บทที่ 1
ตู้ถิงหลันทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้เวลาล่วงเลยมามากแล้ว หงหนูก็ไปตั้งหลายชั่วยามเต็มที เพราะเหตุใดถึงยังไม่กลับมา
ไม่รู้ว่าสาวใช้ผู้นี้ได้พบกับหลูจ้าวอันหรือไม่ งานเลี้ยงของเหล่าบัณฑิตจิ้นซื่อ ใกล้จะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า ถ้าขืนมัวรีรอต่อไปมิต้องเอ่ยถึงการซักถาม แม้กระทั่งโอกาสจะพบกันสักครั้งก็เลิกฝันไปได้เลย
พอคิดถึงหลูจ้าวอันขึ้นมาหัวใจของตู้ถิงหลันก็ร้อนรนปานกระทะทอดน้ำมันกระนั้น กว่าครึ่งเดือนมานี้เขาหลบเลี่ยงไม่ยอมพบหน้า พานทำให้นางกลัดกลุ้มจนแทบจะล้มป่วย ต่อให้เขาต้องการทรยศคำสาบาน อย่างไรก็ต้องมาพูดคุยกับนางซึ่งหน้าให้รู้เรื่อง
ตู้ถิงหลันไม่อาจเฝ้ารออยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไปจึงลุกขึ้นมองสำรวจรอบกายท่ามกลางความเงียบงัน มารดาชมการแสดงศิลปะและกายกรรมอยู่ที่ลานการแสดงในสวนฝั่งตะวันตก สมาชิกครอบครัวที่เป็นสตรีต่างไปชมดอกไม้ในสวนกันหมด บริเวณนี้ไม่มีผู้ใดอยู่เลยสักคน เป็นโอกาสเหมาะให้ลอบออกจากอารามพอดี
ตู้ถิงหลันขบกัดริมฝีปาก ขณะจะวางกรรไกรเย็บปักในมือลง จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะพูดคุยดังมาจากระเบียงทางเดิน
“ปีนี้วิชาหมิงจิงมีคนสอบผ่านร้อยกว่าคน ส่วนวิชาจิ้นซื่อกลับมีคนผ่านน้อยนิดแค่ยี่สิบคน อายุก็มากกันแล้วทั้งนั้น เกินกว่าครึ่งล้วนแต่งงานกันหมด ได้ยินมาว่าอายุมากที่สุดปาเข้าไปห้าสิบกว่าปี บุตรชายบุตรสาวที่อยู่ข้างกายอายุมากกว่าอาหว่านด้วยซ้ำ” ฮูหยินผู้หนึ่งกล่าว
“ก็ใช่น่ะสิ” ฮูหยินอีกคนหัวเราะเบาๆ “คิดไม่ถึงว่าสกุลหวังจะหันมามองบุรุษอายุมากเพื่อเลือกเฟ้นเขยขวัญให้บุตรสาวเช่นนี้”
“ความจริงก็ไม่แปลกนักที่ปีนี้สกุลหวังจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ หลายวันก่อนพวกเจ้าอยู่เมืองลั่วหยาง ไม่รู้ข่าวว่าผู้คว้าอันดับหนึ่งในการสอบวิชาจิ้นซื่อครั้งนี้เป็นคุณชายอายุยี่สิบต้นๆ คนผู้นี้ชื่อหลูจ้าวอัน นอกจากเขียนบทกวีได้ยอดเยี่ยม หน้าตายังหล่อเหลามีสง่าราศี ใช่ว่าจะมีแค่สกุลหวังที่สนใจอยากได้เป็นบุตรเขย ขุนนางใหญ่มากอำนาจตระกูลอื่นจำนวนหนึ่งก็สืบข่าวของหลูจิ้นซื่อผู้นี้อยู่”
ชื่อ ‘หลูจ้าวอัน’ สามคำที่ได้ยินผ่านม่านไข่มุกช่างระคายหูหาใดเปรียบ หัวใจของตู้ถิงหลันราวกับเกิดเกลียวคลื่นโหมซัดสาดจนลืมไปเสียสนิทเลยว่ายังกำกรรไกรเย็บปักเอาไว้ในมือ
“แต่เมื่อคืนข้าได้ยินเจ้ารองบ้านข้าบอกว่าในวันประกาศผลสอบมุขมนตรีเจิ้งแห่งสำนักบริหารได้ยินว่าหลูจ้าวอันคว้าอันดับหนึ่งมาครอง ก็รีบเรียกตัวเขามาซักถามประวัติ ถามไล่เลียงตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษสกุลหลูลงมา คงหมายมั่นจะยกบุตรสาวให้แต่งงานด้วยนั่นล่ะ ถ้าหากคุณชายหลูยังไม่ได้แต่งงานมีภรรยาที่เมืองหยางโจว เป็นไปได้มากว่ามุขมนตรีเจิ้งจะตกลงเรื่องการทาบทามสู่ขอแล้ว”
คำพูดประโยคนี้สร้างความตื่นตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว ฮูหยินอีกคนกล่าวขึ้นว่า “คุณชายหลูประสบความสำเร็จในการสอบจนเป็นที่รู้จักไปทั่วหล้า ส่วนสกุลเจิ้งแห่งเมืองสิงหยางก็เป็นถึงตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงบารมีสั่งสมมานับร้อยปี จะว่าไปแล้วก็มีวาสนาเหมาะสมกัน ในเมื่อขุนนางระดับสูงเช่นนั้นมาถามด้วยตนเอง คุณชายหลูตอบกลับไปเช่นไรเล่า”
“คุณชายหลูบอกว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน”
ใบหน้าตู้ถิงหลันซีดเผือดไปในพริบตา การคาดเดาเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าการได้ยินกับหูตนเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นคนผู้นี้กลับลืมนางไปจนหมดสิ้น
คำสาบานภายใต้ดวงอาทิตย์สว่างเจิดจ้าคล้ายยังดังก้องในโสตประสาท ตอนแรกทำให้นางเคลิบเคลิ้มหลงใหลอย่างห้ามไม่อยู่เช่นไร ตอนนี้กลับเสียดสีได้เจ็บแสบเป็นเท่าทวี
เงาร่างคนนอกม่านไข่มุกปรากฏเลือนราง พอเห็นว่าจะมีใครเดินเข้ามาตู้ถิงหลันก็ฝืนเท้าแขนเตรียมลุกขึ้นยืน แต่ทันใดนั้นเองก็รู้สึกถึงความร้อนชื้นตรงกลางฝ่ามือ พอก้มศีรษะลงถึงเห็นว่าโดนกรรไกรกรีดเป็นแผล หยดเลือดไหลรินไม่ขาดสาย สีแดงสดบาดตาสะท้านหัวใจ
ตู้ถิงหลันมองภาพสีแดงฉานอันพร่ามัวราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง วันนี้ได้แต่นึกเสียใจว่าในอดีตเหตุใดถึงดื้อดึงจะไปเดินเล่นรับฤดูใบไม้ผลิ แถบชานเมืองหยางโจว ถ้าหากไม่มีการพบกันโดยบังเอิญกลางป่าดอกท้อครั้งนั้น ไหนเลยจะมีความอัปยศในวันนี้
“คุณหนู!” มีคนผู้หนึ่งใช้ผ้าเช็ดหน้ากดปากแผลเอาไว้แน่น ตู้ถิงหลันเงยหน้ามองอย่างเหม่อลอยก็เห็นหงหนูมองนางด้วยแววตาตื่นตระหนก เมื่อครู่นางเฝ้ารอให้สาวใช้ผู้นี้นำคำพูดของนางไปบอกหลูจ้าวอัน ตอนนี้พอนึกถึงคนผู้นั้นขึ้นมาก็รู้สึกคลื่นไส้แล้ว
หงหนูรีบร้อนตรวจดูบาดแผลเสร็จ ก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาพร้อมกระซิบบอกว่า “คุณชายหลูให้ข้าน้อยนำกระดาษสีแผ่นนี้มาให้คุณหนู บอกว่าต้องการให้ท่านไปพบเขาที่ป่าไผ่นอกหอเยวี่ยเติงเจ้าค่ะ”
ตู้ถิงหลันหัวเราะเย้ยหยันคำหนึ่งพลางแย่งกระดาษไฉ่เซิ่ง นั้นมา ตั้งใจจะฉีกเป็นชิ้นๆ ทว่าจนปัญญาที่นิ้วมือสั่นระริก ลองฉีกทึ้งรอบหนึ่งแล้วก็ยังไม่ขาด กลับทำให้บาดแผลกลางฝ่ามือเปิดกว้างอีกครั้ง
เถิงอวี้อี้เลิกม่านแล้วย่างเท้าเข้ามาในห้องพร้อมอุทานอย่างประหลาดใจว่า “เอ๊ะ! ญาติผู้พี่ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกหรือ”
