บทที่ 107
ลิ่นเฉิงโย่วชำเลืองมองอู่ฉี่แวบหนึ่ง “เหตุใดนางถึงต้องมอบทองคำให้ยายเฒ่าหวังด้วยเล่า”
เจี่ยวเอ๋อร์ตอบ “เพราะยายเฒ่าหวังช่วยทำงานเรื่องหนึ่ง ทองคำนี้เป็นค่าตอบแทนของนางเจ้าค่ะ”
“ช่วยทำงานอะไรไปบ้าง”
เจี่ยวเอ๋อร์ตอบด้วยความขลาดกลัว “ช่วยวางแผนลอบทำร้าย…”
“ท่านอาจารย์ใหญ่!” อยู่ๆ อู่ฉี่ก็ส่งเสียงตัดบทเจี่ยวเอ๋อร์ จากนั้นก็รีบร้อนลุกออกจากที่นั่ง หันไปทางอาจารย์ใหญ่หลิวแล้วก้มศีรษะทำความเคารพ “ข้าเป็นคนที่ท่านเฝ้ามองจนเติบใหญ่ ข้านิสัยเป็นเช่นไรท่านรู้ดีที่สุด ตั้งแต่เล็กข้านิสัยตรงไปตรงมา จะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ซื้อตัวสาวใช้ผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการเจาะจงใส่ร้ายสกุลอู่ ก่อนหน้านี้ไม่นานพี่สาวของข้าเพิ่งเกิดเรื่อง นี่ก็ถึงคราวของข้าแล้วใช่หรือไม่ ท่านอาจารย์ใหญ่โปรดให้ความเป็นธรรมด้วย แทนที่จะโดนสาดน้ำสกปรกใส่อย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ อาฉี่ยอมฆ่าตัวตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์เสียดีกว่า!”
นางแสดงความแค้นเคืองเต็มอก ก้อนสะอื้นจุกในลำคอ ท่าทางน้อยอกน้อยใจเหลือคณา
อาจารย์ใหญ่หลิวใจอ่อนยวบ รีบร้อนลุกมาประคองอู่ฉี่ให้ลุกขึ้น “เด็กดี เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย”
อู่ฉี่เช็ดน้ำตาป้อยๆ
อาจารย์ใหญ่หลิวกับอู่ฮูหยินความสัมพันธ์ส่วนตัวสนิทสนมแน่นแฟ้น ปกติเวลาอยู่ในสำนักศึกษาจึงคอยดูแลพี่น้องสกุลอู่ไม่น้อย คืนนี้อู่ฮูหยินต้องดูแลบุตรสาวคนโตที่วิญญาณหายไปเสี้ยวหนึ่งไม่ได้ออกนอกเมือง เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอู่ฉี่ก็ถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบของนาง ดังนั้นจึงกราบทูลฮองเฮาอย่างอ้อมๆ ว่า “ฮองเฮาทรงพิจารณาด้วย อาฉี่ เด็กผู้นี้ข้ารู้จักดี นิสัยซื่อตรงเปิดเผยมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีทางทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด อาศัยเพียงคำกล่าวอ้างของสาวใช้ผู้หนึ่งเกรงว่ายากจะเชื่อถือได้เพคะ”
ฮองเฮาคิดทบทวนก็ตรัสกับคนที่อยู่ข้างล่างว่า “โย่วเอ๋อร์ นอกจากคำให้การของสาวใช้ผู้นี้ ยังมีหลักฐานอื่นอีกหรือไม่”
ลิ่นเฉิงโย่วปรายตามองเจี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ตรงปลายเท้า พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา มองเห็นชัดเลยว่าเจี่ยวเอ๋อร์จิตใจว้าวุ่นสับสนยิ่งกว่าก่อนหน้านี้มาก นางคุกเข่ากับพื้นตัวสั่นระริก ไม่กล้าเปิดเผยสิ่งใดออกมาสักคำแล้ว
เขาเงยหน้ามองอู่ฉี่แวบหนึ่ง คลี่ยิ้มแล้วตอบคำถามของฮองเฮา “มีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้วว่าคืนนี้หัวขโมยทั้งสองคนจะเจ้าเล่ห์กลับกลอกเป็นพิเศษ จะกล้าไม่เตรียมตัวพร้อมสรรพได้หรือ” จากนั้นก็หันไปกล่าวกับเจี่ยวเอ๋อร์ “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่มีทางหนีพ้นแล้ว ขอเพียงเจ้าบอกทุกอย่างที่เจ้ารู้ออกมาให้หมด ข้ารับรองว่าเจ้าจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่หากเจ้ายังมัวอึกอักอยู่เช่นนี้ รอให้คืนนี้นางรอดตัวไปได้ก็จะจัดการเจ้าเป็นคนแรก”
เจี่ยวเอ๋อร์หนังศีรษะเย็นวูบ “คุณหนู…คุณหนูรองสั่งข้าน้อยให้เอากระดาษคัดบทกวีสองแผ่นนั้นไปให้ยายเฒ่าหวัง”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยต่อ “พูดมาให้ชัดเจน กระดาษคัดบทกวีสองแผ่นใด”
“กระดาษคัดบทกวีที่คุณหนูรองไปขโมยมาจากห้องคุณหนูตู้”
“คืนนั้นพอขโมยออกมาก็ส่งให้ยายเฒ่าหวังเลย? คุณหนูรองของเจ้ารู้จักคุณชายหลูอยู่ก่อนแล้ว?”
เจี่ยวเอ๋อร์ส่ายหน้า “ไม่รู้จักเจ้าค่ะ นี่เป็นความคิดที่ยายเฒ่าหวังเสนอมา”
“คุณหนูรองของเจ้าสนิทสนมกับยายเฒ่าหวังมากหรือ”
“สนิทกันมาก พวกนางสองคนรู้จักกันผ่านจิ้งเฉินซือไท่แห่งอารามนักพรตหญิงอวี้เจิน”
ภายในงานเลี้ยงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมขึ้นทันใด จิ้งเฉินซือไท่เป็นถึงนักโทษคนสำคัญที่ราชสำนักตามล่าตัวมาหลายปี ไม่นานมานี้เพิ่งจะปลิดชีพตนเองเนื่องจากแผนการล้มเหลว
“เจ้าพูดเหลวไหล!” อู่ฉี่ตะโกนลั่นอย่างร้อนรน “ซื่อจื่อ ได้ยินว่าท่านมีฝีมือในการสืบสวนคดี มองสิ่งใดล้วนทะลุปรุโปร่ง คืนนี้เหตุใดเลอะเลือนถึงขั้นถูกสาวใช้ผู้หนึ่งจูงจมูกได้ เจี่ยวเอ๋อร์โดนคนซื้อตัวไปนานแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นางพูดมาเป็นเพียง…”
ลิ่นเฉิงโย่วยกมือขึ้นสั่งการให้เจ้าหน้าที่แยกตัวอู่ฉี่ออกจากคนรอบข้าง และยังส่งสัญญาณให้องครักษ์วังหลวงที่มีวรยุทธ์สูงส่งสองสามคนนั้นป้องกันคนลอบทำร้ายอู่ฉี่ด้วย ถึงได้กล่าวกับเจี่ยวเอ๋อร์ว่า “พูดต่อไปสิ”
เจี่ยวเอ๋อร์เช็ดเหงื่ออย่างลนลาน นางสารภาพเรื่องที่ตนเองรู้ออกมาจนหมดเปลือก
ประมาณห้าหกปีก่อนอู่ฉี่ได้ยินมาด้วยความบังเอิญเหลือเกินว่าคำอธิษฐานของอารามนักพรตหญิงอวี้เจินศักดิ์สิทธิ์นัก นับตั้งแต่นั้นมาก็ไปจุดธูปในอารามเป็นประจำ บางครั้งเมื่อถึงช่วงที่ดอกไม้ในอารามบานสะพรั่งก็จะชักชวนสหายไปจัดงานชุมนุมกวีที่นั่น
ไปๆ มาๆ ก็รู้จักสนิทสนมกับจิ้งเฉินซือไท่ขึ้นมา ตอนแรกเพียงดื่มน้ำชาพูดคุยกับซือไท่ ภายหลังก็เริ่มเรียนรู้วรยุทธ์แปลกพิสดารบางอย่างจากอีกฝ่าย
ยายเฒ่าหวังที่ ‘ขายโจ๊ก’ ผู้นี้ก็คือคนที่ในอดีตจิ้งเฉินซือไท่แนะนำให้อู่ฉี่รู้จัก ทว่าตอนนั้นยายเฒ่าหวังไม่ได้เร่ขายโจ๊กไปทั่ว แต่เรียกตนเองว่า ‘ยายเฒ่าหลิ่ว’ เปิดกิจการร้านขายขนมหูปิ่งอยู่ในตลาดตะวันตก
จิ้งเฉินซือไท่บอกกับอู่ฉี่ว่าตนเองไม่ค่อยอยู่ในฉางอัน หากมีเรื่องอะไรให้ไปหายายเฒ่าหวังได้เลย
ก่อนหน้านี้หลังจิ้งเฉินซือไท่รับโทษประหารตามกฎหมาย ยายเฒ่าหลิ่วกลัวว่าจะถูกราชสำนักตามตรวจสอบจึงไม่ได้ขายขนมหูปิ่งต่อไปอีก แต่แปลงโฉมเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนมาขายโจ๊กตามตรอกซอกซอยแทน
จากนั้นมาอู่ฉี่ก็ทำได้เพียงไปปรึกษายายเฒ่าหวังแล้ว
ยายเฒ่าหวังรู้ว่าอู่ฉี่อยากจัดการกับตู้ถิงหลัน ก็ส่งจดหมายไปบอกให้อู่ฉี่ขโมยของใช้ส่วนตัวชิ้นเล็กๆ ของตู้ถิงหลันมา ส่วนเรื่องที่เหลือมอบให้นางจัดการเอง รับรองว่าทำให้ชื่อเสียงตู้ถิงหลันด่างพร้อยได้แน่นอน
“เช่นนี้หมายความว่าคุณหนูรองของเจ้าไม่รู้ว่ากระดาษคัดบทกวีสองแผ่นนี้สุดท้ายจะถูกส่งไปอยู่ในมือหลูจ้าวอัน?”
เจี่ยวเอ๋อร์ตอบว่า “คุณหนูรองไม่เคยรู้จักคนผู้นี้มาก่อน วันนั้นคุณหนูรองขโมยกระดาษคัดบทกวีของคุณหนูตู้มาได้ก็สั่งข้าน้อยเอาไปส่งให้ยายเฒ่าหวัง ไม่นานยายเฒ่าหวังก็ตอบกลับมาว่าทางนี้เตรียมการพร้อมแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาลงมือหูตาผู้คนมากมาย อาจจะไม่เป็นไปตามแผน เพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรผิดพลาดจึงให้คุณหนูรองเตรียมการทำบางสิ่งด้วย ยามจำเป็นสามารถโยนเรื่องนี้ไปให้คุณหนูสกุลเผิงได้ ทั้งยังกำชับว่าคุณหนูรองต้องทำให้ไม่เหลือทิ้งร่องรอย”
พอได้ยินประโยคนี้เผิงฮวาเยวี่ยก็จดจ้องไปทางอู่ฉี่เขม็ง ส่วนแววตาเผิงจิ่นซิ่วก็มีความโกรธเกรี้ยวสุมอก
“เจ้ารู้เรื่องชัดเจนถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ลิ่นเฉิงโย่วถามอย่างสนใจ “ต่อให้คุณหนูรองนายของเจ้าเชื่อใจ ยายเฒ่าหวังก็ไม่มีทางไม่ระวังตัว เจ้าเป็นเพียงคนช่วยส่งข่าว ไหนเลยจะรู้รายละเอียดพวกนี้ได้ นอกจาก…เจ้าเคยแอบอ่านจดหมายของพวกนาง”
เจี่ยวเอ๋อร์บีบนิ้วมือแน่นอย่างกระวนกระวาย
“เพราะเหตุใดถึงต้องแอบอ่านจดหมายของเจ้านาย” ลิ่นเฉิงโย่วซักถามอย่างกระตือรือร้น “เป็นเพราะรู้ว่าคุณหนูรองอู่วางแผนทำร้ายพี่สาวแท้ๆ เจ้าจึงหวาดกลัวขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่ ก็จริงอยู่ แม้เจ้าจะรู้มานานแล้วว่าเจ้านายตนเองมือเท้าไม่สะอาด แต่เมื่อก่อนอย่างน้อยก็ไม่เคยวางแผนทำร้ายคนในครอบครัวตนเอง พอเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไปเจ้าถึงได้พบว่าจิตใจคุณหนูรองของเจ้าสกปรกถึงขีดสุดไปแล้ว ต่อมาเวลาช่วยพวกนางส่งจดหมายจะแอบอ่านผ่านตาอย่างแนบเนียน สาเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้เพียงเพราะไม่อยากตายโดยไม่รู้แน่ชัด คนที่แม้แต่พี่สาวของตนเองยังลงมือได้ สำหรับสาวใช้ข้างกายไม่มีทางปรานีอยู่แล้ว”
หัวไหล่เจี่ยวเอ๋อร์พลันกระตุก นางหมอบกราบจรดพื้นพลางสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“ข้าน้อย…หวาดกลัวมาก แต่…แต่ไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องของคุณหนูใหญ่อย่างเดียว เป็นช่วงก่อนหน้านี้อีก หลังรู้ว่าการตายของหลี่อิงเอ๋อร์ในวัดฉู่กั๋วผู้นั้นเกี่ยวข้องกับพวกนาง ข้าน้อยก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นอีกเจ้าค่ะ”
“การตายของหลี่อิงเอ๋อร์?”
