X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหมอหญิงพลิกธรรมเนียม

ทดลองอ่าน หมอหญิงพลิกธรรมเนียม บทที่ 9-บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 21

บทที่เก้า

“คนในครอบครัวซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้เอะอะโวยวายก็ดีแล้ว” นายหญิงใหญ่ฝืนใจควบคุมเสียงให้ราบเรียบแล้วหันไปทางเหยาหลัน “หลันเอ๋อร์อย่าลืมไปบอกห้องบัญชี เมื่อวานที่อวิ๋นชูเบิกเงินไปหนึ่งร้อยตำลึง ให้ลงในบัญชีใหญ่ยี่สิบตำลึง ที่เหลือลงไว้ในบัญชีส่วนตัวของข้า”

กลัวจะเสียธรรมเนียมปฏิบัติ ทำให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างสะใภ้ด้วยกัน นายหญิงใหญ่ไม่พูดอะไรก็ช่วยรับส่วนที่หลวนอวิ๋นชูเบิกเกินไปเป็นส่วนของตน

เหยาหลันเผยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ต่างก็เป็นสะใภ้เช่นกัน นางมาคารวะพ่อแม่สามีตอนเช้า ปรนนิบัติเข้านอนตอนค่ำ ทำงานตื่นเช้านอนดึกทุกวันก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา หลวนอวิ๋นชูผู้นี้เพิ่งเข้ามาอยู่ไม่กี่วัน ไม่ให้มาคารวะตอนเช้าก็แล้วไปเถิด วันนี้ยังให้เพิ่มสาวใช้ พรุ่งนี้ชดเชยเงินให้ กลัวหลวนอวิ๋นชูจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

มองหลวนอวิ๋นชูแวบหนึ่ง เหยาหลันแอบกัดฟัน กดข่มความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่มีอยู่เต็มอกพลางเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม

“ดูท่านพูดเข้า ยังจะขาดเงินเพียงไม่กี่ตำลึงนี้หรือ น้องสาวก็ไม่ใช่คนนอก จะให้ท่านเป็นคนชดเชยได้อย่างไร ลงบัญชีใหญ่โดยตรงเลยแล้วกัน ไยต้องแบ่งแยกชัดเจนเช่นนั้นด้วย”

“หลันเอ๋อร์ไม่เข้าใจความตั้งใจดีของข้า ไม่ใช่เรื่องเงินมากน้อย แต่ธรรมเนียมปฏิบัติไม่อาจถูกทำลาย หาไม่พรุ่งนี้เรือนเจ้ามีสาวใช้ตายคนก็หนึ่งร้อยตำลึง อีกวันเรือนอื่นมีสาวใช้ตายคนก็อีกหนึ่งร้อยตำลึง…เช่นนี้ก็ไม่จบไม่สิ้นแล้ว” น้ำเสียงเจือการอบรมสั่งสอนเข้ามาหลายส่วน นายหญิงใหญ่มองเหยาหลันอย่างอ่อนโยน “หลันเอ๋อร์ก็ต้องจำไว้ ครอบครัวใหญ่กิจการใหญ่ พวกเจ้าพี่สะใภ้น้องสะใภ้หลายคน ทุกเรื่องไม่ว่าใหญ่ว่าเล็ก ล้วนต้องมีขอบเขต ถ้าไม่มีธรรมเนียมปฏิบัติก็จะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งฟ้องกันไปมาไม่จบไม่สิ้น”

พูดมาถึงขั้นนี้ทุกคนมีหรือจะไม่เข้าใจ ในใจของแต่ละคนต่างรู้สึกไม่ยุติธรรม แต่ไม่ได้แสดงออกมาบนใบหน้า เว้นแต่พานหมิ่นที่ถลึงตารูปเมล็ดซิ่ง มองหลวนอวิ๋นชูราวกับไก่ชนแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็คล้อยตามด้วยสีหน้ายิ้มๆ บอกนายหญิงใหญ่คิดมากไปแล้ว ที่นี่หลวนอวิ๋นชูอายุน้อยที่สุด ใครจะไปคิดเล็กคิดน้อยเพียงแค่เงินไม่กี่ตำลึงนี้…

นายหญิงใหญ่มองหลวนอวิ๋นชู พลันนึกถึงเรื่องที่เมื่อวานนางไปทะเลสาบลั่วเยี่ยนขึ้นมาได้ ต่งเหรินถูกผีหลอก นางกลับไม่เป็นไรเลย ทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างแปลกประหลาด มุมปากขยับไปมา แต่ติดอยู่ที่นายท่านสนับสนุน พานหมิ่นก็อยู่ด้วยจึงกลืนคำพูดกลับลงไป นึกถึงประตูข้างฝั่งตะวันตกขึ้นมาจึงถามเหยาหลัน

“เหตุใดจนป่านนี้แล้วยังไม่ปิดตายประตูนั้นไป”

“เรียนนายหญิงใหญ่ เดิมสะใภ้หาคนมาแล้ว” เหยาหลันตอบ “กำลังจะลงมือ บังเอิญหมอดูหยวนอู่ที่จัดงานศพมาพบเข้าพอดี บอกยังไม่ครบวันไว้ทุกข์ ไม่อาจกระทุ้งพื้น สะใภ้ได้ใส่กุญแจไว้แล้ว ลูกกุญแจให้คนรับผิดชอบดูแลโดยเฉพาะ ทั้งสั่งกำชับไว้ห้ามใครเข้าออก เดิมตั้งใจจะมาเรียนให้ท่านทราบ แต่บังเอิญช่วงหลายวันนั้นมีงานยุ่งมากจึงได้ลืมไป” แล้วบอก “นายหญิงใหญ่ไม่ต้องร้อนใจ ประเดี๋ยวสะใภ้จะไปเอาลูกกุญแจกลับคืนมา เก็บรักษาไว้ที่ท่านนี่ รอคุณชายสี่ครบสี่สิบเก้าวันแล้ว ก็จะให้คนไปปิดตายทันที”

เหยาหลันพูดไปก็มองหลวนอวิ๋นชูแวบหนึ่ง เห็นนางนั่งสง่าผ่าเผยอยู่ที่นั่น สีหน้าไม่มีร่องรอยความละอายใจแม้แต่น้อยนิด คล้ายเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางอยู่แล้ว เหยาหลันอดหงุดหงิดโมโหไม่ได้ ช่างเป็นจอมก่อเรื่องก่อราว ตกน้ำไปครั้งหนึ่งแล้วยังไม่จดจำ กระทั่งสูญเสียความทรงจำแล้วก็ยังไม่ยอมหยุด ตนต้องถูกตำหนิเพราะนาง นางกลับเฉยเมยเหมือนไม่มีอะไร นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับพระพุทธรูป คอยชมเรื่องสนุก

เอ่ยถึงต่งอ้ายนายหญิงใหญ่ก็เศร้าอาดูรขึ้นมา พูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ต่งกั๋วกงจึงเอ่ยขึ้น

“เมื่อวานเหรินเอ๋อร์เจอผีที่นั่น แม่สามีของเจ้าเป็นห่วงว่าถ้าเข้าออกที่นั่นตามใจชอบอาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นอีก จึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ประตูบานนั้นในเมื่อคุณชายสี่ทำไว้ตอนที่มีชีวิตอยู่ ก็ไม่ต้องไปปิดแล้ว ทิ้งไว้เถิด”

เหยาหลันพยักหน้ารับคำ หันกลับมาส่งสายตาให้อิ๋งชุน อิ๋งชุนก็ล่าถอยออกไปเงียบๆ

เดิมนายหญิงใหญ่คิดจะทำเช่นที่เหยาหลันกล่าว เก็บลูกกุญแจมาเสียเลย คิดไม่ถึงว่าต่งกั๋วกงชิงพูดขึ้นเสียก่อน ไม่สะดวกจะโต้แย้งต่อหน้าทุกคน นางได้แต่แอบถอนใจ ไม่พูดอะไรอีก

เช่นนี้ถูกต้องแล้ว ทำประตูก็เพื่อให้คนเดินเข้าออก เพียงเพราะสำลักจึงเลิกกินอาหารได้อย่างไร ไม่เสียทีที่เป็นต่งกั๋วกง พบเห็นมามาก มีความรู้กว้างขวางเข้าใจเหตุผล ได้ยินคำพูดนี้แล้วหลวนอวิ๋นชูนอกจากรู้สึกซาบซึ้งใจแล้ว ยังชมต่งกั๋วกงอย่างไม่ตระหนี่ถ้อยคำ กลับไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่เจตนาดีอะไร ที่ต่งกั๋วกงทำเช่นนี้เพียงอยากใช้นางเป็นเหยื่อล่อเพื่อแผนการอันยิ่งใหญ่ของเขา

เห็นทุกคนไม่มีใครพูดอะไร หลวนอวิ๋นชูนึกถึงเมื่อวานซวงเอ๋อร์ถูกนายหญิงใหญ่เรียกมาสอบถาม ทั้งคืนไม่ได้กลับไปจึงตั้งใจจะถามถึง ไม่แน่อาจช่วยชีวิตสาวใช้น้อยที่หุนหันบุ่มบ่ามผู้นี้ได้ ขณะจะเปิดปากก็ได้ยินสาวใช้คนหนึ่งเข้ามารายงาน

“เรียนนายท่าน นายหญิงใหญ่ อาหารเช้าส่งมาแล้ว จะตั้งโต๊ะตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”

“ตั้งโต๊ะเถิด”

นายหญิงใหญ่รับคำอย่างไร้เรี่ยวแรง

 

หลังกินอาหารเสร็จต่งกั๋วกงไปที่ห้องหนังสือนอก ทุกคนต่างห้อมล้อมนายหญิงใหญ่กลับไปที่ห้องโถง พากันนั่งลงอีกครั้ง เห็นต่งซิ่น ต่งอี้ ต่งเหอคุณชายน้อยทั้งสามตามเข้ามาด้วย นายหญิงใหญ่จึงเอ่ยถาม

“วันนี้ไม่ต้องไปสำนักศึกษาหรือ ถึงได้พากันตามเข้ามา”

ต่งอี้ต่งเหอชอบความเรียงบทกวี แต่ไรมาก็เลื่อมใสพี่สะใภ้สี่ที่มีความสามารถปราดเปรื่องผู้นี้ วันนี้เห็นนางมาแล้วก็ดีอกดีใจเป็นพิเศษ หลังจากกินอาหารแล้วย่อมต้องตามเข้ามาห้อมล้อม ประหนึ่งผู้ติดตามดาราตัวน้อยสองคน

ต่งซิ่นไม่ยอมถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ย่อมต้องตามน้องชายสองคนเข้ามาด้วย เห็นนายหญิงใหญ่ถามด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียน ใบหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมาทันทีพลางมองไปที่ต่งเหอ เขาไม่มีมารดาตั้งแต่เล็ก อยู่กับนายหญิงใหญ่มาโดยตลอด จึงเกรงกลัวมารดาที่น่าเกรงขามผู้นี้อย่างมาก

ต่งเหอแลบลิ้นให้ต่งซิ่นแล้วหมุนตัวไป เงยหน้าบอกนายหญิงใหญ่

“เรียนท่านแม่ ลูกเห็นว่ายังเช้าอยู่ อยากจะขอให้พี่สะใภ้สี่ช่วยแต่งบทกวีสักบท เอาไปให้ท่านอาจารย์ดู เขาจะได้ไม่เอาแต่วางท่าสูงส่งทั้งวัน ราวกับว่าในจวนแห่งนี้นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครแต่งบทกวีได้อีก!”

แต่งบทกวี! ข้าแต่งเป็นเสียที่ใดกัน กระทั่งตัวอักษรยังไม่รู้จัก

ได้ยินต่งเหอบอกอยากจะขอให้ช่วยแต่งบทกวีจะเอาไปให้อาจารย์ดู หลวนอวิ๋นชูก็ใจเต้นรัวขึ้นมา ปลายจมูกมีเหงื่อผุด ก้มหน้าลงศึกษาพิจารณารองเท้าผ้าด้ายดิบ ดูว่าจะมีบทกวีออกมาสักบทหรือไม่

ฝูหรงแอบดึงแขนหลวนอวิ๋นชูเบาๆ จะให้นางรับปาก

ช่วงนี้พวกนางถูกกดขี่รังแกไม่น้อย วันนี้ถือโอกาสแสดงฝีมือให้ทุกคนได้ประจักษ์ในความสามารถอันยอดเยี่ยมแห่งยุคของนางข่มขวัญคนเหล่านี้เสียบ้าง

ความคิดไม่เลว แต่ฝูหรงไหนเลยจะรู้ว่าสะใภ้สี่ของนางเปลี่ยนดวงวิญญาณไปแล้ว แต่งบทกวีไม่ได้ ยังจะมีความสามารถยอดเยี่ยมแห่งยุคอะไรอีก

เห็นต่งเหอสองตาเปล่งประกาย มองหลวนอวิ๋นชูด้วยความเลื่อมใสศรัทธา นายหญิงใหญ่พลันนึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินพานหมิ่นเล่าว่าเห็นต่งเหอกับหลวนอวิ๋นชูอยู่ด้วยกัน จูงมือกันไม่พูดถึง หลวนอวิ๋นชูยังลูบไล้ใบหน้าของเขาอีกด้วย สีหน้านางจึงเคร่งขรึมลง

“ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน เน้นหนักเรื่องความอ่อนโยนดีงามมีคุณธรรม อิสตรีดูแลครอบครัวด้วยความขยันขันแข็ง ประหยัดมัธยัสถ์ จึงจะเป็นรากฐานที่ถูกต้อง บทกวี โคลงกลอนอะไรนั่นล้วนเป็นเรื่องของบุรุษ พวกเราอิสตรีไม่นิยมสิ่งนี้” แล้วมองไปที่คุณชายน้อยทั้งสาม น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นพิเศษ “จะสายแล้ว พวกเจ้ารีบไปเถิด ระวังจะถูกอาจารย์ลงโทษ”

เห็นมารดาคัดค้านต่งเหอก็ไม่กล้าพูดมาก รีบรับคำ แล้วหันมากะพริบๆ ตาอย่างซุกซนให้หลวนอวิ๋นชู กล่าวลานายหญิงใหญ่และทุกคน เดินตามต่งซิ่นต่งอี้ออกไป

ยังคงเป็นท่านป้าที่ดี รู้ว่านางทำสิ่งไร้ประโยชน์เหล่านี้ไม่เป็น ในช่วงคับขันสำคัญช่วยแก้สถานการณ์ให้นาง เห็นคุณชายน้อยหลายคนถูกไล่ไปแล้ว หลวนอวิ๋นชูก็โล่งใจ เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้นายหญิงใหญ่ ขณะจะเอ่ยปากพูดในใจพลันฉุกคิดขึ้นมา…ไม่ถูก!

เหตุใดฟังคำพูดเหล่านี้แล้วรู้สึกขัดหู คล้ายข้างในรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ มองสบตาที่มีประกายเย็นยะเยียบของนายหญิงใหญ่ รอยยิ้มของหลวนอวิ๋นชูก็แข็งค้างอยู่ในส่วนลึกของดวงตา

“อวิ๋นชู ข้ารู้เจ้าชอบแต่งบทกวีท่องโคลงกลอน เป็นถึงบัณฑิตหญิง ฝ่าบาทก็ทรงอนุญาตให้สตรีเข้าร่วมการชุมนุมกวี แต่นั่นเป็นสิ่งที่สตรีที่ยังไม่ออกเรือนทำกัน” จิบน้ำชาคำหนึ่ง นายหญิงใหญ่กล่าวด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจและแฝงความหมายลึกซึ้ง “เจ้าดูเถอะ มีหญิงที่ออกเรือนแล้วไปทำเรื่องพวกนี้ที่ใดกัน ต่างก็ใช้ชีวิตสงบเสงี่ยมอยู่ในบ้านสามี เวลานี้เจ้าครองพรหมจรรย์ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของบรรพบุรุษก็ไม่ควรออกนอกเรือน จะออกไปก็ต้องปิดบังใบหน้าไม่เผยโฉม กลัวเจ้าจะลำบากใจ ข้าจึงปล่อยตามใจเจ้า แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรตัวเจ้าเองก็ต้องรู้การควรไม่ควรจึงจะดี”

ในเมื่อรู้แล้วว่าต่งกั๋วกงจะใช้หลวนอวิ๋นชูเป็นเหยื่อล่อ นางก็ต้องเคาะตีบ่อยๆ ทั้งนี้จะได้ไม่เป็น ‘ปลาตัวนี้ยังไม่ทันตก เหยื่อก็ถูกกินไปก่อนแล้ว’ ไม่เช่นนั้นนางจะไปถามเอาซุ้มประตูสรรเสริญจากใคร

หลวนอวิ๋นชูสีหน้าแข็งกระด้าง นางไม่รู้การควรไม่ควรอย่างไรหรือ ดวงตาข้างไหนของนายหญิงใหญ่ที่มองเห็นหรือ

ส่วนเรื่องทำตัวสงบเสงี่ยมตนเองเพียงใช้สมองคิด ไม่ได้พูดออกมา นายหญิงใหญ่จะรู้ได้อย่างไรว่านางคิดจะแต่งงานใหม่ ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยม

หรือว่านายหญิงใหญ่เป็นเทพเซียน รู้จักการทำนายทายทัก

หางตาเหลือบไปเห็นสี่จวี๋หน้าซีดขาว หลวนอวิ๋นชูฉุกคิดขึ้นมาได้ หรือว่าเรื่องบังเอิญเจอลู่เซวียนถูกนายหญิงใหญ่รู้เข้า

คิดมาถึงตรงนี้ หลวนอวิ๋นชูก็ตกใจจนเหงื่อเย็นออกท่วมตัว กำลังจะยอมรับผิดและขออภัย ก็เห็นสายตายินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นของทุกคน คิดอีกที พวกนางเพียงเจอกันโดยบังเอิญ นางไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ก็ไม่นับว่าทำเรื่องไม่สมควร ถ้าไปรับผิดเข้า ด้วยนิสัยคนเหล่านี้ไม่รู้ลับหลังจะแอบไปจินตนาการเรื่องสกปรกโสมมออกมามากน้อยเพียงใด

เรื่องเช่นนี้นางไม่อาจยอมรับเด็ดขาด หาไม่…ต่อไปไยมิใช่ไม่มีอิสระ!

“ท่านป้า สะใภ้อยู่เป็นม่าย รู้ดีว่าฐานะของตนแตกต่างจากผู้อื่น ทำอะไรก็รอบคอบระมัดระวัง ทุกวันตัวสั่นงันงก คล้ายเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ กลัวมากว่าจะทำผิด ทำให้ท่านต้องขายหน้า สะใภ้ไม่รู้จริงๆ ว่าทำอะไรผิดตรงที่ใด ขอท่านป้าโปรดให้คำสั่งสอนด้วยเจ้าค่ะ”

ทุกคนเผยสีหน้าแตกต่างกันไป ต่างหันมามองหลวนอวิ๋นชูโดยไม่ได้นัดหมาย

คนโบราณให้ความสำคัญกับความกตัญญู ปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี แม่สามีอบรมสั่งสอนต่อหน้าธารกำนัล เจ้าก็ต้องฟัง ไม่ผิดก็ต้องรับผิด ขอให้แม่สามีลงโทษ เปลี่ยนคำพูดใหม่ก็คือต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อการอบรมสั่งสอนของแม่สามี มีความผิดก็ต้องแก้ไข ไม่มีความผิดก็ต้องนำมาตักเตือนตนเองไม่ให้ทำผิด

สมองของบัณฑิตหญิงผู้นี้ใช่ถูกถ้อยคำในบทกวีโคลงกลอนยัดใส่ไว้จนล้น กลายเป็นแป้งเปียกไปแล้วหรือไม่ ถึงกับกล้าตั้งกระทู้ถามแม่สามีต่อหน้าธารกำนัล

เห็นหลวนอวิ๋นชูสีหน้าเต็มไปด้วยการไม่ได้รับความเป็นธรรม นึกถึงความใกล้ชิดเอาใจใส่ของนาง นายหญิงใหญ่ก็ใจอ่อนลงไปหลายส่วน แอบนึกเสียใจที่ตนใช้คำพูดหนักเกินไป ขณะคิดจะกลบเกลื่อนให้ลงเอยด้วยดี หลวนอวิ๋นชูกลับตั้งกระทู้ถามนางต่อหน้าผู้คน ประหนึ่งว่านางที่เป็นเจ้าบ้านฝ่ายหญิงผู้นี้พูดจาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น

อยู่ต่อหน้าอี๋ไท่ไท่หลายคน ถ้านางไม่ระบุความผิดหนึ่งสองสามออกมา ต่อไปเจ้าบ้านฝ่ายหญิงเช่นนางยังจะมีอำนาจบารมีอีกหรือ

แม้จะรู้ว่าต่งเหอเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ดึงดันจะบอกว่าเขากับหลวนอวิ๋นชูมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือต่อกันออกจะฝืนความเป็นจริงไปสักหน่อย แต่นายหญิงใหญ่ยังคงทำหน้าเคร่งขรึม พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างเยียบเย็น

“ได้ยินหมิ่นเอ๋อร์บอก เคยเห็นเจ้ากับคุณชายเจ็ดจับไม้จับมือกัน มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่”

หลวนอวิ๋นชูงงงัน พลันนึกไปถึงหลายวันก่อนตอนไปหาท่านน้าหลวน ระหว่างทางเดินผ่านสวนเล็กๆ แห่งหนึ่ง บังเอิญเจอต่งเหอน้อยที่เดินพลัดหลงกับแม่นม เห็นเขาปากหวาน ทั้งน่ารักน่าเอ็นดูจึงบีบแก้มเล็กๆ นุ่มนิ่มของเขาไปทีหนึ่ง ตอนหลังได้ยินเขาบอกว่าปวดท้องจึงพาเขาไปห้องปลดทุกข์ และพบพานหมิ่นเข้าพอดี

หลวนอวิ๋นชูมองพานหมิ่นอย่างเฉยชา อยากจะถีบอีกฝ่ายสักสองที ยังเป็นคนอยู่หรือไม่ ต่งเหอเป็นเด็กน้อยอายุห้าขวบ ยังไม่สูงเลยด้วยซ้ำ นั่นก็เรียกว่าบุรุษหรือ!

เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะจูงสุนัขตัวผู้เดินเล่นในจวน จะถือว่าจับไม้จับมือ มีความสัมพันธ์คลุมเครือไม่ชัดแจ้งหรือไม่

เห็นหลวนอวิ๋นชูมองมา พานหมิ่นพลันยืดอก ถูไม้ถูมือ ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะมีเรื่อง ก่อนหน้านี้เพิ่งจะเสียหน้า ต้องเรียกศักดิ์ศรีกลับคืนมา ต่งเหอแม้จะยังเด็ก แต่ก็เป็นคุณชายคนหนึ่ง!

นางไม่เชื่อว่าหลวนอวิ๋นชูจะกล้าพูดต่อหน้าทุกคนว่าเขาไม่ใช่บุรุษ

หลวนอวิ๋นชูอดท้อแท้ใจไม่ได้ พูดขึ้นมาแล้วนางก็จับจูงมือกับต่งเหอจริง ถ้าไม่เรียกจับไม้จับมือจะเรียกอะไร

ต่งเหอยังเล็กก็จริง แต่ไม่อาจบอกว่าเขาไม่ใช่บุรุษ

ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวความคิดก็หมุนวนไปมาหลายรอบ รู้ทั้งรู้ว่าพานหมิ่นใส่ร้ายป้ายสีอย่างโจ่งแจ้ง หลวนอวิ๋นชูกลับคิดหาวิธีโต้แย้งไม่ออก ร้อนใจจนมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาทั่วร่าง

“อย่างไรเล่า สะใภ้สี่กล้าพูดว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้?” รอจนทนไม่ไหว พานหมิ่นลงมือตัดกำลังคน จู่โจมด้วยหมัดที่หนัก ปิดกั้นข้ออ้างทั้งหมดที่หลวนอวิ๋นชูจะคิดออกมาได้ “หรือคิดจะบอกว่าคุณชายเจ็ดไม่ใช่บุรุษ”

พานหมิ่นยืดอกเชิดหน้าราวกับไก่ชน ท่าทางเหี้ยมหาญดุดัน ทำให้หลวนอวิ๋นชูนึกขึ้นได้ว่าวันนั้นนางจับชีพจรให้ต่งเหอและเจอพานหมิ่นเข้าพอดี อีกฝ่ายก็ทำสีหน้าท่าทางเช่นนี้ ความคิดผุดวาบขึ้นมา นางพลันคิดหาวิธีได้แล้ว

“ท่านป้าไม่พูด สะใภ้ก็ลืมไปแล้วจริงๆ” หลวนอวิ๋นชูคลายสีหน้าที่โกรธโมโห แสดงท่าทีคล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้ “ท่านป้าอย่าเพิ่งใจร้อน ขอให้สะใภ้ถามอะไรอี๋ไท่ห้าสักสองสามคำถามก่อน” พูดจบไม่รอให้นายหญิงใหญ่รับปากก็มองไปที่จงอี๋ไท่ “คุณชายเจ็ดอยู่ข้างกายท่านมาโดยตลอด ท่านได้สังเกตหรือไม่ เขากินเก่งมาก แต่กลับไม่อ้วน รูปร่างยังเตี้ยกว่าคุณชายหกเสียอีก”

จงอี๋ไท่หรืออี๋ไท่ห้าจงอิ่งเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดคุณชายหกคุณชายเจ็ดฝาแฝดน้อยคู่นี้ นางก็มีความคิดไม่ต่างจากหลวนอวิ๋นชู ต่งเหอเพิ่งอายุห้าขวบ ยังเป็นเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม นายหญิงใหญ่กับพานหมิ่นตั้งกระทู้ถามอย่างฝืนความเป็นจริงเช่นนี้ ชัดเจนว่าไม่มีเรื่องก็หาเรื่อง สร้างความลำบากใจให้กับนาง คิดว่าคงเป็นเพราะต่งกั๋วกงอยู่ที่ห้องนางติดต่อกันถึงสามคืน นายหญิงใหญ่ริษยาแล้ว จึงได้อาศัยเรื่องนี้ระบายโทสะ

นางก็อยากจะเอ่ยปากโต้แย้งแทนต่งเหอสักหลายคำ แต่ก็เป็นเช่นหลวนอวิ๋นชู คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่อาจเอาจริงเอาจัง ยืนอยู่ตรงนั้นในใจได้ไปทักทายถามสารทุกข์สุกดิบบรรพบุรุษทั้งสิบแปดชั่วคนของนายหญิงใหญ่มาจนทั่วถึงแล้ว ขณะกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่นั้น นึกไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูจะเอ่ยถามขึ้นมา งงงันอยู่พักหนึ่งสายตานางก็เบนไปที่นายหญิงใหญ่

หลวนอวิ๋นชูกลัวนายหญิงใหญ่จะไม่อนุญาตจึงชิงถามขึ้นก่อน จงอี๋ไท่จะอย่างไรก็เป็นบ่าว ไม่มีความเฉียบขาดเช่นนางที่กล้าข้ามหน้าข้ามตานายหญิงใหญ่

“ในเมื่ออวิ๋นชูถาม เจ้าก็พูดเถิด”

“สะใภ้สี่กล่าวได้ไม่ผิด หลายเดือนมานี้ในแต่ละมื้อคุณชายเจ็ดกินมากกว่าคุณชายหก แต่รูปร่างสูงสู้เขาไม่ได้ ท่านหมอบอกเด็กห่วงเล่น อาหารจึงย่อยเร็ว ทั้งร่างกายกำลังเจริญเติบโตย่อมกินเก่ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

“เช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว” หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะ “คุณชายเจ็ดใช่ปวดท้องอยู่บ่อยๆ หรือไม่”

“ใช่ๆ เป็นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว” จงอี๋ไท่พยักหน้าติดๆ กัน “ตอนแรกก็ว่ากระทบถูกความเย็น กินยาไปหลายเทียบก็ยังเป็นอยู่เช่นนั้น ท่านหมอก็บอกเด็กร่างกายกำลังเติบโต จะมีปวดท้องบ้าง” จงอี๋ไท่ก้าวมาข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง ค้อมตัวลงถาม “สะใภ้สี่ดูออกว่าคุณชายเจ็ดเป็นอะไรหรือไม่”

“คุณชายหกคุณชายเจ็ดเป็นฝาแฝด ต่างกำลังเติบโต ท่านเคยได้ยินคุณชายหกร้องปวดท้องหรือไม่”

“นี่…” จงอี๋ไท่ชะงักอึ้ง พลันตระหนักขึ้นมา “นี่ไยมิใช่บอกว่า คุณชายเจ็ดป่วยหรอกหรือ”

หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะ แต่กลับไม่ได้ตอบ หันไปกล่าวกับนายหญิงใหญ่แทน

“ท่านป้า วันนั้นสะใภ้เจอคุณชายเจ็ดที่เดินพลัดกับแม่นมจริงเจ้าค่ะ แต่หาใช่เช่นสะใภ้สามกล่าว ว่าจับมือจับไม้กัน แต่เป็นเพราะสะใภ้ได้ยินคุณชายเจ็ดบอกว่าปวดท้อง สะใภ้จึงจับชีพจรให้เขา”

“เหลวไหล! เจ้าหาใช่หมอ จะจับชีพจรเป็นได้อย่างไร!”

คิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูจะหาหนทางอื่น หันคมกระบี่ไปอีกทาง เล่นลิ้นเช่นนี้ พานหมิ่นใจร้อนพลุ่งพล่านขึ้นมาเป็นคนแรก

ทุกคนต่างก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ประการแรกปากไม่ไวเท่าพานหมิ่น ประการที่สองเรื่องไม่เกี่ยวกับตน ย่อมมีท่าทียืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมองฝั่งตรงข้ามไฟไหม้ ปรารถนาให้ไฟยิ่งลุกโหมเท่าไรยิ่งดี

จงอี๋ไท่ห่วงพะวงเรื่องของต่งเหอ หลวนอวิ๋นชูก็พูดถึงอาการของต่งเหอได้อยากถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน จึงเชื่อนางตั้งแต่แรกแล้ว เห็นพานหมิ่นทำเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วอย่างเอือมระอา

“สะใภ้สามอย่าเพิ่งร้อนใจ ฟังสะใภ้สี่พูดให้จบก่อน ค่อยถามก็ไม่สาย” จงอี๋ไท่กล่าวแล้วหันมาถามหลวนอวิ๋นชู “คุณชายเจ็ดเป็นอะไรหรือ หนักหนาหรือไม่”

วันนั้นได้ยินต่งเหอบ่นว่าปวดท้อง หลวนอวิ๋นชูจึงจับชีพจรให้เขาจริง ทั้งถามถึงเรื่องการกินการอยู่ตามปกติ วินิจฉัยขั้นแรกว่าเป็นพยาธิ ครั้นแล้วจึงตรวจดูอุจจาระของเขาเป็นพิเศษ แล้วก็พบว่ามีเศษปล้องของพยาธิ จึงแน่ใจว่าต่งเหอมีพยาธิตัวตืด เดิมคิดจะพาเขาไปหานายหญิงใหญ่ แต่บังเอิญเจอพานหมิ่นพอดี พอเจอกันก็พูดจากระทบกระเทียบเสียดสี และประจวบเหมาะกับที่แม่นมของต่งเหอกับสาวใช้ตามมาเจอ เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้ว่าเป็นเพราะต่งเหรินชอบหลวนอวิ๋นชู สะใภ้สองคนนี้แต่ไรมาก็มีข้อขัดแย้งพันพัวกันยุ่ง กลัวจะก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท จึงพาต่งเหอหลบไปก่อน

ถูกยั่วยุจนเดือดดาลแน่นอก พอมาถึงที่ท่านน้าหลวน หลวนอวิ๋นชูก็ลืมเรื่องนี้ไปจนหมดสิ้นแล้ว

เมื่อเรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง นึกถึงท่าทางแข็งแรงน่ารักของต่งเหอ หลวนอวิ๋นชูก็ใจอ่อนยวบ อยากจะรักษาให้เขาโดยเร็ว ไม่หน่วงเหนี่ยวเวลาจนเสียการ กลัวว่าสมัยโบราณยังไม่มีความรู้เรื่องพยาธิตัวตืด ชั่งน้ำหนักอยู่พักใหญ่แล้วเอ่ยขึ้น

“ในท้องของคุณชายสี่มีหนอน เอาออกก็หายแล้ว ไม่ร้ายแรงอะไร”

ในสมัยปัจจุบันพยาธิตัวตืดไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร

“อะไรนะ! สะใภ้สี่บอกว่าคุณชายเจ็ดถูกหนอนพิษหรือ” จงอี๋ไท่สีหน้าตื่นตระหนก “เป็นใคร ใครกันจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ คิดจะทำร้ายคุณชายเจ็ดได้”

พูดพลางจงอี๋ไท่ก็กวาดสายตาคมกริบไปรอบหนึ่ง บรรยากาศรอบด้านตึงเครียดขึ้นมาทันที แม้แต่นายหญิงใหญ่ก็ขยับนั่งตัวตรง มองจ้องหลวนอวิ๋นชูนิ่ง กลัวมากว่าดีไม่ดีจะต้องมาแบกรับความผิดเปล่าๆ

“หนอนพิษ?”

หลวนอวิ๋นชูถามขึ้นมาด้วยความฉงน จากนั้นก็ตื่นรู้ขึ้นมา จงอี๋ไท่เข้าใจผิดแล้ว กล่าวกันว่าทางดินแดนตะวันตกมีการใช้ไสยเวทหนอนพิษ สามารถเอาหนอนใส่เข้าไปในร่างกายของคนได้

“อี๋ไท่ห้าเข้าใจผิดแล้ว คุณชายเจ็ดไม่ได้ถูกคนทำร้าย แต่แค่กินของไม่สะอาดเข้าไป จึงเกิดหนอนขึ้นในท้อง”

“กินของไม่สะอาดเข้าไป” สายตาของจงอี๋ไท่ออกจะแข็งค้าง “เหตุใดจึงกลายเป็นหนอนไปได้เล่า”

“น้องสาวก็อย่าได้ยินเสียงลมก็คิดว่าฝนตกสิ” ไม่ใช่หนอนพิษก็ดีแล้ว ได้ยินหลวนอวิ๋นชูบอกต่งเหอไม่ใช่ถูกคนทำร้าย อี๋ไท่สามซุนเฟิงอวิ๋นก็ใจกล้าขึ้นมา “ในเมื่อน้องสาวเป็นกังวล พรุ่งนี้ก็ให้หมอมาตรวจดูแล้วกัน มีคำกล่าวว่าไม่เป็นหมอมาสามชั่วคนไม่กินยาของเขา สะใภ้สี่มาจากตระกูลปัญญาชน บรรพบุรุษไม่มีความรู้ด้านการแพทย์”

ความหมายนอกเหนือจากคำพูดคือหลวนอวิ๋นชูไม่รู้วิชาแพทย์ อย่าเชื่อนางง่ายๆ พานหมิ่นก็พูดอย่างคล้อยตาม

“สุภาษิตกล่าวไว้ได้ดี ไม่ว่าเรื่องอะไรถ้าห่วงมากเกินไปจิตใจก็จะสับสนว้าวุ่น ท่านเป็นห่วงคุณชายเจ็ด ดังนั้นจิตใจจึงสับสนยุ่งเหยิง คิดดูว่าท่านหมอที่จวนของเราเชิญมาเหล่านั้น อย่าว่าแต่สามชั่วคนเลย มีบรรพบุรุษของท่านหมอคนใดบ้างไม่ได้ทำอาชีพหมอ สะใภ้สี่เป็นบัณฑิตหญิง อาจจะเคยอ่านตำราแพทย์มาหลายเล่ม แต่งบทกวียังพอได้ แต่ตรวจรักษาโรคก็…”

คำว่า ‘ก็’ คำสุดท้ายลากเสียงจนยาว เจตนาในการดูถูกเอ่อท้นออกมาในน้ำเสียง

เห็นนายหญิงใหญ่ก็ผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย ทุกคนต่างเออออตามคนละคำสองคำ โลหิตที่ร้อนระอุอยู่เต็มอกของหลวนอวิ๋นชูเย็นเยียบลงทันที ใช่แล้ว จวนกั๋วกงมีเงินมีอำนาจ หมอประเภทใดบ้างที่เชิญมาไม่ได้ อีกทั้งสำหรับนายหญิงใหญ่ ความรับผิดชอบในฐานะมารดาย่อมสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของต่งเหอ ไม่ว่าอย่างไรความเป็นความตายของต่งเหอก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนายหญิงใหญ่

“สะใภ้สามกล่าวได้ถูกต้อง” หลวนอวิ๋นชูยิ้มน้อยๆ “อี๋ไท่ห้าท่านไม่ต้องเป็นห่วง ตอนเด็กข้าเพียงอ่านหนังสือการแพทย์ไม่กี่เล่ม จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าในหนังสือบอกไว้เช่นนี้ ท่านไม่สู้เชิญหมอมาตรวจให้ละเอียด อาการป่วยของคุณชายเจ็ดไม่อาจรักษาล่าช้า ถ้าหนอนโตกว่านี้ อีกหน่อยจะผูกเป็นปมอยู่ในท้อง คุณชายเจ็ดก็จะทุกข์ทรมานแล้ว”

เห็นหลวนอวิ๋นชูคล้อยตามคำพูดของนาง พานหมิ่นประหลาดใจและไม่ได้พูดอะไรอีก

“หนอนผูกเป็นปม?” ต่งฮว่าที่ไร้เดียงสาแหงนหน้าครุ่นคิด หน้าตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “นั่นจะเป็นแบบใด ข้านึกภาพไม่ออกเลย”

“ผูกปมก็คือหนอนขดตัวเป็นก้อน หรือหลายตัวพันขดอยู่ด้วยกัน เกาะกันเป็นกลุ่มก้อน” หลวนอวิ๋นชูสีหน้าสงบอ่อนโยน ยกมือขึ้นกำเป็นหมัดเปรียบให้ดู “อืม ขนาดราวกำปั้น อุดอยู่ในลำไส้ เจ็บปวดยากจะทนไหว ถ้าหนอนเหยียดตัวออก ก้อนปมก็จะหายไป ความเจ็บปวดก็จะเบาลง จากนั้นก็จะปรากฏขึ้นอีก…พอเป็นเช่นนี้ ในท้องก็จะปรากฏก้อนปมขึ้นมาเป็นระยะ”

“แล้ว…น้องสาวเคยสังเกตหรือไม่” ซุนอี๋ไท่พลันนึกขึ้นมาได้ ถามอย่างเอาใจใส่ “ตอนคุณชายเจ็ดปวดท้อง มีก้อนปมหรือไม่”

ขอร้องล่ะ ก้อนปมที่นางพูดถึงจะปรากฏในวันหน้า ไม่ใช่ตอนนี้!

หลวนอวิ๋นชูรู้สึกไม่พอใจในคำพูดของซุนอี๋ไท่อย่างมาก ไม่รู้นางฟังไม่เข้าใจจริงหรือเจตนาบิดเบือน หันไปมองนางแวบหนึ่ง กลับไม่ได้พูดอะไร ในเมื่อผู้อื่นไม่เชื่อเจ้าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์

จงอี๋ไท่ครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วสั่นศีรษะ

“ดูเหมือนไม่มี ถ้ามีข้าคงร้อนใจแต่แรกแล้ว ไหนเลยจะเชื่อคำพูดที่บอก ‘ร่างกายกำลังเติบโต’ ”

เห็นอยู่ว่าซุนอี๋ไท่ย้ายดอกทาบกิ่งเจตนาบิดเบือนคำพูดของหลวนอวิ๋นชู แต่ทุกคนต่างปิดปากแน่น มีคนมองเพดานห้อง มีคนมองพื้น แต่ไม่มีคนออกมาแก้ไข พานหมิ่นร้อง ‘เฮอะ’ ออกมาคำหนึ่งพลางเบ้ปาก หลวนอวิ๋นชูเพียงทำเป็นไม่เห็น นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเฉยเมย

พักนี้ต่งเหอปวดท้องบ่อยขึ้นทุกที จงอี๋ไท่นึกสงสัยคำบอกกล่าวที่ว่า ‘ร่างกายกำลังเติบโต’ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สุภาษิตว่าไว้มีโรคก็เที่ยวหาหมอไปทั่ว ได้ยินหลวนอวิ๋นชูพูดมาเช่นนี้ จึงอยากจะขอให้นางช่วยรักษา แต่เห็นทุกคนต่างขัดขวาง ก็ไม่กล้ายืนกราน แต่เนื่องจากมีความคิดค้างคาอยู่ในใจ สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นหม่นหมองวิตกกังวล

ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินมาว่าต่งเหอชอบปวดท้อง แต่จงอี๋ไท่ไม่ได้มารายงานอย่างเป็นทางการ นายหญิงใหญ่จึงเพียงทำเป็นไม่ได้ยิน บุตรชายของนางไม่อยู่แล้ว แล้วเพราะเหตุใดบุตรชายของผู้อื่นกลับสบายดี ต่งเหอผู้นั้นตายไปก็ดี เพียงแต่อย่าถูกหนอนพิษหรือถูกวางยาพิษอะไร ทำให้นางต้องถูกตำหนิว่าปกครองบ้านไม่เข้มงวด ควบคุมดูแลได้ไม่เหมาะสมก็พอ

นางมองหลวนอวิ๋นชูอย่างยากจะเข้าใจแวบหนึ่ง ในประตูคฤหาสน์ใหญ่หลังนี้ ถึงจะเป็นคุณชายที่ถือกำเนิดจากอนุก็สูงศักดิ์ยิ่ง ไม่สบายใช่ว่าใครก็สามารถตรวจรักษาได้ ยายิ่งไม่อาจใช้ส่งเดช เรื่องที่คนอื่นอยากจะหลบยังแทบไม่ทัน หลวนอวิ๋นชูกลับพุ่งเข้าใส่ ถ้าให้หลวนอวิ๋นชูสอดมือเข้ามาจริง เกิดต่งเหอเป็นอะไรไป แม้แต่นางก็ยากจะปัดความรับผิดชอบได้

นายหญิงใหญ่ลืมเรื่องที่หลวนอวิ๋นชูถูกใส่ร้ายป้ายสีในช่วงก่อนหน้านี้ไปแล้ว เพียงอยากจะอบรมอีกฝ่ายสักหลายคำ แต่ติดที่ทุกคนยังอยู่ตรงหน้า ทั้งกลัวจะถูกตราหน้าว่าเป็นมารดาที่ใจร้าย จึงจำต้องล้มเลิกความคิด วางถ้วยชาในมือลง สายตาหันไปทางจงอี๋ไท่

“เหอเอ๋อร์ปวดท้องบ่อย เหตุใดอี๋ไท่ห้าจึงไม่บอกให้รู้แต่แรก หากไม่ใช่อวิ๋นชูเอ่ยขึ้น ข้าก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว เรื่องนี้ถ้าปล่อยทิ้งไว้ เกิดมีอันตรายจะทำอย่างไร คนอื่นไม่รู้จะเข้าใจว่าข้าผู้เป็นมารดาไม่ให้รักษา”

เสียงไม่ดังแต่เต็มไปด้วยการตำหนิกล่าวโทษ ประหนึ่งมารดาผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาผู้หนึ่ง

ต่งเหอปวดท้องไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมาวันสองวัน มีอยู่ครั้งหนึ่งยังถูกสี่หลันไปพบเข้า ครานี้เหตุใดจึงบอกไม่รู้แล้วเล่า ฟังคำพูดนี้แล้วจงอี๋ไท่รู้สึกอึดอัดคับข้องในอก แทบอยากจะเข้าไปฉีกหน้ากากจอมปลอมนี้ออกมา แต่นางถือดีว่าได้รับความโปรดปรานจากต่งกั๋วกง หลายครั้งที่ตามท่านหมอมาก็ไม่เคยรายงานอย่างเป็นทางการ ครั้งนี้ถูกจับผิดได้จริงฟันขาวจึงขบกันแน่น จงอี๋ไท่กล่าวอย่างนอบน้อม

“ล้วนเป็นผู้น้อยที่ไตร่ตรองไม่รอบคอบ ท่านหมอบอกไม่เป็นไร จึงไม่กล้ามารบกวนท่าน ทำให้ท่านต้องเป็นห่วง”

“อวิ๋นชูจะอย่างไรก็อายุยังน้อย ทั้งไม่เคยเรียนรู้วิชาการแพทย์ อาจพูดจาไม่ถูกต้องไปบ้าง อาการป่วยของเหอเอ๋อร์ไม่อาจปล่อยทิ้งไว้ ตอนเที่ยงเลิกเรียนแล้ว ก็ให้หมอมาดูหน่อยเถอะ จัดยาให้กินสักหลายเทียบ ไม่ต้องเสียดายเงินทอง ค่ารักษาทั้งหมดเบิกจากบัญชีใหญ่”

น้ำเสียงรักและเมตตาเต็มไปด้วยความห่วงใย จงอี๋ไท่ก้มหน้าอย่างยินยอมคล้อยตามแล้วรับคำ จากนั้นก็ตำหนิตนเองอีกเล็กน้อย ก่อนถอยไปอยู่ด้านข้างเงียบๆ

“แยกย้ายกันไปเถิด ข้าก็ล้าแล้ว”

ในน้ำเสียงเจือความอ่อนล้าอยู่หลายส่วน นายหญิงใหญ่เกาะแขนสี่จู๋ลุกขึ้นยืน…

 

“สะใภ้สี่ โปรดหยุดก่อน”

เดินลงบันไดหินศิลาเขียวลงมา จงอี๋ไท่ยกมือขึ้นบังแสงแดดที่แยงตา หรี่ตาลงพลางเรียกหลวนอวิ๋นชูไว้

“เป็นเรื่องแปลกใหม่จริงๆ” พานหมิ่นที่เดินตามออกมาราวกับกลัวคนอื่นจะไม่ได้ยิน โก่งคอพูดเสียงแหลม “บัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคผู้สูงส่ง ที่แท้อยู่ในห้องหับก็อ่านหนังสือ ‘ชั้นต่ำ’ มานานแล้ว มิน่าเล่า จึงได้แขนเสื้อยาวเชี่ยวชาญการร่ายรำอยู่ในหมู่ปัญญาชน ทำอะไรก็คล่องแคล่วราบรื่นไปเสียทุกอย่าง!”