สามเณรีน้อยก็พลอยตกใจไปด้วย ก่อนหน้านี้เหล่าสตรีสูงศักดิ์ต่างไปชมการแสดงศิลปะและกายกรรมที่ลานการแสดงในสวนฝั่งตะวันตก คุณหนูตู้รับอาสาอยู่ตัดกระดาษไฉ่เซิ่งเอง บนโต๊ะน้ำชายังวางแผ่นทองคำเปลวที่ตัดเสร็จเรียบร้อยไว้หลายแผ่น แต่ยามนี้นางกลับหายตัวไปแล้ว
ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร วันนี้เป็นวันเทศกาลซั่งซื่อ ชาวบ้านส่วนใหญ่ออกนอกเมืองมาทำพิธีฝูซี่ เนื่องจากอารามจิ้งฝูของพวกนางอยู่ติดกับสระฉวี่เจียงจึงมีรถม้าจอดแน่นเต็มหน้าประตูตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ภายในอารามพื้นที่กว้างขวางเช่นนี้จะดูแลให้ทั่วถึงทุกซอกทุกมุมได้อย่างไร
“ข้าก็ไม่รู้ว่าสีกาตู้อยู่ที่ใดเช่นกัน แต่ด้านหน้าพวกชาวหู เริ่มการแสดงแล้ว ไม่แน่ว่าสีกาตู้อาจไปที่ลานการแสดงแล้วก็ได้ สีกาเถิงจะให้ข้านำทางท่านหรือไม่”
สามเณรีน้อยกล่าวพลางมองสำรวจเถิงอวี้อี้ สตรีตรงหน้าสวมหมวกม่านแพร มองเห็นข้อมือขาวผุดผ่องดั่งหยกภายใต้ผ้าคลุมเนื้อโปร่ง แม้จะมองเห็นรูปโฉมไม่ชัดเจน แต่อากัปกิริยานุ่มนวลแลดูมีเสน่ห์ เพียงพิศมองก็รู้ว่าต้องเป็นโฉมสะคราญนางหนึ่งแน่ วันนี้ในอารามมีสตรีจากครอบครัวตระกูลขุนนางอยู่มากมาย สำหรับสตรีที่มีความโดดเด่นถึงเพียงนี้พบเห็นน้อยนัก ได้ยินว่าเป็นญาติฝ่ายมารดากับตู้ถิงหลันผู้นั้น ไม่รู้ว่ามีเรื่องด่วนอะไร พอเข้าอารามมาก็ถามหาคนสกุลตู้
สามเณรีน้อยได้ยินเถิงอวี้อี้เอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ไม่ต้องหรอก ญาติผู้พี่ของข้าไม่ชอบดูกายกรรม บางทีอาจจะชมดอกไม้อยู่ในสวน ท่านส่งเท่านี้ก็พอ ข้าจะไปตามหานางเอง”
เมื่อเดินไปได้สองก้าวเถิงอวี้อี้พลันหันกลับมาแล้วชี้ไปทางโต๊ะน้ำชา “ญาติผู้พี่ของข้าตัดกระดาษไฉ่เซิ่งพวกนี้เอาไว้หรือ”
สามเณรีน้อยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยตอบ “ใช่แล้ว”
“ข้าจะไปหาญาติผู้พี่พอดี ท่านจะให้ข้าเอากระดาษไฉ่เซิ่งพวกนี้ไปด้วยได้หรือไม่”
เดิมทีก็เป็นของที่ทำเล่นฆ่าเวลา อีกอย่างวัสดุที่ใช้ก็มิใช่แผ่นทองคำกับแผ่นหยกของอาราม สามเณรีน้อยรีบเอ่ยว่า “เชิญตามสบาย”
ในตอนนี้เองก็มีสามเณรีอีกรูปหนึ่งเดินตรงเข้ามา “ฝ่าบาทจะเสด็จทอดพระเนตรงานเลี้ยง คืนนี้เมืองฉางอันไม่มีกฎห้ามออกนอกเรือนยามวิกาล งานเลี้ยงของเหล่าบัณฑิตจิ้นซื่อที่หอเยวี่ยเติงตรงริมน้ำจะเริ่มแล้ว ท่านเจ้าอารามสั่งให้คอยดูแลเหล่าภิกษุณีให้ดี ไม่อนุญาตให้เข้าไปใกล้หอเยวี่ยเติง”
สามเณรีน้อยรับฟังอย่างอ่อนน้อมตั้งใจ มิน่าเล่าเมื่อครู่หน้าประตูอารามมีบุรุษหนุ่มน้อยขี่อาชาสีขาวสวมอานเงินผ่านไปมากมาย ที่แท้พวกเขาก็มุ่งหน้ามาร่วมงานเลี้ยงเหล่าบัณฑิตจิ้นซื่อที่จัดขึ้นปีละครั้ง
“ทราบแล้ว” พอหันกลับไปถึงพบว่าเถิงอวี้อี้เก็บกระดาษไฉ่เซิ่งจากไปเรียบร้อยแล้ว
เถิงอวี้อี้เดินไปพลางมองสำรวจหอเยวี่ยเติงที่อยู่ไม่ไกลไปพลาง อาคารสูงสีแดงชาด กระเบื้องหลังคาสีเขียวมรกตหรูหรางดงาม อำพรางตัวอยู่ท่ามกลางสีสันยามพลบค่ำอันเลือนราง ใต้มุมชายคายกโค้งจุดโคมแก้วส่องแสงสว่างไสว
ในชาติก่อนญาติผู้พี่แซ่ตู้จบชีวิตลงในค่ำคืนเทศกาลซั่งซื่อนี่เอง สาวใช้ชื่อหงหนูก็โดนสังหารอย่างเหี้ยมโหดเช่นกัน คราแรกก็ติดตามท่านป้าเข้าไปไหว้พระในอารามจิ้งฝูอยู่ดีๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงลอบออกจากอารามไปตามอำเภอใจ กว่าจะตามหาพวกนางพบนายบ่าวคู่นี้ก็กลายเป็นศพอยู่กลางป่าไผ่ไม่ไกลจากหอเยวี่ยเติงเสียแล้ว
ตอนเกิดเรื่องเถิงอวี้อี้ยังอยู่ที่เมืองหยางโจว นางก็รู้เช่นกันว่าญาติผู้พี่ตายอย่างน่าพิศวง
ญาติผู้พี่เป็นคนกตัญญูและสุขุมเยือกเย็นมาตลอด ต่อให้ไม่ชื่นชอบความสนุกสนานรื่นเริง ก็จะคอยดูแลปรนนิบัติข้างกายท่านป้า เพราะเหตุใดกันท่านป้าไปชมการแสดงในสวนฝั่งตะวันตกแล้ว ญาติผู้พี่กลับรั้งอยู่ในห้องโถงอันเงียบสงบ
กระดาษไฉ่เซิ่งพวกนี้ยิ่งน่าแปลกใจเข้าไปใหญ่ วันนี้มิใช่ ‘วันกำเนิดมนุษย์’ เสียหน่อย เหตุใดจู่ๆ ญาติผู้พี่นึกอยากตัดพวกมันขึ้นมาได้ ถ้าหากนางมีเจตนาหาโอกาสอยู่ตามลำพัง แล้วตัดกระดาษไฉ่เซิ่งเพื่อส่งข่าวให้ผู้ใดกัน
เถิงอวี้อี้พลิกดูแผ่นทองคำในมืออย่างรวดเร็ว ค้นหาอยู่พักใหญ่ก็ยังหาข้อความอะไรไม่เจอสักคำ นางไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด แม้ญาติผู้พี่มีอุปนิสัยนุ่มนวล ทว่าเมื่อลงมือทำสิ่งใดขึ้นมาแล้วกลับรอบคอบรัดกุมอย่างยิ่ง ชาติก่อนท่านลุงเขยกับท่านป้าตรวจสอบเรื่องนี้อยู่นาน จนแล้วจนรอดก็ยังตามหาไม่เจอว่าคนที่ล่อลวงญาติผู้พี่ออกไปพบนอกอารามเป็นใคร
พอนึกถึงสภาพน่าเวทนาในอดีตของญาติผู้พี่หลังโดนรัดคอจนสิ้นใจ เถิงอวี้อี้ก็เงยหน้ามองดูท้องฟ้าอย่างชิงชัง ตอนนี้สายมากแล้ว เดิมทีอยากไปตามหาญาติผู้พี่พร้อมกับท่านป้า แต่เกรงว่าชักช้าจะไม่ทันกาล
“ปี้หลัว เจ้ากับชิงกุ้ยรีบไปหาท่านป้าที่สวนฝั่งตะวันตก ข้าจะพาไป๋จื่อไปที่ป่าไผ่นอกอาราม ถ้าหากท่านป้ามาแล้วข้ากับญาติผู้พี่ยังไม่กลับมา ก็ให้นางพาคนไปตามหาพวกเราในป่าไผ่นอกหอเยวี่ยเติง จำไว้ว่าต้องเร่งมือ”
ปี้หลัวกับชิงกุ้ยกล่าวรับคำ เถิงอวี้อี้ลูบคลำเทียบเชิญในแขนเสื้อแผ่นนั้น โชคดีที่ก่อนมานางเตรียมการไว้พร้อมสรรพแล้ว
หน้าประตูอารามเงียบเหงากว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย ผู้คนที่ออกมาท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลไปชมการแสดงในสวนฝั่งตะวันตก บนแท่นการแสดงยกพื้นสูงชาวหูที่นับถือศาสนาพราหมณ์กำลังแสดงการใช้เวทมนตร์ ทันทีที่เสียงดนตรีเปลี่ยนไปสตรีชาวหูจากอาณาจักรคังก็เริ่มบิดเอวร่ายรำระบำเจ้อจือ แสนยั่วยวน
เสียงเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดลอยมาเข้าหู เถิงอวี้อี้นั่งอยู่บนรถม้าขนาดเล็ก แหวกผ้าม่านมองออกไปภายนอก เพราะเดิมทีก็เป็นเทศกาลซั่งซื่อ ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีกฎห้ามออกนอกเรือนยามวิกาล สามัญชนคนธรรมดาไม่ต้องเอ่ยถึง แม้แต่บุตรหลานขุนนางชั้นสูงก็มาหาความสำราญที่นี่ด้วย
ระหว่างลัดเลาะริมน้ำมุ่งหน้าสู่หอเยวี่ยเติงจะมองเห็นคุณชายกับหญิงงามสวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราแพงระยับได้ตลอดทาง
เถิงอวี้อี้กับไป๋จื่อสอดส่องสายตามองไปทั่วทิศแต่ก็ยังตามหาตู้ถิงหลันท่ามกลางฝูงชนไม่พบ
เมื่อมาได้ไกลราวครึ่งทางรถม้าก็หยุดชะงักกะทันหัน บ่าวชายชื่อตวนฝูมาขวางหน้ารถไว้
“บริเวณนี้ผู้คนสัญจรหนาแน่นเกินไป ข้าน้อยสอบถามพวกเขามาแล้ว คนที่เคยเห็นคุณหนูตู้มีแค่พ่อค้าขายโจ๊กหวานผู้หนึ่ง คนผู้นี้บอกว่าคุณหนูตู้พาสาวใช้เดินเลียบแม่น้ำมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ขอรับ”
เถิงอวี้อี้ทอดสายตามองตามไป บริเวณนั้นเป็นป่าไผ่ผืนหนึ่ง นางรีบบอกกับตวนฝูว่า “ตามมาหลังรถ”
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว เหตุไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นในชั่วพริบตา คนบังคับรถม้ายิ่งสะบัดแส้เร่งความเร็ว
ที่นั่นเป็นป่าไผ่ขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองฉางอัน มีอาณาบริเวณกว้างขวางเชื่อมต่อกันไกลสุดสายตา ถ้าหากมีผู้ใดเข้าไปจะหลงทางอย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ในชาติก่อนคนผู้นั้นจึงสังหารญาติผู้พี่กับหงหนูในป่าได้อย่างเงียบงันแล้วยังหายตัวไปโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ชาติก่อนเมื่อเถิงอวี้อี้เร่งเดินทางมาถึงเมืองฉางอัน ร่างไร้วิญญาณของตู้ถิงหลันก็อยู่ในโลงเรียบร้อยแล้ว ขณะช่วยท่านป้าจัดเก็บข้าวของที่เหลืออยู่ทั้งน้ำตาถึงรู้ว่าวันที่เกิดเรื่องญาติผู้พี่สวมกระโปรงสีทองอวี้จิน ซึ่งเป็นกระโปรงที่นางมอบให้เป็นของขวัญวันเกิด
กระโปรงตัวนี้มีราคาสูงดั่งทองคำ ได้รับการตัดเย็บอย่างประณีตจากสองมือของหญิงเย็บปักชาวหยางโจว สีสันดั่งทองคำแลดูอบอุ่น งามล้ำเลอค่าดุจเมฆหลากสี แม้กระทั่งเมืองที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูเช่นเมืองฉางอันก็พบเห็นได้ไม่มากนัก
วันนี้นางเตรียมการมาล่วงหน้า พอเดินทางมาถึงอารามจิ้งฝูก็ส่งตวนฝูออกไปตามหาญาติผู้พี่ข้างนอกเป็นอันดับแรกโดยอาศัยกระโปรงสีทองอวี้จินเป็นเบาะแส สุดท้ายก็สามารถสืบร่องรอยของญาติผู้พี่ได้รวดเร็วอย่างที่คาดคิดไว้
ป่าไผ่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล นางยิ่งมุ่งหน้าไปเท่าไรผู้คนสัญจรก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ
เถิงอวี้อี้หยิบของชิ้นหนึ่งจากในอกเสื้อออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สาวใช้นามไป๋จื่อที่อยู่ข้างกายถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม
เมื่อหลายวันก่อนระหว่างเดินทางจากเมืองหยางโจวมายังเมืองฉางอัน คุณหนูไม่ทันระวังพลัดตกน้ำจนป่วยหนัก พอฟื้นคืนสติก็เริ่มหยิบกระบี่ประหลาดเล่มนี้ออกมาหมุนเล่น
กระบี่สั้นเล่มนี้สร้างขึ้นจากหยกมรกต ตัวกระบี่เป็นสีเขียวมันวาวตลอดทั้งเล่ม ความยาวประมาณหนึ่งฉื่อ ไม่รู้ว่าคุณหนูไปได้มาจากที่ใด สองสามวันที่ผ่านมานี้มักหยิบมาหมุนเล่นเป็นประจำ นางมองแล้วรู้สึกว่าแปลกตาอยู่บ้าง กระบี่เป็นอาวุธที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นที่สุดในใต้หล้า มีอย่างที่ใดกันนำหยกมรกตไปทำกระบี่
ยิ่งไปกว่านั้นหลังฮูหยินจากโลกนี้ไปคุณหนูก็ไม่เคยหยิบอาวุธในจวนออกมาเล่นอีกเลย มีฐานะเป็นบุตรสาวแม่ทัพผู้เลื่องชื่อ กลับถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมเสียยิ่งกว่าคุณหนูตระกูลขุนนางบัณฑิต แม้ครั้งนี้ทันทีที่ลงจากเรือคุณหนูจะวิ่งตรงไปที่อารามจิ้งฝูก็แล้วไปเถอะ แต่ก็ยังเก็บกระบี่หยกมรกตซ่อนไว้ในแขนเสื้อ
ไป๋จื่อดูแลรับใช้เถิงอวี้อี้มาตั้งแต่เล็ก รู้ซึ้งดีว่าเจ้านายตัวน้อยผู้นี้แม้ใบหน้าจะงดงามอ่อนหวานทว่าเก็บอุบายแผลงๆ เอาไว้ข้างในเต็มไปหมด เหล่าคุณหนูตระกูลขุนนางที่ปกติไปมาหาสู่กับจวนสกุลเถิงไม่ว่าในที่ลับหรือที่แจ้งล้วนเคยเผชิญฤทธิ์เดชของคุณหนูเถิงมาแล้ว
นายท่านเฝ้าพิทักษ์ชายแดนตลอดทั้งปี ไม่อาจปลีกตัวมาอบรมสั่งสอนบุตรสาว เมื่อเห็นว่านิสัยคุณหนูนับวันจะเจ้าเล่ห์แสนกลมากขึ้นทุกทีจึงจำใจส่งคุณหนูไปที่จวนสกุลตู้แห่งเมืองหยางโจว มอบให้ตู้ฮูหยินผู้เป็นป้าคอยอบรมสั่งสอนแทน
สกุลตู้ยึดมั่นในความสุจริตเที่ยงธรรมเสมอมา ตู้ฮูหยินดีต่อคุณหนูราวกับเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองก็ไม่ปาน บุตรสาวคนโตของสกุลตู้นามว่าตู้ถิงหลัน ก็ให้ความสำคัญกับญาติผู้น้องผู้นี้ทุกเรื่อง พออยู่ร่วมกันมานานหลายปีคุณหนูจึงมองท่านป้ากับญาติผู้พี่เป็นยิ่งกว่าญาติสนิท เพียงแต่นิสัยใจคอนางผิดแผกจากคนทั่วไปมากโข ไม่ยอมเอ่ยปากออกไปตรงๆ ก็เท่านั้น ทว่าเมื่อเอ่ยถึงคนที่คุณหนูใส่ใจมากที่สุดในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดเทียบเท่าตู้ฮูหยินกับคุณหนูตู้แล้ว
ไป๋จื่อคาดเดาไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดคุณหนูของนางถึงร้อนใจมากเช่นนี้ แต่ก็มองเห็นความดุร้ายวาบผ่านในแววตาของเถิงอวี้อี้ได้ชัดเจน ถ้าหากยังตามหาตู้ถิงหลันไม่พบล่ะก็ อีกฝ่ายจะต้องก่อเรื่องน่าตกใจที่ผู้ใดก็คาดไม่ถึงแน่นอน
ไป๋จื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะเอ่ยปากอย่างตะลึงงัน “คุณหนู ท่านดูสิเจ้าคะ”
เถิงอวี้อี้เก็บกระบี่หยกมรกตไว้ในแขนเสื้อตามเดิม ตรงปากทางเข้าป่าไผ่มีรถม้าประดับตกแต่งอย่างหรูหราจอดอยู่คันหนึ่ง
ดูท่าทางเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน เหล่าบ่าวไพร่กำลังยุ่งอยู่กับการตั้งกระโจมนอกป่าไผ่ เพียงครู่เดียวก็มองออกว่าการจัดการสุดเอิกเกริกเช่นนี้เกรงว่าคงไม่ใช่ขุนนางหรือชนชั้นสูงทั่วไป
ไป๋จื่อเผยสีหน้าฉงนสงสัย ส่วนเถิงอวี้อี้กลับสวมหมวกม่านแพรเรียบร้อยแล้วลงจากรถม้า เดินตรงไปทางป่าไผ่โดยมองไม่เห็นบ่าวไพร่เหล่านั้นอยู่ในสายตา
เมื่อกลุ่มบ่าวไพร่มองเห็นเถิงอวี้อี้ก็รีบก้าวเข้ามาขวางทางไว้ “คุณหนูท่านนี้โปรดหยุดก่อน”
เถิงอวี้อี้จัดเสื้อผ้าอาภรณ์ตามมารยาท ก่อนคลี่ยิ้มพร้อมเอ่ยถาม “สถานที่แห่งนี้มิใช่เขตหวงห้าม เหตุใดไม่ยอมให้ผ่านเข้าไปเล่า”
บ่าวชายผู้หนึ่งตอบว่า “คุณชายของพวกเราจะไปเล่นจีจวี ริมแม่น้ำ ดังนั้นบริเวณนี้จึงกางผ้าม่านล้อมไว้ รอให้เขาออกจากป่าแล้วย่อมปล่อยให้ผ่านไปได้โดยสะดวก”
สีหน้าไป๋จื่อแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่ช่างเป็นวาจาโอหังเสียนี่กระไร ป่าไผ่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล บอกว่าไม่ยอมให้เข้าก็ได้เช่นนั้นหรือ
เถิงอวี้อี้กลับระงับโทสะเอาไว้ได้ นางพยักหน้ารับรู้แล้วกล่าวยิ้มๆ “บังเอิญจริง พอดีข้าก็ต้องใช้เส้นทางลัดไปริมแม่น้ำเพื่อร่วมงานเลี้ยงน่ะสิ”
บ่าวไพร่หลายคนต่างหันมองหน้ากัน งานเลี้ยงริมแม่น้ำไม่ได้มีเพียงแห่งเดียว ผู้ร่วมงานทั้งหลายล้วนเป็นผู้มีฐานะสูงศักดิ์และขุนนางตำแหน่งใหญ่โต สตรีนางนี้เดินทางอย่างเรียบง่ายพร้อมด้วยผู้ติดตามน้อยนิดจนมองที่มาที่ไปไม่ออกเลยจริงๆ
“ในเมื่อจะไปร่วมงานเลี้ยง คิดว่าคุณหนูคงต้องมีเทียบเชิญ”
“เทียบเชิญรึ”
ทันใดนั้นเองบ่าวหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนหน้ารถม้าก็เอ่ยว่า “คืนวันนี้นอกจากงานเลี้ยงเหล่าบัณฑิตจิ้นซื่อ ฝ่าบาทก็จะเสด็จเยือนหอจื่ออวิ๋นเพื่อทอดพระเนตรงานเลี้ยงเช่นกัน คุณชายบุตรหลานเชื้อพระวงศ์ตามเสด็จด้วยไม่น้อย ถ้าหากข่าวแพร่งพรายออกไปคงดึงดูดเหล่าคุณหนูผู้โง่เขลาไร้สมองได้มากทีเดียว”
เถิงอวี้อี้กวาดสายตามองไป ในใจพลันผุดรอยยิ้มเย้ยหยัน เป็นเคราะห์กรรมแต่ชาติก่อนจริงๆ ด้วย ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้พบนายบ่าวคู่นี้ที่นี่
บ่าวหญิงวัยกลางคนผู้นั้นเพ่งพิศดูเถิงอวี้อี้ เด็กสาวตรงหน้าสวมหมวกม่านแพรไว้จึงมองเห็นรูปโฉมไม่ชัดเจน แต่นางก็มั่นอกมั่นใจว่าที่ผ่านมาไม่เคยเห็นเด็กสาวผู้นี้ในเมืองฉางอันมาก่อน อีกฝ่ายกล่าวยืนยันว่าต้องการใช้ทางลัดไปริมแม่น้ำ ทว่ากระทั่งเทียบเชิญยังหยิบออกมาไม่ได้ นางหยิ่งทะนงในฐานะตนเอง ไม่อยากกล่าววาจาเข้มงวดเฉียบขาดเกินไป เพียงแค่ตลอดเส้นทางนี้ต้องขับไล่สตรีที่ไม่รู้จักแยกแยะหนักเบามามากแล้ว
บนใบหน้าสตรีวัยกลางคนฉายแววดูหมิ่น นางกล่าวกับบ่าวชายวัยฉกรรจ์เหล่านั้นว่า “คิดว่าคงวิ่งโร่ตามคุณชายบ้านพวกเจ้ามาอีกแล้วนั่นล่ะ คุณหนูท่านนี้ ข้าขอเตือนสักคำ คุณชายของพวกเขาใช่ว่าจะตามตอแยได้ง่ายๆ รีบไปเสียเถอะ จะได้ไม่ต้องมีเรื่องลำบากใจภายหลัง”
คำพูดเช่นนี้เท่ากับจัดเถิงอวี้อี้เป็นพวกหวังเข้าหาพึ่งบารมีชนชั้นสูงโดยตรง ไป๋จื่อใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ สตรีนางนี้เห็นชัดว่าก็ไม่อาจล่วงเกินคุณชายที่อยู่ในป่าไผ่ได้เช่นกันถึงต้องมาเสียเวลารออยู่ตรงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะหันกลับมาแว้งกัดพวกนาง
เถิงอวี้อี้ปรายตามองบ่าวหญิงวัยกลางคนครู่หนึ่งพลางเผยยิ้มเยาะเย้ย “อย่างนั้นหรือ หากข้ายืนกรานจะเข้าไปให้ได้เล่า”
นางหยิบของสิ่งหนึ่งออกจากแขนเสื้อ ก่อนเอ่ยปากบอกบ่าวไพร่หลายคนที่ขวางทางอยู่ว่า “เวลาล่วงเลยมามากแล้ว ขอให้นายของพวกเจ้ายอมเปิดทางด้วย”
สีหน้าของทุกคนในที่นี้แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นั่นเป็นเทียบเชิญสีเหลืองอ่อนที่จวนจวิ้นอ๋อง ใช้เป็นประจำ ด้านบนเป็นชื่อเถิงเซ่าผู้ดำรงตำแหน่งไหวหนานเจี๋ยตู้สื่อควบตำแหน่งเจ้าเมืองหยางโจว ส่วนด้านล่างเป็นฉุนอันจวิ้นอ๋องลงชื่อด้วยตนเอง
ปกติพวกเขาไปมาหาสู่กับจวนฉุนอันจวิ้นอ๋องเป็นประจำ มองปราดเดียวก็จำลายมือจวิ้นอ๋องได้แล้ว
ฉุนอันจวิ้นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ปัจจุบัน เป็นญาติผู้น้องฝ่ายพระราชบิดาของฮ่องเต้รัชกาลนี้ สำหรับไหวหนานเจี๋ยตู้สื่อเถิงเซ่านั้นเป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วสารทิศ ร่ำลือว่าเมื่อหลายปีก่อนฉุนอันจวิ้นอ๋องตามเสด็จฮ่องเต้ไปยังเขาหลีซาน ระหว่างตรวจตราปิดกั้นเส้นทางเสด็จไม่ทันระวังตกอยู่ในอันตราย ก็ได้เถิงเซ่าช่วยชีวิตไว้พอดี
ผู้มีอำนาจทั้งสองนี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสของคุณชายน้อยบ้านพวกตน แม้กระทั่งคุณชายน้อยเห็นหน้าก็ต้องลงจากม้ามาคำนับ
บ่าวชายเหล่านั้นไม่กล้าขัดขวางอีกต่อไป แต่ยังขวางกั้นบ่าวหญิงกับรถม้าด้านหลังนางคันนั้นไว้นอกเขตป่าไผ่
บ่าวหญิงวัยกลางคนเผยอปากจะตอบโต้ จู่ๆ ได้ยินเสียงกระแอมกระไอห้ามปรามมาจากในรถม้า เพียงฟังเสียงดูก็รู้ว่าเป็นคุณหนูที่ยังเยาว์วัยยิ่งนัก
นางพลันได้สติกลับคืนมา รีบปรับสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนน้อมพลางกล่าวขออภัยต่อเถิงอวี้อี้