เจี่ยวเอ๋อร์พยักหน้า ช่วงนั้นเรื่องการยกเลิกงานแต่งของคุณหนูใหญ่อู่กับคุณชายใหญ่เจิ้งทำให้วันๆ อู่ฉี่หน้าตากลัดกลุ้มอมทุกข์ เดิมทีเจี่ยวเอ๋อร์นึกว่าคุณหนูรองเป็นเช่นนี้เพราะพี่สาวถูกทำร้าย ภายหลังถึงรู้ว่าในจวนกำลังปรึกษาว่าจะให้คุณหนูใหญ่ร่วมการคัดเลือกพระชายาองค์รัชทายาท ทว่าที่ผ่านมาในราชวงศ์ปัจจุบันไม่เคยมีเหตุการณ์พี่สาวกับน้องสาวร่วมคัดเลือกเป็นพระชายาองค์รัชทายาทพร้อมกันมาก่อน พอคุณหนูใหญ่อู่เข้าร่วม โอกาสนั้นก็ไม่มีทางตกมาถึงคุณหนูรองอู่แล้ว
วันหนึ่งก่อนสำนักศึกษาจะเปิดเรียนไม่นานอู่ฉี่ทำตัวผิดแปลกจากปกติ ไม่ให้เจี่ยวเอ๋อร์อาศัยข้ออ้างซื้อโจ๊กออกไปส่งจดหมาย แต่แปลงโฉมเล็กน้อยแล้วออกไปหายายเฒ่าหวังด้วยตนเอง เนื่องจากสถานการณ์เร่งด่วนเกินไป ไม่รอให้เจี่ยวเอ๋อร์เดินไปไกลก็พูดคุยกับยายเฒ่าหวังตรงประตูด้านใน
‘ไม่ใช่ขอเพียงพวกเจ้าชิงจิตและวิญญาณไปหรือ เหตุใดเกิดเรื่องร้ายแรงถึงตายได้’
เจี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่นอกหน้าต่างได้ยินประโยคนี้เข้าก็กลั้นลมหายใจทันที
ยายเฒ่าหวังเอ่ย ‘ตอนเกิดเรื่องมีเหตุไม่คาดฝันเล็กน้อย ในวัดมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง ตามหลักแล้วพอหลี่อิงเอ๋อร์ถูกชิงจิตวิญญาณไปจะต้องนอนสลบไสลไม่ได้สติ แต่วันนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางเดินไปถึงข้างบ่อน้ำอย่างเลื่อนลอยแล้วพลาดพลั้งตกลงไป เรื่องนี้พวกเราก็ไม่คาดคิดมาก่อนเช่นกัน’
อู่ฉี่กล่าวต่อ ‘แต่ข้าได้ยินมาว่าเพราะการตายของเด็กสาวผู้นี้ไม่ปกติ อำเภอฉางอันจึงส่งศพไปที่ศาลต้าหลี่แล้ว! รู้ไปถึงศาลต้าหลี่เช่นนี้ไม่กลัวว่าพวกเขาจะสืบสาวมาถึงพวกเราหรือ’
ยายเฒ่าหวังเอ่ยว่า ‘ศาลต้าหลี่แอบสืบเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้ว ไยไม่ฉวยโอกาสทำให้คดีต่อเนื่องไปเล่า ถึงอย่างไรแพะรับบาปก็หาไว้พร้อมแล้ว ยิ่งจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไม่เหลือร่องรอย หากเจ้าล้มเลิกไปเสียกลางคัน เด็กสาวผู้นี้ก็ตายเปล่า เจ้าอยากเป็นพระชายาองค์รัชทายาทไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่ลองคิดถึงสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้ดูบ้าง พี่สาวเจ้ายกเลิกงานแต่งไปแล้ว บิดาของเจ้าก็มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งใหญ่โตกับสกุลเจิ้ง ได้ยินว่าคุณหนูเจิ้งก็ร่วมคัดเลือกเป็นพระชายาองค์รัชทายาทด้วย บิดาของเจ้าทุ่มเทเต็มที่เพื่อกดข่มสกุลเจิ้งลง พี่สาวของเจ้าไม่ว่ารูปโฉมหรือสติปัญญาล้วนอยู่เหนือกว่าเจ้าขั้นหนึ่ง ดูจากความรักใคร่เอ็นดูที่บิดามารดาของเจ้ามีต่อพี่สาว ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทนี้ก็คงไม่ตกมาถึงเจ้าแล้ว…’
ทันใดนั้นนางคล้ายได้ยินเสียงดังขึ้นเบาๆ ด้านนอก ยายเฒ่าหวังถามเสียงดุดัน
‘เจ้าไม่ได้ไล่สาวใช้ของเจ้าออกไปหรือ’
พอยกมือขึ้นเส้นไหมก็พุ่งออกไป เส้นไหมสีเงินคมกริบดั่งอาวุธมีคมแฉลบผ่านปลายจมูกเจี่ยวเอ๋อร์ไปอย่างหวุดหวิด นางสะดุ้งโหยงหลั่งเหงื่อเย็นเยียบแล้ววิ่งโซซัดโซเซหนีไป
ถึงจะไม่โดนยายเฒ่าหวังฉวยโอกาสเอาชีวิตทันที แต่เจี่ยวเอ๋อร์รู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วตนเองจะต้องโดนปิดปาก เพียงเพราะคุณหนูรองยังหาสาวใช้ที่เชื่อใจได้ไม่เจอชั่วขณะจึงเก็บชีวิตของนางเอาไว้ก่อนชั่วคราว
ในคืนนั้นเจี่ยวเอ๋อร์ฝันร้าย
หวาดกลัวก็ส่วนหวาดกลัว แต่สุดท้ายตอนกลางวันได้ยินมาเพียงไม่กี่คำ นางไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นหนึ่งเท่านั้น
จนกระทั่งอู่เซียงเกิดเรื่อง นางถึงเข้าใจคำว่า ‘คดีต่อเนื่อง’ ที่ยายเฒ่าหวังเอ่ยถึงวันนั้นหมายถึงอะไร
หากลอบทำร้ายคุณหนูใหญ่โดยตรง ศาลต้าหลี่ก็จะรู้เท่าทันแรงจูงใจของคนร้ายอย่างรวดเร็ว จากนั้นคราวหน้าการสืบสวนคดีจะมุ่งเน้นไปที่คนใกล้ชิดของคุณหนูใหญ่ เป็นเช่นนี้คุณหนูรองก็จะถูกเปิดโปงอย่างง่ายดาย
แต่หากก่อนหน้าคดีนี้มีคดีหลี่อิงเอ๋อร์ถูกคนชิงวิญญาณเพิ่มเข้ามาสถานการณ์จะต่างออกไปแล้ว หลี่อิงเอ๋อร์กับคุณหนูใหญ่ไม่เคยรู้จักกัน โดนคนใช้วิธีการแบบเดียวกันสังหารตามมาติดๆ ใครก็คงนึกว่าแรงจูงใจของคนร้ายคือการเก็บรวบรวมวิญญาณ ส่วนคุณหนูใหญ่เพียงเคราะห์ร้ายที่ถูกคนร้ายหมายตา
“หลังเข้าใจเรื่องทั้งหมดข้าน้อยไม่เพียงหวาดกลัวมาก ยังรู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจด้วย เวลาอยู่ในจวนคุณหนูใหญ่ใจดีเป็นกันเองกับบ่าวไพร่อย่างพวกเรา หากข้าน้อยเตือนคุณหนูใหญ่ให้เร็วกว่านี้ บางทีคุณหนูใหญ่ก็คงไม่ต้องเคราะห์ร้ายเช่นนี้แล้ว หลายวันที่ผ่านมาเห็นคุณหนูใหญ่ท่าทางสติเลื่อนลอย ข้าน้อยไม่สบายใจเอาเสียเลยเจ้าค่ะ”
“มีมโนธรรมในใจถึงเพียงนี้ เจ้าน่าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับนายท่านของเจ้านานแล้วสิ เหตุใดยังช่วยคุณหนูรองวางแผนทำร้ายคุณหนูตู้อีกเล่า”
“เพราะว่า…” เจี่ยวเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นกะทันหัน “เพราะว่าคุณหนูรองข่มขู่ข้าน้อยเอาไว้ หากข้าน้อยแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปยายเฒ่าหวังจะใช้วิธีเดียวกันมาทำร้ายท่านพ่อท่านแม่กับน้องชายของข้าน้อย และยังบอกว่าวันหน้านางยังมีเรื่องอีกมากต้องการให้ข้าน้อยช่วยจัดการดูแล นอกจากข้าน้อยแล้วนางก็ไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น เพราะเหตุนี้ครั้งก่อนนางรู้อยู่แท้ๆ ว่าข้าน้อยแอบฟังอยู่ข้างนอก ก็ไม่สั่งให้ยายเฒ่าหวังทำร้ายข้าน้อยสักนิด ขอเพียงข้าน้อยช่วยนางให้เป็นพระชายาองค์รัชทายาทได้ ในอนาคตข้าน้อยจะได้ผลประโยชน์มากมายนับไม่ถ้วน แน่นอนว่าข้าน้อยไม่หวังจะได้สิ่งเหล่านี้หรอก แต่ข้าน้อยกลัวว่าครอบครัวจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเยาะ หากต้องการบอกความลับจริงๆ ทางยายเฒ่าหวังใช่ว่าจะรู้ข่าวทันท่วงที พูดไปพูดมาสุดท้ายก็คือลาภยศสำคัญที่สุด ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทห่างจากตำแหน่งฮองเฮาเพียงก้าวเดียว แล้วนั่นหมายความว่าอะไรสาวใช้ผู้นี้รู้แก่ใจดี รวมกับอู่ฉี่ใช้วาจานุ่มนวลเกลี้ยกล่อม คงเผลอเพ้อฝันกลางวันไปบ้าง สมกับเป็นบ่าวผู้ภักดีของคุณหนูรองอู่ นายบ่าวทำสิ่งใดเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งที่รู้ว่าเป็นการฝืนมโนธรรมในใจ ก็ไม่ลืมใช้วาจาตกแต่งให้ดูดีขึ้นมาสักหน่อย
“เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ!” อู่ฉี่โกรธเคืองแต่กลับยิ้มออกมา “ศาลต้าหลี่ตัดสินคดีกันเช่นนี้เองหรือ วาจาเหลวไหลเลอะเทอะก็ใช้เป็นคำให้การได้ด้วย?”
ลิ่นเฉิงโย่วกวักมือเรียกคนด้านหลัง เจ้าหน้าที่หลายคนยกหีบข้างกายยายเฒ่าหวังเดินมา
“ยายเฒ่าหวังถูกพวกเราจับกุมในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถกลับห้องไปทำลายหลักฐานได้ทัน พอตรวจค้นดูแล้วพบของที่น่าสนใจไม่น้อย นี่เป็นกล่องใส่จดหมายใบหนึ่ง ซ่อนอยู่ในช่องลับของห้องนั้น ในกล่องไม่มีจดหมายของใครอื่น เป็นจดหมายที่คุณหนูรองอู่เขียนให้นางเองกับมือทั้งหมด”
ลิ่นเฉิงโย่วหยิบกล่องใส่จดหมายออกมาจากในหีบ ก่อนหยิบจดหมายฉบับหนึ่งในนั้นออกมาต่อหน้าอู่ฉี่ แล้วค่อยๆ เปิดจดหมายออก
อู่ฉี่เพ่งมองให้ดีแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันควัน
ลิ่นเฉิงโย่วมองนางอย่างเข้าอกเข้าใจ “ข้ารู้ จิ้งเฉินซือไท่จะต้องเคยสอนวิธีทำให้รอยหมึกหายไปกับเจ้าแน่ เพียงเล่นเล่ห์กลเล็กน้อยกับน้ำหมึก ลายมือในจดหมายไม่เกินครึ่งวันก็จะเลือนไป เจ้ามั่นใจว่าจดหมายที่ตนเองส่งไปไม่มีทางหลงเหลือจุดอ่อนให้จับได้ ดังนั้นถึงได้ไร้ความหวั่นเกรง เจ้าคงคิดไม่ถึงว่าแม้จิ้งเฉินซือไท่กับยายเฒ่าหวังจะล่อลวงเจ้า ใช้ประโยชน์จากเจ้า แต่ก็ป้องกันตนเองจากเจ้าด้วย ในหมึกที่มอบให้เจ้ายังมีเล่ห์กลอื่นแอบแฝง มันเพียงเลือนไปชั่วครู่เท่านั้น ไม่เกินหนึ่งวันก็จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดนี้ก็เพื่อเก็บเป็นหลักฐานสำคัญไว้ข่มขู่เจ้าในวันหน้า ลายมือในจดหมายชัดเจนทุกตัวอักษร พอตรวจเทียบดูก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นคนเขียนเอง”
“แล้วลายมือจะปลอมขึ้นมาไม่ได้หรือไร” อู่ฉี่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “คนผู้นั้นซื้อตัวเจี่ยวเอ๋อร์ไปแล้ว ก็สามารถปลอมลายมือข้าได้ง่ายๆ…”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยต่อ “เจ้านี่ปากแข็งจริงๆ โชคดียายเฒ่าหวังฉลาดกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ นางก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร รู้ว่าวันใดที่เรื่องราวถูกเปิดเผยเจ้าจะต้องปัดความผิดให้พ้นตัวอย่างสิ้นเชิงแน่ เพราะฉะนั้นในจดหมายบางฉบับนางจึงใช้การชิงวิญญาณเป็นข้ออ้าง ให้เจ้าวาดตำแหน่งปานกับไฝทุกจุดบนร่างพี่สาวส่งให้นางด้วย ตรงซอกนิ้วเท้าพี่สาวเจ้ามีไฝดำขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวจุดหนึ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงท่านแม่เจ้าก็ไม่รู้แน่ชัด สาวใช้คนสนิทของพี่สาวเจ้าก็ไม่รู้เรื่อง แต่เจ้ากลับไปถามจากปากพี่สาวมาเอง แล้วเจ้าก็จุ่มน้ำหมึกดำที่ทำขึ้นเป็นพิเศษนั่นวาดตำแหน่งและลักษณะปานกับไฝน้อยใหญ่รวมสิบเอ็ดจุดบนร่างพี่สาวลงไปในจดหมายอย่างละเอียด รวมถึงไฝตรงง่ามนิ้วเท้านั่นด้วย”
ในงานเลี้ยงมีเสียงดังอื้ออึงขึ้นทันใด
“ยายเฒ่าหวังรู้ว่าจะจัดการคนอย่างเจ้าเช่นไร อาศัยเพียงจดหมายฉบับเดียวยังไม่พอ” ลิ่นเฉิงโย่วมีท่าทีสงบนิ่งผ่อนคลาย “ดังนั้นในจดหมายฉบับถัดไปนางจะเสนอเงื่อนไขที่แยบยลยิ่งกว่านี้ให้เจ้า นางบอกว่าเวลาจะชิงวิญญาณจำเป็นต้องใช้เลือดของผู้ที่ถูกทำร้ายสองสามหยด จึงฝากปิ่นปักผมอันหนึ่งไปให้เจ้าพร้อมจดหมาย ให้เจ้าใช้ปลายแหลมของปิ่นดูดเลือดจากรอยปานที่สะดุดตาที่สุดสองจุดบนร่างพี่สาว นอกจากนี้ยังบอกว่าหากทำสำเร็จแล้วต้องส่งปิ่นกลับคืนไปภายในสามวัน
เจ้ามุ่งมั่นอยากร่วมคัดเลือกเป็นพระชายาองค์รัชทายาทมาตลอด พอได้ยินว่าฮองเฮากับอาจารย์ใหญ่หลิวพอใจในตัวพี่สาว เจ้ากลัวว่าหากปล่อยยืดเยื้อนานวันจะเกิดเหตุพลิกผัน จึงจำใจรับปิ่นปักผมอันนี้ไว้ ต่อมาเจ้าฉวยโอกาสระหว่างหยอกเล่นกับพี่สาวแสร้งทำเป็นใช้ปิ่นกรีดแขนนางเป็นแผลโดยไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นวันหนึ่งก็ ‘พลั้งมือ’ กรีดข้อมือซ้ายของนางอีกครั้ง ตามด้วยเขียนระบุเวลาที่เอาเลือดมาอย่างชัดเจนลงในจดหมาย แล้วแนบปิ่นอันนี้ส่งคืนไปด้วย
ปลายปิ่นแหลมคม สองครั้งนี้พี่สาวเจ้าต้องมีเลือดออกไม่น้อย ครั้งแรกนางทำได้เพียงบอกว่าไม่เป็นไร พอครั้งที่สองกลับเริ่มงุนงง เรื่องนี้ไม่เพียงทำให้สาวใช้ข้างกายพี่สาวเจ้าตกใจ แม้แต่มารดาเจ้าก็เคยซักไซ้ว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกนางสามารถเป็นพยานได้ว่าเจ้าใช้ปิ่นปักผมทำร้ายพี่สาวบาดเจ็บสองครั้ง ประจวบเหมาะกับว่าบาดแผลทั้งสองจุดล้วนโดนกรีดลงบนปาน ส่วนวันกับเวลาที่ลงมือตรงกับเนื้อความที่เจ้าเขียนระบุไว้ในจดหมายพอดี”
คำอธิบายยาวเหยียดนี้ประหนึ่งศิลาก้อนใหญ่มหึมา ก่อเกิดคลื่นน้ำแตกกระจายสูงขึ้นไปในอากาศทันใด ลายมือปลอมได้ สาวใช้ซื้อตัวได้ กระทั่งปานก็ยังสอบถามไปอย่างช้าๆ ได้ แต่การสร้างบาดแผลสองรอยบนปานสองจุดของคุณหนูใหญ่อู่ตามลำดับใครก็ไม่สามารถบงการให้ทำได้
ทุกอย่างต้องทำด้วยความสมัครใจของอู่ฉี่ทั้งสิ้น
ในที่สุดอาจารย์ใหญ่หลิวจิตใจก็สั่นคลอน สีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด
“ตอนนี้ปิ่นปักผมที่ว่านั่นก็วางอยู่ข้างจดหมายที่เจ้าวาดรอยปานของพี่สาวฉบับนั้น” ลิ่นเฉิงโย่วหยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งออกมาจากกล่องใส่จดหมาย ปิ่นนี้ประดับทองคำและหยกวาววับ มองภายนอกไม่ต่างอะไรกับปิ่นทั่วไป ทว่าปลายปิ่นแหลมคมกว่าปกติคล้ายเข็มเล่มยาว หากลองนำมาส่องใต้แสงโคมไฟจะเห็นว่าบนปลายปิ่นยังมีคราบเลือดสีเข้มแห้งกรังติดอยู่”
บนแผ่นหลังทุกคนค่อยๆ สัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือก
อู่ฉี่จ้องมองปิ่นปักผมอันนั้นเขม็ง
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียน วันนี้นักชันสูตรไปตรวจสอบบาดแผลของคุณหนูใหญ่อู่แล้ว พอกลับมาเขาว่าอย่างไรบ้าง”
เหยียนว่านชุนมองอู่ฉี่อย่างเย็นชา “นักชันสูตรบอกว่ายายเฒ่าหวังเล่นเล่ห์กลไว้ที่ปลายปิ่นแต่แรกแล้ว บาดแผลจากการใช้ปิ่นอันนี้กรีดผิวแล้วจะเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ต่อให้บาดแผลสมานกันอย่างรวดเร็วก็จะหลงเหลือรอยแผลเป็นจางๆ รูปพระจันทร์เสี้ยวเอาไว้ ปิ่นปักผมสามารถทำปลอมตบตา แต่บาดแผลที่เจ้าทิ้งเอาไว้บนร่างพี่สาวกับมือไม่มีทางปลอมไปได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานที่วันหน้าจะใช้มัดตัวเจ้าอย่างแน่นหนา นอกจากนี้ที่บ้านของยายเฒ่าหวังยังเก็บจดหมายที่เจ้าเคยเขียนถึงจิ้งเฉินซือไท่ในอดีตเอาไว้ไม่น้อย เจ้ามักเขียนจดหมายบ่นเรื่องจุกจิกหยุมหยิมในบ้านตนเองไปบ่อยๆ หลายเรื่องเคยเกิดขึ้นเมื่อห้าหกปีก่อน คนนอกไม่รู้ คนในบ้านเจ้าคิดว่าคงยังจำได้ เจ้าพร่ำบอกไม่หยุดว่ามีคนโยนความผิดให้เจ้า แต่ห้าหกปีที่แล้วเจ้าเพิ่งจะสิบขวบ หากตอนนั้นก็เริ่มปลอมลายมือเจ้าเขียนจดหมายจะไม่เร็วเกินไปสักหน่อยหรือ”
อู่ฉี่ใบหน้าซีดเผือดยิ่ง
ลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะเย้ยหยัน “คิดไม่ถึงใช่หรือไม่ เพื่อจะจัดการกับเจ้า จิ้งเฉินซือไท่ให้บริวารวางแผนสำรองเอาไว้นานแล้ว ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ชั่วขณะที่เจ้าตัดสินใจจะคบหากับ ‘มารร้าย’ เป็นต้นมาก็สมควรเตรียมพร้อมที่จะถูก ‘มารร้าย’ ทวงรางวัลตอบแทนไว้ด้วย พวกนางลำบากลำบนช่วยให้เจ้าเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็เพื่อตักตวงผลประโยชน์จากเรื่องนี้ ไม่ใช่เพื่อโดนเจ้าหันมาแว้งกัดในวันหน้า มีเพียงหยิบหลักฐานที่แน่นหนาจนเจ้าไม่อาจปฏิเสธได้ออกมาถึงสามารถบีบคุณหนูรองอู่ให้อยู่ในกำมือชนิดที่ว่าดิ้นไม่หลุดได้ เสียแรงที่เจ้าทุ่มเทความคิดวางแผน สุดท้ายยังเอาชนะมารร้ายไม่ได้”
ขณะที่เอ่ยปากก็ให้เจ้าหน้าที่ศาลพาตัวอู่ฉี่มาตรงหน้าเพื่อแยกแยะปิ่นปักผมเอง
อู่ฉี่หน้าเปลี่ยนสีไปมา จู่ๆ ก็ตวาดเสียงดังลั่น “อย่าเข้ามานะ!”
“หากเจ้ายังไม่ยอมรับ ข้างในกล่องนี้ยังมีหลักฐานอยู่อีกมาก” ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยอย่างไม่แยแส “ยังต้องการให้ข้าแสดงหลักฐานทีละชิ้นหรือไม่”
ภายในงานเลี้ยงเงียบกริบไร้สุ้มเสียง ทุกคนต่างกลั้นหายใจเฝ้ามองอู่ฉี่ เทียบกับแววตาตกตะลึงของพวกอาจารย์ใหญ่หลิว แววตาของบรรดาสหายร่วมเรียนซับซ้อนยิ่งกว่า บ้างก็เกลียดชัง บ้างก็ตื่นตระหนก บ้างก็สับสน และที่มากที่สุดคือความเสียใจ
ทรวงอกอู่ฉี่ขยับขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด นางหลุบสายตาลงอย่างเอือมระอา “ไม่จำเป็นหรอก ข้ายอมรับ ข้าเป็นคนทำเอง”
เสียงของนางยังไม่ทันเลือนหาย อยู่ๆ ศาลานั่งเล่นฝั่งตะวันตกก็มีคุณชายหน้าหยกผู้หนึ่งเดินออกมา ไม่รู้ว่ากำลังโศกเศร้าถึงขีดสุดหรือผิดหวังจนหัวใจปวดร้าว เดิมทีกิริยาท่าทางสง่าภูมิฐาน ยามนี้ประหนึ่งถูกคนออกหมัดต่อยเต็มแรง ฝีเท้าซวนเซ ใบหน้าซีดขาว กว่าจะเดินมาข้างหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย กลับลืมว่าต้องคุกเข่าถวายบังคมฮ่องเต้กับฮองเฮา
คนผู้นี้คืออู่หยวนลั่ว เขามาถึงนานแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเพียงความเข้าใจผิด จนกระทั่งได้ยินกับหูว่าอู่ฉี่ยอมรับ
“เจ้าเป็นคนทำ?” อู่หยวนลั่วจ้องหน้าอู่ฉี่ไม่วางตา “เพราะอะไร นางเป็นพี่สาวของเจ้านะ!”
“เพราะอะไรน่ะหรือ” ฉับพลันนั้นอู่ฉี่ก็เปล่งเสียงสูงขึ้น “ก็พวกท่านบังคับข้าเองไม่ใช่หรือไร! รู้หรือไม่ว่าตอนข้าสิบขวบเหตุใดต้องวิ่งไปจุดธูปขอพรถึงอารามนักพรตหญิงอวี้เจิน เพราะพวกท่านลำเอียงรักพี่สาวมากกว่าอย่างไรเล่า ข้าขอพรให้พวกท่านรักข้ามากกว่านี้สักนิด ไม่อยากให้ในสายตามีแต่พี่สาว หากไม่เป็นเช่นนี้จิ้งเฉินซือไท่จะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้หลอกล่อให้ข้าเดินทางผิดได้อย่างไร”
อู่หยวนลั่วราวกับถูกบีบคอเอาไว้ พูดอะไรไม่ออกไปในพริบตา
“ท่านกับท่านพ่อท่านแม่ลำเอียงเพียงใด ในใจพวกท่านไม่เคยรับรู้เลยใช่หรือไม่” อู่ฉี่หัวเราะเยาะหยัน “ตกลงกันแล้วว่าจะให้ข้าเข้าร่วมการคัดเลือกพระชายาองค์รัชทายาท แล้วผลเป็นเช่นไร พอพี่สาวถูกยกเลิกการแต่งงาน พวกท่านก็หาคู่ครองที่ดียิ่งกว่าให้ทันที ท่านพ่อบอกว่าหน้าตากับความสามารถข้าสู้พี่สาวไม่ได้ ถึงขั้นเข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์ขอพระราชโองการเปลี่ยนให้พี่สาวเข้าร่วมแทนโดยตรง! พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเพื่อช่วงเวลานี้แล้วข้าต้องเตรียมตัวมานานเพียงใด ไม่สนใจถามข้าสักคำไม่พอ กลับทำลายทุกอย่างที่ข้าต้องการ พวกท่านไม่เคยละอายใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ขนาดพี่สาวก็ยังรู้สึกว่าถูกต้องเหมาะสมแล้ว อยู่ในครอบครัวนี้ข้านับเป็นตัวอะไรกันแน่ พวกท่านยังมีหัวใจอยู่บ้างหรือไม่”
“แต่เจ้าไม่เคยบอกเลยว่าอยากเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นพระชายาองค์รัชทายาท” น้ำเสียงอู่หยวนลั่วแหบแห้งเหมือนถูกกระดาษทรายเสียดสี “เจ้าเคยบอกตั้งหลายครั้งว่าต้องการเลือกสามีด้วยตนเอง ตอนแรกพอท่านพ่อบอกว่าจะให้เจ้าไปเข้าร่วม ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่ยินยอม เคยช่วยคัดค้านสุดกำลังด้วยซ้ำ”
“นั่นเป็นเพราะข้าเคยชินกับการปิดบังความคิดที่แท้จริงของตนเองมานานอย่างไรเล่า” ในแววตาอู่ฉี่เผยความเดือดดาล “ปีนั้นท่านพ่อยังเป็นผู้ช่วยตำแหน่งเล็กๆ ในกรมปกครอง มุขมนตรีเจิ้งก็เป็นขุนนางที่มีบทบาทสำคัญในราชสำนักแล้ว เขาชื่นชมความสามารถของท่านพ่อ ตั้งใจจะเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันกับสกุลอู่ สกุลเจิ้งเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ในฉางอัน ขุนนางที่อยากให้ทายาทแต่งเข้าสกุลเจิ้งมีไม่รู้เท่าไร ข้ากับพี่สาวอายุห่างกันเพียงปีเดียวแท้ๆ ท่านพ่อกลับให้พี่สาวไปหมั้นหมายโดยไม่เสียเวลาคิด ต่อให้พี่สาวกับเจิ้งต้าหลางหลายปีก่อนดวงชะตาขัดกัน พวกเขาทำได้เพียงรอจนถึงปีนี้กว่าจะได้หมั้นหมายอย่างเป็นทางการ ท่านพ่อก็ยังยืนกรานไม่เปลี่ยนใจ นับตั้งแต่ตอนนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดล้วนเก็บไว้ให้ลูกสาวคนโตสุดที่รัก ส่วนลูกสาวคนรองอย่างข้าผู้นี้ได้แต่เก็บของที่เหลือทิ้งจากพี่สาว”
นางหัวเราะด้วยความคับแค้นใจ
“ยังมีท่าน…” อู่ฉี่กัดฟันกรอด “ท่านจำสิ่งที่พี่สาวชอบได้ทั้งหมด แม้แต่ตอนซื้อขนมน้ำตาลปั้นให้นางยังไม่ลืมว่าต้องโรยงา แต่พอเป็นเรื่องของน้องสาวผู้นี้ท่านเคยเก็บมาใส่ใจบ้างหรือไม่ ปีนั้นข้าเคยเดินหลงทางในเขาวงกตของอารามนักพรตหญิงอวี้เจิน ซือไท่ออกไปข้างนอกกะทันหัน ในอารามเหลือเพียงนักพรตหญิงสองสามคนที่ไม่รู้เรื่องกลไก พวกนางกลัวว่าข้าจะเกิดเรื่องจึงรีบไปส่งข่าวที่จวนสกุลอู่ ข้าตั้งตารอให้พี่ชายรีบมาช่วยข้า เพราะใต้หล้านี้ไม่มีปริศนาใดที่พี่ชายข้าไขไม่ได้ ท้องฟ้ายิ่งมืดลงไปทุกที ข้าหวาดกลัวจับใจ แต่พี่ชายที่ข้าเฝ้ารอก็ไม่มาเสียที รอจนสุดท้ายเป็นองค์รัชทายาทเดินทางผ่านมาแล้วได้ยินว่ามีคนติดอยู่ในอาราม จึงเข้ามาพาข้าออกไป”
พอเล่ามาถึงตรงนี้อู่ฉี่ก็อดเหลียวมองไปทางองค์รัชทายาทไม่ได้ องค์รัชทายาททั้งประหลาดใจทั้งสับสนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์ช่วงนี้เมื่อหลายวันก่อนเขาลืมเลือนไปหมดแล้ว
แม้สายตาของอู่ฉี่จะทอดมององค์รัชทายาทเพียงชั่วอึดใจ กลับสะท้อนความเสน่หาที่ซับซ้อนนุ่มนวลออกมาเบาบาง
เถิงอวี้อี้จ้องมองอู่ฉี่ด้วยแววตาเย็นเยียบ ภายในใจคล้ายค่อยๆ จับตัวเป็นน้ำแข็ง
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง…
นางเคยคาดเดาแรงจูงใจที่คนเสื้อคลุมดำทำร้ายนางในชาติก่อนนับครั้งไม่ถ้วน ถึงแม้เมื่อเร็วๆ นี้ในที่สุดก็คาดเดาได้แล้วว่าสาเหตุเพราะองค์รัชทายาทอยากแต่งงานกับนาง กลับคิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะมีความรู้สึกหลากหลายปะปนเพียงนี้
ไม่ต้องสงสัยเลย สาเหตุที่อู่ฉี่เปลี่ยนให้การแต่งงานกับองค์รัชทายาทกลายเป็นความยึดมั่น นอกจากต้องการเอาชนะพี่สาวร่วมอุทรแล้ว ยังมีความต้องการครอบครองแต่เพียงผู้เดียวด้วย
จำได้ว่าชาติก่อนเมื่อครั้งนางกับเติ้งเหวยหลี่และอู่ฉี่รับพระเสาวนีย์ไปเข้าเฝ้ายังวังต้าหมิงกง ฮองเฮาพระราชทานเพียงผ้าไหมให้เติ้งเหวยหลี่กับอู่ฉี่คนละแปดผืน กลับพระราชทานเครื่องหอมเจี๋ยผอหลัวที่ผู้คนขนานนามว่าเป็น ‘ยอดแห่งสมุนไพรเครื่องหอม’ ให้นาง
คิดว่าจิตสังหารที่อู่ฉี่มีต่อนางคงจะเริ่มฝังลึกมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วกระมัง องค์รัชทายาทไม่เพียงสอบถามความเป็นอยู่ของนางบ่อยครั้ง ยังเผยความตั้งใจว่าจะแต่งงานกับนางหลังจากพ้นช่วงไว้ทุกข์ให้บิดาด้วย พอข่าวนี้ล่วงรู้ไปถึงหูอู่ฉี่ จิตสังหารที่ฝังอยู่ในใจนั้นก็บ่มเพาะกลายเป็นการลงมือทำจริง
จำได้ว่าชาติก่อนไม่มีปีศาจมารร้ายเหล่านี้ เสี่ยวหยาเคยกล่าวไว้ว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับการย้อนลิขิตสวรรค์แก้ไขโชคชะตาจนชักนำให้เกิดเภทภัย ตอนนั้นซือไท่ยังไม่ถูกเปิดโปง แต่อู่ฉี่สมรู้ร่วมคิดกับซือไท่มานานแล้ว อย่างนั้นคนเสื้อคลุมดำในคืนนั้นเป็นไปได้สูงว่าอู่ฉี่จะให้ซือไท่ส่งมา
คนเหล่านี้ต่างมีเลศนัยแอบแฝง แต่พวกนางมีจุดประสงค์เดียวกันแน่นอนคือช่วยให้อู่ฉี่ได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท
สำหรับเติ้งเหวยหลี่ บิดาเคยกล่าวเอาไว้ว่าฮ่องเต้มีพระราชประสงค์จะยกย่องขุนนางฝ่ายที่สนับสนุนการปราบปรามถู่ปัว เติ้งซื่อจงกลับต่อต้านพระราชดำรินี้ของฮ่องเต้อย่างสุดกำลังเพื่อกดข่มกลุ่มอำนาจฝ่ายคัดค้านการปราบปรามถู่ปัวในราชสำนัก ความหวังที่เติ้งเหวยหลี่จะได้รับเลือกเป็นพระชายาองค์รัชทายาทจึงริบหรี่มากทีเดียว
นี่หมายความว่าขอเพียงกำจัดนางไปได้ ตัวเลือกตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทก็จะเหลือเพียงอู่ฉี่แล้ว
เป้าหมายของพวกเขาจึงชัดเจนอย่างยิ่ง พอบุกเข้าจวนมาได้ก็ลงมือสังหารนาง
ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้อู่ฉี่ก็โหดเหี้ยมอำมหิตหาใดเปรียบ
ชาติก่อนส่งคนมาสังหารนาง ชาตินี้วางแผนทำร้ายพี่สาวของตนเอง
เถิงอวี้อี้กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว นางแค้น…แค้นจนแทบอยากจะฉีกทึ้งนางมารตรงหน้าเป็นชิ้นๆ
นางเสียใจ…เสียใจที่ตนเองต้องตายอย่างไม่เป็นธรรมในเงื้อมมือของคนพรรค์นี้ ชาติก่อนนางเป็นเพียงเด็กสาวกำพร้าผู้หนึ่ง มารดาด่วนจากโลกนี้ไป บิดาก็ล่วงลับไปอีกคน ยังมาถูกช่วงชิงกระทั่งสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อเพียงลำพังเพราะแผนการชั่วร้ายเช่นนี้
อู่หยวนลั่วมองความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในดวงตาน้องสาวออกแล้ว เขากัดฟันเอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าไม่บอกกับพี่ชายแต่แรกเล่า”
“ข้าบอกแล้วท่านจะช่วยข้าหรือ” อู่ฉี่แค่นเสียงเย้ยหยัน “ไม่หรอก ท่านคงยกสิ่งที่ดีที่สุดให้พี่สาวเหมือนเดิม บนโลกใบนี้ไม่มีใครช่วยข้าได้ ข้าต้องพึ่งตนเองเท่านั้น!”
ลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะอย่างเย็นชา “หมายความว่าใครก็ตามที่อาจขัดขวางไม่ให้เจ้าได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท เจ้าก็จะกำจัดทิ้งไปล่วงหน้าทีละคนใช่หรือไม่ เพื่อการนี้แล้วเจ้าจึงทำร้ายพี่สาว ใส่ร้ายคุณหนูเติ้ง เล่นงานคุณหนูตู้ แม้แต่ตอนอยู่บนเขาหลีซานก็คิดร้ายกับคุณหนูเถิงด้วย”
พอกล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็เหลือบมองเถิงอวี้อี้แวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่านางกำลังจ้องหน้าอู่ฉี่ด้วยความแค้นสุมอก ความแค้นนี้ลึกล้ำเข้มข้น ดุจศัตรูคู่แค้นที่ลำบากตามหามาหลายปีปรากฏตัวตรงหน้าอย่างไม่คาดคิด ทว่าแฝงด้วยความโศกเศร้ายากจะบรรยาย เหมือนความทุกข์ระทมที่ไม่อาจลบล้างยึดครองพื้นที่ในหัวใจ
ลิ่นเฉิงโย่วตะลึงงัน ความรู้สึกอันแรงกล้าถึงเพียงนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะญาติผู้พี่เกือบโดนคนตรงหน้าเล่นงานเป็นแน่…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.