บทที่ 2
ชาคริยาชี้จุดเกิดเหตุให้คุณตำรวจทั้งสองดูอย่างละเอียด แถมยังมีการสาธิตวางเจ้าดำที่ถูกตัดคอขาดไว้ตรงตำแหน่งที่เจอเมื่อตอนเที่ยงให้ดูเพื่อช่วยยืนยันว่าขโมยคนนี้มัน ‘เถื่อน’ จริงๆ โดยที่เธอไม่ได้โกหก แล้วคุณตำรวจก็จดโน่นวัดนี่ ก่อนจะสเก็ตช์ภาพที่เกิดเหตุคร่าวๆ บนกระดาษขาวเพื่อประกอบคำแจ้งความ เมื่อเสร็จกิจเรียบร้อย คุณตำรวจก็เอ่ยล่ำลา
“ถ้ามีความคืบหน้าเจอจักรยานยังไงจะรีบโทรมาบอกครับ”
“จะรอรับโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ชาคริยาจบคำพูดด้วยรอยยิ้มหวานประจบที่พอจะทำให้คนมองชื่นใจได้บ้าง หลังจากที่หวาดผวากับคำเหน็บแนมเป็นระยะๆ ของหญิงสาวมาแล้ว
“ครับ ถ้าได้ข่าวยังไงจะรีบโทรมาแจ้งทันทีเลยครับ ไปก่อนนะครับ”
ชาคริยาและมาร์คยืนรอส่งจนรถตำรวจคันเล็กแล่นลับหายไปตรงหัวมุมถนน หญิงสาวหันกลับมาจะเปิดประตูเข้าบ้าน หากสายตาก็ไปปะทะกับร่างสูงใหญ่ของเพื่อนข้างห้องที่ตกกระไดพลอยโจนมาร่วมขบวนแจ้งความด้วย เขากำลังก้าวคร่อมจักรยานเตรียมขี่ออกไป
“หิวข้าว…” เสียงใสเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ทำคนที่กำลังจะลาจากชะงักกึก แล้วรอคำพูดต่อไปของเธอด้วยใจเต้นระทึก
…จะมาไม้ไหนอีกนี่
“บ่ายสองกว่าแล้วยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย หิวข้าว”
“แล้ว…” อดไม่ได้ต้องถามออกมา และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ฉายชัดบนริมฝีปากบาง
“ไปหาอะไรกินกัน เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง ขอบคุณที่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนไง”
มาร์คอดยิ้มออกมาไม่ได้…นึกว่าคำ ‘ขอบคุณ’ จะไม่หลุดออกมาจากปากเธอซะแล้ว
“หรือว่ากินข้าวแล้ว?” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ เขาส่ายหน้า
“ยังไม่ได้กิน ว่าแต่…”
“ดีเลย งั้นไปหาไรกินกัน ฉันอยากกินชีสเบอร์เกอร์ของแมคฯ”
สั่งโดยไม่ถามความเห็นคนที่กำลังจะถูกเลี้ยง และไม่พูดเปล่า เพราะร่างบางกระโดดตุ้บขึ้นมาซ้อนท้ายจักรยานเขาทันที มาร์คเหลียวมองคนที่นั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่บนตะแกรงด้านหลังอย่างงงๆ ในความรวดเร็ว ดวงตาโตมองสบตาสีฟ้า รอยโกรธบนดวงตาสวยเริ่มวิ่งมาเป็นริ้วๆ แบบที่ทำเอาเขาสะท้านเยือกในอก
“ทำไม หรือจะให้ฉันเดินไปแล้วนายขี่จักรยาน จะไม่แล้งน้ำใจไปหน่อยเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้จะให้คุณเดินไป แต่ว่าการซ้อนท้ายจักรยานมันผิดกฎหมาย เดี๋ยวตำรวจจับ” เขารีบปฏิเสธพร้อมกับอธิบายเสียงอ่อย
“ช่างสิ ผิดก็ช่าง ถ้าตำรวจจับฉันจะบอกว่าจักรยานถูกขโมยไป เพราะงั้นฉันก็มีสิทธิ์ซ้อนจักรยานนายจนกว่าตำรวจจะตามจักรยานฉันเจอ”
มาร์คอ้าปากค้างกับคำพูดประโยคนั้น เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอคนแบบนี้ เขาขยับปากจะค้าน หากคิดดูแล้วก็น่าจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เขาเลยทำเพียงแค่ลอบระบายลมหายใจพร้อมกับคิดคำนวณระยะทางจากบ้านไปร้านแมคโดนัลด์ที่ใกล้ที่สุด
…ปั่นจักรยานยี่สิบนาที
ชายหนุ่มแอบกลืนน้ำลาย อดไม่ได้ที่จะเหลียวมองคนที่นั่งซ้อนอีกที ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนจักรยานออกไป
…ว่าแต่เขาเข้าไปเกี่ยวอะไรกับเธอตอนไหนกันนะเนี่ย ยังไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
ปั่นจักรยานจนเหงื่อตกโดยมีดนตรีประกอบเป็นเสียงบ่นของคนนั่งข้างหลังดังมาเป็นระยะๆ ถึงความแข็งและเจ็บของตะแกรงซ้อนท้าย เขาก็พาเธอมาถึงร้านแมคโดนัลด์ที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้าที่รวมเอาร้านค้าหลายๆ ร้านเข้าไว้ด้วยกันโดยปลอดภัย ดูเหมือนคนร่างบางจะหิวไม่น้อย เพราะคอยยืนเร่งเขายิกๆ ตอนที่เขากำลังล็อกจักรยานด้วยกุญแจอันโตรูปตัวยูที่ใช้ล็อกรถมอเตอร์ไซค์
…เมืองนี้สถิติจักรยานหายบ่อย หากไม่ใช้กุญแจล็อกต่างหากแบบนี้ก็คงจะหายไป…แบบของคนตรงหน้านี้นี่ล่ะ
“อยากกินอะไร” ชาคริยาเอ่ยถามคนร่างสูงระหว่างที่เดินตรงไปยังร้านแมคฯ เพื่อประหยัดเวลา
“แมคนักเก็ตครับ”
“อา ดีจัง แบบนี้ก็ซื้อแฮปปี้เซ็ตได้ คราวนี้ก็เก็บตุ๊กตาของเซ็ตนี้ครบซะที”
เสียงร้องดังอย่างดีใจทำให้เขาต้องก้มมองหน้าคนข้างๆ ซ้ำอีกครั้ง ดวงหน้าสวยที่ดูจะเข้มกว่าสาวญี่ปุ่นทั่วไปฉายรอยเบิกบาน นัยน์ตาสวยจับจ้องตู้โชว์ตุ๊กตาของแถมที่ตั้งเด่นเป็นสง่าเห็นมาแต่ไกลไม่วางสายตา เมื่อเห็นแววตาเธอแล้วเขาก็ถอดใจในเรื่องที่อยากจะพูด
…ก็…ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากจะบอกเธอว่า…ตุ๊กตาที่จะแถมน่ะ เขาก็อยากได้…เพราะกำลังเก็บสะสมอยู่เหมือนกัน