แพทย์เป็นหนึ่งในเก้าอาชีพชั้นต่ำ พานหมิ่นจงใจเว้นคำว่า ‘เก้า’ ไป เพียงหยิบชั้นต่ำมาสองคำ ในคำพูดนี้จึงมีความขัดหูเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง ประหนึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนอันคุกรุ่น จงอี๋ไท่เห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบปิดปาก มองหลวนอวิ๋นชูอย่างขอโทษแวบหนึ่ง แล้วเกาะแขนสาวใช้รีบเดินผละไป

ไม่มีความเดือดดาล หลวนอวิ๋นชูมองพานหมิ่นอย่างเฉยเมย ในใจมีความหดหู่ผิดหวังผุดขึ้นมาเป็นระลอกริ้ว นางชอบวิชาการแพทย์ นี่เป็นความสามารถเพียงอย่างเดียวที่นางมีในโลกแห่งนี้ ทว่าหมอในแคว้นหลวนกลับเป็นอาชีพที่ต่ำต้อยอาชีพหนึ่ง ถูกมองเป็นเก้าอาชีพชั้นต่ำ ถ้าไม่ใช่เพราะชีวิตความเป็นอยู่ถูกบีบบังคับก็ไม่มีใครเปลี่ยนมาทำอาชีพหมอ ทั้งนี้บรรพบุรุษจะได้ไม่ถูกดูถูกเหยียดหยาม

วันหน้าเมื่อไปจากจวนกั๋วกงต้องพึ่งพาตนเอง นางควรเป็นหมอดีหรือไม่

ถ้าไม่เป็นหมอนางที่ไม่มีความสามารถอื่นใดจะหาเลี้ยงชีวิตได้อย่างไร

“พี่สะใภ้สามกล่าวผิดแล้ว” ต่งซูขยับเข้ามารวมกลุ่มด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เกาะหัวไหล่พานหมิ่นช่วยแก้คำพูดให้ “แม้หมอจะต่ำต้อย แต่ไม่ใช่ใครก็เรียนรู้ได้!”

“ใช่ๆๆ” พานหมิ่นผงกศีรษะทันที หัวเราะจนร่างกายสั่นไหว “น้องซูพูดถูก แต่ก็มีคนไม่รู้จักท้องฟ้าสูงพื้นดินหนาไม่ว่าอาชีพใดล้วนอยากยื่นมือเข้าไป ใครไม่รู้จะเข้าใจว่าเป็นผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมแห่งยุค เฮอะ! ไม่รู้จักส่องคันฉ่องดูตนเองเสียบ้าง”

“นั่นสิ ไม่กลัวจะทำให้จวนกั๋วกงต้องอับอายขายหน้าหรือ”

“หนังสือวิชาการแพทย์แม้จะไม่นำไปสอนในชั้นเรียน สะใภ้สี่กลับสามารถอ่านเข้าใจและนำมาใช้ได้จริง เกรงว่าคนบางคนกระทั่งอ่านก็ยังอ่านไม่เข้าใจ ตนเองไม่มีความสามารถก็ยังมาหัวเราะเยาะคนอื่น” ฝูหรงกล่าวขึ้นพลางมองไปที่สี่จวี๋ “เช่นนี้เรียกอะไรนะ”

สี่จวี๋ก็กล่าวยิ้มๆ “เช่นนี้เรียกอยากกินองุ่นแต่ไม่ได้กิน จึงบอกองุ่นเปรี้ยว…”

“พวกต่ำช้ากีบเท้าเล็กมาจากที่ใด” เนื่องจากไม่กล้าว่าสี่จวี๋ พานหมิ่นจึงชี้หน้าฝูหรงแล้วด่าว่า “พวกเจ้านายคุยกัน มีที่ให้เจ้าสอดปากคำหรือ”

เสียงแหลมเล็กดังก้องไปไกล หญิงรับใช้สูงวัยที่เดินไปมาอยู่บริเวณข้างกำแพงต่างหยุด ชะเง้อคอยาวมองมาทางด้านนี้ เหยาหลันที่เพิ่ง ‘คลานออกมาราวกับหอยทาก’ เห็นแล้วก็เดินเข้ามาดึงรั้งพานหมิ่นกับต่งซูไว้

“ทั้งสองกำลังทำอะไร เมื่อวานข้าเพิ่งได้ใบชาปี้หลัวชุนมาจำนวนหนึ่ง ไปชิมที่เรือนข้ากัน ช่วยคลายความร้อนในร่างกาย”

“ปี้หลัวชุนมีอะไรน่าดื่ม” ต่งซูสะบัดชายแขนเสื้อ เกาะแขนชิวหงเดินจากไปไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง “ยังสู้น้ำค้างกุหลาบที่ห้องข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”

เหยาหลันยิ้มๆ ก่อนหันมาเบ้ปากให้หลวนอวิ๋นชู

บทที่สิบ

“พวกเราไม่ได้ทำเรื่องผิดบาปอะไร วันนี้ท่านน่าจะโต้กลับสะใภ้สามให้หนักๆ” เห็นหลวนอวิ๋นชูขึ้นไปบนเตียงเตาแล้ว ฝูหรงก็หยิบหมอนอิงใบใหญ่มาให้นางพิงหลัง “ไม่อาจเอาแต่ปล่อยให้พวกนางข่มเหงเช่นนี้”

“มีอะไรต้องโมโห” หลวนอวิ๋นชูเอนพิงไปข้างหลัง หาตำแหน่งที่สบาย “สุนัขกัดคนทีหนึ่ง คนยังจะกัดสุนัขตอบกลับไปได้หรือ”

สี่จวี๋งงงัน “นั่นไยมิใช่ขนเต็มปากหรือเจ้าคะ” ก่อนหัวเราะเบาๆ “จะต้องเป็นเพราะเมื่อวานคุณชายสามถูกผีหลอก บังเอิญท่านก็ไปที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยนมา นางไม่รู้ไปฟังใครยุแยงมา ถึงได้พุ่งเป้ามาที่ท่าน” สี่จวี๋หมุนตัวไปรินน้ำชาถ้วยหนึ่ง ยกมาที่ข้างเตียงเตา “ตนเองคุมคุณชายสามไม่อยู่ รู้จักแต่หาเรื่องคนอื่น แม้แต่นายหญิงใหญ่ก็ไม่พอใจนาง ถ้าไม่ใช่นายท่านพึ่งพากำลังเงินของคฤหาสน์สกุลพานไปเสียทุกเรื่อง ด้วยความประพฤติและคุณธรรมของนาง คงถูกหย่าไปนานแล้วเจ้าค่ะ”

รู้ว่าตนเองพลั้งปากเสียงของสี่จวี๋พลันหยุดชะงัก นางตรวจดูระดับความร้อนของน้ำชา แล้วยื่นส่งให้หลวนอวิ๋นชู

“อุ่นกำลังดีเจ้าค่ะ”

เอ่ยถึงเรื่องต่งเหรินตกน้ำ ฝูหรงมีความลับในใจที่ไม่อาจบอกคนอื่นได้ ได้แต่ทุบขาให้หลวนอวิ๋นชูเงียบๆ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา

“อืม” จิบน้ำชาไปคำหนึ่ง หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะด้วยความพอใจ “กลิ่นหอมกรุ่น รสชาติเข้มข้นนุ่มนวล”

“นี่เป็นชาหลงจิ่งชั้นเลิศที่บ่าวเสาะหามาจากเรือนนายหญิงใหญ่โดยเฉพาะ เป็นใบชาหลวงที่ฝ่าบาทพระราชทานมาให้ ดีกว่าใบชาปี้หลัวชุนมากนัก” แล้วเอ่ยเสริมอีกคำ “ใครอยากดื่มชาปี้หลัวชุนกัน!”

สี่จวี๋ยังคงขุ่นเคืองใจที่เหยาหลันไม่ได้เชิญหลวนอวิ๋นชูไปดื่มชาปี้หลัวชุน

ฝูหรงก็หัวเราะเบาๆ

“หือ?” เห็นบนเตียงเตามีแผ่นผ้าเรียบแบนเกลี้ยงเกลาชิ้นหนึ่งซึ่งทำจากผ้าฝ้ายติดกันหลายชั้นวางอยู่ หลวนอวิ๋นชูหยิบขึ้นมาด้วยความอยากรู้ “นี่คืออะไรหรือ”

“นี่ใช้สำหรับทำพื้นรองเท้า เตียงในห้องบ่าวไม่ร้อน จึงเอาออกมาอบที่นี่เจ้าค่ะ” ฝูหรงมองหลวนอวิ๋นชูด้วยความแปลกใจ ใบหน้ามีแววกังวล “สะใภ้สี่ แม้แต่ของสิ่งนี้ก็…ต้องทดสอบบ่าว”

คงไม่ใช่กระทั่งสิ่งเหล่านี้นางก็ลืมไปแล้วกระมัง อยู่ต่อหน้าสี่จวี๋ ฝูหรงไม่อยากเปิดเผยเรื่องนี้ออกมา

“อ้อ…”

ชาติที่แล้วหลวนอวิ๋นชูยังไม่เคยเห็นของสิ่งนี้จึงพยักหน้า มุมปากอมยิ้มน้อยๆ

“แผ่นผ้าหนาขนาดนี้ยังทำให้เรียบเสมอกันได้เพียงนี้” สี่จวี๋รับแผ่นผ้ามากดๆ ดูก่อนเอ่ยชื่นชม “ฝูหรงฝีมือดียิ่ง”

“นี่ใช้ผ้าเก้าชั้น พื้นรองเท้าผ้าด้ายดิบที่ในจวนส่งมาให้บางเกินไป สะใภ้สี่ร่างกายอ่อนแอ กลัวความเย็น ข้าถึงได้ทำขึ้นเป็นพิเศษ” ยากนักที่สี่จวี๋จะเอ่ยชมนาง ฝูหรงยิ้มแย้มหน้าบาน “ทั้งหมดนี้สะใภ้สี่เป็นคนสอน รองเท้าคู่หนึ่งส่วนที่สำคัญที่สุดคือพื้นรองเท้า สะใภ้สี่บอก แป้งเปียกต้องเหนียวกำลังเหมาะ ไม่อาจเหลวเกินไปและไม่อาจแข็งเกินไป หาไม่ตอนเย็บขึ้นมาจะยุ่งยากสิ้นเปลืองกำลัง”

ฝูหรงพูดเจื้อยแจ้ว ท่าทางเต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาสะใภ้สี่ของนางอย่างที่สุด

“คุณหนูสามท่าทางปราดเปรียวเฉลียวฉลาดปานนั้น” หลวนอวิ๋นชูวางถ้วยชาลง เอนพิงไปข้างหลังด้วยท่าทางสบายๆ จมอยู่ในความครุ่นคิด “มองไม่ออกเลยว่าจะพูดจาเจ็บแสบเช่นนั้น”

“คุณหนูสามเดิมไม่ได้เป็นเช่นนี้ พูดขึ้นมาแล้วในจวนแห่งนี้นางนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาที่สุด กับบ่าวไพร่ก็เมตตาและอ่อนโยน โดยเฉพาะนางชอบความเรียงและบทกวีของท่าน ยังมีคุณหนูรองที่ออกเรือนไปแล้ว พวกท่านสามคนเมื่อก่อนสนิทสนมกันที่สุด” สี่จวี๋กล่าวแล้วชี้ไปที่แผ่นผ้าในมือ มองไปที่ฝูหรง “ไว้พรุ่งนี้เจ้าก็ช่วยทำพื้นรองเท้าหนาเท่านี้ให้ข้าสักคู่ นายหญิงใหญ่ชอบบ่นว่าใต้ฝ่าเท้าเย็น ข้ากับสี่จู๋อย่างมากก็ทำได้แค่เจ็ดชั้น ถ้ามากกว่านี้ก็จะย่นแล้ว ไม่ก็แข็งเกินไป เย็บไม่เข้า”

เห็นสี่จวี๋จะทำให้นายหญิงใหญ่ ฝูหรงก็มองมาทางหลวนอวิ๋นชู

พอมาคิดอีกทีสี่จวี๋จึงนึกได้ว่านางเปลี่ยนนายแล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องถือสาเรื่องนี้ อดรู้สึกกลืนไม่เข้า คายไม่ออกไม่ได้ ได้แต่ยิ้มเจื่อน ยามกะทันหันถึงกับหาคำพูดมาแก้สถานการณ์ไม่ได้

หลวนอวิ๋นชูรับแผ่นผ้ามาอีกครั้ง พินิจพิเคราะห์อยู่พักใหญ่ ก่อนยื่นส่งให้สี่จวี๋แล้วบอก

“รองเท้าของข้ายังไม่ต้องรีบใช้ เอาอันนี้ไปทำให้นายหญิงใหญ่ก่อน”

“นี่…”

“สะใภ้สี่!”

ฝูหรงกับสี่จวี๋เอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน

ฝูหรงมองร่างกายที่บอบบางอ่อนแอของหลวนอวิ๋นชู นางปวดใจจนเอาแต่ขมวดคิ้ว ถ้าไม่ใช่ตอนเฝ้าศพทุกคืนหลวนอวิ๋นชูจะหนาวจนปวดท้อง นางก็คงไม่รีบร้อนทำพื้นรองเท้าหนาให้เช่นนี้ ที่รีบเอามาอบในห้องนี้ก็เพื่อหลวนอวิ๋นชูจะได้สวมเร็วขึ้นหน่อย คิดไม่ถึงว่ากลับถูกสี่จวี๋เห็นแล้วถูกใจ แม้จะปวดใจ แต่ฝูหรงก็รู้ ยามอยู่ต่อหน้าสี่จวี๋คำพูดของหลวนอวิ๋นชูไม่อาจเรียกคืนได้ ริมฝีปากนางอ้าขยับอย่างลำบากใจด้วยพูดอะไรไม่ออก

“ดูความจำของบ่าวสิ สี่จู๋ทำให้นายหญิงใหญ่หลายคู่อยู่ก่อนแล้ว” เห็นฝูหรงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูด สี่จวี๋ก็เอามือตบหน้าผาก ยิ้มพลางเอาแผ่นผ้ายื่นให้นาง “สะใภ้สี่ร่างกายอ่อนแอ พื้นรองเท้านี้ท่านใช้ก่อนเถิด เพียงแต่ฝูหรงสะดวกเมื่อไรค่อยทำอีกชุดก็ได้”

“เช่นนี้ย่อมดีที่สุด…” ฝูหรงสีหน้าดีใจ รับแผ่นผ้ามาอย่างเบิกบานใจ “คืนนี้ข้าจะทำให้”

“ใช้พื้นรองเท้านี้ทำให้นายหญิงใหญ่ก่อน” ฝูหรงพูดยังไม่ทันจบก็ถูกหลวนอวิ๋นชูตัดบท “ความกตัญญูสูงสุดของลูกหลานไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าการเคารพพ่อแม่ นายหญิงใหญ่เพิ่งจะสวมรองเท้าที่มีพื้นรองเท้าเจ็ดชั้น ข้าจะกล้าสวมพื้นรองเท้าเก้าชั้นได้อย่างไร ฝูหรงจำไว้ ทำเพิ่มอีกสักสองชุด ถือโอกาสทำให้นายท่านด้วยสองคู่”

ฝูหรงใบหน้าชะงักค้าง ผ่านไปครู่ใหญ่สี่จวี๋ถึงได้สติ รีบเก็บแผ่นผ้ามาอย่างฉับไว

“ใช่ๆ สะใภ้สี่พูดถูกต้องเจ้าค่ะ ล้วนเป็นบ่าวที่ไตร่ตรองไม่รอบคอบ พรุ่งนี้บ่าวจะต้องนำความกตัญญูของท่านเรียนให้นายท่านและนายหญิงใหญ่ทราบ”

มุมปากหลวนอวิ๋นชูยกขึ้น ประหนึ่งมีบัวหิมะงดงามเยียบเย็นผลิบานออกมาดอกหนึ่ง เพื่อเป้าหมายที่ยาวไกล นางต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำ สามารถใช้ประโยชน์จากผู้นำสูงสุดของบ้านอย่างสองคนนี้ย่อมดีที่สุด

“เจ้าค่ะ คืนนี้บ่าวจะทำเพิ่มอีก ทำให้นายท่านกับนายหญิงใหญ่อีกคนละสองคู่” คิดได้แล้วฝูหรงก็กระตือรือร้นขึ้นมา เงยหน้าขึ้นมองหลวนอวิ๋นชูด้วยดวงตาเป็นประกาย “ฝีมือวาดภาพของสะใภ้สี่ดี ท่านช่วยวาดลวดลายให้สักหลายภาพได้หรือไม่เจ้าคะ จะได้เอามาลอกแบบทำเป็นหน้ารองเท้า”

เช่นนี้นายหญิงใหญ่จะได้นึกถึงความจริงใจและความกตัญญูกตเวทีของหลวนอวิ๋นชูมากขึ้น วันหน้าจะได้ดีต่อนางมากอีกสักหน่อย

หลวนอวิ๋นชูเพียงยิ้มน้อยๆ ร่างเอนพิงไปข้างหลัง ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ไฉนจึงบอกว่าข้ากับคุณหนูสามสนิทสนมกันที่สุด ข้าดูอย่างไรก็ไม่คล้าย”

คงไม่ใช่มาตรฐานของ ‘ความสนิทสนม’ ในสมัยโบราณแตกต่างจากสมัยปัจจุบันกระมัง ต่งซูที่พอเจอหน้าก็ด่านางว่าเป็นตัวอัปมงคล ดาวหายนะ ถึงกับเป็นสหายรู้ใจที่สนิทสนมที่สุดของนางเชียว!

“คุณหนูสามชื่นชอบบทกวี เลื่อมใสศรัทธาท่านเป็นที่สุด มีความลับส่วนตัวอะไรก็พูดกับท่าน ทุกครั้งที่ท่านมาก็รบเร้าจะนอนเตียงเดียวกับท่าน นายหญิงใหญ่ยังชอบหยอกล้อพวกท่าน บอกนางไม่ต้องแต่งออกไปแล้ว รอท่านแต่งเข้ามา พวกท่านพี่สะใภ้น้องสามีก็เขียนกลอนท่องบทกวีอยู่ด้วยกันทุกวันตลอดไปก็แล้วกัน” ชั่วพริบตาเดียวฝูหรงก็ลืมข้อเสนอเมื่อครู่ ทุบขาให้หลวนอวิ๋นชูต่อ “ก็ไม่ทราบเพราะเหตุใด ราวเดือนกว่าก่อนหน้านี้ จู่ๆ คุณหนูสามก็พูดจาร้ายกาจขึ้นมา นับแต่นั้นก็ปฏิบัติต่อท่านราวกับเป็นศัตรูคู่แค้นเสียอย่างนั้น”

“เรื่องนี้ยังต้องพูดด้วยหรือเจ้าคะ ย่อมเป็นเพราะเรื่องที่ฝ่าบาทพระราชทานสมรส คุณชายสวินผู้นั้นกับคุณชายเจียง ยังมีคนในจวนของเราผู้นั้นอีกคน” ชูนิ้วมือขึ้นมาสามนิ้ว ก่อนสี่จวี๋จะชี้ไปยังทิศทางของเรือนชิ่นย่วน “ต่างขึ้นชื่อเรื่องดื่มกินการพนันเที่ยวผู้หญิง ถูกแอบขนานนามว่าสามเสเพลแห่งเมืองหลวนเฉิง”

“อืม ก็ประมาณนั้น” มือที่เคลื่อนไหวหยุดนิ่งลงด้วยจิตใต้สำนึก ฝูหรงครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “ก่อนหน้านี้ราวเดือนกว่า คุณหนูสามเจอกับคุณชายสวินที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยน หลังจากถูกนายหญิงใหญ่ทำโทษแล้ว ต่อมาเรื่องก็กลายเป็นเช่นนี้”

“พวกท่านไม่รู้อะไร” สี่จวี๋ค้อมตัวลงมาพูดด้วยท่าทางลึกลับ “ได้ยินว่าในบ้านคุณชายสวินมีอนุอยู่แล้วถึงสี่นาง มีบุตรสาวสามคน ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันอนุคนที่โปรดปรานมากที่สุดก็คลอดบุตรชายมาหนึ่งคน จวนแม่ทัพจัดโต๊ะเลี้ยงฉลองใหญ่โต ด้วยเรื่องเหล่านี้คุณหนูสามของเราจะไม่โวยวายได้หรือ พวกท่านไม่เห็น หลายวันนั้นคุณหนูสามอาละวาดหนักเพียงใด นายหญิงใหญ่ตกใจจนเพิ่มหญิงรับใช้สูงวัยไว้ในเรือนหลันฟางอีกไม่น้อย ทุกวันต้องผลัดเปลี่ยนกันจับตาดู กลัวมากว่านางจะคิดสั้น”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หลวนอวิ๋นชูพยักหน้าอย่างรู้แจ้งชัดเจน มีอนุอยู่เป็นฝูงไม่พูดถึง เวลานี้กระทั่งบุตรชายคนโตที่เกิดจากอนุก็คลอดออกมาแล้ว ไม่ว่าใครถูกกำหนดให้ไปอยู่ในครอบครัวเช่นนี้ย่อมดีใจไม่ออก เพียงแต่หลวนอวิ๋นชูคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจ ต่งซูเจอคนไม่ดีเกี่ยวอะไรกับนาง นางเพิ่งแต่งเข้ามาก็ต้องเป็นม่าย หรือต่งซูคิดนางว่ายังโชคดีกว่า

เห็นหลวนอวิ๋นชูหัวคิ้วขมวดมุ่น สี่จวี๋จึงเอ่ยปลอบเบาๆ

“นางอารมณ์ไม่ดี ไม่ว่ากับใครก็ดุร้ายด้วยหมด รอให้ผ่านช่วงนี้ไปแล้วก็จะดีขึ้นเจ้าค่ะ สะใภ้สี่อย่าได้ไปถือสานางเลย ท่านไม่เห็นสะใภ้ใหญ่หรือ ยังยอมอ่อนข้อให้นางไปเสียทุกอย่าง นายหญิงใหญ่ก็เหลือนางที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ อยู่เพียงคนเดียวแล้ว”

หลวนอวิ๋นชูไม่ได้กล่าวต่อ ในห้องจึงเงียบเสียงลง

ความเงียบสงัดอย่างประหลาดทำให้สี่จวี๋เห็นว่าวันนี้นางพูดมากเกินไปแล้ว ออกจะรู้สึกไม่รู้จะทำอย่างไรดี สายตาก็กวาดมองไปรอบด้าน

“จริงสิ” เห็นนกฮว่าเหมยที่ร้องจิ๊บๆ อยู่ข้างหน้าต่าง สี่จวี๋พลันนึกอะไรขึ้นได้ “เมื่อวานคุณชายสามตกน้ำ ทุกเรือนต่างไปเยี่ยมแล้ว สะใภ้สี่ท่านว่าเรา…”

ราวกับเกิดอาการตอบสนองโดยปริยาย ฝูหรงเนื้อตัวสั่นเทา มือที่ยกขึ้นมาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ หลวนอวิ๋นชูฉวยโอกาสผลักนางทีหนึ่ง “ไป ไปชงชาร้อนมาให้ข้าถ้วยหนึ่ง” แล้วหันมาทางสี่จวี๋ “เจ้าไม่ได้ยินแต่ละเรือนพูดอะไรบ้างหรือไม่”

“เอ่อ…”

สี่จวี๋หน้าแดงขึ้น เห็นชัดว่าคำพูดยากจะเอ่ยออกจากปากได้

“เจ้าพูดมาเถิด”

“คนอื่นก็ไม่มีใครพูดอะไร มีแต่คนที่เรือนสะใภ้สาม บอกว่าท่านเพิ่งก้าวเท้าออกจากทะเลสาบลั่วเยี่ยน คุณชายสามก็ถูกผีหลอกแล้ว เห็นชัดว่าเป็นท่านที่ชักนำสิ่งไม่สะอาดมา ยังบอก…”

สี่จวี๋พูดไปเสียงก็ค่อยๆ แผ่วลงแล้วหยุดนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น หลวนอวิ๋นชูจึงมองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ยังบอกท่านมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา เดิมก็เป็นดาวปีศาจจุติลงมา” ถูกมองจนในใจขนลุกชัน สี่จวี๋จึงกัดฟันพูดต่อ “นับแต่ท่านแต่งเข้ามา ในจวนก็มีคนถูกผีหลอกไปทั่ว ศพคุณชายสี่หลอกผู้คนในห้องโถงตั้งศพไม่พูดถึง ครั้งนี้คุณชายสามก็ถูกผีหลอกอีก…เอาแต่โวยวายจะให้นายหญิงใหญ่เชิญนักพรตมาทำพิธีขับไล่สิ่งอัปมงคลที่เรือนลู่ย่วน”

ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าสองเรื่องนี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง

บอกว่าข้าเป็นดาวปีศาจจุติลงมา

คนเหล่านี้ยกย่องข้าเกินไปแล้ว!

“คุณชายสามว่าอย่างไร” มุมปากมีรอยยิ้มเยียบเย็นผุดขึ้นจางๆ หลวนอวิ๋นชูขยับขึ้นมานั่งตัวตรง “นายหญิงใหญ่เล่า ก็เห็นด้วยกับการให้นักพรตมาทำพิธีหรือ”

“เรื่องนี้คุณชายสามยังแสดงท่าทีสมกับเป็นคุณชายคนหนึ่ง หลังจากสติแจ่มใสดีแล้วก็บอกเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน ยังด่าสะใภ้สามพักหนึ่ง บอกนางรู้จักแต่คิดโยงเหลวไหลไร้สาระ” เห็นมุมปากหลวนอวิ๋นชูมีรอยยิ้มเยียบเย็น สี่จวี๋ในใจสั่นสะท้าน พยายามพูดกลบเกลื่อนไปในทางที่ดี “นายหญิงใหญ่ก็บอกท่านเป็นคนครองพรหมจรรย์ หากให้คนที่ไม่ชัดไม่แจ้งมาที่เรือนลู่ย่วน ถูกเล่าลือออกไปท่านก็จะเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ เพียงให้นักพรตทำพิธีที่เรือนชิ่นย่วนก็พอ…”

เช่นนี้ค่อยเหมือนเป็นท่านป้าแท้ๆ ของนางหน่อย ไม่เสียแรงที่ตนพยายามประจบประแจงอีกฝ่ายอย่างมาก

หลวนอวิ๋นชูเอนร่างพิงหมอนอิงใบใหญ่อีกครั้ง หลับตาลง ต่งเหรินไม่เปิดโปงนางกับฝูหรงก็ดีแล้ว เรื่องนี้ก็นับว่าผ่านไปได้ ล้างแค้นกันไปคนละที นางกับต่งเหรินต่างตกน้ำคนละครั้ง นับแต่นี้เสมอกันแล้ว…

“หรือไม่…ก็อ้างเรื่องของซิ่วเอ๋อร์ที่ไม่เป็นมงคล เพียงเท่านี้ท่านก็ไม่ต้องไปแล้ว”

เพียงอาศัยเรื่องที่พานหมิ่นชอบหาเรื่องหาราวไปเสียทุกอย่าง อย่าว่าแต่หลวนอวิ๋นชูจะเอือมระอา ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากเอาหน้าร้อนของตนไปแนบก้นเย็นๆ ของผู้อื่น* สี่จวี๋เองก็คิดเช่นนั้น แต่หลังจากต่งอ้ายไม่อยู่แล้ว ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าต่งเหรินจะได้รับความโปรดปรานจากนายท่านและนายหญิงใหญ่เป็นเท่าทวี เรืองอำนาจขึ้นมา หลวนอวิ๋นชูดีเลวอย่างไรก็สมควรต้องไปเยี่ยมอาการพูดจาไพเราะน่าฟังสักหน่อย แต่เห็นนางคล้ายจะหลับแล้ว สี่จวี๋จึงลองพูดหยั่งเชิงดู

เห็นไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ สี่จวี๋ก็เดินเบาๆ เอาผ้ามาห่มให้นางผืนหนึ่ง

“เจ้าไปจัดเตรียมของบำรุงกับยา แล้วพาสาวใช้รุ่นเล็กสองคนไปเยี่ยมคุณชายสาม อืม…” สี่จวี๋กำลังจะออกไปก็ได้ยินเสียงหลวนอวิ๋นชูดังมาไกลๆ “ไปแล้วเจ้าก็บอกกับสะใภ้สามไปตรงๆ บอกข้าไว้ทุกข์อยู่ เรือนลู่ย่วนก็มีสาวใช้ตายไป ร่างกายมีกลิ่นอายความอัปมงคลอยู่มาก ไม่สะดวกจะไปที่เรือนของนาง”

“นี่…”

นี่มิใช่เสื่อมเสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้วหรือ

หลวนอวิ๋นชูยอมให้นางไปเรือนชิ่นย่วนได้ก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดียิ่งแล้ว อย่าได้มีปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมาเป็นอันขาด ลังเลอยู่ชั่วขณะสี่จวี๋ก็รับคำด้วยความเบิกบานใจ “บ่าวจะไปจัดเตรียมเดี๋ยวนี้” เกือบจะถึงหน้าประตูก็หันหน้ากลับมาอีก “จริงสิเจ้าคะ ตอนคุณชายสี่ป่วยอยู่ ได้รับของบำรุงมากมาย ล้วนแต่เป็นของดีเยี่ยม ท่านว่า…”

เวลานี้ต่งเหรินค่าตัวสูงขึ้นเป็นเท่าทวี ในเมื่อหลวนอวิ๋นชูไม่ได้ไปด้วยตนเอง ตามธรรมเนียมปฏิบัติของขวัญย่อมสมควรมีค่าสักหน่อย

“ไม่ต้องโดดเด่นกว่าคนอื่น” หลวนอวิ๋นชูยังคงหลับตา เสียงคล้ายลอยมาจากที่ไกลโพ้น “เจ้าดูตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยทำมา จัดเตรียมไปตามนั้นก็แล้วกัน”

 

“สี่จวี๋ไปไหนแล้วเจ้าคะ”

ฝูหรงถือน้ำชาผลักประตูเข้ามา เงยหน้าขึ้นไม่เห็นสี่จวี๋จึงเอ่ยถาม พอไม่ได้ยินเสียงตอบถึงได้พบว่าหลวนอวิ๋นชูเหมือนจะหลับไปแล้ว นางวางกาน้ำชาลงเบาๆ เดินเข้าไปจัดๆ ผ้าห่ม หยิบเข็มกับด้ายที่วางอยู่ด้านข้างนั่งลงที่ข้างเตียง เสื้อผ้าเสียดสีกันดังสวบสาบเบาๆ

“เรื่องที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยน คุณชายสามไม่ได้เอ่ยถึงพวกเรา”

มีเสียงดังเคร้ง งานปักเย็บในมือร่วงลงไปที่พื้น ใบหน้าของฝูหรงเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันที มองไปที่หลวนอวิ๋นชูอย่างตื่นตะลึง

“สวรรค์! สะใภ้สี่ท่านไม่ได้หลับหรอกหรือ บ่าวตกใจแทบตายแล้ว”

“ดูเจ้าสิ ขวัญอ่อนเสียจริง” ได้ยินเสียงดังหลวนอวิ๋นชูจึงลืมตาขึ้นมา “เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็เก็บอาการไม่อยู่ ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกตนเองทำให้ตกใจตาย”

“สองวันนี้บ่าวรู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา กระทั่งนอนก็ยังหลับไม่สนิท” ฝูหรงชำเลืองมองไปที่ประตูอย่างหวาดระแวง ลดเสียงเบาลง “พอได้ยินคำว่า ‘ทะเลสาบลั่วเยี่ยน’ หรือชื่อของคุณชายสาม ก็จะเนื้อตัวสั่นเทา ต่อไปสะใภ้สี่โปรดอย่าได้ทำเรื่องน่าตกอกตกใจเช่นนั้นอีกนะเจ้าคะ เกิดคุณชายสามเป็นอะไรไป หนึ่งร้อยชีวิตของท่านก็ไม่อาจแลกได้”

นางคิดจะแต่งงานใหม่ วันหน้าเรื่องน่าตกใจเช่นนี้ยังต้องเจออีกมาก ขวัญอ่อนเช่นนี้จะได้อย่างไร

หลวนอวิ๋นชูลุกขึ้นมานั่งเสียเลย สีหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ

“เจ้าจำไว้ เมื่อวานพวกเราเดินเล่นอยู่ที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยนรอบหนึ่ง ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น ต่อไปเจอเรื่องอะไรต้องหัดสุขุมเยือกเย็นสักหน่อย” พูดจบน้ำเสียงของหลวนอวิ๋นชูก็ผ่อนคลายลง “เจ้าก็รู้ คนในเรือนนี้ไม่มีสักคนที่รู้ใจข้า ถ้าเจ้ายังรับภาระหน้าที่ไม่ได้อีก…”

“เจ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว” ฝูหรงใบหน้าแดงปลั่ง ลุกขึ้นมารินน้ำชาให้หลวนอวิ๋นชู “บ่าวไม่เคยผ่านเรื่องพวกนี้มาก่อน ทำให้สะใภ้สี่เป็นห่วงแล้ว”

“ไม่ว่าเรื่องอะไรย่อมต้องมีครั้งแรก พอเคยชินก็ไม่เป็นไรแล้ว” รับน้ำชามา หลวนอวิ๋นชูจิบไปคำหนึ่ง “ตอนไปส่งข้าวให้ลุงใบ้ ลุงใบ้ไม่ได้ถามอะไรหรือ”

งงงันไปพักหนึ่งฝูหรงจึงตามความคิดที่กระโดดไปมาของหลวนอวิ๋นชูทัน นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอก

“อืม…อาจจะถามแล้วเจ้าค่ะ”

ถามก็ถามสิ ไม่ได้ถามก็คือไม่ได้ถาม เหตุใดยังมี ‘อาจจะถาม’ แล้วด้วย

“เขาทำมือทำไม้อยู่เป็นนาน บ่าวก็ดูไม่เข้าใจ” เห็นหลวนอวิ๋นชูนิ่วหน้า ฝูหรงรีบเอ่ยเสริม “บ่าวจึงเดาว่าเขาคงถามแล้ว”

“อ้อ…” หลวนอวิ๋นชูพยักหน้า “เช่นนั้นตอนเขาเห็นเจ้ามีท่าทีอย่างไร”

“เขามีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา บ่าวก็มองอะไรไม่ออก” ฝูหรงก้มลงเก็บงานปักเย็บที่พื้นพลางปัดเบาๆ “เห็นเขาทำหน้าจริงจัง ทำมือทำไม้ บ่าวเดาว่าเขาคงถามถึงซิ่วเอ๋อร์ จึงบอกไปตามตรง”

“ได้ยินว่าซิ่วเอ๋อร์ตายแล้ว เขามีท่าทีอย่างไร”

“อืม…” แอบชำเลืองมองหลวนอวิ๋นชูแวบหนึ่ง ฝูหรงมีท่าทางอ้ำอึ้ง “เขาสีหน้าอึมครึมน่ากลัว บ่าวเห็นแล้วก็หวาดกลัว เลยไม่ได้สังเกตท่าทีเขาอย่างละเอียดเจ้าค่ะ”

หลวนอวิ๋นชูทอดถอนใจเบาๆ จนแทบไม่ได้ยินเสียง ลานด้านหลังมีลุงใบ้ที่ลึกลับอยู่คนหนึ่ง หากไม่สืบหาภูมิหลังของเขาให้แน่ชัด ชีวิตนางคงยากจะสงบสุข

“คราวหน้าหากไม่เข้าใจภาษามือของลุงใบ้ ก็ให้ถามสักหลายๆ ครั้ง จนกว่าเขาจะพยักหน้า ตั้งใจให้มากหน่อย ไม่นานก็จะเข้าใจเอง” เงียบไปพักหนึ่ง หลวนอวิ๋นชูพลันเอ่ยขึ้น “หรือไม่เจ้าก็เอากระดาษกับพู่กันติดตัวไป ให้เขาเขียนให้เจ้า”

“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ จริงสิ…” ฝูหรงนัยน์ตาเปล่งประกายขึ้นมา “บ่าวเกือบลืมไป ลุงใบ้ฝากจดหมายมาให้ท่านฉบับหนึ่ง”

“จดหมาย?” ลุงใบ้ฝากจดหมายมาให้เช่นนี้ หลวนอวิ๋นชูมีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมา “เขียนมาว่าอะไร”

“บ่าวกำลังจะกลับก็ถูกเขาเรียกไว้” ฝูหรงลุกมาค้นหา “เห็นเขาชี้ไปที่ซองจดหมายที่มีคำเรียกขานท่านเขียนอยู่ บ่าวเดาว่าให้ท่าน จึงเอากลับมาด้วย”

พูดพลางก็ไปรื้อเจอจดหมายที่ลิ้นชัก นางกลับมานั่ง สองมือประคองยื่นส่งให้หลวนอวิ๋นชู

หลวนอวิ๋นชูมองตัวอักษรเสี่ยวจ้วนที่เคร่งขรึมเข้มแข็งทรงพลังหลายตัวบนซองจดหมายสีเหลืองต้นหญ้า ดวงตาที่เจิดจ้าก็หม่นแสงลง นางไม่ได้รับจดหมายมา เพียงเอนร่างพิงกลับไปที่หมอนอิงแล้วยกถ้วยชาที่เพิ่งวางลงไปขึ้นมาถือ

“อ่าน”

ฝูหรงงงงันไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะออกมา แม้จะบ่นว่านางขวัญอ่อน แต่สะใภ้สี่ยังคงไว้ใจนาง

“ยังเข้าใจว่าอะไรเสียอีก” เปิดซองจดหมายด้วยความตื่นเต้นแล้ว หลังกวาดตามองรอบหนึ่งฝูหรงก็ออกจะผิดหวัง “เป็นยาสมุนไพรบางอย่าง”

“เป็นยาสมุนไพรอะไรหรือ” หลวนอวิ๋นชูยกมุมปาก “ลุงใบ้ผู้นี้เป็นพวกหลงใหลเรื่องยาคนหนึ่ง”

ฝูหรงก็อ่านอย่างจริงจังขึ้นมา

“ต่งฟูเหรินเคยเห็นเหลยกงเถิงหรือไม่ รู้ถึงฤทธิ์ รส ผลต่ออวัยวะ และเส้นชีพจรหรือไม่” อ่านมาได้ครึ่งหนึ่งฝูหรงพลันลุกขึ้นมา “จริงสิ…สะใภ้สี่ท่านรอสักครู่ บ่าวจะไปหาพู่กันมาสักด้าม”

เหลยกงเถิงยังมีชื่อเรียกว่าหงเย่าหรือสุ่ยหมังเฉ่า ในชาติที่แล้วแหล่งกำเนิดหลักอยู่ที่ฝูเจี้ยน เจ้อเจียง อันฮุย และเหอหนาน จัดเป็นพืชทางตอนใต้ ว่ากันตามเหตุผล แหล่งผลิตก็น่าจะอยู่ที่แคว้นหลวนแห่งนี้ เหตุใดลุงใบ้จึงไม่รู้จัก ในสวนสมุนไพรมีพืชทางเหนือมากมายเพียงนั้น ลุงใบ้ยังรู้จักดี เพาะปลูกได้ดีเพียงนั้น เหตุใด…

หลวนอวิ๋นชูมีความคิดผุดขึ้นมา

ลุงใบ้เป็นคนทางเหนือ เป็นคนแคว้นหลี

นึกถึงรูปร่างผอมสูงที่แตกต่างจากคนทางตอนใต้ของลุงใบ้ หลวนอวิ๋นชูยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง

นางอดขมวดคิ้วไม่ได้

ได้ยินว่าหัวหน้าสำนักหมอหลวงของแคว้นหลีเป็นขุนนางขั้นห้า สูงกว่าหัวหน้าสำนักหมอหลวงของแคว้นหลวนสองขั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สภาพแวดล้อมการเป็นหมอที่แคว้นหลีดีกว่าที่แคว้นหลวนมาก เพราะเหตุใดลุงใบ้ต้องมาอยู่ที่แคว้นหลวน มอบกายถวายชีวิตเป็นคนสวนที่ต่ำต้อยด้วย

“สะใภ้สี่ บ่าวเตรียมพร้อมแล้ว” ฝูหรงปูกระดาษเรียบร้อย “ท่านพูดเถิด”

“เหลยกงเถิงรสขมและเผ็ด มีฤทธิ์เย็น มีพิษร้ายแรง มีผลต่อตับ เส้นชีพจรไต” หลวนอวิ๋นชูพลันนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “ช่วยขับลมขจัดความชื้นในร่างกาย ช่วยให้เลือดลมเดินดี ยุบบวม ขจัดพิษ”

ท่องไปท่องมา ตรงหน้าหลวนอวิ๋นชูก็ปรากฏเงาร่างสูงสง่ารูปโฉมหล่อเหลาขึ้นมา

นั่นเป็นฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าว เขาพับขากางเกง สวมเสื้อยืดสีขาว รับยาสมุนไพรจากมือของตน ทางหนึ่งก็ทำการสาธิตอย่างละเอียด ทางหนึ่งก็พูดร่ำไรไม่หยุด

‘เหลยกงเถิงเป็นสมุนไพรที่มีพิษร้ายแรง เวลานำมาปรุงยาจะต้องลอกผิวออกให้เกลี้ยง รวมทั้งผิวชั้นในและผิวตรงร่อง’

“บ่าวเขียนเสร็จแล้วเจ้าค่ะ!” ฝูหรงถือพู่กัน เงยหน้าขึ้นถาม “ยังมีอีกหรือไม่”

“เหลยกงเถิงเป็นสมุนไพรที่มีพิษร้ายแรง เวลานำมาปรุงยาจะต้องลอกผิวออกให้เกลี้ยง”

พูดโพล่งออกมาแล้ว หลวนอวิ๋นชูจึงได้สติกลับคืนมา มุมปากมีรอยยิ้มเจื่อนผุดขึ้นจางๆ ลู่เซวียนที่แววตาลึกล้ำมีท่าทีสุภาพละมุนละไมเฉกเช่นผู้มีการศึกษาเหมือนกันกับเขาผู้นั้น จะช่วยชี้แนะนางอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้หรือไม่

“แม้ความรู้ด้านการแพทย์จะต่ำต้อย แต่การเปิดร้านยาสักแห่งจะอย่างไรก็ดีกว่ามาเป็นคนสวน” ฝูหรงวางพู่กันในมือลงพลางหมุนข้อมือ “สะใภ้สี่ ท่านว่าลุงใบ้เชี่ยวชาญสมุนไพรเพียงนี้ เพราะเหตุใดจึงสมัครใจเป็นคนสวนอยู่ในจวนของเราเจ้าคะ”

“เขาเป็นคนแคว้นหลี”

“คนแคว้นหลี!” ฝูหรงตื่นตะลึง “สะใภ้สี่ทราบได้อย่างไร” นางพลันหยุดชะงักก่อนผงกศีรษะ “ก็จริง ดูจากรูปร่างท่าทางของเขาก็ไม่คล้ายคนแคว้นหลวน บ่าวกลับไม่เคยคิดไปในทางนั้นเลย”

“ตอนเอาข้าวไปส่ง เจ้าก็บอกกับเขาว่า…” หลวนอวิ๋นชูมองไปที่นอกหน้าต่าง คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ “คนทางเหนือเพิ่งมาอยู่ทางใต้ ช่วงแรกจะไม่ชินต่ออากาศหนาวชื้นในฤดูหนาว จะเป็นโรคเฟิงซือได้ง่าย สามารถใช้เหลยกงเถิงขับความชื้นช่วยให้เลือดลมเดินสะดวกได้พอดี”

“เฟิงซือคืออะไรหรือเจ้าคะ” ฝูหรงมีสีหน้าฉงน “บ่าวไม่เคยได้ยินคนในจวนเอ่ยถึงลุงใบ้เลย คิดว่าคงจะปกปิดเป็นความลับ ท่านไปเปิดโปงเขาว่าเป็นคนแคว้นหลีเช่นนี้ จะดีหรือเจ้าคะ”

“ทั้งสองต่างเปิดเผยตรงไปตรงมา จึงจะพูดคุยกันง่าย เขามาถามยาเป็นพิเศษเช่นนี้ กระทั่งตนเองเป็นใครมาจากไหนก็คงไม่ต้องบอกแล้วกระมัง” หลวนอวิ๋นชูยื่นมือมาหยิบจดหมายของลุงใบ้ ก้มหน้าลงพิจารณาดู “เรื่องนี้เจ้ารู้ก็พอ ไม่ต้องเอ่ยถึงต่อหน้าผู้อื่น ยาล้วนมีสามส่วนที่เป็นพิษ ต่อไปเจ้าไปที่สวนสมุนไพรต้องระวังตัวสักหน่อย อย่าเที่ยวไปแตะไปจับส่งเดช โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่ากินของที่อยู่ในนั้น จะได้ไม่พลั้งเผลอกินสิ่งที่ไม่ควรกิน”

“เจ้าค่ะ” ฝูหรงพยักหน้า “เรื่องนี้ท่านไม่พูด บ่าวก็ทราบดี”

เห็นหลวนอวิ๋นชูก้มหน้าอ่านจดหมาย ฝูหรงก็เก็บหมึกและพู่กันบนโต๊ะ

“เมื่อวานสะสางสิ่งของที่เหลืออยู่ของซิ่วเอ๋อร์ พบอะไรหรือไม่”

“ล้วนแต่เป็นของใช้ของอิสตรี ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” ฝูหรงหยิบกระดาษที่เพิ่งเขียนเสร็จมาเป่าหมึกให้แห้ง “สะใภ้สี่จะดูหรือไม่ บ่าวเกรงจะเขียนตกหล่น”

เห็นหลวนอวิ๋นชูไม่พูดอะไร ฝูหรงจึงอ่านอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น

“จริงด้วย เห็นยาสมุนไพรนี้แล้ว บ่าวก็นึกขึ้นมาได้”

“นึกอะไรขึ้นมาได้”

เสียงหลวนอวิ๋นชูค่อนข้างเหนื่อยหน่าย นางอ้าปากหาว เอนร่างพิงไปที่หมอนอิง

“เมื่อวานพบยาสมุนไพรห่อหนึ่งที่ใต้เตียงซิ่วเอ๋อร์” ฝูหรงพับกระดาษให้เรียบร้อยแล้วยัดเก็บไว้ในแขนเสื้อ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองหลวนอวิ๋นชู “เป็นยาชนิดเดียวกับที่ซิ่วเอ๋อร์ถามขึ้นมาในสวนสมุนไพรวันนั้น ที่ซิ่วเอ๋อร์บอกคล้ายเขาของแพะภูเขา”

หยางเจี่ยวเถิง!

“ยานั่นอยู่ที่ใด” ภาพเบื้องหน้าสว่างวาบขึ้น หลวนอวิ๋นชูลุกขึ้นมานั่งตัวตรง “เอามาให้ข้าดูหน่อย”

“ใช้หนังแกะสีดำห่อไว้ เห็นแล้วก็ขยะแขยง เฉียนหมัวมัวให้น้าชายของซิ่วเอ๋อร์เอาไปด้วยทั้งหมดแล้วเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นหรือ เจ้าไปเรียกเฉียนหมัวมัวมา” นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งหลวนอวิ๋นชูก็เงยหน้าขึ้นมองฝูหรง “ไม่ต้องแล้ว เจ้าออกจากจวนไปด้วยตนเอง คิดหาหนทางเอายาห่อนั้นกลับมา”

“เพราะเหตุใดเจ้าคะ” ฝูหรงออกจะฉงน “ย่อมต้องมีเหตุผล บ่าวจึงจะ…”

พูดมาได้ครึ่งหนึ่ง ฝูหรงดวงตาพลันสว่างวาบ

“จริงสิ สะใภ้สี่ บางทีปัญหาอาจจะอยู่ที่ของในห่อนั้น บ่าวก็คิดอยู่ วันนั้นอยู่ที่สวนสมุนไพร…”

ขณะพูดอยู่นั้นสี่หลันก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา ฝูหรงรีบหยุดปาก เก็บหมึกพู่กันบนโต๊ะแล้วรีบเดินออกไป

เห็นฝูหรงมีสีหน้าแปลกพิกล สี่หลันรู้สึกแปลกใจ นางหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ชะโงกหน้ามองตามเงาร่างที่หายลับไปของอีกฝ่ายจากนั้นจึงขยับเข้ามาที่หน้าเตียงเตาแล้วยอบตัวคารวะ

“สะใภ้สี่ ฝูหรงนาง…”

“นางไปล้างพู่กัน” หลวนอวิ๋นชูไม่ได้เปิดเปลือกตา เอาจดหมายของลุงใบ้ยัดเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไม่เผยร่องรอย “มีเรื่องอะไรหรือ”

“พ่อบ้านเฮ่อมาแล้วเจ้าค่ะ”

“พ่อบ้านเฮ่อ?” หลวนอวิ๋นชูหัวคิ้วกระตุกเล็กน้อย “ไม่ได้บอกว่ามีธุระอะไรหรือ”

“ไม่ได้บอกเจ้าค่ะ บอกเพียงจะพบท่าน”

เรื่องของนางล้วนเป็นเหยาหลันเข้ามาจัดการด้วยตนเอง พ่อบ้านเฮ่อมาทำอะไร

หัวคิ้วหลวนอวิ๋นชูกระตุก ดวงตาของนางเจิดจ้าดุจดวงดาว ลุกพรวดขึ้นมา

“ไป ไปดูซิ!”

เดินผ่านระเบียงวนมา เพียงเห็นบุรุษอ้วนเตี้ยอายุราวสามสิบยืนสำรวมกิริยาอยู่ในห้องโถง ข้างหลังมีเด็กรับใช้อายุสิบกว่าปียืนอยู่คนหนึ่ง

คนผู้นั้นเห็นหลวนอวิ๋นชูออกมาก็เดินเข้ามาทำความเคารพ

“บ่าวต่งเฮ่อคารวะสะใภ้สี่”

“พ่อบ้านเฮ่อเชิญนั่ง” หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะ นั่งลงบนเก้าอี้ “เข้ามา ยกน้ำชามาให้พ่อบ้านเฮ่อ”

เขาเป็นหัวหน้าพ่อบ้าน จะต้องดูแลให้ดี ทั้งนี้วันหน้าในเรือนของตนจะได้ไม่เดี๋ยววันนี้ขาดสิ่งนี้ พรุ่งนี้ขาดสิ่งนั้น ย่อมไม่อาจเพียงแค่เรื่องใหญ่เท่าหัวเข็มก็ไปหานายหญิงใหญ่

ความคิดดียิ่ง เพียงแต่หลวนอวิ๋นชูไม่รู้ ธรรมเนียมปฏิบัติในจวนกั๋วกงแห่งนี้เข้มงวดยิ่ง อยู่ต่อหน้าผู้เป็นนายต่อให้บ่าวจะมีฐานะสูงเพียงใดก็ไม่อาจนั่ง เห็นนางให้พ่อบ้านนั่ง ฝูหรงกับสี่หลันคิดจะยับยั้งก็ไม่ทันแล้ว

สาวใช้รุ่นเล็กยกเก้าอี้มาให้ตั้งนานแล้ว พ่อบ้านเฮ่อไหนเลยจะกล้านั่ง ปากก็พร่ำบอกว่ามิกล้า ยืนอยู่ตรงนั้นสายตาไม่ว่อกแว่ก ทำเอาสาวใช้รุ่นเล็กมองหลวนอวิ๋นชูด้วยความอึดอัดลำบากใจ

ฝูหรงฉวยโอกาสกระซิบที่ข้างหูหลวนอวิ๋นชูหลายประโยค นางจึงโบกมือให้สาวใช้รุ่นเล็ก

“พ่อบ้านเฮ่อมีธุระอะไรหรือ”

“เรียนสะใภ้สี่ หลี่มามาส่งบรรดาเด็กสาวมาแล้วขอรับ รออยู่ที่เรือนจัดการงาน เชิญท่านไปเลือกด้วยตนเองขอรับ”

หลวนอวิ๋นชูมุมปากหยักโค้ง นางคาดเดาไม่ผิด เขามาเพราะเรื่องนี้

“ก็แค่เลือกสาวใช้ บอกหลี่มามาให้พาคนมาที่นี่ก็ได้” ไม่รอให้หลวนอวิ๋นชูเอ่ยปาก สี่หลันพูดเสียงใสออกมา “ให้สะใภ้สี่ต้องลำบากไปด้วยตนเองได้อย่างไร ข้าว่าพ่อบ้านเฮ่อเลอะเลือนแล้ว”

เรือนจัดการงานอยู่ไม่ใกล้กับเรือนลู่ย่วน ต้องอ้อมผ่านเรือนหลายหลังไม่พูดถึง ข้างในยังมีชายหญิงอยู่ปะปนกัน หลวนอวิ๋นชูที่เพิ่งเป็นม่ายจะไปสถานที่เช่นนั้นได้อย่างไร

ถูกคนพูดฉีกหน้าต่อหน้าธารกำนัล พ่อบ้านเฮ่อใบหน้าแดงก่ำ แต่เขาก็รู้สี่หลันเดิมเป็นคนข้างกายนายหญิงใหญ่ ไม่สะดวกจะกล่าวตำหนิ อ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่จึงชี้แจงอย่างละเอียด ราวกับกลัวหลวนอวิ๋นชูจะฟังไม่เข้าใจ

“ตอนแรกบ่าวก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่ครั้งนี้เรือนลู่ย่วนจะเปลี่ยนสาวใช้เกือบยี่สิบคน เพื่อสะดวกแก่การคัดเลือกของท่าน สะใภ้ใหญ่ได้สั่งกำชับเป็นพิเศษให้ส่งคนมามากหน่อย ปรากฏว่าเช้านี้หลี่มามาพาคนมาถึงสี่สิบกว่าคน แน่นขนัดไปทั้งห้อง พอสะใภ้ใหญ่เห็นก็บอกว่าคนจำนวนมากเพียงนี้ให้เดินผ่านลานเรือนมาไม่น่าดูไม่พูดถึง ยังจะถูกเรือนต่างๆ เที่ยวพูดพล่ามส่งเดช พูดต่อกันไปพูดต่อกันมาก็จะทำให้คนฟังแล้วไม่สบายใจ จึงให้บ่าวมาเชิญท่านด้วยตนเองขอรับ”

คนของเรือนลู่ย่วนต้องเปลี่ยนทั้งหมด?!

ลวี่จูสาวใช้รุ่นเล็กที่กำลังยกน้ำชาเข้ามาร่างสั่นเทา มีเสียง ‘เคร้ง’ ถาดเงินร่วงหล่นจากมือลงไปที่พื้น ชุดถ้วยชาประณีตงดงามชุดหนึ่งแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ลวี่จูเนื้อตัวสั่นเป็นตะแกรงร่อนรำข้าว ตัวอ่อนเป็นดินเหนียวคุกเข่าอยู่ที่นั่น

คนอื่นๆ แต่ละคนเบิกตากว้างเป็นรูปปั้นดินเหนียว ลืมหายใจไปแล้ว

ในห้องโถงเงียบกริบลงทันที ได้ยินเพียงเสียงลวี่จูโขกศีรษะราวกับทุบกระเทียมดัง ‘ตึงๆๆ’

คนสี่สิบกว่าคนนับเป็นขบวนใหญ่ เดินแห่แหนในจวนเป็นขบวนสาวงาม ไม่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงก็แปลกแล้ว! มองผู้คนที่แข็งค้างเป็นรูปปั้นดินเหนียว หลวนอวิ๋นชูก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ยังคงเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่ละเอียดรอบคอบ ข้าคิดอะไรไม่ถี่ถ้วนพอ” แล้วหันไปทางลวี่จู “เจ้าลุกขึ้นเถิด เรียกคนมาเก็บกวาด”

สะใภ้สี่ถึงกับไม่ได้ให้ข้าชดใช้?

ลวี่จูลืมโขกศีรษะ เงยหน้าขึ้นมองหลวนอวิ๋นชูอย่างงงงัน

“สะใภ้สี่…” เห็นหลวนอวิ๋นชูจัดการเรื่องนี้เหมือนไม่มีอะไร พ่อบ้านเฮ่อกล่าวขึ้นว่า “ตามธรรมเนียมปฏิบัติของจวน บ่าวไพร่ทำของแตกต้องหักจากเงินรายเดือน ท่านว่า…”

นั่นเป็นชุดถ้วยชาที่ทำมาจากดินสีชาดชั้นหนึ่ง อย่างน้อยราคาก็หลายร้อยตำลึง ถ้าเป็นสะใภ้ใหญ่คงบันดาลโทสะไปแล้ว สะใภ้สี่ผู้นี้เป็นเพราะไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติหรือไม่ใส่ใจเงินทอง ในใจพ่อบ้านเฮ่อประหลาดใจ เขาลอบประเมินสีหน้าหลวนอวิ๋นชู

หลวนอวิ๋นชูย่นหัวคิ้ว

จนจะตกงานแล้ว ไม่มีเงินสวัสดิการเลิกจ้างก็แล้วไปเถิด นี่ยังจะหักเงินรายเดือน แล้วจะให้พวกนางใช้ชีวิตอย่างไรรึ จะอย่างไรหลวนอวิ๋นชูก็เป็นคนในสมัยปัจจุบัน เมื่อเห็นลวี่จูนั่งแปะอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าซีดขาว นางก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา

“สาวใช้รุ่นเล็กคนหนึ่งจะมีเงินรายเดือนสักกี่มากน้อย หักขึ้นมาก็ไม่คุ้มกับความยุ่งยาก อีกอย่างจะถูกให้ออกจากงานแล้ว ข้าว่าก็แล้วกันไปเถิด” เห็นพ่อบ้านเฮ่อไม่พูด หลวนอวิ๋นชูจึงกล่าวเสริมขึ้น “หรือไม่พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกกับนายหญิงใหญ่เอง”

“นี่…”

เหตุการณ์เช่นนี้ก็ต้องปรับลวี่จูให้ทำงานโดยไม่ได้ค่าแรงอยู่ในจวนหลายปี นั่นเป็นเงินหลายร้อยตำลึงทีเดียว หาไม่ของในจวนแห่งนี้ไยมิใช่ถูกพวกบ่าวไพร่ทำแตกหมดหรือ พ่อบ้านเฮ่อที่เดิมคิดจะพูดสักสองคำ แต่เมื่อมองสบดวงตาที่น่าเกรงขามของหลวนอวิ๋นชู เสียงพลันหยุดชะงัก ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงได้เกิดความขลาดกลัวขุมหนึ่งขึ้นมา

นี่ไหนเลยจะเป็นการปรึกษาหารือ เห็นชัดว่าไม่อนุญาตให้ตั้งข้อสงสัย!

เรียนนายหญิงใหญ่หรือ เงินทำศพซิ่วเอ๋อร์เกินเกณฑ์ไปเพียงนั้นยังไม่ใช่แล้วกันไปหรือไร คิดมาถึงตรงนี้ พ่อบ้านเฮ่อก็ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง นอกจากต่งเหรินแล้ว จวนกั๋วกงก็มีลูกล้างลูกผลาญเพิ่มมาอีกคน ยังดีสะใภ้สี่ที่มือเติบผู้นี้ไม่ได้ดูแลบ้าน

“เรื่องของเรือนลู่ย่วน สะใภ้สี่ตัดสินใจเองก็ได้” พ่อบ้านเฮ่อไม่ได้คิดอะไรต่อ ตอบอย่างนอบน้อม “บ่าวเพียงเกรงว่าท่านจะไม่รู้ถึงธรรมเนียมปฏิบัติ ถูกบ่าวไพร่หลอกลวง จึงได้พูดมากไปหลายประโยค สะใภ้สี่มีเมตตาโอบอ้อมอารี เห็นใจบ่าวไพร่ ก็เป็นบุญวาสนาของสาวใช้ผู้นี้”

“อืม เช่นนั้นก็จัดการตามนั้น” หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะด้วยความพอใจ กวาดตามองห้องโถงที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ “พ่อบ้านเฮ่อกลับไปก่อน เดี๋ยวข้าจะตามไป”

พูดพลางหลวนอวิ๋นชูมองฝูหรงแวบหนึ่ง ฝูหรงก็หยิบเงินก้อนหนึ่งมอบให้เป็นสินน้ำใจ

 

“เจ้าก็รั้งอยู่ที่เรือนเถิด ไม่ต้องตามไปแล้ว”

เห็นสี่หลันจัดแจงเดินตามถึงข้างเกี้ยว เลิกม่านขึ้นให้ตนอย่างกระตือรือร้น หลวนอวิ๋นชูใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกไป

การเลือกสาวใช้ออกจะเป็นเรื่องใหญ่ หลวนอวิ๋นชูถึงกับหลบเลี่ยงนาง

ภายใต้ความงงงันสี่หลันมีสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมผุดขึ้นมาทันที ขอบตาก็แดงเรื่อ นางเป็นคนโปรดข้างกายนายหญิงใหญ่ อยู่ที่เรือนลู่ย่วนแห่งนี้ก็เป็นสาวใช้รุ่นใหญ่อันดับหนึ่ง

“เจ้าก็อย่าคิดไปมากมาย เดิมข้าคิดจะพาเจ้าไปด้วย จะได้ช่วยข้าออกความเห็น” หลวนอวิ๋นชูตบๆ บ่าสี่หลันแล้วยิ้มน้อยๆ “เจ้าก็เห็น เรื่องเปลี่ยนบ่าวไพร่รู้ไปทั่วเรือนลู่ย่วนแล้ว ข้าเป็นห่วงว่าพวกเราหลายคนไปกันหมด คนเหล่านี้จะเอะอะโวยวายขึ้นมา ไม่แน่อาจก่อเรื่องอะไรขึ้น นายหญิงใหญ่ก็จะพูดว่าข้าทำให้บ่าวไพร่เชื่อถือไม่ได้” นางมองฝูหรงแวบหนึ่ง “ข้าก็มาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ไม่อาจกดข่มพวกเขาไว้ได้ อย่างน้อยเจ้าก็เคยอยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่มาก่อน สามารถควบคุมพวกเขาได้”

คำพูดนี้ของหลวนอวิ๋นชูพูดได้ค่อนข้างถ่อมตัว แต่ก็เป็นความจริง สี่หลันพลันดีใจขึ้นมา ก็บอกแล้ว ยามคับขันขึ้นมายังต้องเป็นนางกับสี่จวี๋ ฝูหรงมีคุณสมบัติอะไรกันเล่า

เด็กคนนี้หลอกง่ายเสียจริง!

