บทที่ห้า
พ้นจากป่าไผ่ พอเงยหน้ามองไปหลวนอวิ๋นชูกับฝูหรงต่างตะลึงงัน
มีสวนดอกไม้อะไรที่ไหน เห็นชัดว่ามาสุดทางแล้ว กำแพงต่ำเตี้ยสีแดงล้อมรอบขวางทางไป สันกำแพงคลุมด้วยกระเบื้องสีเขียวอมดำ ด้านล่างแกะลายเมฆลายมังกรน้ำ สร้างไว้อย่างประณีตงดงามยิ่ง ถ้ามองจากที่ไกลคล้ายมังกรสีเขียวอมดำตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ ทำหน้าที่เฝ้าระมัดระวังปกป้องนายที่อยู่ในเรือนแห่งนี้ นอกกำแพงมีต้นไม้สูงใหญ่หลายต้น แผ่กิ่งก้านสาขาออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเกียจคร้าน บางครั้งก็ยื่นข้ามกำแพงเข้าไปแอบดูดวงหน้าคนงามที่อยู่ในกำแพง
อีกฝั่งของกำแพงคือที่ไหน คงไม่ใช่ถนนใหญ่เมืองหลวนเฉิงกระมัง
ถ้าข้ามกำแพงที่กั้นขวางอยู่นี้ไปได้ ก็อาจจะหนีออกจากจวนกั๋วกงไปได้ใช่หรือไม่ ริ้วแดงจางๆ ผุดขึ้นสองข้างแก้มของหลวนอวิ๋นชู
เห็นหลวนอวิ๋นชูมีท่าทีงงงัน ฝูหรงจึงกล่าวขึ้น “ที่นี่บ่าวก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรก”
“เจ้าไม่ใช่บอกว่าข้ามาจวนกั๋วกงอยู่เสมอหรือ” หลวนอวิ๋นชูหมุนตัวไปมองนาง “เหตุใดจึงไม่เคยมา”
“เป็นเพราะเรื่องหมั้นหมายกับคุณชายสี่” ฝูหรงมองหลวนอวิ๋นชูแปลกๆ “ท่านพยายามหลบเลี่ยงอยู่ตลอดเวลา ก่อนแต่งงานไม่เคยย่างเหยียบมาที่เรือนลู่ย่วนเลยเจ้าค่ะ”
หลวนอวิ๋นชูได้แต่ยิ้ม ช่างโง่งมยิ่งนัก!
คนอื่นนินทาไม่กี่คำจะเป็นไรไป ความสุขชั่วชีวิตของตนจึงจะเป็นของจริง
“เกิดอะไรขึ้น” สี่จวี๋ที่เร่งตามมาทีหลังก็งงงัน หันไปถามซิ่วเอ๋อร์ “เจ้าไม่ใช่บอกด้านหลังมีสวนดอกไม้หรอกหรือ”
ซิ่วเอ๋อร์กำลังหอบหายใจ เช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่หน้าผากพลางบอก
“อยู่ในกำแพง ข้างหน้ามีประตูวงเดือนประตูหนึ่ง สะใภ้สี่ตามบ่าวมาเจ้าค่ะ”
มองตามนิ้วมือซิ่วเอ๋อร์ไป เป็นเช่นที่นางพูด ด้านหน้าไม่ไกลนักมีประตูวงเดือนทรงโค้งเล็กๆ อยู่ประตูหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ในเงารุบรู่ของต้นไผ่ ถ้าไม่มองอย่างละเอียดก็จะหาไม่เจอ
“อย่างไรเล่า สวนดอกไม้นี้ไม่ใช่ของเรือนลู่ย่วนหรือ” สี่หลันมองซิ่วเอ๋อร์ด้วยความฉงน “ไฉนถึงกับใช้กำแพงล้อมรอบกั้นไว้”
“เป็นของเรือนลู่ย่วนน่ะสิ ข้าก็ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อก่อนพี่สี่หลันไม่ได้อยู่ที่เรือนนี้ ต่อให้เป็นคนในเรือนนี้ เกรงว่าก็มีไม่กี่คนที่รู้ว่าด้านหลังป่าไผ่มีสวนดอกไม้อยู่ ต่างเข้าใจว่าเลยจากป่าไผ่ไปแล้วก็เป็นที่อื่น”
ว่าแล้วซิ่วเอ๋อร์ก็พาทุกคนมาถึงหน้าประตูวงเดือน ยกมือขึ้นเคาะประตูสองสามที เปิดปากเรียก
“ลุงใบ้เปิดประตู ข้าคือซิ่วเอ๋อร์”
หลวนอวิ๋นชูในใจรู้สึกแปลกใจ “ข้างในยังมีคนอยู่?”
“เรียนสะใภ้สี่ ในสวนดอกไม้มีคนสวนคอยดูแลต้นไม้ดอกไม้อยู่ประจำในนั้นคนหนึ่ง เพราะเป็นคนใบ้ ทุกคนจึงเรียกเขาว่าลุงใบ้ บ่าวเองเพราะต้องมาส่งอาหารจึงได้รู้จักที่นี่”
ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียง ‘แอ๊ด’ ประตูเล็กถูกเปิดออกจากด้านใน มีบุรุษอายุราวสี่สิบ ผิวดำเกรียม รูปร่างผอมสูง บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเลี่ยมฝังไว้ด้วยดวงตารูปสามเหลี่ยมทอประกายเฉียบคมทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกไม่ชื่นชอบคู่หนึ่ง พอเห็นซิ่วเอ๋อร์ก็แสยะปากยิ้ม เผยฟันเหลืองเต็มปากออกมา ดูน่ากลัวยิ่ง หลวนอวิ๋นชูฉุกคิดขึ้นมาได้ นางเคยดูบัญชีรายชื่อคนในเรือนลู่ย่วน ดูเหมือนจะไม่มีคนผู้นี้
ไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อ เช่นนั้นเบี้ยรายเดือนกับค่าใช้จ่ายของลุงใบ้ผู้นี้ใครเป็นคนรับผิดชอบ สวนดอกไม้มีไว้ให้คนมาเที่ยวชม ต่งอ้ายทำสวนดอกไม้ไว้ที่เรือนด้านหลัง แต่กลับไม่ให้คนเข้า เช่นนั้นสร้างขึ้นมาทำอะไร ในสวนดอกไม้แห่งนี้ซุกซ่อนความลับใดไว้
พอเห็นหลวนอวิ๋นชูกับคนอื่นๆ รอยยิ้มของลุงใบ้ก็แข็งค้างอยู่บนใบหน้า จากนั้นก็กางมือหยาบใหญ่ทั้งสองข้างขึ้น ทำมือทำไม้ใส่ซิ่วเอ๋อร์ด้วยท่าทางโกรธโมโห ปากก็ส่งเสียงอือๆ อาๆ
ที่แท้เขาหาใช่คนใบ้แต่กำเนิด หากแต่ถูกตัดลิ้นออกไป หลวนอวิ๋นชูรับรู้ได้ว่ามือที่ประคองนางอยู่กำลังสั่นระริกจึงหันไปมอง ฝูหรงตื่นตระหนกจนใบหน้าซีดขาวไปหมดแล้ว ชำเลืองตาไปทางด้านหลัง สี่จวี๋สี่หลันก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด ไหนเลยยังจะส่งเสียงออกมาได้
แม้จะเป็นบ่าว แต่อยู่ในจวนใหญ่ เปรียบกับคุณหนูลูกชาวบ้านทั่วไปแล้วยังเปราะบางกว่าหลายส่วน ไหนเลยจะเคยพบเจอคนที่ถูกตัดลิ้นทั้งยังมีชีวิตเช่นนี้
หากไม่ใช่หลวนอวิ๋นชูยังยืนนิ่งดุจภูเขาไท่ซานอยู่ที่นี่ เกรงว่าพวกนางคงหนีหายไปนานแล้ว
“ลุงใบ้ ท่านอย่าเพิ่งโกรธ” ซิ่วเอ๋อร์จับแขนเขาอย่างสนิทสนม ชี้มาที่หลวนอวิ๋นชู “ท่านนี้คือสะใภ้สี่ที่เพิ่งเข้าจวนมา จะเข้าไปดูข้างใน หาไม่ ข้าคงไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของคุณชายสี่เด็ดขาด”
ลุงใบ้มองหลวนอวิ๋นชู ก้าวเข้ามาประสานมือทำความเคารพ จากนั้นก็ทำมือทำไม้
หลวนอวิ๋นชูเห็นแล้วเต็มไปด้วยความมึนงง ซิ่วเอ๋อร์ช่วยอธิบาย
“ลุงใบ้บอก คุณชายสี่สั่งไว้ ไม่มีคำอนุญาตจากเขา ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้เข้าไปในสวนแห่งนี้ เชิญท่านกลับไปเถิด”
จะให้ต่งอ้ายอนุญาต เกรงว่าคงต้องไปขอคำชี้แนะจากท่านพญายมแล้ว
ลุงใบ้ผู้นี้โง่งมหรือว่าตัวอยู่ในแดนสุขาวดี ถึงไม่รู้ว่าโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“สะใภ้สี่…” ฝูหรงดึงๆ หลวนอวิ๋นชู “พวกเรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ”
ฝูหรงรู้สึกว่าลุงใบ้ผู้นี้น่ากลัวเกินไป ยังคงหลบไปไกลๆ จะดีกว่า
หลวนอวิ๋นชูตบมือฝูหรงเบาๆ แสดงท่าทีให้นางสงบใจ ในเมื่อตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ในเรือนแห่งนี้ก็ไม่อาจมีสิ่งที่นางควบคุมไม่ได้อยู่ หาไม่…นางจะสบายใจได้อย่างไร
“ลุงใบ้ ท่านก็รู้ คุณชายสี่ขี่กระเรียนมุ่งสู่ประจิมแล้ว…ข้าเป็นนายเพียงคนเดียวของเรือนแห่งนี้ เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ที่นี่ก็ควรจัดการเรื่องการเพาะปลูกต้นไม้ดอกไม้เสียที”
คล้ายไม่ใส่ใจในฐานะของนาง ลุงใบ้เอาแต่สั่นศีรษะ จากนั้นก็ทำมือทำไม้
“ลุงใบ้บอก เรื่องในสวนนายท่านจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่รบกวนให้ท่านต้องเหน็ดเหนื่อย เชิญท่านกลับไปเถิด”
นายท่าน?!
มิน่าลุงใบ้ที่เป็นคนสวนคนหนึ่งจึงถึงกับกล้ามองข้ามนางเช่นนี้ เพราะมีต่งกั๋วกงคอยหนุนอยู่เบื้องหลังนี่เอง
เพียงแต่ในเมื่อสวนแห่งนี้เป็นของต่งกั๋วกง เพราะเหตุใดจึงไม่สร้างไว้ที่เรือนของเขา
สวนดอกไม้ลึกลับ ลุงใบ้ที่ถูกตัดลิ้น ต่งอ้าย ต่งกั๋วกง…ทั้งหมดนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน หลวนอวิ๋นชูมองลุงใบ้ยืนทำมือทำไม้อยู่ที่นั่นอย่างใจลอย ไม่อาจเข้าใจความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนนี้ได้ แต่จิตใจที่ดูแคลนกลับหายไปไม่เหลือร่องรอย
“นอกจากประตูนี้แล้ว สวนแห่งนี้ยังมีประตูด้านอื่นอีกหรือไม่”
ถ้าสวนดอกไม้นี้ยังมีประตูอื่นอีก เช่นนั้นสวนดอกไม้นี้ก็อาจไม่ใช่ของเรือนลู่ย่วน เพียงเชื่อมติดกับเรือนลู่ย่วนเท่านั้น เรื่องนี้นางต้องซักถามให้กระจ่าง
ซิ่วเอ๋อร์มองลุงใบ้แวบหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ
“ประตูวงเดือนนี้เป็นทางเข้าออกทางเดียวของสวนดอกไม้ ไม่มีประตูอื่นอีก”
หลวนอวิ๋นชูสีหน้าขรึมลงทันที ถามเสียงเยียบเย็น
“ลุงใบ้จะบอกว่าสวนแห่งนี้นายท่านเป็นคนควบคุมดูแลเอง ข้าไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย?”
คิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูจะถามออกมาเช่นนี้ ในดวงตาลุงใบ้มีประกายวาววับพาดผ่าน เขามองประเมินหญิงสาวตัวเล็กในชุดสีขาวที่ดูอ่อนแอบอบบางผู้นี้อีกครั้ง
หลวนอวิ๋นชูสีหน้าไม่เปลี่ยน กวาดสายตามองผ่านทุกคนไปช้าๆ สุดท้ายก็จับนิ่งอยู่ที่ร่างของลุงใบ้ พูดขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“ข้าเพิ่งแต่งเข้ามา เรื่องบางอย่างก็ยังไม่เข้าใจ ลุงใบ้ช่วยอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยเถิด ในจวนมีนายหญิงใหญ่อยู่ เหตุใดคนที่เป็นพ่อสามี…จึงเข้ามายุ่งเรื่องในเรือนด้านหลังของสะใภ้โดยตรง”
นี่เป็นยุคสมัยโบราณ บุรุษจัดการเรื่องภายนอกสตรีจัดการเรื่องภายใน เรื่องในเรือนด้านหลังเจ้าบ้านฝ่ายหญิงต้องเป็นคนดูแล
ความหมายของหลวนอวิ๋นชูชัดเจนยิ่ง นั่นคืออยากรู้ว่าเพราะเหตุใดต่งกั๋วกงจึงเป็นคนควบคุมดูแลสวนแห่งนี้ด้วยตนเอง นี่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างสงสัย
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ แต่หลวนอวิ๋นชูออกจะพูดแรงไปสักหน่อย เน้นย้ำถึงฐานะของนางกับต่งกั๋วกงในจวนแห่งนี้ เมื่อพิจารณาใคร่ครวญอย่างละเอียด มีแม่สามีอยู่ มือของพ่อสามีก็ดูจะยื่นออกมายาวเกินไปแล้ว ถึงกับมายุ่งเรื่องของสะใภ้ ถ้าเป็นยุคสมัยปัจจุบันก็ไม่มีอะไร แต่ในยุคสมัยโบราณที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีเข้มงวดย่อมแฝงความหมายที่แตกต่างกันไป ในคำพูดที่นุ่มนวลเจือความหมายของการบีบบังคับให้ตอบคำถาม
ดูจากท่าทางของลุงใบ้ ไม่ต้องถามก็รู้ สวนดอกไม้แห่งนี้ต่งกั๋วกงต้องเป็นคนควบคุมดูแลด้วยตนเองอย่างแน่นอน เห็นหลวนอวิ๋นชูน้ำเสียงไม่เป็นมิตร สี่จวี๋สี่หลันก็สีหน้าแปรเปลี่ยน มองคนทั้งสองอย่างเคร่งเครียด กลัวยิ่งว่าทั้งสองขัดแย้งกันแล้วเรื่องจะลุกลามไปถึงนายท่าน
หลวนอวิ๋นชูไม่เป็นไร แต่พวกนางจะต้องถูกถลกหนังเป็นแน่
รู้ตัวว่าตนเองเผลอพลั้งไป ส่วนลึกในดวงตาลุงใบ้มีประกายตื่นตระหนกผุดขึ้นมาจางๆ ทว่าวูบเดียวก็เลือนหาย จากนั้นก็ทำมือทำไม้อีกพักใหญ่ สุดท้ายจึงมองหลวนอวิ๋นชูด้วยสีหน้านอบน้อมจริงใจ
เห็นลุงใบ้มีท่าทีเช่นนี้ ทุกคนต่างมองไปที่ซิ่วเอ๋อร์ด้วยความร้อนใจ ทว่าเพียงได้ยินซิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น
“เรียนสะใภ้สี่ ลุงใบ้บอกท่านเข้าใจผิดแล้ว นายท่านเพียงเพราะเห็นคุณชายสี่จากไปแล้ว วันนั้นบังเอิญนายท่านมาที่นี่ จึงถามอย่างไม่ได้ตั้งใจ ตอนคุณชายสี่ยังมีชีวิตอยู่ได้สั่งห้ามทุกคนไม่ให้เข้ามาในสวนแห่งนี้ แต่ไรมาสวนแห่งนี้ไม่เคยมีคนนอกเข้ามา ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดออกมาเช่นนั้น ขอสะใภ้สี่โปรดอย่าได้ถือโทษ”
คำตอบนี้ตอบได้ฝืดฝืนยิ่ง ฟังออกว่าลุงใบ้เหมือนพยายามจะปิดบังอะไรบางอย่าง แต่หลวนอวิ๋นชูก็รู้ว่าเขาไม่อยากบอก บีบคั้นถามต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ นางจึงพูดอย่างแสร้งทำเป็นไม่รู้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ลุงใบ้ก็นำทางเถอะ ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย”
เห็นชัดว่าคาดไม่ถึงที่หลวนอวิ๋นชูยังยืนกรานจะเข้าไป ลุงใบ้ตะลึงงันอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็พยักหน้าด้วยความจำใจแล้วทำมือทำไม้อีกพักหนึ่ง
“ลุงใบ้บอก หากสะใภ้สี่จะเข้าไป ก็ขอให้ท่านเข้าไปเพียงคนเดียว ทั้งนี้จะได้ไม่เหยียบย่ำดอกไม้ต้นหญ้าเสียหาย เข้าไปแล้วโปรดจำไว้ว่าไม่อาจเที่ยวแตะต้องดอกไม้ใบหญ้าที่อยู่ข้างในส่งเดช โดยเฉพาะต้องระวังอย่าถูกขีดข่วนเป็นแผล”
ฟังอยู่พักใหญ่ ก็แค่กลัวคนอื่นจะไม่รู้จักทะนุถนอม เหยียบย่ำสวนเสียหาย คนที่ทุ่มเทจิตใจและกำลังดูแลต้นไม้ดอกไม้ รักต้นไม้อย่างจริงใจล้วนมีจิตใจเช่นนี้ ด้วยกลัวว่าหยาดเหงื่อแรงกายของตนจะถูกคนย่ำยี คำพูดของลุงใบ้นั้น หลวนอวิ๋นชูเข้าใจดีและไม่ได้โต้แย้ง
“ข้ารู้แล้ว” จากนั้นก็หันไปที่สี่จวี๋สี่หลัน “เจ้าสองคนรออยู่ข้างนอก ข้าเข้าไปสักประเดี๋ยวก็ออกมา”
เห็นฝูหรงกับซิ่วเอ๋อร์ตามมาด้วย ลุงใบ้ยังคงขวางอยู่ตรงนั้น ลังเลอยู่ชั่วขณะ ชายตามองสีหน้าเยียบเย็นของหลวนอวิ๋นชูที่ไม่ยอมให้มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น เขาจึงไม่ได้คัดค้าน หมุนตัวเดินนำเข้าไป
ทอดสายตามองไป หลวนอวิ๋นชูอดตะลึงงันไปไม่ได้ สวนดอกไม้ของคนทั่วไปล้วนตกแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จัดตามความสูงต่ำของต้นไม้และเป็นรูปทรงตามที่กำหนด ปลูกดอกไม้สดพันธุ์ต่างๆ
ทว่าที่นี่กลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งเนินเขาเล็กๆ มองไม่ออกว่ามีร่องรอยของการตัดแต่งดูแลแม้แต่น้อย เพียงสร้างกำแพงสีแดงซึ่งสันกำแพงคลุมด้วยกระเบื้องสีเขียวอมดำโอบล้อมไปตามแนวเขา ทั้งสี่ด้านปลูกต้นไม้นานาชนิดไว้เต็มไปหมด บ้างก็มีพุ่มไม้เตี้ยปลูกแทรกอยู่ บ้างก็มีดอกไม้ดอกเล็กแซมประดับเป็นระยะ พื้นที่บริเวณตรงกลางค่อนข้างเรียบเสมอกัน มีหญ้าต่างๆ ขึ้นเต็ม แม้จะเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ทางใต้ก็อบอุ่น ในสวนจึงแลเขียวขจี
ในอากาศมีกลิ่นหอมเย็นจางๆ ขุมหนึ่งอบอวลอยู่ ภายในสวนมีทางเล็กคดเคี้ยววกวนตัดสลับกันไปมาหลายเส้น แบ่งเนินเขาออกเป็นหลายส่วน แต่กลับไม่มีรูปทรงตามที่กำหนด คล้ายหุบเขาที่ลึกและเงียบสงบเป็นธรรมชาติ ไม่มีร่องรอยการตกแต่งสลักเสลาด้วยฝีมือมนุษย์แม้แต่น้อย
“จริงด้วย! มีดอกไม้แปลกหญ้าประหลาดมากมายเพียงนี้” ฝูหรงยืนอยู่หน้าพรรณไม้สูงราวครึ่งฉื่อผืนหนึ่ง “สะใภ้สี่ ท่านดูนี่สิเจ้าคะ มันคือดอกอะไร บ่าวไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
ลุงใบ้ก็หยุดฝีเท้า มองพืชเหล่านั้นแวบหนึ่ง ไม่มีท่าทีจะอธิบาย เพียงยืนอยู่ด้านข้างรอชมเรื่องสนุก เผยสีหน้าดูหมิ่นดูแคลนออกมา
“ข้าก็ไม่รู้จัก” ซิ่วเอ๋อร์ขยับขึ้นมาข้างหน้า “ไม่เพียงต้นนี้ ดอกไม้ ต้นหญ้ามากมายในนี้ ข้าก็ล้วนไม่รู้จักชื่อ” หันไปยิ้มซุกซนให้ลุงใบ้ “ข้าเคยถามลุงใบ้ ลุงใบ้กลับไม่เคยยอมบอก”
“ต้นนี้เรียกว่าจู๋เชียนเฉ่า ไม่นับว่าเป็นดอกไม้ เดิมเป็นพืชที่เกิดและเติบโตอยู่ทางภาคเหนือ พวกเจ้าไม่เคยไปภาคเหนือ ย่อมไม่รู้จัก” หลวนอวิ๋นชูลูบไล้ใบที่มีรูปทรงเกือบเป็นทรงกลมเบาๆ บอกอย่างใจเย็น “พวกเจ้าดู พืชชนิดนี้คล้ายฐานรองเทียน รอถึงเดือนสี่เดือนห้าออกดอก ก็จะพบว่าดอกของมันคล้ายมีเทียนสีม่วงเล่มหนึ่งปักอยู่บนฐานรอง ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่าจู๋เชียนเฉ่า บางแห่งก็เรียกว่าฝอจั้วเฉ่า”
ซิ่วเอ๋อร์หันไปมองลุงใบ้ “ใช่หรือไม่ ลุงใบ้”
ลุงใบ้ผงกศีรษะด้วยท่าทางประหลาดใจ หลวนอวิ๋นชูกล่าวต่อ
“พวกเจ้าอย่าดูเบาหญ้าชนิดนี้ ประโยชน์ของมันมีมากทีเดียว…จู๋เชียนเฉ่ามีรสขมฤทธิ์อุ่นไม่เพียงสามารถบำรุงกล้ามเนื้อเส้นเอ็น ช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก แก้ร้อนในขับความชื้น ขจัดพิษลดอาการบวม ยังรักษาอาการเจ็บปวดจากบาดแผลฟกช้ำ และลดอาการเจ็บปวดจากการต่อกระดูกได้อีกด้วย เป็นยารักษาที่รู้จักกันดีทางภาคเหนือ พืชจากทางเหนือสามารถอยู่รอดได้ในภาคใต้ ทั้งยังเจริญเติบโตได้ดีเพียงนี้ ลุงใบ้ฝีมือดียิ่งนัก!”
ไม่ลืมกล่าวชมสักหลายคำ หลวนอวิ๋นชูมองตาลุงใบ้พลางยิ้มน้อยๆ
พูดมามากมายเพียงนี้ไม่ใช่เพื่อต้องการโอ้อวด จุดประสงค์ของหลวนอวิ๋นชูอยู่ที่โยนหินถามทางต่างหาก
พอเข้าประตูมานางก็พบว่าที่บอกที่นี่เป็นสวนดอกไม้ เกรงว่าเพียงเพื่อปิดหูปิดตาผู้คน ถ้าจะพูดตามตรงสถานที่แห่งนี้ควรเรียกว่าสวนสมุนไพรจะเหมาะสมกว่า พืชสมุนไพรที่มีอยู่เต็มสวนไม่อาจปิดบังนางที่จบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ผู้มาจากโลกในยุคปัจจุบันได้
เพียงแต่นางไม่เข้าใจ ปลูกสวนสมุนไพรเป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่ง เพราะเหตุใดต่งกั๋วกงกับต่งอ้ายต้องสิ้นเปลืองสติปัญญามาปิดบังด้วย
เพียงเพราะการแพทย์ในแคว้นหลวนเป็นอาชีพชั้นต่ำทั้งเก้า กลัวคนจะหัวเราะเยาะหรือ
เรื่องต้องไม่เรียบง่ายเช่นนี้แน่!
ด้วยเหตุนี้เอง หลวนอวิ๋นชูจึงได้ลองหยั่งเชิงดูว่าลุงใบ้รู้หรือไม่ว่าต้นไม้ที่เขาดูแลอยู่ล้วนเป็นพืชสมุนไพรล้ำค่าและมีชื่อเสียงเลื่องลือ เห็นในดวงตาของลุงใบ้มีประกายชื่นชมพาดผ่าน ไม่มีสีหน้าดูถูกอีก รอยยิ้มของหลวนอวิ๋นชูก็ไม่จางลง แต่ในใจเย็นเยือก บุรุษอัปลักษณ์ผู้นี้ถึงกับเป็นผู้เชี่ยวชาญเต็มตัวผู้หนึ่ง!
เพียงแต่…เพราะเหตุใดเขาจึงถูกตัดลิ้นเล่า
นึกถึงเรื่องที่นายหญิงใหญ่มอบยาที่กินแล้วเป็นใบ้ให้กับตน หลวนอวิ๋นชูมีเหงื่อเย็นเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาจากหน้าผากทันที หรือว่าลุงใบ้ผู้นี้ไปล่วงรู้ความลับสำคัญอะไรเข้าจึงถูกคนปิดปาก
“สะใภ้สี่ช่างมีความรู้กว้างขวาง ท่านเองก็ไม่เคยไปภาคเหนือ เหตุใดจึงรู้เรื่องเหล่านี้ได้”
ซิ่วเอ๋อร์ที่พิจารณาคำพูดและสังเกตสีหน้าคนเก่งเห็นลุงใบ้มีสีหน้าชื่นชม ก็รู้ว่าหลวนอวิ๋นชูพูดถูกต้องแล้ว จึงเอ่ยถามอย่างชาญฉลาด ขัดจังหวะการครุ่นคิดของหลวนอวิ๋นชู
นางตื่นจากภวังค์หันมามองซิ่วเอ๋อร์แวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่อินังขังขอบ
“ซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้เกิดในราชวงศ์ก่อน เหตุใดจึงรู้เรื่องราวในสมัยราชวงศ์ก่อนเล่า”
“เรื่องนี้…ย่อมอ่านจากบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์เจ้าค่ะ!”
เรื่องของราชวงศ์ก่อนมีเขียนไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ ยังต้องถามด้วยหรือ
ถ้าเกิดในสมัยราชวงศ์ก่อนจริง น่ากลัวคงไม่ได้อยู่ในโลกนี้ไปนานแล้ว
ซิ่วเอ๋อร์ถูกย้อนจนใบหน้าแดงฉาน แต่หลวนอวิ๋นชูกลับยังพูดไม่จบ นางหยอกล้อต่อ
“เจ้าก็ยังรู้ว่าในโลกนี้มีของสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า ‘หนังสือ’ ด้วยหรือ”
สะใภ้สี่ผู้นี้ดูท่าทางนุ่มนิ่มอ่อนแอ พูดจาขึ้นมากลับคมกริบทีเดียว!