เถิงอวี้อี้มองปราดไปทางบ่าวหญิงผู้นั้นครู่หนึ่งแล้วนำตวนฝูกับไป๋จื่อเดินเข้าไปในป่า เดินไปก็กล่าวกับคนบังคับรถม้าไปว่า “เจ้าอยู่รอฟังข่าวที่นี่ ถ้าหากท่านป้ามาถึงให้รีบพาพวกนางเข้าป่าไปหาพวกเราทันที”
บทที่ 2
ไป๋จื่อย้อนคิดถึงแววตาเถิงอวี้อี้เมื่อครู่แล้ว นางลอบหวาดวิตกจนเหงื่อออกชุ่มมือ ดูจากนิสัยช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นของคุณหนู น่ากลัวว่าจะต้องกลับไปคิดบัญชีกับบ่าวหญิงวัยกลางคนผู้นั้นภายหลังเป็นแน่
“คุณหนู ท่านรู้จักเจ้านายของบ่าวหญิงผู้นั้นหรือไม่เจ้าคะ”
เถิงอวี้อี้สั่งไป๋จื่อให้จุดโคมไฟ กล่าวตอบในใจว่า ไม่ใช่แค่รู้จัก สามเดือนหลังจากนี้ต้วนหนิงหย่วนคุณชายใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกง จู่ๆ มาขอถอนหมั้นนางถึงจวน ก็เพราะต่งเอ้อร์เหนียงที่อยู่ในรถม้าคันนั้น
นางจำได้ว่าตอนนั้นผู้คนที่ได้ยินข่าวนี้ไม่มีใครไม่ประหลาดใจ บิดานางยิ่งโมโหเกรี้ยวกราด เจิ้นกั๋วกงก็ข่มกลั้นโทสะเอาไว้ไม่อยู่ มัดร่างบุตรชายพามาขอขมา แต่ต้วนหนิงหย่วนกลับดื้อรั้นเอาการ ยอมรับโทษเฆี่ยนตีเพื่อจะถอนหมั้นเสียดีกว่า
‘ถ้าหากท่านพ่อยังไม่คลายโทสะ จะเฆี่ยนอีกร้อยทีก็ยังได้ขอรับ’
ท่ามกลางสายฝนเทกระหน่ำลงมาไม่ยอมหยุดบุรุษหนุ่มสวมเสื้อหลันซานสีดำสนิทดุจน้ำหมึกคุกเข่าหลังเหยียดตรงอยู่ที่ลานบ้าน วางมาดขึงขังยอมตายดีกว่าหันหลังกลับ
เจิ้นกั๋วกงโกรธจัดจนควันออกหู แย่งแส้มาหมายจะลงโทษเฆี่ยนตีบุตรชายตนเอง
‘วันนี้ข้าจะเฆี่ยนเจ้าลูกไม่รักดีให้ตายคามือ!’
ยามนั้นบิดาของนางยืนมองเงียบๆ ด้วยสายตาเย็นชา จนกระทั่งเจิ้นกั๋วกงเฆี่ยนต้วนหนิงหย่วนอาการสาหัสปางตายถึงเอ่ยปาก ‘ถอนหมั้นโดยไร้สาเหตุ ความผิดไม่ได้อยู่ที่พวกข้า เจ้าเป็นฝ่ายผิดคำสัญญาก่อน อย่าได้คิดผลักไสความผิดมาให้อวี้เอ๋อร์ของข้า เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเมื่อใดจะต้องเกิดเสียงซุบซิบนินทากันไปทุกตรอกซอกซอยแน่ แต่หากข้าได้ยินคำว่าร้ายอวี้เอ๋อร์สักครึ่งคำ อย่าหาว่าเถิงเซ่าผู้นี้ลงมืออย่างไร้น้ำใจก็แล้วกัน!’
พอกล่าวจบบิดาของนางก็ฉีก ‘หนังสือหมั้นหมาย’ และ ‘หนังสือตอบรับการหมั้นหมาย’ เป็นชิ้นๆ ต่อหน้าธารกำนัล ก่อนจะขับไล่ต้วนหนิงหย่วนที่เหลือลมหายใจรวยรินออกไปจากจวน
แรกเริ่มเดิมทีเรื่องนี้เป็นที่ร่ำลือตามย่านร้านค้า ทุกคนต่างประหลาดใจที่ต้วนหนิงหย่วนทำเรื่องผิดคุณธรรมเช่นนี้ ทว่ายิ่งเวลาล่วงเลยผ่านพ้น ก็ค่อยๆ เกิดข่าวลืออีกอย่างกระจายออกไป
ต้วนหนิงหย่วนเป็นวิญญูชนผู้มีความพากเพียรที่ได้รับการยอมรับ เขาเต็มใจแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วหล้าเพื่อกระทำเรื่องเช่นนี้ จะต้องเป็นเพราะบุตรสาวของเถิงเซ่ามีความประพฤติเลวร้ายเป็นแน่
มีเสียงเล่าลือเล่าว่าคุณหนูผู้นี้ต่อหน้าลับหลังต่างกันราวกับคนละคน แม้มีรูปโฉมงดงามปานบุปผาแรกแย้ม ทว่านิสัยกลับเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างที่สุด
คำนินทาว่าร้ายนี้นับวันยิ่งดุเดือดรุนแรง ไม่นานนักก็ลอยมาเข้าหูเถิงเซ่า ชื่อเสียงของบุตรสาวสำคัญเหนืออื่นใด ภายหน้ายังจะมีผู้ใดกล้ามาสู่ขอกับสกุลเถิงเล่า
แต่เถิงเซ่ายังไม่ทันเร่งเดินทางจากเขตไหวหนานกลับมาลงมือด้วยตนเอง แม่ทัพน้อยต้วนก็ถูกคนจับได้ว่าลอบนัดพบกับต่งเอ้อร์เหนียง
ขณะนั้นเป็นช่วงการแข่งขันยิงธนูประจำฤดูใบไม้ร่วงครั้งหนึ่ง ผู้มาร่วมงานเลี้ยงเป็นขุนนางผู้ใหญ่ชั้นสูงแทบทั้งสิ้น สถานที่จัดการแข่งขันอยู่ที่อุทยานเล่อโหยว ละแวกใกล้เคียงมีวัดที่ถูกทิ้งร้างมานาน ไม่รู้มีผู้ใดเอ่ยถึงว่าในวัดมีดอกไม้หายากบานสะพรั่ง พริบตาเดียวก็ดึงดูดความสนใจทุกคนขึ้นมาได้
พวกเขาต่างมุ่งหน้าไปหาความสำราญชมทิวทัศน์ บังเอิญเห็นแม่ทัพน้อยต้วนกับคุณหนูรองบุตรสาวต่งหมิงฝู่นายอำเภอวั่นเหนียนลอบนัดพบกัน
ต่งเอ้อร์เหนียงแต่งกายในชุดบุรุษชาวหูเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ทว่าอย่างไรก็อำพรางอากัปกิริยาอ่อนหวานนุ่มนวลไว้ไม่มิด
ต่งเอ้อร์เหนียงหยาดน้ำตาคลอหน่วย ต้วนหนิงหย่วนปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นให้คลายกังวล พวกเขาสองคนนับว่ายังสงวนท่าที แต่ไม่ว่าใครก็มองเห็นถึงความรักและความเอาใจใส่ที่ต้วนหนิงหย่วนมีต่อต่งเอ้อร์เหนียง
เรื่องนี้เป็นชนวนให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย คนทั้งสองรักใคร่ผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง เห็นได้ชัดว่าคบหากันมานานแล้ว แม่ทัพน้อยต้วนประพฤติตนเป็นที่น่ายกย่องชื่นชมของผู้คน ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมทำลายสัญญาหมั้นหมายเพราะหลงรักสตรีนางอื่น
การคาดเดาอย่างไร้มารยาทเกี่ยวกับคุณหนูสกุลเถิงมากมายก่อนหน้านี้ แม่ทัพน้อยต้วนกลับไม่เคยพูดจาปกป้องเลยสักครั้งเดียว แม้จะมิเคยมีไมตรีจิต แต่อย่างไรก็เคยมีสัญญาหมั้นหมายระหว่างกัน เฝ้าห่วงหาเพียงนางผู้เป็นที่รัก ปล่อยให้ผู้อื่นนินทาว่าร้ายคุณหนูสกุลเถิง ช่างเย็นชาไร้น้ำใจเสียจริง
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วในเวลาอันรวดเร็ว บางคนรู้สึกรังเกียจการกระทำของต้วนหนิงหย่วน บางคนประณามต่งเอ้อร์เหนียงเป็นนางจิ้งจอกจอมยั่วยวน จวนเจิ้นกั๋วกงอับอายขายหน้าไม่เหลือชิ้นดี ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงไม่ตำหนิบุตรชาย เพียงแค่ชิงชังต่งเอ้อร์เหนียง ยอมตายเสียดีกว่าปล่อยให้นางแต่งเข้าจวน
ค่ำคืนนั้นเถิงอวี้อี้เอนหลังอยู่บนเก้าอี้พับ ดื่มสุราสือต้งชุนในจอกใบเล็กอย่างสบายอารมณ์
ต้วนหนิงหย่วนอยากร่วมเรียงเคียงหมอนกับผู้ใดนางไม่สนใจเลยสักนิด แต่ทำให้นางพลอยเดือดร้อนไปด้วยเพราะความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของเขา จะรังแกกันมากเกินไปหรือไม่
ต้วนหนิงหย่วนเป็นคนที่ระมัดระวังรอบคอบอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่านางต้องสิ้นเปลืองความคิดไปมากเท่าใดกว่าจะวางแผนการทั้งหมดนี้ได้ ในที่สุดก็ได้เห็นวันที่สองคนนี้ชื่อเสียงพังป่นปี้ นางจะไม่ดื่มให้สาแก่ใจได้เช่นไร
บ่าวหญิงวัยกลางคนมองเห็นพวกเถิงอวี้อี้เดินเข้าไปได้โดยสะดวก ก็คิดจะก้าวออกไปโน้มน้าว ทว่าถูกบ่าวชายหลายคนขัดขวางไว้นอกป่าไผ่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยให้ผ่านเข้าไป
บ่าวหญิงวัยกลางคนเสียงดังไม่ใช่น้อย ไป๋จื่อได้ยินถ้อยคำช่วงแรกสองสามประโยคถึงรู้ว่าสตรีนางนี้เป็นผู้ดูแลหญิงจากจวนต่งหมิงฝู่นายอำเภอวั่นเหนียน
แม้ไป๋จื่อจะอาศัยอยู่ที่เมืองหยางโจวมาตลอดแต่ก็รู้ว่าเมืองฉางอันแบ่งออกเป็นสองอำเภอ เมืองฝั่งตะวันออกอยู่ในความดูแลของอำเภอวั่นเหนียน ส่วนเมืองฝั่งตะวันตกอยู่ในความดูแลของอำเภอฉางอัน
จะว่าไปแล้วนายอำเภอประจำสองอำเภอนี้ตำแหน่งขุนนางเพียงลำดับหลักขั้นห้าขึ้นไป ทว่าพื้นที่อยู่ในอาณาเขตเมืองหลวง ได้กุมอำนาจอย่างแท้จริง นับเป็นขุนนางผู้มีเกียรติและเป็นที่ยกย่องนับถือ จึงไม่น่าแปลกใจว่าผู้ดูแลหญิงในจวนผู้หนึ่งจะวางอำนาจบาตรใหญ่ถึงเพียงนี้ได้
เมื่อพยายามเจรจาไปแล้วล้วนไร้ประโยชน์ บ่าวหญิงวัยกลางคนผู้นั้นก็มีสีหน้าย่ำแย่ พอได้ยินเสียงคนในรถม้าเรียกคำหนึ่งนางก็ก้าวขึ้นรถแล้วเลิกม่านโผล่หน้าออกมา สั่งการคนบังคับรถม้าด้วยความคับแค้นใจไม่คลาย
“คุณหนูรองเป็นห่วงฮูหยินผู้เฒ่าที่ยังไม่แข็งแรง จะรีบไปร่วมงานแล้วกลับเข้าเมืองไปปรนนิบัติดูแล อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกเลย อ้อมไปไกลหน่อยแล้วกัน”
คนบังคับรถม้าเอ่ยรับคำ จากนั้นรถม้าก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อยๆ
ไป๋จื่อลอบสังเกตเถิงอวี้อี้ พอคุณหนูเดินเข้าป่าก็วางท่าราวกับเผชิญหน้าศัตรูตัวฉกาจ แม้นางจะอยากรู้อยากเห็นเพียงใดก็ไม่กล้าถามให้มากความแล้ว แค่นึกสงสัยว่าคุณชายของบ่าววัยฉกรรจ์เหล่านั้นมีฐานะใดกันแน่ ขนาดนายอำเภอวั่นเหนียนพวกเขายังไม่เห็นอยู่ในสายตา ที่สำคัญคิดว่าอีกฝ่ายคงออกจากป่าไปแล้วเป็นแน่ เพราะเสียงฝีเท้ากับเสียงหัวเราะพูดคุยห่างออกไปไม่ไกลพอที่จะได้ยินอยู่บ้างค่อยๆ หลงเหลือเพียงเสียงลมพัดใบไม้เสียดสีกัน
ผิวน้ำนิ่งสงบมิรู้ก้นบึ้งลึกล้ำเท่าใด บรรยากาศยิ่งเงียบงันยิ่งน่าพิศวงเท่านั้น
หลังจากเดินไปสักระยะก็แยกทิศทางไม่ออกแล้ว ไป๋จื่อรู้สึกได้ว่าบริเวณท้ายทอยขนลุกชัน แต่ยังโชคดีที่มีตวนฝูติดตามอยู่ไม่ห่าง บ่าวผู้นี้ถูกนายท่านส่งมารับใช้ข้างกายตั้งแต่คุณหนูอายุสามขวบ เขามีฝีมือไม่ธรรมดาและจิตใจซื่อสัตย์ภักดีอย่างที่สุด ก่อนหน้านี้คุณหนูส่งเขาออกไปตามหาตู้ถิงหลัน ตอนนี้ก็ติดตามพวกนางเข้าป่าไผ่ พอได้เขามาอารักขาคุณหนูอีกทำให้นางรู้สึกเบาใจขึ้นมาไม่น้อย
อากาศเย็นทว่าน่าอึดอัด เริ่มมีกลิ่นคาวเลือดเบาบางแทรกซึมปะปนทีละนิด มุ่งหน้าไปเท่าไรกลิ่นอายบางอย่างยิ่งลอยมาปะทะจมูก ความสงสัยผุดขึ้นในใจคนทั้งสามพร้อมๆ กัน ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของสตรีนางหนึ่งดังออกมาจากกลางป่า ยอดต้นไม้สั่นไหวเสียงดังสวบสาบคล้ายมีสัตว์ขนาดใหญ่มหึมาบินโฉบผ่านเหนือศีรษะไป
ไป๋จื่อหนาวสะท้านไปทั้งตัว จะรีบเข้าไปปกป้องเถิงอวี้อี้ แต่คุณหนูของนางกลับกดเสียงต่ำตะโกนเรียก
“ตวนฝู”
“ขอรับ” สิ้นคำขานรับก็มีเสียงดังก้องกังวาน คมอาวุธทอประกายเย็นเยียบข่มขวัญ ตวนฝูชักดาบแล้วกระโจนออกไปทันที
เถิงอวี้อี้ยกชายกระโปรงเร่งฝีเท้าไล่ตาม เสียงกรีดร้องของสตรีนางนั้นแม้จะสั้นกระชั้น แต่เป็นเสียงญาติผู้พี่ของนางแน่นอน และบางสิ่งขนาดใหญ่ยักษ์ที่โฉบผ่านไปเมื่อครู่ส่งเสียงหอบหายใจหนักหน่วง ไม่รู้ว่าเป็นคนหรือสัตว์เดรัจฉานกันแน่
ในสมองนางผุดความคิดยุ่งเหยิงนับไม่ถ้วน คนร้ายไม่มีทางเป็นผู้ที่สั่งปิดป่าไผ่ ในเมื่อต้องการสังหารคน ไยต้องประโคมเรื่องจนเอิกเกริก ขวางรถม้าของผู้อื่นไว้มากมายไม่ปล่อยให้ผ่านทาง ไม่ต่างอะไรกับการป่าวประกาศแก่ใต้หล้าว่าเขาคือคนร้าย
ตามความเห็นนาง เป็นไปได้ว่าคนร้ายจะซ่อนตัวอยู่ในมุมอับของป่าไผ่ นางกลัวว่าจะโดนลอบทำร้าย หลังย่างเท้าเข้ามาจึงระวังป้องกันไปเสียทุกด้าน ไหนเลยจะรู้ว่าจู่ๆ กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าเสียอีก
เสียงอาวุธโลหะปะทะกันลอยมา ตวนฝูประมือกับเจ้าสิ่งนั้นแล้ว อาวุธที่เขาใช้สร้างขึ้นจากเหล็กนิลซึ่งบิดาของนางได้มาเมื่อครั้งรักษาการชายแดนเทือกเขาชงหลิ่ง ความแข็งแกร่งระดับผ่าหินตัดทอง ทำลายทุกสิ่งได้อย่างราบคาบ
เถิงอวี้อี้เบาใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ว่าคนร้ายจะมีที่มาเช่นไร ก็แทบไม่เคยเห็นตวนฝูพลาดท่ามาก่อน
ไป๋จื่อตกใจเสียขวัญพอดู โชคดีที่ไม่เผลอทำโคมไฟหลุดมือไป นายบ่าวทั้งสองเร่งฝีเท้าเร็วกว่าเดิม แสงเงาวูบไหวสาดส่องหนทางเบื้องหน้า เงาร่างคนผู้หนึ่งล้มฟุบอยู่บนพื้นดิน มองเห็นอย่างเลือนรางว่าเป็นสตรี
เถิงอวี้อี้หยิบกระบี่หยกมรกตออกจากแขนเสื้อ ขณะเตรียมจะวิ่งออกไปเศษเสี้ยวสติสัมปชัญญะที่เหลือก็เหนี่ยวรั้งเอาไว้ นางหยุดชะงักลงแล้วสั่งไป๋จื่อชูโคมไฟขึ้นสูง “ส่องดูว่าคนผู้นั้นเป็นใครกัน”
ไป๋จื่อส่องโคมไฟด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น “หงหนู?”
หงหนูใบหน้าซีดอมเทา แต่เคราะห์ดีที่ยังมีลมหายใจ เถิงอวี้อี้ย่อกายลงตรวจดูพลางเอ่ยถามอย่างร้อนรนว่า “พี่สาวข้าเล่า”
หงหนูไอโขลกอย่างแรงแล้วลืมตาขึ้น สีหน้าเลื่อนลอยไปชั่วขณะ ก่อนตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก “คุณหนู! คุณหนูของข้า!”
สาวใช้ผู้นี้ตกใจกลัวจนสติแตกไปแล้ว เถิงอวี้อี้ร้อนใจสุดจะทน นางแย่งโคมไฟจากไป๋จื่อ พอจะขยับลุกขึ้นด้านหลังก็มีเสียงของหนักร่วงกระแทกพื้นดังตึง จากนั้นได้ยินตวนฝูเค้นเสียงบอกว่า “คุณหนูระวังด้วย!”
ในสมองเถิงอวี้อี้ว่างเปล่ากะทันหัน ตวนฝูพลาดท่าได้อย่างไร
นางยังไม่ทันหันหน้ากลับไปก็มีกระแสลมแปลกประหลาดพัดวูบผ่านหลังศีรษะ อัดแน่นด้วยกลิ่นหอมของต้นไม้ใบหญ้า
หงหนูกับไป๋จื่อดวงตาเบิกกว้าง เจ้าสิ่งนั้นพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วฉับไว พวกนางสองคนไม่ทันผลักคุณหนูให้พ้นทาง ฝ่ามือของเงาดำก็ทาบลงบนไหล่เถิงอวี้อี้ ขอแค่ออกแรงเพียงนิดก็จะฉีกร่างของนางออกเป็นสองส่วน
เจ้าปีศาจโจมตีสำเร็จในคราวเดียว มันหัวเราะเสียงแปลกหูขึ้นมาเป็นท่วงทำนองนุ่มนวลเริงร่า คล้ายกับสตรีที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเสียเหลือเกิน กว่าหงหนูกับไป๋จื่อจะรวบรวมความกล้าก้าวออกไปช่วยเหลือช่างแสนยากเย็น พอได้ยินเสียงหัวเราะน่าสยดสยองก็ต่างตกใจจนหมดสติล้มลงกับพื้น
ตวนฝูลุกขึ้นมาได้ก็แผดเสียงคำรามลั่น หากเจ้าตัวนี้รวบกรงเล็บใหญ่ยักษ์ คุณหนูไหนเลยจะรอดชีวิตไปได้
ชั่วพริบตานั้นเรี่ยวแรงกลับคืนมา แขนของเขาเดิมทีกระดูกหักไปแล้วแต่กลับฝืนกุมดาบไว้ให้มั่น ดันตนเองขึ้นมาจากพื้นแล้วกระโจนออกไปราวกับเหยี่ยว
กระบวนท่านี้เปี่ยมพละกำลังมหาศาลดุจเบิกขุนเขาแยกศิลา ต้องทำให้เจ้าตัวนั้นเนื้อหนังขาดวิ่นได้แน่ มีหรือจะล่วงรู้ว่าพอคมดาบฟันฉับลงไปราวกับฟันศิลาก้อนใหญ่ก็ไม่ปาน
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
เกิดประกายไฟสีส้มแลบแปลบปลาบแต่กลับไม่ระคายเคืองมันเลยสักนิด
เจ้าปีศาจลำพองใจยิ่งนัก เสียงหัวเราะอ่อนหวานกว่าเดิมหลายส่วน ฟังดูแล้วใกล้เคียงกับเด็กสาวแรกรุ่นไร้เดียงสาอายุราวสิบห้าสิบหกปี ใต้กรงเล็บเหมือนมีเถาวัลย์งอกออกมาแล้วเลื้อยไปถึงซอกคอเถิงอวี้อี้อย่างช้าๆ
ตวนฝูอกสั่นขวัญแขวน ขณะกำลังยกไหล่ขึ้นพร้อมพุ่งปะทะ เสียงหัวเราะกังวานปานกระดิ่งเงินข้างใบหูกลับกลายเป็นเสียงกรีดร้องน่าเวทนาอย่างคาดไม่ถึง
เขามองเห็นเถิงอวี้อี้ถือกระบี่หยกมรกตเล่มหนึ่งจ้วงแทงกรงเล็บปีศาจที่เกาะตรงหัวไหล่ตนอย่างเดือดดาล
ทุกครั้งที่จ้วงแทงปีศาจตนนี้จะส่งเสียงร้องแปลกประหลาด เป็นเสียงโหยหวนบาดหูหาใดเปรียบ ท่าทางเจ็บปวดราวกับโดนควักหัวใจออกมา
ตวนฝูตะลึงงันจนลืมเก็บมือกลับมา เถิงอวี้อี้ลืมความหวาดกลัวไปหมดสิ้นนานแล้ว ก่อนมาที่นี่นางลองคิดดูไม่รู้กี่รอบ หากจับกุมคนร้ายที่สังหารญาติผู้พี่ได้จะสับคนผู้นั้นเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น พอคิดว่าบางทีญาติผู้พี่ยังตกอยู่ในเงื้อมมือเจ้าปีศาจนี้นางยิ่งลงมืออย่างดุดันฉับไว
ในชาติก่อนหลังญาติผู้พี่จบชีวิตลงอย่างน่าอนาถท่านป้าก็ล้มป่วยเรื้อรังเพราะรับเรื่องสะเทือนใจอย่างรุนแรง ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปีนางสูญเสียญาติสนิทที่สำคัญที่สุดถึงสองคนต่อเนื่องกัน ที่แท้เรื่องเลวร้ายทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเจ้าปีศาจนี้ นางแทบอยากฉีกเนื้อมันกินเป็นอาหาร ถลกหนังมันมาห่มนอน
กระบี่แทงทะลุเนื้อหนังยังไม่สาแก่ใจ เถิงอวี้อี้เปล่งเสียงหัวเราะชวนขนลุกแล้วบิดปลายกระบี่หมุนเป็นวงไปมาบนหลังกรงเล็บของเจ้าปีศาจราวกับกำลังกวนน้ำปรุงรส
เสียงกรีดร้องของเจ้าปีศาจแหลมสูงขึ้นไปหลายเท่า ทว่าจนปัญญาจะขยับเขยื้อน เสียงของหนักพลันร่วงลงพื้นดังตุ้บอีกครั้ง เสียงสตรีโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นในความมืด
ในสมองเถิงอวี้อี้คล้ายมีสายพิณเส้นหนึ่งโดนดีดสั่นไหว
“พี่สาว! ญาติผู้พี่ของข้าเอง! เร็วเข้า ตวนฝู!”
ตวนฝูไม่รอให้มีคำสั่งลงมา ก็เล็งโอกาสไว้มั่นแล้วไถลตัวมาคว้าตู้ถิงหลันเข้าสู่อ้อมแขน กระโดดทะยานตัวไม่กี่ครั้งก็พานางออกห่างจากปลายเท้าปีศาจไปไกล
เถิงอวี้อี้หมายจะแทงซ้ำอีกครั้ง แต่ว่าชั่วขณะเผลอละความสนใจไปนั้นเอง จู่ๆ แรงกดตรงหัวไหล่ก็เบาหวิว เสียงกรีดร้องดังลั่นติดๆ กัน ปีศาจตนนั้นกระชากกรงเล็บตนเองจนขาดสะบั้น
ทันใดนั้นเลือดก็ไหลทะลักดั่งสายน้ำ กลิ่นเหม็นคาวลอยตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
เจ้าปีศาจร้องคร่ำครวญอย่างน่าเวทนาประหนึ่งสตรีที่หัวใจแตกสลาย ก่อนจะกระโดดสูงขึ้นไปบนยอดไม้ พริบตาเดียวก็หายลับไปในความมืดยามราตรี
นอกป่าไผ่มีแสงไฟส่องสว่าง เสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวายใกล้เข้ามา ตู้ฮูหยินเพิ่งพาบ่าวไพร่รีบร้อนเดินทางมาถึง “หลันเอ๋อร์! อวี้เอ๋อร์!”
จากนั้นก็ตามมาด้วยกลุ่มบ่าวชายที่ตั้งกระโจมอยู่ด้านนอกตอนเถิงอวี้อี้มาถึง
เมื่อทุกคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ล้วนเผยสีหน้าตื่นตะลึง ไม่รู้ว่าปีศาจตนนั้นใช้วิชาลวงตาอันใด การต่อสู้เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเช่นนี้คนที่อยู่นอกป่ากลับไม่ได้รับรู้ความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
บ่าวชายผู้หนึ่งย่อตัวลงเก็บเศษอวัยวะที่ปีศาจตนนั้นทิ้งไว้ขึ้นมา ยังไม่ทันตรวจสอบดูเจ้าสิ่งนั้นก็สลายเป็นผงฝุ่นสีดำกองหนึ่ง คนผู้นี้ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี “รีบไปรายงานซื่อจื่อ เร็วเข้า!”
“ซื่อจื่อเพิ่งจะลงสนามเล่นจีจวี ด้านนอกหอเยวี่ยเติงใส่กุญแจแล้ว ในสนามมีผู้ประลองมากถึงเพียงนั้นจะส่งข่าวให้เขาเช่นไรเล่า”
“คืนนี้ฉุนอันจวิ้นอ๋องก็อยู่ที่ริมน้ำด้วย ข้าไปขอร้องจวิ้นอ๋องให้ไปตามหาซื่อจื่อดีกว่า ปีศาจมีที่มาไม่ชัดเจน หากปล่อยปละละเลยไปจะต้องมีผู้เคราะห์ร้ายอีกแน่”
เถิงอวี้อี้ยังไม่อาจสงบสติอารมณ์ลงได้ นางประคองญาติผู้พี่ขึ้นมาตรวจดูด้วยความร้อนใจ เห็นอีกฝ่ายยังคงหมดสติ แต่โชคดีที่ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเป็นปกติ
เถิงอวี้อี้รู้สึกแสบจมูกขอบตาร้อนผ่าว ภาพที่เห็นเป็นดวงหน้างามพริ้มเพราที่มีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม ไม่ใช่ใบหน้าบวมฉุสีเทาคล้ำและไร้ลมหายใจเหมือนเช่นที่นางเคยเห็นหลังเร่งเดินทางมาจากเมืองหยางโจว
ตลอดหลายวันระหว่างที่เถิงอวี้อี้ติดอยู่บนเรือจากเมืองหยางโจวมายังเมืองฉางอัน นางเฝ้าวางแผนอยู่ทั้งวันทั้งคืนว่าจะหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมที่เคยเกิดขึ้นอย่างไร ยามนี้พอเห็นญาติผู้พี่ยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้า ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้นางรู้สึกราวกับรอดชีวิตจากภัยพิบัติมาได้
ตู้ฮูหยินใบหน้าซีดขาว รีบร้อนผลักไสสาวใช้แล้วก้าวออกมาข้างหน้า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
เถิงอวี้อี้ได้กลิ่นเครื่องหอมอันคุ้นเคยจากอาภรณ์ของท่านป้า ในลำคอตีบตันคล้ายมีก้อนปุยฝ้ายมาอุดไว้ พอเงยหน้าขึ้นกลับเอ่ยตอบอย่างเยือกเย็น “ข้ากับพี่สาวนัดมาเดินเที่ยวเล่นกันตรงนี้ ไม่คิดว่าจะเจอกับปีศาจร้ายเข้าเจ้าค่ะ”
ญาติผู้พี่ออกจากอารามด้วยเหตุผลใด ทุกวันนี้ยังเป็นปริศนาสำหรับนาง รอบข้างมีคนไม่เกี่ยวข้องมากเกินไปจึงต้องห่วงหน้าพะวงหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตู้ฮูหยินขบคิดถึงสถานการณ์อย่างรวดเร็ว มองเห็นบุตรสาวคนหนึ่งที่หมดสติ ส่วน ‘บุตรสาว’ อีกคนก็เสียขวัญไม่น้อย นางรู้สึกกลัวจนตัวสั่นขึ้นมาทันที รีบโอบร่างพวกนางเข้าสู่อ้อมกอด
“เด็กดี ไม่ต้องกลัวนะ” นางกวาดสายตามองโดยรอบด้วยความหวาดผวา ก่อนสั่งกำชับบ่าวไพร่ “รีบแบกร่างคุณหนูใหญ่ขึ้นรถม้า เร่งกลับเข้าเมืองไปหาหมอ”
เถิงอวี้อี้ยังอาลัยอาวรณ์อ้อมกอดของท่านป้า ทว่าจนใจที่เวลานี้ยังมีเรื่องรอให้จัดการอีกมาก นางลุกขึ้นตรวจดูอาการบาดเจ็บของตวนฝู มองเห็นแค่ตั้งแต่หัวไหล่ข้างขวาลงไป ท่อนแขนเป็นแผลเหวอะหวะไปหมด
ตวนฝูยังคงปิดปากเงียบสนิท เถิงอวี้อี้ร้อนใจจนทนไม่ไหว สั่งคนบังคับรถม้ามาประคองตวนฝูเอาไว้
“บนรถมียาสมานแผล ไปห้ามเลือดก่อนค่อยว่ากัน”
พอเดินออกจากป่าวางร่างตู้ถิงหลันบนรถม้าเรียบร้อยแล้ว ขณะกำลังรอยกร่างหงหนูกับไป๋จื่อขึ้นรถไปด้วย ก็เห็นกีบเท้าม้าตะกุยฝุ่นฟุ้งตลบไปในอากาศ กลุ่มบ่าวไพร่ที่จากไปเมื่อครู่ย้อนกลับมา ด้านหลังยังมีคนจากวังหลวงสวมชุดสีเหลืองอ่อนตามหลังมาด้วย
คนกลุ่มนี้วิ่งมาหยุดตรงหน้าอย่างว่องไว “ใคร่ถามว่าใช่รถม้าของจวนแม่ทัพเถิงหรือไม่ ข้าน้อยเป็นผู้ติดตามของฉุนอันจวิ้นอ๋อง ตอนนี้จวิ้นอ๋องได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว คิดป้องกันไม่ให้มีผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มอีกจึงให้พวกเรารีบมาปิดตายป่าไผ่แห่งนี้ขอรับ”
“ฉุนอันจวิ้นอ๋องหรือ” ตู้ฮูหยินเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น นางสังเกตเห็นมาสักพักแล้วว่าริมฝีปากบุตรสาวเป็นสีดำคล้ำ ตอนนี้กำลังร้อนอกร้อนใจอย่างยิ่ง
“ไม่ใช่แค่พวกท่าน แต่รถม้าของต่งหมิงฝู่แห่งอำเภอวั่นเหนียนที่ผ่านที่นี่ไปก็โดนโจมตี ถูกเจ้าปีศาจนั่นทำร้ายบาดเจ็บเช่นกัน หมอทั่วไปไม่อาจรักษา เผอิญว่าคืนนี้ท่านนักพรตก็มาหาความสำราญริมสระฉวี่เจียงด้วย จวิ้นอ๋องไปเชิญท่านนักพรตแล้ว อีกทั้งสั่งให้พวกข้าน้อยส่งคนที่ได้รับบาดเจ็บไปหอจื่ออวิ๋นขอรับ”
หัวใจเถิงอวี้อี้พลันสั่นสะท้านวูบหนึ่ง นางกุมมือตู้ฮูหยินไว้แน่นพลางว่า “ท่านป้า รีบทำตามที่คนในวังบอก ให้คนรีบยกร่างหงหนูกับไป๋จื่อขึ้นรถม้าเถอะเจ้าค่ะ”
ลมหายใจของญาติผู้พี่เบาบางเหมือนจะหลุดลอยไปได้ทุกเมื่อ ใบหน้าตวนฝูก็ปกคลุมด้วยไอพิษสีดำ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเกี่ยวข้องกับปีศาจตนนั้น ถ้าหากไม่รีบรักษาโดยเร็วที่สุดคงจบชีวิตเพียงชั่วข้ามคืน
ถ้าหากเถิงอวี้อี้คาดเดาไม่ผิด นักพรตที่สามารถเข้าออกหอจื่ออวิ๋นได้อย่างอิสระจะต้องเป็นนักพรตชิงซวีจื่อผู้มีนิสัยแปลกประหลาดแต่ได้รับการยกย่องจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันว่าเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณแน่
คนผู้นี้วิชาเต๋าสูงส่งล้ำเลิศ ทั่วหล้านับเป็นหนึ่งไม่มีสอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.