ทะเลเมืองหนาวเป็นสีเทาไม่ฟ้าใสฟ้าสดหรือเขียวมรกตเหมือนเมืองไทย แถมลมทะเลยังพัดแรงจนทำให้อากาศไม่ร้อนมากอย่างที่น่าจะเป็นสำหรับฤดูร้อนในตอนนี้ เรือเฟอร์รี่ลำโตกำลังขับเคลื่อนตรงไปยังท่าเรือของอีกจังหวัดที่ตั้งอยู่ตอนเหนือสุดของเกาะฮอนชูที่มองเห็นอยู่ไกลๆ นกนางนวลบินร่อนอยู่เหนือพื้นน้ำสอดส่ายสายตาหาปลาผิวน้ำชะตาขาดมาเป็นอาหาร
ชาคริยาเดินลิ่วๆ นำชายหนุ่มร่างสูงที่ถือถุงแมคโดนัลด์ตามต้อยๆ มาทิ้งตัวนั่งบนขั้นบันไดลงชายหาดที่ถูกสร้างทอดยาวขนานไปกับชายฝั่งทะเล มาร์คเดินตามมานั่งลงข้างๆ อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นคนผมสั้นหัวยุ่งกระเจิงด้วยแรงลม ยังดีที่เธอมัวแต่กำลังวุ่นกับการเปิดค้นหาของกินในถุงพลาสติกที่เพิ่งรับไปจากมือเขา เลยไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มของมาร์ค หาไม่เจ้าแม่คงจะได้มีน้ำโหอีกเป็นแน่
“เอานี่ นักเก็ต ชีสเบอร์เกอร์ แล้วก็โค้กกับมันฝรั่งสองถุง”
ใช่…เธอซื้อแฮปปี้เซ็ตให้เขาสองชุด ชุดชีสเบอร์เกอร์กับชุดนักเก็ต โดยเธอให้เหตุผลว่าเขาตัวโตต้องกินเยอะๆ แต่มาร์คก็รู้ดีว่าเหตุผลจริงๆ ที่เธอซื้อให้เขาสองชุดน่ะคืออะไร เจ้าตุ๊กตาสนูปปี้ในชุดอวกาศกับชุดดำน้ำนั่นอย่างไรที่ยวนใจให้เธอซื้อของกินให้เขาสองชุด อ้อ รวมเจ้าตัวเล่นสกีสำหรับชุดชีสเบอร์เกอร์ของเธอเข้าไปด้วยอีกตัว ตอนนี้คนที่บ่นหิวแสนหิวก็เลยกำลังชื่นชมยิ้มกว้างกับเจ้าสนูปปี้สามตัวในมือ
…เขายังไม่มีตัวที่เล่นสกี
มาร์คอดมองอย่างเสียดายไม่ได้ แต่ก็จำต้องตัดใจ แกะชีสเบอร์เกอร์ออกมากินเงียบๆ ไม่มีปากเสียง เขาทอดสายตามองไปยังทะเลกว้างเบื้องหน้า ชักเห็นด้วยกับความคิดของเธอหลังจากที่ซื้อแฮปปี้เซ็ตสามชุดเสร็จ
‘ไปนั่งกินริมทะเลกัน บรรยากาศดีๆ จะทำให้อาหารอร่อยกว่าที่เป็น’
“ซากุระอิซัง…ว้า ยาวจัง เรียกชื่อสั้นๆ ได้มั้ย แบบซากุระจังอะไรทำนองนั้นน่ะ” ชาคริยาถามขณะที่หยิบมันฝรั่งทอดเข้าปากหลังจากชื่นชมกับตุ๊กตาของแถมจนพอใจแล้ว มาร์คแทบจะสำลักน้ำโค้กที่กำลังดื่มอยู่
…ซากุระจัง…ซากุระจังกับเขานี่นะ? สุดจะเข้ากันดีเสียเหลือเกิน
เขาควักผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อมาเช็ดน้ำโค้กที่หกเปื้อนก่อนจะตอบเบาๆ แบบเกรงบารมี
“เรียกผมว่ามาร์คก็ได้ครับ คนอื่นเขาก็เรียกกันแบบนี้”
“อ้าว มีชื่อมาร์คอีกชื่อเหรอ” เธอถามอย่างแปลกใจ เขาพยักหน้ารับ
“ใช่ครับ ซากุระอิ ฮายาโตะ มาร์ค”
“อืม มาร์คเหรอ…” ดวงตาสวยฉายรอยครุ่นคิด มือก็แกะกระดาษห่อชีสเบอร์เกอร์ไปด้วย “คนอื่นเรียกกันเยอะแล้ว ไม่เอาดีกว่า…”
คำบอกนั้นทำเขาสะดุ้ง เฝ้าภาวนาไม่ให้เธอคิดแผลงๆ เรียกเขาด้วยชื่อ ‘ซากุระจัง’
“เรียกฮายาโตะแล้วกันนะ ได้ใช่มั้ย”
แล้วคำภาวนาก็เป็นผล เขารีบพยักหน้ารับก่อนที่เธอจะเปลี่ยนใจ “ได้ครับ ฮายาโตะก็ได้”
…ดีกว่าซากุระจังเป็นไหนๆ
“ว่าแต่คุณล่ะครับ จะให้ผมเรียกคุณว่าอะไร”
“ฮิเมะซามะ”
เขามองเธอตาค้าง ชาคริยามองท่าทางพิลึกๆ ของซามูไรตาฟ้าแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น
“ล้อเล่น โห ทำเป็นตกใจใหญ่หลวง”
“ไม่ใช่…” เขาอุบอิบตอบ “จะให้เรียกเป็นเจ้าหญิงก็ได้”
…เจ้าหญิงซูยุในเรื่องอิกคิวซังน่ะนะ
เขาได้แต่นึกต่อในใจ ไม่กล้าพูดออกไป ก็บอกแล้วว่ากลัว
“แหม ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ ฉันชื่อชาคริยา เรียก ‘ชา’ สั้นๆ ก็พอ”
“ครับ…คุณชา”
“ดีๆ กินต่อเถอะ เย็นหมดแล้ว เดี๋ยวมันฝรั่งเหี่ยว ไม่อร่อยนะ”
เธอเร่งเมื่อเห็นเขาดูเหมือนจะจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยลืมที่จะกินต่อเหมือนอย่างเธอ
มาร์คปั่นจักรยานมาส่งหญิงสาวเพื่อนข้างห้องที่หน้าประตูห้อง หากชาคริยาไม่ยอมลงจากจักรยานทั้งๆ ที่รถจอดเรียบร้อยแล้ว เธอยังนั่งหน้าตาเฉยอยู่อย่างนั้น จนเขาจำต้องพูดออกมา
“ถึงบ้านแล้วครับ”
“รู้แล้ว” ลอยหน้าลอยตาตอบ แถมมือยังเกาะตะแกรงเหล็กซ้อนท้ายเอาไว้แน่น ขาก็ไม่ยอมเอาลงแตะพื้นช่วยพยุงรถ ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายรับน้ำหนักเองคนเดียว
“แต่ฉันจะไปมหาวิทยาลัย”
มาร์คนึกเดาคำสั่งต่อไปออกทันที
…เขากลายเป็นสารถีจำเป็นไปเมื่อไหร่นี่
เขาเริ่มปั่นจักรยานตรงไปยังมหาวิทยาลัยที่เห็นอยู่ไกลๆ เบื้องหน้าทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้เธอพูดอะไร ชาคริยายิ้มกว้างอย่างพอใจ
“ดีมาก รู้งาน ไม่ต้องให้พูดมาก”
ดูท่าคนซ้อนคงจะสบายอารมณ์ไม่เบา เพราะเสียงฮัมเพลงทำนองคุ้นหูดังหงุงหงิงพอให้เขาได้ยิน มาร์คอดยิ้มออกมาไม่ได้
…แม่สาวอารมณ์ราวกับคลื่น…เดี๋ยวก็ซัดสาดเข้ามาไม่ทันให้ตั้งตัวราวกับมีพายุ แต่บางทีก็แค่เคลื่อนมากระทบชายฝั่งเบาๆ ราวกับเสียงดนตรี
…ชาคริยา…นามิ…คลื่นเจ้าอารมณ์
มาร์คไขกุญแจเปิดประตูห้องพักเข้ามาเมื่อฟ้าจางแสงอาทิตย์แล้ว แม้จะเป็นช่วงปิดเทอม หากเขาก็ไม่ได้หยุดไปมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่นๆ ด้วยเพราะงานทดลองที่ทำค้างอยู่ยังไม่เสร็จ เขาก็เลยต้องไปมหาวิทยาลัยทุกวัน
…นี่ยังดีที่ไม่ต้องคอยเฝ้าการทดลองทั้งวันเหมือนเมื่อช่วงเดือนก่อน
เขายัดข้าวกล่องที่ซื้อติดมือมาจากร้านสะดวกซื้อข้างมหาวิทยาลัยเข้าตู้ไมโครเวฟ กดปุ่มตั้งเวลาก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบนมขึ้นมากรอกปากดื่มแบบไม่ต้องพึ่งพาแก้วให้เสียเวลา ครบหนึ่งนาทีครึ่งพอดี อาหารกล่องที่เป็นข้าวหน้าเนื้อกล่องใหญ่ก็ร้อนและหอมกรุ่นควันฉุยเตรียมพร้อมที่จะลงไปนอนอุ่นอยู่ในท้องเขาแล้ว มาร์คใช้เวลาไม่ถึงห้านาที เจ้าอาหารในกล่องก็หายเกลี้ยงลงไปในกระเพาะเขาจนหมด กำลังเอนตัวนั่งผึ่งพุงบนเก้าอี้แบบปรับระดับได้ เสียงตึงตังก็ดังลอดมาจากข้างห้องทางด้านขวา มาร์คขมวดคิ้ว
…แม่คลื่นสาว…นามิ…ชาคริยา
มาร์คคลี่ยิ้มเมื่อนึกถึงหน้าใสผมสั้นยุ่งเหยิงและดวงตาเจ้าอารมณ์ คิดถึง…แล้วก็อดไม่ได้ที่จะคว้ากระดาษดินสอขึ้นมาร่างรูปวาดลงไปอย่างเจนจัด
…เขาชอบวาดรูป
มันก็เริ่มมาจากการชอบอ่านการ์ตูนนั่นล่ะ อ่าน…แล้วก็ซึมเข้าไปในความรู้สึก ใครจะรู้ว่าตอนเด็กๆ เขาฝันอยากจะเป็นนักวาดการ์ตูน หากแต่พอโต ฝีมือแค่พอไปวัดไปวาได้ก็ทำให้เขาตัดใจ หันมาหาสิ่งที่ชอบรองลงมา…ทะเล เขาชอบทะเล ก็เลยมาเรียนอะไรที่เกี่ยวกับทะเลแทน หากแต่เขาก็ไม่เคยทิ้งในสิ่งที่รัก…การวาดรูป
เพียงครู่เดียวกระดาษขาวที่ว่างเปล่าก็ปรากฏชัดเป็นรูปร่าง เขายิ้มอย่างพอใจยามมองรูปนั้น แม่สาวข้างห้องยืนทำหน้าบูด ในดวงตามีกองเพลิงลุกโชนอยู่ข้างกุญแจสีดำดอกโตกว่าปกติที่วางอยู่แทบเท้า เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ลงเส้นอีกสองสามครั้ง ควันแห่งความโกรธก็พวยพุ่งออกจากหูทั้งสองข้าง
…นี่ล่ะ เธอในวันนี้
เสียงตึงตังข้างห้องเงียบไปแล้ว แต่มาร์คยังไม่หยุดยิ้ม มองหน้าคนในรูปวาดแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาอีก
…ปั่นจักรยานเหนื่อยไปหน่อย แต่ก็ยังดีได้กินชีสเบอร์เกอร์ แถมด้วยนักเก็ตอีกห้าชิ้น แต่เสียดาย…สนูปปี้สามตัวที่เธอได้ไป เขาก็อยากได้ไม่แพ้กัน
ติดตามบทที่ 3-5 ต่อวันที่ 8 เม.ย. 64
Comments
comments
No tags for this post.