ซิ่วเอ๋อร์หน้าตาแดง ถอยไปอยู่ด้านข้างอย่างเคอะเขิน แอบสาบานในใจ ต่อไปจะยามพูดจากับเจ้านายท่านนี้ จะต้องระมัดระวังตัวเต็มที่
ฝูหรงเข้ามาช่วยแก้หน้าให้อย่างเหมาะแก่เวลา เจือการโอ้อวดอยู่หลายส่วน
“ซิ่วเอ๋อร์ไม่รู้อะไร เวลาสะใภ้สี่อยู่ในห้องได้อ่านหนังสือของแคว้นหลวนจนเกือบจะหมดแล้ว ทั้งยังอ่านผ่านตาก็ไม่ลืม หยิบมาใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว”
ยกย่องสรรเสริญไม่หยุดปาก หลวนอวิ๋นชูฟังจนสองหูร้อน สองแก้มมีริ้วแดงผุดขึ้น
ซิ่วเอ๋อร์กลับคืนสู่ปกติแล้ว ทางหนึ่งฟังทางหนึ่งก็พูดอย่างเอาใจ
“บ่าวช่างหูตาคับแคบ ยังเข้าใจว่าสะใภ้สี่เพียงสนใจเขียนกลอนแต่งบทกวีเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าสะใภ้สี่ไม่เพียงเปี่ยมล้นสติปัญญา หูตายังกว้างไกลเพียงนี้”
“เรื่องนี้แน่นอน สะใภ้สี่…”
“พอแล้วๆ สะใภ้สี่ของพวกเจ้าอิ่มทิพย์ไม่กินอาหารบนโลกมนุษย์แล้ว!”
เห็นคนทั้งสองคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ คุยโวยกย่องไม่จบไม่สิ้น หลวนอวิ๋นชูจึงตัดบทพวกนาง ฝูหรงหันไปแลบลิ้นให้ซิ่วเอ๋อร์
มองไปแต่ไกลเห็นลุงใบ้หยุดอยู่หน้าไม้พุ่มหนึ่งที่สูงราวหนึ่งช่วงแขน ทั้งสามจึงพากันเดินเข้าไปใกล้
“หืม? ดอกไม้นี้หน้าตาแปลกประหลาดยิ่ง ไม่รู้ชื่ออะไร ใช้รักษาโรคได้เช่นกันหรือ”
ฝูหรงพูดพลางหันไปทางหลวนอวิ๋นชู
หลวนอวิ๋นชูยกมุมปาก ลุงใบ้จงใจหยุดอยู่ตรงนี้ คงคิดจะลองภูมินาง
ชาติก่อนเรียนแพทย์แผนจีน ย่อมชื่นชอบพืชสมุนไพรมาก กลิ่นหอมของสมุนไพรที่อบอวลไปทั้งสวนทำให้หลวนอวิ๋นชูดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ถ้าสวนสมุนไพรแห่งนี้สามารถส่งเสริมนางให้นำสิ่งที่ศึกษาเรียนรู้เมื่อชาติก่อนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ นางย่อมยินดีเป็นที่สุด
คิดจะเป็นเจ้านายที่แท้จริงของสวนสมุนไพรแห่งนี้ก่อนอื่นนางต้องพิชิตลุงใบ้ให้ได้ก่อน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนของใคร นางจะต้องเอาตัวเขามาใช้สอยให้ได้ อย่างน้อยต้องทำได้ถึงขั้นให้นางสามารถเข้าออกสวนแห่งนี้ เก็บพืชสมุนไพรของที่นี่ได้ตลอดเวลาจึงจะได้ นางก้าวช้าๆ ไปข้างหน้า สังเกตต้นไม้อย่างละเอียดแล้วเอ่ยขึ้น
“พืชนี้มีชื่อว่าดอกอูลาสีน้ำเงิน* เป็นต้นไม้ของทางเหนือเช่นกัน ออกดอกในช่วงเดือนหกเดือนเจ็ด ดอกสีน้ำเงินอมม่วง มองดูแล้วคล้ายหมวกเหล็กของนักรบ ดังนั้นจึงเรียกดอกอูลาสีน้ำเงิน รากของมันรักษาโรคได้ แยกออกเป็นรากแก้วกับรากแขนง…รากแก้วเรียกว่าอูโถว รักษาโรคไขข้ออักเสบได้ ส่วนรากแขนงก็คือฟู่จื่อที่พวกเราเรียกกันอยู่บ่อยๆ มีสรรพคุณเสริมพลังหยาง ขับไล่ความเย็น แก้โรคปวดไขข้อ”
พูดแล้วหลวนอวิ๋นชูก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเสริมขึ้น
“อูโถวนี้มีพิษร้ายแรง เวลาใช้ต้องระมัดระวัง ไม่อาจเอามาใช้ทั้งดิบๆ”
ลุงใบ้ผงกศีรษะอย่างชื่นชม เหนือความคาดหมาย เขาถึงกับทำมือทำไม้ สายตาที่มองหลวนอวิ๋นชูก็เต็มไปด้วยความเลื่อมใส
“ลุงใบ้บอกว่าสะใภ้สี่เป็นสตรีผู้หนึ่งถึงกับมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ เขาเลื่อมใสอย่างมาก” ซิ่วเอ๋อร์ช่วยอธิบาย “พืชชนิดนี้นอกจากชื่อแล้ว ที่ท่านพูดมาถูกต้องเกือบทั้งหมด”
ชื่อต่างกันเป็นไปได้อย่างมากว่าสมัยโบราณกับสมัยใหม่เรียกไม่เหมือนกัน ความจริงแล้วอูโถวนอกจากไล่ลมขจัดความชื้นในร่างกายแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยให้เลือดลมอบอุ่น ขจัดความหนาวเย็น บรรเทาอาการปวด หลวนอวิ๋นชูเจตนาบอกประโยชน์การใช้สอยน้อยลงไปหลายอย่าง ด้วยเกรงว่าวิชาทางการแพทย์ในสมัยโบราณยังล้าหลัง สรรพคุณบางอย่างอาจยังไม่มีใครรู้ พูดมากไปกลับจะถูกสงสัย เห็นลุงใบ้เห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด หลวนอวิ๋นชูก็เบาใจ พยักหน้าแล้วบอก
“พืชชนิดเดียวกัน แต่ถ้าอยู่ต่างถิ่นกันเรียกชื่อไม่เหมือนกันก็มี ไม่ทราบลุงใบ้เรียกว่าอะไรหรือ”
ความจริงหลวนอวิ๋นชูไม่รู้ว่าอูโถวนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแคว้นหลี ชื่อว่าซีตู๋เฉ่า ถูกมองว่าเป็นสิ่งมีพิษอย่างหนึ่ง ประโยชน์ใช้สอยที่เห็นบ่อยที่สุดก็คือเอามาทาที่หัวลูกศร ยิงสังหารศัตรู ตอนนั้นคนยังไม่รู้ว่าเอามาทำยาได้…ดีที่หลวนอวิ๋นชูเพียงบอกประโยชน์ใช้สอยออกมาอย่างสองอย่าง และพูดถึงดอก ราก รวมถึงคุณสมบัติของมันออกมาได้ไม่ผิดพลาด ตอนท้ายยังบอกพืชชนิดนี้มีพิษ ลุงใบ้จึงยอมรับ
ที่สำคัญลุงใบ้ไม่อยากให้คนรู้ว่านี่เป็นยาพิษ ย่อมพูดจาคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง
ลุงใบ้รักและชื่นชอบสมุนไพรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พูดได้ว่าถึงขั้นหลงใหลบ้าคลั่ง เพาะปลูกสมุนไพรตามลำพังอยู่ที่นี่หลายปี เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวจนชินแล้ว ในแคว้นหลวนที่การแพทย์ถูกมองว่าเป็นอาชีพต่ำต้อยทั้งเก้า ได้มาเจอคนที่มีความชื่นชอบและเข้าใจสมุนไพรเช่นนี้ เขาก็ทั้งเลื่อมใสและตื่นเต้นดีใจ ย่อมอยากพูดคุยศึกษาพิจารณา จากตอนแรกที่มองข้าม เบื่อหน่ายเอือมระอา ก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้นมา เห็นหลวนอวิ๋นชูถามก็ทำมือทำไม้ แต่ซิ่วเอ๋อร์กลับสั่นศีรษะบอก
“ชื่อที่ลุงใบ้บอก บ่าวก็เดาไม่ออกเจ้าค่ะ”
ออกจะน่าผิดหวังอยู่บ้าง ลุงใบ้มองหลวนอวิ๋นชูอย่างเสียใจแวบหนึ่ง
หลวนอวิ๋นชูยิ้มน้อยๆ เดินไปยังพุ่มไม้เตี้ยที่อยู่ข้างหน้า ลุงใบ้ถึงกับติดตามพวกนางมาตลอด พูดคุยศึกษาพิจารณากับนางถึงลักษณะพิเศษจำเพาะ แหล่งกำเนิด ประโยชน์ใช้สอยต่างๆ ของพืชแต่ละชนิด มีซิ่วเอ๋อร์คอยถอดความให้ ถึงกับสนทนากันได้อย่างถูกคอ
มาอยู่ต่างถิ่นต่างที่ จู่ๆ ได้มาเจอคนที่รู้เรื่องสมุนไพรดีเช่นนี้ หลวนอวิ๋นชูเองก็ตื่นเต้นมาก พูดคุยกับลุงใบ้อย่างออกรสออกชาติ ฝูหรงเองก็ฟังอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ทั้งสองคนถึงกับไม่ได้สังเกตว่ายิ่งพูดมาถึงตอนท้าย สีหน้าของซิ่วเอ๋อร์ก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวขึ้นทุกที
แต่สิ่งนี้กลับไม่รอดพ้นจากสายตาของลุงใบ้ คำพูดของเขายิ่งนานยิ่งน้อยลง ไม่ได้เป็นแบบพอถามก็ตอบทันทีอีก เริ่มไปดูต้นไม้ดอกไม้คล้ายเจตนาไม่เจตนา เหมือนว่าหมดสนุก อยากจะไล่แขกแล้ว
ฝูหรงแตะไม้เตี้ยต้นหนึ่งพลางทอดถอนใจ “ต้นไม้ดอกไม้ในสวนนี้ บ่าวแทบจะไม่รู้จักเลย”
หลวนอวิ๋นชูยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร สมุนไพรเต็มสวน ถ้ารู้จักสักหนึ่งในสิบก็นับเป็นผู้เชี่ยวชาญได้แล้ว
ทอดสายตามองไป พรรณไม้ผืนหนึ่งที่อยู่ห่างจากพวกนางไปราวยี่สิบจั้งได้ดึงดูดความสนใจของหลวนอวิ๋นชู ว่ากันตามเหตุผล อยู่ห่างออกไปไกลเพียงนี้ ทั้งยังมีพุ่มไม้บังอยู่ คนทั่วไปไม่มีทางเห็นพืชที่อยู่ด้านหลังพุ่มไม้ได้ชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะวินิจฉัยแยกแยะ แต่หลวนอวิ๋นชูประสาทสัมผัสทั้งหกต่างจากคนธรรมดา จึงเห็นได้อย่างชัดเจน
ถึงกับมีเฮยเจ๋อเฉ่าอยู่ผืนหนึ่ง รอบด้านมีทางปูพื้นด้วยศิลาเขียวกว้างราวหกฉื่อกั้นแยกออกมาจากส่วนอื่น ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ ถ้าไม่สังเกตก็ยากจะถูกคนพบเห็น
เฮยเจ๋อเฉ่านี้เป็นพืชที่มีพิษร้ายแรง ถ้าเผลอกินเข้าไปก็จะเวียนหัว คันไปทั่วร่าง มือเท้าเน่าเปื่อย สุดท้ายก็เป็นอัมพาตไปทั้งตัวและตาย ที่ร้ายที่สุดคือมันไม่เพียงมีพิษร้ายแรง แต่ยังรุกเข้าเกาะกินพืชชนิดอื่น บริเวณรอบๆ หญ้าชนิดนี้โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีพืชชนิดอื่นขึ้นอยู่ได้ ลำพังเห็นลุงใบ้ตั้งใจใช้หินศิลาเขียวแยกพวกมันออกจากพืชชนิดอื่น ก็รู้แล้วว่าลุงใบ้รู้ถึงธรรมชาติของพืชชนิดนี้ดี
ตามที่ได้มีการจดบันทึกไว้ หญ้าชนิดนี้เดิมมีถิ่นกำเนิดในประเทศแถบตะวันตก จัดเป็นพันธุ์ไม้จากต่างถิ่น ไม่รู้ว่าแคว้นหลวนตรงกับยุคสมัยของราชวงศ์ใดในโลกเมื่อชาติก่อนของนาง ในปัจจุบันพืชชนิดนี้ได้เข้ามาสู่ประเทศจีนแล้ว บางทีการกระจายพืชพรรณไม้ของที่นี่อาจแตกต่างจากช่วงมิติเวลาเมื่อชาติก่อนของนางกระมัง หลวนอวิ๋นชูคิดไปไกลโพ้น
“สะใภ้สี่ ท่านดูสิเจ้าคะ ต้นไม้ต้นนี้รูปร่างแปลกประหลาดเสียจริง คล้ายอะไรหนอ…” ซิ่วเอ๋อร์เอียงคอมองพืชชนิดนั้นพลางครุ่นคิดอย่างหนัก “คล้ายเขาของแพะภูเขา ไม่รู้มีชื่อเรียกว่าอะไร เอามาใช้ประโยชน์อะไร”
อาจเพราะตื่นเต้นเกินไป เสียงของนางถึงกับสั่นเล็กน้อย
ลุงใบ้มือสั่น ไม่ระวังนิ้วหัวแม่มือถูกพุ่มไม้เตี้ยๆ ทิ่มเป็นแผล โลหิตสดสีแดงไหลซึมออกมาทันที ลุงใบ้สะบัดแขนเสื้อ โลหิตสีแดงเข้มหยดนั้นจมหายไปในแขนเสื้อ เขาหันมาทางหลวนอวิ๋นชู ส่วนลึกในดวงตามีประกายอำมหิตผุดขึ้นมาจางๆ
หยางเจี่ยวเถิง!
หลวนอวิ๋นชูจ้องพืชชนิดนั้นนิ่ง
หยางเจี่ยวเถิงจัดอยู่ในประเภทพันธุ์ไม้เลื้อย ผลคล้ายเขาแพะภูเขา โดยทั่วไปจะเจริญเติบโตอยู่ตามข้างทางหรือในพุ่มไม้ ถ้าเผลอกินพืชชนิดนี้เข้าไปจะเกิดอาการปวดศีรษะวิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง จากนั้นมือเท้าจะเย็นมีเหงื่อออก กล้ามเนื้อกระตุกหมดสติ สุดท้ายหัวใจก็หยุดเต้น
เป็นสมุนไพรที่มีพิษร้ายแรงอีกชนิดหนึ่ง
แม้หลวนอวิ๋นชูจะสุขุมเยือกเย็น แต่เวลานี้ก็อดใจเต้นแรงไม่ได้ ถ้าบอกว่าเจอสมุนไพรที่มีพิษชนิดหนึ่ง ยังพูดได้ว่าเป็นเหตุบังเอิญ แต่ทยอยเจออย่างไม่ขาดสาย นี่ย่อมไม่ปกติแล้ว
มิน่าเล่าที่นี่จึงถูกจัดเป็นสถานที่ต้องห้าม ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามา
เพียงแต่…ต่งกั๋วกงกับต่งอ้ายปลูกสมุนไพรมีพิษเหล่านี้ไว้ทำอะไร หรือว่าตอนต่งอ้ายยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ยาพิษ
คิดมาถึงตรงนี้ หลวนอวิ๋นชูพลันนึกถึงใบหน้าเขียวคล้ำน่าเกลียดน่ากลัวที่ห้องโถงตั้งศพ ร่างนางสะท้านเฮือก ต่งอ้ายตายเพราะถูกพิษกระมัง แต่ในเมื่อเขาก็มีความรู้เรื่องยาพิษ เพราะเหตุใดยังถูกพิษได้อีก
หรือว่าพลาดพลั้งกินยาพิษอะไรที่ถอนไม่ได้เข้าไป ถึงได้ปลูกสมุนไพรเหล่านี้ไว้เพื่อทดลองใช้ถอนพิษ
ความคิดนี้พอผุดขึ้นมาในสมองก็ถูกนางปฏิเสธในทันที จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าต่งอ้ายพลาดพลั้งกินยาพิษเข้าไปจริง ต่อให้เขาถอนพิษไม่ได้ ต่งกั๋วกงก็ย่อมหาหมอที่มีชื่อเสียงทั่วทั้งใต้หล้ามาช่วยรักษา จะปล่อยให้เขาจากไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร!
อีกอย่างข้าก็ไม่เคยได้ยินในจวนพูดเรื่องต่งอ้ายถูกพิษมาก่อน
ถ้าไม่ใช่พลั้งเผลอกินยาพิษเข้าไป ทายาทเจิ้นกั๋วกงผู้องอาจผึ่งผาย ทั้งยังมีลุงใบ้ที่รู้จักยาพิษชนิดนี้จะถูกทำร้ายง่ายๆ ได้อย่างไร มองหยางเจี่ยวเถิงที่อยู่ในมือซิ่วเอ๋อร์ หลวนอวิ๋นชูในสมองสับสนไปหมด รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่านางตกหล่นอะไรไป ถึงไม่อาจเอาไข่มุกที่กระจัดกระจายเป็นเม็ดๆ นี้มาเรียงร้อยต่อกันได้สำเร็จ
หลวนอวิ๋นชูยกมือขึ้นนวดคลึงจุดไท่หยาง บางทีต่งอ้ายอาจจะป่วยตาย เป็นนางที่คิดมากไปเอง มีลุงใบ้อยู่ ไยนางต้องคาดเดาส่งเดช สิ้นเปลืองสติปัญญาด้วย!
คิดมาถึงตรงนี้กำลังจะเอ่ยปาก นางที่ประสาททั้งหกเฉียบไวพลันรู้สึกถึงกลิ่นอายเยียบเย็นขุมหนึ่งแผ่ออกมาจากร่างลุงใบ้ คล้ายอากาศเย็นยะเยือกขึ้น ฉับพลันนั้นถึงกับได้ยินเสียงลมหายใจที่เปลี่ยนเป็นหนักหน่วงของเขา
มีลางสังหรณ์ว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ หลวนอวิ๋นชูใจเต้นรัวแรง นางกลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากกลับลงไป ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แสร้งทำทีเป็นพิจารณาดูอยู่พักใหญ่แล้วยืดตัวขึ้นพูดยิ้มๆ
“ในสวนของลุงใบ้แห่งนี้มีต้นไม้ดอกไม้แปลกๆ มากเสียจริง ต้นนี้ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้จริงๆ ว่าเรียกอะไร”
“ท่านก็ไม่รู้จักหรือ” ซิ่วเอ๋อร์มีท่าทีผิดหวัง หันไปทางลุงใบ้ “อันนี้…ก็รักษาโรคได้หรือ”
ลุงใบ้มองหลวนอวิ๋นชูอย่างเยียบเย็นแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าลงดูแลต้นไม้ดอกไม้ต่อไป ไม่สนใจคำพูดของพวกนาง
สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายเยียบเย็นสลายไปแล้ว หลวนอวิ๋นชูลอบระบายลมหายใจ กวาดตามองไปรอบด้าน เพ่งดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง พบว่าที่นี่ไม่มีทางออกอื่นจริง นางมองๆ ดวงตะวันแล้วเอ่ยขึ้น
“สายมากแล้ว พวกเราออกไปกันเถิด สี่จวี๋สี่หลันจะรอนาน”
“สะใภ้สี่…”
ซิ่วเอ๋อร์มองหยางเจี่ยวเถิงต้นนั้นอย่างทึ่มทื่อ ในดวงตามีประกายมึนงงผุดขึ้นมาแวบหนึ่ง ยังทำท่าจะพูดอะไร แต่ลุงใบ้วางงานในมือลง เดินนำออกไปข้างนอกแล้ว เห็นเขามีท่าทางไล่แขกอย่างชัดเจน ซิ่วเอ๋อร์จึงหุบปาก เดินตามอยู่ข้างหลังคล้ายมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ
มาถึงหน้าประตูหลวนอวิ๋นชูก็พูดคุยด้วยอีกสองสามคำ แล้วส่งสายตาให้ฝูหรง
ฝูหรงหยิบเศษก้อนเงินออกมาก้อนหนึ่งด้วยท่าทางไม่เต็มใจอย่างมากยื่นส่งไปให้
เห็นลุงใบ้รับเงินไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก แล้วโยนลงไปในเข่งที่อยู่ปลายเท้า กระทั่งขอบคุณสักคำยังไม่มี ปากน้อยๆ ของฝูหรงก็พลันเชิดขึ้นจนสูง
หลวนอวิ๋นชูกลับแอบนึกเสียใจที่ให้รางวัลบุ่มบ่ามเกินไป ลุงใบ้ผู้นี้ต้องไม่ใช่คนที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแค่เศษเงินเล็กน้อย แต่ก็จนใจยิ่งนัก เพราะนางเองก็เป็นคนยากจนคนหนึ่ง
เก็บท่าทางกลืนไม่เข้า คายไม่ออกบนใบหน้า หลวนอวิ๋นชูกำลังจะเอ่ยลา กลับเห็นลุงใบ้ทำมือทำไม้ขึ้นมาอีก
“ลุงใบ้บอกว่าพอสะใภ้สี่ออกไปแล้วอย่าได้พูดเป็นอันขาดว่าที่นี่ปลูกสมุนไพร เพียงบอกว่าเป็นสวนดอกไม้ก็พอ นี่เป็นคำสั่งของคุณชายสี่ตอนยังมีชีวิตอยู่”
ฟังคำอธิบายของซิ่วเอ๋อร์แล้ว หลวนอวิ๋นชูมีเหงื่อเย็นซึมออกมาทั่วร่างทันที พลันนึกขึ้นมาได้ ถ้านางเปลี่ยนตัวซิ่วเอ๋อร์ออกไป ต่อไปใครจะช่วยแกะภาษามือของลุงใบ้ให้นาง
“เรื่องนี้ลุงใบ้โปรดวางใจ” นางกล่าวอย่างลังเล “ลุงใบ้…เขียนหนังสือได้หรือไม่”
ยังต้องถามด้วยหรือ คนสวนที่ต่ำต้อยผู้หนึ่งจะเขียนหนังสือเป็นได้อย่างไร
ไม่ได้เตรียมการไว้ว่าหลวนอวิ๋นชูจะถามเรื่องนี้ ฝูหรงกับซิ่วเอ๋อร์ต่างหน้าแดง ลำบากใจแทนลุงใบ้
งงงันอยู่ชั่วขณะลุงใบ้ก็แสยะปากยิ้มแล้วพยักหน้าให้นาง อารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ในดวงตาปรากฏแววอ่อนโยนมีเมตตาออกมา
เขียนหนังสือได้ก็ดี ถึงให้ซิ่วเอ๋อร์ออกไป การสื่อสารกันในวันหน้าก็ไม่มีอุปสรรค
หลวนอวิ๋นชูคลี่ยิ้มสดใสดุจบุปผาในฤดูใบไม้ผลิ สมุนไพรที่มีอยู่เต็มสวนแห่งนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นของในกระเป๋าของนาง
สี่จวี๋สี่หลันนั่งอยู่บนม้าหินกำลังเด็ดใบหญ้ากันอยู่ ที่ปลายเท้ามีหญ้าสามใบกระจัดกระจายอยู่กองเล็กๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้น หลวนอวิ๋นชูมาถึงเบื้องหน้าแล้ว ทั้งสองจึงรีบโยนใบไม้ทิ้ง ลุกขึ้นมารับหน้า สี่จวี๋ยื่นมือมาหาหลวนอวิ๋นชู ยิ้มแล้วเอ่ยถาม
“ข้างในปลูกดอกไม้อะไรหรือเจ้าคะ สะใภ้สี่เข้าไปเดินเที่ยวเล่นนานเพียงนี้ ปล่อยให้บ่าวรออยู่นานทีเดียว”
ฝูหรงกับซิ่วเอ๋อร์อดรู้สึกผิดไม่ได้ ในสวนมีแต่สมุนไพรแปลกประหลาด พูดไม่ได้ว่าสวยงาม แต่ลุงใบ้บอกไว้ พวกนางย่อมไม่กล้าพูดส่งเดช แต่ในเรือนลู่ย่วนนี้สี่จวี๋เพียงอยู่ใต้หลวนอวิ๋นชูคนเดียว จึงไม่กล้าโกหกนาง ได้แต่ส่งสายตามองไปที่หลวนอวิ๋นชูไม่หยุด
“แต่ละวันข้าไม่ได้ออกไปไหน เดิมยังเข้าใจว่าต้นไม้เพิ่งแตกหน่อเสียอีก” ขณะเดินไปหลวนอวิ๋นชูก็เอ่ยออกมาอย่างไม่เผยพิรุธใดๆ “คิดไม่ถึงว่าดอกไม้ต้นหญ้าจะสูงครึ่งฉื่อแล้ว”
“ไม่เหมือนภาคเหนือ ทางภาคใต้อากาศอบอุ่น ต้นไม้ใบหญ้าจะเจริญเติบโตเร็ว” สี่จวี๋หัวเราะพรืด “บ่าวได้ยินว่าทางเหนือในเวลานี้ยังเป็นน้ำแข็งอยู่เลยเจ้าค่ะ”
พูดคุยหัวเราะกันไปมาจนออกจากป่าไผ่ ช้อนสายตามองไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ หลวนอวิ๋นชูพบว่าด้านหน้าไม่ไกลออกไปเท่าไรมีประตูข้างบานหนึ่ง จึงชี้พลางเอ่ยถาม
“ประตูนี้ออกไปที่ใด ตอนออกมาเหตุใดจึงไม่เห็น”
สี่หลันกล่าวยิ้มๆ “ไปทะเลสาบลั่วเยี่ยนเจ้าค่ะ นี่เป็นด้านตะวันตก พวกเรามาจากทางตะวันออก”
ทะเลสาบลั่วเยี่ยน?!
นั่นก็คือทะเลสาบที่บัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค ‘ฆ่าตัวตายเพื่อบูชารัก’ แห่งนั้น
“ไม่ได้อยู่นอกจวนหรอกหรือ” หลวนอวิ๋นชูออกจะฉงนสนเท่ห์ “เหตุใดจึงอยู่ติดกับเรือนในโดยตรง”
“สะใภ้สี่เข้าใจผิดแล้ว ทะเลสาบลั่วเยี่ยนก็เป็นส่วนหนึ่งของด้านในจวน” เอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่ง สี่หลันก็แก้ไขคำพูดใหม่ “ความจริงก็ไม่นับเป็นด้านในจวน”
ฝูหรงโต้แย้งขึ้น “ไม่ใช่ด้านในจวน? เหตุใดจึงมีทางไปจากเรือนของเรา!”
สี่หลันหน้าแดงขึ้นทันที กำลังจะเถียงสี่จวี๋ก็ดึงนางไว้แล้วกล่าวยิ้มๆ
“เจ้าเพิ่งจะเข้าจวนมา อาจยังไม่เข้าใจ ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบลั่วเยี่ยนก็คือเรือนซิงซู่ ไม่นับเป็นด้านในจวนจริงๆ ประตูนี้ตอนคุณชายสี่ยังอยู่ ต้องการความสะดวก จึงดึงดันจะเจาะประตู ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันนายหญิงใหญ่ยังสั่งแล้วสั่งอีกให้ปิดตายไปเสีย”
“เรือนซิงซู่เป็นสถานที่ใดหรือ” เห็นหน้าผากหลวนอวิ๋นชูมีเหงื่อซึมออกมา ฝูหรงก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับให้นาง
“เป็นสถานที่ที่เหล่าที่ปรึกษาพักอาศัยเจ้าค่ะ…ตำนานบอกว่าบุคคลที่มีคุณธรรมและความปรีชาสามารถล้วนเป็นดวงดาวบนท้องฟ้าจุติลงมาเพื่อจะดึงดูดผู้มีคุณธรรมปัญญา นายท่านจึงตั้งใจให้ชื่อว่า ‘ซิงซู่’ ที่มีความหมายว่ากลุ่มดาว ประหนึ่งว่าเป็นที่สำหรับรวบรวมคุณธรรม” สี่จวี๋กล่าว
“อ้อ…”
หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะ ในตำนานว่าไว้เช่นนั้นจริง อาทิดาวเหวินฉวี่ก็เป็นกลุ่มดาวที่ทำหน้าที่ควบคุมดวงชะตาด้านอักษรศาสตร์ เล่าลือกันว่าคนที่เขียนความเรียงได้ดีและมีตำแหน่งสูงล้วนเป็นดาวเหวินฉวี่จุติลงมา เช่นอีอิ่นอัครเสนาบดีแห่งราชวงศ์ซางปี่กานเทพแห่งโชคลาภฟ่านจ้งเยียนขุนนางสมัยราชวงศ์ซ่งเปาเจิ่ง บุคคลเหล่านี้ล้วนได้รับการพูดถึงว่าเป็นดาวเหวินฉวี่มาแต่เกิด
หลวนอวิ๋นชูมองไปที่ประตูข้างบานนั้นด้วยสีหน้าอมยิ้ม ในดวงตามีประกายสว่างวาบดุจดวงดาว
ถ้าได้รู้จักที่ปรึกษาที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยนสักหลายคน แผนการออกจากจวนของนางไยมิใช่มีโอกาสประสบความสำเร็จเพิ่มอีกส่วนหนึ่งหรือไร
บทที่หก
“นายท่านกระหายอยากจะได้มาซึ่งผู้มีสติปัญญาความสามารถ แต่ยังคงมีพวกประจบสอพลอ อย่างเจียงเสียนคนประเภทนี้ยังคงหาทางให้จากไปเสียแต่โดยเร็วจะดีกว่า”
หลังจากให้เหยาหลันกับหลวนอวิ๋นชูออกไปแล้ว นายหญิงใหญ่ก็โบกมือให้บ่าวไพร่ทั้งหลายออกไป แล้วเอ่ยปากหว่านล้อม
ต่งกั๋วกงขมวดคิ้ว “เป็นสตรีจะไปเข้าใจอะไร”
“ข้าอะไรก็ไม่เข้าใจ และไม่กล้าขัดขวางนายท่านด้วย” นายหญิงใหญ่ขยับนั่งตัวตรง เสียงแหลมขึ้นมา “แต่ข้ายังมีดวงตาอยู่ นับแต่เจียงเสียนมาอยู่ในจวน เหรินเอ๋อร์ก็ขลุกอยู่กับเขาทั้งวัน อย่างอื่นไม่ได้เรียนรู้มา แต่กินดื่ม เล่นพนัน เที่ยวหอนางโลมล้วนเรียนรู้มาจนเชี่ยวชาญแล้ว รวมสวินเหลียนด้วยอีกคน ท่านไม่ได้ยินข้างนอกเรียกพวกเขาว่าอย่างไรหรือ” นางมองต่งกั๋วกงตรงๆ “สามเสเพลแห่งเมืองหลวนเฉิง”
ต่งกั๋วกงหันหน้าเข้าหาแสงตะวัน หรี่ตามองตุ๊กตาหยกเหลืองถือเครื่องดนตรี
“ท่านดูเหรินเอ๋อร์สิ กลายเป็นอะไรไปแล้ว ถ้าไม่ใช่ข้าจับตาดูอย่างใกล้ชิด แม้แต่คนของข้าก็คิดจะแตะต้อง อ้ายเอ๋อร์ร่างยังไม่ทันเย็น เขาถึงกับคิดจะใช้กำลังข่มเหงอวิ๋นชูแล้ว อวิ๋นชูเป็นใคร เป็นน้องสะใภ้ของเขานะ!” นายหญิงใหญ่หน้าแดง หอบหายใจดัง “เรื่องนี้ถ้าแพร่งพรายออกไป จวนกั๋วกงจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
“นางก็ไม่ใช่ยังดีๆ อยู่หรือ”
“แต่นางสูญเสียความทรงจำแล้ว”
ร้องเสียงแหลมออกมาคำหนึ่ง นายหญิงใหญ่ก็รู้ว่าตนเสียกิริยาจึงผ่อนคลายน้ำเสียงลง
“สกุลของเรามีฐานะสูงส่ง มีซุ้มประตูสรรเสริญฝ่าบาทเคยตรัสไว้ ถ้าสกุลต่งมีหญิงม่ายครองพรหมจรรย์ครบหนึ่งร้อยคน ไม่เพียงจะสร้างซุ้มประตูสรรเสริญกิเลนห้าช่อง ยังจะเขียนป้ายทองด้วยลายพระหัตถ์อีกด้วย เจ้าบ้านฝ่ายหญิงจะได้รับการสืบทอดตำแหน่งนายหญิงตราตั้งสืบต่อกันไปทุกรุ่น” นึกถึงต่งอ้ายที่เสียชีวิตแต่ยังเยาว์วัย แต่กลับได้เข้าไปฝังไว้ในสุสานบรรพบุรุษเป็นกรณีพิเศษ “ประมุขตระกูลคาดหวังว่าถ้าอวิ๋นชูสามารถสร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้วงศ์สกุลและบรรพบุรุษ ช่วงชิงซุ้มประตูสรรเสริญครบหนึ่งร้อยคนมาได้ หลังจากตายแล้วก็เข้าฝังในสุสานบรรพบุรุษได้เช่นกัน” แล้วยกความผิดเป็นข้อๆ ขึ้นมากล่าว “เมื่อใดเรื่องที่เหรินเอ๋อร์คิดจะใช้กำลังข่มเหงอวิ๋นชูที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยนแพร่งพรายออกไป เขาถูกประมุขตระกูลลงโทษถึงตายไม่พูดถึง อ้ายเอ๋อร์จะต้องถูกขับออกจากสุสานบรรพบุรุษแน่นอน!”
ต่งกั๋วกงแอบทอดถอนใจทีหนึ่ง เรื่องแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่นายหญิงใหญ่ไหนเลยจะรู้ถึงความเป็นมาของเจียงเสียน
เจียงเสียน ชื่อรองเหิงจวิน เคยเป็นท่านโหวต่างสกุลเพียงหนึ่งเดียวของแคว้นหลี คนผู้นี้วรยุทธ์สูงส่ง มีความเชี่ยวชาญด้านการทหารและตำราพิชัยสงคราม เป็นผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมแห่งยุค ฮ่องเต้แคว้นหลีเคยยกย่องว่าได้คนผู้นี้มาเพียงคนเดียวก็ทำให้ใต้หล้าสงบสุขได้ นับแต่เปิดเผยตัวออกมา เขาใช้เวลาเพียงห้าปีก็ช่วยฮ่องเต้แคว้นหลีที่ยังเยาว์วัยบริหารราชการ ยึดครองเผ่าซยงหนูทางตอนเหนือ ภายในปราบปรามพวกก่อกบฏจนราบคาบ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับแคว้นหลี หลังจากนั้นเขายังได้นำเสนอแผนการใหญ่ ‘แผนการสร้างความสงบแก่บ้านเมือง’ และ ‘แผนการสร้างความมั่นคงให้บ้านเมือง’ ซึ่งเป็นข้อคิดเห็นที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกลและยอดเยี่ยมเลิศล้ำ
ถ้าไม่ใช่ตนใช้ไส้ศึกทำให้เจียงเสียนกับฮ่องเต้และขุนนางแตกคอกัน แล้วปล่อยให้เจียงเสียนช่วยฮ่องเต้แคว้นหลีบริหารราชการแผ่นดินต่อไป เพียงไม่กี่ปีใต้หล้านี้ย่อมตกเป็นของแคว้นหลีแต่เพียงผู้เดียว ถ้าไม่ใช่เจียงเสียนถูกลอบเล่นงาน เกรงว่าต่อให้ตนทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ก็ยังเชิญเจียงเสียนมาไม่ได้!
หลังจากเจียงเสียนออกจากแคว้นหลีมา ฮ่องเต้แคว้นหลีถึงกับส่งกำลังคนสิบกว่าสายมาตามไล่ล่าสังหารเขา ดูจากเรื่องนี้ก็รู้ถึงความหวาดกลัวที่ฮ่องเต้แคว้นหลีมีต่อเจียงเสียนแล้ว ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นหลีจะแล้งน้ำใจ แต่เจียงเสียนกลับอาลัยอาวรณ์บ้านเกิดเมืองนอน หนีมาอยู่จวนกั๋วกงสองปี ไม่เคยออกอุบายหรือแผนการให้ตนเลยสักครั้ง เป็นแขกที่มาอาศัยกินข้าวอย่างแท้จริง
ที่ทำให้คนทอดถอนใจก็คือภายหลังฮ่องเต้แคว้นหลีพบว่าตนเองหลงกลอุบายเข้าแล้ว ถึงกับไม่รับฟังความเห็นของทุกคน รับแผนการสร้างความสงบแก่บ้านเมืองของเจียงเสียนมาดำเนินการ สองปีมานี้ฝึกทหารบำรุงม้า แคว้นหลีในวันนี้ไม่ใช่แคว้นหลีในอดีตจะมาเปรียบเทียบได้
หันกลับมาดูแคว้นหลวน หลายชั่วคนมานี้เพียงอาศัยช่องเขาปากมังกรบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำหลวนที่มีชัยภูมิเต็มไปด้วยอันตรายเป็นปราการ ไม่ใส่ใจเรื่องการเพาะปลูก ไม่จัดเตรียมกำลังรบให้พร้อมสรรพ ทั้งแคว้นไม่ว่าเบื้องบนเบื้องล่างมีแต่ความสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย กำลังความสามารถของสองแคว้นทางนี้ลดต่ำทางโน้นเพิ่มสูง อันตรายจากการสิ้นแผ่นดินอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ฮ่องเต้กลับถูกปัญญาชนคร่ำครึกับขุนนางที่ประจบสอพลอปิดหูปิดตา เขากราบทูลหลายครั้งกลับยิ่งถูกปัดแข้งปัดขา
ไม่ผิดแม้แต่น้อยจริงๆ นับแต่โบราณกาลมาปัญญาชนทำให้บ้านเมืองพังพินาศ!
การตกต่ำของเจียงเสียนเป็นสิ่งที่เขาทุ่มเทความคิดวางแผนจัดการ เขาต้องการให้เจียงเสียนถลำเข้าไปในความสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย ต้องการให้อีกฝ่ายจิตใจหงอยเหงาเศร้าซึม คิดไม่ถึงว่ากลับพาเหรินเอ๋อร์เสียคนไปด้วย
ต่งกั๋วกงแอบทอดถอนใจ เอาตุ๊กตาหยกเก็บกลับคืนลงไปในหีบไม้หนานมู่แล้วใส่กุญแจพลางกล่าว
“มีบุรุษสักกี่คนที่ไม่เจ้าชู้ ตัวเหรินเอ๋อร์ไม่แสวงหาความก้าวหน้า ไม่อาจโทษผู้อื่น เหิงจวินเป็นคนรักษาคำพูด มีชื่อเสียงบารมีในหมู่ที่ปรึกษาที่ดีมาก จู่ๆ จะให้เขาไปเสีย จะทำให้จิตใจของทุกคนห่อเหี่ยวท้อแท้เสียมากกว่า”
“นายท่าน…”
“ฟูเหรินอย่าเอ่ยถึงอีกเลย!”
เห็นเขามีท่าทีแข็งกร้าว นายหญิงใหญ่สีหน้าแปรเปลี่ยน แต่ไม่กล้าเอ่ยถึงอีก นิ่งเงียบไปชั่วขณะแล้วนึกถึงเรื่องการแต่งงานของต่งซูขึ้นมาได้ “นายท่านไม่ใช่บอกว่ากราบทูลฝ่าบาทให้ทรงทราบแล้วหรือ”
“ยังไม่มีข่าวอะไรเลย” ต่งกั๋วกงยกน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง ถอนหายใจแล้วว่า “เรื่องนี้ไม่ง่ายเหมือนที่ฟูเหรินคิด ฝ่าบาททรงแต่งตั้งสวินซีเป็นแม่ทัพใหญ่ยกทัพไปบุกตะวันออกแล้ว ที่พระราชทานสมรสก็เพื่อจะให้พวกเขาพ่อลูกออกรบด้วยความสบายใจ ถ้าท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ยอมล้มเลิกการแต่งงาน ฝ่าบาทก็ไม่ทรงอนุญาต”
“แล้ว…” นายหญิงใหญ่ตกตะลึง “แม่ทัพสวินมีทีท่าจะล้มเลิกการแต่งงานหรือไม่”
“เขาบอกทุกอย่างแล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงตัดสินพระทัย”
“นั่นก็แสดงว่าไม่ยอมล้มเลิกแล้ว” เมื่อนึกถึงว่าต่งจงตายในสนามรบ นายหญิงใหญ่ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว เสียงสั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ “ความหมายของนายท่านก็คือ…คุณชายสวินก็จะติดตามบิดาไปออกรบด้วย?”
เห็นเขาพยักหน้า นายหญิงใหญ่น้ำตาร่วงรินทันที
“จงเอ๋อร์ อ้ายเอ๋อร์ทยอยจากไป ข้าเหลือเพียงซูเอ๋อร์เท่านั้น ข้า…ข้าไม่สู้ตายเสียให้สิ้นเรื่อง” นางมองต่งกั๋วกงอย่างวิงวอนขอร้อง “ขอร้องนายท่านไม่ว่าอย่างไรต้องคิดหาวิธีล้มเลิกการแต่งงานในครั้งนี้”
“บุรุษต่อสู้ในสนามรบ รับใช้ตอบแทนบ้านเมือง แม้ตายก็มีเกียรติ ถ้าสวินเหลียนถอยหนียามออกศึก ก็ไม่มีค่าควรให้ข้ายกซูเอ๋อร์แต่งกับเขา!”
น้ำเสียงหนักแน่นดังกังวาน นายหญิงใหญ่สีหน้าซีดขาว น้ำเสียงยิ่งแหลมขึ้น
“นายท่าน ข้าไม่เข้าใจเรื่องบ้านเมือง แต่ได้ยินอวิ๋นชูพูดอยู่เสมอ แคว้นหลีบ้านเมืองอุดมสมบูรณ์กำลังทหารแข็งแกร่งมานานแล้ว จับจ้องแคว้นหลวนแคว้นชื่อสองแคว้นตาเป็นมัน แคว้นหลวนกับแคว้นชื่อมีแต่ต้องร่วมมือกันต่อต้านจึงจะเป็นแผนที่ดี ดังคำพูดที่ว่า ‘เมื่อไม่มีปากฟันย่อมหนาวเหน็บ’ หากแคว้นชื่อล่มสลาย ถัดไปก็คือแคว้นหลวน” แล้วบอกต่อว่า “เดิมทีฝ่าบาทก็ไม่ควรกรีธาทัพไปตะวันออก!”
ต่งกั๋วกงสีหน้าหม่นขรึม กระทั่งสตรีผู้หนึ่งยังเข้าใจเหตุผลนี้ ฮ่องเต้กลับเชื่อฟังคำพูดของแม่ทัพใหญ่กับขันทีวังตะวันตก ดึงดันโดยไม่ฟังเสียงผู้ใด เขาขุนนางคนหนึ่งจะทำอะไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจทางการทหารของเขาถูกช่วงชิงไปนานแล้ว เพียงมีตำแหน่งลอยๆ เท่านั้น
เสียดายความรู้ทั้งด้านบุ๋นและบู๊ที่มีอยู่เต็มท้องของเขาไม่มีที่ให้แสดง ถ้าสามารถเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานกับแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชากองกำลังทหารสิบมณฑลได้ ก็ยังพอจะนับได้ว่าเป็นแผนที่ดีที่จะได้อำนาจทางการทหารกลับมาอีกครั้ง ด้วยจิตใต้สำนึก เขากลับหวังว่าจะสามารถผลักดันให้การแต่งงานในครั้งนี้สำเร็จลงได้ เลี้ยงบุตรสาวไปเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อแบ่งเบาภาระให้บิดาในช่วงคับขันสำคัญหรอกหรือ
ทว่ายามอยู่ต่อหน้านายหญิงใหญ่ คำพูดนี้เขาก็พูดไม่ออก
“ซูเอ๋อร์ก็เป็นเลือดเนื้อของข้า ข้าเองก็ปวดใจเช่นกัน จนใจที่อำนาจของแม่ทัพสวินเหมือนอาทิตย์ยามเที่ยงวันเราไม่อาจล้มเลิกได้!” เขามองนายหญิงใหญ่อย่างเจ็บปวด “ฟูเหรินจะให้จวนกั๋วกงตายไปพร้อมกับซูเอ๋อร์หรือ”
“นายท่านเป็นถึงเจิ้นกั๋วกง แม้แต่เรื่องแต่งงานของบุตรสาวก็ยังไม่อาจจัดการได้หรือ!” สีหน้านายหญิงใหญ่จากขาวเปลี่ยนเป็นแดง “ดินแดนแคว้นหลวนแห่งนี้ บรรพบุรุษของเราก็มีคุณูปการอยู่ครึ่งหนึ่ง บรรดาศักดิ์เจิ้นกั๋วกง ปฐมฮ่องเต้ทรงเป็นผู้แต่งตั้ง ให้สืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อไปทุกชั่วคน บรรพบุรุษไม่อยู่แล้ว ท่านถูกตัดอำนาจทางการทหารไม่พูดถึง แม้แต่บุตรสาวยังถูกคนบังคับให้แต่งงาน เจิ้นกั๋วกงผู้องอาจผ่าเผยถึงกับถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเพียงนี้ สวรรค์ช่างไร้ดวงตา!”
น้ำเสียงนายหญิงใหญ่ทดท้อเยียบเย็น ความไม่พอใจในราชสำนักลึกซึ้งเหนือคำพูดที่เอ่ยออกมา ต่งกั๋วกงสีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึง รีบขยับนั่งตัวตรง กวาดตามองไปรอบด้านด้วยความตึงเครียด กล่าวอย่างไม่พอใจ
“นับแต่โบราณมาขุนนางยึดถือกษัตริย์เป็นขุนนาง อย่าว่าแต่บุตรสาวเลย แม้แต่ชีวิตก็เป็นของฝ่าบาท จะทำผิดหลักปฏิบัติได้อย่างไร เรื่องนี้ฟูเหรินเลิกพูดถึงเถอะ หากแพร่งพรายออกไปจะต้องประสบหายนะกันทั้งครอบครัว!”
ในใจยังคงแค้นเคืองยิ่ง แต่นายหญิงใหญ่ก็รู้ถึงหลักปฏิบัติและจริยธรรมระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง บุตรและบิดา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจฝ่าฝืนได้ เห็นต่งกั๋วกงบันดาลโทสะก็ไม่กล้าพูดอีก
ผ่านไปพักใหญ่ต่งกั๋วกงก็เอ่ยคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใสใจจริงและแฝงความหมายลึกซึ้ง
“ฟูเหรินวางใจ ซูเอ๋อร์มีบุญวาสนา ไม่แน่ว่าจะอาภัพเหมือนอวิ๋นชู” แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ถ้าสวินเหลียนสามารถสร้างความดีความชอบทางการทหารได้ ซูเอ๋อร์ก็จะพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย ไยมิใช่เป็นเรื่องดี” แล้วทอดถอนใจพลางเอ่ยต่อ “ฟูเหรินลองไตร่ตรองให้ดี การแต่งงานครั้งนี้แม่ทัพใหญ่ไม่ยกเลิก เราก็ยกเลิกไม่ได้ แต่ถ้าเขายกเลิกการแต่งงานจริง ชื่อเสียงไม่ดีงามของซูเอ๋อร์ถูกเล่าลือออกไป ในเมืองหลวนเฉิงยังจะมีใครกล้ามาสู่ขออีก”
“เรื่องนี้…”
เรื่องนี้นายหญิงใหญ่ไม่ได้นึกถึงมาก่อน อดตะลึงงันไปไม่ได้ จากนั้นน้ำตาก็พร่างพรมลงมาดุจสายฝน
“ล้วนเป็นเวรเป็นกรรม” นางพูดกับตนเอง “สวินเหลียนมีอนุอยู่หลายคนแล้ว มาคลุกคลีอยู่กับเจียงเสียน ยิ่งไม่มีอะไรที่จะไม่ทำ…ฝ่าบาทพระราชทานสมรส แม้ข้าจะรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนซูเอ๋อร์ แต่ก็ยอมรับชะตากรรมแล้ว เพียงหวังว่าหลังจากเขาแต่งกับซูเอ๋อร์แล้วจะสงบเสงี่ยมลงบ้าง คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับ…พอนึกถึงว่าจงเอ๋อร์ต้องตายในสนามรบ หัวใจของข้าก็คล้ายถูกมีดคว้านเช่นนั้น”
คำพูดเศร้าอาดูรอย่างสุดแสนหลายประโยคแฝงไปด้วยความรักบุตรสาวอย่างลึกซึ้ง แม้จะเป็นการแต่งงานเพื่อการเกี่ยวดองทางการเมืองที่ต่งกั๋วกงเฝ้าปรารถนา แต่จะอย่างไรก็เป็นบุตรสาวของตน เมื่อนึกถึงอนาคตที่ไม่แน่นอนของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าสลด พูดอะไรไม่ออก
อากาศคล้ายหยุดนิ่งลง ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
เสียงเคาะประตูดังกังวานขึ้น นายหญิงใหญ่สะดุ้งเฮือก ตื่นจากภวังค์ รีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดน้ำตาจนแห้ง จิบน้ำชาให้ชุ่มคอ แล้วส่งเสียงไปที่ประตู
“เข้ามาเถิด”
สี่หลันเท้าข้างหนึ่งเพิ่งก้าวเข้ามาข้างใน เท้าอีกข้างหนึ่งยังอยู่ข้างนอก ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ชะงักงัน นางลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วกัดฟันเดินเข้าไปทำความเคารพอย่างระมัดระวัง แต่ไม่กล้าพูดอะไร
“เจ้าไม่ใช่อยู่ปรนนิบัติสะใภ้สี่หรอกหรือ” เห็นนางไม่พูด นายหญิงใหญ่เอาความคับแค้นใจที่มีอยู่เต็มอกระบายใส่นาง “วิ่งมาทำอะไรที่นี่”
“นายหญิงใหญ่สั่งสอนได้ถูกต้อง บ่าวสมควรถูกลงโทษ บ่าว…”
พูดมาได้ครึ่งหนึ่งสี่หลันมองสบนัยน์ตาคมกริบของนายหญิงใหญ่ เสียงพลันขาดหายไป หลังจากได้สติจึงตอบคำอย่างระมัดระวัง
“เรียนนายหญิงใหญ่ สะใภ้สี่จะไปทะเลสาบลั่วเยี่ยน พวกบ่าวห้ามปรามไม่อยู่ สี่จวี๋จึงให้บ่าวรีบมาเรียนให้นายหญิงใหญ่ทราบเจ้าค่ะ”
“ไปทะเลสาบลั่วเยี่ยน?” นึกได้ว่าต่งซูก็ถูกสวินเหลียนเซ้าซี้พันพัวที่นั่น นายหญิงใหญ่ก็ยิ่งโทสะพวยพุ่ง “คนไว้ทุกข์ไม่อยู่ในห้องหับ เที่ยวเล่นไปทั่วได้อย่างไร!”
สี่หลันเนื้อตัวสั่นเทา รู้ว่านายหญิงใหญ่เข้าใจผิดแล้วจึงรีบชี้แจง
“เข้าไปทางประตูข้างฝั่งตะวันตกของเรือนลู่ย่วนเจ้าค่ะ”
“ประตูข้างฝั่งตะวันตกเรือนลู่ย่วน” นายหญิงใหญ่ย่นหัวคิ้ว “ไม่ใช่ให้คนปิดไปแล้วหรือ”
“บ่าวก็ไม่ทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ” สี่หลันสั่นศีรษะ “เพียงแต่ใส่กุญแจไว้แล้ว ลูกกุญแจอยู่ที่ซุนหมัวมัว นางดึงดันไม่ให้ บอกต้องเรียนสะใภ้ใหญ่ก่อน สุดท้ายสะใภ้สี่บันดาลโทสะ ลงโทษนาง แล้วแย่งเอาลูกกุญแจไป…”
นายหญิงใหญ่แววตาเย็นยะเยือก เรียกสี่เหมยเข้ามา “เจ้าไปที่นั่น เรียกสะใภ้สี่มา แล้วถือโอกาสเก็บลูกกุญแจประตูข้างฝั่งตะวันตกมาด้วย”
สี่เหมยรับคำ กำลังจะหมุนตัวไปต่งกั๋วกงก็เอ่ยเสียงเข้มขึ้นมา “ล้วนแต่เป็นพื้นที่ในจวน มีอะไรต้องตื่นตระหนกตกใจ”
สี่เหมยมองนายหญิงใหญ่อย่างไม่รู้จะทำประการใด
“นายท่าน…” นายหญิงใหญ่ผ่อนคลายน้ำเสียงลง “ทะเลสาบลั่วเยี่ยนอยู่ติดกับเรือนซิงซู่ เหล่าที่ปรึกษามักไปที่นั่น”
“ฟูเหรินกังวลเกินไปแล้ว อวิ๋นชูก็รู้กาลเทศะ รู้หลักทำนองคลองธรรม” ต่งกั๋วกงวางถ้วยชาลง “ฝ่าบาททรงอนุญาตให้อิสตรีเข้าร่วมการชุมนุมได้ ตอนนางอยู่บ้านเดิมก็ไปเข้าร่วมการชุมนุมแต่งบทกวีของเมืองหลวนเฉิงทุกวัน เพิ่งจะแต่งเข้ามาจวนของเราก็ถูกจำกัดควบคุมเช่นนี้ จะทำให้นางไม่พอใจและมองหน้ากันไม่สนิท”
“นายท่าน…”
“นางแต่งเข้ามาได้สามวัน อ้ายเอ๋อร์ก็…เดิมพวกเราก็เป็นฝ่ายทำให้นางไม่ได้รับความเป็นธรรม”
“ตามกฎระเบียบที่บรรพบุรุษวางไว้ ไหนเลยจะอนุญาตให้อิสตรีเข้าออกสถานที่เช่นนั้น เข้าร่วมการชุมนุมกวี ท่านดูเวลานี้สิ บุรุษสตรีต่างเข้าไปรวมตัวอยู่ด้วยกันท่องบทกวีเขียนกลอน นี่มันธรรมเนียมปฏิบัติอะไร เรื่องเสื่อมเสียขัดต่อประเพณีและศีลธรรมอันดีงามเหล่านั้นใช่เกิดขึ้นน้อยเสียเมื่อไร”
หน้าประตูเรือนแม่ม่ายมีเรื่องติฉินนินทามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวนอวิ๋นชูเป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคที่คนนับหมื่นต่างเลื่อมใสศรัทธา! น้ำเสียงของนายหญิงใหญ่พลันเหน็บแนมเจ็บแสบขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลืมไปแล้วว่าสี่เหมยสี่หลันยังยืนอยู่ที่นี่
ประเพณีโบราณเน้นหนักเรื่องชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกัน ปัญหานอกบ้านในบ้านแยกกันจัดการ ทั้งเรียกร้องให้สตรีไม่สอดส่องออกไปนอกกำแพง ไม่ออกจากเรือน แต่ฮ่องเต้ของแคว้นหลวนแต่ละยุคที่ผ่านมาต่างเลื่อมใสและส่งเสริมเรื่องความรู้และการศึกษา โดยเฉพาะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันโปรดปรานสตรีที่สามารถท่องบทกวีเขียนกลอนได้ อยู่ในตำหนักฝ่ายในก็จะจัดงานชุมนุมดอกท้อ งานเลี้ยงดอกโบตั๋นอะไรกับเหล่าสนมชายาอยู่เสมอ ขอเพียงดอกไม้อะไรในอุทยานหลวงผลิบานหรือร่วงโรย ก็จะเอามาเป็นหัวข้อในการแต่งบทกวี บางทีก็ชื่นชม บางทีก็ไว้อาลัย สนุกสนานครึกครื้นกันพักหนึ่ง บรรดาสนมชายาที่ถึงพร้อมทั้งรูปโฉมและสติปัญญาย่อมได้รับความโปรดปรานเป็นเท่าทวีคูณ ได้รับพระราชทานรางวัลมากมาย นานวันเข้าในหมู่ราษฎรก็พากันเอาอย่าง ฮ่องเต้โม่ตี้จึงถือโอกาสนี้อนุญาตให้สตรีชาวบ้านคลุมหน้าเข้าออกสถานที่ชุมนุมกวี เข้าร่วมการชุมนุมกวีได้
ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีสองด้าน การที่บุรุษสตรีต่างเข้าไปคลุกคลีอยู่ด้วยกัน นานวันเข้าย่อมเกิดความสนิทสนมใกล้ชิด ครั้นแล้วนับแต่ข้อบัญญัตินี้ได้รับการยกเลิก ไม่เพียงผู้มีอำนาจยศตำแหน่ง กระทั่งครอบครัวที่มีเงินก็มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นทุกปี กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังอาหารช่วงดื่มน้ำชาของผู้คน และด้วยเหตุนี้เอง สตรีไปร่วมการชุมนุมแม้ราชสำนักจะอนุญาต แต่ยังคงเป็นที่เหยียดหยามของคนส่วนใหญ่ นายหญิงใหญ่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตามความเห็นของต่งกั๋วกงก็เป็นเช่นนั้น นับแต่โบราณหลักปฏิบัติได้กำหนดไว้แล้ว สตรีควรอยู่ในห้องหับ ช่วยเหลือสามีอบรมเลี้ยงดูบุตร แต่หลวนอวิ๋นชูแตกต่างจากคนอื่น นางมีความเฉลียวฉลาด มีสติปัญญาปราดเปรื่องเหนือผู้คน คล้ายได้กลายเป็นแบบอย่างที่ปัญญาชนของแคว้นหลวนคอยไล่ตามสรรเสริญเยินยอไปแล้ว และด้วยเหตุนี้เอง รู้ทั้งรู้ว่าชีวิตของต่งอ้ายเหลืออีกไม่นานแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าก่อนออกเรือนนางกับลู่เซวียนแห่งกองอาลักษณ์มีความสนิทสนมส่วนตัวต่อกัน เขาก็ยังคงแต่งนางเข้าจวนกั๋วกง ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด เพียงเพื่ออยากใช้นางดึงดูดบุคคลที่มีความสามารถเข้ามา
