่งได้” เธอรีบรับคำก่อนคุณตำรวจจะเปลี่ยนใจ
…ก็เรื่องอะไรจะต้องเดินให้เมื่อย แถมยังจะได้นั่งรถตำรวจในต่างประเทศอีกด้วย ประสบการณ์ชั้นเยี่ยม คว้าเอาไว้แล้วไปเล่าหากินได้อีกนาน
ชาคริยาคิดอย่างกระหยิ่ม ลืมไปแล้วว่าเพิ่งเคืองจากการจักรยานหาย ความรู้สึกมันคงจะฉายชัดออกมาทางดวงตา คนที่คอยเหลือบมองจับสังเกตอารมณ์เธออย่างมาร์คจึงเห็นดวงตาดำสนิทคู่สวยเป็นประกายวาววับ เขาเผลอขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
…มีเรื่องอะไรถูกใจ
“แล้วคุณซากุระอิล่ะ”
“เดี๋ยวผมขอแยกไปเลยได้มั้ยครับ”
“อย่าเพิ่งเลย ไปด้วยกันก่อนดีกว่า เผื่อมีอะไรให้ช่วย” คุณตำรวจรีบรั้งหาพวกรองรับอารมณ์คนของหาย ลองตำรวจพูดออกมาอย่างนั้นเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร ถึงแม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาดก็ตามที
“แต่ว่า…สงสัยจะยัด เอ๊ย นั่งกันไม่หมด” คุณตำรวจคนอ้วนพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจ เพราะหนุ่มลูกครึ่งร่างสูงตัวใหญ่เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมขี่จักรยานตามไป” เขาบอกเบาๆ เหลือบมองคนร่างโปร่งบางที่ตอนนี้ไปยืนอยู่ข้างรถตำรวจมองสำรวจสิ่งต่างๆ ด้วยความสนใจเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มทั้งสามคนมองสบตากันโดยมิได้นัดหมาย แล้วต่างก็เผลอถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กัน
…สงสารก็สงสาร แต่หนักใจในฝีปากก็หนักอยู่ไม่แพ้กัน
ติดตามบทที่ 2 ได้แล้ววันนี้!
Comments
comments
No tags for this post.