X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหมอหญิงพลิกธรรมเนียม

ทดลองอ่าน หมอหญิงพลิกธรรมเนียม บทที่ 7-บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 17

บทที่เจ็ด

“นั่น…”

หลวนอวิ๋นชูแหงนหน้าขึ้น แสร้งทำเป็นประหลาดใจ ต่งเหรินก็แหงนหน้ามองตามสายตาของนางไป

“น้องสาวเห็นอะไรเข้าหรือ”

“ข้างบนนั้นมีรังนก”

ต่งเหรินหัวเราะออกมา “น้องสาวสูญเสียความทรงจำแล้วจริงๆ รังนกรังนั้นอยู่มาหลายปีแล้ว”

“อ้อ…” หลวนอวิ๋นชูพยักหน้าอย่างเศร้าสลด จู่ๆ ก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาอีก หันหน้าไปมองต่งเหริน ดวงตาเปล่งประกายดุจดวงดาว “ไม่รู้ฤดูกาลนี้ในรังมีลูกนกหรือไม่”

“สะใภ้สี่อยากได้นกบนต้นไม้หรือเจ้าคะ!”

จวบจนออกเรือนเป็นภรรยาผู้อื่นแล้วยังจะซุกซนเพียงนี้ ไม่เหมือนบุตรสาวในตระกูลสูงศักดิ์เอาเสียเลย

ฝูหรงมองดวงตาวิบวับเป็นประกายของหลวนอวิ๋นชูแล้วร้องเสียงแหลมขึ้นมา ลืมไปแล้วว่ายังมีหมาป่าหางใหญ่ยืนอยู่ตรงนี้อีกคน เห็นนางไม่ปฏิเสธ ฝูหรงก็เอ่ยปากห้ามปรามด้วยความหวังดี

“สะใภ้สี่ ต้นไม้นี้สูงเกินไป ดีไม่ดีจะเกิดเรื่อง”

ได้ยินมาว่าตั้งแต่ตกน้ำมาหลวนอวิ๋นชูก็นิสัยเปลี่ยนไปมาก เวลานี้คงจะเกิดความคิดแบบเด็กๆ ขึ้นมา ได้ยินเสียงร้องโวยวายของฝูหรง ต่งเหรินที่ถูกความลุ่มหลงมัวเมาครอบงำจิตใจไม่แม้แต่จะคิดก็เข้าใจว่านางอยากได้นกบนต้นไม้ มองดวงหน้านุ่มนวลละมุนละไมของหลวนอวิ๋นชูที่น้อยครั้งจะได้เห็น หัวใจของต่งเหรินก็เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้น

“ตอนน้องสาวยังเล็ก พอเห็นรังนกก็ชอบทายว่าในรังนกมีลูกนกกี่ตัว ข้ากับน้องสี่จะแย่งกันขึ้นไปนับ…หากน้องสาวอยากได้ ข้าจะขึ้นไปเอามาให้เจ้าเอง!”

หลวนอวิ๋นชูก็ยิ้มๆ หมาป่าหางใหญ่ตัวนี้ ในที่สุดก็หลงกลแล้ว!

นางยังไม่ทันพูดอะไรเลย

“พี่สาม ช่างเถิด”

“ได้อย่างไรเล่า” ในน้ำเสียงเจือความผิดหวังอยู่จางๆ ต่งเหรินรู้สึกห่อเหี่ยวไปชั่วขณะ “น้องสาวไม่ชอบหรือ”

“ไม่…ไม่ใช่” หลวนอวิ๋นชูรีบสั่นศีรษะ “ต้นไม้สูงเกินไป” มองต้นอิ๋นซิ่งที่สูงลิ่วแวบหนึ่ง ดวงตาของหลวนอวิ๋นชูเต็มไปด้วยความห่วงกังวล “ข้า…กลัวพี่สามจะก้าวพลาด พี่สะใภ้สามก็จะ…”

ญาติผู้น้องถึงกับเป็นห่วงข้า!

ญาติผู้น้องถึงกับเป็นห่วงความปลอดภัยของข้า!

ต่งเหรินจิตใจเคลิบเคลิ้มหลงใหลไปนานแล้ว ลูกกระเดือกเคลื่อนขึ้นเคลื่อนลง กลืนน้ำลายลงคอแรงๆ

“น้องสาวไม่ต้องเป็นห่วง พี่สะใภ้สามของเจ้าก็แค่เสือกระดาษตัวหนึ่ง อย่าเห็นวันๆ นางเอะอะโวยวาย ความจริงแล้วกลับหลอกง่ายมาก” เขาหยุดหัวข้อสนทนาอย่างฉับพลัน หันมายิ้มฝืดเฝื่อนให้หลวนอวิ๋นชูแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “ต้นไม้ต้นนี้ไม่นับว่าสูง ดูเหมือนน้องสาวจะลืมไปแล้วจริงๆ ตอนเด็กข้าไปล้วงรังนกให้เจ้าอยู่เสมอ ต้นไม้ที่สูงกว่าต้นนี้ก็เคยปีนมาแล้ว ตอนนั้นเจ้ายังไม่ห่วงแม้แต่น้อยว่าข้าจะตกลงมา กลัวที่สุดก็คือข้าจะทำลูกนกเจ็บ เอาแต่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ แหงนคอมองสั่งกำชับไม่หยุด”

พูดไปพูดมาเขาก็มาถึงใต้ต้นไม้แล้ว ยกชายเสื้อคลุมขึ้นมามัดเป็นปมไว้ตรงหน้าอก กวาดตาขึ้นลงมองประเมินต้นอิ๋นซิ่งต้นนี้

เห็นทั้งสองพูดคุยกันสนิทสนม ฝูหรงร้อนใจจนเหงื่อออกเต็มศีรษะ บิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ต่งเหรินขึ้นชื่อว่าเป็นจอมเจ้าชู้ เกิดมีเรื่องพัวพันกับเขาเข้าจริง พานหมิ่นคว่ำไหน้ำส้มไม่พูดถึง วันหน้าหลวนอวิ๋นชูยังจะยืนอยู่ในจวนได้อย่างไร

“สะใภ้สี่ ท่านกับคุณชายสามก็ไม่ใช่เด็กแล้ว นี่…ขัดต่อจารีตและศีลธรรมอันดี ถ้าแพร่งพรายออกไป…”

“ชู่…เงียบเสียงหน่อย” หลวนอวิ๋นชูโบกๆ มือ ขยับเข้าไปพูดข้างหูนาง “ระวังจะถูกคนได้ยิน”

ฝูหรงสะดุ้งเฮือก ยิ่งทำท่าคล้ายขโมย ดวงตากวาดมองไปรอบด้านด้วยท่าทางกระวนกระวาย กลัวยิ่งว่าเวลานี้จะมีใครโผล่ออกมาเห็นภาพที่ไม่งดงามนี้เข้า

จะอย่างไรก็เป็นทหาร ทั้งอยากโอ้อวดฝีมือต่อหน้าหญิงงาม ต่งเหรินจึงไม่ได้ปีนขึ้นไปอย่างระมัดระวังเช่นคนทั่วไป หากแต่กระโดดขึ้นลงไม่กี่ครั้ง เขาก็พุ่งขึ้นไปถึงยอดไม้ไม่ต่างอะไรกับวานร

รังนกตั้งอยู่บนปลายกิ่งไม้ด้านที่ยื่นไปทางทะเลสาบ ปีนขึ้นไปถึงข้างกิ่งไม้กิ่งนั้น ต่งเหรินลองเขย่าดูว่ารับน้ำหนักคนไหวหรือไม่ แล้วค่อยๆ คืบคลานขยับไปที่ปลายกิ่งไม้ กระทั่งเพียงยื่นมือไปก็จะแตะถูกรังนกแล้ว ต่งเหรินจึงเป่าปากด้วยความโล่งอก หันหน้ามาทางหลวนอวิ๋นชูอย่างอวดโอ่

เห็นเขาหันหน้ามา หลวนอวิ๋นชูก็แย้มยิ้มสดใส

จิตใจเคลิ้มลอยไปชั่วขณะ ร่างของต่งเหรินโงนเงนเกือบจะร่วงหล่นลงมา

“พี่สาม…ระวัง!”

หลวนอวิ๋นชูสีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ต่งเหรินคว้ากิ่งไม้ประคองตัวไว้ได้ สงบจิตสงบใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกมือโบกให้นางพลางชี้ไปที่รังนก ขณะจะหมุนตัวไปนั่นเอง จู่ๆ หลวนอวิ๋นชูก็สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงก่อนกรีดร้องขึ้น

“หมู่ตัน เจ้าจะทำอะไร!”

หมู่ตันไม่ใช่ตายไปแล้วหรือ จะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร

ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมและเศร้ากำสรด นึกถึงว่าหมู่ตันตายอยู่ที่นี่ ต่งเหรินเพียงรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ กวาดตามองไปรอบด้านด้วยความตื่นตระหนก ไหนเลยจะมีเงาร่างคน จึงมองไปที่หลวนอวิ๋นชูด้วยความฉงนสงสัย

“พี่สามรีบหลบไป หมู่ตันจะจับท่าน!” สีหน้าของหลวนอวิ๋นชูยิ่งซีดเผือด สองมือยกขึ้นปิดหู มองไปที่ด้านหลังต่งเหรินด้วยท่าทางหวาดผวา “หมู่ตัน รีบหยุดมือ!”

สายลมบางเบาพัดโชยมา ต้นไม้ที่ด้านหลังส่งเสียงดังสวบสาบ ผสมผสานกับเสียงกรีดร้องด้วยความกลัวจนขนพองสยองเกล้า ฝูหรงไหนเลยจะกล้ามอง นางหลับตา กอดบ่าสองข้างของหลวนอวิ๋นชูไว้แน่น ส่งเสียงร้องขึ้น

ต่งเหรินที่เดิมก็ขนลุกชันอยู่แล้ว เห็นฝูหรงเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งหวาดผวา เพียงรู้สึกเย็นวาบที่ข้างหูคล้ายมีเงารางๆ ยืนอยู่ข้างหลัง เขาถึงกับลืมไปแล้วว่าตนเองยืนอยู่บนต้นไม้ ส่งเสียงร้อง “อ๊าก” ออกมาคำหนึ่ง ร่างพุ่งไปข้างหน้า เท้าเหยียบลงบนความว่างเปล่า ร่างร่วงลงไปในทะเลสาบลั่วเยี่ยน พริบตาเดียวก็จมหายไปไม่เห็นร่องรอย

ระลอกคลื่นแผ่กระจายออกไปเป็นชั้นๆ ทำลายความสงบราบเรียบของผิวน้ำในทะเลสาบ เสียงตูมดังขึ้นมาชั่วขณะ ยิ่งขับเน้นถึงความเงียบสงัดอึมครึมที่อยู่รอบด้าน

“ไม่มีอะไรแล้ว” หลวนอวิ๋นชูตบๆ หลังฝูหรง “รีบปล่อยมือ”

ฝูหรงที่กอดหลวนอวิ๋นชูไว้แน่นลืมตาขึ้นมาช้าๆ มองไปบนยอดไม้อย่างอกสั่นขวัญแขวน เห็นกิ่งไม้ที่ต่งเหรินเคยยืนอยู่ยังแกว่งไปมา รังนกที่ปลายกิ่งก็โยกคลอนตามไปด้วย ประหนึ่งพริบตาถัดมาก็จะร่วงหล่นลงมา

ไหนเลยจะมีเงาร่างของหมู่ตัน แม้แต่ต่งเหรินที่ยังยืนอยู่เมื่อครู่ก่อนก็ไม่มีแล้ว หลังปลุกปลอบใจให้กล้าแล้วกวาดตามองทั่วๆ รอบหนึ่ง ฝูหรงจึงเอ่ยถามด้วยความขลาดกลัว

“คุณชายสามเล่าเจ้าคะ” ฝูหรงเกาะหลวนอวิ๋นชูไว้แน่น ก่อนจะร้องเสียงแหลมขึ้นมา “สวรรค์! หรือคุณชายสามถูกพี่หมู่ตันจับตัวไปแล้ว!”

เพิ่งจะสิ้นเสียงผิวน้ำในทะเลสาบพลันกระเพื่อมไหว ต่งเหรินดิ้นรนโผล่ศีรษะขึ้นมา สองมือกวัดแกว่งขึ้นมาข้างบนไม่หยุด พยายามจะไขว่คว้าอะไรบางอย่างสุดชีวิต

“ช่วยด้วย!”

พอต่งเหรินอ้าปาก น้ำก็เข้าไปในปากหลายอึก พริบตาเดียวก็จมลงไปอีกครั้ง

ครั้งนี้แม้แต่หลวนอวิ๋นชูก็ตะลึงงันแล้ว เขย่าร่างฝูหรงที่แข็งทื่อราวกับเป็นไก่ไม้ไป ถามด้วยความร้อนรน

“คุณชายสามว่ายน้ำไม่เป็นหรือ”

อยู่ติดกับทะเลสาบขนาดใหญ่เพียงนี้ หลวนอวิ๋นชูเข้าใจว่าต่งเหรินต้องว่ายน้ำเป็นอย่างแน่นอน

ฝูหรงตกใจจนพูดอะไรไม่ออกไปนานแล้ว นางเอาแต่สั่นหัว ไม่รู้จะบอกว่าไม่รู้หรือเขาว่ายน้ำไม่เป็นกันแน่ หลวนอวิ๋นชูเหงื่อเย็นท่วมร่างทันที

คิดจะสั่งสอนต่งเหรินเล็กๆ น้อยๆ เป็นการลงโทษ ให้เขาดื่มน้ำในทะเลสาบสักหลายอึกหน่อยก็ไม่เลว แต่ถ้าเกิดเรื่องถึงชีวิตขึ้นมาจริง ย่อมเป็นเรื่องใหญ่แล้ว

ขณะทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้นต่งเหรินก็โผล่ศีรษะขึ้นมาอีกครั้ง สองมือเที่ยวไขว่คว้าไปทั่ว

“ช่วยด้วย!”