ถ้าเก็บนางไว้แต่ในจวน แล้วจะดึงดูดบุคคลที่มีความสามารถของเมืองหลวนเฉิงมาเข้าร่วมเป็นพรรคพวกกับเขาได้อย่างไร แล้วที่เขาทุ่มเทความคิดแทบล้มประดาตายแต่งหลวนอวิ๋นชูเข้ามายังจะมีประโยชน์ใดอีก
“ความห่วงกังวลของฟูเหรินข้าเข้าใจ” เห็นนายหญิงใหญ่เคร่งเครียด ต่งกั๋วกงก็โบกมือให้สี่เหมยสี่หลันออกไป “ราชสำนักในเวลานี้บุ๋นควบคุมบู๊ ข้าเป็นทหารนายหนึ่ง แสดงข้อคิดเห็นทางด้านการเมืองไม่ได้รับความสนใจก็แล้วไปเถิด แม้ข้าจะเปิดประตูจวนออกกว้าง เปิดรับบุคคลที่มีสติปัญญาความสามารถ แต่ที่ยอมมาล้วนเป็นพวกห้าวหาญมีพละกำลัง อวิ๋นชูเป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค เป็นคนสำคัญในหมู่ปัญญาชน ถ้านางสามารถดึงดูดปัญญาชนเหล่านั้นมาได้ ทำให้ข้าได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทอีกครั้ง ทำให้ความมุ่งมาดปรารถนาที่จะตอบแทนบ้านเมืองของข้าได้เป็นจริง ข้าย่อมปรารถนาเป็นที่สุดอยู่แล้ว”
“เมื่อก่อนก็ไม่ใช่มีปัญญาชนมาเข้าเป็นพวกหรือ” หลังจากสงบนิ่งลงน้ำเสียงของนายหญิงใหญ่ก็ผ่อนคลายลง นางมองต่งกั๋วกงนิ่ง “เป็นเพราะเจียงเสียน เขาเป็นขุนนางทรยศ ทั้งหลงระเริง ไม่มีอะไรจะมาบังคับควบคุมได้ ปัญญาชนต่างรังเกียจที่จะเข้าร่วมเป็นพวกเดียวกัน ต่างกลัวจะพลอยทำให้ชื่อเสียงเสียหาย จึงได้ไม่เข้ามาใกล้ชิดท่าน ถ้านายท่านคิดจะดึงปัญญาชนมาเป็นพวกจริง ไยต้องพึ่งอวิ๋นชู เพียงขับเจียงเสียนออกไปก็พอ”
รับตัวเจียงเสียนไว้ถึงได้ส่งผลให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นวันนี้ เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ถึง แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ สถานการณ์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้แล้ว ไยต้องปล่อยเสือกลับภูเขาไปอีกเล่า
“เหิงจวินย่อมมีจุดเด่นของเขา เพียงแต่ไม่อาจให้เราใช้ประโยชน์ได้เท่านั้น”
“หลันเอ๋อร์ได้ยินบิดาของนางบอก เจียงเสียนหลงระเริงกำเริบเสิบสาน ถูกปัญญาชนด่ากระทบกระเทียบเปรียบเปรยอยู่เสมอ เหล่าขันทีก็เห็นเป็นเรื่องขบขันเล่าให้ฝ่าบาทฟัง ไปๆ มาๆ ฝ่าบาทจึงได้ห่างเหินจากท่าน” นายหญิงใหญ่มองต่งกั๋วกงอย่างกลัดกลุ้ม “หรือว่านายท่านมองไม่ออก…ยังงมงายกับคนผู้นั้นอยู่”
เอ่ยถึงเรื่องที่เขาสูญเสียความโปรดปรานจากฮ่องเต้เพราะเจียงเสียน ต่งกั๋วกงจิตใจว้าวุ่นขึ้นมา พูดด้วยความโมโห
“อิสตรีก็ดีแต่ผมยาวหูตาสั้น เรื่องของบุรุษ พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่งเกี่ยว” แล้วบอก “บอกหลันเอ๋อร์ ต่อไปไปจวนอัครเสนาบดีให้น้อยลง!”
นายหญิงใหญ่ขอบตาแดง “จะอย่างไรอวิ๋นชูก็เป็นหลานสาวของข้า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ข้าจะชี้แจงกับน้องสาวอย่างไร”
“ก่อนอวิ๋นชูออกเรือน ที่จวนหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงก็ไม่ใช่ผู้คนเดินกันขวักไขว่ทุกวันหรอกหรือ” ต่งกั๋วกงย้อนถาม แล้วผ่อนคลายน้ำเสียงลง “สุภาษิตว่าไว้ ตัวตรงไม่ต้องกลัวเงาเอียงขอเพียงอวิ๋นชูไม่หวั่นไหว ยังจะมีอะไรเกิดขึ้นได้”
“นายท่าน…” ในน้ำเสียงของนายหญิงใหญ่เจือการวิงวอนอยู่สามส่วน “ไม่อาจนำอดีตมาเปรียบกับปัจจุบันได้ อวิ๋นชูเป็นผู้ครองพรหมจรรย์ จะทำตัวเหมือนแต่ก่อนได้อย่างไร”
ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีแม่ม่ายบ้านใดออกมาปรากฏตัวในวงสังคม
“นายท่าน ประมุขตระกูลยังคาดหวังให้หลันเอ๋อร์กับอวิ๋นชูช่วงชิงเอา”
“ไม่มีใครบีบบังคับนาง!” นายหญิงใหญ่ยังพูดไม่ทันจบ ต่งกั๋วกงก็สีหน้าเยียบเย็น “ถ้านางทำเรื่องหน้าไม่อายขึ้นจริง ก็หาเรื่องใส่ตนเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับสกุลต่ง เพียงคัดชื่อนางออกจากสกุลไปก็เท่านั้น จะทำให้ชื่อเสียงของสกุลต่งแปดเปื้อนได้อย่างไร” ในน้ำเสียงมีความเข้มงวดน่าเกรงขาม “นับแต่โบราณกาลก็มีทั้งคนดีคนเลว ฝ่าบาทเพียงตรัสว่าถ้าในสกุลมีสตรีม่ายที่ครองพรหมจรรย์ครบหนึ่งร้อยคนก็จะทรงปูนบำเหน็จ ไม่ได้ตรัสว่าไม่อาจมีสตรีที่ไม่อยู่ในกรอบศีลธรรมอันดี!”
“นายท่าน…”
ลมหายใจติดขัดอยู่ที่ลำคอ นายหญิงใหญ่สีหน้าแดงฉาน พูดอะไรไม่ออกอีก
“ฟูเหริน…” เห็นนางมีโทสะ ต่งกั๋วกงเรียกนายหญิงใหญ่อย่างลึกซึ้งจริงใจ “ฝ่าบาทถูกขุนนางประจบสอพลอปิดหูปิดตา อันตรายจากการสิ้นชาติอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าเสียสละนางเพียงคนเดียว แต่สามารถช่วยแคว้นหลวนให้หลุดพ้นจากหายนะได้ ไยจึงไม่ลองดูเล่า”
“…”
“ฟูเหรินไม่เห็น ถังเซียวบัณฑิตสภาขุนนางก็เพราะได้รับแนวความคิดจากนาง ถึงได้โลหิตสาดในท้องพระโรง…” ส่วนลึกในดวงตามีแววครุ่นคิดอย่างลุ่มลึก ต่งกั๋วกงกล่าวต่อ “นางเป็นสตรีผู้ปราดเปรื่องของเมืองหลวนเฉิง ย่อมต้องมีผลต่อความคิดผู้คนอยู่บ้าง”
นายหญิงใหญ่เปล่งคำพูดที่แฝงความไม่พอใจอยู่ไม่น้อย “บัณฑิตถังถูกถอดจากขุนนาง ลดขั้นเป็นสามัญชน!”
นั่นเพราะเขาคร่ำครึ ไม่รู้จักหาคนกลางมาช่วยพูดแทน จะต้องเสี่ยงตายเข้ายื่นทัดทานต่อหน้าขุนนางทั้งหลายทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ทำให้ฝ่าบาทต้องเสื่อมเสียบารมี ต่งกั๋วกงรู้สึกว่าไม่มีค่าควรแก่การเอ่ยถึง
“นั่นเป็นเพราะถังเซียวไร้ความสามารถ ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง!” ต่งกั๋วกงผ่อนน้ำเสียงลงแล้วกล่าวต่อ “จากเรื่องนี้ทำให้เห็นว่านางมีอำนาจมากเพียงใดในหมู่ปัญญาชน” ต่งกั๋วกงทอดถอนใจ “โดยแก่นแท้แล้ว ราชสำนักเราแต่ละยุคที่ผ่านมาล้วนแต่บุ๋นควบคุมบู๊!”
ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากใช้อิสตรีเป็นเครื่องมือในการปีนป่ายขึ้นสู่ตำแหน่งสูงทางการเมือง
“นางก็เป็นหลานสาวของท่านเช่นกัน”
“รังคว่ำแล้วไซร้ ไข่ก็ย่อมแตกแคว้นหลวนสิ้นแผ่นดิน นางยังจะมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวได้หรือ”
นายหญิงใหญ่ร่างแข็งค้าง แคว้นหลวนด้านนอกมีช่องเขาปากมังกรที่ชัยภูมิเต็มไปด้วยอันตราย ด้านในมีแม่ทัพใหญ่ จะบอกสิ้นแผ่นดินก็สิ้นแผ่นดินได้อย่างไร
“นายท่านแสร้งพูดสั่นคลอนขวัญกำลังใจแล้ว”
“ฟูเหรินไม่รู้ แคว้นหลวนหลายชั่วคนมานี้ เพียงอาศัยช่องเขาปากมังกรบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำหลวนที่มีชัยภูมิเต็มไปด้วยอันตราย ไม่ใส่ใจเรื่องการเพาะปลูก ไม่จัดเตรียมกำลังรบให้พร้อมสรรพ ราชสำนักไม่ว่าเบื้องบนเบื้องล่างมีแต่ความสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย แคว้นหลวน…เหลือแต่เปลือกมานานแล้ว”
ต่งกั๋วกงสีหน้าเคร่งขรึม ถอนหายใจยาว ชั่วพริบตาเดียวคล้ายแก่ไปหลายปี
มองจอนผมสองข้างของสามีที่เริ่มมีสีขาวแซม ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจที่มีต่อบ้านเมืองและความไม่สมหวังทางการเมือง หัวใจของนายหญิงใหญ่อ่อนยวบลงหลายส่วน สีหน้าผ่อนคลายลงมา
เปรียบกับชื่อเสียงหลวนอวิ๋นชูแล้ว นางปรารถนาจะให้สามีได้กลับคืนราชสำนัก ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงอย่างรวดเร็วมากยิ่งกว่า
หลวนอวิ๋นชูไม่รู้ว่าต่งกั๋วกงเพียงคิดจะใช้นางเป็นเครื่องมือหมายดึงดูดผู้มีความรู้ความสามารถในแคว้นหลวนแม้แต่น้อย นางกำลังคิดแต่จะเข้าไปดูทะเลสาบลั่วเยี่ยนด้วยความมุ่งมั่นจดจ่อ
ฝูหรงเปิดประตูอย่างคล่องแคล่ว หลวนอวิ๋นชูกวาดตามองซุนหมัวมัวที่คุกเข่าอยู่กับพื้นใบหน้าซีดเผือดด้วยแววตาเยียบเย็นแวบหนึ่ง แล้วสาวเท้าออกจากประตูข้างฝั่งตะวันตกไป
“สะใภ้สี่ ออกมานานเพียงนี้ ต้องให้อาหารนกฮว่าเหมยแล้ว ให้บ่าวกลับไปดูนะเจ้าคะ”
สาวใช้เต็มเรือน นกตัวหนึ่งยังจะอดตายหรือ
มองสี่หลันที่แววตาเป็นประกายวิบวับ หลวนอวิ๋นชูก็โบกมือ “อย่าลืมเปิดประตูหน้าต่างระบายอากาศ”
นางลงโทษซุนหมัวมัว แย่งเอากุญแจมา ไม่ช้าก็เร็วนายหญิงใหญ่ต้องรู้ ตอนนี้สี่หลันไปเสียก็ดี จะได้ไม่ต้องคอยตามติดอยู่ข้างหลังนางให้เกะกะลูกตา
“สะใภ้สี่…”
เพิ่งเดินได้สองก้าวซิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงเรียกอึกๆ อักๆ หลวนอวิ๋นชูหยุดชะงัก นางเป็นคนของใครอีก คิดจะทำตามอย่างสี่หลันที่ไปดูแลปรนนิบัติเอาอกเอาใจหรือ
หลวนอวิ๋นชูขมวดคิ้ว หมุนตัวมากลับเห็นใบหน้าซิ่วเอ๋อร์ซีดขาว หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา นางอดตะลึงงันไปไม่ได้ เห็นชัดว่าไม่ได้เสแสร้งจึงพยักหน้าอนุญาต
เพียงมีผนังกำแพงกั้นขวาง เรือนลู่ย่วนกับทะเลสาบลั่วเยี่ยนกลับมีทัศนียภาพสองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ด้านในกำแพงเป็นเรือนโบราณตามแบบฉบับ นอกกำแพงกลับเป็นโลกอีกใบหนึ่ง ถึงกับเป็นสิ่งปลูกสร้างในสวนอย่างเต็มรูปแบบ ศาลารับลมริมน้ำแทรกแซมไปด้วยบุปผาเลื่องชื่อหินงาม ระเบียงทางเดินคดเคี้ยววกวนอยู่เหนือทะเลสาบสีเขียวขจี เหมือนบ้านพักตากอากาศบนทะเลสาบ ภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงมีหมอกจางๆ ลอยวนอยู่ เมฆมงคลแผ่คลุมศาลารับลม หมอกบางปลิวปรายปกคลุมระเบียงวน…
สมแล้วที่เป็นจวนของกั๋วกง ถ้ามาอยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน เกรงว่าคงมีเพียงไม่กี่คนที่มีเงินมากพอจะทำเช่นนี้ได้ เดินเล่นไปตามระเบียงหินอ่อนที่เงียบสงบ หลวนอวิ๋นชูอดนึกชื่นชมในความหรูหราฟุ่มเฟือยของจวนกั๋วกงไม่ได้
“สะใภ้สี่ หอกวนซิงแห่งนี้ขึ้นไปไม่ได้”
“สะใภ้สี่ท่านช้าหน่อย บันไดนี้ชันยิ่ง เดินระวังด้วย”
“…”
“นายหญิงใหญ่ไม่อนุญาตให้สมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิงขึ้นไปบนหอกวนซิง ถ้ารู้ว่าท่านมาที่นี่ จะต้องถลกหนังบ่าวแน่”
เจ้าไม่พูด นายหญิงใหญ่ก็ไม่รู้!
ข้างหูมีเสียงแมลงวันบินดังหึ่งๆ จิตใจที่เบิกบานของหลวนอวิ๋นชูเลือนหายไปเกือบหมด นางไม่สนใจสี่จวี๋ ลงจากหอกวนซิงไปเงียบๆ แล้วเดินตามระเบียงไปที่ริมทะเลสาบ
“สะใภ้สี่!”
เห็นหลวนอวิ๋นชูเดินไปทางต้นอิ๋นซิ่งร้อยปีอีก สี่จวี๋ที่เพิ่งเงียบไปได้ไม่ถึงสองอึดใจก็โก่งคอร้องเรียกอีก เห็นนางหยุดลง สี่จวี๋ก็เช็ดๆ เหงื่อที่หน้าผาก
“สะใภ้สี่อย่าเดินไปข้างหน้าอีกเลย ครั้งก่อนท่านก็ตกน้ำไปจากตรงนั้น”
ข้าหาใช่เด็กน้อย ครั้งก่อนตกน้ำ ครั้งนี้ก็ต้องตกน้ำอีก ไม่เคยรู้มาก่อนว่าสี่จวี๋พูดมากน่ารำคาญเช่นนี้ หลวนอวิ๋นชูมองนางด้วยแววตาเยียบเย็น
สี่จวี๋รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อไม่หยุด “เที่ยวเล่นมาตลอดช่วงเช้าแล้ว สะใภ้สี่คงเหนื่อยเต็มที่”
“นั่นสิ ข้าคอแห้งแล้ว” หลวนอวิ๋นชูกล่าวยิ้มๆ “เจ้าไปหาน้ำชามาสักหน่อยเถอะ”
“เอ่อ…”
สี่ด้านไม่มีร้านค้าเช่นนี้ จะไปหาน้ำชามาจากไหนได้
กวาดสายตามองไปทั่วสี่ทิศ สี่จวี๋ลังเลเล็กน้อย เมื่อมองสบกับสายตาน่าเกรงขามของหลวนอวิ๋นชู เสียงนางพลันขาดห้วนหาย หันไปมองฝูหรงแวบหนึ่งอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ แล้วหมุนตัวรีบเร่งเดินไป
“สะใภ้สี่กระหายน้ำ ให้บ่าวไปก็ได้” มองตามแผ่นหลังสี่จวี๋ไป ฝูหรงเอ่ยเสียงเบา “จะอย่างไรนางก็เป็นคนของนายหญิงใหญ่ ท่านทำกับนางเช่นนี้ออกจะ…”
“บ่าวก็คือบ่าว เจ้านายปฏิบัติต่อนางเช่นไร นางไม่อาจบ่นว่า!”
ฝูหรงพูดยังไม่ทันจบก็ถูกเสียงเยียบเย็นเสียงหนึ่งตัดบทขึ้น นางตัวสั่นสะท้าน หันหน้าไปมองพร้อมๆ กับหลวนอวิ๋นชู ที่ด้านข้างภูเขาจำลองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีชายหนุ่มรูปงามท่วงทีสะโอดสะองผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมา มือถือพัดพับ ยืนเอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่นั่น กำลังมองมาที่หลวนอวิ๋นชูด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม คนผู้นี้ก็คือคุณชายสามต่งเหริน
ครั้งก่อนหลวนอวิ๋นชูก็เจอเขาที่นี่และประสบกับเคราะห์กรรม ในสถานที่เดียวกันนี้ยังคงได้มาพบกับคนคนเดิมอีกครั้ง โศกนาฏกรรมจะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกหรือไม่
ฝูหรงมองต่งเหริน สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดในทันที…รีบดึงหลวนอวิ๋นชูให้มาอยู่ข้างหลัง แล้วยอบตัวทำความเคารพต่งเหริน
“คารวะคุณชายสาม”
หลวนอวิ๋นชูก็นึกออกแล้วเช่นกัน เป็นชายหนุ่มรูปงามที่เคยพบในห้องโถงตั้งศพผู้นั้น มองสบสายตารูปดอกท้อที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มคู่นั้น ฉับพลันในดวงตาคู่นั้นก็สาดประกายปรารถนาออกมาอย่างโจ่งแจ้ง หลวนอวิ๋นชูกุมมือที่เย็นเฉียบของฝูหรง ชั่วประกายไฟแลบนางพลันตระหนักรู้ว่าเพราะเหตุใดบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคผู้นี้จึงได้กระโดดลงไปในทะเลสาบ
คนมักพูดกันว่าความลุ่มหลงทำให้คนสูญเสียสติสัมปชัญญะ พูดได้ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย นางเป็นน้องสะใภ้ที่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรมของเขา ศพน้องชายยังไม่ทันเย็นก็คิดหมายปองนางแล้ว ช่างต่ำช้าเทียบไม่ได้แม้แต่หมูหมา รูปร่างหน้าตาดีเสียเปล่า!
ในใจแอบด่าไปหลายคำ หลวนอวิ๋นชูอยากจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้บัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคยิ่งนัก แต่มองดูแล้วผู้อื่นรูปร่างสูงใหญ่ หันกลับมามองตนเองลำพังรูปร่างก็เตี้ยกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว สู้ไม่ได้แน่นอน คนฉลาดไม่ทำเรื่องที่เสียเปรียบ สามสิบหกกลยุทธ์หนีเป็นสุดยอดกลยุทธ์
หลวนอวิ๋นชูยอบตัวน้อยๆ ให้ต่งเหริน ไม่พูดอะไรก็ดึงฝูหรงเดินหนี
พลาดไปครั้งหนึ่ง เมื่อได้มาเจอญาติผู้น้องที่ตนเลื่อมใส จะปล่อยให้นางจากไปง่ายๆ ได้อย่างไร ต่งเหรินก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ขวางทางไปไว้ เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“น้องสาว หยุดก่อน”
ได้ยินน้ำเสียงนุ่มอันน่าสะอิดสะเอียน หลวนอวิ๋นชูรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง ขนลุกชันเหมือนจะร่วงเต็มพื้น นางยอบตัวให้ต่งเหรินอีกครั้ง คิดจะดึงดันฝ่าออกไป ต่งเหรินกลับขยับตัวขวางหน้านางไว้ราวกับกำแพง ยิ้มประจบมากขึ้น น้ำเสียงนุ่มนวลมากขึ้น
“น้องสาวเพิ่งไปที่หอกวนซิงมาหรือ”
หอกวนซิงเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในจวน ต่งกั๋วกงสร้างไว้เพื่อดูปรากฏการณ์ของดวงดาวในยามค่ำคืน เป็นหอสูงสี่ชั้น สะดุดตายิ่ง มองจากเรือนซิงซู่จะเห็นสภาพการณ์ด้านบนได้อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้นายหญิงใหญ่จึงห้ามสมาชิกในครอบครัวที่เป็นสตรีขึ้นไปบนหอกวนซิง แต่หลวนอวิ๋นชูก็ไม่ฟัง ผลปรากฏว่าได้ดึงดูดเอาหมาป่าหางใหญ่ตัวนี้มา
ฝูหรงมองหลวนอวิ๋นชูอย่างคับแค้นใจทีหนึ่ง สีหน้ายิ่งซีดขาวกว่าเดิม
หลวนอวิ๋นชูตบๆ มือฝูหรง แล้วแอบกวาดตามองไปรอบด้าน ว่างเปล่าวังเวง กระทั่งเงาของนกก็ยังไม่มี หัวใจของหลวนอวิ๋นชูก็เต้นตูมตามขึ้นมา แต่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน นางพยักหน้าน้อยๆ
“แปลกจริง เหตุใดรูปแบบของเรือนซิงซู่จึงแตกต่างจากที่อื่น”
ยังไม่อาจจากไปทันทีได้ หลวนอวิ๋นชูจำต้องสงบใจรับมือกับต่งเหริน นี่ก็เป็นข้อสงสัยในใจของนาง อยู่บนหอกวนซิงมองดูอยู่พักใหญ่ หลวนอวิ๋นชูพบว่าเรือนในจวนส่วนใหญ่จะเป็นเรือนกลางตามแบบฉบับ กระทั่งเรือนข้างยังพบเห็นได้น้อย ทว่าหอเก๋งที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าตรงข้ามกับทะเลสาบลั่วเยี่ยนกลับมีทุกตำแหน่ง ทุกทิศทาง ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ
“หึๆ น้องสาวคงไม่รู้ เรือนซิงซู่สร้างตามตำแหน่งยี่สิบแปดกลุ่มตำหนักดาวกระทั่งโคมไฟทุกแห่งล้วนกำหนดจำนวนไว้แล้ว โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านดวงดาวเป็นผู้กำหนด เมื่อถึงยามค่ำคืน ยืนอยู่บนหอกวนซิง มองไปที่โคมไฟของเรือนซิงซู่ ก็จะคล้ายกับดวงดาวบนท้องฟ้า” ในที่สุดหลวนอวิ๋นชูก็ยอมพูดด้วยแล้ว พัดพับในมือต่งเหรินโบกถี่ขึ้น เขาชี้ไปที่เรือนซิงซู่พลางพูดอย่างฉะฉาน “น้องสาวดู นั่นคือเรือนด้านตะวันตกหลังแรก เรือนขุยซู่เป็นสถานที่ที่คุณชายเจียงพักอาศัยอยู่ เมื่อครู่ข้าเห็นน้องสาวจากที่นั่น”
“อ้อ…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
คนประเภทเดียวกันย่อมอยู่ด้วยกัน ลำพังเห็นต่งเหรินเป็นเช่นนี้ เจียงเสียนผู้นั้นก็คงไม่ใช่คนดีอะไร ฟังคำพูดของต่งเหรินแล้ว หลวนอวิ๋นชูลอบด่าอยู่ในใจ ใบหน้ากลับยิ้มน้อยๆ พลางผงกศีรษะ สายตาก็กวาดไปทางอื่นต่อ
นางยิ้มแล้ว น้องสาวถึงกับยิ้มให้ข้าแล้ว!
มองรอยยิ้มดุจบุปผาในฤดูใบไม้ผลิของหลวนอวิ๋นชู ต่งเหรินกระทั่งขนละเอียดที่ฝ่าเท้ายังฮึกเหิมขึ้นมา เห็นสายตาของนางจับนิ่งอยู่ที่ต้นอิ๋นซิ่งหลายร้อยปีขนาดสามคนโอบสูงสิบจั้งต้นนั้น ก็แนะนำด้วยไมตรีจิตและความเร่าร้อน
“ต้นไม้ต้นนี้อยู่มาห้าร้อยปีแล้ว มีชื่อเสียงยิ่ง บัณฑิตผู้มีชื่อเสียงหลายต่อหลายคนมาเยี่ยมคำนับบิดา ก็ด้วยต้องการจะมาเห็นต้นไม้โบราณร้อยปีต้นนี้”
“อ้อ”
มองต้นอิ๋นซิ่งที่แผ่ร่มใบกว้างถึงสิบจั้ง หลวนอวิ๋นชูก็นึกถึงต้นอิ๋นซิ่งพันปีที่หน้าประตูวัดเส้าหลินเมื่อชาติก่อนต้นนั้น เล่าลือกันว่าต้นไม้โบราณต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
ท่านปู่ต้นไม้ ถ้าท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ได้โปรดคุ้มครองข้าให้หลุดพ้นจากหมาป่าหางใหญ่ตัวนี้ไปได้อย่างปลอดภัยด้วยเถิด ยืนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า หลวนอวิ๋นชูอธิษฐาน บางทีต้นไม้โบราณอาจศักดิ์สิทธิ์จริง สายลมบางเบาพัดโชยมา เกิดเสียงดังสวบสาบ พอเงยหน้าขึ้นนางก็เห็นรังนกอยู่บนยอดไม้รำไร ประกายความคิดผุดวาบ มุมปากยกขึ้น
ข้าคิดอะไรออกแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 02 ก.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.