เห็นสี่หลันรับปากอย่างว่องไว มุมปากของหลวนอวิ๋นชูก็หยักโค้งขึ้น นางตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้สี่หลันสี่จวี๋ได้เข้าใกล้บ่าวไพร่กลุ่มใหม่

คนใหม่กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มคนสายตรงที่นางจะพึ่งพาอาศัยในการใช้ชีวิตอยู่ที่จวนกั๋วกงแห่งนี้ ไม่อาจให้สี่หลันสี่จวี๋มาควบคุมเด็ดขาด

เกี้ยวหลังเล็กแกว่งไกวไปมาราวกับเปล หลวนอวิ๋นชูหลับตาเอนพิงอยู่ข้างใน ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอกอย่างเลอะๆ เลือนๆ พลันลุกขึ้นมานั่งตัวตรง หลวนอวิ๋นชูร้องออกไป

“หยุดเกี้ยว!”

“สะใภ้สี่” ฝูหรงเลิกม่านขึ้น “มีอะไรหรือเจ้าคะ”

“ข้างหน้าคือที่ใด เหตุใดจึงหนวกหูเช่นนี้”

“เป็นเรือนชิ่นย่วนเจ้าค่ะ” จางหมัวมัวที่หามเกี้ยวยื่นหน้ามาตอบ “ท่านก็ไม่ต้องแปลกใจไป อิสตรีในเรือนคุณชายสามมีมาก ทุกวันล้วนเป็นเช่นนี้ แรกๆ ยังมีคนไปชมเรื่องสนุก ช่วยไกล่เกลี่ยสองคำ ต่อมาชินแล้วก็เพียงทำเป็นไม่ได้ยิน”

“สะใภ้สี่จำไม่ได้แล้วหรือ” ฝูหรงกล่าวยิ้มๆ “เมื่อก่อนท่านยังพูดเล่นบอกถ้าวันใดเรือนชิ่นย่วนเงียบเหงา นั่นจึงจะแปลกประหลาด”

มิน่าพานหมิ่นจึงพูดจาคารมคมคาย ไม่ว่าสถานการณ์เช่นใดก็ไม่กลัว ที่แท้เป็นเพราะผ่านศึกสงครามมามาก ผ่านการหล่อหลอมเคี่ยวกรำออกมา ฟังคำพูดนี้แล้ว หลวนอวิ๋นชูก็ไม่มีความอยากรู้อยากเห็นอีก

“เหตุใดจึงเดินมาทางนี้”

“นี่เป็นเส้นทางใกล้ที่สุด” จางหมัวมัวชี้ไปข้างหน้า “ผ่านเรือนชิ่นย่วนไป เดินไปทางเหนืออีกหนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว”

หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะ ทำท่าบอกฝูหรงให้ปล่อยม่านลง

“นั่นไม่ใช่สี่จวี๋หรือ จะรอหรือไม่”

กำลังจะยกเกี้ยวขึ้นก็เห็นสี่จวี๋พาสาวใช้รุ่นเล็กสองคนเดินมาทางด้านนี้อยู่ไกลๆ ฝูหรงจึงเอ่ยปากถาม

หลวนอวิ๋นชูเองก็เห็นสี่จวี๋แล้ว เดิมไม่คิดจะสนใจ พอเห็นฝูหรงถามนางจึงพยักหน้า

เมื่อเห็นหลวนอวิ๋นชู สี่จวี๋ก็รีบสาวเท้าเดินเข้ามาพลางทำความเคารพ

“คารวะสะใภ้สี่ ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ”

“สะใภ้สี่จะไปเรือนจัดการงาน”

ได้ยินคำพูดของฝูหรง สี่จวี๋งงงัน กำลังจะซักถามต่อก็ได้ยินหลวนอวิ๋นชูเอ่ยถาม

“เกิดอะไรขึ้น ในเรือนสะใภ้สามคล้ายมีเรื่องอะไร”

“ครั้งนี้สะใภ้สามเอะอะโวยวายไม่เบาเลย” สี่จวี๋หันกลับไปมอง “บ่าวเห็นท่าไม่ดีจึงรีบลุกหนีออกมาก่อน”

จางหมัวมัวขยับเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “คราวนี้ห้องใดมีปัญหาขึ้นมาอีก”

“บ่าวเพียงเล่าให้ฟัง ทุกคนฟังแล้วก็แล้วไป อย่าเอาไปพูดต่อเด็ดขาด” สี่จวี๋กวาดตามองไปรอบด้านแล้วลดเสียงลง “ไม่ทราบสะใภ้สี่ยังจำได้หรือไม่ ช่วงก่อนหน้านี้คุณชายสามรับสตรีจากข้างนอกมาคนหนึ่งชื่อฉู่เชี่ยนอวิ๋น”

“สะใภ้สี่สูญเสียความทรงจำแล้ว ไหนเลยจะจำเรื่องเหล่านี้ได้”

เห็นสี่จวี๋เปิดโปงจุดอ่อน ฝูหรงจึงพูดฉีกหน้า

สี่จวี๋หน้าแดงพลางยิ้มเจื่อน

“แม่นางเชี่ยนอวิ๋นผู้นี้รูปโฉมงามเลิศล้ำไม่พูดถึง หมาก พิณ คัดอักษร วาดภาพยิ่งเชี่ยวชาญทุกอย่าง โดยเฉพาะเสียงไพเราะดุจนกขมิ้น ในเมืองหลวนเฉิงหาไม่เจอคนที่สองอีก เพียงแต่ครอบครัวยากจนข้นแค้นไปสักหน่อย”

หมาก พิณ คัดอักษร วาดภาพเชี่ยวชาญทุกอย่างเช่นนี้ฟังอย่างไรก็ต้องเป็นคุณหนูจากครอบครัวที่มีเงินและอำนาจ จะมาจากครอบครัวยากจนข้นแค้นได้อย่างไร ฟังมาถึงตรงนี้หลวนอวิ๋นชูก็ขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร

“นี่ก็แปลกแล้ว” ฝูหรงมุ่ยปาก “ครอบครัวยากจนข้นแค้นจะอบรมสั่งสอนบุตรสาวออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร”

“เส้นทางวกวนก็อยู่ที่ตรงนี้ ฝูหรงอย่าเพิ่งใจร้อน ฟังข้าค่อยๆ เล่า” สี่จวี๋ทำสีหน้าท่าทางชวนให้น่าสงสัยยิ่ง “แม่นางเชี่ยนอวิ๋นผู้นี้รูปร่างหน้าตาเฉลียวฉลาดน่ารักน่าเอ็นดู เดิมคุณชายสามรับปากจะให้เป็นอี๋เหนียง แต่พอกลับมาบอกสะใภ้สามก็โวยวายใหญ่โตขึ้นมาทันที เรื่องไปถึงนายท่านกับนายหญิงใหญ่ นายท่านเห็นคุณชายสามรับอี๋เหนียงไว้หกคนแล้ว แม่นางเชี่ยนอวิ๋นผู้นี้มาจากครอบครัวที่ยากจน ฐานะไม่ทัดเทียมคู่ควร จึงไม่รับปาก เพียงบอกถ้าคุณชายสามอยากรับไว้ก็ให้เป็นสาวใช้ห้องข้าง”

“แล้วแม่นางเชี่ยนอวิ๋นก็ยอมหรือ”ฝูหรงถาม

“คิดว่าคงเห็นว่าเรื่องสำเร็จแล้ว ทั้งละโมบในความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของจวนกั๋วกง นางถึงกับตกลงแล้ว วันที่รับตัวเข้ามาได้พาไปให้นายหญิงใหญ่ดูตัว แต่นายหญิงใหญ่กลับบอกว่าด้วยรูปโฉมและความสามารถของนาง แม้แต่ย่าของชาวบ้านธรรมดายังทำได้…” ทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง “คิดไม่ถึงว่านางก็เป็นสาวงามที่ยั่วยวนเสน่ห์คนหนึ่ง นับแต่เข้ามาอยู่ก็ทำให้คุณชายสามลุ่มหลงมัวเมาจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่เพียงหมางเมินอี๋เหนียงทั้งหลาย แม้แต่ธรรมเนียมปฏิบัติที่กำหนดไว้ว่าต้องมาที่ห้องสะใภ้สามก็ยกเลิก แต่ละห้องที่เดิมแย่งชิงหึงหวงกัน ทุกวันต้องเอะอะโวยวายจนเดือดร้อนกระทั่งไก่กระทั่งสุนัขช่วงนี้กลับพร้อมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน”

ได้ยินคำพูดนี้จางหมัวมัวก็ชี้ไปข้างหน้า “นี่ไม่ใช่เอะอะโวยวายขึ้นมาอีกแล้วหรือ”

“นี่เพราะเรื่องถูกเปิดโปงแล้ว” สี่จวี๋มองซ้ายมองขวา ก้าวมาข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง เสียงยิ่งเบาลง “ไม่ทราบอี๋เหนียงคนใดแอบไปสืบมาถึงรู้ว่านางถึงกับเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของสำนักนางโลมชุ่ยอวิ๋น ถูกคุณชายสามไถ่ตัวมา เพราะกลัวจะถูกตรวจสอบพบ ไม่กล้ามอบฐานะที่เอิกเกริกให้ ถึงได้ซื้อฐานะใหม่ว่าเป็นครอบครัวที่ยากจน คาดไม่ถึงว่ายังมีพิรุธ ถูกตรวจสอบออกมา”

“บรรพบุรุษของข้า! แม้แต่คนของสำนักนางโลมก็กล้ารับเข้ามาไว้ในจวน นายหญิงใหญ่ทราบเรื่อง ไยมิใช่ต้องถูกถลกหนังหรือ”

จางหมัวมัวตาเบิกกว้าง นางอยู่ในจวนมานาน รู้ธรรมเนียมปฏิบัติดี ตอนคุณชายใหญ่ยังมีชีวิตอยู่เคยหลงรักหญิงนางโลมคนหนึ่ง ไถ่ตัวออกมาแล้วแอบเลี้ยงดูไว้นอกจวน ไม่รู้อย่างไรถูกนายหญิงใหญ่รู้เรื่องเข้า ฉวยโอกาสตอนคุณชายใหญ่ไม่อยู่ในเมืองหลวนเฉิง พาคนไปด้วยตนเอง ลงมือทุบตีอย่างหนักเหลือเพียงครึ่งชีวิต คืนที่คุณชายใหญ่กลับมาก็สิ้นลม นี่ยังไม่พูดถึงว่าคุณชายใหญ่ยังถูกลงโทษให้คุกเข่าอยู่ในศาลบรรพชน สุดท้ายเป็นสะใภ้ใหญ่ที่ปวดใจ ไปวิงวอนขอความเมตตาต่อนายหญิงใหญ่ ถึงได้ถูกปล่อยกลับมา ต่งเหรินผู้นี้ขวัญกล้ายิ่งนัก ถึงกับพาคนเข้ามาอยู่ในจวนอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ต้องการชีวิตแล้วจริงๆ

จางหมัวมัวเพิ่งถามจบ ป้าสวี่หญิงรับใช้สูงวัยที่หามเกี้ยวอีกคนก็ขยับเข้ามาใกล้

“สวรรค์ สาวงามอันดับหนึ่งของสำนักนางโลมชุ่ยอวิ๋น! สถานที่แห่งนั้นแม้บ่าวจะไม่เคยไป แต่ก็เคยได้ยินคนพูดถึง มีชื่อเสียงคู่กันมากับสำนักนางโลมหลิงหลง ค่าตัวหญิงสาวที่อยู่ที่นั่นสูงจนน่าตกตะลึง ไม่ต้องพูดถึงอันดับหนึ่ง ต่อให้เป็นหญิงสาวธรรมดา เงินค่าไถ่ตัวก็ต้องนับร้อยนับพัน คุณชายสามเอาเงินมาจากไหน แล้วยังเอาไปซื้อฐานะอีกด้วย”

“นั่นสิ บ่าวเคยได้ยินอิ๋งชุนบอก คุณชายสามวันๆ สำมะเลเทเมา ติดหนี้ติดสินมากมาย” ฝูหรงก็พยักหน้าตาม “ที่หยิบยืมไปล้วนเป็นของส่วนกลาง ถูกสะใภ้ใหญ่รายงานไปที่นายท่าน ถูกด่าอยู่พักใหญ่ แต่ก็แล้วกันไป เพียงไม่ให้เขาหยิบยืมอีก ครั้งนี้ไปเอาเงินจากไหนมาอีก”

“เรื่องพวกนี้เพียงปิดบังนายหญิงใหญ่ไว้เท่านั้น หาไม่คงเกิดเรื่องไปนานแล้ว นายหญิงใหญ่ดูแลจัดการบ้าน ให้ความสำคัญเรื่องความเที่ยงธรรมที่สุด พวกท่านคอยดูไปเถอะ เรื่องนี้ช้าเร็วต้องเป็นมูลเหตุของหายนะ” พูดแล้วสี่จวี๋ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ทว่า…ไถ่ตัวแม่นางเชี่ยนอวิ๋นในครั้งนี้ คุณชายสามไม่ได้ใช้เงินของในจวนจริง ได้ยินว่าคุณชายเจียงออกให้”

“คนเสเพลผู้นั้นอีกแล้ว” ฝูหรงแค่นเสียงเย็นชา “มีเขาอยู่ด้วยต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่”

พูดถึงเจียงเสียน หลวนอวิ๋นชูก็นึกถึงตุ๊กตาหยกเหลืองที่เขามอบให้ต่งกั๋วกงและงาช้างแกะสลักที่มอบให้เรือนลู่ย่วนเหล่านั้น ไม่ว่าชิ้นไหนล้วนมูลค่าสูงลิ่ว ในเมื่อมีเงินมากเพียงนี้ เหตุใดไม่ไปก่อตั้งบ้านเรือนของตนเอง กลับสมัครใจมอบกายถวายชีวิตให้จวนกั๋วกง

หัวคิ้วขยับเข้าหากัน เจียงเสียนผู้นี้นับเป็นปริศนาอย่างหนึ่ง

ขณะกำลังคิดก็ได้ยินป้าสวี่ถามด้วยความฉงน

“รู้ว่าแม่นางเชี่ยนอวิ๋นเป็นหญิงนางโลม เหตุใดสะใภ้สามจึงไม่รายงานนายหญิงใหญ่ กลับมาหาเรื่องปวดหัวอยู่ในเรือนชิ่นย่วนเช่นนี้”

รายงานนายหญิงใหญ่แล้ว ฉู่เชี่ยนอวิ๋นไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนัง ไม่อาจอยู่ในเรือนชิ่นย่วนได้อีกแล้ว นอกจากนี้ยังไม่อาจโยนความผิดให้พานหมิ่น ต่งเหรินก็เพียงแค้นอี๋เหนียงผู้นั้นที่สืบเรื่องฐานะของฉู่เชี่ยนอวิ๋นออกมา กล่าวสำหรับพานหมิ่นแล้วเป็นการยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว

เรื่องดีๆ เรื่องหนึ่งเช่นนี้ เหตุใดพานหมิ่นกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

หลวนอวิ๋นชูก็กำลังสงสัย เห็นหญิงรับใช้สูงวัยถามจึงมองไปที่สี่จวี๋

สี่จวี๋ยิ้มแล้วบอก

“ถ้านางคิดเช่นนั้นก็ไม่ใช่สะใภ้สามแล้ว ยังจะปล่อยให้เรือนชิ่นย่วนวุ่นวายโกลาหลทุกวันหรือ”

ทุกคนต่างหัวเราะกันครืนใหญ่ ฝูหรงมองไปที่ด้านหน้า หยุดหัวเราะแล้วถามขึ้น

“แล้ว…เพราะเหตุใดจึงได้เอะอะโวยวายกันขึ้นมาเล่า”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับรูปเล่ม เดือน สิงหาคม 2564)

หน้าที่แล้ว1 of 21

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: