บทที่สาม
“สะใภ้สี่ ท่านแต่งให้คุณชายสี่แล้ว ยังคงลืมเขาเสียเถิด” ฝูหรงสะกิดนางเบาๆ “สะใภ้สามกำลังจับตามองท่านอยู่”
เลี่ยวจิ้งชูหันหน้ามาด้วยความฉงน “เขาคือใคร”
ฝูหรงเกือบจะกัดลิ้นตนเองขาด เหตุใดข้าลืมไปเสียได้ สะใภ้สี่สูญเสียความทรงจำแล้ว
“เขาก็คือคุณชายลู่ เป็นลูกศิษย์ที่ท่านอัครเสนาบดีเหยาภาคภูมิใจ และเป็นแขกประจำของจวนหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง” เลี่ยวจิ้งชูหรี่ตามอง แววตาคุกคามคน ฝูหรงจึงตอบไปตามตรง “ท่านกับเขา…ถูกคอกัน…มาก” แล้วทำปากยื่นบอก “เขากับจวนกั๋วกงแต่ไรมาไม่เคยไปมาหาสู่กัน”
“ลูกศิษย์ของอัครเสนาบดีเหยา?”
“อัครเสนาบดีเหยาเป็นบิดาของสะใภ้ใหญ่”
“สะใภ้ใหญ่ถึงกับเป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดี?” เลี่ยวจิ้งชูอึ้งตะลึง “นางชื่ออะไรหรือ”
มิน่าเล่า สะใภ้ใหญ่ถึงสุขุมเยือกเย็นเพียงนี้ จัดการเรื่องราวได้อย่างฉลาดเฉียบแหลม สามารถเก็บงำความรู้สึกไม่เผยออกมา ไม่ใช่ท่าทีแบบพานหมิ่นที่พาลพาโลไม่ฟังเหตุผล ที่แท้ก็เป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดี ไม่รู้พานหมิ่นเป็นบุตรสาวของผู้ใด
“สะใภ้ใหญ่ชื่อเหยาหลัน เป็นบุตรสาวคนรองของภรรยาเอกของท่านอัครเสนาบดีเหยา พี่สาวแม่เดียวกันของนางคือ…” เห็นลู่เซวียนคุกเข่าลง ฝูหรงรีบดึงมือนาง “สะใภ้สี่รีบคารวะตอบเจ้าค่ะ”
เลี่ยวจิ้งชูโขกศีรษะสามครั้งตอบลู่เซวียนผ่านม่านบางที่กั้นอยู่ นับเป็นการคารวะตอบ
ลู่เซวียนหาได้ลุกขึ้น เขารับเงินกระดาษที่เด็กรับใช้ยื่นส่งให้ ใส่ลงเผาในกระถางดินเผา ท่องบทกวีเสียงดัง
“แสนอนิจจาต่งอ้าย! โชคร้ายจากไปแต่เยาว์วัย! ยามมีชีวิตเป็นอัจฉริยะ จากไปแล้วเป็นวีรบุรุษ ชีวิตคนแสนสั้น”
น้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าวสะเทือนใจดังกังวานไปทั่วห้องโถงใหญ่ โถงที่ตั้งศพเงียบสงบลงทันที
เลี่ยวจิ้งชูแอบมองไป ก็สบเข้ากับสายตาของลู่เซวียนที่มองมาพอดี ดวงตาทั้งสองมองประสานกัน ราวมีไฟฟ้าผ่านร่าง เลี่ยวจิ้งชูเนื้อตัวสั่นเทา ความเวทนาสงสารปวดใจและความอบอุ่นจางๆ ที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่นั้นในพริบตาที่สบประสานกัน ทำให้นางรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกคุ้นเคยมากเพียงนั้น
ดวงตาที่ลึกล้ำเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกคู่นี้คล้ายคลึงกันมากกับดวงตาของเขาเมื่อชาติก่อน ชั่วขณะนั้นเลี่ยวจิ้งชูรู้สึกว่าคนทั้งห้องโถงที่ตั้งศพต่างได้ยินเสียงหัวใจเต้นของนาง ริ้วแดงค่อยๆ ผุดขึ้นมาที่สองข้างแก้ม
“ฮึ บอกแล้วว่านางเป็นพวกมีนิสัยเหมือนน้ำ!”
เห็นเลี่ยวจิ้งชูกับลู่เซวียนส่งสายตาให้กัน ใบหน้าแดงซ่าน พานหมิ่นก็พูดจากระทบกระเทียบขึ้นมาอีก ต่งซูก็พลอยแค่นเสียงหัวเราะตามมา
“นั่นสิ ปกติเขากับจวนของเราไม่เคยไปมาหาสู่กัน ปีที่แล้วยังแต่งบทกวีถากถางพี่สี่ที่กองอาลักษณ์อยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็แต่งคำไว้อาลัยที่เศร้าสะเทือนใจเช่นนี้ออกมา อยากดึงดูดความสนใจจากใครกัน ผี…”
คำพูดออกมาได้ครึ่งหนึ่งก็สบเข้ากับสายตาเยียบเย็นคมกริบของเลี่ยวจิ้งชูเข้า ต่งซูอดเนื้อตัวสั่นไม่ได้ เสียงพลันขาดห้วงหายไปอย่างฉับพลัน
นางนึกได้ว่าต่งอ้ายยังนอนอยู่ที่นั่นอยู่
พานหมิ่นและต่งซูก้มหน้าลง คนอื่นๆ ย่อมไม่กล้าส่งเสียงอยู่แล้ว เห็นทุกคนสงบปากลง เลี่ยวจิ้งชูแอบกัดฟันอยู่เงียบๆ
นางไม่ใช่หญิงที่ยอมพลีชีพเพื่อครองพรหมจรรย์ นางรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ถ้านางทะลุมิติมาและถูกลิขิตให้แต่งงานเป็นสามีภรรยากับต่งอ้าย นางก็จะไม่บ่นว่า จะจัดการงานการในเรือนอย่างดี ถึงแม้จะไม่มีความรักต่อกัน ขอเพียงสองคนดูแลกัน เคารพและให้เกียรติกัน ย่อมใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบสุขได้
ทว่าเวลานี้คนเพียงคนเดียวที่สามารถปกป้องดูแลนาง บังลมบังฝนให้นางได้จากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่ทิ้งไว้ให้นางกลับเป็นคำใส่ร้ายป้ายสี เวลานี้เลี่ยวจิ้งชูเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แม้นางจะมีฐานะสูงส่งเป็นถึงสะใภ้ของจวนแห่งนี้ เป็นบุตรสาวภรรยาเอกของหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง เป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคของเมืองหลวนเฉิง แต่ในเรือนลึกของจวนแห่งนี้ เพราะสามีของนางได้ตายไป นางจึงเป็นหญิงที่ไร้ที่พึ่งพาแล้ว
ยังดี ท่านน้าหลวนมารดาของร่างนี้อยู่ในจวน นางจะต้องหว่านล้อมให้ตนกลับไปครองความเป็นม่ายที่จวนหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงให้ได้
ไม่ว่าอย่างไรจวนกั๋วกงแห่งนี้ก็อยู่ไม่ได้แล้ว!
เสียงพูดดังๆ เบาๆ บางครั้งก็แผ่วหายของลู่เซวียนคล้ายเพลงพร่ำรำพันบทหนึ่ง ดังแทรกผ่านม่านบางสลัวเลือนรางวนเวียนไปทั่วโถงด้านใน ฉับพลันนั้นคล้ายได้แปรเปลี่ยนไปเป็นบทเพลง ‘หงส์วอนรัก’ ที่มีท่วงทำนองอันงดงามอย่างมหัศจรรย์ แววตาของเลี่ยวจิ้งชูค่อยๆ ลึกล้ำขึ้นมา…
ดวงตาคู่นั้นต้องเป็นดวงตาของเขาแน่นอน เขามาหาข้าแล้ว ข้าจะผูกบุพเพในกาลก่อนกับเขาต่อไป!ลมหนาวหอบหนึ่งจู่โจมมา เลี่ยวจิ้งชูตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันที หันไปมองตะเกียงฉางหมิงตรงปลายเท้าต่งอ้ายที่ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่างตามจิตใต้สำนึก
ต่งอ้ายกำลังตำหนิข้าอยู่หรือ
ฟังเสียงฟู่ๆ ราวกับงูพ่นพิษนั่น เลี่ยวจิ้งชูหยักยกมุมปากจางๆ ยิ้มเยาะตนเอง
สามีร่างยังไม่ทันเย็น นางก็คิดเรื่องแต่งงานใหม่ในห้องโถงตั้งศพแล้ว นับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันไม่รู้ใช่มีนางเป็นคนแรกหรือไม่
แต่ถ้าไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังจะทำสิ่งใดได้
เบื้องบนมีแม่สามีที่คิดจะวางยาพิษให้นางเป็นใบ้ เบื้องล่างมีน้องสามีที่ปากคมชอบเหน็บแนมอย่างเจ็บปวด บรรดาสะใภ้ด้วยกันแต่ละคนก็ดูลึกลับมีเลศนัยเข้าใจยาก ยังมีพี่สามีจอมเจ้าชู้ที่คอยจ้องนางตาเป็นมันอีกคน
ประตูคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มืดทะมึนเช่นนี้ จะให้นางที่เป็นคนในสมัยปัจจุบันซึ่งไม่มีความรู้เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีในสมัยโบราณแม้แต่น้อย…มีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร
ถ้าเป็นไปได้ นางก็ไม่อยากเป็นเช่นนั้น
ปารมิตา…ปารมิตา
ไม่ได้!
โอม มณีปัทเม ฮุม
ยังคงไม่ได้!
เอาใหม่ เซซามี! จงเปิด! เซซามี! จงเปิด
เช้าขึ้นมาเลี่ยวจิ้งชูก็ได้ลองท่องคาถาต่างๆ ที่นางเคยได้ยินได้ฟังมาเมื่อชาติก่อน ท่องจบแล้วจบเล่า แต่ยังคงอ่านหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้าไม่ออกสักตัว พิณโบราณยิ่งไม่ต้องพูดถึง ค้นหาในความทรงจำอย่างละเอียดมาแล้วรอบหนึ่ง นางก็ยังคงเค้นแรงบันดาลใจไม่ออกแม้ครึ่งส่วน แต่งบทกวีออกมาไม่ได้สักประโยคเดียว
คาถาศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงตำนานเล่าขานอย่างหนึ่งเท่านั้น!
เลี่ยวจิ้งชูยกเท้าเตะพิณโบราณ เอาหนังสือโยนออกไป หน้าม่อยคอตก ในที่สุดตอนนี้นางก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ ร่างร่างนี้นอกจากความงามและความอ่อนแอแล้ว ความปราดเปรื่องและทักษะที่ไม่มีใครเทียบได้นั้น ไม่ได้ทิ้งไว้ให้นางแม้แต่น้อย
แคว้นหลวนเลื่อมใสศรัทธาในศาสตร์ตัวอักษร ไม่ต้องพูดถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ กระทั่งสาวใช้บางคนที่พอจะมีหน้ามีตา หญิงสาวในสำนักนางโลมเปิดปากออกมาก็ยังเป็นโคลงกลอน แต่นางกลับทำอะไรไม่เป็นเลย ให้บังเอิญต้องมาอยู่ที่แคว้นหลวน ยังต้องทูนตำแหน่ง ‘บัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค’ ไว้บนศีรษะอีก จะให้นางเผชิญหน้ากับการตรวจสอบเปรียบเทียบที่ทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสายได้อย่างไร
ที่สำคัญที่สุดก็คือลู่เซวียนเป็นปัญญาชนที่มีชื่อเสียงของแคว้นหลวน นางกลับไม่รู้หนังสือแม้แต่ตัวเดียว เช่นนี้จะให้นางไปผูกบุพเพในกาลก่อนได้อย่างไร จะให้นางทนแบกรับความรู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไร
“ในยาต้มหมาหวง ใส่อบเชย เมล็ดซิ่ง ชะเอมลงไปด้วยทั้งสี่อย่าง”
เลี่ยวจิ้งชูหลับตา ท่องออกมาอยู่เป็นนาน สูตรยาต้ม ตำรายา คัมภีร์หวงตี้เน่ยจิงที่เรียนมาเมื่อชาติก่อนยังจำได้ไม่ลืม ยังคงท่องออกมาได้อย่างไหลลื่น
ทว่าทำเรื่องเหล่านี้ได้มีประโยชน์อะไร
ในแคว้นหลวนแพทย์ถูกจัดเป็นอาชีพชั้นต่ำทั้งเก้า ฐานะของแพทย์ต่ำต้อยมาก อีกทั้งสตรีไม่อาจเป็นแพทย์ นึกถึงเรื่องเหล่านี้เลี่ยวจิ้งชูก็ท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก
“สะใภ้สี่ นี่ท่านทำอะไรของท่าน” ฝูหรงผลักประตูเข้ามา เห็นข้าวของระเกะระกะก็อดร้องออกมาไม่ได้ “พิณตู๋โยว เป็นผลงานชิ้นเอกของท่านอาจารย์จงหลีใช้ไม้โบราณที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำและหยกชั้นเลิศ เกรงว่าในแคว้นหลวนคงหาชิ้นที่สองไม่ได้อีกแล้ว” ฝูหรงอุ้มพิณขึ้นมาพลางบ่นว่า “บ่าวทราบว่าท่านอารมณ์ไม่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจระบายอารมณ์กับพิณ ไม่พูดถึงเรื่องล้ำค่าหายาก เพียงพูดถึงเรื่องคุณชายลู่ไม่รู้ต้องสิ้นเปลืองกำลังและสติปัญญาไปเท่าไร หมดเปลืองเงินไปจำนวนมากกว่าจะได้มา ท่านก็ไม่ควรทำให้เขาผิดหวังแล้ว”
“คุณชายลู่?” เลี่ยวจิ้งชูชะงักไป “พิณนี่…เขาเป็นคนมอบให้หรือ”
นึกถึงความรู้สึกลึกล้ำในดวงตาคู่นั้น เลี่ยวจิ้งชูก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นในใจ
“คุณชายลู่บอก พิณคันนี้นอกจากท่านแล้ว คนอื่นไม่สามารถใช้ได้” ฝูหรงเช็ดถูพิณตู๋โยวอย่างระมัดระวังแล้วบ่นต่อ “เพราะกลัวคุณชายสี่จะหวาดระแวง ตอนนั้นท่านน้าบอกไม่ให้ท่านเอามาด้วย ท่านก็ร้องไห้โวยวายจะเอามา”
“อย่าวางไว้ตรงนั้นเลย เก็บไปเถิด”
“สะใภ้สี่ นี่…”
นี่เป็นของรักที่สุดของท่าน เหตุใดจึงบอกให้เก็บไปเล่า
ฝูหรงยังจำได้ว่าพอสะใภ้สี่แต่งงานเข้ามาวันที่สอง นางก็ให้คนยกมาวางไว้ในห้องนอนแล้วดีดบรรเลง คุณชายสี่หน้าตาเศร้าหมองเหม่อลอย จากนั้นก็กระอักโลหิต วันที่สามก็จากโลกนี้ไปตลอดกาล ต่างรู้ว่าพิณคันนี้ลู่เซวียนเป็นคนมอบให้ ด้วยเหตุนี้ในจวนจึงเล่าลือกันไปทั่วว่าสะใภ้สี่ไม่บริสุทธิ์ มีความสัมพันธ์กับลู่เซวียนตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ทำให้คุณชายสี่โมโหตาย เป็นดาวหายนะ
คิดไม่ถึงว่ามาบัดนี้คุณชายสี่จากไปแล้ว นางกลับจะให้เก็บพิณ ฝูหรงพูดออกได้ครึ่งเดียวก็กลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป เก็บก็ดีแล้ว สตรีที่ครองพรหมจรรย์ไม่สมควรพบเห็นสิ่งนี้มากที่สุด เรื่องพวกนั้นสมควรลืมไปให้หมดนานแล้ว
“พรุ่งนี้ท่านน้าหลวนจะกลับแล้ว สะใภ้สี่ไปดูหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” ฝูหรงเก็บพิณแล้ว ก็ประคองเลี่ยวจิ้งชูมานั่งที่หน้าคันฉ่อง “นางกลับไปครั้งนี้ ต่อไปกว่าจะได้พบกันอีกก็ไม่รู้เมื่อไรแล้ว”
“เหตุใดจึงเงียบเชียบเช่นนี้” เลี่ยวจิ้งชูมองฝูหรงที่กำลังหวีผมแต่งตัวให้นางจากในคันฉ่องแล้วเอ่ยถาม “เช้าตรู่เช่นนี้ ไปไหนกันหมด”
“ตั้งแต่หลิ่วเอ๋อร์เป็นลมวันนั้น นายหญิงใหญ่ก็เรียกตัวไป จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้กลับมาเลยเจ้าค่ะ วันนี้ที่ห้องโถงตั้งศพจะรื้อฉากผ้าม่าน อิงเอ๋อร์ไปช่วยตั้งแต่เช้าแล้ว”
“อ้อ…” เลี่ยวจิ้งชูพยักหน้า “เจ้า…รู้หรือไม่ว่าหมู่ตันตายได้อย่างไร”
“นายหญิงใหญ่บอกนางฆ่าตัวตายตามนาย” เอ่ยถึงหมู่ตัน ฝูหรงก็ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมา “บ่าวกลับได้ยินหงกูที่อยู่ทะเลสาบลั่วเยี่ยนบอก นางมองจากที่ไกลเห็นท่านกับคุณชายสามพูดคุยกันอยู่ จากนั้นไม่รู้เพราะเหตุใด ท่านก็ตกลงไปในน้ำแล้ว ได้ยินหมู่ตันร้องให้คนช่วย พอนางเงยหน้าขึ้นมองไปก็เห็นหมู่ตันถูกคุณชายสามผลักตกน้ำไป”
คุณชายสาม!
ชายหนุ่มรูปงามที่ห้องโถงตั้งศพผู้นั้น
นึกไม่ถึงว่าหมู่ตันจะถูกเขาทำให้ตาย ไยจึงโหดเหี้ยมเพียงนี้ เพราะอะไรเขาต้องทำร้ายนางกับหมู่ตันด้วย
นึกถึงแววเปิดเผยชัดแจ้งที่เห็นในห้องโถงตั้งศพ เลี่ยวจิ้งชูก็ใจสั่นสะท้าน คล้ายคว้าจับอะไรได้ คำตอบแค่เรียกก็จะออกมา แต่กลับไม่กล้าคิดต่อไป
“หงกูไม่ได้ยินว่าข้ากับคุณชายสามพูดเรื่องอะไรกันหรือ” เห็นฝูหรงสั่นศีรษะ เลี่ยวจิ้งชูหันไปสั่งกำชับ “ตอนค่ำเจ้าเอาเงินติดตัวไปสักหน่อย หาวิธีเรียกนางมา จำไว้ อย่าให้ใครเห็นเป็นอันขาด”
ฝูหรงสีหน้าหม่นขรึม “บ่าวในใจนึกสงสัย หลายวันก่อนจึงไปหานาง จึงพบว่าคนที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยนถูกเปลี่ยนไปหมดแล้ว”
“เปลี่ยนแล้ว?!” เลี่ยวจิ้งชูตะลึงงัน “เจ้าไม่ได้ถามดูหรือว่าพวกนางไปที่ใดกัน”
“บ่าวถามแล้วเจ้าค่ะ คนที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยนล้วนมาใหม่ ถามอะไรก็ไม่รู้สักเรื่อง คนอื่นๆ พอได้ยินชื่อหงกู สีหน้าก็แปรเปลี่ยนทันที ไม่พูดไม่จาก็หมุนตัวเดินหนีไปเลย” ฝูหรงชายตามองไปที่ประตู แล้วลดเสียงเบาลง “บ่าวสงสัยว่าวันนั้นท่านหาได้ฆ่าตัวตายไม่”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ นอกจากคุณชายสามแล้ว ในจวนก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้แล้ว?”
“บางที…”
พูดมาได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ ฝูหรงก็ปิดปากเงียบ
“บางทีอะไร”
เลี่ยวจิ้งชูแววตาเย็นยะเยือก ฝูหรงตัวสั่นสะท้าน มือชะงักการเคลื่อนไหว
“บางทีคุณชายเจียงน่าจะรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเจ้าค่ะ” จู่ๆ ฝูหรงก็เงยหน้า น้ำเสียงร้อนรนขึ้นมา “คนผู้นี้หน้าซื่อใจเหี้ยม ทั้งยังเจ้าเล่ห์ ท่านอย่าได้ไปยุ่งวุ่นวายกับเขาเด็ดขาด”
“คุณชายเจียง?” เลี่ยวจิ้งชูหมุนตัวมามองฝูหรง “ได้ยินว่าเขาเป็นคนช่วยข้าไว้”
“นายท่านกับนายหญิงใหญ่มอบรางวัลให้แล้ว ก็แค่ที่ปรึกษาคนหนึ่ง ท่านไม่ต้องไปขอบคุณเป็นการพิเศษหรอกเจ้าค่ะ”
“ที่ปรึกษา?”
“ดูความจำของบ่าวสิ ลืมไปอีกแล้วว่าท่านสูญเสียความทรงจำ” ฝูหรงเอามือตบหน้าผาก “คุณชายเจียงผู้นี้นามว่าเจียงเสียน เดิมเป็นท่านโหวแห่งแคว้นหลี สองปีก่อนหลบออกจากแคว้นหลี ถูกกองทหารรักษาพระองค์ไล่ล่าสังหาร ตอนจนตรอกหมดทางไปก็ได้นายท่านช่วยไว้”
แคว้นหลี?
เลี่ยวจิ้งชูนิ่งอึ้ง หรือว่าในห้วงมิตินี้นอกจากแคว้นหลวนแล้ว ยังมีแคว้นอื่นอีก
“แคว้นหลีอยู่ที่ใด”
เห็นนางแม้แต่เรื่องนี้ก็ลืมแล้ว ฝูหรงรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา หันไปรินน้ำชาถ้วยหนึ่งยกมาให้ อธิบายอย่างใจเย็น “มีแม่น้ำหลวนกั้นอยู่ แคว้นหลีอยู่ทางเหนือของแคว้นหลวน” แล้วเสริมขึ้น “ยังมีแคว้นชื่ออีกแคว้นหนึ่ง เป็นแคว้นที่เล็กที่สุดในบรรดาสามแคว้น ตั้งอยู่ทางตอนล่างของแม่น้ำหลวน เพียงครอบครองดินแดนด้านตะวันออกเฉียงใต้ส่วนหนึ่งเท่านั้น ต่อไปถ้าสะใภ้สี่ออกไปข้างนอก อย่าได้พูดออกไปเป็นอันขาดว่ากระทั่งเรื่องนี้ก็จำไม่ได้”
ด้วยกลัวว่านางจะเป็นที่ขบขันต่อหน้าผู้คน ฝูหรงจึงบอกเล่าถึงสภาพการณ์ของแคว้นทั้งสามอย่างมีน้ำอดน้ำทน
แคว้นหลีต่างจากแคว้นหลวน เป็นแคว้นที่นิยมฝึกวรยุทธ์กันอย่างกว้างขวาง นักรบได้รับการยกย่องว่าองอาจห้าวหาญ ในหมู่ชาวบ้านมีคำพูดที่พูดสืบต่อกันมาประโยคหนึ่ง ‘อยู่แคว้นหลีอย่าลงไม้ลงมือ อยู่แคว้นหลวนอย่าเอ่ยปาก’ ความหมายก็คือถ้าท่านไปถึงแคว้นหลีก็อย่าได้มีเรื่องลงไม้ลงมือกับผู้อื่นเด็ดขาด ยากจะบอกได้ว่าคนที่อยู่ตรงข้ามกับท่านไม่ใช่ยอดฝีมือในยุทธภพ เพียงหมัดเดียวก็อาจซัดท่านจนฟันร่วงเต็มพื้น มาถึงแคว้นหลวน ถ้าไม่มีความสามารถติดตัวอยู่บ้าง ก็อย่าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องบทกวีโคลงกลอน ที่นั่นเด็กสามขวบก็ขับโคลงกลอนได้แล้ว
แคว้นหลวนยึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ที่มีดินและทรัพยากรอุดมสมบูรณ์อยู่เพียงแคว้นเดียว แบ่งเขตการปกครองกับแคว้นหลีที่นิยมฝึกวรยุทธ์โดยมีแม่น้ำเป็นตัวกำหนด สามารถยืนตระหง่านมาได้สองร้อยปีโดยไม่เสื่อมถอย ก็ด้วยอาศัยช่องเขาปากมังกรบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำหลวนที่มีชัยภูมิที่เต็มไปด้วยอันตรายเป็นหลัก สถานที่แห่งนั้นได้รับการเรียนขานว่า ‘หนึ่งคนขวาง ด่านหมื่นคนก็ข้ามผ่านมาไม่ได้’
ที่แท้ที่นี่ถึงกับมีสามแว่นแคว้นด้วยกัน ไม่รู้อีกสองแคว้นเป็นอย่างไร จะให้ความสำคัญกับแพทย์หรือไม่
เลี่ยวจิ้งชูกุมถ้วยชาที่เริ่มเย็นแล้ว ดวงตาสว่างวาบขึ้นดุจดวงดาว
“แล้ว…” นางยื่นถ้วยชาให้ฝูหรง “เพราะเหตุใดเขาต้องหนีออกจากแคว้นหลี”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ สะใภ้สี่ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” ฝูหรงสั่นศีรษะ “เขาไม่เพียงเป็นขุนนางทรยศคนหนึ่ง ยังเป็นพวกชอบดื่มสุรามัวเมาในโลกีย์ เป็นแขกประจำของสำนักนางโลมต่างๆ ได้ยินว่าซูชิงเหลียนหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งสำนักนางโลมหลิงหลงก็ถูกเขาเหมาตัวมาโดยตลอด บัณฑิตของแคว้นหลวนต่างด่าทอเขา” ฝูหรงหมุนตัวไปเติมน้ำชาร้อนถ้วยหนึ่งพลางยื่นส่งให้ “ท่านสูญเสียความทรงจำแล้ว เขากับคุณชายสามในจวนเรา และสวินเหลียนบุตรชายแม่ทัพใหญ่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความหลงระเริง ได้รับการเรียกขานว่า ‘สามเสเพลแห่งเมืองหลวนเฉิง’ ”
เลี่ยวจิ้งชูขมวดคิ้ว
เขาช่วยชีวิตนางไว้ เดิมในใจมีความรู้สึกที่ดีต่อเขาอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว ไม่คิดว่าจะเป็นบุคคลที่แย่เพียงนี้ ในเมื่อต่งกั๋วกงกับนายหญิงใหญ่ออกหน้าให้แล้ว นางไม่ขอบคุณก็ไม่เป็นไร
“เขามีประพฤติตนเลวร้ายมากมายเช่นนี้ นายหญิงใหญ่ถึงกับยังรับตัวเขาไว้ ในจวนมีแต่คนบอบบางก็ไม่กลัว?”
“ใครว่าไม่กลัวล่ะเจ้าคะ สะใภ้สามเอะอะโวยวายทุกวันบอกเขาพาคุณชายสามเสียคน จะให้นายหญิงใหญ่ไล่เขาไปเสีย แต่ก็ถูกนายท่านขวางไว้ ดีที่เขาเป็นกระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง ไม่เหมือนคุณชายสาม คนในจวนขอเพียงมีรูปโฉมงดงามอยู่หลายส่วน ถูกเขาพึงพอใจเข้าเป็นต้องไปตอแยด้วย”
“เพราะเหตุใดนายท่านจึงอยากรั้งเขาไว้”
“เห็นบอกให้เขาอยู่สอนวรยุทธ์ให้คุณชายหลายท่าน” ฝูหรงเอ่ยเตือนขึ้น “วันหน้าถ้าท่านเห็นเขากับคุณชายสามจะต้องเดินอ้อมหลบไปเสีย!”
เลี่ยวจิ้งชูพยักหน้า เรื่องของแคว้นหลีนางสืบถามจากคนอื่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปตอแยกับคนเสเพลผู้นั้น นางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะกลับจวนสกุลหลวน คิดว่าคงไม่ต้องเจอคนผู้นี้อีก
“เจ้ากับหมู่ตัน…” นึกถึงเรื่องผ้าพรหมจารีที่โต้เถียงกันในห้องโถงตั้งศพ เลี่ยวจิ้งชูถามขึ้น “ต่างเป็นสาวใช้ที่ติดตามมากับการแต่งงาน เหตุใดจึงมีเพียงนางที่จัดการเรื่องการกินอยู่”
“หลิ่วเอ๋อร์เป็นคนที่นายหญิงใหญ่มอบให้ อิงเอ๋อร์เป็นคนที่สะใภ้ใหญ่มอบให้ ล้วนกำหนดไว้แล้วให้เป็นสาวใช้ห้องข้าง เพียงรอท่านแต่งเข้ามาแล้วก็จะทำพิธีเปิดหน้า ฐานะสูงกว่าบ่าว” ฝูหรงบิดผ้าเช็ดหน้าในมือเต็มแรง ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม “โดยเฉพาะหลิ่วเอ๋อร์ผู้นั้น คุณชายสี่ไม่อาจอยู่ห่างจากนางแม้ชั่วขณะ ท่านก็ใจกว้างมีเมตตา จึงให้บ่าวไปอยู่ข้างนอก”
ใจกว้างมีเมตตาหรือโง่เขลาอย่างที่สุดกันแน่
บ้านแม่สามีเตรียมอนุไว้แล้วถึงสองคน ไม่พูดถึงว่าควรแสดงอำนาจข่มขวัญ กลับยกย่องขึ้นมา นึกถึงหลิ่วเอ๋อร์ผู้มีรูปร่างหน้าตาละม้ายเหยาหลันที่ร้องไห้จนตาบวมและเป็นลมหมดสติไปในห้องโถงตั้งศพแล้ว เลี่ยวจิ้งชูก็ได้แต่ยิ้ม
“สายมากแล้ว เกรงว่าท่านน้าคงรอจนร้อนใจแล้ว”
หาเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวออกมาได้ตัวหนึ่ง ฝูหรงก็คลุมให้เลี่ยวจิ้งชูพลางร้องเร่ง
เลี่ยวจิ้งชูตื่นจากภวังค์แล้วพยักหน้าน้อยๆ สมควรไปหามารดาได้แล้ว นางจะต้องกลับไปครองความเป็นม่ายที่จวนหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงให้ได้
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เช่นนี้ทำให้สบายขึ้นบ้างหรือไม่” เลี่ยวจิ้งชูเปลี่ยนท่าทางใหม่ คุกเข่าลงข้างหนึ่งอยู่บนเตียงเตา แล้วบีบนวดต้นคอที่ค่อนข้างแข็งของนายหญิงใหญ่ “ได้ยินสี่จู๋บอก เช้านี้ท่านเพียงดื่มโจ๊กไปครึ่งชามเท่านั้น ท่านป้าปล่อยวางสักหน่อยเถิด ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องใช้ชีวิตกันต่อไป”
ข้อเสนอขอกลับไปอยู่บ้านเดิมถูกมารดาปฏิเสธอย่างเฉียบขาด ทั้งตักเตือนและตำหนินางอยู่พักใหญ่ เรื่องนี้ทำให้เลี่ยวจิ้งชู ไม่สิ นางคือหลวนอวิ๋นชูแล้ว ได้ตระหนักอย่างถ่องแท้ ตำแหน่งสะใภ้สี่แห่งจวนกั๋วกงก็เหมือนขื่อสวมคอ กักขังนางไว้อย่างแน่นหนา อย่าว่าแต่จะแสวงหาความรักที่ดีงาม แค่นางคิดอยากจะหายใจอย่างมีอิสระ บ้านเดิมและบ้านแม่สามีต่างไม่อนุญาตให้นางก้าวข้ามแม่น้ำเหลยฉือแม้ก้าวเดียว!
แม้นางจะไม่ท้อแท้ บ้านเดิมไม่สนับสนุน นางก็ต้องไปจากจวนกั๋วกงที่น่ากลัวแห่งนี้ ออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตนเอง แต่สตรีอ่อนแอตัวคนเดียวที่ไหล่ไม่อาจแบกหาม มือหิ้วของหนักไม่ไหว หนึ่งไม่มีเงิน สองไม่มีงาน ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแคว้นหลวนเลย คิดจะไปจากจวนกั๋วกงแค่พูดก็คงง่าย
หลังจากคิดหน้าคิดหลังดูแล้ว หลวนอวิ๋นชูก็ตัดสินใจอยู่ที่นี่ไปก่อน ทั้งยังทำใจยอมรับตัวตนใหม่นี้ รอให้ปีกกล้าขาแข็งแล้วค่อยบินไปตามลำพัง
ตกลงใจได้แล้ว หลวนอวิ๋นชูก็จำต้องมาประจบเอาใจผู้นำสูงสุดแห่งจวนกั๋วกงผู้นี้ ถึงแม้นายหญิงใหญ่เคยคิดจะวางยานางให้เป็นใบ้ แต่เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง นางจำเป็นต้องลืมเรื่องนี้ไปเสีย และเป็นฝ่ายมาผูกไมตรีกับนายหญิงใหญ่
หลวนอวิ๋นชูพอจะคาดเดาได้เลาๆ ถึงความลับที่อยู่เบื้องหลังเรื่องที่นายหญิงใหญ่จะวางยานางได้แล้ว นางเชื่อว่าจะอย่างไรนายหญิงใหญ่ก็เป็นป้าแท้ๆ ของตนเอง ขอเพียงนางทำเป็นหูหนวกตาบอด นายหญิงใหญ่ก็จะไม่ทำอะไรนางอีก
“ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ ตัวเจ้าเองก็…ยังจะมาปลอบข้าอีก”
ความรู้สึกสบายแผ่กระจายมาจากต้นคอ ทำให้ใบหน้าที่เคร่งขรึมของนายหญิงใหญ่ดูอ่อนโยนมีเมตตาขึ้นมาก นึกถึงว่าหลวนอวิ๋นชูอายุยังน้อยก็ต้องเป็นแม่ม่ายแล้ว นับแต่นี้จะต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาเดียวดาย อ้างว้างเอกากับโคมดำ ไปอีกหลายสิบปี ในใจก็เกิดความสงสารขึ้นมาจางๆ จึงพูดอย่างมีเมตตา
“เด็กที่ดีเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะมีโชคชะตาที่อาภัพเหมือนกับข้า”
นายหญิงใหญ่พูดแล้วน้ำตาก็ไหลริน บรรยากาศดูเศร้ารันทดขึ้นมาหลายส่วน สี่จู๋รีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ “นายหญิงใหญ่ปล่อยวางบ้างเถิดเจ้าค่ะ สะใภ้สี่พูดถูก ทุกข์เพียงใด เราก็ต้องใช้ชีวิตกันต่อไป”
รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดอาดูรที่คนผมขาวต้องมาส่งคนผมดำ นิ้วมือของหลวนอวิ๋นชูสั่นเทา จึงหยุดมือรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้นายหญิงใหญ่
“ท่านป้าเป็นห่วงสะใภ้จะลำบาก จึงมอบสี่หลันสี่จวี๋ที่อยู่กับท่านมาหลายปีให้กับสะใภ้ มีท่านให้ความรักและเอ็นดูเช่นนี้ สะใภ้…ก็ไม่นับว่า…อาภัพแล้ว”
มีประกายผุดวาบขึ้นมาในส่วนลึกของดวงตานายหญิงใหญ่ นางปรายตาเพ่งพิศหลวนอวิ๋นชู
แสงแดดส่องผ่านช่องหน้าต่างที่กรุด้วยกระดาษสีเหลืองขมิ้นเข้ามา ส่องกระทบชุดไว้ทุกข์สีขาวของหลวนอวิ๋นชู เกิดเป็นประกายสีทองวาวระยับ เพิ่มความอ่อนโยนบนใบหน้าผ่ายผอมของนางขึ้นมาหลายส่วน ทันใดนั้นภาพมารดาที่มีเมตตาลูกที่มีความกตัญญูก็ผุดขึ้นมาตรงหน้า โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนายหญิงใหญ่ก็จิตใจสงบลง
“เด็กดี ลำบากเจ้าแล้ว พวกนางปรนนิบัติรับใช้ดีหรือไม่ ถ้าไม่ถูกใจเจ้าก็บอกมาได้เลย ไม่ต้องมองสีหน้าข้า”
ข้างกายมีสาวใช้จอมประจบประแจงสองคนคอยควบคุมอยู่ทุกวัน จะบอกว่าดีก็แปลกแล้ว!
นิ้วมือนวดคลึงจุดไท่หยางให้นายหญิงใหญ่เบาๆ หลวนอวิ๋นชูพูดเสียงเบา
“ละเอียดรอบคอบกว่าฝูหรงมากเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่เห็นแล้วยังอิจฉา เอาแต่บอกท่านลำเอียง”
“ปากของเจ้านี่ช่าง…” นายหญิงใหญ่เอนพิงหมอนอิงใบใหญ่อย่างสบายใจ “อืม ได้เจ้ามาช่วยนวด สบายขึ้นมากแล้ว สองวันนี้นอนไม่ค่อยหลับ เหมือนหัวจะแตกร้าว”
หลวนอวิ๋นชูคลี่ยิ้มมุมปากจางๆ ไม่ผิดจากที่คิด นับว่าไม่เหนื่อยเปล่า ผู้ใหญ่ชอบใจแล้ว วันเวลาของนางก็จะผ่านไปอย่างสุขสบาย นิ้วมือขยับไปที่จุดไป่ฮุ่ย
“ท่านป้าใช้สมองหนักเกินไปแล้ว”
นายหญิงใหญ่หลับตาลงอย่างสบายใจ “หรือมิใช่ ตั้งแต่อาการป่วยของอ้ายเอ๋อร์หนักขึ้น ข้าก็ไม่เคยได้หลับสนิทตลอดทั้งคืน” เสียงค่อยๆ เบาลง “ไม่เคยรู้เลยว่าอวิ๋นชูมีฝีมือการนวดเช่นนี้ ไปหัดมาตั้งแต่เมื่อไร”
นิ้วมือพลันชะงักค้าง มัวแต่คิดจะผูกไมตรีจนถึงกับลืมไป นายหญิงใหญ่รู้จักอดีตของนางมากกว่าตัวนางเอง คำโกหกนี้จะพูดอย่างไรจึงจะสมเหตุสมผล
รับรู้ถึงนิ้วมือบนหน้าผากหยุดนิ่งลง นายหญิงใหญ่ที่คล้ายหลับไปแล้วพลันลืมตาขึ้น เห็นหลวนอวิ๋นชูสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย จมอยู่ในความครุ่นคิด ใจก็อ่อนยวบลงไปหลายส่วน
“อวิ๋นชูสูญเสียความทรงจำแล้ว เรื่องพวกนี้คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด”
นิ้วมือเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“สี่จวี๋ก็นวดให้ท่านอยู่เสมอ แต่ท่านกลับมอบนางให้สะใภ้ เห็นท่านผ่ายผอมอ่อนแอลงทุกวัน สะใภ้รู้สึกไม่สบายใจ”
นายหญิงใหญ่ยิ้มน้อยๆ “แรงมือของนางไม่ดีเหมือนเจ้า” รู้สึกว่ามือที่เคลื่อนไหวอยู่บนหน้าผากออกจะใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นายหญิงใหญ่จึงลุกขึ้นมานั่ง ตบๆ เตียงเตา “นวดมาตลอดเช้าแล้ว อวิ๋นชูนั่งพักสักประเดี๋ยวเถอะ”
“สะใภ้…”
เหยาหลันมาแล้ว!
คิดจะบอก ‘สะใภ้ไม่เหนื่อย’ รีบนวดให้นายหญิงใหญ่หลับไปเสีย ตนจะได้เลิกงานเร็วหน่อย หลวนอวิ๋นชูเพิ่งเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากลานเรือน ชำเลืองมองนายหญิงใหญ่แวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายไม่รู้สึกอะไร หัวใจของหลวนอวิ๋นชูก็ลอยละล่องขึ้นมา นับว่าสวรรค์ไม่ได้ทอดทิ้งนางเสียทีเดียว พร้อมๆ กับการสูญเสียทักษะฝีมือทั้งหมดไปก็ได้มอบความตื่นเต้นดีใจเล็กๆ อย่างหนึ่งให้กับนาง ประสาทสัมผัสทั้งหกของนางแตกต่างจากคนทั่วไป!
โดยเฉพาะความสามารถในการได้ยินเสียง…นางนั่งอยู่ในห้องก็สามารถได้ยินเสียงที่ลานด้านนอก นอกจากนี้ขอเพียงได้ยินครั้งหนึ่งก็จะจดจำลักษณะพิเศษจำเพาะของเสียงนั้นได้ ครั้งต่อไปก็จะวิเคราะห์จากเสียงและบอกได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ตอนแรกนางยังเข้าใจว่าเป็นเพราะสิ่งปลูกสร้างในสมัยโบราณไม่กันเสียงเสียอีก
ด้วยไม่อยากให้เหยาหลันเห็นว่านางนวดเป็นและเที่ยวคาดเดาส่งเดช หลวนอวิ๋นชูจึงหดมือกลับมา รินน้ำชาถ้วยหนึ่งยื่นไปที่ข้างมือนายหญิงใหญ่ “ท่านป้าดื่มน้ำชา” แล้วลงนั่งที่ข้างกายอีกฝ่าย
หลวนอวิ๋นชูหยิบงานเย็บปักที่สี่จู๋ทำได้ครึ่งหนึ่งขึ้นมาพิจารณาดู “ฝีมือของสี่จู๋ดียิ่งนัก ทำให้ใครหรือ”
“พื้นรองเท้าที่ข้างนอกทำขายทั้งบางทั้งแข็ง นายหญิงใหญ่สวมแล้วไม่สบาย บ่าวกำลังเร่งทำพื้นเรียบๆ หลายคู่” เห็นนางพลิกไปพลิกมาพินิจพิเคราะห์ดู สี่จู๋ก็รีบแย่งกลับมา ใบหน้าแดงเล็กน้อย “ทำให้สะใภ้สี่ขบขันแล้ว ฝีมือการเย็บปักถักร้อยของท่านเทียบได้กับของในวังหลวง บ่าวจะกล้าเปรียบกับท่านได้อย่างไรเจ้าคะ”
เทียบได้กับของในวังหลวง?
หลวนอวิ๋นชูหัวใจเต้นตึกตัก ไม่ใช่บอกสมัยโบราณสตรีที่เล่าเรียนหนังสือล้วนไม่เป็นงานเย็บปักถักร้อยหรือ เหตุใดบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคผู้นั้นกลับเป็นทั้งสองอย่าง นางแอบชำเลืองมองสีหน้านายหญิงใหญ่ นางคงไม่ให้ข้าทำรองเท้ากระมัง
นี่ไม่ใช่เป็นการยกหินทับเท้าตัวเองหรอกหรือ
หลวนอวิ๋นชูใจเต้นระรัว แต่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ได้ยินเสียงฝีเท้าของเหยาหลันเดินใกล้เข้ามา นางก็พูดอย่างเสียใจ
“สี่จวี๋ไม่มีวาสนาเช่นเจ้า สองวันนี้หญิงรับใช้สูงวัยที่เรือนด้านหลังถือว่าตนอาวุโสมีประสบการณ์มาก เรียกใช้ก็ไม่ค่อยยอมขยับ ทำเอาสี่จวี๋เหน็ดเหนื่อยยุ่งวุ่นวายไปหมด”
นายหญิงใหญ่ย่นคิ้ว “ก่อนแม่ของเจ้าไปก็พูดถึงเรื่องนี้ บอกข้าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนคนในเรือนของเจ้า” แล้วบอกอย่างมีเมตตา “ไว้ข้าเจอหลันเอ๋อร์แล้วจะเร่งรัดให้”
ไม่ผิดจากที่คาด ข้อดีของการตบสะโพกม้าพอตั้งราวไม้ไผ่ขึ้นก็เห็นเงา หลวนอวิ๋นชูสังเกตเห็นมาตั้งแต่แรกแล้วว่าในเรือนของนางก็คล้ายสมัยกั๋วหมินตั่ง ที่มีกองทหารหลายฝักหลายฝ่ายเกิดขึ้นพร้อมกัน จะวางแผนออกจากจวน ภายนอกนางจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำ ภายในก็ต้องสร้างกองกำลังสายตรงของตนเอง ครั้นแล้วตอนมารดาปฏิเสธเรื่องนางขอกลับไปครองความเป็นม่ายที่บ้านแม่อย่างเฉียบขาด หลวนอวิ๋นชูจึงบอกเรื่องต้องการซื้อบ่าวไพร่ โดยเฉพาะสาวใช้ห้องข้างที่ยังไม่ได้เปิดหน้าสองคนนั้น นางยืนกรานแน่วแน่ว่าจะไม่เอาไว้ เดิมมารดาก็มาจากครอบครัวใหญ่จึงเข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ดี ย่อมสนับสนุนบุตรสาวเต็มที่ มารดานางเป็นคนออกหน้า นายหญิงใหญ่ก็ไม่สะดวกจะคัดค้าน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนนายหญิงใหญ่จึงเอาสี่จวี๋สี่หลันแทรกเข้ามาเสียเลย อ้างคำพูดเสียน่าฟังว่า ‘เป็นห่วงอวิ๋นชู’
สองวันหลังจากมารดากลับไป สี่จวี๋สี่หลันก็เข้ามารับตำแหน่งแล้ว แต่เรื่องซื้อบ่าวไพร่กลับไม่ได้เอ่ยถึงอีก ทำเอาหลวนอวิ๋นชูกระทั่งอยู่ในห้องตนเองจะไอสักทีก็ยังไม่กล้าเสียงดัง มาบัดนี้เห็นนายหญิงใหญ่เป็นฝ่ายรับปากด้วยตนเอง หลวนอวิ๋นชูก็หยักยกมุมปาก
เหยาหลันจะมาถึงอยู่เดี๋ยวนี้ เรื่องนี้สำเร็จแล้ว
บทที่สี่
แล้วก็มีสาวใช้รุ่นเล็กมารายงาน “สะใภ้ใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่หัวเราะออกมา “บ่นถึงไม่ได้เลยจริงๆ เพิ่งจะพูดถึงนาง นางก็มาแล้ว” แล้วหันไปบอกสาวใช้รุ่นเล็ก “รีบเชิญเข้ามา”
เหยาหลันเห็นหลวนอวิ๋นชูนั่งอยู่บนเตียงเตาพูดคุยกับนายหญิงใหญ่อย่างสนิทสนม ส่วนลึกในดวงตาพลันมีประกายอำมหิตพาดผ่านจางๆ นางรับจานใส่ส้มสีทองลูกขนาดไข่นกพิราบจากมืออิ๋งชุนแล้วยื่นส่งขึ้นมา “นายหญิงใหญ่ลองชิมดูเจ้าค่ะ ข้าหลวงเมืองไถโจวนำติดไม้ติดมือมาฝากท่านแม่ของสะใภ้” แล้วกล่าวเสริมอีก “เห็นบอกว่าตั้งใจปลูกไว้ในกระถางในห้อง”
“อืม…มีรสชาติดีจริงๆ เคยได้ยินมานานแล้วว่ามีคนปลูกส้มไว้ในกระถางดอกไม้ เลี้ยงไว้ในห้อง ฤดูหนาวก็กินผลได้ ถึงกับเป็นเรื่องจริง” กินไปลูกหนึ่งนายหญิงใหญ่ก็ผงกศีรษะติดๆ กัน “เรื่องที่ห้องโถงตั้งศพจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ รื้อถอนหมดแล้ว” เหยาหลันตอบรับ “ของใช้ต่างๆ ก็ตรวจนับเก็บแล้ว เพียงขาดจอกสุราทองสำริดรูปแพะสี่ตัว ไปคู่หนึ่ง สะใภ้สั่งให้คนตรวจสอบอยู่เจ้าค่ะ” นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “สิ่งของเซ่นไหว้ยังต้องตรวจสอบอย่างละเอียด พ่อบ้านเฮ่อเฝ้าดูอยู่ที่นั่น”
“ตรวจไม่พบก็ช่างเถิด เป็นเงินไม่เท่าไร เอะอะจนวุ่นวายโกลาหลไปก็ไม่ดี”
“สะใภ้ก็คิดเช่นนั้น แต่จอกสุราทองสำริดรูปแพะสี่ตัวคู่นั้นเป็นของล้ำค่าที่แคว้นหลีมอบให้ ตอนแม่ทัพสวินมาทำพิธีไว้อาลัย นายท่านสั่งคนไปหาออกมาเป็นพิเศษ คิดไม่ถึงว่าจะหายไปเสียได้ สะใภ้เพียงให้คนแอบตรวจสอบดูเงียบๆ ไม่ได้แพร่งพรายออกไป”
นายหญิงใหญ่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก เหยาหลันจึงพูดต่อ
“เปิดคลังใหญ่ครั้งนี้ สะใภ้พบว่ามีผ้าแพรต่วนชั้นหนึ่งอยู่หลายพับ ใกล้จะเปลี่ยนฤดูแล้ว คุณหนูทั้งหลายถอดชุดไว้ทุกข์แล้ว ก็สมควรเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ สะใภ้คิดจะถือโอกาสนี้เอาออกมาจำนวนหนึ่งให้คุณหนูทั้งหลายใช้ ท่านว่า…”
“เรื่องพวกนี้เจ้าจัดการไปตามที่เจ้าเห็นสมควรเถิด เพียงอย่าให้พวกนางไม่ได้รับความเป็นธรรม” นายหญิงใหญ่รับผ้าเช็ดหน้าที่สี่เหมยยื่นส่งให้แล้วเช็ดมือ “จริงสิ เรื่องซื้อบ่าวไพร่เป็นอย่างไรบ้าง”
“สะใภ้บอกหลี่มามา ไปหลายวันแล้ว คนที่น้องสาวต้องการมีจำนวนมาก ไม่อาจรวบรวมได้ครบในเวลาอันสั้น เห็นบอกให้รออีกสองวัน” เหยาหลันเอาส้มที่ปอกเปลือกแล้ววางลงในจานลายครามเล็กตรงหน้านายหญิงใหญ่ มองหลวนอวิ๋นชูด้วยสีหน้ายิ้มๆ “นายหญิงใหญ่โปรดปรานน้องสาวจนเข้ากระดูกแล้ว เพียงเรื่องสี่หลัน ตอนคุณชายใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ก็ถูกตาต้องใจนางเช่นกัน สะใภ้หน้าหนามาขอตั้งหลายครั้ง นายหญิงใหญ่ก็ไม่อาจตัดใจ”
สี่จวี๋สี่หลันเป็นคนที่ถูกส่งไปคอยเป็นหูเป็นตา ความนัยเรื่องนี้ไม่ว่าใครก็มองออก เหยาหลันกลับเอามาใช้ประโยชน์ในการประจบประแจง หลวนอวิ๋นชูเพียงยิ้มๆ ครั้งนี้นางต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างพูดอะไรไม่ออกอยู่แล้ว
ไม่ผิดจากที่คิด นายหญิงใหญ่ยิ้มหน้าบาน “เด็กสองคนนี้ข้าเลี้ยงโตมากับมือ ถ้าไม่ใช่รักและเอ็นดูอวิ๋นชู ข้าก็ไม่อาจตัดใจได้จริงๆ”
เหยาหลันพูดอย่างคล้อยตามสถานการณ์ “ถือโอกาสที่นายหญิงใหญ่อารมณ์ดี วันนี้สะใภ้จะมาขอความเมตตา” นางนึกถึงท่านน้าหลวนที่กำชับแล้วกำชับอีกให้หาคนที่เหมาะสมแต่งหลิ่วเอ๋อร์และอิงเอ๋อร์ออกไป เหยาหลันมองไปที่หลวนอวิ๋นชูแวบหนึ่งคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ “สะใภ้หาคนที่เหมาะสมให้อิงเอ๋อร์ได้แล้ว เพียงรอหลังออกทุกข์สี่สิบเก้าวันก็แต่งออกไปได้ แต่นางเป็นตายก็จะครองพรหมจรรย์เพื่อคุณชายสี่” นางทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง “สะใภ้ก็เป็นคนใจอ่อน นึกถึงว่าอีกไม่นานก็จะทำศึกสงครามแล้ว ทุกหนแห่งต่างกำลังเกณฑ์ทหาร รีบร้อนแต่งออกไปไม่สู้อยู่ในจวนอย่างสงบสุข นายหญิงใหญ่ท่านว่า…”
นายหญิงใหญ่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กวาดตามองหลิ่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนพื้น หลิ่วเอ๋อร์เนื้อตัวสั่นเทิ้ม สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ แล้วก็หันมามองหลวนอวิ๋นชู นายหญิงใหญ่แอบทอดถอนใจ เรื่องนั้นรออีกสักระยะค่อยพูดกับนางก็แล้วกัน
“หลิ่วเอ๋อร์เองเป็นตายก็ไม่ยอมแต่งออก?”
“บ่าววิงวอนนายหญิงใหญ่ได้โปรดช่วยให้บรรลุสมความปรารถนา!”
นายหญิงใหญ่เพิ่งพูดออกมา หลิ่วเอ๋อร์ก็คุกเข่าลงไปแล้ว
“เฮ้อ ล้วนแต่ก่อเวรก่อกรรม” นายหญิงใหญ่ทอดถอนใจออกมาพลางมองหลิ่วเอ๋อร์ “เจ้าออกไปก่อนเถิด”
เห็นหลิ่วเอ๋อร์ไม่ลุกขึ้น สี่เหมยจึงดึงนางออกไป
“นางหนูสองคนนี้เห็นแก่ความสัมพันธ์ก่อนเก่า แม้จะยังไม่ได้เปิดหน้า แต่พวกนางก็เต็มใจจะครองพรหมจรรย์ อวิ๋นชูก็อย่าถือสาเลย ปล่อยพวกนางครองพรหมจรรย์ไปเถิด” แล้วกล่าวว่า “อวิ๋นชูไม่อยากเห็นพวกนาง ก็ให้หลิ่วเอ๋อร์กลับมาอยู่กับข้า”
ท่าทางคล้ายปรึกษาหารือ แต่น้ำเสียงนายหญิงใหญ่กลับไม่อนุญาตให้กังขาใดๆ ทั้งสิ้น หลวนอวิ๋นชูแอบยิ้ม ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่นางเป็นคนครองพรหมจรรย์ ใครอยากครองพรหมจรรย์ก็ทำไป เพียงอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าคอยเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวของนางก็พอ
“ทุกอย่างแล้วแต่ท่านป้าจะตัดสินใจเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างรู้ว่าตอนต่งอ้ายมีชีวิตเพียงแต่งภรรยาคนเดียว เวลานี้มีอนุสองคนโผล่มาครองพรหมจรรย์ บอกยังไม่ได้เปิดหน้า พูดออกไปใครจะเชื่อ
หน้าตาของบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคอย่างนางยังจะเหลืออยู่หรือ
เห็นหลวนอวิ๋นชูรับคำอย่างทันควัน เหยาหลันก็อึ้งตะลึงไป นายหญิงใหญ่กลับผงกศีรษะด้วยความพอใจ
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดยิ่ง
“เมื่อครู่พี่สะใภ้ใหญ่บอกจะมีศึกสงครามหรือ”
หลวนอวิ๋นชูสนใจเรื่องนี้มากกว่า ถ้ามาเกิดในช่วงกลียุคจริง แม้จะสับสนวุ่นวายจากสงคราม แต่สำหรับนางที่กระหายอยากจะได้อิสรภาพแล้ว นับเป็นจุดพลิกผันอย่างหนึ่ง
“ใช่ เดือนหน้าแม่ทัพใหญ่ก็จะยกทัพไปทางตะวันออกแล้ว”
“ยกทัพไปตะวันออก ทางตะวันออกคือที่ใดหรือ”
น้ำชาแทบจะถูกพ่นออกมา นายหญิงใหญ่ไอออกมา เหยาหลันก็มีสีหน้าประหลาดใจ
“สะใภ้สี่สูญเสียความทรงจำแล้ว” ฝูหรงใบหน้าแดงก่ำ “ตะวันออกคือแคว้นชื่อเจ้าค่ะ!”
หลวนอวิ๋นชูนึกขึ้นมาได้ในทันที วันนั้นเคยได้ยินฝูหรงบอกแล้ว แคว้นชื่อตั้งอยู่ตอนล่างของแม่น้ำหลวน เพียงครอบครองดินแดนด้านตะวันออกเฉียงใต้ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยามกะทันหันนางถึงกับไม่ทันนึก หลวนอวิ๋นชูหน้าแดงขึ้นมา
“อยู่ดีๆ เพราะเหตุใดต้องยกทัพไปบุกแคว้นชื่อด้วยเจ้าคะ ทำให้ราษฎรต้องเดือดร้อนมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก”
“น้องสาวยังคงเป็นเช่นนี้ แม้จะสูญเสียความทรงจำแล้ว ก็ไม่ต้องการให้ทำสงคราม” เหยาหลันมองหลวนอวิ๋นชูแล้วยิ้ม “เจ้าคัดค้านเรื่องที่ฝ่าบาทร่วมกับแคว้นหลียกทัพไปกำจัดแคว้นชื่อ บอกหลายปีมานี้แคว้นหลีเตรียมพร้อมลับอาวุธ บำรุงม้าศึก แคว้นหลีในวันนี้ไม่เหมือนในอดีต มีเจตนาที่จะยึดครองใต้หล้ามานานแล้ว ที่พูดกันว่าเมื่อไม่มีปากฟันย่อมหนาวเหน็บ แคว้นชื่อสูญสิ้น อันดับต่อไปก็คือแคว้นหลวน มีเพียงแคว้นหลวนและแคว้นชื่อร่วมมือกันต่อต้านแคว้นหลี จึงจะเป็นแนวทางในการเอาตัวรอด ที่ถังเซียวบัณฑิตสภาขุนนาง ทั่นฮวาปีที่สิบเอ็ดของรัชสมัยฮ่องเต้โม่ตี้โลหิตสาดในท้องพระโรง ถูกปลดจากขุนนางก็เพราะเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะแคว้นหลวนไม่เคยมีตัวอย่างสังหารบัณฑิตมาก่อน เกรงว่าคงไม่มีชีวิตไปนานแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคผู้นี้ไม่เพียงสร้างผลงานด้านการเขียนได้ดี ยังเป็นบุคคลที่มีความรักชาติเช่นเดียวกับหลี่ชิงเจ้า
เพียงแต่…เพราะเหตุใดรอยยิ้มของเหยาหลันจึงแปลกประหลาดเช่นนี้
พูดถึงถังเซียวโลหิตสาดในท้องพระโรง นายหญิงใหญ่ก็นึกขึ้นได้ ก่อนหลวนอวิ๋นชูจะออกเรือนก็เขียนกลอนแต่งบทกวี วิพากษ์วิจารณ์การบ้านการเมืองของราชสำนักกับเหล่าปัญญาชนในเมืองหลวนเฉิงตามอำเภอใจ สีหน้าพลันเยียบเย็นลงหลายส่วน
“เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของบุรุษ พวกเราอิสตรีเพียงทำหน้าที่ของตนใช้ชีวิตอยู่ในกรอบประเพณีก็พอ”
ด้วยไม่รู้ว่าถังเซียวเป็นเพราะได้รับความคิดจากบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคจึงได้โลหิตสาดในท้องพระโรง นางผู้ริเริ่มก่อเหตุย่อมกลายเป็นคนดัง กลายเป็นหัวข้อสนทนาตั้งแต่หัวถนนไปถึงท้ายตรอกในเมืองหลวนเฉิง หลวนอวิ๋นชูย่อมไม่รู้เพราะเหตุใดนายหญิงใหญ่จึงเปลี่ยนสีหน้า แม้จะอยากรู้ว่าเพราะเหตุใดแคว้นหลวนกับแคว้นหลีต้องร่วมมือกันกำจัดแคว้นชื่อ แต่กลับไม่กล้าถามอีก
หลวนอวิ๋นชูรับคำไปด้วยความไม่ชัดแจ้ง แล้วก้มหน้าปอกส้มสีทองอย่างสงบเสงี่ยม
เหยาหลันยิ้มน้อยๆ
นายหญิงใหญ่กลับจมอยู่ในความคิด
บรรยากาศเงียบสงัดลง
บรรดาบ่าวไพร่เริ่มรู้สึกหายใจไม่เต็มปอด พากันสงบปากคำระมัดระวังเนื้อระมัดระวังตัว
“คารวะนายท่าน”
“คารวะนายท่าน!”
เสียงทักทายแสดงความเคารพดังมาจากระเบียงวน ทำลายความเงียบสงบภายในห้อง เหยาหลันรีบสาวเท้าออกไป เลิกม่านประตูขึ้น พวกสี่เหมยก็ปรนนิบัตินายหญิงใหญ่กับหลวนอวิ๋นชูลงจากเตียงเตา
เพิ่งจะยืนมั่นต่งกั๋วกงก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ต่งผิงประคองหีบไม้หนานมู่ ที่แกะลายค้างคาวประณีตสวยงามใบหนึ่งเดินตามมาข้างหลัง
เห็นเหยาหลันและหลวนอวิ๋นชูเข้ามาคารวะ ต่งกั๋วกงอึ้งไปชั่วขณะ แล้วหันไปแสดงท่าทีให้ต่งผิงออกไป
“นายท่านกลับมาแล้วก็ไม่ให้ใครมาบอกสักคำ ข้าจะได้ออกไปต้อนรับ” ปรนนิบัติต่งกั๋วกงให้นั่งบนเตียงเตาด้านตะวันออกแล้ว นายหญิงใหญ่ก็รินน้ำชาถ้วยหนึ่งด้วยตนเอง มองหีบไม้หนานมู่ในมือสี่เหมย “นี่เป็นของล้ำค่าอะไรหรือ”
“เอามาให้พวกเจ้าได้เปิดหูเปิดตากัน”
ในน้ำเสียงเจือความตื่นเต้นยินดีอยู่หลายส่วน ต่งกั๋วกงหยิบลูกกุญแจทองแดงออกมาจากแขนเสื้อดอกหนึ่งแล้วเปิดหีบออก
เบื้องหน้าของทุกคนพลันสว่างวาบ ถึงกับเป็นตุ๊กตาขนาดราวสามชุ่น แปดตัวแลเหลืองอร่ามพร่างพราวระยิบระยับ รูปร่างสมส่วน ใบหน้าอวบอิ่มสดใส สวมกระโปรงยาว คลุมไหล่ด้วยผ้าคลุมลายเมฆมงคลสมปรารถนา ต่างถือเครื่องดนตรีคนละชิ้น บ้างถือขลุ่ย บ้างถือเจิง บ้างถือกลอง บ้างถือผีผา คล้ายกำลังบรรเลงดนตรี สีหน้าท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียวราวกับมีชีวิต…
“สวรรค์ นี่เป็นหยกมันไก่หยกสีเหลืองชั้นเลิศ เครื่องดนตรีแปดชนิดรวมอยู่ด้วยกัน ไม่พูดถึงฝีมือการแกะสลัก ลำพังหยกอย่างเดียวก็มูลค่าควรเมืองแล้วเจ้าค่ะ” เหยาหลันรับตุ๊กตาหยกจากมือนายหญิงใหญ่มาอย่างระมัดระวัง สองตาเปล่งประกายวิบวับ “หรือว่านี่ก็คือตุ๊กตาหยกเหลืองที่เล่าขานกัน” เห็นต่งกั๋วกงพยักหน้า เหยาหลันก็ทอดถอนใจแล้วว่า “ตุ๊กตาหยกเหลืองเป็นผลงานชิ้นเอกของฉวีฝูจื่อปรมาจารย์เครื่องหยก ได้ยินว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่ตกทอดมาแต่โบราณกาลของแคว้นหลี กระทั่งฝ่าบาทองค์ปัจจุบันก็ไม่แน่ว่าจะเคยเห็น”
พลันนึกอะไรขึ้นได้ เสียงของเหยาหลันขาดห้วนหายไปอย่างฉับพลัน
ถึงกับเป็นสมบัติล้ำค่าของบ้านเมือง
ใครกันมือเติบถึงเพียงนี้
มอบของขวัญให้ผู้อื่นย่อมต้องมีเรื่องขอร้อง คนผู้นี้คิดจะขอให้ต่งกั๋วกงทำอะไรหรือ รับตุ๊กตาหยกมา แม้จะไม่มีความรู้เรื่องหยก แต่ดูจากสีสันความแวววาวและความนวลเนียนยามสัมผัส หลวนอวิ๋นชูก็รู้แล้วว่าที่เหยาหลันพูดไม่ใช่เรื่องเท็จ
มีคำกล่าวว่าคนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก มือนางแม้ประคองตุ๊กตาหยก แต่ไม่มีความตื่นเต้นดีใจเหมือนเหยาหลันกับต่งกั๋วกง ในใจของหลวนอวิ๋นชูเกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีขึ้นมารำไร
ได้ยินทุกคนวิจารณ์ดวงตาของนายหญิงใหญ่ก็เปล่งประกายขึ้นมา
“ของล้ำค่าเช่นนี้ นายท่านไปได้มาจากที่ใด”
ตุ๊กตาหยกกลับไปอยู่ในมือต่งกั๋วกงอีกครั้ง เขาพลิกดูไปมา ท่าทางชื่นชอบไม่ยอมวางมือ
“ปรมาจารย์ฉวีฝีมือสมคำเล่าลือ ดีที่เหิงจวินมีวิธีการ!”
เหิงจวินคือใคร
ในดวงตาของหลวนอวิ๋นชูปรากฏแววฉงนใจ
นายหญิงใหญ่กลับย่นคิ้ว “เป็นคุณชายเจียงอีกแล้ว! ก็ว่าสิ เขาเป็นคนต่ำช้าที่ชอบฉกฉวยโอกาสเพื่อประโยชน์ส่วนตนคนหนึ่ง…” เสียงขาดห้วนหายไปอย่างฉับพลัน นายหญิงใหญ่กวาดตามองมาที่หลวนอวิ๋นชูกับเหยาหลัน “สายแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด”
คิดจะผูกไมตรีกับผู้ใหญ่ คิดจะซื้อสมัครพรรคพวกเป็นของตนเอง คิดจะออกจากจวนไปดำรงชีวิต ทั้งหมดนี้ล้วนหนีไม่พ้นเงิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าไม่อาจปรากฏตัวออกไปทำงานได้ นางในเวลานี้นอกจากท่องเพลงตำรายาจีนได้ไม่กี่บทแล้ว ก็ไม่มีข้อดีอะไรอีก เกรงว่าต่อให้ไปขายศิลปะที่สำนักนางโลมก็ต้องถูกปฏิเสธ ทั้งไม่มีการสนับสนุนจากบ้านเดิม นางจะไปหาเงินได้จากไหน
ครั้นแล้วหลวนอวิ๋นชูก็ทุ่มความสนใจมาที่สิ่งของบนชั้นวาง มีเครื่องหยกของโบราณมากมายเพียงนี้ น่าจะเอาไปแลกเป็นเงินมาได้บ้าง นางยื่นมือไปหยิบแจกันสองหูมาใบหนึ่งพลางครุ่นคิดด้วยความตื่นเต้นดีใจ
หลวนอวิ๋นชูไม่ใช่คนมีความรู้เรื่องเครื่องหยกของโบราณ ถือแจกันสองหูสีเหลืองเจือประกายขาวใบหนึ่ง พลิกไปพลิกมาดูอยู่เป็นนานก็ยังมองอะไรไม่ออก
“ของสิ่งนี้เรียกแจกันงาช้างสองหูแกะสลักเป็นรูปหมู่เซียน”
“งาช้างแกะสลัก? ไม่ใช่หยกหรือ”
แจกันสองหูสีเหลืองเจือประกายสีขาวน้ำนมใบนี้แวววับเป็นเงาวาว ถืออยู่ในมือให้ความรู้สึกนวลเนียนเกลี้ยงเกลาแบบหยก
สี่จวี๋หัวเราะพรืดออกมา “เป็นงาช้างจริงเจ้าค่ะ เพียงแต่ผิวภายนอกได้รับการจัดการมาเป็นพิเศษ มองดูแล้วคล้ายหยก ไม่เพียงท่าน มีคนเข้าใจผิดอยู่เสมอ ตอนคุณชายสี่ยังอยู่ชอบงาช้างเป็นพิเศษ ที่วางอยู่บนนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นงาช้าง ท่านดูสิเจ้าคะ กระทั่งกรงนกหกเหลี่ยมที่ข้างหน้าต่างกรงนั้นก็ทำมาจากงาช้าง”
หลวนอวิ๋นชูมองตามนิ้วมือของสี่จวี๋ไปที่ข้างหน้าต่าง นกฮว่าเหมย สีน้ำตาลตัวหนึ่งกำลังส่งเสียงขับขานไพเราะชวนฟัง
ช่างสุรุ่ยสุร่ายเสียจริง กระทั่งเลี้ยงนกตัวหนึ่งก็ต้องใช้กรงนกมีราคาเช่นนี้ หลายวันมานี้นางมาเล่นกับนกฮว่าเหมยตัวนี้อยู่เสมอ กลับไม่เคยสังเกตว่ากรงนกถึงกับทำมาจากงาช้าง
หลวนอวิ๋นชูส่ายหน้า กรงขังหรูหรามีราคา แต่กลับปิดกั้นอิสรภาพ
“สะใภ้สี่ไม่เชื่อหรือ”
“แจกันนี้มีมูลค่าเป็นเงินมากน้อยเพียงใด”
ฝูหรงและสี่จวี๋ต่างงงงันแล้วสั่นศีรษะ พวกนางไม่รู้จริงๆ
ซิ่วเอ๋อร์พูดขึ้นเบาๆ “ถ้าสะใภ้สี่อยากทราบ บ่าวจะไปตรวจดูที่เรือนสะใภ้ใหญ่เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“ไปตรวจดูที่เรือนพี่สะใภ้ใหญ่?”
ข้าวของของตนเองเหตุใดต้องไปตรวจดูที่เหยาหลัน หลวนอวิ๋นชูมองสาวใช้รุ่นเล็กหน้าตาหมดจดผู้นั้น
“สะใภ้สี่คงไม่รู้ว่าของล้ำค่าบนชั้นวางเหล่านี้ล้วนต้องจดบันทึกไว้ที่สะใภ้ใหญ่ มีกำหนดเวลาสับเปลี่ยนเจ้าค่ะ”
“ของในเรือนข้า เหตุใดต้องจดบันทึกไว้ที่พี่สะใภ้ใหญ่” หลวนอวิ๋นชูย่นคิ้วถาม หรือว่าสิทธิ์ในการใช้ของล้ำค่าเหล่านี้ไม่ใช่ของข้า
“ของเหล่านี้ล้วนเป็นของส่วนกลาง” ซิ่วเอ๋อร์รับแจกันสองหูรูปหมู่เซียนมา วางกลับเข้าที่เดิมอย่างระมัดระวัง “นายท่านกับนายหญิงใหญ่มอบสิ่งของให้อยู่เสมอ ปกติคุณชายสี่ใจกว้าง เห็นจนเบื่อแล้วก็จะยกให้คนอื่นง่ายๆ ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ปรึกษาที่เรือนซิงซู่ ของพวกนี้ก็ใช่เจ้าค่ะ คุณชายสี่เพียงต้องการความแปลกใหม่ เห็นเบื่อแล้วก็สับเปลี่ยนชุดใหม่ มีสะใภ้ใหญ่คอยดูแล คุณชายสี่ก็ส่งคืนเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ นอกจากเรือนสามที่บ่นว่าไม่พอใจ เรือนอื่นเพียงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น”
หลวนอวิ๋นชูรู้สึกผิดหวัง ไม่ต้องสงสัยข้าวของเหล่านี้ล้วนยืมมาวางเพื่อความสวยงามเท่านั้น นางไม่มีสิทธิ์ในการจัดการ
หลวนอวิ๋นชูไม่สนใจสิ่งของบนชั้นวางอีก หันไปหยอกล้อนกฮว่าเหมยแก้เบื่อ นกฮว่าเหมยตัวนี้ถูกขังอยู่ในกรง แต่เหตุใดจึงยังร่าเริงเช่นนี้
“ได้ยินว่าคุณชายสี่ชอบงาช้าง คุณชายเจียงจึงไปหากรงนกงาช้างหกเหลี่ยมกรงนี้มา เอามาให้เมื่อหนึ่งปีก่อน เพราะเลี้ยงนกไว้จึงเอาไว้ที่นี่เจ้าค่ะ” ซิ่วเอ๋อร์ยกอาหารนกกลับมาจานหนึ่ง “คุณชายสามอยากได้กรงนกนี้มาโดยตลอดเลยเจ้าค่ะ สุดท้ายคุณชายเจียงยังไปหาเตางาช้างที่ฝาปิดแกะลายเทาเที่ย ส่งมาให้คุณชายสี่อีกอย่างหนึ่ง”
สี่จวี๋ขมวดคิ้วแล้วบ่นว่าขึ้นมา
“คุณชายเจียงผู้นี้ความสามารถด้านอื่นไม่มี เพียงเชี่ยวชาญเรื่องใช้เล่ห์เหลี่ยมแสวงหาผลประโยชน์ คุณชายหลายท่านในจวนล้วนถูกเขาผูกมัดจิตใจ ไม่รู้มีเจตนาอะไร”
เพียงเชี่ยวชาญเรื่องใช้เล่ห์เหลี่ยมแสวงหาผลประโยชน์?
คำพูดนี้น้ำเสียงไม่ต่างจากนายหญิงใหญ่ นึกถึงตุ๊กตาหยกเหลืองสมบัติล้ำค่าของชาติที่เพิ่งเห็นมา หลวนอวิ๋นชูก็จิตใจสั่นไหว มือเติบเพียงนี้เห็นชัดว่าไม่ขาดแคลนเงินทอง เจียงเสียนผู้นี้เพราะเหตุใดจึงสมัครใจหลบซ่อนตัวอยู่ในจวนกั๋วกง เป็นเพียงที่ปรึกษาที่ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
“สะใภ้สี่ต้องอยู่ห่างจากเขาให้มาก” เห็นหลวนอวิ๋นชูให้ความสนใจเจียงเสียน สี่จวี๋ก็ร้อนใจขึ้นมา “คุณชายเจียงผู้นี้อยู่ในเมืองหลวนเฉิงขึ้นชื่อว่าเป็นคนเสเพล ติดสุราเที่ยวหญิงนางโลม ไม่มีความชั่วแบบไหนที่ไม่ทำ คุณชายสามก็เพราะคลุกคลีกับเขา เรือนชิ่นย่วนถึงได้วุ่นวายโกลาหลกันจนไก่บินสุนัขกระโดดไม่เว้นแต่ละวัน”
ภายใต้แสงอาทิตย์ เสียงพูดเจื้อยแจ้วน่ารำคาญของสี่จวี๋คล้ายนางยักษ์ตนหนึ่ง ทำให้หลวนอวิ๋นชูรู้สึกขัดตาเป็นพิเศษ นางเอาอาหารนกในมือป้อนให้นกฮว่าเหมย ก่อนรับผ้าเช็ดหน้าที่ฝูหรงยื่นส่งมาให้ เช็ดๆ มือแล้วยิ้มน้อยๆ
“ข้ารู้แล้ว”
เดินเรื่อยเปื่อยมาถึงกลางลาน หลวนอวิ๋นชูตลอดเวลาคิดแต่จะกลับบ้านเดิม ยังไม่เคยพิจารณาดูเรือนแห่งนี้อย่างละเอียด
จากหน้าประตูใหญ่เข้ามา เลี้ยวผ่านห้องเล็กของคนเฝ้าประตู ก็จะเป็นห้องหนังสือส่วนตัวของต่งอ้ายสมัยยังมีชีวิตอยู่ ตัวเรือนหันหน้าไปทางทิศเหนือหันหลังไปทางทิศใต้ มองจากที่ไกลดูสอดประสานกลมกลืนกับเรือนกลางทั้งห้าห้องที่อยู่ด้านหน้าอย่างเหมาะเจาะ ไม่เหมือนเรือนสี่ประสานที่สืบทอดมาแต่โบราณของทางภาคเหนือซึ่งมีห้องข้างด้านตะวันตกห้องข้างด้านตะวันออก ที่เข้ามาแทนที่คือระเบียงทางเดินด้านข้างเส้นหนึ่งที่คดเคี้ยวเชื่อมต่อระหว่างเรือน เวลาฝนตกสามารถเดินไปมาระหว่างห้องหนังสือกับเรือนกลางผ่านระเบียงทางเดินได้
เรือนสองแถวโอบล้อมลานเรือนกว้างใหญ่ ตรงกลางใช้หินศิลาเขียวสร้างเป็นสระน้ำรูปวงรีขนาดเล็กสระหนึ่ง กลางสระมีภูเขาจำลองลูกหนึ่ง ไม่รู้มีสายน้ำไหลตลอดเวลามาจากที่ใด น้ำใสกระจ่างมองเห็นก้นสระ
“หืม…”
หลวนอวิ๋นชูยืนอยู่ข้างสระน้ำ อุทานเบาๆ ออกมาคำหนึ่ง นางเพิ่งสังเกตเห็นว่าในสระน้ำมีหินก้อนเล็กที่ประณีตงดงามดุจหยกปูอยู่ที่พื้นอย่างสม่ำเสมอชั้นหนึ่ง หินเหล่านั้นบ้างก็มีสีขาวบ้างก็มีสีเหลือง มีกระทั่งสีแดงสด คล้ายดังคำกล่าวที่ว่าเชิงเขาตู๋ซานมีหินงาม
หลวนอวิ๋นชูมองก้อนหินที่มีสีสวยสดงดงาม สองตาเปล่งประกายเจิดจ้า ถ้าไม่ใช่ติดที่มีสาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยเดินตามมาด้วยกลุ่มหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ติดที่ฐานะและกฎระเบียบอันเข้มงวดของจวนกั๋วกง นางก็อยากกระโดดลงไปเก็บขึ้นมาตรวจสอบดูยิ่งนัก จะใช่หินเลือดไก่ที่เล่าขานกันหรือไม่ เอาไปแลกเป็นเงินกลับมาได้หรือไม่
“ตอนคุณชายสี่ยังเล็ก หมอดูบอกดวงชะตาของเขาขาดน้ำ นายท่านจึงสร้างสระน้ำภูเขาจำลองแห่งนี้ขึ้น”
ในแคว้นหลวนภูเขาจำลองหรือสระน้ำโดยทั่วไปจะสร้างไว้ในสวนดอกไม้ที่ลานด้านหลัง ส่วนลานกลางมักจะตั้งพวกอ่างเลี้ยงปลากระถางดอกไม้ เห็นหลวนอวิ๋นชูมองสระน้ำเหม่อลอย สี่จวี๋ก็เข้าใจว่านางคงแปลกใจว่าเหตุใดจึงสร้างสระน้ำไว้ที่ลานกลาง
ฝูหรงกล่าวเสริมขึ้น
“สะใภ้สี่ตั้งแต่เล็กก็มาเที่ยวเล่นที่จวนกั๋วกงบ่อยๆ เรื่องเหล่านี้เดิมท่านรู้อยู่แล้ว…ท่านดู แม้แต่ชื่อของเรือนนี้ก็มีน้ำอยู่ด้วย”
มองตามนิ้วมือของฝูหรงไป หลวนอวิ๋นชูสังเกตเห็นด้านบนของเรือนกลางตรงบริเวณใต้ชายคาบังฝนระหว่างโคมไฟดวงใหญ่สองดวงมีแผ่นป้ายพื้นสีน้ำเงินขอบแกะลายค้างคาวอยู่แผ่นหนึ่ง บนแผ่นป้ายมีตัวอักษรเสี่ยวจ้วนสีทองเจิดจ้าติดอยู่สองตัว
คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินคนเอ่ยถึงว่าเรือนที่นางอยู่คือเรือนลู่ย่วน หลวนอวิ๋นชูแอบเดาว่าตัวอักษรสองตัวนั้นน่าจะเป็นคำว่า ‘ลู่ย่วน’ นางไม่ได้จ้องมองนานนัก สายตาละลงมา ปากประตูซ้ายขวาวางแจกันลายครามท้องกลมคอแคบสูงราวครึ่งจั้งคู่หนึ่งไว้อย่างได้สัดส่วนกัน คิดว่าคงต้องการความหมายให้อยู่เย็นเป็นสุข เมื่อพิจารณาดูอย่างละเอียด บนแจกันมีลวดลายทัศนียภาพของภูเขาสายน้ำ มีบทกวีเขียนกำกับอยู่ คิดว่าคงจะเป็นบทกวีเกี่ยวกับน้ำกระมัง
เสียดาย หลวนอวิ๋นชูอ่านไม่ออกแม้แต่ตัวเดียวจึงอดย่นคิ้วไม่ได้ ควรต้องคิดหาหนทางเรียนรู้ตัวอักษรได้แล้ว เพียงแต่ให้ใครสอนจึงจะเหมาะสม
หลวนอวิ๋นชูมองไปที่สาวใช้หลายคน
ว่ากันตามเหตุผล คนสูญเสียความทรงจำ ความเคยชินที่ติดตัวมาแต่เกิดจะไม่เปลี่ยน แต่นางไม่ได้สูญเสียความทรงจำ คำพูดการกระทำอากัปกิริยาย่อมแตกต่างจากบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคมาก นางในฐานะคนยุคหลังยิ่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมในสมัยโบราณแม้แต่น้อย หลายวันมานี้แม้จะระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ลอกเลียนแบบไปเสียทุกเรื่อง แต่ยังคงเผยพิรุธออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มารดาก็เคยตักเตือนชี้แนะ บอกว่าหากแม้แต่ตัวหนังสือนางก็ลืมไปแล้ว เกรงว่าคงจะถูกเข้าใจว่ามีปีศาจร้ายสิงร่างอยู่เป็นแน่
เห็นหลวนอวิ๋นชูมองมาที่ตนคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ ฝูหรงก็ส่งเสียงร้องเรียกเบาๆ
“สะใภ้สี่…”
หลวนอวิ๋นชูพลันได้สติกลับคืนมา และเบนสายตากลับไปที่ป้ายเหนือประตู
“ ‘ลู่’ มีความหมายของน้ำอยู่จริง ชื่อนี้นายท่านก็เป็นคนตั้งหรือ”
ไม่รอให้ฝูหรงเอ่ยปาก สี่จวี๋ก็พูดขึ้น
“เดิมนายท่านตั้งคำว่า ‘เฉียนเอาความหมาย ‘เฉียนหลง’ มาจากคัมภีร์อี้จิง ตัวอักษรคำว่าเฉียนก็มีตัวอักษรที่หมายถึงน้ำอยู่ด้วย ชดเชยดวงชะตาที่ขาดน้ำของคุณชายสี่ได้พอดี แต่คุณชายสี่ไม่ชอบ บอกคำว่าเฉียนอุปมาเหมือนซ่อนตัวอยู่ในบ่อลึก ทำให้ถูกตัวอักษรตัวนี้กดทับไว้ ไม่มีวันได้เงยหน้าอ้าปาก…จึงดึงดันที่จะเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘ลู่’ ในความหมายที่ว่าน้ำค้างรวมตัวกลายเป็นเมฆลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นฝน น้ำค้างรวมตัวกันเป็นน้ำค้างแข็ง”
เรือนลู่ย่วนก็เหมือนกับน้ำค้างยามเช้า ไม่คงทนยาวนาน ต่งอ้าย ตอนนั้นที่ท่านตั้งชื่อนี้เพียงเพราะอยากจะโดดเด่นกว่าคนอื่น แต่เคยคิดหรือไม่ ชีวิตของท่านก็คล้ายกับน้ำค้างยามเช้า วันเวลาที่เหลืออยู่ไม่ยาวนานแล้ว
สายตาระผ่านกระเบื้องเคลือบงามหรูหราบนระเบียง หลวนอวิ๋นชูปลงอนิจจังไปร้อยแปดอย่าง
ตรงสุดปลายระเบียงทางเดินมีประตูที่ทะลุไปสู่ลานด้านหลัง ซิ่วเอ๋อร์สาวเท้าเร็วๆ ขึ้นมาเปิดประตูให้หลวนอวิ๋นชู ภาพเบื้องหน้านางพลันสว่างจ้า ไกลออกไปมีสระน้ำลึกที่น้ำเป็นสีเขียวใสแห่งหนึ่ง ข้างสระน้ำเป็นป่าไผ่ผืนหนึ่ง ทางใต้อากาศอบอุ่นเร็ว แม้จะเพิ่งย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ แต่เมื่อทอดสายตามองไปไกลๆ ก็จะเห็นความเขียวขจีไปทั้งผืน ฤดูใบไม้ผลิช่วงเดือนสองต้นหญ้าที่เพิ่งผลิใบออกมากับสายน้ำล้วนมีสีเขียวเหมือนกัน
เฮ้อ ต่งกั๋วกงผู้นี้ช่างมีความตั้งอกตั้งใจเสียจริง ข้างหน้าก็เป็นน้ำ ข้างหลังก็เป็นน้ำ ไม่กลัวว่าน้ำมากเกินไปจนจะท่วมคนตายหรือ หลวนอวิ๋นชูมองระลอกคลื่นสีเขียวที่กระเพื่อมไหวในสระน้ำแล้วยิ้มออกมาบางๆ
“เรือนแถวทางด้านตะวันตกนั้นเป็นห้องครัวเล็ก โรงโม่ กับห้องเก็บของ ทางด้านตะวันออกคือสถานที่ที่บ่าวไพร่ทั้งหลายพักอาศัย” ซิ่วเอ๋อร์ชี้ไปที่เรือนข้างสองแถวด้านตะวันตกและด้านตะวันออกพลางอธิบาย
“โรงโม่?”
นางเป็นคนในยุคปัจจุบันที่เติบโตขึ้นมาในเมืองใหญ่ ยังจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าโรงโม่ในยุคสมัยโบราณมีหน้าตาเป็นอย่างไร
“ใช่เจ้าค่ะ คุณชายสี่ชอบกินเต้าหู้สดใหม่นุ่มลื่น เต้าหู้ที่ส่งมาจากครัวใหญ่ถ้าไม่เย็น ก็ไม่สดใหม่แล้ว นายหญิงใหญ่จึงตั้งโม่เล็กไว้ที่นี่โม่หนึ่งเพื่อโม่เต้าหู้ให้คุณชายสี่โดยเฉพาะ ส่วนพวกข้าวและหมี่ยังคงให้ครัวใหญ่โม่เสร็จแล้วส่งมา”
บอกว่าเป็นโม่เล็ก แต่ความจริงแล้วก็ไม่เล็ก หินศิลาเขียวทรงกระบอกสองก้อนที่แกะร่องให้เป็นทางน้ำไหลวางซ้อนกันบนล่างนี้ ถ้าจะบดถั่วเหลืองเพื่อทำเต้าหู้เพียงชามเดียว เกรงว่าปริมาณถั่วคงน้อยจนไม่พอจะไหลออกมาตรงร่องที่ใหญ่นี้ด้วยซ้ำ หลวนอวิ๋นชูมองโม่หินที่ตั้งอยู่กลางพื้นแล้วอดทอดถอนใจไม่ได้
แม้จะไม่ใช่ของมีราคาอะไร แต่เอาโม่หินโม่หนึ่งมาตั้งไว้ที่นี่เพียงเพื่อให้ต่งอ้ายได้กินอาหารที่ถูกปากเป็นบางครั้งบางคราว ถ้าเอาไปไว้บ้านชาวบ้านทั่วไปเกรงว่าต้องสิ้นเปลืองเงินไปหาถั่วมามากๆ เพื่อจะโม่สักครั้ง คงไม่คุ้มค่าและเสียเวลาด้วยซ้ำ นี่เห็นชัดถึงความรักที่นายหญิงใหญ่มีต่อต่งอ้าย
ทุกสิ่งทุกอย่างในเรือนลู่ย่วนไม่มีสิ่งไหนไม่บ่งบอกถึงความเป็นที่โปรดปรานของต่งอ้ายยามมีชีวิตอยู่ นึกถึงใบหน้าที่ค่อยๆ ซูบเซียวลงของนายหญิงใหญ่ หลวนอวิ๋นชูก็พอเข้าใจถึงความเจ็บปวดและความเศร้ารันทดของนายหญิงใหญ่ที่ต้องมาสูญเสียบุตรชายในช่วงวัยกลางคน
แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่นางก็ยังมีความเศร้าอาดูรบางๆ ปกคลุมอยู่ในใจต่อการจากไปตั้งแต่อายุยังน้อยของต่งอ้าย
ออกจากโรงโม่ หลวนอวิ๋นชูก็เดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ปูด้วยเศษหินที่คดเคี้ยวเงียบวิเวก นางเดินลึกเข้าไปทางป่าไผ่
“ด้านหลังป่าไผ่เป็นสวนดอกไม้” ซิ่วเอ๋อร์ชี้ไปข้างหน้า “ในนั้นมีดอกไม้แปลกๆ มากมาย บ่าวเองก็ไม่รู้จัก คุณชายสี่รักและทะนุถนอมที่นี่ยิ่ง ปกติจะห้ามเข้า”
“อ้อ…”
หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะ แต่เท้ากลับไม่ได้หยุด นางเป็นเจ้านาย ‘ห้ามเข้า’ ไม่มีผลต่อนาง
“เพิ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ สวนดอกไม้ยังไม่มีอะไรน่าดูหรอกเจ้าค่ะ” สี่จวี๋แลกเปลี่ยนสายตาเป็นนัยกับสี่หลัน แล้วรีบสาวเท้าขึ้นมาประคองหลวนอวิ๋นชู “ท่านก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว ไม่สู้วันนี้พอแค่นี้ก่อน รอดอกไม้ผลิบานแล้ว บ่าวค่อยมาเป็นเพื่อนท่าน”
สี่จวี๋สี่หลันแตกต่างจากซิ่วเอ๋อร์ ทั้งสองคนสวมหมวกเป็นผู้ควบคุม ไม่อาจทำเมินเฉยต่อพวกนางเกินไป เกิดไม่พอใจขึ้นมาแล้วพวกนางแต่งเรื่องเหลวไหลไปฟ้องนายหญิงใหญ่ล่ะก็ ตนเองจะได้รับรองเท้าเล็กรูปแบบต่างๆ กองโตในทันที
คิดมาถึงตรงนี้ หลวนอวิ๋นชูหมุนตัวมาก็เห็นสี่หลันกำลังส่งสายตาให้สี่จวี๋อยู่เงียบๆ พอดี เมื่อเห็นนางมองมาก็รีบเปลี่ยนสีหน้า ยืนอยู่กับที่อย่างนอบน้อม
คำพูดบอกให้กลับเรือนค้างอยู่ที่ลำคอ หลวนอวิ๋นชูไม่ชอบความรู้สึกถูกคนวางแผนเล่นงาน นางให้เกียรติสี่หลันสี่จวี๋ว่าเป็นคนของนายหญิงใหญ่ แต่ขีดต่ำสุดก็แค่ไปกล่าวรายงาน ไม่อาจปล่อยให้รวมหัวกันมาบังคับควบคุมนางเช่นนี้เป็นอันขาด
หลวนอวิ๋นชูคลี่ยิ้มสนิทสนมดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เอ่ยเสียงนุ่มนวล
“ยังเช้าอยู่เลย เข้าไปดูสักหน่อยเถอะ ไม่ใช่พอคุณชายสี่ไม่อยู่แล้ว กระทั่งสวนดอกไม้ก็ปล่อยให้รกร้าง”
น้ำเสียงคล้ายปรึกษาหารือ ทว่าฝีเท้ากลับไม่มีทีท่าว่าจะปรึกษาหารือ
“สะใภ้สี่…” เห็นหลวนอวิ๋นชูดึงดันจะเข้าไป สี่จวี๋พูดด้วยความร้อนใจ “ท่านวางใจ แม้จะบอกว่าเพิ่งย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ แต่ทางใต้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงเร็ว สวนดอกไม้แห่งนี้วางแผนการจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่รกร้างแน่นอน”
แม้สี่จวี๋เองก็ไม่เคยเห็นว่าสวนดอกไม้ที่อยู่ข้างหน้าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ก่อนจะมาอยู่เรือนลู่ย่วนนายท่านได้เรียกนางไปพบเป็นกรณีพิเศษ สั่งกำชับแล้วกำชับอีก บอกที่ด้านหลังเรือนลู่ย่วนมีสวนดอกไม้อยู่แห่งหนึ่ง เป็นสวนดอกไม้ที่คุณชายสี่รักมากที่สุด ระวังอย่าให้คนเข้าไปเหยียบย่ำ รวมถึงสะใภ้สี่ผู้นี้ ไม่มีธุระอะไรก็อย่าไปเดินเล่นที่นั่น
เวลานี้หลวนอวิ๋นชูดึงดันโดยไม่ฟังเสียงใครจะได้อย่างไร
สี่จวี๋เข้าไปขวางตรงกลางทางเสียเลย “สะใภ้สี่ ท่านดูตะวันยามนี้”
หลวนอวิ๋นชูเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“ตะวันยามนี้กำลังอบอุ่น ฤดูใบไม้ผลิช่วงเดือนสอง ใกล้จะถึงช่วงเดินเล่นรับฤดูใบไม้ผลิแล้ว…”
ตอนแรกเพียงเพราะไม่พอใจบ่าวสองคนนี้ถึงได้อวดลำพองตน แต่ท่าทางตื่นเต้นผิดปกติของสี่จวี๋ทำให้หลวนอวิ๋นชูเกิดความอยากรู้อยากเห็นต่อสวนดอกไม้ที่อยู่ข้างหน้าขึ้นมาอย่างมาก
สี่จวี๋ก็มองท้องฟ้าตามสายตาของนาง หลวนอวิ๋นชูฉวยโอกาสนี้เดินเฉียดผ่านข้างกายสี่จวี๋ไปเงียบๆ
สี่จวี๋มองตามแผ่นหลังอรชรอ้อนแอ้นไปอย่างหมดแรง นางมีท่าทีงุนงง ฝูหรงลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วเดินอ้อมสี่จวี๋ไล่ตามผู้เป็นนายไป
ซิ่วเอ๋อร์มองแผ่นหลังหลวนอวิ๋นชูแล้วหันมามองสี่จวี๋ ไม่ว่าคนไหนนางก็ไม่อาจล่วงเกิน ซิ่วเอ๋อร์ร้อนใจเหงื่อเย็นชุ่มศีรษะ แต่ไม่กล้าทำอย่างฝูหรงที่เดินผ่านสี่จวี๋แล้วไล่ตามไป
เดินมาได้สิบกว่าจั้งหลวนอวิ๋นชูที่ประสาทสัมผัสทั้งหกดีเป็นพิเศษก็ฟังออกว่าแม้แต่ซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่ได้ตามมา ในใจอดรู้สึกหนาวสะท้านไม่ได้
ยังดีนายหญิงใหญ่รับปากจะซื้อสาวใช้ให้นางแล้ว หาไม่นางคงต้องกลายเป็นผู้บัญชาการที่ไม่มีกองกำลังทหารอยู่ในมือไปจริงๆ แล้ว
เดินต่อไปอีกหลายก้าวจึงได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ มาจากด้านหลัง หลวนอวิ๋นชูมุมปากหยักโค้ง
บ่าว…จะอย่างไรก็คือบ่าว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 มิ.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.