บทที่ 1
รัชศกหยวนชิ่งปีที่สิบห้า
ตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงตงจื้อแต่กลับมีหิมะตกหนักแล้ว ยามกวาดตามองไปทั่วเมืองฉางอันราวกับมีแสงสีเงินปกคลุม หมอกหนาตา ถนนซอกซอยที่เคยคึกคักแต่เดิมเหมือนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นเงียบเหงาเป็นพิเศษ
เวลายามเหม่าสามเค่อหมอกหนายังไม่ถูกแสงยามเช้าปัดเป่าจางไปก็เห็นรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนเหยียบพื้นดังเอียดๆ ตรงไปทางทงอี้ฟาง
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามก็มาหยุดอยู่หน้าจวนแห่งหนึ่ง
เสิ่นเจินเหม่อมองประตูแดงของจวนซู่หนิงป๋อที่ปิดสนิท ลังเลอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็ยกมือขึ้นใช้ห่วงที่หน้าประตูใหญ่เคาะเบาๆ
ทว่านางเคาะอยู่สามครั้ง ข้างในยังคงไม่มีการตอบรับใด
กินน้ำแกงปิดประตู ต่อเนื่องมาครึ่งเดือน ต่อให้เป็นเสิ่นเจินบุปผางามที่ไม่เคยถูกใครเมินเฉยมาก่อน สุดท้ายก็เข้าใจว่ากำแพงล้มฝูงชนร่วมผลัก ต้นไม้ล้มลิงกระเจิงเป็นอย่างไร
เมื่อต้นเดือนก่อน
อวิ๋นหยางโหวเสิ่นเหวินฉีอยู่ในตำแหน่งเสนาบดีกรมโยธาเพิ่งเต็มสามปี ใกล้จะเลื่อนตำแหน่งเป็นมุขมนตรีฝ่ายตรวจสอบแล้ว แต่คลองเฉิงซีทางตะวันตกของเมืองที่สร้างใหม่กลับพังครืน คลองมีช่วงที่ทำนบพัง ทำให้การลำเลียงน้ำเกิดปัญหา น้ำทะลักออกมา คนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ชาวเมืองโอดครวญไปทั่ว เพื่อทำให้เรื่องนี้สงบลง ฮ่องเต้จึงจัดการคนทั้งกรมโยธา
เสิ่นเหวินฉีอยู่ในตำแหน่งสำคัญ ต่อให้ภาพการสร้างคลองไม่ได้ออกมาจากมือของเขา เขาก็ต้องแบกรับความผิดจากการทำหน้าที่ผิดพลาด
ตามกฎหมายของราชวงศ์จิ้น เขาไม่เพียงถูกลดขั้นยึดตำแหน่ง ยังถูกคุมขังอีกสองปี
ข่าวแบบนี้ออกไป บรรดาญาติที่ปกติอยากจะมาเยือนที่จวนทุกวัน วันนี้เห็นคนสกุลเสิ่นแล้ว แต่ละคนก็พากันหลบเลี่ยง กลัวว่าจะเดือดร้อนตามไปด้วย
ที่เรียกว่า ‘ร่วมสุขง่าย ร่วมทุกข์ยาก’ ก็เป็นเช่นนี้เอง
เวลาผ่านไปทีละนิด คนบนถนนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เห็นจวนซู่หนิงป๋อปิดประตูไม่รับแขกตลอด หญิงหลายคนก็มาจับกลุ่มกลุ่มละสองสามคนกระซิบชี้ชวนนินทาเสิ่นเจินกัน
“สตรีนางนั้นคือคุณหนูสามสกุลเสิ่นไม่ใช่หรือ” พอพูดถึงสกุลเสิ่น คนพูดก็ลดเสียงเบาลงทันที
“เป็นนางจริงๆ สองวันก่อนข้าไปซื้อผ้าไหมที่ตลาดตะวันตก ผ่านร้านไป่เซียง บังเอิญเห็นนางอยู่ในนั้นปรุงเครื่องหอมให้จวงฮูหยิน”
“พูดถึงคุณหนูสามก็น่าสงสาร มารดาป่วยตาย บิดาเข้าคุก ตอนนี้บนบ่ายังแบกหนี้ก้อนใหญ่แบบนี้อีก ช่างเป็นหลังคารั่วซ้ำฝนยังตกทั้งคืน* จริงๆ”
มีคนพูดทอดถอนใจออกมาอีก “ดอกเบี้ยต่อเดือนของร้านแลกเงินสกุลจินนั่นสูงจนน่าตกใจ ถ้ายังเป็นดอกทบดอกไปแบบนี้เกรงว่าชาตินี้ก็ฟื้นตัวไม่ได้แล้ว”
“ยังฟื้นตัวอีกหรือ แค่ไม่ต้องขายตัวก็ไม่เลวแล้วกระมัง”
ตอนที่ทุกคนกำลังซุบซิบกันอยู่ ในกลุ่มคนมีหญิงสวมหมวกมีผ้าคลุมหน้าเอ่ยอย่างช้าๆ “พระพุทธองค์ตรัสว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามความเห็นของข้า ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะคนสกุลเสิ่นทำกรรมมากไป จึงได้รับกรรมตามสนอง”
คำพูดนี้ออกมา เสียงวิจารณ์รอบข้างก็เปลี่ยนทิศทางไปในทันที
ทุกคนพูดไปต่างๆ นานา ยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะ สุดท้ายแม้แต่คำว่า ‘อาญาสวรรค์’ ก็มีพูดออกจากปากด้วย
ชิงซีที่อยู่ด้านข้างทนฟังต่อไปไม่ไหว นางมองแผ่นหลังแข็งเกร็งของคุณหนูตนเองแวบหนึ่ง หัวใจทั้งดวงเหมือนถูกคนฉีกกระชาก
คุณหนูสามธิดาสูงศักดิ์สกุลเสิ่นจะเคยได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้เมื่อใดกัน
ชิงซีหันหน้าไปมองทุกคนด้วยความโกรธ กำลังจะเอ่ยปากก็ถูกเสิ่นเจินคว้าแขนเอาไว้
“ชิงซี พวกเรามาเพื่อขอร้องคนเขา”
เสิ่นเจินพูดแล้ว ชิงซีก็ทำได้เพียงหันหน้ากลับมา
ชิงซีทนแล้วทนอีกจึงทำให้น้ำเสียงผ่อนคลายลง “วันนี้คนเยอะปากมาก ร่างกายของคุณหนูกลัวหนาวมาตลอด เช่นนั้นพวกเราค่อยมากันวันอื่นดีหรือไม่เจ้าคะ”
ค่อยมาวันอื่นหรือ
เสิ่นเจินหลุบตาลง อดถามตนเองไม่ได้ พวกอันธพาลมาทวงหนี้ที่สกุลเสิ่น จะยอมให้นางเปลี่ยนเป็นวันอื่นได้จริงหรือ
นางขยับเสื้อคลุมบนตัว พูดด้วยเสียงที่เบามากว่า “รออีกสักนิดเถอะ”
การรอครั้งนี้ รอจนถึงตะวันคล้อยไปทางตะวันตก แสงสีเพลิงค่อยๆ ย้อมปุยเมฆให้เป็นสีแดง
คนที่มามุงดูความคึกคัก สุดท้ายก็รู้สึกหมดสนุกและทยอยกันจากไป
ในตอนนี้เองประตูใหญ่ที่ปิดสนิทก็เปิดออกช้าๆ หลิวหมัวมัวปรากฏตัวออกมา พูดกับเสิ่นเจินอย่างคุ้นเคยว่า “คุณหนูสามรีบเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”
ประตูปิดลง หลิวหมัวมัวรีบพูดต่อ “ระยะนี้ฮูหยินใหญ่ถูกลมเย็น ร่างกายไม่สู้ดี มึนงงอยากนอนทั้งวัน ไม่ว่าใครมาล้วนปิดประตูไม่รับแขก ในตอนนี้ก็เพิ่งตื่นนอนเจ้าค่ะ”
เสิ่นเจินฟังออกถึงการพูดคลี่คลายสถานการณ์จากคำพูดนั้น แต่ไม่ได้พูดเปิดโปง เพียงแค่พูดว่า “ท่านอาล้มป่วยเมื่อใด รุนแรงหรือไม่”
หลิวหมัวมัวเดินนำเสิ่นเจินไปข้างในพลางพูดทอดถอนใจ “พอได้ยินว่าบิดาของคุณหนูอยู่ในคุกถูกโบยหกสิบไม้ก็ร้องไห้จนหมดสติไป ล้มป่วยลุกไม่ขึ้น”
คำพูดนี้ออกมา มือของเสิ่นเจินที่อยู่ใต้แขนเสื้อก็สั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ สีเลือดเพียงเล็กน้อยบนใบหน้าก็ค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน นางหวาดผวาถึงขีดสุด
พวกนางเพิ่งเดินผ่านระเบียงทางเดินก็บังเอิญเจอกับซู่หนิงป๋อเซี่ยเฉิงเดินออกมาจากเรือนด้านข้าง
เสื้อผ้าของเขาไม่ค่อยเรียบร้อย บนต้นคอยังปรากฏรอยแดงที่สะดุดตามากสองรอย
เสิ่นเจินรีบก้มหน้าและย่อตัวคำนับ
ซู่หนิงป๋อชะงักฝีเท้า มองสำรวจเสิ่นเจินตั้งแต่หัวจรดเท้า เพียงชั่วครู่มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้ม “คุณหนูสามนี่เอง มาหาท่านอาเจ้าหรือ”
เสิ่นเจินพยักหน้าพลางเอ่ยตอบอย่างมีมารยาท
ซู่หนิงป๋อเหลือบมองเรือนร่างอวบอิ่มของหญิงสาวอายุสิบหกปีและผิวพรรณเนียนชุ่มชื้นราวหยกแวบหนึ่งก็หรี่ตาลงและตะลึงอยู่กับที่ จนกระทั่งประสานกับสายตาของนางจึงพบว่าไม่เหมาะสมและพูดอย่างขัดเขินว่า “อย่างนั้นก็รีบเข้าไปเถอะ”
เสิ่นเจินในใจคิดถึงบิดา ตอนนี้จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ได้ยินคำของผู้อาวุโสแล้วจึงรีบเดินไปทางห้องเอกอย่างเร็ว กระโปรงบนตัวจึงเปลี่ยนรูปไปตามก้าวย่างทำให้เห็นเค้าโครงเรือนร่างอรชรนั้นได้
ซู่หนิงป๋อหันไปชื่นชมเรือนร่างเว้าโค้งได้รูปนั้นแล้วยิ้มออกมา ในใจคิดว่า ช่างเป็นดอกไม้สูงค่าในกลุ่มคนฉางอัน ไม่ใช่คนที่หญิงงามทั่วไปในผิงคังฟางจะเทียบได้เลย
ภายในห้องแสงเทียนไหววูบ มีกลิ่นหอมของยาที่ยากจะบรรยายด้วยคำพูดกระจายไปทั่ว
เสิ่นเจินพลิกเปิดม่าน เพียงแค่มองก็เห็นท่านอาที่ปกติสนิทกับตนเองที่สุด เสิ่นหลัน
อย่ามองเพียงว่าตอนนี้เสิ่นหลันเป็นนายหญิงของจวนป๋อ แต่หากจะพูดถึงฐานะของนางนั่นยังคงเป็นเหมือนเรื่องฆ่าเวลาหลังอาหารของเหล่าชนชั้นสูง เหตุผลไม่มีอย่างอื่น เป็นเพราะเมิ่งซื่อมารดาแท้ๆ ของนาง เป็นเพียงสาวใช้ห้องข้างนางหนึ่งในจวนท่านโหวผู้เฒ่าเท่านั้น
ทุกคนล้วนพูดทอดถอนใจ บุตรสาวของสาวใช้ห้องข้างผู้หนึ่งสามารถก้าวขึ้นมาในตำแหน่งวันนี้ได้ นั่นต้องมีความร้ายกาจเพียงใด
เสิ่นหลันนอนตะแคงอยู่บนเตียง สีหน้าค่อนข้างซีดขาว พอเห็นเสิ่นเจินเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นนั่งพลางเอ่ยว่า “เจินเอ๋อร์ รีบเข้ามาสิ”
เสิ่นเจินเดินเข้าไป เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเบาๆ “ท่านอา”
เสิ่นหลันตบลงข้างกายเป็นสัญญาณให้นางนั่งลง หลังจากสี่ตาประสานกันก็ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปาก พูดเสียงเบาว่า “อาไม่คิดว่าเจ้าจะกลายเป็นคนที่ชีวิตรันทดที่สุด”
คำว่า ‘ชีวิตรันทด’ สำหรับหญิงสูงศักดิ์ที่ตกอับแล้วเป็นคำที่แสลงใจอย่างมาก แต่อาจเป็นเพราะหลายวันนี้ฟังมามากเกินไป ถึงเวลานี้ฟังไปแล้วทำให้นางเกิดเพียงความรู้สึกด้านชา
หลังจากทักทายกันหลายประโยคก็ได้ยินเสิ่นหลันพูดปนสะอื้นขึ้นทันใด
“ครึ่งเดือนก่อนข้าเคยไปศาลต้าหลี่มาครั้งหนึ่ง”
ดวงตาทั้งสองของเสิ่นเจินเบิกโตในทันที
“อาได้ยินว่าท่านพี่ได้รับโทษโบย เดิมคิดว่าจะส่งเงินจำนวนหนึ่งเข้าไป แต่โจวซู่อันตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่คนปัจจุบันเป็นขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้ทั้งยังเป็นคนหัวรั้น เงินที่เอาไป คนเขาไม่รับแม้แต่อีแปะเดียว”
มือของเสิ่นเจินที่วางอยู่บนตักกำแน่น เอ่ยถามเสียงสั่นอย่างทนไม่ไหวว่า “แล้วอาการบาดเจ็บของท่านพ่อ…?”
เสิ่นหลันมองเสิ่นเจินอย่างสงสาร นางถอนหายใจเฮือกหนึ่งและพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ในคุกอากาศเย็น และเจอฤดูหนาวอีก คงยากจะทนรับไหว”
สิ้นเสียงพูด ดวงตาเปล่งประกายกระจ่างใสของเสิ่นเจินคู่นั้นก็มีหยาดน้ำเอ่อมาอย่างห้ามไม่อยู่
ภาพสาวงามหลั่งน้ำตายังคงทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกสงสารได้เป็นพิเศษเสมอ
พูดถึงความงามของเสิ่นเจิน ทุกคนในฉางอันที่เคยเห็นนางส่วนใหญ่ล้วนใช้คำว่า ‘งามล่มเมือง’ มาบรรยาย
รูปโฉมของนางดูไม่ฉูดฉาดบาดตาและเลอเลิศ แต่เป็นดั่งหมอกหนาในหมู่บ้านกลางน้ำเจียงหนานไอหมอกปะทะเข้ามา พร่าเลือนแต่อ่อนโยน ทำให้คนทนไม่ไหวจมลงไปท่ามกลางหมอกนั้น
ขอเพียงนางยิ้มอ่อนหวาน เกรงว่าชายหนุ่มส่วนใหญ่บนโลกนี้คงจะหลงใหลและรักชื่นชมในตัวนาง
หรือจะเป็นตอนนี้ คนงามหลั่งน้ำตาก็ยิ่งดูอ่อนแอน่าทะนุถนอม ต่อให้เป็นชายหนุ่มที่แข็งกร้าวยังต้องใจอ่อน เกิดความรักใคร่สงสารขึ้นมา
เสิ่นหลันมองใบหน้าราวดอกบัวบนน้ำใสนี้แล้วก็แอบทอดถอนใจ ความงามเช่นนี้ ยากจะมีผู้ใดรอดพ้นได้จริงๆ
นางดึงเสิ่นเจินเข้ามาในอ้อมกอดและลูบแผ่นหลังของอีกฝ่ายเบาๆ “เอาล่ะๆ อย่าร้องไห้ให้ตาแดงเลย วันนี้ในเมื่อเจ้ามาหาอา เช่นนั้นในฐานะอาต้องเสนอความคิดให้เจ้าบ้าง”
เสิ่นหลันใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้เสิ่นเจิน จากนั้นก็ย้อนนึกถึงเรื่องในอดีต พูดไปพูดมาขอบตาก็แดงขึ้นมาด้วยเช่นกัน “เจินเอ๋อร์ สกุลเสิ่นหมดอำนาจ ชีวิตของอาในจวนป๋อก็เหมือนเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางต่อให้อยากช่วยเจ้า เกรงว่าคงไม่มีความสามารถ แต่โชคดีที่ฟ้ามีทางออกให้คนเราเสมอ บนโลกนี้ยังมีคนผู้หนึ่งสามารถช่วยเจ้าได้”
เสิ่นเจินแววตากระจ่างใสขึ้นทันใด พูดเสียงเบาว่า “ท่านอาพูดมาได้เลยเจ้าค่ะ”
เสิ่นหลันมองตาของนาง ในใจเกิดความลังเล แต่พอคิดถึงคำเตือนที่เซี่ยเฉิงพูดกับตนจึงจำต้องพูดอย่างใจร้ายว่า “อีกสามวันเถิงอ๋องจะจัดการแข่งขันเตะลูกหนัง ครั้งนี้อาจะพาเจ้าไปด้วย ขอเพียงเจ้าไปขอร้องเขา อารับประกันกับเจ้าได้ว่าวันหน้าเขาต้องคุ้มครองเจ้า ไม่ต้องให้เจ้าลำบากอีก”
ไปขอร้องเถิงอ๋อง?
หลังจากเสิ่นเจินเข้าใจความหมายแฝงนี้แล้วก็รู้สึกว่าเลือดในร่างล้วนพุ่งมาที่ทรวงอกของนาง
เถิงอ๋องอายุสี่สิบกว่าปี ภรรยาอนุภรรยาเป็นฝูง โหดเหี้ยมอำมหิต ไม่ลงรอยกับท่านพ่อมาแต่ไหนแต่ไร หากนางเข้าจวนเถิงอ๋อง เทียบกับการฆ่านางด้วยมือแล้วจะแตกต่างอะไรกัน
เสิ่นหลันมองปลายนิ้วที่สั่นเทาของนาง ดูเหมือนได้ยินความคิดในใจของนางกระนั้น ก่อนจะดึงมือของนางมาพลางพูดเสียงเบาว่า “เจินเอ๋อร์ ขอเพียงเจ้าทนได้ ไปก้มหัวสักหน่อย ทางด้านพ่อเจ้ารวมถึงหนี้ที่สกุลเสิ่นติดค้างย่อมมีคนช่วยจัดการให้ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ เจ้าเป็นเพียงหญิง จะต้านเสือสิงห์หมาป่าในเมืองฉางอันนี้ได้อย่างไรกัน”
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ลมหนาวพัดกระทบประตูหน้าต่างภายในห้องเกิดเสียงเอียดอาดดังบ้างเบาบ้าง
เหมือนกับเสียงเต้นของหัวใจเสิ่นเจินในตอนนี้
เหตุใดท่านอาจึงพูดถึงเถิงอ๋อง นางลองคิดอย่างละเอียดจึงเข้าใจ ตอนนี้สกุลเสิ่นที่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ล้มแล้ว สถานการณ์ของจวนซู่หนิงป๋ออยู่ในช่วงอึดอัดอย่างมาก พวกเขารีบร้อนจะพึ่งพาคนที่มีอำนาจบารมียิ่งกว่าเพื่อมารักษาชื่อเสียงของจวนป๋อเอาไว้
คนอย่างเถิงอ๋องที่เงินทองอำนาจไม่ขาดมือและยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ย่อมเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง
พอคิดถึงตรงนี้เสิ่นเจินก็นึกถึงสายตาที่ซู่หนิงป๋อมองนางเมื่อครู่ สายตาแบบนั้นจะเป็นสายตาของผู้อาวุโสมองเด็กรุ่นหลังได้อย่างไร นั่นเห็นได้ชัดว่าเป็นสายตาของชายผู้หนึ่งที่กำลังประเมินราคาหญิงสาว
ที่แท้นางมีค่าเพียงแค่แสดงความจริงใจในการประจบเถิงอ๋องเท่านั้น
ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่าขอเพียงท่านอาเห็นแก่ความผูกพันแต่เดิม อย่างไรเสียก็จะช่วยเหลือทุกอย่าง แต่ความจริงพิสูจน์ได้ว่าที่พี่ใหญ่เคยกำชับนางไว้ไม่ผิดเลย
คำพูดของผู้อื่นเชื่อไม่ได้แม้แต่คำเดียว
เสิ่นหลันเห็นนางลังเลใจไม่ตอบรับ รู้ว่าหากบีบหนักเกินไปจะทำให้เสียเรื่องได้ง่าย จึงพูดเสียงอ่อนโยนขึ้นว่า “เจ้ายังไม่ต้องให้คำตอบอาในตอนนี้ ถ้ายังคิดไม่ได้ก็กลับไปคิดให้ละเอียดก่อนเถอะ”
ทางด้านนี้ยังพูดไม่ทันจบเสิ่นเจินก็ลุกขึ้นทันที นางหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของท่านอา พูดทีละคำว่า “คำพูดที่ท่านอาพูดเมื่อครู่ เจินเอ๋อร์จะคิดว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน วันนี้หลานมาโดยไม่ได้รับเชิญก็เป็นการรบกวนมากแล้ว ขอท่านอาอภัยด้วย”
พอพูดจบเสิ่นเจินก็หมุนตัวเดินจากไป
หลิวหมัวมัวกำลังจะเดินเข้าไปขวางไว้ เสิ่นหลันก็ส่งสายตาว่า ‘ปล่อยนางไป’ มาให้
ประตูปิดลง หลิวหมัวมัวพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแฝงความหมายลึกซึ้ง “บ่าวคิดว่าคุณหนูสามถูกเลี้ยงดูอย่างสูงศักดิ์มาจนชิน ด้วยนิสัยของนาง ต่อให้เข้าจวนเถิงอ๋องแล้ว วันหน้าอาจจะไม่ยอมให้ฮูหยินใช้งานก็ได้เจ้าค่ะ”
เสิ่นหลันยกมือขึ้นนวดขมับ พูดอย่างเหยียดหยัน “เจ้าคิดว่าหญิงที่หอบพิณผีผาร้องเพลงที่ผิงคังฟางเหล่านั้นล้วนชอบเอาอกเอาใจชายหนุ่มมาแต่เกิดอย่างนั้นหรือ พูดถึงที่สุดแล้วก็ล้วนถูกบีบบังคับทั้งสิ้น บีบถึงขั้นย่อมรู้เองว่าการดิ้นรนตอนใกล้ตายนั้นไร้ประโยชน์ที่สุด”
พูดจบเสิ่นหลันก็หันหน้าไปทอดถอนใจทางนอกหน้าต่าง
หากไม่ใช่เพราะนางหมดหนทาง ใครจะยินดีตกเป็นขี้ปากชาวบ้านว่าแม้แต่หลานของตนเองยังคิดร้ายได้
เสิ่นเจินแม้จะไม่ใช่หลานสายตรงของนาง แต่อย่างไรเสียก็เป็นคนสกุลเสิ่น พอคิดถึงตรงนี้แล้วเสิ่นหลันก็กำหมัดแน่นในทันที
เซี่ยเฉิงเจ้าคนเลวผู้นี้ใจเหี้ยมจอมปลอม ร้ายขึ้นมาไร้ความปรานี หนึ่งเดือนมานี้เขาไม่เพียงยึดอำนาจการดูแลเรือนของนางไป ยังมอบอำนาจทั้งหมดให้กับเซิ่งอี๋เหนียงที่เขารักใคร่ ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งเซี่ยเผิงบุตรชายผู้เดียวของนางไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าอีกด้วย
ที่ว่าภัยพิบัติมาไม่ถึงบุตรสาวที่ออกเรือนเป็นเพียงคำพูดไร้สาระสิ้นดี
หากเสิ่นเจินไม่สามารถได้รับความโปรดปรานจากเถิงอ๋อง ช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งในกรมพิธีการ เช่นนั้นชีวิตของนางกับเผิงเกอเอ๋อร์เกรงว่าคงจะลำบากยิ่งขึ้น
หวังว่าหลานสาวนางผู้นี้จะไม่ดื้อรั้นกำราบยาก ไม่เช่นนั้นจะโทษว่านางลงมือบีบบังคับไม่ได้
เสิ่นหลันพยักหน้าคำนวณเวลา กว่าครึ่งเดือนผ่านไปแล้ว คนของร้านแลกเงินสกุลจินคงจะมาทวงหนี้อีกครั้งแล้วกระมัง
บทที่ 2
วันที่ห้าเดือนสิบ เที่ยงวัน ณ ที่ว่าการนครหลวง
ลู่เยี่ยนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนเอกสารราชการอยู่ ได้ยินเสียงเคาะดังเป็นระลอกมาจากข้างนอก
องครักษ์ผู้หนึ่งนามว่าหยางจงก้าวยาวๆ เข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยรายงาน “ซื่อจื่อข้างนอกมีคนมาขอพบขอรับ”
ลู่เยี่ยนไม่ได้เงยหน้าขึ้น เขียนต่อไปพลางกล่าว “เป็นใคร ถามมาชัดเจนหรือไม่”
หยางจงตอบเสียงเบา “คนที่มาลั่นกลองคือสาวใช้ผู้หนึ่งของสกุลเสิ่น ตามคำพูดของนาง ร้านของคุณหนูสามสกุลเสิ่นที่ตลาดตะวันตกถูกคนพังทำลายขอรับ”
ได้ยินดังนั้นสายตาของลู่เยี่ยนพลันเคร่งเครียด มุมปากเม้มเล็กน้อยก่อนจะวางพู่กันลงแล้วขยับพิงไปด้านหลัง
คนสกุลเสิ่น?
นี่ไม่เท่ากับมีความยุ่งยากมาหาหรือ
หยางจงมองหัวคิ้วที่ขมวดแน่นของซื่อจื่อผู้เป็นนายตนเองแล้วกระซิบพูดว่า “จะให้นางเข้ามาหรือไม่ขอรับ”
“ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรเล่า” นี่คือที่ว่าการนครหลวงไม่ใช่จวนเจิ้นกั๋วกงเขาบอกว่าไม่พบคนก็ไม่ต้องพบได้หรือไร
หยางจงรับคำ ไม่พูดพล่ามอีก รีบวิ่งออกไปทันที
ลู่เยี่ยนใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะ ครุ่นคิดเล็กน้อย
วันนี้ผู้ว่าการเจิ้งไม่อยู่ หลังจากเหล่าเจ้าหน้าที่เรียงแถวแล้วคงต้องให้เขาเป็นคนนั่งตำแหน่ง เรื่องนี้ยุ่งยาก เขาซึ่งหลบเลี่ยงไม่พ้นวางพู่กันลงบนแท่นฝนหมึก หยิบหมวกแพรโปร่งบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเดินไปทางโถงด้านหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เสียงตะโกนเปิดศาลที่น่าเกรงขามดังมาจากสองฟาก
ชิงซีเดินไปถึงกลางศาล งอเข่าสองข้างและคุกเข่าลงบนพื้นทันที
“ขอใต้เท้าช่วยคุณหนูของข้าด้วยเจ้าค่ะ หลงจู๊ของร้านแลกเงินสกุลจินรังแกคนมากเกินไป ยังไม่ครบหนึ่งเดือนจะเก็บดอกเบี้ยถึงหกส่วน” ชิงซีพูดด้วยขอบตาแดงก่ำ
ลู่เยี่ยนไม่ชอบคนร้องไห้โวยวาย และยิ่งไม่ชอบให้มีคนมาร้องไห้โวยวายในศาล
จะพูดไปแล้วเขาย้ายมาที่ที่ว่าการนครหลวงเป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว ตลอดหนึ่งปีนี้ทุกสามวันห้าวันจะมีคนมาร้องขอให้ช่วยเพราะเรื่องหยิบยืมเงิน
แต่ที่นี่คือที่ว่าการนครหลวง ไม่ใช่วัดเจ้าแม่กวนอิน
ที่ว่าการนครหลวงพูดกันด้วยกฎหมาย ช่วยชีวิตใครไม่ได้
ชิงซีมองดูสีหน้าเคร่งขรึมของคนบนเก้าอี้เหนือศาลนั้นแล้วในใจก็เกิดความหวาดกลัว รีบเล่าเรื่องการกระทำเลวร้ายของร้านแลกเงินสกุลจินออกมาหนึ่งรอบ
คนพวกนั้นทำให้พวกนางหวาดกลัว ข่มขู่ บีบให้คุณหนูของนางขายตัว เป็นใครได้ยินคำพูดนี้แล้วคิดว่าต้องมีสายตาของความเห็นใจแน่นอน
มีเพียงลู่เยี่ยนที่ไม่เป็นเช่นนั้น
ภายใต้เนื้อหนังสะอาดหมดจดของคนผู้นี้มักจะห่อหุ้มด้วยอารมณ์ที่ยากจะแยกแยะความยินดีความโกรธได้ราวกับสวมหน้ากากไว้หนึ่งชั้น
บนหน้ากากสง่างามสุภาพ สูงส่งหยิ่งทะนง ทั่วเมืองหลวงต่างคิดว่าซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงผู้นี้เป็นบุรุษสง่าผ่าเผย หญิงสูงศักดิ์ที่รอการแต่งงานอยู่ในเรือนได้ยินชื่อของเขาแล้วไม่มีสักคนที่ไม่หน้าแดงถึงใบหู มีน้อยคนนักที่รู้ว่าภายใต้หน้ากากนี้ เขาเป็นคนที่ดุดันแข็งกร้าวเพียงใด
กับเรื่องมากมายบนโลกนี้ เขาราวกับสามารถมองดูอย่างเย็นชา ไม่สนใจอะไรเลย
ลู่เยี่ยนมองลงไปเบื้องล่างและพูดออกมาทีละคำ “ข้าขอถามเจ้า ก่อนจะยืมเงินได้เขียนหลักฐานลายลักษณ์อักษรหรือไม่”
พอเห็นนางพยักหน้า ลู่เยี่ยนจึงถามอีกว่า “ตามกฎหมายราชวงศ์จิ้น ตอนจัดการข้อขัดแย้งการยืมเงิน สิ่งที่ดูเป็นอันดับแรกก็คือหลักฐานลายลักษณ์อักษร ถ้าหลักฐานประทับตราแล้ว ขอเพียงพวกเขาไม่กระทำการอุกอาจ ทางการก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้องได้”
พอฟังถึงตรงนี้ชิงซีก็นึกถึงคำกำชับของคุณหนูตนเองขึ้นมาทันใด จึงรีบพูดว่า “เช่นนั้นถ้ายังไม่ถึงกำหนดพวกเขาก็มาพังร้านเล่าเจ้าคะ บ่าวเคยเห็นหลักฐานแผ่นนั้น บนหลักฐานเขียนไว้ชัดเจนว่าคืนหนี้วันที่สิบ แต่วันนี้เพิ่งวันที่ห้าเท่านั้น”
คุณหนูสามบอกไว้ว่าขอเพียงยึดเรื่องเวลาไม่ปล่อย กุมความผิดของอีกฝ่ายเอาไว้ให้มั่น เรื่องนี้ทางการต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวแน่นอน
ไม่ผิดไปจากที่คาด ฟังคำพูดนี้จบแล้วสีหน้าของลู่เยี่ยนก็เปลี่ยนเล็กน้อย เขาพูดเสียงเครียดว่า “รู้หรือไม่ว่าการหลอกลวงขุนนางราชสำนักมีจุดจบเช่นใด”
“บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ” ชิงซีรีบเอ่ย
หลังจากเขาใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นพร้อมกับองครักษ์หลายคน เดินตรงออกจากที่ว่าการไปทันที
ตอนที่ลู่เยี่ยนรุดไปถึงตลาดตะวันตก ตรงจุดหนึ่งบนถนนถูกล้อมจนแน่นขนัด เขาดึงเชือกม้าขึ้นสูงอย่างไม่รีบร้อนแล้วพลิกตัวลงจากหลังม้า
ลู่เยี่ยนสวมหมวกขุนนาง สวมเครื่องแบบขุนนางสีม่วงเข้ม ป้ายหยกชั้นดีที่ห้อยอยู่ตรงเอวขยับไหวเบาๆ รัศมีที่แผ่จากร่างดูไม่เข้ากับตลาดแห่งนี้เลย
หยางจงรีบช่วยเปิดทางเส้นหนึ่งให้เขา
ลู่เยี่ยนเดินตรงไปข้างหน้า สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือป้ายขวางเหนือประตูที่โยกแทบจะร่วงลงมา บนนั้นเขียนอักษรตัวใหญ่สามตัวไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ร้านไป่เซียง’
เขาเหลือบมองแวบหนึ่ง แต่ไม่เห็นเงาร่างหญิงสาว เห็นเพียงหลงจู๊ร้านแลกเงินสกุลจินขวางอยู่หน้าประตูร้านค้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
“คุณหนูสามฉลาดมีไหวพริบ สู้ลงชื่อในสัญญาขายตัวนี้ดีกว่า ท่านถ่วงเวลาผ่านวันที่หนึ่งได้ แต่ไม่อาจถ่วงเวลาผ่านวันที่สิบห้าไปได้* วันนี้คนมาก ก่อเรื่องใหญ่โต สุดท้ายแล้วคนที่เสียหน้าก็คือคุณหนูสามเอง”
คนภายในร้านไม่มีความเคลื่อนไหวอยู่นาน หลงจู๊จินจึงพูดเสียงเล็กเสียงน้อยต่อไปว่า “ท่านไม่ลงชื่อก็ได้ ข้าได้ยินว่าสกุลเสิ่นยังมีบุตรชายอีกหนึ่งคนชื่อเสิ่นหงสินะ อายุน้อยไปสักนิด แต่ก็ยังมีประโยชน์ ตอนนี้ในเมืองฉางอันมีคณะละครอยู่ไม่น้อย เอาไว้ให้เด็กเล็กที่ขาดแขนขาดขาหาเงินแทน คุณหนูสามคิดว่าอย่างไร”
หยางจงได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ทนไม่ไหว กระซิบกับลู่เยี่ยนว่า “พวกเราจะช่วยคนหรือไม่ขอรับ”
ลู่เยี่ยนยกมุมปากยิ้ม เอ่ยตอบเสียงเบา “รออีกนิด”
เขาเพียงแค่อยากรู้ คนที่ชาวเมืองทุกคนชื่นชมว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งฉางอันได้รับคำข่มขู่เช่นนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ไม่นานก็มีเสียงสั่นเครือของหญิงสาวดังออกมาจากข้างใน “ไร้เหตุผลสิ้นดี ข้าไม่รู้เลยว่าพวกเจ้าไปเอาตราประทับสกุลเสิ่นของข้ามาจากที่ใด แต่ท่านพ่อข้าไม่เคยยืมเงินก้อนนี้เลย”
จากน้ำเสียงนี้ฟังออกว่านางกำลังพยายามปกปิดอาการสั่นเทาของตนเอง
ได้ยินคำพูดนี้แล้วลู่เยี่ยนก็เลิกหัวคิ้วเล็กน้อย
ดูสิ นี่คือหญิงสูงศักดิ์ที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดีในตระกูลใหญ่
เวลาด่าคน คำว่า ‘ไร้เหตุผลสิ้นดี’ ก็ถือเป็นที่สุดแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาอยู่ในที่ว่าการนครหลวงนานใช่หรือไม่จึงได้เห็นหญิงหยาบคายไร้เหตุผลมามาก เมื่อได้ยินคำพูดแนวอารยะเช่นนี้จึงรู้สึกแปลกใหม่
ที่แตกต่างกับลู่เยี่ยน เสียงอ่อนหวานน่าสงสารของเสิ่นเจินทำให้ชายหนุ่มรอบๆ ไม่น้อยเกิดความสงสารขึ้นมา ทางซ้ายสุดยังมีบัณฑิตยากจนสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายกำหมัดกระแทกเท้าอยู่ข้างๆ หลายครั้งที่อยากจะเอ่ยปาก แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ขอบตาแดงเดินจากไป
วีรบุรุษช่วยสาวงามใครล้วนอยากเป็น แต่ไม่ใช่ใครก็สามารถทำได้
อย่างไรเสียหนี้ที่เสิ่นเจินแบกรับไว้ มีบางคนขายเรือนขายทรัพย์แล้วยังไม่พอคืนเลยด้วยซ้ำ
ทางด้านนี้หลงจู๊จินหัวเราะเย็นชาพลางตะโกนพูดอีกว่า “พวกเราร้านแลกเงินสกุลจิน ที่ผ่านมาจะพูดจาอะไรล้วนมีหลักฐาน หากคุณหนูสามไม่พอใจก็แจ้งทางการได้” พูดจบเขาก็ยกมือขึ้นทำสัญญาณ
พอเห็นสัญญาณมือแล้วชายฉกรรจ์หลายคนข้างหลังเขาก็มองหน้ากัน จากนั้นมีคนหนึ่งถือกระบอง เดินเข้าประตูใหญ่ ตวัดมือลงไปบนขวดกระเบื้องเคลือบที่ใส่ผงหอมไว้เต็มขวดเหล่านั้น
ขวดกระเบื้องเคลือบตกพื้นแตก ผงหอมกระจายทั่วพื้น
เห็นคนก่อเรื่องใหญ่โตแบบนี้ ลู่เยี่ยนที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะเยาะหยันออกมา ชายหนุ่มหลายคนข่มขู่หญิงสาวอายุสิบกว่าปีผู้หนึ่งถือเป็นการกระทำแบบไม่ได้เล่ห์ก็เอาด้วยกลแล้ว
พอสายตาของเขาเหลือบมองมาหยางจงก็เข้าใจความหมายของผู้เป็นนายทันที จึงเดินเข้าไปพูดว่า “หลงจู๊จิน ใต้เท้าของพวกเรามีเรื่องอยากถามสักหน่อย”
เสียงนี้ไม่เบา ทุกคนจึงพากันมองมาทางนี้ทันที
หลงจู๊จินกำลังบ่นในใจว่าขุนนางชั้นผู้น้อยคนใดไม่มีตากล้ามาขัดขวางเรื่องของเขา คิดไม่ถึงว่าพอหันกลับมาก็ตกตะลึงไปทันที
นี่ซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกง? มาได้อย่างไรกัน!
ดวงตาหลุกหลิกของหลงจู๊จินหรี่ลง จากนั้นก็ราวกับเพิ่งสร่างเมา รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันใด “ขอถามใต้เท้าลู่ว่าจะถามอะไรข้าน้อยหรือขอรับ”
ลู่เยี่ยนแววตายากจะคาดเดาได้ ช้อนตาส่งสัญญาณให้คนด้านหลังเขาทีหนึ่งและพูดเสียงเข้มว่า “นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
หลงจู๊จินรีบเดินเข้าไปหา คลี่ใบยืมเงินที่ถืออยู่ในมือมอบให้กับลู่เยี่ยน “ใต้เท้าลู่อย่าเข้าใจผิดนะขอรับ พวกเราล้วนทำตามกฎระเบียบ นี่คือหลักฐานลายลักษณ์อักษร”
ลู่เยี่ยนก้มหน้ากวาดมองวันที่ที่ส่วนท้ายแวบหนึ่งแล้วพูดเหยียดเย็นชา “เวลาที่กำหนดนี้มันอีกห้าวันไม่ใช่หรือ”
ถูกถามเช่นนี้หลงจู๊จินสีหน้านิ่งไปเล็กน้อย แต่ยังยิ้มอย่างคนช่ำชองโลกพลางพูดว่า “เงินจำนวนแปดพันก้วนนี้ ต่อให้รอถึงเดือนหน้าสกุลเสิ่นของพวกเขาก็หามาไม่ได้เช่นกัน เป็นหนี้ช้าเร็วก็ต้องคืน ผลสุดท้ายก็เหมือนกัน”
ลู่เยี่ยนคืนใบยืมเงินใส่มือของอีกฝ่ายพร้อมพูดไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย “อย่างไรก็ต้องทำตามกฎระเบียบ เช่นนั้นเจ้ารออีกห้าวันค่อยมาใหม่เถอะ”
ได้ยินคำพูดนี้แล้วหลงจู๊จินก็สะอึกไป เขาจับทางไม่ถูกจริงๆ ว่าซื่อจื่อสูงศักดิ์งามสง่าผู้นี้มีจุดประสงค์อะไร ต้องการปกป้องคุณหนูสามหรือว่าทำงานตามหน้าที่?
แต่เขาจะถามออกมาได้หรือ
ไม่ใช่เพราะหลงจู๊จินไม่เคยพบคนสูงศักดิ์มาก่อนจึงหวาดหวั่น แต่เพราะคนตรงหน้าผู้นี้เขาล่วงเกินไม่ไหวจริงๆ
หากเป็นเพียงรองผู้ว่าการนครหลวงขุนนางลำดับรองขั้นสี่ เช่นนั้นเขายังพอรับมือได้
แต่ลู่เยี่ยนไม่เพียงเป็นรองผู้ว่าการนครหลวง ยังเป็นซื่อจื่อของจวนเจิ้นกั๋วกง แล้วยังเป็นโอรสองค์เดียวขององค์หญิงใหญ่จิ้งอันอีกด้วย ฐานะหลายอย่างนี้รวมกัน ต่อให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่ที่นี่คิดว่ายังต้องให้ความเกรงใจเช่นกัน
หลังจากลังเลใจอยู่พักหนึ่งหลงจู๊จินก็เรียกคนติดตามหลายคนนั้นกลับมาและพูดอย่างเคืองขุ่นว่า “กลับเถอะ”
ใครจะคาดว่าคนเหล่านี้เพิ่งก้าวเท้า หยางจงก็เข้าขวางทางพวกเขาทันที “หลงจู๊ ทำลายร้านค้าของผู้อื่นโดยไร้สาเหตุ จะจากไปแบบนี้ไม่ค่อยดีกระมัง”
หลงจู๊จินหันไปมองลู่เยี่ยน เม้มปากไม่พูดจา
ข่าวของร้านแลกเงินสกุลจินแม่นยำเสมอมา ตามที่เขารู้ ระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงกับจวนอวิ๋นหยางโหว ทั้งไม่เป็นญาติและไม่ใช่สหาย เรียกได้ว่าไม่มีการติดต่อกันแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายก็ไม่ควรถึงขั้นจงใจสร้างความลำบากใจให้เขาแบบนี้จึงจะถูก
ลู่เยี่ยนมองออกถึงความคิดในใจของหลงจู๊จินจึงพูดตามตรงว่า “เอาของเข้าที่เดิม ห้าวันให้หลังข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีก”
หลงจู๊จินเหลือบมองไปรอบด้าน แอบบีบแหวนน้าวบนนิ้วไว้แน่น
หากเป็นเมื่อครู่เขายังจับทางไม่ถูกว่าซื่อจื่อผู้นี้มีความคิดอะไร แต่ตอนนี้เห็นสาวใช้ข้างกายลู่เยี่ยนที่ถลึงตาจ้องเขาอยู่ก็เข้าใจเรื่องราวทันที
ที่แท้หญิงสาวในร้านไม่อยู่สุข ส่งคนไปแจ้งทางการแล้ว
เมื่อรู้สาเหตุหลงจู๊จินก็ไม่พูดไกล่เกลี่ยอีก รีบหมุนตัวไปจัดการเรื่องที่เหลือ ที่ควรชดใช้ก็ชดใช้ ที่ควรซ่อมก็ซ่อม อย่างไรเสียนายของเขาก็มีคำพูดไว้แล้วว่า ‘สิ่งสำคัญไม่ใช่เงิน แต่เป็นคนที่อยู่ข้างใน’
เมื่อเป็นเช่นนี้ ห้าวันให้หลังค่อยมาอีกครั้งก็แล้วกัน
ได้ยินเสียงด่าเจ็บแค้นของหลงจู๊จิน เสิ่นเจินก็รู้ว่าแผนการถ่วงเวลาของตนเองสัมฤทธิผลแล้ว นางก้มหน้าเช็ดคราบเลือดบนหลังมือที่ถูกขวดกระเบื้องเคลือบบาดแล้วค่อยลุกขึ้นช้าๆ
เสียงซุบซิบข้างนอกกำลังดังอยู่ก็เห็นหญิงสาวงดงามผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
ผมยาวของนางสยายอยู่ด้านหลัง ท่วงท่ากิริยาสง่างามเยื้องย่างไปทางลู่เยี่ยน ดวงตามีม่านน้ำคู่นั้นซ่อนความงามเอาไว้ แต่ด้วยท่าทีตกระกำลำบากนี้เพิ่มความงามที่ไม่ธรรมดาให้นางส่วนหนึ่งได้พอดี
ในกลุ่มคนมีเสียงกระซิบชื่นชมดังออกมาหลายเสียง
“ที่บอกว่าเทพธิดาลั่วเสินบนโลกมนุษย์ก็คงมีหน้าตาแบบนี้กระมัง”
ได้ยินคำชื่นชมความงามเกินจริงนี้แล้วลู่เยี่ยนก็ยกมุมปากเหยียดเล็กน้อย ช้อนตาขึ้นอย่างไม่สนใจนัก
ตอนที่สี่ตาประสานกัน หัวใจของเขาก็รู้สึกเคร่งเครียด
จากนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนทรวงอกราวกับถูกกระบี่คมแทงทะลุ ความเจ็บปวดถึงขั้วหัวใจราวคลื่นน้ำถาโถมเข้าใส่เขา
ภาพตรงหน้าดำมืด ราวกับตกลงกลางทะเลลึกที่ไร้ขอบเขต หลังจากภาพดำจางไปเขาก็มองเห็นภาพความงามหอมหวานรัญจวนใจ
หญิงสาวนางหนึ่งนอนเปลือยกายอยู่ในอ้อมกอดของเขา
ดวงตาของนางช่างงดงามและกระจ่างสุกใส ในช่วงที่ปวดหัวแทบแตกก็ได้ยินริมฝีปากแดงขยับเปิดปิดเรียกชื่อตอนเด็กของเขา “สือเยี่ยน ลู่สือเยี่ยน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ต.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.