บทที่หนึ่ง
‘โต้วปั้น ’
กลุ่ม ‘สายเม้าท์มาแล้วจ้า’
‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’
ผู้เขียน เจสสิก้า (เรื่องรัก)
เหมือนในหัวข้อกระทู้เลย จริงๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าของกระทู้หลงตัวเองไปหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าคุณหมอกำลังแอบชอบเจ้าของกระทู้อยู่นิดๆ
เจ้าของกระทู้ขอเรียกคุณหมอว่า ฉ. แล้วกันนะ
ฉ. เป็นคนตัวสูงมาก เจ้าของกระทู้สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเอ็ดเซ็นต์ แต่เวลาจะมองหน้า ฉ. ก็ยังต้องเงยหน้าขึ้น ฉ. เป็นคนผอม ผิวขาว และดูเด็กกว่าอายุด้วย เขาดูเป็นพวกเด็กเรียนมากๆ แบบว่ามีออร่าของคนเก่ง ในความรู้สึกของเจ้าของกระทู้ ฉ. แอบมีมุมน่ารักๆ อยู่นะ ปกติแล้วคนเป็นหมอมักจะมีท่าทางนิ่งๆ ใช่ไหมล่ะ เจ้าของกระทู้เองก็คิดว่า ฉ. ก็น่าจะต้องเป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่า ฉ. กลับเป็นกันเองมากๆ
ปกติแล้วเจ้าของกระทู้ก็จัดว่ารูปร่างหน้าตาดีอยู่นิดหน่อย ถ้ายิ่งแต่งตัวก็จะยิ่งดูดีขึ้นอีก แต่ตอนนี้เจ้าของกระทู้กำลังบาดเจ็บเลยโทรมมากๆ รู้ตัวเลยว่าช่วงที่อยู่โรงพยาบาลนี่ต้องไม่สวยแน่นอน ส่วน ฉ. ในมุมของเจ้าของกระทู้นะ เขาเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ดีมากๆ ยิ่งตอนสวมเสื้อกาวน์ด้วยเนี่ยยิ่งดีมากขึ้นไปอีก เจ้าของกระทู้น่ะใส่ใจกับการแต่งตัวของผู้ชายนะ อิๆ
เรื่องราวทั้งหมดนี้มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนนั้นเจ้าของกระทู้เกิดอุบัติเหตุรถล้มจนขาหัก…
ลู่จยากำลังกินขนมที่เฉิงอี้เหิงซื้อไว้ให้พลางใช้นิ้วสามนิ้วบังคับเม้าส์ เธอกำลังดูการแข่งรถเอฟวันพร้อมๆ กับอ่านกระทู้ในโต้วปั้น การแข่งขันดำเนินไปอย่างดุเดือดและกำลังเข้าสู่จุดพีค รถของสองนักแข่งที่มีโอกาสจะได้แชมป์ขับตีคู่กันมาจนเกือบจะชนกันแล้ว ทำให้ผู้ชมพากันส่งเสียงกรีดร้องออกมา
นักแข่งทั้งสองคนกำลังขับเคี่ยวกัน หากมีใครคนใดพลาดพลั้งก็หมายความว่าจะต้องพ่ายแพ้ไปทันที ทว่าในเวลาสำคัญแบบนี้กลับมีรถแข่งอีกคันที่อยู่ด้านข้างๆ เกิดลื่นไถลมาชนเข้ากับหนึ่งในรถของนักแข่งที่ขับตีคู่กันมาในทีแรก ส่งผลให้รถอีกคันแซงไปได้ในเสี้ยววินาที เสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง และแล้วการแข่งขันก็สิ้นสุดลงท่ามกลางเสียงกรีดร้องของแฟนๆ
ลู่จยาปิดหน้าต่างการแข่งขันรถลง เธอยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วเปิดหน้ากระทู้ในกลุ่มโต้วปั้นขึ้นมาอีกครั้ง
กระทู้ ‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ ในกลุ่ม ‘สายเม้าท์มาแล้วจ้า’ มีคนมาแสดงความคิดเกินกว่าร้อยหน้า
‘ว้าว! บทรักสุดคลาสสิกเริ่มต้นแล้ว ฉันได้กลิ่นอะไรหวานๆ นะ เจ้าของกระทู้โรยน้ำตาลอีกหน่อยสิ’
‘ช่วงนี้เหมือนจะกำลังนิยมผู้ชายไทป์หมาป่าน้อยกับลูกหมาน้อยกัน แต่มีแค่ฉันคนเดียวหรือเปล่าที่ไม่รู้ว่าหมาป่าน้อยกับลูกหมาน้อยนั่นหมายถึงอะไรอ่ะ’
‘ทำไมเจ้าของกระทู้ขาหักแล้วยังเดินไปชนต้นดอกท้อได้อีกล่ะ! ฉันเนี่ย! ขายังดีอยู่แท้ๆ แต่กลับไม่มีปัญญาเดินไปชนอะไรเหมือนเจ้าของกระทู้สักอย่าง’
‘ฉ. อายุน้อยกว่าเจ้าของกระทู้กี่ปีน่ะ’
‘เจ้าของกระทู้ตอบกลับ : ถามว่า ฉ. อายุน้อยกว่าเจ้าของกระทู้กี่ปีเหรอ อืม…น่าจะสักสามสี่ปีมั้ง ฉ. ดูเด็กกว่าอายุมาก แล้วก็เจ้าของกระทู้บังเอิญแอบไปเห็นใบตรวจสุขภาพของ ฉ. มา ดูเหมือนเขาจะสูงร้อยแปดสิบหกจุดห้าเซ็นต์แน่ะ’
‘เขียนออกมาได้ขนาดนี้ เจ้าของกระทู้ต้องเป็นนักเขียนแน่ๆ’
‘คนสมัยนี้คิดเยอะจัง มีคนมาเขียนกระทู้อะไรสักอย่างก็หาว่าเขาเป็นนักเขียนซะหมด แล้วต่อให้เขาเป็นนักเขียนจริงก็เขียนให้อ่านกันฟรีๆ ป่ะ จะโวยวายอะไร’
เมื่อครึ่งเดือนก่อน ลู่จยา นักแข่งมอเตอร์ไซค์สาวเกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ล้มทำให้ขาหัก คุณหมอผู้รับผิดชอบเคสของเธอได้แจ้งว่าสภาพร่างกายของลู่จยาไม่เหมาะจะทำการผ่าตัด และพวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัดจึงเสนอให้เธอตัดขาทิ้ง ในสถานการณ์เช่นนี้ เฉิงอี้เหิงที่เป็นหมอกระดูกจึงต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและรับแรงกดดันมหาศาลเพื่อทำการผ่าตัดกระดูกให้เธอ
ตอนนี้ลู่จยาวางขาข้างที่เข้าเฝือกไว้บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ของเฉิงอี้เหิง เล่นอินเตอร์เน็ตด้วยท่าทางสุดประหลาด เฉิงอี้เหิงยกแก้วนมเข้ามาให้หญิงสาว พอเห็นท่าทางแบบนั้นเข้าก็หลุดปากทักออกไป
“คุณวางขาแบบนั้นไม่เมื่อยขาหรือไง เอ้า! ดื่มนมสักหน่อย แล้วก็อย่ากินขนมเยอะนักสิ คุณเป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์นะ ต้องรักษาหุ่นด้วยไม่ใช่เหรอ”
ลู่จยาไม่ยอมละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซ้ำยังไม่ใส่ใจเฉิงอี้เหิงที่เดินเข้ามาด้วย ทำให้เขาไม่พอใจที่ถูกเมินจึงพยายามดึงความสนใจของเธอด้วยการเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามขึ้น
“คุณดูอะไรอยู่เหรอถึงได้ยิ้มมีความสุขขนาดนี้”
ลู่จยาตกใจจนเกือบจะตกจากเก้าอี้ เฉิงอี้เหิงจึงรีบเข้าไปพยุงเอาไว้ หญิงสาวหันขวับไปมองเฉิงอี้เหิงทันที เธอกลัวว่าความคิดในหัวของตัวเองจะหลุดลอดออกมาให้เขารู้ เพราะไม่คิดว่าเฉิงอี้เหิงจะเอาแก้วนมมาวางไว้ให้เธอตรงหน้าคอมพิวเตอร์ แล้วเขายังยื่นหน้าเข้ามาหาอีกทำให้ลู่จยาร้อนรนอยากจะปิดหน้าจอ
ทว่าขาที่เข้าเฝือกยังวางพาดอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ จะเอาขาลงจากโต๊ะตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว และจะปิดหน้าจอก็ไม่ทันเหมือนกัน เธอจึงตัดสินใจพุ่งตัวเข้าไปพร้อมกางแขนออกเพื่อบังหน้าจอคอมพิวเตอร์ไว้ ด้วยความที่โต๊ะคอมพิวเตอร์นั้นไม่ได้ใหญ่อะไรนัก พอมาเจอกับการออกท่าทางเกินกว่าเหตุของลู่จยาจึงทำให้แก้วนมล้มคว่ำ นมก็หกกระจายเต็มโต๊ะ และมีบางส่วนไหลลงมาเปรอะตัวของลู่จยา
“แม่เจ้า!” ทั้งสองคนอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
สิ่งแรกที่เฉิงอี้เหิงทำคือดึงกระดาษทิชชูออกมาช่วยเช็ดนมที่เลอะเสื้อผ้าของลู่จยา ส่วนเธอยังกอดจอคอมพิวเตอร์ไว้แน่น ราวกับแม่ไก่กำลังปกป้องลูกจากหมาป่าที่จะเข้ามาทำร้ายอย่างไรอย่างนั้น
เฉิงอี้เหิงช่วยเช็ดนมที่เลอะเสื้อผ้าของลู่จยาจนเสร็จ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้ คุณต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ”
ลู่จยาไม่ได้ฟังว่าเฉิงอี้เหิงกำลังพูดอะไรเพราะใจยังคงจดจ่ออยู่กับจอคอมพิวเตอร์ที่ตัวเองกอดเอาไว้ เฉิงอี้เหิงเห็นอย่างนั้นจึงถามออกไปด้วยความงุนงง “ในคอมพิวเตอร์มันมีอะไรที่คนอื่นเห็นไม่ได้หรือไง”
ลู่จยายู่ปากแล้วส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่มีอะไร”
“แล้วทำไมถึงให้ผมดูไม่ได้ล่ะ” เฉิงอี้เหิงซักไซ้ต่อ
“ให้ดูก็ได้” ลู่จยาหมุนหน้าจอคอมพิวเตอร์มาทางตัวเอง จากนั้นก็กดอะไรอยู่สองสามที ก่อนจะหันหน้าจอกลับไปทางเฉิงอี้เหิง เธอกดเปิดคลิปการแข่งรถเอฟวันแล้วเริ่มเล่าเรื่องการแข่งกับชอตที่เด็ดที่สุดในการแข่งครั้งนี้ให้เขาฟังว่า รถคันหนึ่งสะบัดรถคู่แข่งออกไปได้ยังไง แถมยังมีอยู่ตั้งหลายครั้งที่รถคันนั้นเกือบจะไปชนท้ายรถของคนอื่น แต่กลับสามารถหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วราวกับว่านักแข่งกำลังแสดงมายากล
ทว่าหากการแสดงมายากลนั้นเกิดความผิดพลาด พวกเขาก็อาจจะต้องจ่ายด้วยชีวิต
ในเวลาเพียงไม่นาน เฉิงอี้เหิงก็ถูกการแข่งรถเอฟวันดึงความสนใจจนเขาลืมไปว่าจะถามอะไรลู่จยา
การแข่งขันนั้นดุเดือดเร้าใจจนเฉิงอี้เหิงเผลอกำมือแน่นขณะดู
“ดูการแข่งรถนี่ยังไงก็ต้องเห็นฉากน่าหวาดเสียวและอันตรายจริงๆ สินะ” เขาพึมพำกับตัวเองหลังจากการแข่งขันจบลง
ลู่จยาส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ และพยายามฉีกยิ้มออกมา “เอาล่ะๆ คุณก็ดูจบแล้ว ทีนี้ช่วยออกไปก่อนได้ไหม ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ”
“อ้อ” เฉิงอี้เหิงเตรียมตัวเดินออกจากห้องไปอย่างว่าง่าย
ลู่จยาถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอกดปิดหน้าจอการแข่งรถเอฟวัน ทว่าเฉิงอี้เหิงดันเหลือบตาไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยไม่ตั้งใจจึงเห็นว่าหน้าเว็บไซต์ที่ยังไม่ได้ถูกปิดนั้นคือหน้ากระทู้ในโต้วปั้นซึ่งมีหัวข้อเขียนเป็นตัวหนาว่า ‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’
เฉิงอี้เหิงยิ้ม ในที่สุดเขาก็ได้รู้สักทีว่าลู่จยาปิดบังอะไรไว้ จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้องแล้วปิดประตู
หลังทำความสะอาดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลู่จยาก็กลับมานั่งยกขาพาดโต๊ะคอมพิวเตอร์อีกครั้ง จากนั้นเธอจึงกดแก้ไขกระทู้
‘อัพเดต วันที่สิบเอ็ดมกราคม — ออร่ากระจาย
ตอนเจ้าของกระทู้กินขนมที่ ฉ. ซื้อมาให้ ระหว่างเตรียมตัวจะอัพเดตกระทู้ก็ปรากฏว่า ฉ. ถือแก้วนมเข้ามาในห้อง เขาเกือบจะเห็นกระทู้แล้ว! ยังดีนะที่เจ้าของกระทู้ฉลาดเลยปิดหน้าจอไว้ทันพอดี ทว่าผลคือเจ้าของกระทู้ทำแก้วนมหก แต่ว่า ฉ. ก็รีบดึงกระดาษทิชชูมาช่วยเช็ดนมที่หกเลอะตัวเจ้าของกระทู้ด้วย ตอนที่เขาเช็ดหน้าให้เจ้าของกระทู้นะ…แววตาที่แสนจะอบอุ่นของเขานั่น…เจ้าของกระทู้เกือบจะสติหลุดไปแล้ว’
ลู่จยาเรียบเรียงข้อความเสร็จเรียบร้อยจึงกดส่งออกไป หลังจากนั้นก็มีคนเข้าแสดงความคิดเห็นใหม่ทันที
‘อยู่ๆ ก็หวานขึ้นมาเลย แบบนี้แสดงว่าเจ้าของกระทู้กับ ฉ. อยู่ด้วยกันใช่ไหม’
‘ฉันก็อยากขาหักบ้าง! ส่ง ฉ. มาให้ฉันบ้างได้ไหม!’
ลู่จยากินขนมห่อสุดท้ายด้วยความอิ่มเอิบใจ เธอเลือกตอบกลับบางความคิดเห็นที่รู้สึกว่าน่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือความคิดเห็นที่ถามว่า…
‘เจ้าของกระทู้ช่วยเล่ารายละเอียดตอนที่ได้พบกับ ฉ. ให้ฟังหน่อยได้ไหม ฉันอยากรู้รายละเอียดอ่ะ (แววตาเว้าวอน)’
ถ้าจะให้พูดถึงสาเหตุที่ทำให้ลู่จยากับเฉิงอี้เหิงได้พบกัน ยังไงก็ต้องพูดถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เรื่องราวทั้งหมดเป็นแบบนี้…
ในกลางดึกของคืนหนึ่งเมื่อครึ่งเดือนก่อน ลู่จยานักแข่งมอเตอร์ไซค์สาวมืออาชีพกำลังเตรียมตัวจะเข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์หญิงทางเรียบชิงแชมป์เอเชียรอบชิงชนะเลิศ ทว่าก่อนการแข่งขันหนึ่งวันเธอกลับได้รับคำเชิญจากฮว่าถิงซึ่งเป็นนักแข่งอีกคนให้มาร่วมซ้อมแข่งกันนอกรอบ
ตอนแรกลู่จยาคิดจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายทนการรบเร้าของฮว่าถิงไม่ไหวจึงตอบตกลงไป ทั้งคู่ใช้ความเร็วสูงมากในการซ้อม และตอนที่แข่งกันอยู่นั้นเอง รถของลู่จยาก็ไปชนเข้ากับสิ่งกีดขวาง เมื่อลู่จยาฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว เธอได้กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ เห็นขาขวาถูกแขวนเอาไว้ ภายในห้องพักผู้ป่วยนั้นนอกจากเธอแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก
ในเวลานั้นลู่จยายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอจำได้แค่เพียงรางๆ ว่าตัวเองขี่รถชนเข้ากับสิ่งกีดขวางจนตัวลอยออกจากรถ ส่วนรถมอเตอร์ไซค์นั้นไถลไปไกล และยังไม่ทันจะได้โทรแจ้งตำรวจเธอก็หมดสติไปเสียก่อน
สาเหตุที่ทำให้รถลื่นไถลจนไปชนสิ่งกีดขวางก็เพราะหลังขี่รถออกไปได้ไม่นาน จู่ๆ สภาพอากาศก็แย่ลงอย่างกะทันหัน ท้องฟ้าจากที่เคยเปิดโล่งจนเห็นแสงจันทร์ก็กลับมีหมอกหนาทึบ ลมพัดแรง แล้วไม่นานฝนก็เทกระหน่ำลงมา ในความทรงจำของลู่จยา เมือง อ. ไม่มีฝนตกหนักขนาดนี้มานานแล้ว ทว่าคืนนั้นท้องฟ้าราวกับมีรูรั่ว ฝนจึงเทลงมาอย่างหนัก
ลู่จยาลุกขึ้นนั่งหลังจากนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยมานาน เธอนวดบริเวณท้ายทอยของตัวเองตรงจุดที่ยังรู้สึกว่าเจ็บมาก หลังจากนั้นสักพักก็มีนางพยาบาลเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นว่าลู่จยาฟื้นแล้วนางพยาบาลจึงตรวจเช็กการตอบสนองด้วยการเปิดเปลือกตาของเธอออกดู ก่อนจะตรวจอาการทั่วๆ ไป นางพยาบาลบีบๆ เคาะๆ ที่ขาของลู่จยา สุดท้ายจึงหยิบปากกาออกมาขีดๆ เขียนๆ อะไรอยู่สักพักแล้วเงยหน้าขึ้นถามว่า ‘คุณฟื้นแล้วยังรู้สึกว่าเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า’
ลู่จยามองขาตัวเองที่ถูกพันไว้ราวกับมัมมี่แล้วลองมันขยับเล็กน้อย ทันใดนั้น ความเจ็บแปลบก็ไหลบ่าเข้ามาราวกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปทั่วทั้งร่างกาย ทำให้เธอส่งเสียงร้องออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่จนโดนนางพยาบาลดุ
‘ฉันบอกให้คุณขยับหรือไง! ยังอยากจะเก็บขาเอาไว้ไหม พวกเด็กแว้นนี่จริงๆ เลย คนนึงตาย อีกคนขาหัก แล้วยังจะคิดว่าไม่เป็นอะไรอีก’
ลู่จยาไม่ได้สนใจคำว่า ‘พวกเด็กแว้น’ ที่บาดหูนั่น แต่ร้องถามออกไปว่า ‘คุณว่าอะไรนะคะ! ใครตาย?!’
‘ก็ผู้หญิงคนนั้นที่แว้นกับคุณไงล่ะ เธอถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลแล้วแต่ช่วยชีวิตไว้ไม่ทัน’
ลู่จยายกมือขึ้นกุมขมับ คิดในใจ พยาบาลบอกว่าฮว่าถิงตายแล้วงั้นหรือ
มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ก็ตอนที่เธอชนเข้ากับสิ่งกีดขวางจนตัวลอยออกไปยังเห็นชัดๆ ว่ารถของฮว่าถิงชะลอความเร็วลงแล้ว เธอยังคิดว่าฮว่าถิงเป็นคนส่งตัวเธอมาที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำ
‘นี่คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า’ ลู่จยาร้องถาม
นางพยาบาลเอ่ยขึ้นเพื่อตัดรำคาญ ‘ถ้างั้นคุณไปดูที่ห้องดับจิตเอาเองแล้วกัน’ พูดจบหล่อนก็เดินออกไปจากห้องพักคนไข้ทันที
ลู่จยาพยายามดันตัวขึ้นจากเตียง เธอคิดจะตามไปถามนางพยาบาลให้รู้เรื่อง แต่นางพยาบาลคนนั้นก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เห็นเพียงคุณหมอหนุ่มสวมเสื้อกาวน์เดินเข้ามาในห้อง บนหน้าอกของเขามีป้ายตัวอักษรแบบซ่งถี่สีน้ำเงินติดอยู่ เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘แผนกกระดูก : เฉิงอี้เหิง’
คุณหมอเฉิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าลู่จยามีดวงตาแดงๆ คล้ายว่าเขาเพิ่งจะร้องไห้มา อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะอดนอนมาหลายวันแล้วด้วย ชายหนุ่มมีท่าทางไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่นัก แต่ว่าออร่าของคนหล่อยังไงก็ปิดไม่มิด โดยเฉพาะความสูงของเขาที่ทำให้เธอต้องเงยหน้ามอง
สายตาของลู่จยาหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของคุณหมอหนุ่มและไม่ยอมย้ายสายตาไปไหน ดวงตาแดงๆ กับจมูกโด่งๆ นั่นทำให้เขาดูเหมือนตุ๊กตาหิมะในฤดูหนาว เธอรู้สึกว่าคนคนนี้ถึงแม้จะรูปหล่อ แต่ก็ยังให้ความรู้สึกว่าเป็นคนทึ่มๆ ด้วย
นี่คือความรู้สึกของลู่จยาหลังจากได้พบเฉิงอี้เหิงครั้งแรก
คุณหมอเฉิงอธิบายกับลู่จยาอย่างรวบรัดว่า ‘ถ้าตัดขา ต่อไปคุณจะไม่สามารถขี่มอเตอร์ไซค์ได้อีก’ อธิบายจบเขาก็พูดต่อ ‘มีตำรวจรออยู่ด้านนอกมาหลายวัน ตอนนี้คุณฟื้นแล้ว จะให้ผมเรียกเขาเข้ามาไหมครับ’
ลู่จยาคิดในใจ นี่ฉันหลับไปหลายวันเลยหรือนี่
ยังไม่ทันที่เธอจะตอบอะไรออกไปก็ได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากทางด้านนอก ดูเหมือนว่าจะมีคนมากมายกำลังยืนออกันอยู่ด้านหน้าประตูห้องพักคนไข้ ลู่จยามองประตูห้องพักที่ถูกผลักเข้ามาอย่างแรงจนมันล้มตึง หลังจากเสียงนั้นดังขึ้น คนกลุ่มใหญ่ก็ไหลทะลักเข้ามาในห้องราวกับกำลังเบียดกันเข้ามาในขบวนรถไฟใต้ดิน
คนกลุ่มนี้ถือไมโครโฟนกับกล้องเดินเหยียบประตูห้องพักเข้ามาด้านใน คนสุดท้ายของกลุ่มคือตำรวจที่อยู่ในเครื่องแบบ บรรดานักข่าวยืนชิดติดกันโดยไม่สนใจเสียงร้องของตำรวจที่พยายามห้ามปรามพวกเขา แสงแฟลชส่องกระทบใบหน้าของลู่จยาไม่หยุด กล้องของนักข่าวเกือบจะแปะอยู่บนหน้าของเธอแล้วด้วยซ้ำ
‘ตำรวจมาที่นี่ทำไมกัน! คิดว่ามาเที่ยวสวนสัตว์หรือไง!!’ ลู่จยาตะโกนออกไป
ตำรวจซึ่งโดนเบียดไปมาจนมึนงงถึงคิดขึ้นได้ว่า ตนจะต้องห้ามปรามบรรดานักข่าวที่ต้องการทำข่าวอย่างบ้าคลั่ง ตำรวจหนุ่มผู้ไม่รู้จะทำอย่างไรดีได้แต่กอดเอวของนักข่าวที่เข้าไปประชิดตัวลู่จยาไว้แล้วใช้แรงดึงออกมา นักข่าวที่ถูกตำรวจกอดตัวไว้ก็ไม่ยอมแพ้ เขายกไมโครโฟนขึ้นสูงพร้อมกับตะโกนถาม
‘ลู่จยา! ในฐานะที่คุณเป็นนักแข่งรถมืออาชีพ คุณเองก็น่าจะทราบถึงอันตรายในการแข่งรถกันเองแบบนั้น คุณมีอะไรอยากจะพูดเกี่ยวกับคุณฮว่าถิงที่เสียชีวิตในการแข่งครั้งนี้ไหมครับ’
สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของลู่จยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในสมองมีแต่คำถามว่า ‘ฮว่าถิงตายจริงหรือเปล่า’ ความคิดนั้นแวบผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ลู่จยาผลักกล้องที่จ่ออยู่แทบจะติดใบหน้าของเธอออก
‘อย่างแรก! นั่นไม่ใช่การแข่งรถ พวกเราแค่นัดกันไปซ้อมเท่านั้น อย่างที่สอง! สำหรับเรื่องของฮว่าถิง ฉันรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง คุณยังต้องการถามอะไรอีกไหม?!’
พวกนักข่าวยังคงคาดคั้นเธอไม่หยุด ด้านลู่จยาเองก็ไม่ได้อ่อนข้อให้
‘แล้วคุณคิดว่าตัวเองจะต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของคุณฮว่าถิงไหมครับ ตอนนี้คุณสองคนถือเป็นผู้เข้าแข่งขันที่น่าจับตามองที่สุดในการแข่งมอเตอร์ไซค์หญิงทางเรียบชิงแชมป์เอเชียรอบชิงชนะเลิศ แต่คุณฮว่าถิงเสียชีวิตไปแล้ว แบบนี้ก็หมายความว่าคุณอาจจะได้ครองทั้งตำแหน่งแชมป์ ทั้งฉายา ‘ควีนออฟเดวิล’ ไปโดยปริยายเลย ถูกต้องไหมครับ’
‘ควีนออฟเดวิล’ คือฉายาของฮว่าถิง
ฮว่าถิงเป็นแชมป์ในการแข่งขันมอเตอร์ไซค์นานาชาติอยู่หลายครั้งตั้งแต่อายุยังน้อย ถือได้ว่าเป็นดาวดวงใหม่ในวงการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ที่กำลังเจิดจรัส เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะต้องมามีจุดจบเช่นนี้
ลู่จยากับฮว่าถิงเป็นนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์ที่มีผลงานใกล้เคียงกัน ถือได้ว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ที่กำลังมาแรง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้นับว่าเป็นช่วงขาขึ้นของลู่จยา ทั้งยังมีแนวโน้มจะแซงนำหน้าฮว่าถิงได้อีกด้วย ก่อนหน้านี้ลู่จยาและฮว่าถิงได้เข้าร่วมการแข่งเดียวกันอยู่หลายครั้ง ซึ่งจากสถิติการแพ้ชนะของทั้งสองคนนั้น ลู่จยาออกจะเหนือกว่าฮว่าถิงอยู่เล็กน้อย ทำให้การแข่งขันในทัวร์นาเมนต์นี้จึงเป็นที่น่าจับตามองอย่างมากว่า ลู่จยาจะสามารถเลื่อนอันดับทิ้งห่างจากฮว่าถิงได้หรือไม่ หรือจะเป็นฮว่าถิงที่สามารถรักษาอันดับเดิมของตัวเองไว้ได้ ถือได้ว่านี่คือการแข่งที่สำคัญมากสำหรับทั้งคู่
ทว่าในช่วงเวลาสำคัญขนาดนี้ เหตุใดทั้งคู่ยังนัดกันออกไปซ้อมตามลำพังอีก นั่นทำให้ผู้คนคิดกันไปต่างๆ นานา
ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะลู่จยาปฏิเสธคนไม่ค่อยเป็นนั่นเอง จึงทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ขึ้น
ดังนั้นในการเผชิญหน้ากับนักข่าวที่กำลังพยายามสอบสวนเธออยู่นี้ ลู่จยาจึงได้แต่นั่งนิ่งไม่ตอบคำถามใดๆ อีก เธอมองไปที่ตำรวจเพียงคนเดียวซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นแล้วถามออกไป ‘ฮว่าถิงตายแล้วจริงๆ เหรอ’
ชั่วขณะนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ตำรวจที่พยายามจะกอดขานักข่าวเพื่อหยุดไม่ให้นักข่าวถ่ายวิดีโอชะงักไปจนกระทั่งเห็นสายตาที่ทั้งเย็นชาและกดดันของลู่จยาจึงมีสติอีกครั้ง เขาพยักหน้ารับ
‘จริงครับ รถของคุณฮว่าถิงพุ่งชนกับรั้วกั้นทางด้วยความเร็วสูง ทำให้ทั้งคนและรถตกลงไปในหน้าผา หลังจากนั้นถึงมีคนขับรถผ่านมาพบว่าคุณหมดสติอยู่จึงโทรแจ้งกู้ภัยและตำรวจ พอพวกเราไปถึง คนจากกู้ภัยก็นำตัวคุณไปแล้ว เช้าวันต่อมาพวกเราถึงลงไปที่หน้าผาเพื่อค้นหาร่างของคุณฮว่าถิง ตอนที่พบเธอหายใจเบามากๆ เราจึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที แต่อาการบาดเจ็บของเธอค่อนข้างสาหัส สุดท้ายจึงเสียชีวิตครับ’
ลู่จยายกมือขึ้นกุมศีรษะด้วยความมึนงง นาทีนี้เธอรู้สึกราวกับว่าในหัวตัวเองมีเสียงวิ้งๆ ดังขึ้น ข้อมูลมากมายกำลังไหลบ่าเข้าสู่สมองอย่างรวดเร็วจนเธอไม่สามารถคิดอะไรได้ตามปกติ เธอไม่คิดเลยว่าฮว่าถิงจะตกเหวเสียชีวิต
ว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว ตอนที่เธอเกิดอุบัติเหตุ ฮว่าถิงซึ่งขี่รถตามหลังมาย่อมต้องเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ฮว่าถิงควรจะหลบหลีกอุบัติเหตุครั้งนี้ได้สิ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น…
ระหว่างที่เธอหมดสติไป มันเกิดอะไรขึ้นกับฮว่าถิงกันแน่
อันที่จริงเธอไม่ได้สนิทกับฮว่าถิงเท่าไหร่นัก ทว่าการต้องมาถูกตราหน้าว่าตนเป็นคนทำให้ฮว่าถิงเสียชีวิตเพราะการซ้อมแข่งในครั้งนี้นั้นเธอรับไม่ไหวจริงๆ และไม่ต้องการที่จะแบกรับไว้ด้วย
และทั้งหมดนั่นทำให้ลู่จยาตัดสินใจได้ในทันทีว่า เธอจะต้องหาความจริงของเบื้องหลังการเกิดอุบัติเหตุนี้ให้ได้
ในขณะที่ทุกอย่างกำลังสับสนวุ่นวายอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีหญิงชายวัยกลางคนพุ่งเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย ทั้งคู่แหวกกลุ่มนักข่าวกับตำรวจเข้ามาโดยไม่สนใจอะไร และในตอนที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว ผู้หญิงคนนั้นก็ยกกระติกเก็บความร้อนขึ้นมาแล้วสาดสิ่งที่อยู่ข้างในไปที่ลู่จยา ส่วนผู้ชายกดตัวลู่จยาเอาไว้แน่น
นักข่าวเห็นฉากเด็ดก็ต่างพากันยกกล้องขึ้นถ่ายภาพอย่างเมามัน หากเป็นเมื่อก่อนลู่จยาคงจะถีบผู้ชายคนที่กดตัวเธอเอาไว้ไปแล้ว แต่ตอนนี้ขาของเธอไม่มีแรงจึงได้แต่นอนเป็นหมูบนเขียง
ลู่จยายังพยายามจะถีบขา ‘คนของโรงพยาบาลอยู่ไหนกันหมด! คนเยอะแยะขนาดนี้ทั้งนักข่าวทั้งตำรวจ นี่กะจะปล่อยให้ฉันตายวันนี้ที่นี่เลยหรือไง?!’
ดูเหมือนว่า รปภ. ของโรงพยาบาลจะได้ยินเสียงตะโกนของลู่จยาจึงรีบวิ่งเข้ามา คนหนึ่งเข้ามาช่วยดึงตัวชายวัยกลางคนที่กดตัวเธออยู่เอาไว้ออกไป ส่วนอีกสองคนพยายามคุมตัวหญิงวัยกลางคนที่กำลังระงับอารมณ์ไม่อยู่ แต่หญิงวัยกลางคนนั้นแรงเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ แม้กระทั่ง รปภ. สองคนก็ยังไม่สามารถหยุดหล่อนเอาไว้ได้ หญิงวัยกลางคนผู้นี้สาดน้ำซุปใส่ลู่จยาไม่พอยังเข้ามาตบตีเธออีก
ในตอนนี้เองที่ลู่จยาไม่อาจควบคุมอารมณ์ไว้ได้อีกต่อไป ครั้งนี้เธอไม่ยอมนั่งอยู่เฉยๆ แต่กลับรับหมัดที่พุ่งเข้ามาเอาไว้และตั้งใจจะตอบโต้ด้วยการบิดข้อมือหญิงวัยกลางคน ทว่าหญิงวัยกลางคนกลับยกกระติกเก็บความร้อนขึ้นฟาดมาที่ศีรษะของลู่จยา เท่านั้นไม่พอ ชายวัยกลางคนที่ทีแรกถูก รปภ. คุมตัวไว้ออกแรงสะบัดตัวจนหลุดจากการจับกุมแล้วแทรกเข้ามากำหมัดขึ้นตั้งใจจะชกเธอ ลู่จยาจึงยกแขนขึ้นป้องกันตัวโดยอัตโนมัติ
จากนั้นภาพตรงหน้าของลู่จยาก็พร่ามัวไป เธอคิดว่าตัวเองคงจะต้องตายเสียแล้ว
แต่ในขณะที่ยังมึนงงอยู่นั่นเองก็มีคนสวมชุดกาวน์เดินเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมๆ เขาอุ้มตัวเธอขึ้นแล้วพาเธอออกมาจากวงล้อมโดยการช่วยเหลือของ รปภ. และในเวลาเดียวกันนั้นลู่จยาก็คิดว่าตัวเองได้ยินสามีภรรยาแสนร้ายกาจคู่นั้นตะโกนออกมาว่า ‘เฉิงอี้เหิง เธอ…ไปช่วยมันทำไม?!’
เมื่อลู่จยาได้สติอีกครั้งในห้องพักผู้ป่วยก็ไม่มีใครแล้ว ผ่านไปสักพัก คุณหมอเฉิงคนเดิมก็ผลักประตูห้องเดินเข้ามา
ลู่จยาคลึงศีรษะที่ปวดอยู่ เมื่อเธอก้มหน้าลงจึงเห็นว่าตัวเองเปลี่ยนชุดคนไข้เรียบร้อยแล้ว ผมก็สระเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่ยังคงได้กลิ่นซุปไก่อยู่เล็กน้อย
‘คนที่ทำร้ายคุณคือพ่อแม่ของฮว่าถิง พอดีว่าวันนี้มีการนำศพฮว่าถิงออกจากโรงพยาบาลไปที่สถานที่ทำพิธีเผา เมื่อช่วงสายนี่เพิ่งจะจบพิธีบอกลา’
ลู่จยานวดขมับของตัวเอง เวลานี้ในหัวของเธอมีแต่ความว่างเปล่า แต่แล้วอยู่ๆ ก็คล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้น เธอมองไปที่คุณหมอซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยถามออกไป ‘คุณรู้จักชื่อฮว่าถิงได้ยังไง’
เฉิงอี้เหิงซึ่งยืนหันหลังกำลังจัดการกับอุปกรณ์ทางการแพทย์อยู่นั้นก็เกร็งตัวขึ้นมา
‘ผมต้องรู้สิ ก็อุบัติเหตุของพวกคุณมันเป็นข่าวใหญ่โตมาก จะว่าไปแล้วบังเอิญมากเลยนะครับ เพราะผมเองก็เคยดูการแข่งขันของพวกคุณด้วย’
ลู่จยาซึ่งนอนพิงอยู่กับหมอนรองหลังคิดทบทวนคำพูดของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งแต่เธอตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็สับสนอลหม่าน ทำให้ไม่มีเวลาจะไล่เรียงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ฮว่าถิงเสียชีวิตแล้ว…
เสียชีวิตในอุบัติเหตุนั่น…
ตัดเรื่องสมองถูกกระทบกระเทือนกับเรื่องความทรงจำสูญหายออกไปได้เลย เพราะเธอมั่นใจว่าหลังจากชนเข้ากับสิ่งกีดขวางข้างทางแล้วหน้าผากไปกระแทกกับอะไรบางอย่างจนเลือดออกทำให้สายตาพร่ามัว เธอยังมีสติอยู่ราวๆ สิบกว่าวินาทีก่อนสลบไป
ลู่จยาจำได้ว่าในตอนนั้นรถฮว่าถิงที่อยู่ข้างหน้าลดความเร็วลงแล้ว ทั้งยังจำได้รางๆ อีกด้วยว่าฮว่าถิงลงจากรถเข้ามาดูอาการของเธอ…
แต่แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ความทรงจำที่เลือนรางซึ่งเธอเองก็ไม่อาจจะมั่นใจได้
ตำรวจแจ้งกับเธอว่ารถมอเตอร์ไซค์ของฮว่าถิงพุ่งชนรั้วกั้นทางตกลงไปในเหวทำให้ตัวรถพังยับและฮว่าถิงบาดเจ็บหนักจนเสียชีวิต แต่ลู่จยายังไม่อยากจะเชื่อ
หนึ่งวันก่อนเกิดเหตุนั้น ฮว่าถิงนัดเธอออกไปประลองความเร็วกัน ลู่จยาไม่อยากไปเลยสักนิดเพราะวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันแข่งขันจริงแล้ว โดยทั่วไปแล้วในคืนก่อนการแข่งขันบรรดานักแข่งรถจะไม่เข้าร่วมกิจกรรมอะไรมากมายนัก ส่วนใหญ่มักเลือกเก็บแรงเอาไว้เพื่อที่วันแข่งจะได้แสดงความสามารถกันอย่างเต็มที่ ทว่าฮว่าถิงกลับติดต่อเธอมา
ตอนที่ฮว่าถิงติดต่อมานั้น สิ่งแรกที่ลู่จยาคิดคือ ฮว่าถิงอาจจะตั้งใจใช้วิธีนี้เพื่อตัดกำลังของเธอ เพราะในการแข่งขัน พวกนักแข่งรถบางคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมากๆ มักจะไม่ค่อยใส่ใจกับการพักเท่าไหร่นัก อีกทั้งฮว่าถิงยังบอกว่าอยากจะประลองความเร็วกับเธอตามลำพังดูสักครั้ง ลู่จยาจึงได้แต่ยอมสละชีพตามสุภาพชนทำตามความต้องการของฮว่าถิง
คิดไม่ถึงว่าเธอจะได้สละชีพจริงๆ
ก่อนจะเริ่มการซ้อมแข่งในคืนนั้น ฮว่าถิงเคยพูดกับเธอทั้งอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจอยู่บ่อยๆ ว่าอาจจะถอนตัวจากวงการ คำพูดนั้นทำให้ลู่จยารู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ในเมื่อฮว่าถิงกำลังอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพแล้ว ทำไมหล่อนถึงได้รีบร้อนจะถอนตัวกัน หรือเป็นเพราะทักษะในการแข่งรถของฮว่าถิงกำลังลดลงโดยไม่รู้ตัว หล่อนจึงอยากเก็บความทรงจำดีๆ ไว้ให้กับแฟนคลับ
ทว่าในเวลานั้นลู่จยาไม่ได้คิดอะไรต่อเพราะในสมองของเธอมีแต่เรื่องการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง หากเธอชนะการแข่งขันในครั้งนี้ก็จะสามารถบินไปเจอกับหมิ่นลู่และออกเที่ยวห้าประเทศในยุโรปได้สักที แต่ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงยุโรปเลย เอาแค่ในเมือง อ. เธอก็ออกไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่สิ อันที่จริงจะออกจากโรงพยาบาล ซ. ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
จู่ๆ ลู่จยาก็คิดขึ้นมาได้ว่าในคืนนั้นท่าทางของฮว่าถิงดูไม่ปกติเท่าไหร่นัก ดวงตาของฮว่าถิงซึ่งจ้องมองเธออยู่เหมือนจะมีน้ำตาคลอๆ ทีแรกเธอยังคิดว่าฮว่าถิงน้ำตาไหลเพราะโดนลม ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นเลย แต่แล้วสุดท้ายก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ในขณะที่ลู่จยากำลังทบทวนเรื่องราวในคืนนั้น เฉิงอี้เหิงก็พูดเรื่องการตัดขาขึ้นมาอีกครั้ง
‘หัวหน้าแผนกของเราคิดว่าควรจะตัด…’
‘ไม่ตัด!’
ความคิดของลู่จยาถูกดึงกลับมาด้วยคำว่า ‘ตัดขา’ หากเทียบกันแล้ว เรื่องการรักษาขาของเธอเอาไว้ดูจะเป็นสิ่งที่ต้องกังวลมากกว่าการค้นหาความจริงเรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้ฮว่าถิงเสียชีวิต
ลู่จยาพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด ‘คุณหาวิธีรักษาขาของฉันเอาไว้ให้ได้ก็พอ ส่วนฉันจะขี่รถได้หรือไม่ได้คุณไม่ต้องสนใจหรอก’
แพทย์ส่วนใหญ่เคยชินกับคนไข้ที่โวยวายทำลายข้าวของ แต่ไม่ค่อยได้เจอคนไข้ที่มีสติดี แต่ดูแล้วน่าปวดหัวกว่าคนไข้ที่เอะอะโวยวายเช่นนี้
‘จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าผ่าตัดไม่ได้นะครับ แต่มันค่อนข้างยากและมีความเสี่ยงสูงมาก ถ้าอาการที่ขาของคุณไม่หนักเท่านี้การส่งตัวไปรักษาที่ต่างประเทศก็พอเป็นไปได้ แต่จากสภาพขาของคุณแล้ว คงรอจนถึงตอนที่คุณเดินทางไปต่างประเทศไม่ได้แน่ๆ ดูแล้วมันน่าจะเน่าก่อน’
‘ฉันยินดีรับความเสี่ยงนั้น ผ่าตัดเถอะ’ ลู่จยาพูดออกมาราวกับมันเป็นเรื่องง่ายๆ
‘จากความคิดเห็นของหัวหน้าแผนกแล้วก็คือคุณควรตัดขา’ เฉิงอี้เหิงยังคงยืนยัน
ลู่จยาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดร้อง ‘เฮอะ!’ ออกมา เธอจ้องตาเฉิงอี้เหิงเพื่อแสดงถึงความแน่วแน่ในการตัดสินใจของตัวเองและเธอไม่ต้องการฟังคำพูดเพ้อเจ้อของคนอื่นอีก
เมื่อเห็นท่าทางหงุดหงิดของลู่จยา เฉิงอี้เหิงจึงเปรยขึ้นว่า ‘บางที…ผมอาจจะผ่าตัดได้ ถ้าคุณไม่ถือสาว่าผมยังไม่ใช่อาจารย์แพทย์’
ลู่จยามองสำรวจเฉิงอี้เหิง พลันนั้นในใจก็รู้สึกลังเลขึ้นมา หากไม่ใช่อาจารย์แพทย์จะทำได้จริงๆ ใช่ไหม
‘แล้วทำไมหมอหัวหน้าแผนกของคุณถึงไม่ผ่าตัดให้ฉันล่ะ’
‘พอดีว่าหัวหน้าแผนกใกล้จะเกษียณแล้วจึงถูกพิจารณาให้เลื่อนตำแหน่งเป็นคณบดีกิตติมศักดิ์ เรื่องชื่อเสียงของเขาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก’ คำพูดของเฉิงอี้เหิงนั้นมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัว ความหมายนั้นก็คือแพทย์หัวหน้าแผนกไม่ต้องการที่จะเอาชื่อเสียงมาแบกรับความเสี่ยงนี้
‘ดังนั้นความเสี่ยงในการผ่าตัดครั้งนี้คุณจะเป็นคนรับผิดชอบเองถูกต้องไหม หรือพูดได้อีกอย่างว่าคุณยินดีที่จะแบกรับความเสี่ยงนี้เอง?’
เฉิงอี้เหิงมองลู่จยาโดยไม่พูดอะไรก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาบันทึกอะไรบางอย่างลงในสมุด หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า ‘คุณจะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้’
ลู่จยาคิดอยากจะถามอะไรเขาอีกสักหน่อย แต่เฉิงอี้เหิงกลับถูกพยาบาลเรียกตัวออกไปเสียก่อน
ด้วยความสงสัย ลู่จยาจึงใช้ไม้ค้ำที่โรงพยาบาลจัดหาให้พาตัวเองออกจากห้องพักไป เธอได้ไปสอบถามกับพวกพยาบาลดูจึงรู้ว่าเฉิงอี้เหิงเป็นแพทย์สาขากระดูกที่จบมาด้วยคะแนนดีที่สุดของมหาวิทยาลัยแพทย์ในภาคตะวันตก เมื่อรู้อย่างนี้ก็ทำให้เธอวางใจได้บ้าง
ลู่จยาสอบถามข้อมูลไปเรื่อยๆ จึงได้รู้ว่าเฉิงอี้เหิงเป็นแพทย์ที่มีความสามารถเป็นอันต้นๆ ของโรงพยาบาล ซ. เขาเคยเข้าร่วมการผ่าตัดใหญ่มาหลายครั้ง แม้ว่าประสบการณ์ในการเป็นหัวหน้าทีมผ่าตัดอาจจะไม่มากนัก ทว่าชื่อเสียงของเขาก็ไม่เลวเลยทีเดียว ทุกคนต่างคิดว่าเขามีทั้งความสามารถ ทั้งโชคช่วย แต่สำหรับครั้งนี้ร่างกายของเธออยู่ในสภาวะที่ไม่เหมาะสมกับการผ่าตัดเท่าใดนัก จึงถือได้ว่าเฉิงอี้เหิงกำลังทำเรื่องเสี่ยงต่อชื่อเสียงของเขาอย่างมาก และนี่ก็เท่ากับว่าเป็นการเดิมพันอนาคตของเขาด้วย ลู่จยาเองอันที่จริงก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักว่าจะเป็นแพทย์หรือแพทย์ระดับอาจารย์ที่มีประสบการณ์มากมายมาผ่าตัดให้เธอ เพราะเชื่อในคำพูดที่ว่า ‘ไม่ว่าจะแมวขาวหรือแมวดำ หากจับหนูได้ก็ถือว่าเป็นแมวที่ดี’
หลังสืบข้อมูลของเฉิงอี้เหิงเรียบร้อยแล้ว ลู่จยาก็เดินผ่านแผนกกระดูก เมื่อมองเข้าไปในห้องทำงานของเฉิงอี้เหิงจึงเห็นเสื้อกาวน์เปียกชื้นของเขาแขวนอยู่ พอเธอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นซุปไก่ นั่นทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคุณหมอที่ใส่เสื้อกาวน์คนนั้นคือเขา…เฉิงอี้เหิงเป็นคนช่วยเธอเอาไว้
ก๊อกๆๆ
ลู่จยาเคาะประตูห้องทำงานของเฉิงอี้เหิงสามครั้ง แพทย์หนุ่มที่กำลังเขียนหนังสืออยู่จึงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นเธอแล้วเขาก็เผยยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างสุภาพ ‘คุณลู่ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ’
‘คุณหมอเฉิง ฉันได้ยินมาว่าคุณเป็นหมอที่มีอนาคตไกลที่สุดของโรงพยาบาลนี้’ ลู่จยาจ้องไปที่ป้ายบนหน้าอกของเฉิงอี้เหิงก่อนจะพูดต่อ ‘ฉันหวังว่าคุณจะสามารถรักษาขาของฉันเอาไว้ได้ แล้วก็สามารถรักษาอนาคตของคุณเอาไว้ได้ด้วยเช่นกันนะคะ’
เฉิงอี้เหิงยิ้ม ‘สิ่งที่สำคัญไม่ใช่อนาคตของผมหรอกครับ แต่เป็นขาของคุณลู่ต่างหาก เอาเป็นว่าผมจะทำอย่างสุดความสามารถครับ’
ลู่จยาส่ายหัว ‘ไม่ใช่สุดความสามารถ แต่คุณต้องทำได้สำเร็จเลยล่ะ เพราะถ้าฉันเกิดพิการไป ชีวิตที่เหลือของคุณจะต้องลำบากแน่นอน’
การผ่าตัดจะเริ่มขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า
เคสของลู่จยานอกจากจะเป็นเคสที่ยากมากสำหรับเฉิงอี้เหิง ยังถือว่าเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก หมอโจวรองหัวหน้าแผนกกระดูกซึ่งเป็นถึงศาสตราจารย์แพทย์จึงได้ตอบรับที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์และให้คำชี้แนะอยู่ข้างๆ เผื่อว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาก็จะได้ช่วยเฉิงอี้เหิงได้ทันท่วงที
ลู่จยาไม่มีความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับแผนการผ่าตัดในครั้งนี้
ในบรรดาคำถามที่คนไข้ชอบถามมากที่สุดนั่นก็คือ การผ่าตัดมีโอกาสสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ลู่จยากลับไม่คิดจะถามเลยสักนิด
เพราะสำหรับเธอแล้วหากไม่ใช่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นก็เท่ากับศูนย์
ก่อนการผ่าตัดจะเริ่มขึ้น ทางโรงพยาบาลนำเอกสารยินยอมรับการรักษามาให้ลู่จยาและเฉิงอี้เหิงเซ็น ในทีแรกทั้งคู่เห็นไม่ตรงกัน
สำหรับลู่จยาแล้วเธอคิดว่าแค่เฉิงอี้เหิงยอมเสี่ยงชื่อเสียงและอนาคตของตัวเองมาผ่าตัดให้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่กดดันเขาไม่น้อยแล้ว จึงไม่อยากจะเซ็นสัญญาเพื่อเพิ่มความกดดันอะไรให้เขาอีก
ทว่าทันทีที่เฉิงอี้เหิงรู้ว่าลู่จยาไม่ได้เซ็นเอกสาร เขาก็รีบร้อนวิ่งมาหาเธอที่ห้องพักคนไข้
‘คุณลู่! ผมได้ยินมาว่าคุณไม่ได้เซ็นเอกสารใช่ไหม’
‘ใช่’ ลู่จยาตอบเขาอย่างไม่ใส่ใจในขณะที่ดูการแข่งขันเอฟวันพร้อมกับกินผลไม้ไปด้วย
‘จากความเห็นส่วนตัวของผมนะ คุณควรจะเซ็นซะ เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงแผนการรักษาขึ้นมาคุณยังสามารถปฏิเสธที่จะรับการรักษาได้ อีกอย่าง การเซ็นเอกสารยังเป็นผลดีทั้งกับคุณและผม’
‘ไม่มีคำว่าหากคุณหมอเฉิง’ ลู่จยาขัดขึ้นมา ‘คุณไปทำงานเถอะค่ะ ไม่ต้องมาให้ฉันเซ็นเอกสารอะไรนั่นหรอก ยังไงฉันก็ไม่เซ็น’ เธอไม่เห็นว่าเอกสารนั่นจะมีความสำคัญอย่างไรกับการผ่าตัด เพราะยังไงแล้วเธอก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจจะไม่ผ่าตัดอย่างแน่นอน
‘งั้น…’ เฉิงอี้เหิงถามต่อ ‘ครอบครัวของคุณล่ะ คุณจะไม่แจ้งพวกเขาสักหน่อยเหรอ ยังไงซะคุณก็ควรจะหารือกับพวกเขาก่อน’
‘ฉันเป็นเด็กกำพร้า’ ลู่จยาวางส้มในมือลง ‘พ่อกับแม่ของฉันเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตตอนที่ฉันอายุสิบสี่’
‘แล้วยังมีคนอื่น…’
‘ไม่มี’ อารมณ์ของลู่จยาชักเริ่มจะกรุ่นๆ ‘คุณหมอเฉิง คุณรีบไปเถอะค่ะ อย่ามารบกวนตอนฉันดูแข่งรถเลย คุณไปเตรียมแผนการผ่าตัดให้มันออกมาดีๆ เถอะ’
ทว่าหลังจากนั้นเฉิงอี้เหิงก็ได้เข้ามาคุยกับเธออีกครั้งและยื่นไม้ตายว่าหากเธอไม่เซ็นเอกสารเขาก็จะไม่ผ่าขาให้ ลู่จยาจึงต้องยอมเซ็นเอกสารนั่น
ก่อนการผ่าตัดหนึ่งวัน เฉิงอี้เหิงก็เข้ามาตรวจอาการและพูดคุยกับลู่จยาเหมือนเคย ลู่จยาที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยขาถูกแขวนเอาไว้กำลังดูภาพการแข่งขันเมื่ออาทิตย์ก่อนเพื่อวิเคราะห์การแข่งขันที่ผ่านมาของตัวเองว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เฉิงอี้เหิงเข้ามายืนมองเธออยู่ใกล้ๆ ก็เอ่ยถามขึ้น “ใกล้จะผ่าตัดอยู่แล้ว คุณไม่กังวลสักนิดเลยเหรอ”
‘เพราะใกล้ผ่าตัดแล้วน่ะสิ อีกไม่นานฉันก็จะกลับไปที่สนามแข่งแล้วเลยต้องรีบๆ ใช้เวลานี้ในการวิเคราะห์การแข่งไงล่ะ’ ลู่จยามั่นใจมากว่าตัวเองจะได้กลับไปสนามแข่งอีกครั้ง
เฉิงอี้เหิงเห็นเธอมั่นใจขนาดนี้ก็พยายามหาเรื่องคุย “ผมเคยดูการแข่งขันของคุณด้วย”
‘เหรอ’ ลู่จยาเลิกคิ้ว ‘แล้ว…’
‘คุณลู่ ผมรู้สึกว่าคุณสุดยอดมาก’
‘ขอบคุณค่ะ ฉันหวังว่าการผ่าตัดของคุณจะสุดยอดเหมือนกับเทคนิคการแข่งรถของฉันนะคะ’ ลู่จยาเอ่ยขึ้น
ตอนแรก วันและเวลาในการผ่าตัดได้ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่จู่ๆ หมออู๋รองหัวหน้าแผนกกระดูกอีกคนก็เกิดไม่พอใจขึ้นมา เขาไม่ยอมให้เฉิงอี้เหิงเป็นหัวหน้าทีมผ่าตัดของลู่จยา
เหตุผลง่ายๆ ที่รองหัวหน้าแผนกอู๋บอกก็คือ
‘ตอนนี้ลู่จยาถือว่าเป็นคนดังมาก และการผ่าตัดครั้งนี้ทั้งยาก ทั้งยังมีโอกาสสำเร็จน้อยมากอยู่แล้ว หากการผ่าตัดล้มเหลวขึ้นมาก็จะต้องมีคนสงสัยในความสามารถของโรงพยาบาลของเราอย่างแน่นอน และยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของแผนกกระดูกอีกด้วย แต่ถ้าผ่าตัดสำเร็จขึ้นมา…พวกผู้คนข้างนอกนั่นกำลังพูดกันว่าเธอเป็นคนทำให้ฮว่าถิงเสียชีวิตและกำลังโจมตีเธออยู่ โรงพยาบาลของเราก็จะเดือดร้อนไปด้วย’
คุณหมอโจวซึ่งเป็นรองหัวหน้าแผนกกระดูกเช่นกัน ทั้งยังเป็นอาจารย์ของเฉิงอี้เหิงก็ออกมาช่วยโต้แย้ง ‘คนเป็นหมอมีจิตใจเมตตาประหนึ่งบิดามารดา ต่อให้เป็นผู้ร้ายทำความผิด ควรจะช่วยพวกเราก็ต้องช่วย หน้าที่ของเราคือช่วยชีวิต การตัดสินคนผิดมันเป็นหน้าที่ของศาล’
‘แล้วถ้าการผ่าตัดล้มเหลวขึ้นมา หมอโจวจะลาออกเพื่อรับผิดชอบไหมล่ะ’ หมออู๋โต้กลับอย่างไม่เกรงใจ
บรรยากาศตรงนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทุกคนต่างรู้ว่าตอนนี้หัวหน้าแผนกกำลังจะเกษียณเพื่อไปเป็นคณบดีกิตติมศักดิ์ ดังนั้นตำแหน่งหัวหน้าแผนกกระดูกจึงว่างลง ทำให้รองหัวหน้าแผนกทั้งสองคนที่ต่างก็รอเวลานี้กันมานานจึงไม่มีใครยอมปล่อยโอกาสไปง่ายๆ ความสามารถและชื่อเสียงของแพทย์ทั้งสองคนต่างก็มีพอๆ กัน ในตอนนี้จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครเหนือกว่าใคร หมออู๋และหมอโจวจึงได้แต่พยายามหากำลังมาสนับสนุนตัวเองเพื่อที่จะได้มีแต้มต่อในการเจรจาตกลงขั้นสุดท้าย
หมอโจวจึงได้แต่กัดฟันรับข้อเสนอของหมออู๋
การแย่งชิงตำแหน่งนี้ดำเนินไปอย่างดุเดือด
ด้านเฉิงอี้เหิงเองก็รู้สึกกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะหากเขายังยืนกรานที่จะทำการผ่าตัดให้ลู่จยา นอกจากจะเป็นการเดิมพันด้วยชื่อเสียงและอนาคตของตัวเองแล้ว ยังต้องเดิมพันด้วยอนาคตของคนที่เป็นทั้งอาจารย์และเป็นเพื่อนอย่างหมอโจวซึ่งคอยดูแลเขามาตลอดด้วย
หลังจากลู่จยาได้ยินเรื่องราวความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เธอก็ใช้ไม้ค้ำพาตัวเองไปหาเฉิงอี้เหิง ตั้งใจว่าจะไปหยอกล้อเขาสักหน่อย
‘ไม่คิดเลยว่าฉันจะมีความสามารถมากขนาดนี้ ถึงกับทำให้หมอกระดูกคนกล้าเซไปเลย…’
เพราะเฉิงอี้เหิงนั่งหันหลังอยู่จึงไม่รับรู้ถึงการมาของลู่จยา เขากำลังมองมือถือด้วยท่าทางเหม่อลอย พอได้ยินเสียงของลู่จยาก็ตกใจ รีบปิดหน้าจอมือถือ
ทว่าก่อนที่เฉิงอี้เหิงจะปิดหน้าจอมือถือ ลู่จยาก็เห็นรูปของผู้หญิงคนหนึ่งในนั้น แต่เพราะเขาปิดจอโทรศัพท์ลงอย่างรวดเร็วเธอจึงเห็นรูปไม่ชัดนัก รู้แค่ว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ผู้หญิงที่สามารถทำให้เฉิงอี้เหิงมานั่งดูรูปถ่ายในสภาวะที่มีแต่ความกดดันมากมายขนาดนี้ได้ก็คงจะเป็นคนที่เขาชอบอยู่ล่ะมั้ง
เฉิงอี้เหิงท่าทางเหมือนคนถูกจับได้ว่าทำผิด รีบลุกขึ้นอย่างร้อนรน ‘คุณลู่รีบกลับไปพักผ่อนที่ห้องเพื่อรอการผ่าตัดเถอะครับ ออกมาเดินไปทั่วแบบนี้มันไม่ดีกับขาคุณเลยนะ’
ลู่จยาเบะปากแล้วกลับไปยังห้องพัก
เวลาผ่าตัดถูกกำหนดไว้ในตอนเช้า ซึ่งจะใช้เวลาผ่าตัดทั้งหมดสิบเอ็ดชั่วโมงด้วยกันคือตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก เฉิงอี้เหิงต้องเปลี่ยนชุดเพราะมันเปียกชื้นถึงสามครั้ง และระหว่างการผ่าตัดเขาต้องหยุดพักไปถึงห้าครั้ง
เมื่อไฟหน้าห้องผ่าตัดดับลง ลู่จยาและเฉิงอี้เหิงก็ถูกเข็นออกมาพร้อมกัน
ในตอนที่เขาเย็บแผลเข็มสุดท้ายและตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนั้น เฉิงอี้เหิงก็หมดแรงจนทรุดตัวลงกับพื้น พยาบาลจึงต้องพยุงเขาขึ้นมานั่งบนวีลแชร์จากนั้นก็เข็นออกมา หมอโจวซึ่งยืนดูการผ่าตัดอยู่ตลอดวางมือหนักๆ ลงบนบ่าของเขา ‘เฉิงอี้เหิง ไม่เสียทีที่นายเคยเป็นนักเรียนแพทย์ที่ดีที่สุดของฉัน นับว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่อนาคตไกลจริงๆ’
เมื่อการผ่าตัดประสบความสำเร็จ หมออู๋ก็สะบัดแขนเดินออกไปทันที ส่วนหมอโจวนั้นก็ดูหน้าตาอิ่มเอิบ สถานการณ์ในตอนนี้พลิกกลับอย่างชัดเจน
ในระหว่างการผ่าตัดที่ยาวนานนั้นมีบางครั้งที่ลู่จยาสะลึมสะลือขึ้นมาระหว่างการผ่าตัด เฉิงอี้เหิงซึ่งอยู่ในชุดผ่าตัดเต็มยศเหลือบตาขึ้นจากขาของเธอที่เขากำลังผ่าอยู่ เขาชะโงกตัวไปมองลู่จยาผ่านแว่นกันของเหลวเห็นเหงื่อเม็ดโตๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเธอ วิสัญญีแพทย์เห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาเพิ่มยาสลบให้กับลู่จยาทันที
หลังแน่ใจว่าลู่จยาหมดสติแล้ว เฉิงอี้เหิงก็กลับไปทำการผ่าตัดต่อทันที
เมื่อการผ่าตัดสิ้นสุดลง ลู่จยาก็ถูกเข็นมายังห้องพักผู้ป่วย ครึ่งชั่วโมงต่อมายาสลบก็ค่อยๆ หมดฤทธิ์ ลู่จยาได้สติฟื้นขึ้นมาแล้วก็รีบคลำหาโทรศัพท์ของโรงพยาบาลซึ่งอยู่ข้างหัวเตียงเพื่อโทรหาเฉิงอี้เหิงทันที
‘คุณหมอเฉิง คุณรักษาอนาคตของคุณไว้ได้ใช่ไหม’
เฉิงอี้เหิงที่เพิ่งหลับไปได้ไม่นานถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกให้ตื่น เขาตอบกลับเธอด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและอ่อนแรง ‘รักษาไว้ได้’
‘ยินดีด้วยนะ’ ลู่จยาพูดจบก็วางสายไป
เฉิงอี้เหิงเหนื่อยจนหมดแรงจึงหลับลึกต่อไปอีกครั้ง
เมื่อเฉิงอี้เหิงตื่นขึ้นก็ตกใจแทบแย่ที่เห็นลู่จยาใช้ไม้ค้ำมายืนอยู่ตรงหน้าต่างติดทางเดินของห้องทำงานเธอกำลังมองเขาอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน มองจนเขาเย็นสันหลังวาบ
‘คุณลู่มีอะไรหรือเปล่า’
‘ฉันจะได้ออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่เหรอ’
ได้ยินเช่นนั้นเฉิงอี้เหิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่แท้เธอมาถามเรื่องนี้นี่เอง แต่ท่าทางของลู่จยาตอนถามคล้ายกับท่าทางของนักฆ่าที่ถามว่า ‘ตอนนี้ฉันฆ่าคุณได้ไหม’ ทำเอาเขาตกใจจนขนลุกขนพอง
ตั้งแต่ที่เขารับเคสของลู่จยามาดูแล และลู่จยาได้ใช้คอมพิวเตอร์ในห้องทำงานของเขาสั่งซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้ตัวเองแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ลู่จยาต้องโทรศัพท์มาหาเขาโดยไม่สนใจว่าจะเป็นตอนเช้าตรู่หรือยามดึกดื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะเป็นตอนเขาทำงานอยู่หรือเลิกงานไปแล้ว
สำหรับลู่จยาเวลาไม่ใช่ประเด็น
‘คุณยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสักระยะ และต่อให้ออกจากโรงพยาบาลไปแล้วก็ยังต้องติดตามอาการหลังผ่าตัดอยู่ ถ้าคุณฟื้นตัวได้ดี สักประมาณเดือนนึงก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้วครับ แต่ถ้าฟื้นตัวได้ไม่ดีเท่าที่ควรเวลาที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลก็จะนานขึ้น’ เฉิงอี้เหิงรู้ว่าลู่จยาจะต้องถามถึงระยะเวลาที่ชัดเจน ดังนั้นเขาจึงพยายามตอบไปให้ครอบคลุมที่สุด ‘นั่นมันนานเกินไปน่ะสิ’ ลู่จยาตัดพ้อ
‘ไม่ถือว่านานนะครับ บาดเจ็บที่กระดูกหรือเส้นเอ็นยังต้องรักษาเป็นร้อยวัน…’ ขณะที่เฉิงอี้เหิงพูดอยู่ ลู่จยาก็ใช้ไม้ค้ำค่อยๆ เขยกพาตัวเองออกไปจากห้องพักของเขา ในตอนนั้นเองเขาถึงเพิ่งจะรู้ว่า ‘นั่นมันนานเกินไปน่ะสิ’ คือคำพูดที่ลู่จยาพูดกับตัวเอง ไม่ได้พูดกับเขา
เขารู้สึกว่าเธออาจจะกำลังหาวิธีร่นระยะเวลาในพักฟื้นของตัวเอง
เห็นท่าทางของลู่จยาแล้ว เฉิงอี้เหิงก็อยากจะหัวเราะขึ้นมาซะยังงั้น แต่อาจเป็นเพราะเขาเหนื่อยจากการผ่าตัดที่ยาวนานจึงทำให้ปฏิกิริยาของร่างกายทำงานช้ากว่าสมอง และแล้วเฉิงอี้เหิงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาจริงๆ
ลู่จยาได้ยินเสียงหัวเราะก็หยุดเดินแล้วหันกลับมามองด้วยความฉงน ‘คุณหมอเฉิงหัวเราะอะไรเหรอ’
เฉิงอี้เหิงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยอาการร้อนรน ‘ในนี้มีข้อความตลกๆ น่ะครับ’
และเป็นเพราะเขาร้อนรนมากจึงถือโทรศัพท์ไว้ไม่แน่นพอจนทำมันตกกระแทกพื้นหน้าจอแตกเป็นรอยร้าวเหมือนใยแมงมุม
เฉิงอี้เหิงส่งเสียงร้องเบาๆ ด้วยความตกใจ ขณะที่ลู่จยามองรอยร้าวที่หน้าจอโทรศัพท์ของแพทย์หนุ่มด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนใช้ไม้ค้ำพยุงตัวเองเดินจากไป
แต่แล้วเธอก็ต้องหันกลับมาที่ห้องพักของเฉิงอี้เหิงอย่างรวดเร็ว ท่าทางของเธอดูร้อนรน การเคลื่อนไหวก็ดูไม่ค่อยสะดวกนัก ลู่จยาเดินตุปัดตุเป๋ ไม้ค้ำก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน
‘รีบปิดประตูเร็ว!’ ลู่จยาร้องบอกอย่างเร่งรีบ
เฉิงอี้เหิงไม่มีเวลาจะอาลัยอาวรณ์โทรศัพท์มือถือของตัวเอง เขาลุกขึ้นมาประคองลู่จยาไว้อย่างรวดเร็ว ‘เกิดอะไรขึ้น’
ลู่จยาดันแขนของเขาออกอย่างระมัดระวัง ส่งเสียงออกคำสั่งอย่างโหดๆ ว่า ‘ปิดประตู!’
เฉิงอี้เหิงปิดประตูทันที แต่ปิดไปได้เพียงนิดเดียวก็มีคนที่ถือกล้องแทรกตัวเข้ามาได้ครึ่งตัวแล้วตามมาด้วยเสียงชัตเตอร์ดังแชะๆ รัวๆ จากนั้นชายคนนั้นก็ตะโกนออกมาไม่หยุด
‘คุณลู่! การเสียชีวิตของคุณฮว่าถิงเกี่ยวข้องกับคุณหรือเปล่า ได้ยินมาว่าคุณไม่ต้องการให้เธอชนะการแข่งขันในทัวร์นาเมนต์นี้ ก่อนการแข่งขันเพียงวันเดียวคุณจึงนัดคุณฮว่าถิงออกไปท้าประลอง คุณอธิบายได้ไหมว่าทำไมถึงทำแบบนั้น’
กล้องในมือของนักข่าวส่งเสียงราวกับปืนยาวกำลังกระหน่ำถ่ายภาพของลู่จยาไม่หยุด เธอทำได้แค่นั่งฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะทำงานของเฉิงอี้เหิงเพื่อหลบกล้อง และเพราะก่อนหน้านี้เธอกระหืดกระหอบเขยกตัวกลับมาที่ห้องพักของแพทย์หนุ่ม ตอนนี้จึงได้แต่นั่งหอบอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้
ลู่จยาที่เวลานี้ฟุบหัวลงกับโต๊ะเพื่อหลบนักข่าวกำลังกัดฟันแน่นพร้อมยกมือขึ้นปิดหู สีหน้าของเธอดูทุกข์ทรมานอย่างมาก
เฉิงอี้เหิงเห็นอย่างนั้นจึงใช้ตัวเองบังลู่จยาเอาไว้ เขาพยายามจะผลักนักข่าวออกไป ‘ขอโทษนะครับ ที่นี่เป็นที่ทำงานของผม ไม่อนุญาตให้สัมภาษณ์อะไรใดๆ ทั้งสิ้น’
นักข่าวเบนความสนใจมาที่เฉิงอี้เหิง ‘ขอถามหน่อยนะ คุณเป็นหมอที่รับผิดชอบการรักษาของลู่จยาใช่ไหม คุณมีความคิดเห็นยังไงกับการกระทำของลู่จยา นี่มันฆาตกรชัดๆ แต่เธอกลับหลบเลี่ยงการลงโทษของกฎหมายได้…ระหว่างกฎหมายกับความรู้สึกคุณจะเลือกอะไร’
ปัง!
เสียงของนักข่าวที่น่ารำคาญนั่นถูกกันอยู่ด้านนอกเรียบร้อยหลังจากที่เขาปิดประตูใส่เสียงดัง แต่ในห้องก็ยังได้ยินเสียงตบประตูอยู่เบาๆ
เฉิงอี้เหิงหันกลับไปอีกทีก็พบว่าลู่จยาขึ้นไปนอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ขาของเธอข้างที่เข้าเฝือกอยู่ห้อยออกมา ชุดคนไข้ที่ไม่พอดีตัวนั่นยิ่งทำให้เธอดูผอมบางมาก
ตอนลู่จยาถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล นักแข่งสาวยังใส่ชุดที่ใส่อยู่เป็นประจำซึ่งพวกสื่อก็ถ่ายภาพเอาไว้ได้ มันเป็นเสื้อแจ็กเก็ตสีดำกับกางเกงหนังและรองเท้าบูต เครื่องสำอางบนใบหน้าของเธอทำให้ดูเหมือนคนหยิ่งยโสไม่เห็นหัวใคร และถึงแม้บนใบหน้านั้นจะมีรอยเลือดเปื้อนอยู่แต่ก็ยังทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกได้ว่าตอนเธอมีสติจะต้องเป็นที่คนน่าเกรงขามมากแน่ๆ
เขาไม่คิดเลยว่าหน้าสดของเธอจะซีดเซียวจืดชืดดูไม่สดใส แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดูอ่อนโยนมากเช่นกัน
‘คุณไม่เป็นไรใช่ไหม’ เฉิงอี้เหิงวางมือบนไหล่ของลู่จยา เขารู้สึกว่าอยากจะเอาใจใส่เธออีกสักนิด
ลู่จยาผลักมือของเขาออก
‘ไม่ต้องมายุ่ง! ฉันจะออกจากโรงพยาบาล’ ลู่จยาพูดด้วยท่าทางแข็งขืน
เฉิงอี้เหิงชะงักไปเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา ‘นี่ก็ตีหนึ่งแล้ว แผนกการเงินส่วนกลางก็เลิกทำงานไปตั้งนานแล้วครับ ตอนนี้คงไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลไม่ได้หรอก’
ความจริงเฉิงอี้เหิงกำลังโกหกเธอ จริงๆ แล้วแผนกการเงินมีคนทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
‘คุณไปทำเรื่องให้ฉันหน่อยเถอะ ฉันจะออกจากโรงพยาบาลตอนนี้เลย’ ลู่จยาพูดอย่างเด็ดขาด ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู
เฉิงอี้เหิงดึงข้อมือของเธอเอาไว้ ‘คุณไม่กลัวว่านักข่าวน่ารังเกียจพวกนั้นจะเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูรึไง เขายังไม่ได้กินเนื้อไก่ยังไงก็ไม่มีทางรามือไปง่ายๆ หรอก’
ดวงตาของลู่จยากลอกไปมา ดูเหมือนกำลังทบทวนสิ่งที่เฉิงอี้เหิงพูด
‘ทำไมพวกเขาต้องกินเนื้อไก่ด้วย’
‘…’ เฉิงอี้เหิงคิดว่าลู่จยาคงไม่ค่อยเข้าใจสำนวน ‘เพียงพอนเหลืองมาเยี่ยมเยือนไก่วันปีใหม่’ แต่ถือว่าโชคดีที่เฉิงอี้เหิงใช้เรื่องนักข่าวมาหยุดลู่จยาเอาไว้ได้ เธอจึงไม่ได้เรียกร้องจะออกจากโรงพยาบาลอีก
ลู่จยานั่งอยู่ในห้องพักของเฉิงอี้เหิง ขาข้างที่เข้าเฝือกวางพาดอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ‘ถ้าวันนี้ฉันหนีไปคุณจะถูกตำหนิไหม’
เฉิงอี้เหิงนิ่งไป ลู่จยาคิดว่าต้องเป็นเพราะแบบนี้แน่ๆ เขาถึงไม่ยอมให้เธอออกจากโรงพยาบาลไป
‘นี่ก็ดึกมากแล้ว ทำไมคุณไม่เลิกงานซะทีล่ะ’
‘ผม…อยู่เวรวันนี้’
‘งั้นคุณช่วยฉันจัดการกับพวกนักข่าวได้ไหม’ ลู่จยาโพล่งออกไป
เฉิงอี้เหิงไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี ‘ที่คุณบอกว่าจัดการนั่นมันหมายความว่ายังไงครับ’
‘อย่างเช่นปล่อยข่าวลือให้พวกนักข่าวเข้าใจว่าฉันย้ายโรงพยาบาลไปแล้ว หรือไม่ก็ย้ายห้องพักให้ฉัน ยังไงก็ได้ คุณไปคิดหาวิธีเอาเองเถอะ’
ทีแรกเฉิงอี้เหิงคิดจะตอบเธอกลับไปว่าทำไมผมต้องคิดหาวิธีช่วยคุณด้วย แต่ลู่จยาก็พูดต่อเสียก่อน
‘ฉันจะให้เงินคุณแยกต่างหากจากค่ารักษา คุณคิดว่าสักเท่าไหร่ดี…หนึ่งแสนพอไหม ถ้าคุณคิดว่าไม่พอก็บอกฉันได้เลยนะ’
เมื่อได้ยินตัวเลขหนึ่งแสน เฉิงอี้เหิงก็เกือบจะหัวเราะออกมา สำหรับคนเป็นแพทย์แล้ว เงินหนึ่งแสนหยวนนี้เกือบจะเป็นเงินเดือนรวมสองปีของพวกเขา แต่นี่แค่ทำเรื่องง่ายๆ กลับได้เงินแสนไปใช้ นี่มันแทบจะเรียกว่าได้มาแบบเปล่าๆ เป็นใครก็ต้องรีบรับปากแน่ แต่สำหรับเฉิงอี้เหิงนั้น เงินหนึ่งแสนหยวนไม่ได้มีค่าสักเท่าไหร่
ถ้าอยู่ในสถานการณ์อื่นเฉิงอี้เหิงคงรู้สึกว่าลู่จยาใจสปอร์ตมาก แต่จากที่เขารู้จักลู่จยามา รวมถึงเคยฟังฮว่าถิงพูดถึงลู่จยาแล้ว เขาคิดว่าลู่จยาในเวลานี้กำลังแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือคิดจะทำให้เขากลัว แต่คงไม่รู้ว่าจะโดนเขามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เพราะในสายตาเขาตอนนี้ลู่จยาเป็นได้แค่เสือกระดาษเท่านั้น
‘คุณลู่ ผมไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้เพราะเงิน’ เฉิงอี้เหิงเอ่ย
‘เอ๋?’ ลู่จยาเลิกคิ้วขึ้น เธอกำลังเลือกหนังสยองขวัญในคอมพิวเตอร์ของเฉิงอี้เหิงอย่างสนุก เมื่อได้ยินคำพูดนี้เข้าจึงย้ายสายตาจากหน้าจอไปมองมองแพทย์หนุ่ม ‘คุณยอมเสี่ยงมาผ่าตัดให้ฉันโดยไม่คาดหวังอะไรเลยงั้นเหรอ’
เฉิงอี้เหิงรู้ว่าลู่จยากำลังเข้าใจเขาผิด
ก็จริง…ไม่ว่าจะเป็นใคร คนไข้หรือหมอต่างก็คิดว่าเฉิงอี้เหิงต้องมีจุดประสงค์แอบแฝงในการผ่าตัดครั้งนี้แน่ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เดากันไปว่าสิ่งที่เขาต้องการคือชื่อเสียง
ตอนนี้ในโรงพยาบาลมีการแบ่งเสียงออกเป็นสองฝั่งเนื่องจากหัวหน้าแผนกกระดูกกำลังจะเกษียณอายุ ในแผนกมีรองหัวหน้าอยู่สองคน ดังนั้นยังไงก็จะต้องมีคนใดคนหนึ่งขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกแทน
และไม่ว่าใครจะได้ตำแหน่งไปก็ย่อมต้องเป็นคนที่มีความสามารถไม่น้อย
เฉิงอี้เหิงนั้นถูกเข้าใจว่าอยู่ฝั่งรองหัวหน้าโจว ในมุมของโรงพยาบาล การที่เขาทำการผ่าตัดครั้งนี้สำเร็จถือว่าเป็นการจุดประทัดความสำเร็จให้กับรองหัวหน้าโจวเข้าอย่างจัง
มีแพทย์มากมายที่ต้องจมปลักอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ เป็นเวลาหลายปี แต่ที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้นั้นมีเพียงไม่กี่คน ซึ่งไม่มีทางรู้เลยว่าคนเหล่านี้จะต้องอดทนสักแค่ไหนถึงจะสามารถสร้างเส้นสายของตัวเองขึ้นมาได้
และยิ่งกับโรงพยาบาลระดับประเทศอย่างโรงพยาบาล ซ. แล้วนั้น การจะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ยิ่งยากแสนยาก
‘ก็ได้’ เฉิงอี้เหิงไม่ได้อธิบายอะไร แม้ว่าสำหรับเขาแล้ว เงินหนึ่งแสนหยวนจะทำอะไรได้ไม่มากนัก แต่การรับเงินทองนั้นเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายและไม่ทำให้เรื่องราวซับซ้อน ลู่จยาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ‘งั้นคุณช่วยไปซื้อมันฝรั่งทอดให้ฉันหน่อยได้ไหม แล้วก็ขอชานมสักแก้วด้วยนะ ขอบคุณค่ะ’
ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งเจอนักข่าวไล่ตามจนไม่มีที่ไป แต่ตอนนี้กลับทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังนั่งดูหนังสยองขวัญต่อได้ แล้วนี่ยังจะกินขนมอีก เฉิงอี้เหิงอดนับถือใจของลู่จยาไม่ได้จริงๆ
เฉิงอี้เหิงเดินออกไปซื้อมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบกับชานมมาให้ลู่จยาอย่างว่าง่าย และซื้อโอเด้งกับบะหมี่ถ้วยอีกสองถ้วยมาด้วย จะว่าไปแล้วเขาเองก็เพิ่งผ่านการผ่าตัดให้เธอมาทั้งวัน น้ำสักหยดยังไม่ได้ดื่ม เธอหิวเขาก็หิวเหมือนกัน
ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานขนาดไม่ใหญ่นักของเฉิงอี้เหิง เมื่อปิดไฟดวงใหญ่ในห้องแล้วทั้งคู่ก็เริ่มกินบะหมี่ถ้วยส่งเสียงดังสวบๆ
ตอนตีสอง ลู่จยายังดูหนังเรื่อง ‘อิท โผล่จากนรก’ เฉิงอี้เหิงที่ดูเป็นเพื่อนเธอไปแล้วครึ่งเรื่องอยู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดว่า ‘ผมต้องไปราวนด์วอร์ดแล้ว คุณอยู่ที่นี่คนเดียวก็ระวังๆ หน่อยนะ ถ้ามีเรื่องอะไรโทรหาผมได้เลยนะครับ’
นักข่าวเหล่านั้นสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้นำเสนอข่าวดังเป็นเจ้าแรก ถ้าหากเขาไม่อยู่แล้วมีคนบุกเข้ามาในห้อง ลู่จยาที่เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวกนักในตอนนี้คงจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
แม้จะไม่วางใจ แต่เฉิงอี้เหิงก็ต้องออกไปราวนด์วอร์ดแล้ว
เมื่อราวนด์วอร์ดเสร็จเขาก็ตรงกลับมายังห้องพัก เฉิงอี้เหิงนวดไหล่ที่เมื่อยขบไปด้วยเดินไปด้วยจนมาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง แพทย์หนุ่มใช้กุญแจไขเปิดประตูห้อง เมื่อมองเข้าไปก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง มีเพียงไฟหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังกะพริบอยู่เท่านั้น
ลู่จยาไม่อยู่แล้ว
เฉิงอี้เหิงเริ่มลนลาน เขาออกวิ่งไปตามทางเดินพลางมองหาเธอไปตลอดทาง ทว่าก็ไม่พบวี่แววของลู่จยาแม้แต่น้อย ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนคนไข้คนอื่นแพทย์หนุ่มจึงได้แต่ส่งเสียงเรียกออกไปเบาๆ ‘คุณลู่…’
ไม่มีใครตอบรับ
เฉิงอี้เหิงวิ่งไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลเพื่อที่จะดูกล้องวงจรปิด แต่กลับได้รับแจ้งว่าการขอดูกล้องวงจรปิดนั้นต้องใช้เวลา เขาต้องรออีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะดูได้
เมื่อทำอะไรไม่ได้เฉิงอี้เหิงจึงต้องกลับมาที่ห้องพักของตัวเอง พอสังเกตเห็นว่าไม้ค้ำที่ลู่จยาเอามาด้วยไม่อยู่แล้ว ตอนนั้นเองเขาถึงเบาใจลงได้บ้าง ถ้าไม้ค้ำไม่อยู่ก็แสดงว่าลู่จยาเป็นคนเดินออกไปเอง
เขาลองโทรหาลู่จยา
‘คุณลู่!’ เฉิงอี้เหิงเรียก
‘อืม’
‘คุณโอเคไหม พวกนักข่าวไม่ได้ตามคุณไปใช่ไหม’
‘โอเคอยู่’ ฟังจากเสียงแล้วเหมือนลู่จยาจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการพูด
เฉิงอี้เหิงกังวลว่าเธออาจจะตกบันไดตรงไหนสักแห่งในโรงพยาบาลแล้วลุกไม่ขึ้น เขาจึงถามออกไป ‘เสียงคุณดูไม่ค่อยดีเลย จะให้ผมไปรับคุณไหม’
‘คุณแน่ใจนะว่าจะมา’ ลู่จยาถามกลับ
เฉิงอี้เหิงไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเธอถึงถามแบบนั้น แต่ยังตอบรับ ‘แน่ใจสิ’
‘งั้นก็ดี’ ลู่จยาพูด
แล้วเฉิงอี้เหิงก็ได้ยินเสียงไม้ค้ำกระแทกกับพื้นตามมาด้วยเสียงชักโครก
‘ฉันอยู่ในห้องน้ำหญิง ตอนนี้ขาเริ่มชาแล้ว คุณมารับฉันหน่อยสิ’
ขณะเฉิงอี้เหิงรีบไปที่ห้องน้ำหญิง ลู่จยาก็พิงตัวอยู่ตรงกำแพงใกล้ๆ กับประตูห้องน้ำ สีหน้าของเธอยังดูปกติอยู่ เฉิงอี้เหิงเดินเข้าไปช่วยพยุงลู่จยาไว้พร้อมรับไม้ค้ำของเธอมาถือ
แต่ลู่จยาเดินโขยกเขยกไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุด
เฉิงอี้เหิงหันไปมองเธอด้วยความฉงน ‘ทำไมล่ะ’
‘เท้าฉัน…’ ลู่จยาชี้ไปที่เท้าของตัวเอง ‘มันชาแล้ว ยิ่งเดินก็ยิ่งชา’
เฉิงอี้เหิงมองเธออย่างจนใจ เขาเปลี่ยนมือที่ถือไม้ค้ำแล้วค่อยๆ ย่อตัวลง ‘ขึ้นมาสิ ผมจะแบกคุณไปเอง’
ลู่จยาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งถึงจะปีนขึ้นไปบนหลังของเฉิงอี้เหิงได้ เพราะเธอออกแรงที่ขาไม่ได้จึงต้องใช้แรงจากมือเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอกลัวว่าตัวเองจะออกแรงดึงไหล่ของเฉิงอี้เหิงมากเกินไปและจะพากันหงายหลังไปทั้งคู่ ภาพคนสองคนล้มหงายท้องคงน่าเกลียดน่าดู
ยังดีที่ไม่ว่าลู่จยาจะออกแรงมากแค่ไหนเฉิงอี้เหิงก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ได้
รอจนกระทั่งลู่จยาปีนขึ้นมาบนหลังเรียบร้อย เฉิงอี้เหิงถึงค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วออกเดิน
ห้องน้ำตั้งอยู่ห่างจากห้องพักของเฉิงอี้เหิงประมาณหนึ่งร้อยเมตร แพทย์หนุ่มแบกลู่จยาเดินไปข้างหน้า แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นว่ามีคนมากมายยืนออกันอยู่หน้าห้องพักของเขา
‘พวกนักข่าวอีกแล้ว’ ลู่จยาพูดเสียงเบา
‘ทำไมคนพวกนี้ถึงเกาะแน่นอย่างกับแผ่นกอเอี๊ยะเลยนะ’
‘ข่าวใหญ่ขนาดนั้นก็ต้องมาสืบข่าวน่ะสิ ใครหาข้อมูลได้ก่อนก็เหมือนกับได้เงินก้อนใหญ่’ ลู่จยาพูดต่อ
‘งั้นพวกเราจะไปที่ไหนดี’ เฉิงอี้เหิงหันศีรษะมาถามลู่จยา ลู่จยาที่เกาะไหล่เขาอยู่พอดีทำให้เมื่อชายหนุ่มหันหน้ามาใบหน้าของทั้งคู่จึงแนบติดกัน
เฉิงอี้เหิงรีบหน้าขยับออก ขณะที่ลู่จยากลับดูนิ่งๆ
ผ่านไปครู่หนึ่งลู่จยาก็รู้สึกได้ว่าใบหน้าของเฉิงอี้เหิงเห่อร้อนขึ้นมา เธอที่ไม่คิดอะไรเลยจึงยื่นมือออกไปลูบหน้าของเขา
‘คุณหมอเฉิง คุณเขินเหรอ’
‘เปล่า ผมแบกคุณมาตั้งนาน ก็แค่ออกแรงไปเยอะหน่อย’ เฉิงอี้เหิงพยายามแก้ตัว
ตอนนั้นเองลู่จยาถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองหนักเกือบห้าสิบกิโลกรัมจึงไถลตัวลงมาจากหลังของเฉิงอี้เหิง เฉิงอี้เหิงที่คิดจะรั้งเธอไว้แต่ก็ไม่ทัน ลู่จยาลงถึงพื้นเรียบร้อยแล้ว
‘พวกเราไปที่อื่นกันเถอะ คืนนี้คงอยู่โรงพยาบาลไม่ได้ชั่วคราว’ เฉิงอี้เหิงบอก
‘แล้วจะไปที่ไหน’ ลู่จยาเอ่ยถาม
‘ข้างๆ โรงพยาบาลมีโรงแรมที่พวกญาติๆ ผู้ป่วยมักจะไปพักกัน ถ้าคุณไม่ถือสาล่ะก็…’ เมื่อพูดออกไปแล้วเฉิงอี้เหิงถึงเพิ่งรู้สึกว่าเขาไม่น่าพูด โรงแรมข้างๆ โรงพยาบาลนั้นเป็นโรงแรมที่ไม่ค่อยมีระดับนัก มักใช้เป็นที่พักชั่วคราวของญาติคนไข้ บริการก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สำหรับนักแข่งรถชื่อดังอย่างลู่จยาแล้วไม่ว่าจะไปที่ไหนเธอก็คงจะต้องไปพักในโรงแรมห้าดาว จะให้มาอยู่โรงแรมข้างทางเล็กๆ แบบนี้ดูท่าเธอคงจะต้องลำบากไม่น้อย
‘ได้ๆ แต่คุณห้ามลืมเรื่องที่ฉันพูดนะ!’ ลู่จยาหมายถึงเรื่องที่จะให้เขาเปลี่ยนห้องพักคนไข้ให้เธอ
เฉิงอี้เหิงพยุงตัวลู่จยาไว้ ทั้งสองคนค่อยๆ เดินไปบนเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนใช้เข้าออกโรงพยาบาล
‘พรุ่งนี้รบกวนคุณช่วยเปลี่ยนห้องพักของฉันเป็นห้องพักผู้ป่วยเดี่ยวและประกาศออกไปด้วยว่าฉันย้ายโรงพยาบาลแล้วให้หน่อยนะคะ’
‘อืม’
ยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บ เฉิงอี้เหิงพยุงลู่จยาเดินมาถึงบริเวณด้านหน้าของแผนกรับผู้ป่วยใน เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้า ด้านหลังของทั้งคู่มีไฟของอาคารผู้ป่วยในส่องสว่างอยู่
เสียงโทรศัพท์ของลู่จยาดังขึ้นหลายครั้ง
ลู่จยาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพบว่าเป็นข้อความที่ส่งมาจากผู้จัดการส่วนตัวของเธอ
‘ลู่จยา ท่านประธานกับฉันหารือกันแล้ว ตกลงกันว่าช่วงนี้ให้เธอพักผ่อนจนหายดีก่อน ส่วนเรื่องการแข่งขันเธอก็ไม่ต้องไปคิดถึงมันแล้ว รอให้ขาของเธอดีขึ้นแล้วค่อยว่ากันอีกที’
ตอนนี้เองลู่จยาถึงคิดขึ้นมาได้ว่าตอนที่ตื่นขึ้นมานั้น ประธานของสโมสรก็ยืนอยู่ใกล้ๆ กับหัวเตียงผู้ป่วยของเธอด้วย คล้ายว่าเขาจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ถูกแม่ของฮว่าถิงโวยวายขึ้นมาเสียก่อนจนไม่มีโอกาสได้พูด
ลู่จยาเข้ามาอยู่ในสโมสรแห่งนี้ตอนอายุสิบสี่ปี แทบจะเรียกได้ว่าประธานสโมสรนั้นเห็นเธอเติบโตขึ้นมาเลยทีเดียว ลู่จยาเองยังคิดว่าเขาคงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีมายาวนานและอาจให้โอกาสเธออีกสักครั้ง
ทว่า…ความสัมพันธ์นั้นช่างเป็นสิ่งที่ไร้ค่าและไร้ประโยชน์ที่สุด
ลู่จยาก้มหน้าลง ตอบข้อความกลับไปอย่างรวดเร็ว
‘ฉันจะรักษาตัวให้หายเร็วๆ รอฉันกลับไปนะ’
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก
ลู่จยาถอนหายใจ รู้ดีว่าที่ทำไปนั้นมันไร้ประโยชน์ เธอยื่นโทรศัพท์ให้เฉิงอี้เหิงดู ‘ทางสโมสรจะไล่ฉันออกแล้ว’
เฉิงอี้เหิงอ่านข้อความบนจอโทรศัพท์มือถือของลู่จยาแล้วรู้สึกขมฝาดในลำคอ เขารู้ดีว่าสนามแข่งขันนั้นมีความสำคัญกับนักแข่งรถอย่างพวกเธอมากแค่ไหน มันอาจหมายถึงชีวิตเลยก็ว่าได้
ทว่าตอนนี้กลับมีคนจะมายึดเอาชีวิตของเธอไป และลู่จยาก็ทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ
‘แล้วคุณตัดสินใจยังไง’
‘จะทำอะไรได้ ก็ต้องรอให้ขาหายก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าไม่มีสโมสรไหนต้องการฉันแล้ว ฉันก็จะเช่ารถแข่งเอง แค่ต้องใช้เงินมากหน่อย’ ลู่จยาพูดอย่างสบายๆ ดูเหมือนไม่ใส่ใจอะไร
ทั้งคู่เดินออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ทว่าขณะที่กำลังจะข้ามถนนก็มีพวกแก๊งมอเตอร์ไซค์ร้องโหวกเหวกโวยวายผ่านหน้าทั้งสองคนไป ลู่จยาไม่อาจละสายตาจากคนเหล่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉิงอี้เหิงเห็นความเหงาหงอยในแววตาของลู่จยา
ตอนนั้นเอง เฉิงอี้เหิงถึงรู้สึกว่าท่าทางไม่สนใจอะไรของลู่จยาอาจจะไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริง และนั่นทำให้เขาพลอยเศร้าไปกับเธอด้วย
ลู่จยาเห็นว่าเฉิงอี้เหิงกำลังจ้องเธออยู่จึงถามขึ้น ‘คุณจ้องฉันทำไมเนี่ย’
‘ดูท่าทางคุณจะชอบแข่งรถมากๆ แถมคุณก็มีพรสวรรค์ด้วย แต่กลับมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ ผมเชื่อว่ายังไงขาของคุณจะต้องกลับมาดีอีกครั้ง’
‘คุณขอโทษฉันเรื่องอะไร คุณไม่ใช่คนที่ทำให้ฉันเกิดอุบัติเหตุสักหน่อย เขาว่ากันว่าพวกหมอมีจิตใจเมตตาประหนึ่งบิดามารดา แต่คุณเนี่ยเมตตาเกินไปหรือเปล่า’ ลู่จยาพูดยิ้มๆ รอยยิ้มของเธอมีความดูแคลนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ส่อเจตนาร้ายอะไร ‘ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณด้วยนะ’
ถึงตอนนี้ลู่จยาก็รู้สึกแล้วว่าเฉิงอี้เหิงคนนี้เป็นคนดีทีเดียว เธอจึงรู้สึกผิดที่ก่อนหน้านี้แสดงกริยาไม่ค่อยดีใส่เขาตอนอยู่ในโรงพยาบาล
‘ผมพูดจริงๆ นะ’ เฉิงอี้เหิงบอกทั้งที่ยังยืนอยู่กลางถนนในยามค่ำคืน เขาไม่ได้สนใจสัญญาณไฟจราจรแล้ว ‘ผมได้ดูการแข่งขันคุณอยู่หลายครั้ง ได้เห็นท่าทางฮึกเหิมของคุณตอนอยู่ในสนามแข่ง คุณน่ะเกิดมาเพื่อการแข่งขันจริงๆ’
ลู่จยายักไหล่ เธอไม่ได้คิดจะพูดอะไรต่อแต่กลับใช้ไม้ค้ำพยุงตัวเดินต่อไปข้างหน้า เฉิงอี้เหิงจึงเดินตามเธอไป ทั้งคู่เดินเข้าไปในโรงแรมที่ดูกลางเก่ากลางใหม่แห่งหนึ่ง
พนักงานหน้าเคาน์เตอร์กำลังดูละครแนวแม่ผัวลูกสะใภ้พลางแทะเมล็ดแตงโมไปด้วย เมื่อเห็นว่ามีคนมาจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะมองพวกเขาตั้งแต่หัวจดเท้าแล้วพึมพำออกมา ‘ขาหักแล้วยังจะคิดมาเปิดห้องอีก’
‘ใช่ แบบนี้สิถึงจะสนุก’ ในเมื่อน้ำเสียงของพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ไม่เป็นมิตร ลู่จยาเองก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นกัน
เมื่อถูกย้อนเข้า พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็เปลี่ยนเรื่อง ‘บัตรประชาชน?’
‘ลืมเอามา’ ลู่จยาตอบง่ายๆ
ทว่าเฉิงอี้เหิงกลับหยิบบัตรประชาชนของตัวเองออกมาส่งให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์
พนักงานหน้าเคาน์เตอร์แย้งขึ้น ‘ไม่ได้ เอกสารของใครของมัน’
‘งั้นก็ช่างเถอะ’ ลู่จยาหันหลังเดินกลับ
เห็นแบบนั้นพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ถึงได้เรียกเอาไว้ ‘เดี๋ยวๆๆ ฉันหมายถึงเวลาปกติน่ะ แต่นี่มันดึกมากแล้ว ก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรขนาดนั้น’
‘อ้อ’ ลู่จยาดึงคีย์การ์ดจากมือพนักงานหน้าเคาน์เตอร์
เฉิงอี้เหิงคิดจะหันไปบอกกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ว่าเขาขึ้นไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ลงมาแล้ว แต่กลับโดนลู่จยาใช้สายตาห้ามเอาไว้เสียก่อน
ลู่จยาโขยกเขยกขึ้นบันไดไปหลายขั้นแล้วถึงค่อยยื่นมือมาทางเฉิงอี้เหิง ‘ขึ้นมาพยุงฉันหน่อย’
เฉิงอี้เหิงยื่นมือออกไปให้เธออย่างว่าง่าย เขาพยุงลู่จยาเอาไว้ ตัวของนักแข่งสาวพิงอยู่กับอกของเฉิงอี้เหิง แล้วลู่จยาพูดขึ้นอีกว่า ‘ในเมื่อเขาพูดซะขนาดนี้แล้ว คุณก็ทำตามนั้นไปเถอะ’
‘ทำไมล่ะ’
‘กับคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแบบนี้ คุณจะอธิบายไปเพื่ออะไร’
ลู่จยาพูดถูก ถ้าเขาจะต้องคอยอธิบายทุกครั้งที่มีคนเข้าใจผิดคงต้องเหนื่อยตายแน่
เฉิงอี้เหิงเดินขึ้นไปยังชั้นบนพร้อมกับลู่จยา โรงแรมนี้ไม่มีลิฟต์แต่ยังดีที่ห้องพักของลู่จยาอยู่ที่ชั้นสาม แม้เฉิงอี้เหิงอยากจะแบกลู่จยาขึ้นไปแต่ลู่จยากลับปฏิเสธ
‘ถ้าไม่อุ้มฉัน ฉันก็ค่อยๆ กระโดดขึ้นไปเองได้ คุณจะมาให้ฉันขี่หลังอะไรกันอีก ฉันเป็นพ่อของคุณหรือไง’
เฉิงอี้เหิงไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดี
ลู่จยาพูดต่ออีก ‘ฉันล้อคุณเล่นน่ะ’
เมื่อถึงห้องพักลู่จยาก็หยิบคีย์การ์ดออกมาเปิดประตูห้อง
พอพยุงตัวเองไปถึงเตียง เธอก็โยนไม้ค้ำทิ้งเตรียมตัวจะขึ้นไปนอนแผ่หลาบนเตียง เฉิงอี้เหิงคิดจะห้ามจึงตะโกนออกไป ‘เฮ้ย! คุณอย่าทิ้งตัวแบบนั้นสิ ถ้ากระเทือนแผลที่ขาจะว่า…’
แต่ก็ไม่ทันแล้ว ลู่จยาขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงเรียบร้อย
ทั้งเพิ่งผ่านการผ่าตัด แล้วยังหนีออกจากโรงพยาบาลมาอีก เรียกได้ว่าใช้ชีวิตสมบุกสมบันมาทั้งวัน ลู่จยาจึงเหนื่อยล้าจนแทบไม่ไหวแล้ว ทำให้พอขึ้นไปนอนบนเตียงเพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเธอ
เฉิงอี้เหิงรู้ว่าต่อให้เรียกลู่จยายังไงก็ไม่มีประโยชน์แล้วจึงพยายามดันตัวเธอเข้าไปด้านใน เขาดึงผ้าห่มที่เธอนอนทับไว้ออกมาแล้วห่มให้
ถึงจะห่มผ้าเรียบร้อยแล้วแต่คงยังไม่พอ เฉิงอี้เหิงคิดแล้วจึงค่อยๆ เก็บมุมผ้าห่มทั้งสี่ด้านให้เรียบร้อยด้วยเกรงว่าจะมีลมผ่านเข้าไป หากลู่จยาหนาวแล้วเกิดไม่สบายขึ้นมาคงไม่ดีแน่
เขาปรับเครื่องปรับอากาศให้อยู่ในโหมดสลีป ตอนนั้นเองถึงเห็นว่าที่รีโมตเครื่องปรับอากาศมีสติ๊กเกอร์แปะไว้ว่า เปิดใช้เครื่องปรับอากาศเพิ่มสิบหยวน เขาได้แต่ส่ายหัว
เฉิงอี้เหิงเปิดห้องธรรมดาซึ่งมีเตียงอยู่สองเตียง เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเขาก็รู้สึกว่าปวดเมื่อยไปทั้งตัวจึงบิดขี้เกียจแล้วปีนขึ้นไปเตียงข้างๆ ตั้งใจจะหลับตาสักพัก กะว่าพอพวกนักข่าวไปแล้วเขาก็จะรีบกลับไปที่ห้องพักของตัวเองเพื่องีบต่ออีกสักหน่อยก่อนจะออกไปราวนด์วอร์ดตอนแปดโมงเช้า
ไม่คิดเลยว่าหลังจากหลับตาลงแล้วจะเผลอหลับจนถึงเช้า และเป็นเพราะเสียงกดชักโครกที่ทำให้เขาตื่นขึ้น
ขณะที่เฉิงอี้เหิงลืมตาขึ้น เขาก็เห็นลู่จยายืนพิงอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ ‘ขา…ชาอีกแล้ว’
เขาสะบัดผ้าห่มที่ไม่รู้ว่าห่มไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ออก ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ ลู่จยาอย่างรวดเร็ว เฉิงอี้เหิงก้มลงนั่งยองๆ เพื่อให้ลู่จยาเกาะหลังเขา แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของเธอขึ้นมาจึงตัดสินใจอุ้มลู่จยาแทน เขาอุ้มเธอไปวางไว้บนเก้าอี้
‘ล้างหน้าล้างตาแล้วใช่ไหม’ เฉิงอี้เหิงถาม
‘อืม’ ลู่จยาตอบ
เฉิงอี้เหิงลูบหน้าตัวเอง ‘งั้นรอผมแป๊บนึงนะ’ พูดจบเขาก็ตรงไปที่ห้องน้ำแล้วปิดประตูตามหลัง
ตอนที่เขาเดินเข้าห้องน้ำไป โทรศัพท์มือถือของเฉิงอี้เหิงที่วางไว้ตรงตู้ข้างหัวเตียงก็ดังขึ้น ลู่จยาเอื้อมมือไปคว้าได้พอดีจึงช่วยเขารับสาย
‘ฮัลโหล’ น้ำเสียงร้อนรนของหญิงสาวดังขึ้น ‘คุณหมอเฉิงอยู่ไหนคะนี่ใกล้จะถึงเวลาราวนด์วอร์ดแล้วทำไมคุณหมอยังไม่มาอีก เมื่อวานคุณหมออยู่เวรไม่ใช่เหรอคะ อีกเรื่อง ลู่จยาคนนั้นก็หายตัวไปด้วยค่ะ ตอนนี้ตำรวจกำลังมาที่นี่ พวกเขาจะมาสอบปากคำเธอ เธอคงไม่ได้หนีไปแล้วหรอกนะคะ’
‘ฉันอยู่กับคุณหมอเฉิงค่ะ ตอนนี้เขากำลังแปรงฟันอยู่ พวกเราจะรีบกลับไปนะคะ ยังไงฝากคุณช่วยบอกกับตำรวจด้วยว่าฉันไม่ได้หนี’ พูดจบลู่จยาก็วางสายโทรศัพท์ทันที
เฉิงอี้เหิงพยุงลู่จยากลับมาถึงโรงพยาบาลก่อนแปดโมงเช้า
มีตำรวจมารออยู่ในห้องพักคนไข้นานแล้ว ลู่จยาปีนขึ้นเตียงคนไข้ ส่วนเฉิงอี้เหิงนั้นออกไปราวนด์วอร์ด ลู่จยาจำได้ว่าตำรวจตรงหน้าของเธอคือคนเดียวกับที่กอดขาของนักข่าวคนนั้นเอาไว้นั่นเอง เขาไม่ได้ทำหน้าที่ของตำรวจเลยสักนิด
ตำรวจแนะนำตัวเองว่าแซ่เหลิ่ง ดูๆ แล้วเขาน่าจะอายุประมาณสามสิบต้นๆ เป็นตำรวจที่ทางตำรวจจราจรส่งมาเพื่อสอบปากคำเธออย่างเป็นทางการ หลังจากแนะนำตัวแล้วเขาก็เริ่มพูด ‘จากการเก็บหลักฐานร่องรอยต่างๆ บริเวณที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียงแล้ว ในเบื้องต้นถือว่าเป็นอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์เท่านั้นครับ แต่ก็ยังมีคำวิจารณ์…’
‘ฉันเข้าใจค่ะ’
‘คืนนั้นที่คุณกับคุณฮว่าถิงออกไปแข่งรถกัน ใครนัดกับใครครับ’
‘ฮว่าถิงนัดฉันค่ะ เธอบอกว่าวันรุ่งขึ้นเป็นการแข่งขันรอบตัดสินเลยอยากจะลองซ้อมแข่งกับฉันดูก่อน’
ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่ค่ำคืนเดียว คนสองคนจะได้ผ่านประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาลเช่นนี้ คนหนึ่งเสียชีวิต ส่วนอีกคนบาดเจ็บ และสุดท้ายก็ไม่มีใครได้เข้าร่วมการแข่งขันดังกล่าว ตำแหน่งแชมป์ตกเป็นของนักแข่งไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งทำให้นักแข่งคนนั้นมีชื่อเสียงขึ้นมา
การออกไปซ้อมก่อนการแข่งขันของเธอกับฮว่าถิงทำให้ชีวิตของคนสามคนเปลี่ยนไป
ลู่จยาเล่ารายละเอียดการประลองความเร็วในคืนที่เกิดเหตุให้กับคุณตำรวจเหลิ่งฟังอย่างละเอียด คุณตำรวจเหลิ่งจึงซักถามในประเด็นที่สงสัยเพิ่มเติม ‘คุณบอกว่าคุณชนเข้ากับสิ่งกีดขวางก่อนถูกต้องไหมคัรบ แล้วรถของคุณฮว่าถิงก็ชะลอความเร็วลง หากเป็นแบบนั้นจริงแล้วทำไมรถของคุณฮว่าถิงถึงยังพุ่งไปที่แผงกั้นจนตกลงไปที่หน้าผาอีกล่ะครับ’
‘นั่นคือเรื่องที่พวกคุณต้องไปตรวจสอบ ฉันเองก็เป็นผู้เสียหายนะ’ ลู่จยาเน้นย้ำ ‘คุณไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดเทียนหวั่งแล้วหรือยังคะ’
‘พอดีว่าในคืนนั้นมีพายุและฝนตกก็หนักอีกด้วยกล้องวงจรปิดจึงเสียหายครับ พวกเขาส่งกล้องไปซ่อมแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกข้อมูลคืนได้หรือเปล่า’
ลู่จยารู้สึกหงุดหงิด ‘แล้วจะทำยังไงต่อ’
‘เราคงต้องตรวจสอบต่อไปครับ’ คุณตำรวจเหลิ่งพูด ‘ยังไงก็ขอให้ติดต่อได้เสมอแล้วกันนะครับ ถ้าหากคุณต้องการอะไรก็บอกพวกเราจะได้ให้ความช่วยเหลือคุณ’
‘ฉันไม่คิดอยากจะติดต่อกับตำรวจตลอดเวลาหรอกค่ะ ที่สำคัญฉันไม่คิดว่าพวกคุณจะช่วยอะไรฉันได้ คราวที่แล้วฉันถูกซุปไก่สาดใส่ แถมยังมีพวกนักข่าวรุมถ่ายรูปฉันอย่างบ้าคลั่งอีก แค่นั้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ชัดเจนแล้วนี่คะ’
คุณตำรวจเหลิ่งพูดไม่ออก เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า ‘เรื่องคราวที่แล้วเป็นเพราะพวกเราไม่รอบคอบ คราวหน้าพวกเราจะส่งเจ้าหน้าที่…’
‘เอาเถอะ’ ลู่จยาตัดบทคุณตำรวจเหลิ่ง เธอไม่อยากจะได้ยินคำแก้ตัวของเขาอีกจึงเปลี่ยนเรื่อง ‘เฉิงอี้เหิงล่ะคะ?’
‘คุณถามหาเขาทำไมครับ คุณสนิทกับเขาเหรอ’ คุณตำรวจเหลิ่งถามกลับ
‘คุณตำรวจเหลิ่ง วันนั้นมีนักข่าวจำนวนไม่น้อยพุ่งเข้ามาในห้องพักคนไข้ แล้วยังมียายป้าสติไม่ดีเอาซุปไก่สาดใส่ฉันทั้งตัวอีก เรื่องนี้คุณก็รู้นี่ ฉันต้องการเจอคุณหมอเพื่อจะเปลี่ยนห้องพักค่ะ ฉันไม่ตายเพราะอุบัติเหตุ แต่กลับต้องมาปวดหัวตายเพราะนักข่าว’
‘คุณลู่จยา คุณอย่าหาว่าคำพูดของผมไม่น่าฟังเลยนะครับ พ่อแม่ของฮว่าถิงมีลูกเพียงคนเดียว ตามข้อมูลที่เราได้รับมา สองคนสามีภรรยาฝากความหวังทุกอย่างไว้กับลูกสาว แล้วคุณฮว่าถิงมาเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ คนผมขาวส่งคนผมดำ พ่อแม่ของเธอย่อมต้องเสียใจมาก สำหรับเรื่องสาดซุปเมื่อครั้งก่อน พวกเราได้ตักเตือนพวกเขาไปแล้ว คุณก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะครับ’
เด็กกำพร้าอย่างลู่จยาได้ยินคำพูดนี้เข้าในใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา หากพูดในมุมมองของพ่อแม่ของฮว่าถิง พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งพาฮว่าถิงจริงๆ เมื่อทั้งคู่เสียลูกสาวไปก็ต้องโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง
เธอพยักหน้ารับ ‘ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ฉันขอไปห้องน้ำหน่อยนะ’
เมื่อเข้ามาในห้องน้ำ ลู่จยาก็ติดต่อกับอดีตผู้ช่วยส่วนตัวของเธอ ‘เสี่ยวเข่อ จำรหัสบัตรเอทีเอ็มของฉันได้ใช่ไหม รบกวนเธอไปหาเลขบัญชีธนาคารของพ่อแม่ฮว่าถิงให้หน่อยนะ แล้วเอาบัตรเอทีเอ็มในล็อกเกอร์ของฉันที่สโมสรไปโอนเงินให้พวกเขาห้าล้าน’
‘ห้าล้าน?’ เสี่ยวเข่ออดีตผู้ช่วยของเธอร้องถามอย่างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ‘พี่จยา พี่รู้ไหมว่าพี่มีเงินอยู่เท่าไหร่’
‘ให้โอนก็โอนเถอะ สองคนนั่นเขาสูญเสียลูกสาวไปคงไม่มีรายได้ไม่มีเงินเลี้ยงตัวแล้ว เงินห้าล้านคงจะพอให้พวกเขาเลี้ยงตัวเองต่อไปได้แล้วล่ะมั้ง’
‘พอให้พวกเขาเลี้ยงตัวต่อไปได้? แล้วพี่คิดหรือเปล่าว่าตัวเองจะอยู่ยังไง อีกอย่างนะพี่จยา เรื่องพ่อแม่ฮว่าถิงบุกเข้าไปในห้องพักคนไข้แล้วทั้งทำร้ายทั้งสาดน้ำแกงใส่พี่มันกระจายไปทั่วอินเตอร์เน็ตแล้วนะ ทุกคนพากันพูดว่าพี่เป็นฆาตกรฆ่าฮว่าถิง แล้วตอนนี้พี่ยังจะโอนเงินให้พ่อแม่เขามากมายขนาดนั้นอีก คนอื่นต้องคิดเลอะเทอะไปกันใหญ่แน่’ เสี่ยวเข่อบ่นยืดยาว
‘เธอไม่พูดฉันไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ ตอนโอนเงินก็ไม่ต้องใส่ชื่อไปอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เลิกพูดได้แล้วน่า ฉันมีธุระ อย่าลืมนะฝากไปจัดการด้วย ให้เร็วที่สุดล่ะ’ พอลู่จยาออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าคุณตำรวจเหลิ่งยังไม่กลับไป เธอจึงมองคุณตำรวจเหลิ่งด้วยความหงุดหงิด
‘คุณหมอเฉิง! คุณมานี่หน่อยสิคะ!’ เมื่อเห็นเฉิงอี้เหิงเดินผ่านมา ลู่จยาก็รีบตะโกนเรียกเขา เธอตั้งใจจะแสดงอะไรสักอย่างให้คุณตำรวจเหลิ่งดูเพื่อเร่งคุณตำรวจเหลิ่งให้รีบกลับไป
เธอดึงเฉิงอี้เหิงเข้ามากระซิบข้างหู ‘เรื่องที่พูดกันเมื่อคืน คุณยังจำได้ใช่ไหม’
เฉิงอี้เหิงพยักหน้ารับ
ทว่ากลับมีพยาบาลถือถาดเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาชนเฉิงอี้เหิง เฉิงอี้เหิงที่ไม่ทันระวังจึงล้มทับตัวลู่จยา
ดวงตาของทั้งสองมองสบกัน ใบหน้าอยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร
ใบหูของเฉิงอี้เหิงแดงขึ้นมาทันที แพทย์หนุ่มสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มตรงหน้าอกของตน แต่ลู่จยากลับไม่สะทกสะท้านซ้ำยังยื่นนิ้วเย็นๆ ออกไปเขี่ยจมูกของเขาอีก
เฉิงอี้เหิงหน้าแดงจัดรีบลุกขึ้นยืน ทว่าลู่จยากลับไม่ยอมปล่อยเขา ‘คุณหมอเฉิงจมูกโด่งดีนะ’
เธอเคยได้ยินมาว่าคนจมูกโด่งมักจะเก่ง ‘เรื่องนั้น’
ในที่สุดลู่จยาก็ทำให้คุณตำรวจเหลิ่งกลับไปจนได้ ตำรวจหนุ่มทิ้งเบอร์ติดต่อไว้พร้อมกำชับเธอไม่ให้ออกจากพื้นที่ตามอำเภอใจก่อนจะกลับไป
เฉิงอี้เหิงอยู่ในห้องพักคนไข้ต่ออีกครู่ใหญ่ เขาหยิบบัตรเดบิตและกระเป๋าสตางค์ของเธอออกมาจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ส่งให้ลู่จยา
‘เมื่อครู่ตอนที่อยู่ด้านนอกผมเจอผู้ชายคนหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นประธานของสโมสรที่คุณสังกัดอยู่ พอดีเขาเห็นตำรวจยังอยู่ก็เลยไม่สะดวกเข้ามา แล้วก็ฝากเจ้านี่มาให้คุณพร้อมกับจดหมายอีกฉบับ’
ลู่จยารับมาและเปิดจดหมายออกดู ในจดหมายเขียนไว้ว่า
‘จยาจยา พวกเราต้องขอโทษด้วยจริงๆ ตอนนี้เรื่องราวอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกำลังลุกลามใหญ่โตทำให้ทางสโมสรไม่สามารถให้คุณเป็นนักแข่งของสโมสรต่อไปได้ เรื่องการยกเลิกสัญญานั้น ผมจะให้ผู้จัดการส่วนตัวของคุณมาเจรจาอีกที ส่วนเงินในบัตรนั่นถือซะว่าเป็นเงินชดเชยจากทางสโมสร คุณใช้มันได้ตามสบายเลย ผมแนบรหัสบัตรมาให้แล้วในซองจดหมาย แล้วก็เสี่ยวเข่อได้ฝากกระเป๋าสตางค์ของคุณมาด้วย ขอโทษจริงๆ ที่ทางสโมสรของเราทำได้เพียงแค่นี้’
ลู่จยารู้ดีว่าประธานสโมสรหมายถึงอะไร…
คำวิจารณ์ต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าลู่จยาเป็นคนวางแผนประชันความเร็วจนทำให้ฮว่าถิงต้องเสียชีวิต ตอนนี้แฟนคลับของฮว่าถิงก็กำลังทะเลาะกับแฟนคลับของลู่จยาอยู่ในอินเตอร์เน็ตนั่น
และเนื่องจากฮว่าถิงจากไปแล้ว คนทั่วไปจึงยืนอยู่ข้างฮว่าถิงเพื่อเป็นการให้เกียรติกับผู้เสียชีวิต พวกเขากระหน่ำโจมตีจนแฟนคลับลู่จยาไม่อาจตอบโต้อะไรได้ สุดท้ายแล้วกลุ่มแฟนคลับของลู่จยาก็ต้องประกาศสลายตัว
กลุ่มแฟนคลับนี้เป็นกลุ่มอย่างเป็นทางการ ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องมีคนของสโมสรเป็นคนดำเนินการให้
สโมสรตัดสินใจไม่เก็บเธอไว้แล้ว
ลู่จยาเข้าใจดี
‘เกิดอะไรขึ้น’ เฉิงอี้เหิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้น
‘ไม่มีอะไร แค่ประธานสโมสรจะไล่ฉันออกเลยให้เงินชดเชยมานิดหน่อย ก็บัตรที่คุณเอามาให้ฉันนั่นไงล่ะ’
‘หา? แต่คุณดูเหมือนไม่เป็นอะไรเลย ผมยังคิดว่าคุณน่าจะเสียใจไม่น้อย’ เฉิงอี้เหิงเอ่ยขึ้น
‘มีอะไรที่ต้องเสียใจอีก มีเงินถึงจะเป็นพระเจ้า’
เฉิงอี้เหิงรู้ว่าลู่จยาไม่ได้พูดออกมาจากใจจริง จากข่าวคราวที่เขารับรู้มานั้น ลู่จยาเป็นคนที่ไม่ได้คิดมากเรื่องเงินๆ ทองๆ เธอมักจะใช้เงินโดยไม่คิด ทั้งยังดีกับแฟนคลับมากๆ ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดให้มีแฟนคลับกลุ่มใหญ่
‘เมื่อไหร่ฉันจะได้เปลี่ยนห้องพัก’
‘ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว’ เฉิงอี้เหิงนำเสื้อกันลมที่ถือไว้คลุมไหล่ให้กับลู่จยา บนเสื้อมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของเขา ‘นี่เสื้อผมเอง ซักสะอาดแล้ว เดี๋ยวผมจะพาคุณหลบสายตาของพวกนักข่าวไปที่ห้องพักผู้ป่วยใหม่ ยังไงคุณอดทนหน่อยแล้วกันนะครับ สวมเสื้อตัวนี้ไว้แล้วก็สวมหมวกด้วย’
เฉิงอี้เหิงทำเหมือนกับมีเวทมนตร์เสกทุกอย่างออกมาได้ เขาหยิบหมวกแก๊ปออกมาจากทางด้านหลังแล้วสวมให้กับลู่จยา
‘ส่วนข้าวของของคุณ ผมจะให้พยาบาลช่วยเก็บแล้วค่อยส่งตามไป’
เฉิงอี้เหิงเข็นรถวีลแชร์มาให้เพื่อที่เขาจะได้พาลู่จยาขึ้นลิฟต์ตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยใหม่ได้ ระหว่างทางเดินนั้นมีคนที่สะพายกล้องเอาไว้ยืนอยู่กันหลายคน
‘ท่าทางพวกเขาจะไม่ยอมเลิกรากันไปง่ายๆ นะ’
‘ก็จริง’ ลู่จยาหาวออกมา ‘ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจบสักที’
ในตอนที่พวกเขากำลังจะออกจากห้องผู้ป่วยก็มีพนักงานส่งของมาเคาะประตู ‘ขอโทษนะครับ ใครคือคุณลู่เหรอครับ’
‘ฉันเอง’ ลู่จยายกมือขึ้น
‘กรุณาเซ็นรับด้วยครับ’
ลู่จยาเซ็นรับพัสดุแล้วยื่นกล่องนั้นให้เฉิงอี้เหิง ‘ให้คุณน่ะ’
‘อะไรเหรอ’ เฉิงอี้เหิงรับมาอย่างงงๆ
‘มือถือน่ะ’ ลู่จยาตอบ
เฉิงอี้เหิงจึงนึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เขาทำหน้าจอโทรศัพท์มือถือตกจนมันแตกร้าวเป็นใยแมงมุม คิดไม่ถึงว่าลู่จยาจะซื้อเครื่องใหม่ให้เขาอย่างรวดเร็วเช่นนี้
‘ผมรับไว้ไม่…’ เฉิงอี้เหิงยังพูดไม่ทันจบ ลู่จยาก็หมุนล้อวีลแชร์พาตัวเองออกจากห้องไปแล้ว
เฉิงอี้เหิงมองตามแผ่นหลังของลู่จยา เขาได้แต่ส่ายหัวอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี จากคำพูดของฮว่าถิงแล้ว ลู่จยาเป็นคนแบบนี้ ใครดีกับเธอ เธอก็ดีตอบเป็นสิบเท่า
แม้ภาพลักษณ์ภายนอกของลู่จยาจะดูเย็นชา แต่จริงๆ แล้วเธอก็แค่คนซื่อบื้อคนหนึ่ง
นี่คือคำจำกัดความของลู่จยาที่ฮว่าถิงเคยพูดไว้
หลังย้ายห้องพักผู้ป่วยสำเร็จ ลู่จยาก็ได้อยู่อย่างสงบสุขไปหลายวัน เธอรู้สึกขอบคุณเฉิงอี้เหิงมากทีเดียว และวางแผนจะหาเวลาเอาเงินหนึ่งแสนหยวนที่รับปากไว้ไปให้กับเฉิงอี้เหิงแต่กลับกลายเป็นว่าในช่วงหลายวันนี้เป็นวันหยุดของเฉิงอี้เหิง ลู่จยาจึงไม่มีโอกาสได้พบกับเขา
บ่ายวันนั้น ขณะที่พยาบาลนำบิลค่าใช้จ่ายมาให้ลู่จยา เฉิงอี้เหิงก็กลับมาทำงานแล้ว ลู่จยาจึงเรียกแพทย์หนุ่มมาหาก่อนจะยื่นบัตรเดบิตที่ได้มาจากประธานของสโมสรให้เขา ‘คุณช่วยไปรูดให้ฉันหน่อยสิ นี่รหัสค่ะ’
เมื่อจ่ายเงินเสร็จแล้วเฉิงอี้เหิงก็กลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย เขาส่งบัตรคืนให้ลู่จยาแต่เธอกลับไม่รับ
‘คุณไปที่ตู้เอทีเอ็มแล้วโอนให้ตัวเองหนึ่งแสนด้วยนะ’ ลู่จยาพูด
‘หนึ่งแสน?’ เฉิงอี้เหิงดูสับสน
‘ก็คราวก่อนฉันพูดไว้แล้วว่าถ้าคุณช่วยฉัน ฉันจะให้เงินคุณแสนหนึ่งไง’ ลู่จยาอธิบาย
‘ผมไม่ต้องการ’ เฉิงอี้เหิงพูดจบก็ยัดบัตรใบนั้นใส่มือลู่จยา
ลู่จยาดันบัตรในมือกลับไปให้เขา ‘คุณต้องรับ เงินแค่เล็กๆ น้อยๆ เรื่องเล็กๆ…’
‘แต่ว่า…’ เฉิงอี้เหิงพูดไปก็ถูกขัด
‘เอาอย่างนี้แล้วกัน’ ลู่จยาโขยกเขยกมาข้างๆ วีลแชร์ก่อนจะนั่งลง ‘คุณพาฉันไปที่ตู้เอทีเอ็ม ฉันจะไปกดเงินสดมาให้คุณ แบบนี้สิถึงจะเป็นการแสดงความจริงใจ’
เฉิงอี้เหิงทนลู่จยารบเร้าไม่ไหวจึงได้แต่ทำตามที่เธอต้องการ
ก่อนที่จะออกจากห้องพักผู้ป่วย เฉิงอี้เหิงช่วยลู่จยาแต่งตัวจนมิดชิด ทั้งคู่ลงมาที่ตู้เอทีเอ็มตรงแผนกการเงินซึ่งอยู่บริเวณส่วนกลางของโรงพยาบาล
ลู่จยาสอดบัตรเข้าไป เธอไม่ได้สนใจตรวจสอบยอดเงินเลยสักนิด แต่กลับกดถอนเงินหนึ่งแสนหยวนทันที
ระบบแจ้งว่าจำนวนเงินคงเหลือไม่เพียงพอ
ลู่จยางุนงงไปพักหนึ่งก่อนจะรีบกดตรวจสอบยอดเงินคงเหลือทันที บนหน้าจอแสดงว่าเงินคงเหลือในบัตรนั้นมีไม่ถึงสองหมื่นหยวน
ลู่จยารู้สึกอับอายอย่างมาก ‘นี่…นี่มัน…’
ฮว่าถิงพูดไว้ไม่ผิด ลู่จยาเป็นสาวซื่อบื้อ
ลู่จยาเป็นคนที่ไม่ได้เห็นคุณค่าของเงิน เธอหาเงินได้มากเท่าไหร่ก็ใช้ไปเท่านั้น แล้วยังโอนเงินให้พ่อแม่ของฮว่าถิงไปอีกห้าล้านหยวน บัตรที่ประธานสโมสรมอบไว้ให้เธอใบนี้จึงเป็นบัตรใบเดียวที่ยังมีเงินอยู่ แต่เมื่อชำระค่าผ่าตัด ค่ายา และค่าห้องพักในโรงพยาบาลไปแล้วก็เหลือเพียงเท่านี้
‘…ตอนนี้ฉันคงจะให้เงินหนึ่งแสนกับคุณไม่ได้แล้ว เดี๋ยวฉันขอกลับไปหาวิธีก่อนนะ’ ลู่จยาหันหน้ากลับมามองเฉิงอี้เหิงอย่างเขินๆ พอไม่มีเงินลู่จยาก็ทำตัวไม่ถูก เธอมองเฉิงอี้เหิงด้วยความละอายใจ จำได้ว่าตัวเองพูดจาหน้าใหญ่โตไว้แค่ไหน นึกแล้วตอนนี้ก็อยากจะขุดหลุมฝังตัวเองจริงๆ
เรื่องที่ลู่จยากลัวที่สุดคือการไม่สามารถทำตามสิ่งที่รับปากไว้ได้
‘ไม่เป็นไร’ เฉิงอี้เหิงตอบ
ลู่จยายังไม่ยอมแพ้ เธอก้มหน้าลงรื้อกระเป๋าสตางค์ที่เพิ่งได้รับมา ในนั้นมีบัตรมากมายที่ใช้ไม่ได้แต่กลับไม่มีเงินเลย เธอยิ่งทำตัวไม่ถูก ภาพลักษณ์ที่ดีของเธอ ที่ทำเป็นเก่งต่อหน้าเฉิงอี้เหิงทั้งหมดนั่นพังทลายไม่มีชิ้นดี
เฉิงอี้เหิงกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ‘ไม่เป็นไรๆ ผมไม่ได้ต้องการเงินครับ’
ลู่จยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยุคนี้เป็นยุคสมัยของการใช้เงิน จะยังมีใครที่ไม่ต้องการเงินอีกเหรอ หรือว่าเขาจะต้องการอย่างอื่น…
ลู่จยาเงยหน้าขึ้นถาม ‘งั้นทำไมคุณถึงได้ดีกับฉันนักล่ะ’
‘เอ่อ…’ เฉิงอี้เหิงลังเลขึ้นมา
ลู่จยาเป็นคนที่คิดอะไรอย่างง่ายๆ พอเธอทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาในช่วงนี้แล้วดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา เธอแอบคิดอยู่ในใจว่าที่เฉิงอี้เหิงคนนี้ยอมเสี่ยงชื่อเสียงและอนาคตมาผ่าตัดให้เธอ ช่วยกันเธอจากนักข่าว แถมยังช่วยเธอจากการถูกซุปไก่สาดอีก ทั้งหมดนั้นหากเขาไม่ได้ทำเพราะเงิน…
หรือว่า…เขาจะชอบฉัน?
ลู่จยาเข้าร่วมสโมสรเพื่อฝึกหัดขี่มอเตอร์ไซค์ตอนช่วงอายุสิบสี่ คนในสโมสรล้วนดีกับเธอเพราะเธอเป็นตัวทำเงิน ประเด็นนี้ลู่จยารู้อยู่แก่ใจดี และเพราะแบบนี้ถึงรู้สึกแปลกๆ เมื่อเฉิงอี้เหิงมาทำดีกับเธอทั้งที่เธอไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย
เวลาที่ลู่จยาขี่รถจะมีความมุ่งมั่น เด็ดขาด อีกทั้งเทคนิคก็เป็นเลิศ เธอชอบที่จะเสี่ยง ในการแข่งขันที่ผ่านๆ มานั้น ภาพที่มักจะปรากฏต่อสายตาผู้ชมคือหลายๆ ครั้งตัวรถของเธอเกือบจะแนบราบไปกับพื้น ทุกคนต่างพากันคิดว่าจะต้องเกิดอุบัติเหตุกับเธอแน่นอน แต่แล้วเธอกลับสามารถพลิกสถานการณ์ได้และขึ้นนำคู่ต่อสู้ไปอย่างรวดเร็ว ลู่จยาชอบทำให้ผู้ชมตกใจเสมอ
และเพราะว่าลู่จยาไม่ค่อยให้สัมภาษณ์กับสื่อสักเท่าไหร่ ภาพของเธอที่ปรากฏอยู่หน้ากล้องเพียงไม่กี่ครั้งจึงมักจะเป็นภาพที่ดูเท่ๆ ไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังนั้นเธอเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
คนส่วนใหญ่จะได้เห็นภาพลักษณ์ของลู่จยาเฉพาะตอนที่อยู่ในสนามแข่งเท่านั้น แต่ความจริงแล้วเธอเป็นแค่สาวน้อยที่มีอีกด้านซึ่งไม่มีใครรู้จัก เช่น เธอมักจะเข้าไปเม้าท์มอยในกลุ่ม ‘สายเม้าท์มาแล้วจ้า’ ในโต้วปั้น ลู่จยาเคยอ่านกระทู้เกี่ยวกับความรู้สึกและการใช้ชีวิตของคนอื่นมาแล้วมากมาย ดังนั้นตอนนี้เมื่อมาเจอกับเฉิงอี้เหิงที่ดีกับเธอมาก เธอจึงคิดว่าตนควรจะไปขอความคิดเห็นจากบรรดาเทพธิดาตัวน้อยๆ ในกลุ่มดีไหม ให้คนเหล่านั้นช่วยกันวิเคราะห์เรื่องนี้
ลู่จยาจมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเองจนลืมเฉิงอี้เหิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ไปแล้ว เธอพยักหน้ากับตัวเองด้วยใบหน้าที่แสดงความมั่นใจอย่างมากกับการตัดสินใจครั้งนี้ไปตลอดทางพร้อมๆ กับหมุนล้อวีลแชร์เพื่อกลับห้องพักด้วยตัวเอง ทิ้งให้เฉิงอี้เหิงยืนงงอยู่ทางด้านหลัง
เมื่อกลับถึงห้องพักเธอก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาทันที ลู่จยาเปิดกลุ่มในโต้วปั้นและตั้งกระทู้ ‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ ขึ้นมา
เธอไม่คิดเลยว่าเมื่อตั้งกระทู้แล้วจะมีคนตอบกลับมากมายเช่นนี้ ที่ผ่านมาเธออยู่คนเดียวตามลำพังจนเคยชิน เวลานี้จึงรู้สึกมีความสุขอย่างมากที่ได้แบ่งปันความรู้สึกต่างๆ กับคนอื่น
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ข้อความในอินเตอร์เน็ต แต่ลู่จยาก็ได้รับแรงสนับสนุนมากมาย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.