หลวนอวิ๋นชูหายใจเข้าลึกๆ ดึงฝูหรงแล้วออกเดิน “รีบไป”

“คุณชายสามยังอยู่ในน้ำนะเจ้าคะ!” ฝูหรงดึงหลวนอวิ๋นชูไว้ “พวกเราจากไปทั้งอย่างนี้…จะได้อย่างไร”

“เจ้าว่ายน้ำเป็นหรือ”

ฝูหรงสั่นศีรษะ “บ่าวว่ายน้ำไม่เป็น”

“แล้วยังไม่รีบไป”

“แต่…” สีหน้าเปลี่ยนจากขาวเป็นแดง เสียงของฝูหรงสั่นเล็กน้อย “ถ้าคุณชายสามจมน้ำตาย พวกเราก็ไม่อาจสลัดหลุดจากความรับผิดชอบไปได้นะเจ้าคะ”

เหตุใดสะใภ้สี่ของข้าจู่ๆ จึงเปลี่ยนเป็นคนเย็นชาเช่นนี้ ถึงกับเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย

คุณชายสามจะเหลวไหลเพียงใด แต่ก็เป็นชีวิตหนึ่ง!

“ข้าก็ว่ายน้ำไม่เป็น เราอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้!” หลวนอวิ๋นชูอธิบาย “ดูจากท่าทางเขาคงยังไม่จมน้ำตายในเวลาอันสั้นแน่ พวกเรารีบไปจากที่นี่ ค่อยหาคน…”

ขณะพูดอยู่นั้นหลวนอวิ๋นชูร่างพลันแข็งค้าง รับรู้ได้ว่าที่ด้านหลังมีสายตาคมกริบคู่หนึ่งพุ่งตรงมา นางหันขวับไป

ท่ามกลางสายลมบางเบาเห็นเพียงเงาต้นไม้ส่งเสียงสวบสาบ ไหนเลยจะมีเงาร่างคนอยู่

เงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่งกลับไม่พบอะไรผิดปกติ คิดว่านางคงตื่นตระหนกมากไป

หลวนอวิ๋นชูหันหน้าไป มีเงาร่างหลายสายวิ่งมาจากที่ไกลๆ คงได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของต่งเหริน นางจึงไม่กล้าโอ้เอ้อีก ดึงฝูหรงแล้วออกเดินทันที

ที่ด้านหลังภูเขาจำลองมีเงาร่างสูงใหญ่ตระหง่านร่างหนึ่งปรากฏออกมา มองตามหลังพวกนางไปคล้ายคิดอะไรในใจ มุมปากมีรอยยิ้มประดับจางๆ

ได้ยินเสียงกระโดดน้ำ หัวใจทั้งดวงของหลวนอวิ๋นชูก็เบาลง ขณะเดียวกันก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น นางเชื่อในสายตาของตน ถ้านางเพียงเห็นเงาร่าง ผู้มาไม่มีทางเห็นนางกับฝูหรงแน่นอน และเชื่อว่าต่งเหรินเองก็ไม่กล้าพูดเรื่องรังนกออกมาง่ายๆ

ขอเพียงตอนนี้นางไม่ถูกคนพบเห็นก็ไม่มีเรื่องแล้ว

หลวนอวิ๋นชูเดินลัดเลาะผ่านไปในเงาไม้ตามแนวกำแพงที่ล้อมอยู่ ไม่สนใจว่าไปไหน ต้องหาประตูสักบานรีบออกไปให้พ้นสถานที่เกิดเหตุนี้ก่อน

ฝูหรงที่ไม่เคยทำเรื่องใหญ่โตสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วพื้นปฐพีเช่นนี้มาก่อน ได้แต่เอามือกุมหน้าอก พูดพึมพำราวกับสวดมนต์ “สวรรค์ได้โปรดคุ้มครอง อย่าให้พบเจอใคร อย่าให้พบเจอใครเป็นอันขาด”

ไหนเลยจะรู้ยิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งเจอสิ่งนั้น ขณะบ่นพึมพำอยู่นั้นฝูหรงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นตรงประตูวงเดือนที่อยู่ด้านหน้ามีเงาร่างหลายสายผลุบเข้ามา นางจึงรีบหยุดฝีเท้าทันที สีหน้าซีดเผือด สองขาอ่อนยวบ แทบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น แต่ถูกหลวนอวิ๋นชูประคองไว้แน่น

เพ่งมองไปอย่างละเอียด ที่แท้ก็เป็นสี่จวี๋กลับมาแล้ว ด้านหลังมีสาวใช้รุ่นเล็กตามมาด้วยสองคน แต่ละคนถือถาดเงินมาใบหนึ่ง ถาดหนึ่งวางชุดน้ำชาที่ประณีตงดงาม อีกถาดหนึ่งเป็นของว่างหลากสี

เห็นพวกนางเดินมาสี่จวี๋ก็ดูงงงัน ยอบตัวลงเล็กน้อย

“น้ำชามาแล้วเจ้าค่ะ สะใภ้สี่จะไปไหนหรือ”

ฝูหรงเนื้อตัวสั่นเทา ยืนอยู่ที่นั่นราวโง่งมไปแล้ว

“รออยู่ตั้งนาน เหตุใดเพิ่งมาถึง” หลวนอวิ๋นชูแอบกระตุกแขนฝูหรง แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “เจ้าดูดวงตะวันสิ เที่ยงวันเลยนะ”

“เดิม…”

เดิมทีก็เที่ยงวันอยู่แล้ว!

ทะเลสาบกว้างเพียงนี้ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ต้องเดินอยู่พักใหญ่ อย่าว่าแต่ต้องจัดเตรียมน้ำชาเลย

สี่จวี๋ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของคนทั้งสอง เห็นหลวนอวิ๋นชูพอเจอหน้าก็บ่นว่าใส่นางทันที สี่จวี๋ขอบตาแดงเรื่อ น้ำตาไหลพรากๆ ลงมา นางเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่รับใช้ใกล้ชิดนายหญิงใหญ่ เคยทำงานลำบากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร

สาวใช้รุ่นเล็กสองคนก็ชูถาดเงินขึ้นสูงแล้วคุกเข่าทั้งสองลง

หลวนอวิ๋นชูขมวดคิ้ว นางส่งเสียงขู่ขวัญไปก่อน ด้วยคิดจะเบี่ยงเบนความสนใจ คิดไม่ถึงว่าเพียงคำพูดประโยคเดียวก็ทำเอา ‘ผู้คุมชั้นยอด’ ร้องไห้เสียแล้ว

“เอาล่ะๆ ก็แค่บ่นไปเล็กน้อย ดูเจ้าสิ น้อยอกน้อยใจเสียมากมาย ใครไม่รู้ยังเข้าใจว่าข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโหดร้ายทารุณ หากเรื่องไปถึงหูนายหญิงใหญ่ ไยไม่ใช่…”

“บ่าวไม่กล้าน้อยใจเจ้าค่ะ” พูดยังไม่ทันจบสี่จวี๋ก็คุกเข่าลงไปแล้ว “ขอสะใภ้สี่ได้โปรดอย่าพูดเช่นนี้!”

นี่ใช่บ่าวที่ไหน ยังร้ายกาจกว่าเจ้านายเสียอีก กระทั่งคำพูดก็ไม่ให้คนพูดแล้ว!

คำพูดถูกสี่จวี๋ตัดบท หลวนอวิ๋นชูก็มีโทสะแล้ว อยากจะทิ้งนางไว้ที่นี่ยิ่งนัก นางสมัครใจจะคุกเข่า ก็คุกเข่าเสียให้พอ แต่ได้ยินเสียงดังจากทางด้านหลังมากขึ้นทุกทีก็รู้สึกใจฝ่อ หลวนอวิ๋นชูจึงเดินเข้าไปดึงสี่จวี๋ขึ้นมา ยิ้มแล้วเอ่ยว่า

“ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้จริงจัง เจ้าเพิ่งมาอยู่ปรนนิบัติข้า วันเวลายังอีกยาวนาน ถ้าเอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่องคงไม่ไหว” แล้วหันไปทางสาวใช้รุ่นเล็กสองคน “ดวงตะวันร้อนแรงเพียงนี้ อย่ามาคุกเข่าอยู่ที่นี่เลย ลุกขึ้นมาเถิด”

พูดจบนางก็ไม่พูดอะไรอีก เดินลิ่วตรงไปที่ประตูวงเดือน นางจะต้องไปจากที่นี่ในทันที

“สะใภ้สี่ไม่กลับเรือนลู่ย่วนหรือ” สี่จวี๋ถามด้วยความฉงน “ท่านจะไปที่ใดหรือ”

หลวนอวิ๋นชูไม่ตอบ เดินตรงออกนอกประตูวงเดือนไป พอเงยหน้าขึ้น ทางด้านขวาเป็นผนังฉากกั้นขนาดใหญ่ แกะลวดลายเป็นภาพการทำสงครามผืนใหญ่ นางไม่มีแก่ใจจะมาพิจารณาดูอย่างละเอียด หลวนอวิ๋นชูหันหน้าไป ด้านซ้ายกลับเห็นเป็นพุ่มไม้เตี้ยผืนหนึ่ง ด้านในคล้ายมีศาลารับลมเล็กๆ หลังหนึ่ง เงียบสงบยิ่ง ตรงกลางมีทางเดินคดเคี้ยวเล็กๆ สายหนึ่งปูด้วยศิลาเขียว ไม่รู้ไปถึงที่ไหน

“ที่นี่คือที่ใด”

“สะใภ้สี่จำไม่ได้แล้วจริงๆ” สี่จวี๋กล่าวยิ้มๆ “ข้างหน้าไม่ไกลนักมีปากทางแยกอยู่ ไปทางขวาเป็นโถงรับแขกภายนอก ไปทางซ้ายก็เป็นเรือนด้านในแล้ว”

“อ้อ…ข้าจำไม่ได้แล้ว”

“จริงสิ สะใภ้สี่มาทำอะไรที่นี่” พลันนึกอะไรขึ้นได้ สี่จวี๋ถามต่อ “บ่าวเหมือนได้ยินเสียงดังแว่วมาจากข้างใน ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ขณะกำลังครุ่นคิดก็ได้ยินฝูหรงเอ่ยขึ้น

“สะใภ้สี่รอจะกลับไปจนร้อนใจแล้ว แต่ก็ห่วงว่าเจ้ากลับมาจะไม่เจอใคร ถึงได้เดินมารอเจ้าอยู่แถวนี้”

ไม่เลว เด็กคนนี้เฉลียวฉลาดคู่ควรแก่การบ่มเพาะ

หลวนอวิ๋นชูหยักโค้งมุมปากเป็นการชมเชยฝูหรง

สี่จวี๋เองก็รู้สึกดีใจขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ ยิ้มแย้มหน้าบาน

“ขอบคุณสะใภ้สี่ที่เป็นห่วง เฝ้านึกถึงบ่าวไปเสียทุกอย่าง ข้างหน้าคือเรือนไหวหรู”

“เรือนไหวหรู? ความหมายเพื่อจะระลึกถึงบัณฑิตที่ใดหรือ…”

จวนกั๋วกงแตกต่างจากที่อื่น ที่นี่ไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงต่อท่วงทำนองด้านการใช้ภาษาและตัวอักษรของแคว้นหลวน ไม่เพียงคุณชายหลายคนชอบฝึกยุทธ์ แม้แต่ที่ปรึกษาส่วนใหญ่ก็เป็นนักรบ หลวนอวิ๋นชูยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในจวนแห่งนี้เคยเลี้ยงดูหรือเคยเคารพนับถือนักปราชญ์ราชบัณฑิตคนไหน

“สะใภ้สี่เข้าใจผิดแล้ว” สี่จวี๋หัวเราะพรืดออกมา “ไม่ใช่ ‘ไหว’ ที่แปลว่าระลึกถึงเจ้าค่ะ แต่เป็น ‘ไหว’ ที่หมายถึงต้นไหว”

“…”

“เรือนไหวหรูแห่งนี้คือสถานที่ที่คุณชายน้อยทั้งหลายเล่าเรียนหนังสือ ในลานมีต้นไหวเก่าแก่อายุนับร้อยปีอยู่ต้นหนึ่ง ถึงได้ตั้งชื่อว่าเรือนไหวหรู จากต้นอิ๋นซิ่งกลับไปเรือนลู่ย่วนไกลเกินไป เมื่อครู่บ่าวก็มาเอาน้ำชาที่เรือนไหวหรูแห่งนี้”

นึกถึงเรื่องไม่สบายใจเมื่อครู่ สี่จวี๋พลันหยุดชะงัก

ทุกคนไม่มีใครพูดต่อเสียงจึงเงียบลง เพียงได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบย่ำไปบนถนนที่ปูด้วยหินศิลาเขียว เกิดเป็นเสียงตุบๆ ตับๆ

ตรงปากทางแยก เด็กรับใช้สองคนพาลู่เซวียนเดินสวนมา จู่ๆ บังเอิญได้มาพบหน้ากัน หลวนอวิ๋นชูยืนนิ่งไม่ขยับด้วยสัญชาตญาณ ร่างพลันแข็งค้าง ลู่เซวียนเองก็หยุดฝีเท้าราวกับเป็นรูปปั้นดินเหนียว ดวงตาลึกล้ำดุจสระน้ำดำมืดคู่นั้นบนใบหน้าคมคายมองมาที่หลวนอวิ๋นชูอย่างทึ่มทื่อ

แสงและเงาทับซ้อนกัน ได้เห็นดวงตาที่คุ้นเคยคู่นี้อีกครั้ง หลวนอวิ๋นชูพลันรู้สึกราวกับอยู่ในฝัน ได้พบเจอเขาในชาติก่อนอีกครั้ง…

‘กินอีกสักหน่อยเถิด เธอผอมขนาดนี้ ไม่กินให้อิ่มจะเอาแรงที่ไหนมาลดความอ้วน’

‘เหลยกงเถิงเป็นสมุนไพรที่มีพิษร้ายแรง เวลานำมาปรุงยาจะต้องลอกผิวออกให้เกลี้ยง รวมทั้งผิวชั้นในและผิวตรงร่อง’

‘แม้แต่สิบแปดต้องห้ามยังจำไม่ได้ ไม่ตั้งอกตั้งใจอย่างนี้ จะรักษาโรคให้คนอย่างไร ต้องมีคนตายแน่!’

อยู่มหาวิทยาลัยสี่ปีเขาก็ยืนอยู่ข้างหลังนางเช่นนี้มาโดยตลอด รักและตามใจนาง คอยบ่นจุกจิกหยุมหยิม คอยปกป้องนางไม่ว่าจะอยู่ในที่ที่นางมองเห็นหรือไม่ ขอเพียงอยู่ในที่ที่มีเขาก็จะเต็มไปด้วยความสุขเล็กๆ น้อยๆ

หลวนอวิ๋นชูสายตาพร่าเลือน ออกจะไม่แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันนี้เป็นจริงหรือไม่ เพราะเหตุใดนางยังสามารถเห็นดวงตาที่ลุ่มลึกคู่นี้ได้อีก มองเห็นความรักที่อยู่ข้างใน มองเห็นความสงสารเห็นอกเห็นใจที่อยู่ข้างใน ประหนึ่งเขายังคงอยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด ไม่เคยจากไปไหน…

“อวิ๋นชู สุข…สบายดีกระมัง”

เสียงทุ้มต่ำเจือความฝาดขม ลู่เซวียนจ้องมองนางด้วยแววตาอบอุ่น

ได้สติกลับมาสู่ความเป็นจริง หลวนอวิ๋นชูจึงพบว่าตนเองกำลังมองลู่เซวียนอย่างเหม่อลอย ริ้วแดงผุดขึ้นมาเต็มสองข้างแก้มทันที ราวกับทุกคนต่างได้ยินเสียงหัวใจเต้นตูมตามของนาง หลวนอวิ๋นชูรีบลนลานก้มหน้าลง

เฮ้อ สี่จวี๋คงไม่คิดว่าข้าลุ่มหลงบุรุษกระมัง

“บังอาจยิ่งนัก!” สี่จวี๋ตวาดเสียงเฉียบขาด “นามของสะใภ้สี่ให้ท่านเรียกได้หรือ!”

บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที ทุกคนต่างหันไปมองลู่เซวียน

ลู่เซวียนใบหน้าแดงก่ำ

“คิดว่าพี่สี่จวี๋คงยังไม่รู้จัก” เห็นลู่เซวียนจะบันดาลโทสะ เด็กรับใช้ที่นำทางรีบไกล่เกลี่ยให้ลงเอยกันด้วยดี “ท่านนี้คือบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงของเมืองหลวนเฉิง จ้วงหยวนในปีที่สิบสองแห่งฮ่องเต้โม่ตี้ บัณฑิตลู่แห่งกองอาลักษณ์” แล้วหันไปทางลู่เซวียน “นางชื่อสี่จวี๋ เดิมอยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่ ไม่เคยพบท่านมาก่อน”

ลู่เซวียนทั้งเย่อหยิ่งและสง่างาม ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมาที่จวนกั๋วกง สี่จวี๋ย่อมไม่รู้จัก เมื่อครู่พอเห็นเขาเข้ามาสี่จวี๋ก็จะดึงหลวนอวิ๋นชูหลบไป ไหนเลยจะรู้ หลวนอวิ๋นชูคล้ายไม่ได้ยิน กลับมองสบตากับลู่เซวียนอย่างเหม่อลอย มองจนสี่จวี๋ทั้งตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว

หลวนอวิ๋นชูเพิ่งเป็นม่าย ชายไร้คู่ครองกับหญิงม่ายเจอกันซึ่งหน้าไม่หลบไม่เลี่ยง หากนายหญิงใหญ่รู้เข้า ยังไม่ใช่จะถลกหนังนางหรือ คิดถึงเรื่องเหล่านี้สี่จวี๋จึงทำใจกล้าตวาดขึ้น คิดจะใช้วิธีนี้มาตวาดเติงถูจื่อ ใจกล้าผู้นี้ให้ถอยไป เวลานี้มาได้ยินว่าเขาเป็นบัณฑิตจ้วงหยวนที่มีชื่อเสียง สี่จวี๋แทบอยากจะกัดลิ้นตนเองให้ขาด ได้แต่มองลู่เซวียนปากอ้าตาค้าง

ลู่เซวียนมองสี่จวี๋ด้วยความโกรธ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา เห็นหลวนอวิ๋นชูใบหน้าผ่ายผอม ริ้วแดงที่สองข้างแก้มยังไม่เลือนหาย สวมชุดสีขาวไว้ทุกข์ ดูอ่อนแอบอบบางเสียจนทำให้คนเห็นแล้วปวดใจ แววตาพลันหม่นขรึมลงอย่างไม่รู้ตัว

เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน เหตุการณ์บนโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขากับนางไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้อีก

วันนี้ไม่เหมือนวันวาน ไม่อาจเรียกชื่อนางเหมือนแต่ก่อนได้อีก ผิดธรรมเนียมปฏิบัติ วันนี้ถ้าเขาโกรธขึ้นมาจริง สาวใช้ไร้มารยาทผู้นี้ต้องถูกลงโทษ หลวนอวิ๋นชูมีหรือจะรอดพ้น นางที่เพิ่งเป็นม่ายจะเผชิญหน้ากับคำติฉินนินทาที่ตามมาอย่างไร

กลืนคำพูดโกรธโมโหที่มาถึงริมฝีปากกลับลงไป ลู่เซวียนประสานมือ หันไปทำความเคารพหลวนอวิ๋นชูอย่างนอบน้อม กล่าวด้วยน้ำเสียงฝืดฝืน

“ต่ง…ฟูเหรินโปรดอย่าตำหนิ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว”

เห็นลู่เซวียนเปลี่ยนมาเรียกนางว่า ‘ต่งฟูเหริน’ ด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ หลวนอวิ๋นชูรู้สึกห่อเหี่ยว จะอย่างไรเขาก็เป็นคนในสมัยโบราณที่ถูกจารีตประเพณีผูกมัดอยู่

หลวนอวิ๋นชูยอบตัวเล็กน้อยเป็นการคารวะตอบ แล้วเกาะแขนฝูหรงเดินผ่านเขาไปช้าๆ

ลู่เซวียนเผลอตัวยื่นมือออกมา จากนั้นก็ลดมือลง มองเงาร่างผอมบางหายลับไปตรงสุดปลายถนนอย่างเศร้าสลด…

 

หลวนอวิ๋นชูมองไปแต่ไกลเห็นสาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยกลุ่มหนึ่งยืนเหลียวซ้ายมองขวาอยู่ที่หน้าประตู บางครั้งบางคราวบ่าวไพร่ของเรือนอื่นก็ชะโงกหน้าชะโงกตามามองเช่นกัน

นางใจสั่นสะท้าน

ไม่ใช่กระมัง ต่งเหรินเพิ่งจะกรอกน้ำในทะเลสาบเข้าไปในสมองไม่กี่คำ ก็มาเอาผิดข้าเร็วเพียงนี้เชียว

ด้วยความคิดแบบเดียวกัน ฝูหรงใบหน้าซีดขาว มือที่ประคองหลวนอวิ๋นชูสั่นน้อยๆ กระตุกแขนนางเบาๆ อย่างไม่สบายใจ ใช้สายตาแสดงเจตนาให้มองไปข้างหน้า

หลวนอวิ๋นชูลอบถอนหายใจ นางหนูผู้นี้อะไรก็ดี มีความจงรักภักดีอย่างมาก เสียแต่ขี้ขลาดตาขาว เรื่องเล็กเท่ารูเข็มก็แบกรับไม่ไหวเสียแล้ว นางหันไปส่งสายตาบอกฝูหรงให้วางใจพลางเหยียดหัวไหล่ขึ้น เดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน

หากยังไม่ถึงช่วงเวลาสุดท้าย ก็ไม่อาจลนลานเสียความสุขุมเยือกเย็นไปก่อน

“สะใภ้สี่ท่านดู ดูเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว” พบว่าที่หน้าประตูเรือนลู่ย่วนมีความผิดปกติ สี่จวี๋ก็สีหน้าเปลี่ยนไป “หรือไม่บ่าวลองไปสอบถามดูก่อน”

หลวนอวิ๋นชูไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า

“สะใภ้สี่กลับมาแล้ว!” สาวใช้รุ่นเล็กตาไวคนหนึ่งร้องขึ้นมาก่อนใคร “รีบไปบอกพี่สี่หลัน”

มีหญิงรับใช้สูงวัยซอยเท้าเข้ามารับหน้า

“สะใภ้สี่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว สี่หลันส่งคนหลายคนออกไปตามหาท่าน”

“ก็แค่ชั่วยามเดียว” ฝีเท้าไม่ได้หยุด หลวนอวิ๋นชูยังคงเดินไปข้างหน้า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงได้มามุงกันอยู่ที่หน้าประตู”

หญิงรับใช้สูงวัยเบี่ยงตัวหลบ ตามติดอยู่ข้างหลังนาง “เรียนสะใภ้สี่ ซิ่วเอ๋อร์ ซิ่วเอ๋อร์เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”

ไม่ใช่เรื่องต่งเหรินตกน้ำถูกเปิดโปงก็ดีแล้ว

สีหน้าหลวนอวิ๋นชูผ่อนคลายลง จากนั้นก็ขมวดคิ้ว หันกลับมาถาม “ซิ่วเอ๋อร์เป็นอะไรไปหรือ”

“ซิ่วเอ๋อร์…” หญิงรับใช้สูงวัยผู้นั้นยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดตา “ซิ่วเอ๋อร์ไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”

“ไม่อยู่แล้ว!” คนมีชีวิตคนหนึ่งยังจะหายไปที่ใดได้ สี่จวี๋นึกขำ “คนตัวโตออกปานนั้นจะไม่อยู่แล้วได้อย่างไร”

“นั่นสิ คนตัวโตมีชีวิตคนหนึ่ง บอกไม่อยู่ก็ไม่อยู่ได้อย่างไร” ฝูหรงขัดขึ้นมา แล้วก็อ้าปากกว้างด้วยความตื่นตระหนก ความคิดที่น่ากลัวอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา “เฉียนหมัวมัวจะบอกว่า…จะบอกว่า…”

“ใช่…” เฉียนหมัวมัวพยักหน้า “ซิ่วเอ๋อร์โรคร้ายกำเริบฉับพลัน สิ้นลมแล้ว”

หลวนอวิ๋นชูหยุดชะงักทันที หันไปทางเฉียนหมัวมัว เพิ่งเข้าใจที่นางบอกว่า ‘ไม่อยู่แล้ว’ ก็คือ ‘ตายแล้ว’

“ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย” สี่จวี๋พึมพำขึ้น “เหตุใดจึง…”

“เมื่อครู่ก่อนยังอยู่ด้วยกัน นางก็ยังดีๆ อยู่เลย” ฝูหรงร้องเสียงแหลมขึ้นมา “เพียงแค่ชั่วยามเดียว เฉียนหมัวมัวห้ามพูดจาเหลวไหล!”

“แม่นางฝูหรงสงบสติอารมณ์สักหน่อย เรื่องนี้ข้าจะกล้าพูดจาส่งเดชได้อย่างไร ศพก็อยู่ในห้อง แม่นางเข้าไปดูก็จะรู้” สีหน้าเฉียนหมัวมัวพลันเศร้าสลด “ไม่มีทางช่วยแล้ว”

หลวนอวิ๋นชูหันหน้ากลับ สาวเท้าเดินไป สาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยที่หน้าประตูพากันถอยหลังแยกออกเป็นสองฝั่ง ยืนชิดติดไปด้านข้างแล้วทำความเคารพ สี่หลันได้ยินเสียงก็ออกมารับหน้า ร้องเรียกด้วยนัยน์ตาที่แดงก่ำ

“สะใภ้สี่…”

หลวนอวิ๋นชูโบกมือ “ซิ่วเอ๋อร์อยู่ที่ใด”

“อยู่ในห้องของนาง เพิ่งสิ้นลมเจ้าค่ะ”

สี่หลันพูดพลางพาหลวนอวิ๋นชูอ้อมผ่านสระน้ำภูเขาจำลอง เดินตามระเบียงตรงไปยังลานด้านหลัง พอผ่านประตูก็ได้ยินเสียงร้องไห้เศร้ากำสรดดังมาแต่ไกล สี่หลันก้าวเร็วๆ เข้าไปเปิดประตู หลวนอวิ๋นชูก้าวเท้าเดินเข้าไป

เพ่งสายตามองไป เพียงเห็นซวงเอ๋อร์คุกเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่นั่น สาวใช้หลายคนร้องไห้ไปปลอบไป

เห็นหลวนอวิ๋นชูเข้ามา ทุกคนวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่ง พากันเข้ามาทำความเคารพ นางโบกมือ เดินไม่กี่ก้าวก็เข้ามาถึงหน้าเตียงเตา ก้มหน้าลงจะตรวจดู จู่ๆ ซวงเอ๋อร์ก็คลานเข่าเข้ามาสองก้าว กอดขานางแล้วร้องไห้บอก

“สะใภ้สี่กลับมาแล้ว ท่านต้องช่วยจัดการให้พี่ซิ่วเอ๋อร์ด้วยนะเจ้าคะ นางตายอย่างแปลกประหลาดเกินไป”

“ตบปาก!” สี่หลันมีสีหน้าตกอกตกใจ “เรื่องใหญ่ถึงชีวิตคนเช่นนี้ ไม่มีพยานหลักฐานก็กล้าพูดจาส่งเดชหรือ ระวังถ้าเรื่องไปถึงหูนายหญิงใหญ่ เจ้าจะต้องถูกถลกหนัง!” แล้วหันมากล่าวกับหลวนอวิ๋นชู “สะใภ้สี่โปรดอย่าฟังคำพูดเหลวไหลของซวงเอ๋อร์เด็ดขาด นางเสียใจมากเกินไปจนเลอะเลือนแล้ว”

“เด็กดี…” เฉียนหมัวมัวพยายามดึงซวงเอ๋อร์ออกไป “ข้ารู้ปกติเจ้ากับซิ่วเอ๋อร์สนิทกัน แต่ก็ไม่อาจพูดจาส่งเดช เจ้าไม่อยากได้ดี ยินดีจะตามนางไป ก็อย่าทำให้พวกเราต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยเลย ไม่เห็นหรือ คนที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยนเหล่านั้นมีคนใดพบจุดจบที่ดีบ้าง”

เฉียนหมัวมัวพูดมาถึงตรงนี้พลันหยุดชะงัก ปรายตามองหลวนอวิ๋นชูอย่างไม่สบายใจแวบหนึ่ง

หลวนอวิ๋นชูเพียงทำเป็นไม่เห็น รอเฉียนหมัวมัวดึงซวงเอ๋อร์ออกไปแล้ว นางก็ก้มหน้าลงมองไป ก่อนจะอดตื่นตะลึงไม่ได้ เห็นเพียงซิ่วเอ๋อร์หน้าตาบิดเบี้ยว ตะแคงตัวม้วนขดอยู่บนเตียง มุมปากยังมีคราบโลหิตสีดำติดอยู่

ไหนเลยจะใช่โรคร้ายกำเริบ เห็นชัดว่าถูกวางยาพิษ!

นางยื่นมือไปอังที่จมูก ไม่มีลมหายใจนานแล้ว

“สะใภ้สี่รีบหยุดมือ” เห็นนางพลิกเปลือกตาซิ่วเอ๋อร์ดู เฉียนหมัวมัวรีบห้าม “คนที่ตายกะทันหันไม่อาจแตะต้อง จะพลอยโชคร้ายไปด้วย ท่านไปรอที่ห้องโถงก่อนเถิด ประเดี๋ยวหลี่ว์หมัวมัวก็มา” แล้วเอ่ยเสริมขึ้น “สะใภ้ใหญ่เป็นคนส่งมา รับผิดชอบเรื่องบรรจุศพใส่โลงโดยเฉพาะเจ้าค่ะ”

ไม่ใช่กลัวว่าหลวนอวิ๋นชูจะตรวจพบอะไรแม้แต่น้อย คนโบราณเชื่อเรื่องงมงาย เฉียนหมัวมัวเห็นว่าแตะต้องคนตายไม่เป็นมงคล โดยเฉพาะคนที่เพิ่งสิ้นลม

ชาติก่อนตอนอยู่มหาวิทยาลัยแม้แต่ศพก็ผ่ามาแล้ว ยังต้องกลัวสิ่งนี้อีกหรือ

ไม่สนใจคำพูดร่ำไรของเฉียนหมัวมัว หลวนอวิ๋นชูสวมรองเท้าขึ้นไปบนเตียง ยอบตัวลง ตรวจดูอย่างละเอียด…

หญ้าไส้ขาด ซิ่วเอ๋อร์ถูกพิษหญ้าไส้ขาด! หลังตรวจสอบเสร็จหลวนอวิ๋นชูก็สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง

หญ้าไส้ขาด หนึ่งในสี่หญ้าพิษร้ายแรง ดอกสีสันสวยงาม กลับมีพิษร้ายแรงอย่างที่สุด หลังจากกินเข้าไปลำไส้จะเปลี่ยนเป็นสีดำและเหนียวติดต่อกัน สุดท้ายไส้ก็จะขาดและตายในที่สุด จึงได้ชื่อว่า ‘ไส้ขาด’ หลวนอวิ๋นชูหยัดกายขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พยายามกดข่มหัวใจที่เต้นตึกๆ เอาไว้ หมุนกายแล้วก้มตัวลงเล็กน้อย ยกมือขึ้นยับยั้งคำพูดพิรี้พิไรของเฉียนหมัวมัว

“นาง…โรคกำเริบแต่เมื่อไร”

ในห้องพลันเงียบกริบลง ทุกคนต่างมองหน้ากันแล้วสั่นศีรษะ สุดท้ายสายตาก็จับนิ่งไปที่ร่างของซวงเอ๋อร์

“ตอนเช้ายังดีๆ อยู่เจ้าค่ะ” ซวงเอ๋อร์สะอื้นไห้ “เห็นนางกลับมา บ่าวจึงขอให้นางช่วยถักเชือกเป็นลวดลาย ไหนเลยจะรู้พอเข้าห้องมานางก็บอกว่าปวดท้อง ลงไปนอนฟุบอยู่บนเตียง ตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจ เข้าใจว่ากระทบถูกลมเย็น บ่าวจึงรินน้ำร้อนให้ถ้วยหนึ่ง คิดไม่ถึงว่ายิ่งนานยิ่งปวดขึ้นทุกที ตอนหลังนอนฟุบอยู่บนเตียงส่งเสียงร้องครวญครางไม่หยุด บ่าวจึงช่วยนวดให้นาง ไหนเลยจะรู้ ยิ่งนวดก็ยิ่งปวด ถึงกับเริ่มเกลือกกลิ้งไปมาทั่วเตียง” สะอึกสะอื้นอยู่ครู่หนึ่งซวงเอ๋อร์ก็พูดต่อ “คราวนี้บ่าวถึงได้กลัวขึ้นมา ออกไปเรียกเฉียนหมัวมัว”

ยิ่งนวดโลหิตยิ่งไหลเวียนเร็ว หญ้าไส้ขาดยิ่งออกฤทธิ์เร็วขึ้น เห็นซวงเอ๋อร์สะอึกสะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ หลวนอวิ๋นชูจึงหันไปมองเฉียนหมัวมัว

“บ่าวมีชีวิตอยู่มาถึงป่านนี้ ยังไม่เคยเห็นใครเจ็บปวดมากเพียงนี้มาก่อน” เฉียนหมัวมัวยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดตา “ที่ห้องบ่าวมียางดอกอิงซู่ที่ใช้รักษาอาการปวดท้องอยู่บ้าง เดิมคิดจะเอามา แต่เห็นนางเป็นเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าใช้ส่งเดช…เห็นท่านกับสี่หลันสี่จวี๋ล้วนไม่อยู่ จึงตัดสินใจไปเรียนสะใภ้ใหญ่ นางสั่งให้ตามหมอแล้ว” รับกระดาษเงินกระดาษทองที่สาวใช้รุ่นเล็กเอาเข้ามาไปปิดหน้าให้ซิ่วเอ๋อร์ “เด็กสาวที่ดีคนหนึ่ง ใครจะคิดว่าอาภัพเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กก็ไม่มีแม่ มีพ่ออยู่คนเดียว พ่อนางรับใช้อยู่ข้างกายนายท่าน ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วจู่ๆ ก็โรคร้ายกำเริบตายไป เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่กี่เดือน”

เฉียนหมัวมัวพูดพลางจับตัวเสื้อด้านหน้าขึ้นมาเช็ดตาแล้วพร่ำรำพันขึ้นมา “นี่เป็นเพราะชะตากรรม…ดีที่บ่าวไม่ได้เอายางดอกอิงซู่ให้นางกิน หาไม่คงยากจะอธิบายแล้ว”

อิงซู่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อยาฝิ่น ใช้รักษาอาการปวดท้องได้จริง แต่จะถอนพิษหญ้าไส้ขาดได้อย่างไร

“บิดาของนางก็ตายเพราะโรคกำเริบฉับพลัน?” หลวนอวิ๋นชูไม่ชอบที่เฉียนหมัวมัวพูดพิรี้พิไรไม่จบไม่สิ้นจึงตัดบทนาง “เฉียนหมัวมัวเห็นตอนเขาตายหรือไม่ว่าเป็นอย่างไร” แล้วถามอีก “เหมือนซิ่วเอ๋อร์หรือไม่”

“เหมือนกับซิ่วเอ๋อร์เจ้าค่ะ สะใภ้สี่สงสัยว่านี่จะเป็นโรคที่สืบทอดทางสายเลือดหรือ” คำถามออกจะห่างจากประเด็นไปไกล เฉียนหมัวมัวงงงัน ผ่านไปพักใหญ่จึงได้สติ “คิดว่าคงเพราะสะใภ้สี่อายุยังน้อย ประสบการณ์ไม่มาก” เห็นหลวนอวิ๋นชูนิ่งเงียบไม่พูด จึงเข้าใจว่านางยอมรับแล้ว “ขอเพียงเป็นโรคร้ายพวกนี้ ล้วนเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่เกี่ยวกับที่บิดาเคยเป็น”

“อาการของพวกเขาไม่เหมือนกันหรือ”

“ล้วนเป็นคนข้างกายนายท่านที่จัดการ นายท่านเองก็ไม่เห็น ได้ยินซิ่วเอ๋อร์บอกเพราะบิดาของนางทำงานไม่รอบคอบจึงถูกลงโทษ เพราะโทสะถึงทำให้ล้มป่วย เห็นว่าท้องร่วง ทั้งยังเวียนหัวคลื่นเหียน หมอบอกเป็นอาการของโรคที่เกิดจากความหนาวเย็น”

ท้องร่วง เวียนหัว คลื่นเหียน นี่ไม่ใช่พิษของหญ้าไส้ขาดแน่นอน ฟังคำพูดของเฉียนหมัวมัวแล้ว หลวนอวิ๋นชูแอบหัวเราะเยาะตนเอง ระแวงเกินไปแล้วจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็นึกสงสัยไปเสียหมด ดูจากซิ่วเอ๋อร์ พ่อของนางก็ต้องเป็นคนซื่อๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่คนสำคัญอะไร ใครจะไปคิดทำร้ายเขาเล่า

เพียงแต่ซิ่วเอ๋อร์เด็กสาวที่คล่องแคล่วน่ารักคนหนึ่ง ลำพังเมื่อเช้าเห็นนางอยู่ภายใต้แรงกดดันของสี่จวี๋สี่หลันก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ตน ก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่คนชอบเอาชนะชอบก่อเรื่องก่อราว เพราะผลประโยชน์ส่วนได้ส่วนเสียใดกันที่ทำให้นางต้องเอาชีวิตมาทิ้งเสียตั้งแต่อายุยังน้อย

พอหลวนอวิ๋นชูเห็นสี่หลันก็นึกถึงตอนอยู่ที่ประตูข้างฝั่งตะวันตก ช่วงที่ซิ่วเอ๋อร์ขอกลับมา ตนเองเป็นเพราะตื่นตัวระแวดระวังภัย ตอนหันไปมองนางครั้งนั้น เห็นนางใบหน้าซีดขาว หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาก็ไม่ได้เอะใจ เพียงเข้าใจว่านางคงเหนื่อย ตอนนี้มาคิดดูในเวลานั้นซิ่วเอ๋อร์คงถูกพิษแล้ว และเริ่มจะออกฤทธิ์

ด้วยสภาพของซิ่วเอ๋อร์ในตอนนั้น นางต้องถูกพิษมาแล้วอย่างน้อยเกินครึ่งชั่วยาม พวกนางเดินเที่ยวเล่นอยู่ในสวนสมุนไพรเกือบหนึ่งชั่วยาม นั่นก็หมายความว่าซิ่วเอ๋อร์ถูกพิษตอนอยู่ในสวนสมุนไพร

สี่จวี๋สี่หลันไม่ได้เข้าสวนสมุนไพร ตอนนั้นมีเพียงนางกับฝูหรง…

ลุงใบ้!

บทที่แปด

เฮยเจ๋อเฉ่า หยางเจี่ยวเถิง…ในสวนสมุนไพรปลูกพืชมีพิษมากเพียงนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลุงใบ้ต้องเป็นยอดฝีมือในการใช้พิษแน่นอน

นึกถึงบุรุษอัปลักษณ์ที่เป็นเหมือนปริศนาผู้นั้น หลวนอวิ๋นชูอดที่จะร่างสั่นเทาน้อยๆ ไม่ได้

ภาษามือที่ชำนิชำนาญของซิ่วเอ๋อร์ พอลุงใบ้เห็นนางก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ซิ่วเอ๋อร์จับแขนลุงใบ้พลางออดอ้อนด้วยความสนิทสนมเช่นนั้น อากัปกิริยาเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น ไม่มีสิ่งไหนไม่บ่งบอกถึงความคุ้นเคยของคนทั้งสอง มองเห็นได้ถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งดุจพ่อลูกของพวกเขา

สาเหตุอะไรที่ทำให้ลุงใบ้ตัดสินใจวางยาสังหารซิ่วเอ๋อร์ในเวลาชั่วพริบตาเดียว การตัดสินใจที่เหี้ยมโหดไร้เยื่อใยเช่นนี้ได้นำมาปฏิบัติจริงจนสัมฤทธิผล!

เป็นตอนที่ซิ่วเอ๋อร์ถามถึงหยางเจี่ยวเถิงหรือ

หลวนอวิ๋นชูย้อนนึกทุกการเคลื่อนไหวของพวกตนตอนอยู่ในสวนสมุนไพรอย่างละเอียด ตอนซิ่วเอ๋อร์ถามถึงหยางเจี่ยวเถิง ลุงใบ้มีท่าทีผิดปกติเล็กน้อย ยังมีตอนที่นางคิดจะหยั่งเชิงเขา จู่ๆ อากาศรอบตัวก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมา ตอนนั้นเพียงเข้าใจว่าลุงร้อนตัวกลัวพวกนางจะพบหญ้าพิษในสวนสมุนไพร ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ดูเหมือนจะมีความลับอย่างอื่นซุกซ่อนอยู่…

ลุงใบ้ผู้นี้ที่แท้แล้วมีภูมิหลังเช่นใดกันแน่

“สะใภ้สี่…”

เห็นหลวนอวิ๋นชูสีหน้าซีดขาว ฝูหรงจึงร้องเรียกออกมาด้วยความเป็นห่วง

หลวนอวิ๋นชูตื่นจากภวังค์ เห็นฝูหรงใบหน้าซีดเผือด กำลังสะอึกสะอื้น แม้แต่ร่างก็สั่นเทาไม่หยุด ใจของหลวนอวิ๋นชูก็สั่นสะท้าน

“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง…ปวดท้องหรือ”

“บ่าวไม่เป็นไร” ฝูหรงเงยหน้าขึ้นมาด้วยความฉงน “สะใภ้สี่เป็นอะไรไป”

ถ้าฝูหรงถูกพิษด้วยจริง เกรงว่าคงเหมือนซิ่วเอ๋อร์ วิญญาณกลับสู่ยมโลกไปนานแล้ว ไหนเลยจะรอมาถึงป่านนี้ พอคำพูดออกจากปากหลวนอวิ๋นชูก็นึกเสียใจแล้ว นึกบ่นว่าตนเองที่มุทะลุบุ่มบ่ามกลายเป็นนกตื่นธนูมองว่าจวนกั๋วกงแห่งนี้ก็คือสุสานรกร้างที่น่าสะพรึงกลัวแห่งหนึ่ง แม้ตอนกลางดึกจะกลายเป็นคฤหาสน์ที่งามหรูหรา แต่ทว่าทุกหนแห่งกลับดูแปลกประหลาด ลี้ลับ และน่าอึดอัดจนทำให้คนหายใจไม่ได้…

สงบจิตสงบใจลงแล้ว หลวนอวิ๋นชูแข็งใจทำเป็นสุขุมเยือกเย็น

“เห็นเจ้าสีหน้าไม่ดี ยังเข้าใจว่าเจ้าก็ไม่สบาย”

“บ่าวเพียงตื่นตระหนกตกใจ เหตุใดจู่ๆ ซิ่วเอ๋อร์ก็…ตอนเช้านางยังพูดคุยหัวเราะอยู่ด้วยกันแท้ๆ”

ขณะพูดอยู่นั้นก็เห็นสาวใช้รุ่นเล็กคนหนึ่งมาเคาะประตู เกาะขอบประตูอยู่ด้วยท่าทางอกสั่นขวัญหาย ร้องบอกอยู่ห่างๆ

“เรียนสะใภ้สี่ หลี่ว์หมัวมัวมาแล้วเจ้าค่ะ รออยู่นอกประตู”

“หลี่ว์หมัวมัว?”

“นางมาเพื่อทำความสะอาดร่างกายแต่งตัวให้ซิ่วเอ๋อร์เจ้าค่ะ” สาวใช้รุ่นเล็กตอบ

หลังสาวใช้รุ่นเล็กพูดจบ เห็นหลวนอวิ๋นชูไม่ตอบ เฉียนหมัวมัวก็กล่าวเสริมขึ้น

“ซิ่วเอ๋อร์ตายตั้งแต่อายุยังน้อย มีความอัปมงคลสูง เชิญสะใภ้สี่ไปรอที่ห้องโถงเถอะเจ้าค่ะ จะได้ให้หลี่ว์หมัวมัวเข้ามาบรรจุศพ”

หลวนอวิ๋นชูขมวดคิ้ว

“บรรจุศพตั้งแต่ตอนนี้ ใช่เร็วไปหน่อยหรือไม่”

คนพวกนี้ไม่มีความรู้เรื่องการแพทย์ มองไม่ออกว่าซิ่วเอ๋อร์ถูกพิษ แต่ซิ่วเอ๋อร์ตายอย่างมีเลศนัย ย่อมต้องให้คนมาชันสูตรศพ สืบสาวราวเรื่องดู ไม่อาจเลอะๆ เลือนๆ เอาคนไปฝังเช่นนี้กระมัง

ไม่ว่าอย่างไรเรื่องก็เกี่ยวพันถึงชีวิตคน

อีกประการหนึ่งในสวนด้านหลังมีลุงใบ้ที่เป็นคนลึกลับ จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต เชี่ยวชาญการใช้พิษอยู่คนหนึ่ง ก็เหมือนมีระเบิดเวลาอยู่ลูกหนึ่ง ย่อมต้องหาโอกาสกำจัดไปเสียจึงจะสบายใจ

“นี่…นี่เป็นคำสั่งของสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ”

คิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูจะคัดค้าน เฉียนหมัวมัวเงยหน้าเล็กน้อย ก็แค่สาวใช้ชีวิตต่ำต้อยคนหนึ่ง เรื่องมีเลศนัยในจวนมีออกมากมาย ดีไม่ดีจะกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัว สะใภ้สี่ผู้นี้เยาว์วัยเกินไปแล้ว

 

“หรือไม่ ให้หลี่ว์หมัวมัวรอก่อน” ในน้ำเสียงปรึกษาหารือแฝงแรงกดดันที่ไม่อาจปฏิเสธได้ขุมหนึ่ง “พี่สะใภ้ใหญ่ให้ตามหมอมาแล้ว ก็ให้เขามาตรวจดูก่อน”

การตายของซิ่วเอ๋อร์ย่อมไม่อาจแล้วกันไปเช่นนี้!

เฉียนหมัวมัวเผยสีหน้าท่าทางแปลกใจออกมา

“โบราณพูดไว้ได้ดี หมอรักษาได้แต่โรคที่ไม่ถึงตาย คนก็ไม่มีลมหายใจแล้ว อย่าว่าแต่หมอ ต่อให้เป็นเทพเซียนมาแล้วก็ไม่มีประโยชน์ สะใภ้สี่ยังคง…”

หลวนอวิ๋นชูไม่พูดอีก หันไปทางสี่หลัน

เฉียนหมัวมัวบอกตอนซิ่วเอ๋อร์สิ้นลม สี่หลันกับสี่จวี๋ล้วนไม่อยู่ จะต้องไปที่เรือนอิ่นย่วนเป็นแน่ ไม่รู้นายหญิงใหญ่มีท่าทีอย่างไรกับเรื่องที่นางไปเที่ยวเล่นที่ทะลสาบลั่วเยี่ยน

“เฉียนหมัวมัวพูดถูกเจ้าค่ะ คนตายเป็นเรื่องใหญ่ ย่อมไม่อาจทิ้งไว้เช่นนี้”

เข้าใจว่าหลวนอวิ๋นชูถามความเห็นของตน สี่หลันจึงเตือนด้วยความปรารถนาดี

“เรื่องนี้…เรียนนายหญิงใหญ่แล้วหรือ นายหญิงใหญ่ว่าอย่างไร”

“บ่าวให้ชุ่ยเอ๋อร์ไปแล้ว ระหว่างทางเจอสะใภ้ใหญ่พอดี จึงสั่งให้ชุ่ยเอ๋อร์กลับมา บอกทางนายหญิงใหญ่นางจะเป็นคนไปบอกเอง”

“ไปตั้งแต่เมื่อไร” ฝูหรงมองกาน้ำหยด “เหตุใดยังไม่มีข่าว”

“เกรงว่านายหญิงใหญ่กำลังกินอาหารอยู่” สี่หลันคาดเดา “สะใภ้ใหญ่ยังไม่มีจังหวะบอกเรื่องนี้”

ชีวิตคนทั้งชีวิตยังสำคัญสู้อาหารมื้อหนึ่งไม่ได้!

ฟังคำพูดนี้แล้วหลวนอวิ๋นชูเลือดลมพลุ่งพล่าน สีหน้าหม่นขรึม

“จะอย่างไรก็เป็นบ่าวคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองกำลังคนทำอะไรให้วุ่นวาย สะใภ้ใหญ่แต่ไรมาคิดการรอบคอบ” เห็นหลวนอวิ๋นชูสีหน้าแปรเปลี่ยน กลัวนางจะบุ่มบ่ามพูดอะไรที่ไม่รักษาหน้าตาออกมา เฉียนหมัวมัวจึงชิงพูดขึ้นก่อน “ตามความเห็นของบ่าว ควรทำตามคำสั่งของสะใภ้ใหญ่ ทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ซิ่วเอ๋อร์ก่อน จากนั้นก็บรรจุศพลงโลง”

“ซิ่วเอ๋อร์ยังมีญาติคนอื่นอีกหรือไม่”

“อืม” เฉียนหมัวมัวหัวคิ้วขมวดมุ่น คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยังมีน้าชายห่างๆ อีกคน อยู่หมู่บ้านเมิ่งจวงไม่ไกลจากตัวเมือง ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน ตอนบิดาของซิ่วเอ๋อร์ตายถึงได้รู้ว่านางยังมีญาติห่างๆ อยู่อีกครอบครัวหนึ่งเจ้าค่ะ”

“อ้อ…” หลวนอวิ๋นชูเงียบไปครู่หนึ่ง “เฉียนหมัวมัวส่งคนไปแจ้งข่าว งานศพมีคนในครอบครัวมาจัดการจึงจะเหมาะสม”

ความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากซับซ้อนในจวนแห่งนี้ทำให้คนปวดหัว ต่งอ้ายบุตรภรรยาเอกไม่อยู่แล้ว นางที่เป็นหญิงม่ายคนหนึ่งยังจะทำอะไรได้ ในเมื่อไม่ให้หมอมาตรวจดู เช่นนั้นก็ให้คนในครอบครัวซิ่วเอ๋อร์มาโวยวายแล้วกัน

“ที่สะใภ้สี่พูดก็ถูก” เฉียนหมัวมัวผงกศีรษะ ปรึกษาหารืออย่างระมัดระวังวาจา “หรือไม่ก็รอก่อน ดูว่านายหญิงใหญ่มีความเห็นเช่นไร”

ซิ่วเอ๋อร์ตายอย่างมีเลศนัย ชุ่ยเอ๋อร์ได้บอกเรื่องนี้ให้สะใภ้ใหญ่ทราบโดยละเอียดแล้ว อีกฝ่ายเพียงสั่งให้คนมาบรรจุศพลงโลง เห็นชัดว่าไม่อยากให้เกิดเรื่องเกิดราว เวลานี้หลวนอวิ๋นชูจะส่งข่าวให้คนในครอบครัวของซิ่วเอ๋อร์และไม่ให้หลี่ว์หมัวมัวบรรจุศพลงโลง เกิดคนในครอบครัวซิ่วเอ๋อร์พบสิ่งผิดปกติแล้วซักไซ้ไล่เลียงขึ้นมา ทำให้จวนกั๋วกงต้องเสื่อมเสียเกียรติ ไม่รู้จะเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นอีกเท่าไร ต้องมีคนเดือดร้อนพัวพันอีกกี่คน…

คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เฉียนหมัวมัวก็อดไม่ได้แอบบ่นว่าหลวนอวิ๋นชูอายุน้อย สายตาไม่ยาวไกล ถึงกับมองความเป็นไปของเรื่องราวและเส้นทางที่อยู่เบื้องหลังไม่ออก

หลวนอวิ๋นชูขมวดคิ้ว อากาศรอบด้านสงบนิ่งลงมาทันที แม้แต่ซวงเอ๋อร์ก็ลืมร้องไห้แล้วสงบจิตสงบใจมองหลวนอวิ๋นชู ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง

ขณะตกอยู่ในความเงียบสงบสาวใช้รุ่นเล็กก็มารายงาน “สี่จู๋มาแล้วเจ้าค่ะ”

สี่จวี๋และสี่หลันสีหน้าผ่อนคลายลง อ้าปากจะบอก ‘เชิญ’ กลับไม่กล้าพูดออกมา ได้แต่หันหน้าไปมองหลวนอวิ๋นชู

หลวนอวิ๋นชูเอ่ยขึ้น “ให้นางเข้ามา”

“เรียนสะใภ้สี่…” สี่จู๋ชะโงกหน้าไปมองบนเตียงอย่างค่อนข้างตื่นตระหนกแวบหนึ่ง “นายท่านฝากคำพูดมา ให้ท่านเลือกโลงที่ดีให้ซิ่วเอ๋อร์ บรรจุศพลงโลงเสีย แล้วค่อยแจ้งให้คนในครอบครัวมารับไป…เงินเบิกจากห้องบัญชีโดยตรงได้เลยเจ้าค่ะ”

“นายท่าน?”

เหตุใดต่งกั๋วกงจึงเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องของเรือนด้านหลังอีกแล้วเล่า นายหญิงใหญ่ทำอะไรอยู่ หลวนอวิ๋นชูคิดสงสัย

“ตอนสะใภ้ใหญ่แจ้งเรื่อง นายท่านก็อยู่ด้วยพอดีเจ้าค่ะ” สี่จู๋เองก็เข้าใจคำพูดที่หลวนอวิ๋นชูไม่ได้ถามออกมา “ได้ยินว่าซิ่วเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว นายท่านนึกถึงบิดาของนางที่เคยติดตามนายท่านอยู่หลายปี นายท่านนึกทอดถอนใจอยู่นาน”

สี่จวี๋ที่อยู่ด้านข้างก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “นายท่านเห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือบ่าวไพร่เช่นนี้ ช่างใจกว้างมีเมตตา มีคุณธรรมน้ำใจ”

ต่งกั๋วกงผู้มีสง่าน่าเกรงขามวันๆ มีงานการต้องจัดการมากมาย เหตุใดจึงจดจำสาวใช้เล็กๆ ที่ไม่มีอะไรสะดุดตาคนหนึ่งได้ แม้แต่บิดาของนางก็จดจำได้อย่างแม่นยำเช่นนี้! ฟังคำยกย่องของสี่จวี๋แล้ว หลวนอวิ๋นชูพลันฉุกคิดขึ้นมา นึกถึงความสนิทสนมดุจพ่อลูกของซิ่วเอ๋อร์กับลุงใบ้ขึ้นมาทันที

ต่งกั๋วกง!

ประกายแสงสว่างวาบขึ้น หลวนอวิ๋นชูคิดออกในทันที ห่วงโซ่ตรงกลางที่ขาดหายไปน่าจะเป็นต่งกั๋วกง

สวนสมุนไพรต่งกั๋วกงเป็นคนควบคุมดูแลเอง นอกจากปกป้องเขาแล้ว ยังจะมีอะไรทำให้ลุงใบ้ทำเรื่องโหดเหี้ยมไร้เยื่อใยเช่นนี้ได้อีก!

ในสมัยโบราณเรื่องจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายเช่นนี้มีให้เห็นบ่อยจนไม่ใช่เรื่องแปลก

ความรู้สึกท้อแท้เศร้าซึมจู่โจมเข้ามา หลวนอวิ๋นชูมองซิ่วเอ๋อร์ที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงอย่างซึมเซา ดูท่านางคงหมดหนทางจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้ซิ่วเอ๋อร์ได้แล้ว…

“นายหญิงใหญ่กับสะใภ้ใหญ่ไม่มีใครมาหรือ”

เห็นหลวนอวิ๋นชูไม่พูด ฝูหรงจึงเอ่ยถามอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ จะอย่างไรก็มีคนตายทั้งคน หลวนอวิ๋นชูก็อายุยังน้อย นายหญิงใหญ่ย่อมต้องออกหน้าช่วยจัดการจึงจะถูก ถึงนับว่าช่วยรักษาหน้าให้นาง

“ตอนแรกนายหญิงใหญ่กับสะใภ้ใหญ่ตั้งใจว่ากินอาหารแล้วก็จะมา คิดไม่ถึงว่ายังกินอาหารไม่เสร็จก็ได้ยินว่าคุณชายสามถูกผีหลอกที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยน จึงได้พากันไปที่เรือนคุณชายสาม” เห็นหลวนอวิ๋นชูมีสีหน้าอึดอัดกลัดกลุ้ม สี่จู๋ก็กล่าวเสริมขึ้น “จริงสิเจ้าคะ นายหญิงใหญ่ยังสั่งกำชับมาเป็นพิเศษ ให้สะใภ้สี่ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ก็แค่สาวใช้หายไปคนหนึ่ง ไว้จะหาเพิ่มเติมมาให้ท่าน”

“อะไรนะ คุณชายสามถูกผีหลอกที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยน สะใภ้สี่…”

สะใภ้สี่ไม่ใช่เพิ่งกลับจากทะเลสาบลั่วเยี่ยนหรือ เหตุใดจึงไม่ได้ยินเรื่องนี้

สี่จวี๋ได้ยินแล้วก็ร้องเสียงแหลมออกมา คำพูดพูดออกมาได้ครึ่งหนึ่ง พลันนึกได้ว่าสถานการณ์ร้ายแรง เสียงจึงหยุดชะงักไป มองหลวนอวิ๋นชูด้วยความตื่นตระหนก

“เป็นเรื่องจริง ได้ยินคนที่เรือนคุณชายสามบอก คุณชายสามขวัญกระเจิงจนชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง” สี่จู๋ฟังความหมายในคำพูดของสี่จวี๋ไม่ออก เพียงเข้าใจว่านางสงสัยเรื่องผีหลอก “เวลานี้ยังหมดสติไม่ฟื้น ประเดี๋ยวก็ขอให้พี่หมู่ตันไว้ชีวิต ประเดี๋ยวก็ร้องให้หมู่ตันมาเอาชีวิตไป” เสียงขาดหายไป สี่จู๋ชำเลืองตามองหลวนอวิ๋นชูอย่างไม่สบายใจ พูดอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “นายหญิงใหญ่ได้สั่งให้คนไปเชิญนักพรตมาทำพิธีปัดรังควานให้คุณชายสามแล้ว”

นึกถึงว่าหมู่ตันเป็นสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงานของหลวนอวิ๋นชู ทุกคนต่างปิดปากแน่น แม้แต่เฉียนหมัวมัวก็หดคอถอยไปอยู่ข้างหลัง

ความเงียบที่ผิดปกติทำให้คนรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง แต่ละคนใบหน้าซีดเผือด ไม่กล้ามองซิ่วเอ๋อร์ที่นอนสิ้นลมอยู่บนเตียง กลัวว่าพริบตาถัดมาก็จะกลายเป็นผีร้ายกระโจนเข้าหา ต่างลืมไปอย่างสิ้นเชิงว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ สี่จวี๋จึงเงียบเสียงลง เรื่องคุณชายสามถูกผีหลอกจึงผ่านไปแต่เพียงเท่านี้

“จัดการตามที่นายท่านสั่งมาเถิด”

น้ำเสียงราบเรียบทำลายความเงียบที่ทำให้คนหวาดกลัว เห็นหลวนอวิ๋นชูขยับฝีเท้าก็เหมือนได้รับการอภัยโทษเป็นพิเศษ สาวใช้รุ่นเล็กหลายคนที่หน้าประตูต่างพากันพุ่งออกไปดุจลูกธนู

“สะใภ้สี่…” เห็นหลวนอวิ๋นชูจะจากไป ซวงเอ๋อร์พลันพุ่งเข้ามากอดขานางไว้ “พี่ซิ่วเอ๋อร์ไม่ใช่ป่วยตายแน่นอน สะใภ้สี่ได้โปรดช่วยจัดการให้นางด้วย!”

ถูกกอดขาโดยไม่ทันตั้งตัว หลวนอวิ๋นชูร่างเสียหลักเกือบจะล้มลงไป ดีที่ฝูหรงช่วยประคองไว้

“ซวงเอ๋อร์ห้ามพูดจาเหลวไหล! รีบหลบไป ทำให้สะใภ้สี่ตกใจ ระวังจะถูกถลกหนัง”

เฉียนหมัวมัวออกแรงดึงซวงเอ๋อร์ออกมา มอบนางให้หญิงรับใช้สูงวัยไหล่กว้างเอวกลมคนหนึ่ง

“ไม่ใช่ป่วยตาย แล้วเป็นอะไรตาย!” คำพูดพอหลุดจากปากสี่จู๋ก็ตระหนักรู้ขึ้นมาทันที กล่าวเสียงเฉียบขาด “ซวงเอ๋อร์ ข้ารู้เจ้ากับซิ่วเอ๋อร์สนิทกัน แต่เรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน ไม่อาจพูดส่งเดช ระวังถ้าพูดออกไปจะรักษาศีรษะไม่อยู่!”

“บ่าวไม่ได้พูดเหลวไหล บ่าวมีหลักฐาน” ออกแรงคิดจะดิ้นให้หลุดจากการถูกจับตัวไว้ ซวงเอ๋อร์ชี้แจงข้อเท็จจริง “ก่อนพี่ซิ่วเอ๋อร์จะขาดใจได้บอกกับบ่าว…”

“หุบปาก! ข้าว่าเจ้าตกใจจนโง่งมไปแล้ว” หลวนอวิ๋นชูสีหน้าตื่นตระหนก “เข้ามา เอานางไปขังไว้!”

มีความลับบางอย่างไม่อาจแบ่งปัน บางครั้งยิ่งรู้มากยิ่งตายเร็ว

ในเมื่อการตายของซิ่วเอ๋อร์เกี่ยวพันกับต่งกั๋วกง เช่นนั้นคนที่ได้ยินคำสั่งเสียของซิ่วเอ๋อร์ล้วนต้องตาย ไม่อาจทวงความเป็นธรรมให้ซิ่วเอ๋อร์ นางก็อับจนปัญญามากอยู่แล้ว จะให้คนทั้งห้องนี้ต้องตายตามไปด้วยได้อย่างไร

หลวนอวิ๋นชูที่อ่อนน้อมโอบอ้อมอารีจู่ๆ บันดาลโทสะออกมา น้ำเสียงเย็นยะเยือกเจืออานุภาพน่าเกรงขามไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้ง สั่นสะเทือนจนในหูของทุกคนมีเสียงอึงอล ต่างไหล่ลู่ลงตามสัญชาตญาณ ร่างของซวงเอ๋อร์ก็อ่อนปวกเปียกลงไป

“สะใภ้สี่! ที่บ่าวพูดเป็นความจริง ท่านได้โปรดฟัง…”

ถูกหิ้วออกไปจากห้อง ซวงเอ๋อร์จึงรู้สึกตัว นางดิ้นรนพลางร้องตะโกน จึงถูกคนอุดปากไว้

เสียงร้องราวหัวใจถูกฉีกกระชากดังก้องไปไกลท่ามกลางความเงียบสงัด ทุกคนต่างเนื้อตัวสั่น หันมองไปที่เตียง ใบหน้าของซิ่วเอ๋อร์ถูกกระดาษสีเหลืองขมิ้นปิดไว้อย่างมิดชิด มองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ

“สะใภ้สี่…” ฝูหรงดึงแขนนางเบาๆ “ไม่สู้ลองฟังคำพูดที่ซิ่วเอ๋อร์ทิ้งไว้”

“เรียกหลี่ว์หมัวมัวเข้ามา” หลวนอวิ๋นชูไม่สนใจฝูหรง หันหน้าไปสั่งการ “บรรจุศพลงโลง แล้วค่อยให้คนไปส่งข่าวให้คนในครอบครัวซิ่วเอ๋อร์”

ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะตั้งอกตั้งใจสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำ หลวนอวิ๋นชูจึงมาคารวะผู้ใหญ่ตามธรรมเนียมมารยาท ถึงแม้นายหญิงใหญ่จะให้นางอยู่รักษาตัวที่เรือนลู่ย่วนก็ตาม หลวนอวิ๋นชูมองว่าทั้งการไม่ได้ไปทำงาน ทั้งการไม่ได้ไปตลาด แต่กลับต้องมาที่เรือนแม่สามีเพื่อปฏิบัติตามธรรมเนียมมารยาทตั้งแต่ยามเหม่าเช่นนี้ ถือเป็นธรรมเนียมที่แย่มาก…

เลี้ยวผ่านฉากบังลมไม้หนานมู่ที่ปักด้วยไหมทองลายหงส์คู่มองตะวันก็จะเห็นภาพห้าบุตรประทานพรแขวนอยู่บนผนังตรงหน้า ตรงกลางเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมไม้จันทน์ม่วงแกะลายมังกรไม่มีเขา บนโต๊ะวางสวนถาดที่แกะจากรากไม้แดงถาดหนึ่ง ชุดชาหยกดำหนึ่งชุด สองข้างวางเก้าอี้ไท่ซือ ไม้จันทน์ม่วงข้างละตัว ถัดออกไปด้านข้างมีเก้าอี้กุหลาบไม้จันทน์ม่วงแกะลายม้วนขดตามขอบที่นั่งด้านหน้าและพนักพิงวางเรียงรายข้างละแถว แถวละเจ็ดตัว แถวทางด้านซ้ายมีคุณชายห้าต่งซิ่น คุณชายหกต่งอี้ คุณชายเจ็ดต่งเหอ หัวผักกาดน้อยที่แข็งแรงน่ารักทั้งสามคน ส่วนเก้าอี้ที่เหลือล้วนว่างเปล่า ทางด้านขวาตั้งแต่หัวแถวลงไปนั่งเรียงตามลำดับเหยาหลัน เฉาเสวี่ย พานหมิ่น คุณหนูสามต่งซู และคุณหนูสี่ต่งฮว่า ทุกคนกำลังพูดคุยกันเบาๆ พอเห็นหลวนอวิ๋นชูเข้ามาก็หยุดปากทันทีพลางมองมาด้วยความแปลกใจ

เห็นเก้าอี้ตรงกลางยังว่างอยู่ หลวนอวิ๋นชูก็ลอบระบายลมหายใจ ยังดีนายหญิงใหญ่ยังไม่ออกมา

เห็นหลวนอวิ๋นชูทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นั่งลงข้างกายนาง พานหมิ่นก็เบี่ยงตัวอย่างรังเกียจ “เมื่อวานไปเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยน สะใภ้สี่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ถึงขั้นสบายอกสบายใจมาเที่ยวเรือนอิ่นย่วนแล้ว”

คำว่า ‘เที่ยว’ ถูกพานหมิ่นเค้นเสียงจนกังวาน ความหมายในการเสียดสีเอ่อท้นออกมาทางน้ำเสียงและกิริยาท่าทาง อีกด้านหนึ่งยังไม่ลืมยกมือขึ้นปัดๆ ไปในอากาศ คล้ายในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายความอัปมงคล ท่าทางดูตลกยิ่ง

“แล้วอย่างไรเล่า สะใภ้สามไม่ใช่มาคารวะนายหญิงใหญ่หรอกหรือ” หลวนอวิ๋นชูยิ้มจางๆ เสียงยังคงนุ่มนวลเช่นที่ผ่านมา “เป็นเพราะกินอิ่มไม่มีอะไรทำ อยู่ว่างๆ ฟ้ายังไม่สว่างก็ออกมาเที่ยวเล่นหรือ”

ทำสงครามน้ำลาย ใครทำไม่เป็นบ้างเล่า

“พรืด…”

ต่งซิ่นพ่นน้ำชาในปากออกมา ต่งอี้ต่งเหอก็หัวเราะคิกคักตามไปด้วย

“คุณชายของบ่าว ท่านระวังหน่อยเจ้าค่ะ” แม่นมก้มลงมาช่วยเช็ดเสื้อผ้าให้ต่งซิ่น “นายท่าน นายหญิงใหญ่จะออกมาแล้ว เสื้อผ้าสกปรกตอนนี้จะไปเปลี่ยนก็ไม่ทันแล้ว”

เห็นแม่นมของตนเม้มปากแน่น ข่มกลั้นจนใบหน้าแดง คุณชายห้าต่งซิ่นก็ขยับตัวหัวเราะคิกคักออกมา

“คุณชายของบ่าว ท่านสุขุมหน่อยสิเจ้าคะ ระวังนายท่านเห็นเข้าก็จะ…”

“เจ้าพูดมากเสียจริง” ต่งซิ่นย่นหัวคิ้วอย่างรำคาญ ผลักแม่นมออกไป “ก็แค่น้ำชาคำเดียว ไม่ต้องเช็ดแล้ว เจ้าไปยืนข้างๆ อย่ามาบังข้าชมเรื่องสนุก”

สะใภ้กับคุณหนูคนอื่นๆ ต่างก็พยายามสะกดกลั้นไม่หัวเราะออกมา แต่ละคนท่าทางคล้ายปวดอุจจาระ ข่มกลั้นจนใบหน้าแดงก่ำ เห็นทุกคนเป็นเช่นนี้ สีหน้าของพานหมิ่นก็กลายเป็นมะเขือม่วงแล้ว อ้าปากถลึงตามองหลวนอวิ๋นชูราวกับอยากถลกหนัง ยามกะทันหันถึงกับหาคำพูดมาตอบโต้ไม่ได้

“ข้าได้ยินว่าเมื่อวานคุณชายสามถูกผีหลอก วันนี้ยังลุกจากเตียงไม่ขึ้น เป็นเช่นนี้สะใภ้สามยังสบายอกสบายใจออกมาเที่ยวเล่นอีกหรือ” หลวนอวิ๋นชูเอามือตบหน้าผาก คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ “อ้อ…ข้าลืมไป คุณชายสามมีนกขมิ้นนกนางแอ่นอยู่เต็มห้อง ไม่ต้องให้สะใภ้สามปรนนิบัตินี่ ท่านย่อมมีเวลาว่างมากมาย”

ในจวนกั๋วกงแห่งนี้ความเจ้าชู้ของต่งเหรินนับว่าขึ้นชื่อลือนาม เรื่องนี้ต่งกั๋วกงกับนายหญิงใหญ่ไม่ค่อยพอใจนัก มักบ่นว่าพานหมิ่นมัดใจต่งเหรินไว้ไม่อยู่ไม่พูดถึง ยิ่งไม่รู้จักตักเตือน ปล่อยให้เขาทำเรื่องวุ่นวาย เรื่องนี้คล้ายได้กลายเป็นปมที่เจ็บปวดในใจของพานหมิ่นไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวานต่งเหรินถูกผีหลอก ในจวนกั๋วกงก็แอบเล่าลือกันไปทั่ว บอกเขาทำเรื่องเลวร้ายมากเกินไป ในที่สุดก็ถูกกรรมตามสนอง ถูกสาวใช้ตามรังควาน…

เรื่องที่เดิมทีอยากจะปิดบังยังแทบไม่ทันกลับถูกเปิดโปงออกมาต่อหน้าผู้คน พานหมิ่นเสียหน้าจนพานโกรธ นางราวกับถูกผึ้งต่อย กระโดดผึงขึ้นมา ชี้หน้าหลวนอวิ๋นชูแล้วด่าว่า

“เจ้าเล่าเป็นสินค้าดีอะไร! เข้าประตูมาได้สามวันคุณชายสี่ก็ตาย ไม่ถึงครึ่งเดือนสาวใช้ก็ตายไปแล้วสองคน ศพคุณชายสี่ยังไม่ทันเย็น ก็ทนไม่ไหวไปยั่วยวนบุรุษที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยน…ปีศาจจิ้งจอก! ดาวหายนะ!”

นายหญิงใหญ่กำลังจะออกมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าพานหมิ่นจะไม่คำนึงถึงหน้าตา ส่งเสียงด่าทอต่อหน้าผู้คน ทุกคนต่างตะลึงงันแล้ว รอยยิ้มของเด็กน้อยทั้งสามแข็งค้างอยู่บนใบหน้า ปากอ้าค้าง มองพี่สะใภ้สามของพวกเขาอาละวาดพาลพาโลอย่างงงงัน

เหยาหลันลุกขึ้นมายืนอย่างสง่างาม เดินผ่านเฉาเสวี่ยอย่างเชื่องช้าราวกับเต่ามาถึงเบื้องหน้าพานหมิ่น ขณะพานหมิ่นยกมือค้างอยู่นั้นก็ได้ยินหญิงรับใช้สูงวัยที่หน้าประตูร้องขึ้น

“นายท่าน นายหญิงใหญ่มาถึงแล้ว!”

ต่งกั๋วกงอยู่หน้า สี่จู๋ สี่เหมย และอี๋ไท่ไท่หลายคน รวมทั้งหญิงรับใช้สูงวัยกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมนายหญิงใหญ่เดินตามเข้ามา วุ่นวายโกลาหลขึ้นมาทันที ทุกคนพากันลุกขึ้นทำความเคารพ มีเพียงพานหมิ่นที่ยังชี้หน้าหลวนอวิ๋นชูดุจแม่เสือที่ดุร้าย แข็งค้างอยู่กับที่ยังไม่ได้สติกลับคืนมา

เสียงของนางแหลมเล็ก ทั้งยังโมโหสุดขีด แม้จะอยู่ห่างกันระยะหนึ่ง แต่เสียงด่าว่ายังคงดังไปเข้าหูต่งกั๋วกงกับนายหญิงใหญ่ เวลานี้ยังเห็นนางชี้หน้าหลวนอวิ๋นชูอย่างไร้มารยาท ไม่มีภาพลักษณ์ของหญิงสาวที่อ่อนโยนและดีงามแม้แต่น้อย ต่งกั๋วกงก็มีสีหน้าเคร่งขรึม

นายหญิงใหญ่ลอบถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง บุตรสาวของพ่อค้าผู้นี้ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน พูดแต่แรกแล้วว่าไม่อาจแต่งเข้ามา นายท่านกลับไม่ฟัง ตอนนี้ดีเลย เอะอะโวยวายจนเรือนชิ่นย่วนบรรยากาศอึมครึมเต็มไปด้วยพิษร้ายยังไม่พอ ถึงกับเอะอะมาถึงเรือนของนาง อาละวาดออกมาต่อหน้าน้องสามีหลายคน

ที่แท้ในบรรดาสะใภ้ทั้งสี่คนของต่งกั๋วกง เหยาหลันเป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดีเหยาเหิงป๋อ สะใภ้รองเฉาเสวี่ยเป็นบุตรสาวเฉาเจิ้งวั่งผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายสำนักตรวจการนครหลวง ขุนนางชั้นหนึ่งขั้นรอง หลวนอวิ๋นชูก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ทั้งสามคนมาจากครอบครัวขุนนาง มีเพียงพานหมิ่นเป็นบุตรสาวของพานตี๋พ่อค้าเกลือรายใหญ่

การแต่งงานในครั้งนั้นเดิมทีนายหญิงใหญ่ไม่เห็นด้วย แต่แคว้นชื่อ แคว้นหลี แคว้นหลวนทั้งสามแคว้น แคว้นชื่อด้านตะวันออกติดทะเล แม้จะไม่อุดมสมบูรณ์ แต่เมล็ดพันธุ์ธัญพืช เกลือ และอื่นๆ โดยพื้นฐานก็พอเลี้ยงดูตนเองได้ ทว่าแคว้นหลีที่อยู่ทางตอนเหนือนั้นไม่เหมือนกัน ถึงจะมีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์ แต่เมล็ดพันธุ์ธัญพืชและเกลือกลับขาดแคลนมาก ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาอาศัยแคว้นหลวน การค้าเกลือจึงกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของแคว้นหลวน กลายเป็นเส้นเลือดสำคัญทางการค้าของแคว้นหลวน เพื่อจะควบคุมการค้าเกลือและยึดกุมการเงินของแคว้นหลวนแคว้นหลีสองแคว้นกลายๆ ต่งกั๋วกงจึงเจตนาลดเกียรติลดศักดิ์ศรีไปผูกญาติเกี่ยวดองกับพ่อค้าเกลือโดยผ่านการแต่งงาน

อีกฝ่ายหนึ่งพานตี๋ที่เป็นพ่อค้า แม้จะร่ำรวยเทียบเท่าท้องพระคลัง แต่แคว้นหลวนให้ความสำคัญกับการเกษตรควบคุมการค้า เขาไม่มีฐานะทางการเมืองอะไร ย่อมคิดจะคบค้าสมาคมกับขุนนางคหบดีโดยผ่านการเกี่ยวดองด้วยการแต่งงาน ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้ประโยชน์จากบุตรสาวปีนป่ายขึ้นสู่ยอดไม้สูง เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งสองฝ่ายจึงต่างมีแผนสกปรกอยู่ในใจ สามารถตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว พานหมิ่นที่หน้าเลือดและหยาบคายจึงเข้าประตูใหญ่จวนกั๋วกงมาได้อย่างถูกจังหวะและมีขั้นตอน การแต่งงานระหว่างสองครอบครัวเคยดังสะเทือนเลื่อนลั่นทั่วทั้งเมืองหลวนเฉิงมาแล้ว

คิดไม่ถึงว่าพานหมิ่นผู้นี้จะหยาบคายไม่ฟังเหตุผล ต่งเหรินผู้นั้นก็เป็นอันธพาลไม่ยึดมั่นในเหตุผล ถือเป็นคู่ที่สวรรค์บรรจงสรรค์สร้างอย่างแท้จริง หลังแต่งงานทั้งสองหวานชื่นกันอยู่ไม่กี่วัน จากนั้นก็เริ่มทะเลาะเบาะแว้งกัน ต่อมาต่งเหรินเชื่อฟังการจัดการของต่งกั๋วกงไปหลอกล่อชักจูงเจียงเสียนให้ตกต่ำ ก็ยิ่งดื่มสุราเล่นการพนันทุกวัน เที่ยวสำนักนางโลมทุกคืน เขากับเจียงเสียนสองคนไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่ทำ

เห็นต่งเหรินเปลี่ยนเป็นแย่ลง ต่งกั๋วกงก็บังคับควบคุมไม่ไหว นายหญิงใหญ่ยิ่งผลักภาระหน้าที่มาให้ลูกสะใภ้ที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยผู้นี้ วันนี้ได้มาเห็นนางเล่นบทหญิงปากร้ายข่มเหงหลวนอวิ๋นชูกับตาตนเอง ในใจก็ยิ่งเอือมระอา

“หมิ่นเอ๋อร์…” นายหญิงใหญ่ข่มกลั้นความโกรธ ยกน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง “บทแรกของคุณธรรมสตรีคือสงบเสงี่ยมสง่างาม ครองพรหมจรรย์ แต่งกายเรียบร้อย ทำอะไรมีขอบเขตรู้จักละอายใจ คำพูดและการกระทำมีขอบเขต เจ้าดูตัวเจ้าสิ ทำอากัปกิริยาเสียมารยาทต่อหน้าน้องสามีหลายคน นี่มันธรรมเนียมปฏิบัติอะไร”

หลังจากหลวนอวิ๋นชูแต่งงานก็ยังไม่เคยมาคารวะผู้ใหญ่ นายหญิงใหญ่ก็แล้วแต่นาง คำพูดของหลวนอวิ๋นชูก็ไม่มีคุณธรรมสตรี นายหญิงใหญ่ไม่เพียงไม่ว่า กลับไม่ถามว่าใครผิดใครถูก อบรมสั่งสอนใส่หน้าตนโครมๆ ฟังคำพูดเหล่านี้แล้วพานหมิ่นพลันรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่งยวด

พานหมิ่นไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลวนอวิ๋นชูพูดเสียงเบา ทั้งพูดไปก่อนหน้าแล้วนายหญิงใหญ่ไม่ทันได้ยิน กลับเป็นนางที่โก่งคอร้องด่า อยู่ห่างออกไปแปดหลี่ก็ยังได้ยิน หลวนอวิ๋นชูยังเป็นบัณฑิตหญิงที่มีชื่อเสียง ย่อมต้องมีคุณธรรมปัญญาอ่อนโยนดีงาม จะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างโหดร้ายได้อย่างไร กลับเป็นนางที่ดุร้ายไร้เหตุผลจนขึ้นชื่อ กล่าวว่าสำหรับนายหญิงใหญ่แล้ว ความผิดนี้ย่อมเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว

แม้จะรู้สึกว่านายหญิงใหญ่จัดการเรื่องอย่างไม่เป็นธรรม แต่ต่อให้พานหมิ่นไม่ฟังเหตุผลเพียงใด ก็ไม่กล้าโต้เถียงพ่อแม่สามี ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมาทันที

“นายหญิงใหญ่สั่งสอนได้ถูกต้อง สะใภ้รู้ตัวว่าผิดแล้วเจ้าค่ะ”

“นี่ข้าไม่ให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหรือ”

“สะใภ้ไม่กล้า เพียงแต่เรื่องในวันนี้ เดิมสะใภ้สี่…”

เดิมสะใภ้สี่เป็นคนพูดจาไม่ดีก่อน ข้าถึงได้โมโห

พูดออกมาได้ครึ่งหนึ่งก็นึกได้ว่าเรื่องนี้นางเป็นคนเริ่มก่อน ว่ากันถึงที่สุดต้องโทษปากของนางเอง ยามกะทันหันจึงชะงักค้างอยู่อย่างนั้น ไม่รู้คำร้องเรียนนี้จะฟ้องอย่างไร ได้แต่มองจ้องหลวนอวิ๋นชูอย่างดุดัน

“ล้วนเป็นเพราะสะใภ้ไม่ดี” หลวนอวิ๋นชูเองก็หยาดน้ำตาวาววับอยู่ในดวงตาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “สะใภ้เป็นคนอัปมงคล ขอท่านป้าได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา ให้สะใภ้กลับไปครองพรหมจรรย์ที่บ้านเดิม จะได้ไม่นำ…”

นี่ไม่ใช่เล่นงานข้าถึงตายหรือ!

เล่าลือกันไปทั่วว่าก่อนแต่งงานหลวนอวิ๋นชูกับลู่เซวียนมีความสนิทสนมใกล้ชิดกัน หลังแต่งงานวันที่สองต่งอ้ายก็โกรธจนกระอักโลหิต วันที่สามดวงวิญญาณก็ไปสู่ยมโลก ต่างบอกว่าเป็นเพราะถูกดวงของนางข่ม บางทีนายหญิงใหญ่อาจจะอยากขับหลวนอวิ๋นชูออกจากจวนนานแล้ว เพียงติดอยู่ที่หน้าตาของมารดานาง ทั้งไม่มีข้ออ้าง เกิดนายหญิงใหญ่ยืมเนินลงจากหลังลาจริง เห็นดีให้หลวนอวิ๋นชูกลับไปบ้านเดิม ไม่พูดถึงทำให้จวนหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงเดือดดาล ด้วยอำนาจของหลวนอวิ๋นชูที่มีอยู่ในหมู่ปัญญาชนในเมืองหลวนเฉิง เกรงว่าคงจะพากันลุกฮือขึ้นมาโจมตี เช่นนั้นตนเองย่อมมีชื่อเสียงเหม็นฉาวโฉ่ไปไกลแล้ว

“ขอนายท่าน นายหญิงใหญ่ตรวจสอบให้แน่ชัด” ไม่รอให้หลวนอวิ๋นชูพูดจบ พานหมิ่นก็คุกเข่าลงไป “สะใภ้สี่ใส่ร้ายสะใภ้ สะใภ้ไม่ได้…”

คำพูดที่ว่า ‘จะได้ไม่นำโชคร้ายมาสู่จวนกั๋วกง’ ค้างติดอยู่ในลำคอ หลวนอวิ๋นชูมองพานหมิ่นอย่างงงงัน นางไม่ได้จะกลั่นแกล้งพานหมิ่น เพียงแต่คาดเดาว่านายหญิงใหญ่กับต่งกั๋วกงจะต้องได้ยินพานหมิ่นด่าว่านางเป็นดาวหายนะถึงได้พูดเช่นนี้ ประการแรกเพื่อหยั่งเชิงดูท่าทีของต่งกั๋วกงกับนายหญิงใหญ่ที่มีต่อคำพูดนี้ ประการที่สองเพราะอยากกลับไปจวนสกุลหลวนจริง บางทีกิ่งหลิวที่ปักส่งเดชอาจให้ร่มเงาก็ได้

เห็นพานหมิ่นที่ปากร้ายไร้เหตุผลตกใจจนเป็นเช่นนี้ หลังจากหายตะลึงงันก็แอบนึกขัน พานหมิ่นผู้นี้ก็มีเวลาที่รู้จักกลัวเหมือนกัน!

ข้าไม่ได้คิดไปไกลถึงเพียงนั้นเสียหน่อย

“เงียบปากกันให้หมด!” ต่งกั๋วกงสีหน้าเขียวคล้ำ “ตั้งแต่เช้าเลย ดูพวกเจ้าซิ ท่าทางเหมือนอะไรแล้ว!”

“ล้วนเป็นเพราะผู้น้อยไม่ดีเอง” เฉียนอี๋ไท่คุกเข่าตึงลงไป “นายท่านขัดใจก็ลงโทษผู้น้อยเถิด อย่าโกรธจนเสียสุขภาพ”

เฉียนอี๋ไท่เป็นสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงาน หลังจากมีต่งเหรินแล้วจึงได้เลื่อนขึ้นเป็นอี๋เหนียง ปกติทำอะไรต้องดูสีหน้านายหญิงใหญ่ ต่งอ้ายไม่อยู่แล้ว เมื่อเปรียบดูแล้วนายหญิงใหญ่ย่อมรู้สึกใกล้ชิดกับต่งเหรินที่สุด เดิมเข้าใจว่าในที่สุดนางก็อดทนจนได้ลืมตาอ้าปากแล้ว คิดไม่ถึงว่ากลับมาเจอลูกสะใภ้ที่ไม่เอาการเอางาน ปกติฐานะก็ต่ำกว่าผู้อื่นครึ่งศีรษะแล้ว เฉียนอี๋ไท่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น ได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ

ยืนอยู่ริมแม่น้ำมองฝั่งตรงข้ามไฟไหม้ จงอี๋ไท่มารดาของคุณชายหกคุณชายเจ็ดกลับเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาจางๆ สาวใช้หญิงรับใช้สูงวัยที่อยู่บนพื้นกลับปิดปากเงียบดุจจักจั่นที่กลัวความหนาว

ตอนนั้นจัดงานมงคลเพื่อแก้ดวงให้ต่งอ้าย เป็นนายหญิงใหญ่คว้าฟางเส้นสุดท้ายเพื่อช่วยชีวิตต่งอ้าย คิดไม่ถึงว่าจะแต่งคนที่เป็นยันต์เร่งเอาชีวิตเข้ามา ทำลายความหวังทั้งหมดของนาง ถึงแม้หลวนอวิ๋นชูจะเฉลียวฉลาดไปทุกเรื่อง ใช้ประโยชน์จากนางได้มากมาย แต่ได้ยินคำพูดของพานหมิ่นที่มาเข้าหูก็อดไม่ได้ที่นางจะคิดไปทางนั้น ในใจรู้สึกอึดอัดคับข้อง แต่นางก็เข้าใจว่าเหตุใดต่งกั๋วกงจึงเกิดโทสะ

หลวนอวิ๋นชูไม่อาจถูกขับให้กลับไปบ้านเดิมอย่างเด็ดขาด!

มองสีหน้าที่แตกต่างกันไปของอี๋ไท่ไท่แต่ละคน ความคิดหมุนวนไปมา นายหญิงใหญ่ตัดสินใจไกล่เกลี่ยให้เรื่องราวสงบลง

“ลุกขึ้นมาให้หมด เช้าๆ เช่นนี้ก็มาคุกเข่ากัน ทำให้คนเห็นแล้วจิตใจขุ่นมัว”

เรื่องวุ่นวายสงบลง นายหญิงใหญ่มองหลวนอวิ๋นชูแล้วเปลี่ยนเรื่องถาม

“เรื่องของซิ่วเอ๋อร์จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”

“เรียนท่านป้า จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เห็นนายหญิงใหญ่ผงกศีรษะ หลวนอวิ๋นชูก็เอ่ยเสริมขึ้น “น้าชายห่างๆ ของซิ่วเอ๋อร์มาแล้ว สะใภ้ทำตามที่นายท่านสั่ง ให้ค่าทำศพไปหนึ่งร้อยตำลึง ให้เขารับคนกลับไป”

หนึ่งร้อยตำลึง?

สะใภ้จอมล้างผลาญผู้นี้!

ถ้ารู้แต่แรกว่านางทำงานไว้ใจไม่ได้เช่นนี้ ให้เหยาหลันไปจัดการเสียก็ดี มีเงินก็ไม่อาจใช้สิ้นเปลืองเช่นนี้! ปกติครอบครัวที่มีกันอยู่สามคน เงินห้าตำลึงก็เพียงพอให้ใช้ไปได้หนึ่งปีแล้ว สาวใช้รุ่นเล็กคนหนึ่งยี่สิบสามสิบตำลึงก็นับว่าเมตตากรุณามากแล้ว ในจวนมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่ เหตุใดหลวนอวิ๋นชูจึงไม่ตรวจสอบดู บ่าวไพร่ที่เรือนนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยเตือน ดูท่าคงต้องรีบเปลี่ยนตัวบ่าวไพร่เสียแล้ว

อยากจะตักเตือนและตำหนิสักสองคำ แต่นี่เป็นคำสั่งของต่งกั๋วกงจริง เพียงบอกให้ส่งศพออกไปให้ดี ไม่ได้บอกให้เงินเท่าไร ย่อมไม่อาจตบหน้าเขาต่อหน้าผู้คน นายหญิงใหญ่สีหน้าแปรเปลี่ยนแล้วแปรเปลี่ยนอีก ในที่สุดคำพูดตำหนิก็ไม่ได้พูดออกจากปาก

แม้แต่หญิงรับใช้สูงวัยที่นั่งอยู่ที่พื้นยังมองหลวนอวิ๋นชูด้วยความตื่นตะลึง สมกับเป็นคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์ ไม่รู้ว่าฟืนข้าวสารน้ำมันเกลือแพง มีใครเขาใช้เงินเช่นนี้กัน นี่ไม่ต่างอะไรกับการโยนเงินไปบนท้องถนน!

เหยาหลันแววตามีประกายยินดีในความโชคร้ายของคนอื่นพาดผ่านจางๆ ไม่พูดอะไร เพียงมองว่านายหญิงใหญ่จะจัดการลงโทษอย่างไร แม่นมของนายหญิงใหญ่ตาย ให้เงินไปเจ็ดสิบตำลึงนับเป็นเงินที่สูงที่สุดในจวนแล้ว บัณฑิตหญิงผู้นี้กลับดียิ่ง หยิบเงินออกมาทีก็หนึ่งร้อยตำลึง เพียงพอให้ครอบครัวเล็กในที่ห่างไกลสร้างบ้านเรือน ซื้อที่ดินดีๆ สักหลายผืนอยู่อย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตได้แล้ว เข้าใจว่าเงินของจวนกั๋วกงมีลมพัดหอบมาให้หรืออย่างไร

เฉาเสวี่ยไม่ได้ดูแลเรือนย่อมไม่เป็นห่วงเรื่องนี้ กลับเป็นพานหมิ่นที่มาจากครอบครัวพ่อค้า ทุกเรื่องล้วนคิดคำนวณเข้าไปในกระดูก พอได้ยินคำพูดดังกล่าวก็แทบจะพ่นสิ่งที่อยู่ในปากออกมา

หนึ่งร้อยตำลึง?

เท่ากับเงินรายเดือนหนึ่งปีของสาวใช้รุ่นใหญ่ห้าคน ซื้อสาวใช้รุ่นเล็กได้เจ็ดแปดคน นางขยับปากแล้วขยับปากอีก เพียงเพราะเพิ่งถูกตำหนิมาจึงไม่กล้าแย้ง ได้แต่เบิกตารูปเมล็ดซิ่งมองหลวนอวิ๋นชูอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ

ชีวิตคนไม่อาจตีมูลค่า ตามความคิดของหลวนอวิ๋นชู จวนกั๋วกงไม่ขาดแคลนเงินทอง ต่งกั๋วกงก็บอกให้ใช้จ่ายได้ตามสบาย ถ้าบิดามารดาของซิ่วเอ๋อร์ยังอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้สองร้อยตำลึง อย่างน้อยก็เพียงพอให้พวกเขาเลี้ยงดูตนเองยามแก่เฒ่า แต่เมื่อนึกถึงว่าซิ่วเอ๋อร์กับน้าชายห่างๆ ของนางแต่ไรมาไม่เคยไปมาหาสู่กัน จึงได้ให้ไปหนึ่งร้อยตำลึง

จะอย่างไรก็มีช่องว่างระหว่างกันอยู่พันปี ในเวลาอันสั้นหลวนอวิ๋นชูยังไม่อาจเข้าใจถึงความคิดของคนเหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ เวลานี้เห็นพวกนางมองตนเหมือนมองมนุษย์ต่างดาว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียดายเงิน หลวนอวิ๋นชูยังเข้าใจว่าเป็นเพราะตำหนินางว่าเชื่อคนนอกง่ายเกินไปจึงเอ่ยเสริมขึ้น

“ท่านป้าวางใจ สะใภ้เห็นน้าชายของซิ่วเอ๋อร์เป็นคนซื่อๆ คนหนึ่ง ยังขอบอกขอบใจเราใหญ่โต เชื่อฟังถ้อยคำและจะนำไปปฏิบัติตาม ไม่กล้าเอาเงินไปใช้จ่ายส่งเดช สะใภ้ได้กำชับให้เฉียนหมัวมัวตามไปจับตาดูเขาซื้อโลงและจัดงานศพให้ซิ่วเอ๋อร์อย่างดีที่สุด เรื่องนี้ไม่ผิดพลาดแน่”

ไม่ใช่ตัวโง่งม ใครได้เงินหนึ่งร้อยตำลึงย่อมต้องขอบอกขอบใจเสียใหญ่โตอยู่แล้ว โลงศพของสาวใช้คนหนึ่งต่อให้ดีเพียงใดก็แค่ไม่กี่ตำลึง แต่งบทกวีมากเกินไปจนสมองกลายเป็นแป้งเปียกไปแล้วจริงๆ!

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 04 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 17

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: