X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 108

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 108

ลิ่นเฉิงโย่วกำลังประหลาดใจ ก็ได้ยินอู่ฉี่เอ่ยว่า “พวกนางอยู่ในสภาพใด แล้วข้าอยู่ในสภาพใด”

เขาถูกคำพูดประโยคนี้เรียกสติกลับมา เถิงอวี้อี้ไม่มีทางเป็นเช่นนี้โดยไม่มีเหตุผลแน่ ตอนนี้รอบกายหูตาผู้คนเต็มไปหมด มีเรื่องอะไรก็คงต้องเอาไว้ค่อยถามวันหน้าแล้ว เขาจึงเก็บงำความกังวลและความสงสัยในใจเอาไว้ แล้วดึงความสนใจมาอยู่ที่สถานการณ์ตรงหน้า

“เติ้งเหวยหลี่มีสกุลเติ้งกับจวนเว่ยกั๋วกงประคบประหงมเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ฐานะสูงส่งสุขสบายมาตั้งแต่เด็ก” อู่ฉี่เอ่ยวาจาเสียงดังฉะฉาน “บิดาของเถิงอวี้อี้เป็นขุนนางหัวเมืองที่อำนาจบารมีลือลั่นทั่วสารทิศ แต่ไหนแต่ไรมาทำตามใจปรารถนา ตู้ถิงหลันเป็นบุตรสาวคนโตของครอบครัว ไม่จำเป็นต้องทนกับความลำเอียงของพ่อแม่และพี่ชายตลอดเวลาเหมือนข้า พวกนางอยู่ในจวนอยากจะทำสิ่งใดก็ทำ อยากจะพูดอะไรก็พูด ต่อให้ไม่ถูกเลือกเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ครอบครัวก็พยายามสรรหาคู่ครองที่ดีที่สุดมาให้ พวกนางมีหนทางถอยมากมายนับไม่ถ้วน แล้วข้าเล่า หากข้าไม่ไขว่คว้าด้วยตนเองก็ไม่มีใครมาช่วยหรอก!”

อู่หยวนลั่วกัดฟันกรอด “ดังนั้นแม้แต่พี่ชายเจ้าก็คิดร้ายด้วย? บนเขาหลีซานเรื่องข้อเท้าแพลงทั้งที่เป็นความคิดของเจ้า ตอนหลังกลับบอกปัดว่าข้าบังคับให้เจ้าทำ”

อู่ฉี่หัวเราะเย้ยหยัน “มันผิดตรงที่ใดกัน เดิมทีราชสำนักอาจคัดเลือกพระชายาองค์รัชทายาทจากบุตรสาวของบรรดาเจี๋ยตู้สื่ออยู่แล้ว ด้วยรูปโฉมกับความสามารถของคุณหนูเถิงมีสิทธิ์จะได้รับเลือกสูงมาก หากวางแผนให้พี่ชายมาชอบคุณหนูเถิงสำเร็จ ไม่แน่เรื่องที่นางได้รับเลือกคงไม่มีหวังอีก เตะคู่แข่งที่แข็งแกร่งออกไปเสียแต่เนิ่นๆ ได้ เหตุใดข้าจะไม่ทำเล่า อีกอย่างข้าไม่ได้ทำร้ายใครนะ พี่ชาย ท่านไม่ใช่ว่าชอบคุณหนู…”

“เล่าเรื่องในคืนเทศกาลอวี้ฝอมาดีกว่า” อยู่ๆ ลิ่นเฉิงโย่วก็เอ่ยตัดบทนาง “ก่อนจะมาที่นี่ข้าไปยืนยันกับพี่ชายเจ้ามาแล้ว คืนนั้นความจริงเขาจะไปส่งพวกเจ้าพี่น้องที่วัดชิงหลงด้วยตนเอง ปรากฏว่าถูกเจ้าหลอกเข้า”

อู่ฉี่เบนสายตามาทางลิ่นเฉิงโย่ว

ลิ่นเฉิงโย่วสีหน้าเย็นชากว่าปกติ “ตอนแรกนัดหมายกับสหายไว้ดิบดีว่าให้มารวมตัวกันที่วัดชิงหลงต้นยามโหย่ว เจ้ากลับบอกเขาว่าเป็นกลางยามโหย่ว รอจนพี่ชายเร่งมาถึงวัดชิงหลงเจ้าก็เกลี้ยกล่อมพี่สาวให้ออกหน้าหลอกล่อคุณหนูเติ้งไปที่สะพานแล้ว ภายหลังยังใช้วิธีการบางอย่างทำให้พี่สาวไม่ได้กลับไปยังร้านจวี๋ซวงสักที ปาหี่ฉากนี้คาดเดาได้ไม่ยากเลย เป็นเพียงการใช้ประโยชน์จากคำว่า ‘เชื่อใจ’ สองคำ ข้าเพียงอยากรู้ว่าคืนนั้นเครื่องประดับกับจดหมายรักที่มอบให้คุณหนูเติ้งมาจากที่ใดกัน เครื่องประดับคือต่างหูมุกล้อแสงจันทร์ที่ราคาสูงลิ่ว ส่วนจดหมายรักก็ปลอมลายมือข้า แผนการที่พวกเจ้าเตรียมมาทั้งหมดนี้เพื่อต้องการให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าข้ากับคุณหนูเติ้งมีความสัมพันธ์ส่วนตัว ยายเฒ่าหวังรู้จักขุนนางในราชสำนักบางคนใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงปลอมลายมือข้าได้”

“ข้าไม่รู้ว่านางทำได้อย่างไร” อู่ฉี่ตอบเสียงเย็นเยียบ “ทุกครั้งนางจะเล่าส่วนหนึ่งของแผนการกับข้า แล้วกำชับข้าให้จัดการเรื่องทางนี้ให้ดีก็พอ อีกส่วนหนึ่งจะไม่ยอมให้ข้าซักถามเลย ดูอย่างแผนการในวันนี้ข้าก็เพิ่งรู้เมื่อคืนว่ากระดาษคัดบทกวีของคุณหนูตู้ไปอยู่ในมือของจิ้นซื่อผู้หนึ่งที่ชื่อหลูจ้าวอันแล้ว ยายเฒ่าหวังบอกว่าคืนนี้หลูจิ้นซื่อก็ตามเสด็จออกนอกเมืองด้วย ให้ข้าหาวิธีสาดชายกระโปรงของสองพี่น้องสกุลเผิงจนเปียกตอนเขาปรากฏตัว”

ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเยาะ “เจ้าไม่รู้แผนการทั้งหมด แต่ต้องรู้เวลาที่พวกเขาจะลงมือแน่ คืนนั้นตอนแพะรับบาปที่ชื่อฮั่วซงหลินใช้วิชามารชิงเสี้ยววิญญาณพี่สาวเจ้าไป เจ้ากับสหายคนอื่นนั่งคุยเล่นกันอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างในร้านจวี๋ซวง เจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อตัดตนเองออกจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปอย่างหมดจด แต่ตอนนั้นขอเพียงเจ้าตะโกนออกมาคำเดียวก็ยับยั้งโศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้ทันที เจ้ากลับมองดูพี่สาวตนเองถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาทั้งที่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เจ้าไม่เคยเห็นใจนางสักนิดเลยหรือ”

“แล้วเหตุใดข้าต้องเห็นใจด้วย” เสียงอู่ฉี่แหลมสูงขึ้นมาทันควัน “บนเขาหลีซานครั้งนั้นนางรู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าหญิงชาวนานั่นเป็นคนที่ฮองเฮาเตรียมไว้เพื่อลองใจพวกเรา นางย้อนกลับไปเองคนเดียว เคยคิดจะเตือนข้าบ้างหรือไม่ นางไปร่วมคัดเลือกพระชายาองค์รัชทายาทแทนข้า หลังจากนั้นเคยขอโทษข้าสักคำหรือไม่ หากในหัวใจในสายตาของนางยังมีน้องสาวอย่างข้า ข้าก็คงไม่ทำเรื่องใจร้ายถึงเพียงนี้…”

อู่หยวนลั่วตะคอกตัดบทนาง “ต้าเหนียงไม่เคยรู้มาก่อนว่าเหตุการณ์วันนั้นเป็นการลองใจ เรื่องนี้ท่านพ่อท่านแม่ก็ถูกปิดปังไว้เช่นกัน ที่ต้าเหนียงยอมย้อนกลับไปนั่นเป็นเพราะเนื้อแท้นางเป็นคนใจดีมีเมตตา! ส่วนเจ้าหากมีใจสงสารหญิงชาวนาผู้นั้นบ้างยังต้องให้คนอื่นมาเตือนด้วยหรือ เรื่องมาถึงวันนี้แล้วเจ้ายังไม่เข้าใจอีกใช่หรือไม่ เจ้าเป็นคนแล้งน้ำใจเห็นแก่ตัว ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นเช่นนี้มาตลอด”

อู่ฉี่หรี่ตาลงทันใด

อู่หยวนลั่วจ้องหน้าอู่ฉี่ตรงๆ พลางเอ่ยเสียงเฉียบขาด “เจ้าพร่ำบอกไม่ขาดปากว่าท่านพ่อท่านแม่กับพี่ชายลำเอียง กลับลืมไปแล้วกระมังว่าหลายปีมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ได้ เจ้าลืมไปแล้ว ข้าจะช่วยรำลึกความหลังให้เจ้าเอง” เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “คนทั่วไปตั้งครรภ์สิบเดือน แต่เจ้าอยู่ในครรภ์ท่านแม่เจ็ดเดือนก็คลอดออกมาแล้ว ท่านพ่อท่านแม่กลัวว่าจะเลี้ยงเจ้าไม่รอด จึงตั้งใจเชิญผู้มีวิชามาทำนายดวงชะตาให้เจ้า เดิมทีรอฟังถ้อยคำที่เป็นมงคล ทว่าผู้มีวิชาผู้นั้นกลับบอกว่าวันข้างหน้าเจ้าจะนำหายนะมาสู่วงศ์ตระกูล ท่านพ่อโกรธจัดจนสั่งคนให้ขับไล่ผู้มีวิชาผู้นั้นออกจากบ้านไป ทั้งยังรักใคร่เอ็นดูเจ้าไม่น้อยไปกว่าเมื่อก่อน ตอนเด็กๆ เจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ส่วนต้าเหนียงสุขภาพแข็งแรง คนทั้งครอบครัวคอยทะนุถนอมเจ้าอยู่กลางฝ่ามือมาตลอด ความเอาใจใส่กับความห่วงใยที่มีให้ต้าเหนียงเทียบกับเจ้าแล้วห่างไกลกันมากนัก”

อู่ฉี่นิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน

อู่หยวนลั่วดวงตาฉายชัดถึงความผิดหวัง “จำได้ว่าปีนั้นตอนเจ้าอายุห้าขวบก็ล้มป่วยเป็นโรคไข้จับสั่นอาการหนักมาก ทุกวันหลังท่านพ่อเลิกประชุมขุนนางกลับมาแล้วเรื่องแรกที่ทำคือมาอยู่ข้างเตียงเป็นเพื่อนเจ้า ส่วนท่านแม่กับข้าเพื่อเฝ้าดูแลเจ้าแล้วยิ่งเหน็ดเหนื่อยไม่ได้พักผ่อนตลอดทั้งวัน หมอบอกว่าต้องการเลือดจากแขนของพี่น้องร่วมอุทรมาเป็นตัวประสานยา ต้าเหนียงก็เพิ่งจะหกขวบ กลับยอมทำตามโดยไม่รีรอ นางกลัวว่าพวกเราจะเหนื่อยจนล้มพับ จึงมาคอยช่วยยกน้ำแกงส่งยา กว่าเจ้าจะหายดีไม่ใช่เรื่องง่าย ต้าเหนียงก็มาติดโรคจากเจ้าอีก แต่เจ้าไม่เคยเห็นใจพี่สาวคนโตที่นอนป่วยอยู่บนเตียงเลย ทั้งยังทำตัวเจ้าอารมณ์โวยวายอยู่ในห้องเพราะคิดว่าท่านพ่อท่านแม่กับพี่ชายง่วนกับการดูแลต้าเหนียงจนละเลยเจ้า เจ้าคลอดก่อนกำหนดร่างกายอ่อนแอ คลอดออกมาแล้วก็ได้รับความรักล้นเหลือจากคนทั้งครอบครัว ผ่านไปนานวันเข้าดูเหมือนเจ้าจะลืมไปว่าพี่สาวก็เป็นบุตรสาวผู้หนึ่งของสกุลอู่ ขอเพียงท่านพ่อท่านแม่แสดงความรักห่วงใยสักหน่อยเจ้าก็จะอาละวาด”

ในดวงตาอู่หยวนลั่วเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์แฝงอยู่ “หัวใจประกอบด้วยเลือดเนื้อทั้งสิ้น ตอนเด็กๆ เวลาพี่ชายเรียนหนังสือ ทุกครั้งเมื่อถึงเดือนสิบสองอากาศหนาวเหน็บ ต้าเหนียงกลัวว่าพี่ชายจะคัดอักษรจนนิ้วมือเป็นตุ่มพุพอง จึงอาสามาช่วยจุดเตาอุ่นอยู่ข้างๆ พอพี่ชายบอกให้นางกลับห้อง นางกลับยืนกรานว่าจะอยู่เป็นเพื่อน ส่วนเจ้าน่ะหรือ ทุกครั้งที่ถึงช่วงนี้จะเอาแต่บ่นว่าพี่ชายมัวแต่อ่านหนังสือไม่ยอมเล่นกับเจ้า ครั้งนั้นพี่ชายขึ้นต้นไม้ช่วยเจ้าเก็บว่าว ตอนกระโดดลงมาไม่ระวังจึงข้อเท้าแพลง เจ้าก็เอ่ยปากขอโทษพี่ชาย แต่ต่อมาคนที่คอยดูแลพี่ชายกลับเป็นต้าเหนียง ตอนพวกเจ้าตามท่านแม่กลับบ้านท่านตาที่อิ่งโจว พอกลับถึงบ้านต้าเหนียงก็เอาขนมข้าวเหนียวทอดที่พี่ชายชอบกินมาฝากตั้งมาก ก่อนหน้านี้พี่ชายเพียงพูดออกไปโดยไม่ตั้งใจครั้งเดียว ต้าเหนียงกลับจำใส่ใจเงียบๆ พวกเจ้าสองคนทำรองเท้าให้พี่ชาย ต้าเหนียงจะทำออกมาพอดีเท้าเสมอ เจ้ากลับไม่ใส่ใจกระทั่งขนาดเท้าของพี่ชาย พอสวมรองเท้าที่เจ้าทำไม่ได้ เพียงพูดล้อเล่นว่ารองเท้าคู่นี้เสียเปล่าแล้ว เจ้าก็โมโหบอกว่าพี่ชายรักต้าเหนียงมากกว่า แล้วโยนรองเท้าคู่นั้นลงบ่อน้ำต่อหน้าพวกเรา

ใช่ ความจริงพี่ชายไม่ควรเก็บเรื่องเล็กน้อยพวกนี้มาใส่ใจ แต่นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องสองเรื่อง เป็นการอยู่ร่วมกันมานานหลายปี เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ตกตะกอนอยู่ในหัวใจไปทีละนิด คนจิตใจหยาบกระด้างเพียงใดก็คงเข้าใจ ยิ่งเติบใหญ่พี่ชายยิ่งเข้าใจชัดเจน ต้าเหนียงใจเย็นใจกว้าง ส่วนเจ้าจิตใจคับแคบ หลายปีที่ผ่านมาได้รับความห่วงใยจากนางที่มีต่อพี่ชายผู้นี้มากมายนัก เพื่อจะตอบแทนกลับคืนจึงลำเอียงใส่ใจต้าเหนียงมากกว่าโดยไม่รู้ตัว ก็ไม่ต่างกับที่นางจำได้ว่าพี่ชายไม่ชอบกินน้ำส้มหมักดอกท้อ* ไม่ชอบดมกลิ่นสุราถูซู** ไม่กินปลาดิบ ไม่แตะผักชี เรื่องพวกนี้เจ้าไม่เคยรู้เลยแม้แต่น้อย ทว่าต้าเหนียงกลับจดจำใส่ใจไว้ทั้งหมด อย่างนั้นแล้วพี่ชายจะจำได้ว่าต้าเหนียงชอบกินงานั้นมันยากตรงที่ใดกัน”

สีหน้าอู่ฉี่ยังคงเย็นชาแข็งกระด้าง ทว่าประกายในดวงตาสั่นไหว

อู่หยวนลั่วหัวเราะเยาะตนเอง “เจ้าบอกว่าครั้งนั้นพี่ชายมาช่วยเจ้าที่อารามนักพรตหญิงอวี้เจินไม่ทันการณ์ กลับไม่เอ่ยถึงสักคำว่าตอนนั้นพี่ชายอยู่นอกเมือง พี่ชายเร่งควบม้ากลับเข้าเมืองโดยไม่หยุดพัก เพราะรีบร้อนมากเกินไประหว่างทางจึงเกือบตกจากหลังม้า แต่สุดท้ายก็กลับช้าไปก้าวหนึ่ง และยังถูกเจ้าคิดแค้นมาจนถึงตอนนี้ พอไปเยี่ยมเจ้าที่ห้อง เจ้ากลับปล่อยให้พี่ชายอยู่นอกประตู พี่ชายยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินจ้องมองประตูห้องที่ปิดสนิท รสชาติเช่นนั้นตราบจนวันนี้ยังลืมไม่ลง เร่งรีบเดินทางจนเสื้อผ้าเปียกเหงื่อชุ่มโชกไปหมด ลมพัดผ่านมาก็หนาวเหน็บถึงกระดูกในพริบตา แต่ร่างกายจะหนาวเพียงใดก็ไม่หนาวเท่าในหัวใจ”

อู่หยวนลั่วสะอื้นอยู่ในลำคอ ก่อนจะหยุดชะงักไปชั่วครู่ “ส่วนท่านพ่อท่านแม่ ปกติพวกเจ้าสองคนเป็นเช่นไรพวกท่านคงจะรู้ดียิ่งกว่าข้าเสียอีก เรื่องเล็กน้อยนับไม่ถ้วนสั่งสมมานานปี การดูแลเจ้าอย่างทะนุถนอมเหลือเกินในตอนแรกกลายเป็นความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อต้าเหนียง ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล ช่วงก่อนต้าเหนียงถูกสกุลเจิ้งยกเลิกการแต่งงาน นางร้องไห้อยู่ในห้องทั้งวัน ท่านพ่อท่านแม่กับข้ากลัวว่านางจะคิดสั้น ย่อมห่วงใยนางเป็นเท่าทวี ทั้งหมดนี้พออยู่ในสายตาเจ้าก็กลับกลายเป็นความลำเอียงที่คนทั้งครอบครัวรักต้าเหนียงมากกว่า เจ้าไม่เคยคิดบางหรือไร หากตอนนั้นคนที่ถูกยกเลิกการแต่งงานเป็นเจ้า ท่านพ่อก็จะยอมเสียสละเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเช่นกัน!”

“ท่านพูดเหลวไหล!” อู่ฉี่ริมฝีปากสั่นระริก น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาเป็นสาย “ท่านพ่อไม่มีทางทำอะไรเพื่อข้าหรอก ต่อให้ข้าตายไปพวกท่านก็ไม่มีทางปวดใจ หากพวกท่านปรับเปลี่ยนหัวใจให้มีความรู้สึกเท่าเทียมสักหน่อยข้าก็คงไม่เดินมาถึงจุดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

“ข้าพูดเหลวไหล?” อู่หยวนลั่วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ตอนนี้เจ้าสุขภาพแข็งแรง ดูท่าจะลืมไปว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านพ่อท่านแม่เคยทำเพื่อเจ้ามาตั้งเท่าไร ท่านพ่อท่านแม่ได้ยินว่าเมืองซิงหยวนมีหมอผีที่เชี่ยวชาญการรักษาโรคภัยของเด็ก ก็ไม่ลังเลที่จะเดินทางไกลกว่าพันหลี่เพื่อเชิญหมอผีผู้นี้มาโดยเฉพาะจนทำให้พลาดการทดสอบของกรมปกครอง เป็นผู้ช่วยในกรมปกครองต่อเนื่องมาสิบปีเต็มๆ ท่านแม่ทำถุงเท้าให้เจ้าด้วยตนเองทุกปี เพราะตอนเล็กๆ เจ้าขี้หนาวยิ่งกว่าเด็กผู้อื่น ท่านแม่มักจะเอาใจใส่เป็นพิเศษ ถึงแม้เจ้าเติบโตถึงเพียงนี้แล้วถุงเท้าที่นางทำให้เจ้าก็ยังหนานุ่มกว่าคนอื่นหลายส่วน เจ้าชอบสวมเสื้อผ้าสีแดงมาตั้งแต่เด็ก แต่ละปีท่านแม่จะหาผ้าไหมผ้าแพรสีแดงมาเพิ่มให้เจ้ามากมาย…ของพวกนี้ถูกเก็บใส่หีบอยู่ในห้องของเจ้า หรือเจ้าจะบอกว่าพี่ชายปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาลอยๆ โดยไร้หลักฐานเล่า ต้าเหนียงดีต่อเจ้าอย่างไร เจ้าคงรู้อยู่แก่ใจ ของที่เจ้าชอบกินนางไม่เคยแตะต้อง ของเล่นที่เจ้าหมายตา นางชอบเพียงใดก็ไม่เรียกร้องอยากได้ น่าเสียดายที่เจ้าถูกวิชามารของนักพรตชั่วผู้นั้นล่อลวงจนจิตใจบิดเบี้ยว ไม่กี่ปีมานี้เอาแต่จดจำเรื่องแย่ๆ ไม่เคยจดจำเรื่องดีๆ เลย!”

ร่างกายอู่ฉี่โงนเงนไปชั่วขณะ หยาดน้ำตายิ่งไหลทะลักออกมา นางกัดฟันเอ่ยเสียงชิงชัง “ท่านพูดเหลวไหล…พวกท่านเสแสร้งกันหมด! บุญคุณเล็กน้อยพวกนี้นับเป็นอะไรได้ ทุกครั้งที่เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์สำคัญ ในสายตาพวกท่านมีเพียงพี่สาวผู้เดียวเท่านั้น ข้าเลือกสามีให้ตนเองไว้นานแล้ว แต่พวกท่านทำลายทุกอย่างก็เพื่อพี่สาวไปแล้ว”

อู่หยวนลั่วยิ่งรู้สึกผิดหวังมากขึ้น “อย่างนั้นเจ้าน่าจะจำได้ว่าช่วงก่อนหน้านี้ต้าเหนียงเคยถามว่าชายในดวงใจเจ้าคือใคร เจ้าบอกว่าจะเลือกสามีด้วยตนเอง กลับไม่คัดค้านที่ครอบครัวจะส่งเจ้าเข้าเรียนในสำนักศึกษาเซียงเซี่ยง พวกเราจึงสงสัยว่าเจ้ามีชายหนุ่มที่หมายปองแล้ว ที่สำคัญคนผู้นั้นคงเป็นบุตรหลานเชื้อพระวงศ์สักคน ไม่นานต้าเหนียงก็ถูกสกุลเจิ้งยกเลิกการแต่งงาน ทั้งครอบครัวจมอยู่กับความเศร้าเสียใจ แต่เจ้าพอได้ยินว่าเฉิงอ๋องซื่อจื่อจัดงานเลี้ยงวันเกิด ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงนำของขวัญอวยพรไปยังวังเฉิงอ๋อง ข้ากับต้าเหนียงจึงมั่นใจว่าชายในดวงใจเจ้าคือเฉิงอ๋องซื่อจื่อ หลังจากนั้นเป็นต้นมาต้าเหนียงจึงตอบตกลงเข้าร่วมการคัดเลือกพระชายาองค์รัชทายาท ส่วนพี่ชายตอนอยู่บนเขาหลีซานก็หาวิธีจับคู่ให้เจ้ากับเฉิงอ๋องซื่อจื่อ เดิมทีคิดว่าเป็นแผนการที่น่ายินดี ไม่คิดว่าจะกระตุ้นให้เจ้าเกลียดชังทุกคนในครอบครัว”

หยาดน้ำตาของอู่ฉี่ราวกับหยุดชะงักไป

อู่หยวนลั่วหลับตาลง “ช่างเถิด พูดมามากถึงเพียงนี้ ข้าเพียงอยากรู้เรื่องหนึ่ง พอทำเรื่องพวกนี้ไปแล้วในใจเจ้าเคยมีสักเศษเสี้ยวที่รู้สึกเสียใจในภายหลังหรือไม่ เจ้าลองคิดถึงสภาพของต้าเหนียงเมื่อก่อน แล้วมาคิดถึงสภาพของต้าเหนียงในตอนนี้ดูสิ จะพูดกับนางว่า ‘ขอโทษ’ จากใจจริงได้บ้างหรือไม่”

อู่ฉี่กัดฟันแน่น ทว่าริมฝีปากยังสั่นระริก

อู่หยวนลั่วตาแดงก่ำเฝ้ารออยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง เขาหันหน้ากลับไปแล้วคุกเข่าแผ่นหลังเหยียดตรงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้กับฮองเฮา จากนั้นก้มลงกราบศีรษะจรดพื้นพร้อมเอ่ยว่า “ท่านพ่อสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี ท่านแม่ยุ่งกับการดูแลน้องสาวคนโต เรื่องในคืนนี้กระหม่อมหยวนลั่วขอแบกรับไว้เพียงผู้เดียว ครอบครัวสกุลอู่โชคร้ายนัก มีคนเจ้าเล่ห์อำมหิตเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนแล้วจึงกระทำเรื่องโหดเหี้ยมไร้มโนธรรม ทว่าคนชั่วย่อมหนีไม่พ้นกฎหมายบ้านเมือง บาปกรรมที่ก่อยากจะอภัยให้ได้ ในเมื่อกระหม่อมหยวนลั่วเป็นพี่ชายของผู้กระทำความผิดและยังเป็นญาติพี่น้องของเหยื่อ หลังทราบความจริงแล้วก็ทุกข์ทรมานราวไฟแผดเผา รู้สึกละอายและเสียใจเกินจะรับไหว มีเพียงวิงวอนต่อฝ่าบาทกับราชสำนักให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ ทวงคืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อทุกคน หากมีส่วนใดจำเป็นต้องให้สกุลอู่รับผิดชอบ สกุลอู่ไม่กล้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”

สายลมยามค่ำคืนพัดวูบผ่านเปลวไฟหน้าลานกว้าง คำพูดของอู่หยวนลั่วทั้งสิ้นเยื่อใยทั้งเจ็บปวดร้าวราน

สีพระพักตร์ฮ่องเต้แสดงความประทับใจ ก่อนถอนพระทัยตรัสว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณหนูใหญ่สกุลอู่ช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก ความโหดเหี้ยมของคุณหนูรองสกุลอู่ยากจะอภัยให้ได้จริงๆ โย่วเอ๋อร์ เจ้าคือขุนนางที่รับผิดชอบสืบสวนคดีนี้ เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร”

สายตาของทุกคนในที่นี้พุ่งตรงมายังลิ่นเฉิงโย่วทันที

ลิ่นเฉิงโย่วสีหน้าเคร่งขรึมตอบอย่างตรงไปตรงมา “ ‘ตัดสินลงทัณฑ์ตามความผิด บีบคั้นกดดันให้ละอาย’ ในคดีนี้เหยื่อที่เป็นผู้บริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิงคือหลี่อิงเอ๋อร์บุตรสาวชาวบ้านธรรมดา ปีนี้นางเพิ่งอายุสิบสามเท่านั้น เดิมทีไม่เคยมีความแค้นต่อพวกคุณหนูรองอู่ กลับถูกทำร้ายเพียงเพราะคนชั่วต้องการกลบเกลื่อนความผิด เมื่อเร็วๆ นี้เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนไปยังอี้หนิงฟางเพื่อสืบคดี พอกลับมาถึงบอกว่ามารดาของหลี่อิงเอ๋อร์ยังร้องไห้เสียใจอยู่ทุกวัน ความทุกข์ของราษฎรย่อมเป็นความทุกข์ของโอรสสวรรค์ด้วย กระหม่อมขอวิงวอนให้ฝ่าบาทลงโทษสถานหนัก คุณหนูรองอู่ ยายเฒ่าหวัง หลูจ้าวอันหลักฐานความผิดชัดเจน สมควรย้ายตัวไปยังศาลต้าหลี่เพื่อสอบสวนอย่างละเอียดในทันที จะต้องพิจารณาคดีอย่างเที่ยงธรรมเปิดเผยเท่านั้นถึงสามารถเตือนสติพวกที่คิดชั่วได้”

คำพูดเหล่านี้หนักแน่นทรงพลังยิ่ง

เถิงอวี้อี้ค่อยๆ คลายมือที่กำแน่นออก เมื่อมีความเห็นของลิ่นเฉิงโย่วจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีการลดโทษให้อู่ฉี่แล้ว

อู่ฉี่จะโหดเหี้ยมอย่างไร สุดท้ายก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของครอบครัวสกุลอู่ หากหัวหน้าผู้ตรวจการอู่หรือว่าอู่ฮูหยินอยู่ๆ เกิดใจอ่อนขึ้นมาอาจร้องขอความเมตตาต่อเบื้องพระพักตร์ได้

หากเป็นเช่นนี้นางจะยินยอมได้อย่างไร

ด้วยจิตใจโหดเหี้ยมของอู่ฉี่ไม่มีทางรู้สึกผิดอย่างแน่นอน ที่สำคัญพอฟังคำสารภาพของอู่ฉี่ เห็นได้ชัดว่านางมองคนที่ขัดขวางตนเองไม่ให้เป็นพระชายาองค์รัชทายาทเป็นหนามยอกอกไปแล้ว

ในชาติก่อนนางก็เหมือนกับหลี่อิงเอ๋อร์ในชาตินี้ ตายโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยแม้แต่น้อย ถึงจิ้งเฉินซือไท่กับผู้บงการเบื้องหลังมีความผิดยากจะอภัย แต่ความริษยาของอู่ฉี่กลับเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นางต้องตายอย่างไม่เป็นธรรมในชาติก่อน

นางไม่เพียงต้องการให้อู่ฉี่ยอมรับผิดและถูกลงโทษตามกฎหมาย ยังอยากหาวิธีให้อู่ฉี่ยอมคายเบาะแสที่รู้ออกมาทั้งหมดด้วย

หากสามารถจับกุมผู้บงการเบื้องหลังจิ้งเฉินซือไท่ได้สำเร็จ ก็นับว่าความแค้นใหญ่หลวงของนางได้รับการชำระสะสางแล้ว

นางส่งสายตาแสดงความซึ้งใจต่อลิ่นเฉิงโย่วแวบหนึ่ง น่าเสียดายที่ลิ่นเฉิงโย่วมองตรงไปข้างหน้าคล้ายไม่ทันสังเกตเห็น

ฮ่องเต้ผงกพระเศียรด้วยความชื่นชม “พูดได้ดี ‘ความทุกข์ของราษฎรย่อมเป็นความทุกข์ของโอรสสวรรค์ด้วย’ หลานรัก ราชสำนักควรผดุงความเป็นธรรมเพื่อราษฎรอยู่แล้ว เจ้าเพียงบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นกลางก็พอ เบื้องหลังยายเฒ่าหวังจะต้องมีผู้บงการแน่ ให้คนคุมตัวพวกเขาออกไปก่อน จำไว้ว่าต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ระวังไม่ให้คนชั่วมาฆ่าคนปิดปาก”

ขณะเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่จะมัดร่างหลูจ้าวอัน เขาก็เอ่ยเสียงดัง “ขอฝ่าบาททรงโปรด กระหม่อมผู้แซ่หลูเคยซื้อโจ๊กจากยายเฒ่าหวังเพียงไม่กี่ชาม เท่านี้ก็บอกว่ากระหม่อมมีส่วนพัวพันกับคนชั่วกลุ่มนี้ นอกจากกระหม่อมจะไม่กล้ายอมรับผิด เกรงว่าชาวบ้านคงไม่พอใจเช่นกัน”

ลิ่นเฉิงโย่วเย้ยหยัน “วางใจได้ ไม่ลืมเจ้าหรอก”

เขากล่าวพลางหยิบจดหมายสองฉบับที่ปิดบังชื่อแซ่จากในอกเสื้อ ก่อนเอ่ยถามหลูจ้าวอันว่า “จำจดหมายสองฉบับนี้ได้หรือไม่”

หลูจ้าวอันหน้าเปลี่ยนสีไปทันที

“จดหมายสองฉบับนี้ล้วนมาจากมือของเจ้า หลูจ้าวอัน ฉบับหนึ่งเจ้าเขียนตอนอยู่ที่หยางโจว วันเวลาคือเทศกาลชิงหมิงเมื่อปีก่อน อีกฉบับหนึ่งเจ้าเขียนหลังมาถึงฉางอันแล้ว วันเวลาคือปลายเดือนสอง แม้การเขียนจดหมายสองฉบับจะทิ้งช่วงห่างกันเกือบสองปี กลับมีจุดที่เหมือนกันอย่างประหลาดอย่างหนึ่งคือรอยน้ำมันลักษณะเดียวกันสองจุดบนจดหมาย ท่านอาจารย์ตาของข้าตรวจสอบดูแล้วยืนยันได้ว่าเป็นร่องรอยที่มาจากเมือกของหนอนกู่ชนิดหนึ่ง ท่านอาจารย์ตา ขอเชิญท่านบอกสักหน่อยว่านี่คือกู่ชนิดใด”

“กู่คะนึงหา” สายตายามนักพรตชิงซวีจื่อมองหลูจ้าวอันประหนึ่งกำลังมองคูน้ำเน่าเหม็น “กู่ชนิดนี้สามารถสะกดจิตใจคนได้ เป็นกลอุบายต่ำช้าที่สุด หายสาบสูญไปนานหลายปีมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าพื้นที่แถบเจียงหนานยังมีคนลอบใช้วิชากู่ชนิดนี้ทำร้ายคน บังเอิญว่าในปีนั้นอาจารย์ตาเคยจัดการกับกู่ชนิดนี้มาก่อน ดังนั้นมองปราดเดียวก็จำได้แล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วเหลือบมองหลูจ้าวอัน “เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ เหยื่อทั้งสองคนมีความกล้าหาญน่ายกย่อง หลังจากรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวก็เป็นฝ่ายมาให้ปากคำที่ศาลต้าหลี่ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้วันหน้าเจ้าไปทำร้ายใครได้อีก มาวันนี้พยานหลักฐานพร้อมมูล รอเพียงนำเจ้ามาลงโทษตามกฎหมายแล้ว นอกจากนี้ยายเฒ่าหวังเพราะต้องการรั้งตัวเจ้าไว้ใช้งานจึงเก็บจดหมายที่เจ้าเขียนเองกับมือไว้หลายฉบับ…”

ระหว่างพูดคุยกันอยู่นี้องครักษ์วังหลวงที่มีวรยุทธ์สูงส่งสองสามคนก็มัดร่างหลูจ้าวอันอย่างแน่นหนา

หลูจ้าวอันดั่งถูกละเลงหน้าด้วยฝุ่นดิน สีหน้าย่ำแย่ยิ่งกว่าคนตาย ปากยังถูกเศษผ้าอุดไว้จึงพูดอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงจ้องมองลิ่นเฉิงโย่วเขม็ง

ลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ในเมื่อมีหลักฐานแล้ว เพราะอะไรยังต้องฟังเจ้าเล่นลิ้นแก้ต่างไร้สาระ แน่นอน ย่อมอยากดูว่าเจ้ายังเล่นตลกอะไรได้อีกน่ะสิ ทำคดีมาตั้งนานเพียงนี้ เห็นนักโทษใจคอโหดเหี้ยมจนชินตา แต่คนที่หนังหน้าหนาอย่างเจ้านี้พบเห็นมาไม่มากจริงๆ นั่นล่ะ ยิ่งเจ้าเสแสร้งแกล้งทำเท่าไร ทุกคนยิ่งรู้ว่าเจ้าจอมปลอมมากเท่านั้น เอาตัวไป!”

เหล่าองครักษ์กำลังจะใช้เศษผ้าอุดปากอู่ฉี่เช่นกัน จู่ๆ นางกลับส่งเสียงร้องห้าม “ช้าก่อน!”

นางเหลียวมององค์รัชทายาทอย่างอาลัยอาวรณ์เป็นครั้งสุดท้าย แล้วเอ่ยอย่างเลื่อนลอยว่า “มาถึงตอนนี้ข้ามีเพียงคำถามเดียว สาเหตุที่ข้าแอบเล่นงานตู้ถิงหลันเป็นเพราะในคืนเทศกาลอวี้ฝอวันนั้นมองเห็นองค์รัชทายาทกับนางเดินเที่ยวด้วยกัน เพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาด ก่อนจะลงมือจริงๆ ข้าเคยฉวยโอกาสตอนสหายหลายคนไปเล่นสนุกกันที่ห้องตู้ถิงหลันแอบหยิบกระดาษคัดบทกวีของนางมาสองแผ่น แต่จนกระทั่งข้าคืนกระดาษกลับไปนางก็ยังไม่รู้ตัวเลยสักนิด นี่หมายความว่านางไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ แต่เพราะอะไรคืนนั้นนางถึงได้สังเกตเห็นเร็วนักว่ากระดาษคัดบทกวีหายไปสองแผ่น หากไม่ใช่เพราะนางไปร้องทุกข์ทันการณ์พวกเจ้าก็คงไม่อาจคลำแตงตามเถาสืบสาวไปจนถึงตัวยายเฒ่าหวังและค้นหาหลักฐานมาได้ตั้งมากมาย”

ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มบางๆ “คงบอกไม่ได้”

อู่ฉี่มองไปทางตู้ถิงหลันกับเถิงอวี้อี้ที่อยู่ในงานอย่างไม่ยินยอม ทันใดนั้นคล้ายตระหนักถึงบางอย่าง “ข้าเข้าใจแล้ว หรือว่าในห้องจะ…”

ลิ่นเฉิงโย่วรีบให้คนอุดปากอู่ฉี่เอาไว้

เถิงอวี้อี้มองอู่ฉี่ด้วยสายตาเย็นชา ตอนแรกเข้ามาในสำนักศึกษาเพราะมีจุดประสงค์จะจับขโมย ไม่คิดว่าความจริงจะปรากฏเร็วเช่นนี้ กลไกผงร้อยบุปผาโรยราที่นางวางเอาไว้ยังไม่ทันใช้งาน กลับต้องประหลาดใจที่จับกุมตัวการที่วางแผนฆ่านางในชาติก่อนได้ในห้องญาติผู้พี่

สิ่งนี้เรียกว่าโชคชะตากำหนดเอาไว้แล้วโดยแท้

เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวยายเฒ่าหวังกับนักโทษคนอื่นออกไป

อู่ฉี่เดินโซเซไปไม่กี่ก้าวก็หันขวับกลับมาฉับพลัน เพ่งมองไปยังพี่ชายที่เฝ้าดูนางอยู่ไกลๆ

ชั่วอึดใจนั้นนางไม่แยแสเจ้าหน้าที่ที่รั้งแขนเอาไว้ คุกเข่าหันไปทางอู่หยวนลั่วแล้วลงโขกศีรษะสามครั้ง การกระทำรีบร้อนและหนักแน่น หน้าผากกระทบพื้นไม่กี่ครั้งก็แตกเป็นแผล เมื่อโขกศีรษะเสร็จสิ้นก็หมุนกายกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว จากนั้นก็ถูกคุมตัวออกจากสวนดอกไม้แล้วไม่หันกลับมามองอีกเลย

อู่หยวนลั่วลูกกระเดือกเลื่อนขึ้นลง มองส่งน้องสาวคนรองจากไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ไม่มีใครรู้ว่าอู่ฉี่โขกศีรษะสามครั้งให้ใครกันแน่

บางทีอาจเป็นการขอขมาบิดามารดา และอาจเป็นการกล่าวอำลา หรือไม่ก็ในที่สุดถูกความทรงจำของพี่ชายปลุกมโนธรรมในใจขึ้นมาได้บ้าง เพราะทนอดกลั้นความทรมานในใจไม่ไหว จึงใช้วิธีการเช่นนี้มาบอกกับพี่สาวที่น่าสงสารว่า ‘ขอโทษ’

ช่วงพลบค่ำวันถัดมา ภายในคุกของศาลต้าหลี่

ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวกับหลูจ้าวอันที่อยู่ในห้องขังว่า “ข้าพายายเฒ่าหวังมาให้เจ้าแล้ว”

หลูจ้าวอันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พอมองเห็นยายเฒ่าหวังที่ถูกมัดแน่นด้านหลังลิ่นเฉิงโย่ว ดวงตาก็เผย ‘ความเสน่หาอันร้อนแรง’ ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ดูเหมือนเขาก็ผงะด้วยความตกใจ มองไปทางลิ่นเฉิงโย่วอย่างตื่นตะลึง ริมฝีปากขยับพึมพำคล้ายกำลังถามว่า ‘เจ้าทำอะไรข้า’

ลิ่นเฉิงโย่วยืนกอดอก “เจ้าฉลาดนักไม่ใช่หรือ เพียงเท่านี้ยังมองไม่ออกอีก ข้าเจอหนอนกู่ห่อหนึ่งจากช่องลับในห้องเจ้า เมื่อวานยังไม่รู้วิธีใช้แน่ชัด มาวันนี้ลองทดสอบกับตัวเจ้าดู ตอนนี้นางในดวงใจเจ้าคือยายเฒ่าหวัง ดังนั้นในใจเจ้าจะคิดถึงนางตลอดเวลา ข้ารู้ว่าเจ้าอยากเจอนาง จึงพานางมาอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว”

หลูจ้าวอันพลันเบิกตาโพลง ยายเฒ่าหวังก็เหมือนจะใจลอยไปแล้ว หน้ากากแปลงโฉมบนหน้านางถูกลิ่นเฉิงโย่วฉีกไปแล้วเรียบร้อย เผยให้เห็นรูปลักษณ์เดิมของนาง ดูแล้วอย่างน้อยอายุประมาณห้าสิบกว่าปี ทั้งยังมีใบหน้าดำคล้ำ ดวงตารูปสามเหลี่ยมแลดูโหดร้าย

หลูจ้าวอันดิ้นรนขัดขืนอย่างรุนแรง ท่าทางราวกับแทบอยากจะเอาศีรษะชนผนังห้องขังให้ตายไปเสีย ถึงกระนั้นแววตาที่มองแฉลบผ่านร่างยายเฒ่าหวังก็เปลี่ยนเป็นหลงใหลอีกครั้ง

ลิ่นเฉิงโย่วปั้นสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับไม่รู้เรื่องอันใด “หนอนกู่แสนรู้ เห็นผลลัพธ์ทันตาเชียว เป็นอย่างไร เห็นหน้ายายเฒ่าหวังก็ดีใจขึ้นมาเลยใช่หรือไม่”

หลูจ้าวอันพยายามสุดกำลังไม่ให้สายตาเหลียวมองยายเฒ่าหวัง แต่จับจ้องมองไปยังลิ่นเฉิงโย่ว สีหน้าแค้นเคืองนั้นบ่งบอกความเข้าใจกระจ่างแจ้ง ‘ลิ่นเฉิงโย่ว บุรุษฆ่าได้หยามไม่ได้ เจ้าฆ่าข้าในดาบเดียวไปเสียเถอะ’

ลิ่นเฉิงโย่วลากยายเฒ่าหวังมายังเครื่องลงทัณฑ์ ทำท่าจะลงไม้ลงมือกับยายเฒ่าผู้นี้

หลูจ้าวอันหน้าเปลี่ยนสีไปในพริบตา ประหนึ่งมองเห็นคนที่รักสุดหัวใจได้รับความไม่เป็นธรรม ถึงกับคลานเข่ามาถึงหน้ากรงขัง ‘อย่าแตะต้องนาง อยากถามอะไรมาถามข้านี่’ และแล้วก็เข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว จึงชี้หน้าลิ่นเฉิงโย่วอย่างเดือดดาล ‘เจ้ามันไร้ยางอายสิ้นดี’

ลิ่นเฉิงโย่วยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม วิธีการนี้เป็นวิธีการที่เขากับเถิงอวี้อี้ช่วยกันคิดออกมาในคืนนั้น

ไร้คุณธรรมเสียไม่มี

แต่จะจัดการกับคนถ่อยต่ำช้าพรรค์นี้ การลงทัณฑ์ทั่วไปไม่ทำให้เจ็บให้คันได้หรอก ต้องทำให้หลูจ้าวอันลิ้มรสชาติการโดนหนอนกู่ควบคุมจิตใจเสียเองเท่านั้นถึงนับว่าเป็นการโดนหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง

“พูดมา วิญญาณคุณชายหูจี้เจินถูกเจ้ากับสหายช่วงชิงไปใช่หรือไม่” ลิ่นเฉิงโย่วสวมเครื่องลงทัณฑ์ให้ยายเฒ่าหวังอย่างไม่รีบร้อน

ยายเฒ่าหวังประสบการณ์โชกโชนไม่กลัวการลงทัณฑ์ ประโยคนี้ย่อมเอ่ยถามหลูจ้าวอัน

หลูจ้าวอันยังคงปิดปากเงียบ ทว่าแววตาไม่อาจซ่อนความเจ็บปวดลึกๆ และความวิตกกังวลได้

ลิ่นเฉิงโย่วถอยมาอยู่ข้างๆ โบกมือให้เจ้าหน้าที่เริ่มการลงทัณฑ์ พอเห็นว่ายายเฒ่าหวังจะต้องทรมานไม่น้อยหลูจ้าวอันจึงหลับตาลงอย่างเจ็บปวด ‘ข้าพูดแล้ว’

เจ้าหน้าที่ศาลแต่ละคนซึ่งยืนห่างออกไปไกลต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน ผ่านมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยายเฒ่าหวังหรือว่าหลูจ้าวอันเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมปริปาก คิดไม่ถึงว่าถูกเจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่นวางอุบายครู่เดียวจิตใจกลับสั่นคลอนขึ้นมาแล้ว

ลิ่นเฉิงโย่วส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่หยุดมือ ก่อนเดินเข้าไปในห้องขังแล้วกระชากเศษผ้าในปากหลูจ้าวอันออกมา “ผู้บงการเบื้องหลังคือใคร”

หลูจ้าวอันไม่ได้ตอบกลับมาทันที แต่มองไปยังยายเฒ่าหวังด้วยความสงสารไม่สิ้นสุด

ลิ่นเฉิงโย่วอดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้

แม้แต่ยายเฒ่าหวังเองก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ จึงปิดเปลือกตาแน่นสนิท ปฏิเสธไม่ยอมสบสายตาหลูจ้าวอัน ชัดเจนว่าเทียบกับสถานการณ์ตอนนี้นางเต็มใจรับทัณฑ์ทรมานดีกว่า

บรรดาเจ้าหน้าที่ข่มกลั้นไม่ส่งเสียงหัวเราะออกมา กลอุบายนี้ของเจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่นร้ายกาจเกินไปแล้ว แต่ดูท่าว่าจะได้ผลดีเยี่ยม

หลูจ้าวอันถลึงตามองลิ่นเฉิงโย่วอย่างแค้นเคือง “ขอเพียงเจ้าไม่แตะต้องนาง ข้าจะพูดหมดทุกอย่าง”

ลิ่นเฉิงโย่วรอให้ความรู้สึกขนลุกนั่นจางหายไปถึงได้ยิ้มแย้มพร้อมพยักหน้า “ได้ ข้าจะไม่แตะต้องนาง”

หลูจ้าวอันนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ค่อยตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หลังข้ามาถึงฉางอันก็มีสตรีที่ชื่อเอ้อจีติดต่อกับข้ามาตลอด แต่ข้าไม่รู้ว่าผู้บงการเบื้องหลังคือใคร เพราะหลายเรื่องมีเอ้อจีออกหน้ามาบอกให้ข้าทำ”

ลิ่นเฉิงโย่วตะลึงงัน ถึงแม้เขาจะสงสัยอยู่ก่อนแล้วว่าเอ้อจีเป็นพวกเดียวกับจิ้งเฉินซือไท่ แต่ไม่คิดว่าคนที่รับผิดชอบติดต่อหลูจ้าวอันจะเป็นนางนี่เอง

“เจ้ารู้จักนางได้อย่างไร”

“ปีที่แล้วก่อนออกเดินทางมาฉางอันบัณฑิตชื่อหวังจิ่วเอินผู้หนึ่งในหยางโจวมาหาข้า ข้ารู้วิชามารอยู่บ้าง หนอนกู่คะนึงหาเขาก็เป็นคนมอบให้ข้าเมื่อสองสามปีก่อน ปกติเขาจะช่วยเหลือข้าเล็กๆ น้อยๆ เรื่องเงินทอง เป็นคนจริงใจโอบอ้อมอารี ดังนั้นทั้งที่ข้ารู้ว่าเขามีปัญหาก็ยังไปมาหาสู่กับเขาบ่อยครั้ง หวังจิ่วเอินบอกว่าด้วยวิชาความรู้ของข้า เดินทางไปคราวนี้จะต้องสอบได้อันดับต้นๆ แน่ ทว่าการจะเข้าสู่เส้นทางขุนนาง การสอบผ่านได้เป็นจิ้นซื่อเป็นเพียงก้าวแรก หากอยากให้หน้าที่การงานก้าวหน้ารวดเร็วจะขาดการสานสัมพันธ์กับผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงบางคนไปไม่ได้ ข้าเชื่อฟังคำแนะนำของเขา พอมาถึงฉางอันก็ไปหาเอ้อจีที่ผิงคังฟาง ถึงพบว่านางเป็นแม่เล้าในหอคณิกาแห่งหนึ่ง”

ขณะหลูจ้าวอันตอบคำถามก็เหลือบมองยายเฒ่าหวังที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเป็นระยะ สีหน้านางบิดเบี้ยวแปลกพิกล ประเดี๋ยวรังเกียจ ประเดี๋ยวรักใคร่ลึกซึ้ง

“เอ้อจีเคยบอกกับเจ้าหรือไม่ว่าผู้บงการเบื้องหลังคือใคร”

หลูจ้าวอันส่ายหน้า “ตอนข้ายังไม่ได้สอบจิ้นซื่อเอ้อจีเย็นชากับข้ามาก หลังได้ยินว่าข้าคว้าอันดับหนึ่งมาครอง อยู่ๆ ก็กระตือรือร้นกับข้าขึ้นมา เป็นฝ่ายมอบเงินทองให้ข้า ยังบอกว่าข้ามีความสามารถจะได้เป็นถึงอัครเสนาบดี ข้าฟังคำพูดคำจาของนางแล้วดูไม่น่าเป็นหญิงคณิกาเลยจริงๆ จึงเอ่ยถามนางว่ามีที่มาเช่นไรกันแน่ นางบอกว่าถึงเวลาที่ควรรู้ย่อมได้รู้เอง และบอกอีกว่าหากอยากสอบผ่านจื้อจวี่เพียงวิชาความรู้ยังไม่พอ จำเป็นต้องมีเงินจำนวนมากเพื่อใช้เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชาในราชสำนักด้วย ทว่าตราบใดที่ข้าเชื่อฟังนางเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย ต่อมานางยังแนะนำให้ข้ารู้จักกับยายเฒ่าหวัง บอกว่าหากนางไม่สะดวกออกหน้าจะให้ข้าติดต่อกับยายเฒ่าหวังแทน”

ลิ่นเฉิงโย่วหลุบตาลงครุ่นคิด ท่าทางผู้บงการเบื้องหลังผู้นี้อย่างน้อยคงต้องรู้จักขุนนางกรมปกครองหรือสำนักตรวจราชการ

“เจ้าเคยพบกับจิ้งเฉินซือไท่บ้างหรือไม่ รู้หรือไม่ว่านางกับเอ้อจีเป็นพวกเดียวกัน”

“ข้าไม่เคยพบนาง ที่ผ่านมาคนที่ติดต่อกับข้ามีเพียงเอ้อจีกับยายเฒ่าหวัง ยิ่งกว่านั้นนับตั้งแต่ข้าสอบได้เป็นจิ้นซื่อ ผู้มีความรู้ความสามารถในเมืองฉางอันที่ยินดีคบหากับข้าก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เอ้อจีกับยายเฒ่าหวังก็ยิ่งหว่านล้อมผูกมัดข้า”

“หูจี้เจินถูกทำร้ายเพราะอะไร”

“วันนั้นเดิมทีข้าร่วมงานเลี้ยงอยู่ที่จวนอิงกั๋วกง จู่ๆ หญิงร้องรำผู้หนึ่งก็โยนก้อนกระดาษมาที่ปลายเท้าข้า พอเก็บขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นลายมือของยายเฒ่าหวัง นางให้ข้ารีบกลับบ้านประเดี๋ยวนั้น บอกว่ามีคนสำคัญผู้หนึ่งอยากจะพบ ข้าจึงรีบร้อนเดินทางกลับบ้าน ไม่คิดว่าระหว่างทางจะถูกหูจี้เจินพบเข้า คุณชายน้อยผู้นี้เคยถูกข้าทิ้งไว้ข้างหลังตอนอยู่ที่วังเฉิงอ๋อง เขาจดจำเรื่องนี้ได้ไม่เคยลืม ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสะกดรอยตามข้ามาตลอดทาง ข้าเข้าบ้านไปแล้วเห็นยายเฒ่าหวังกับหวังจิ่วเอินก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เพราะนับจากบอกลากันที่หยางโจวข้าไม่ได้พบหวังจิ่วเอินมานานแล้ว ตอนข้าจะปิดประตูไม่คิดว่าหูจี้เจินจะผลักประตูบุกเข้ามาแล้วเอ่ยปากว่า ‘อยากถามพี่หลูต่อหน้าสักคำ ถามจบแล้วก็จะไป’ ”

ยามนั้นหวังจิ่วเอินกับยายเฒ่าหวังหน้าเปลี่ยนสีไปทันควัน ตามด้วยภายในห้องก็มีเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่าง เห็นได้ชัดว่ายังมีแขกคนอื่นอยู่อีก

ไม่นานหูจี้เจินพลันได้สติกลับมา เนื่องด้วยมารยาทจึงเตรียมจะทำความเคารพ ชั่วพริบตานั้นยายเฒ่าหวังก็สะบัดเส้นไหมสีเงินออกมาหมายจะสังหารหูจี้เจิน

หลูจ้าวอันกำลังอกสั่นขวัญแขวน กลับได้ยินคนในห้องส่งเสียงบางอย่าง ราวกับว่ามีคนกำลังเคาะโต๊ะ ยายเฒ่าหวังรีบเก็บเส้นไหมสีเงินกลับมา แล้วเปลี่ยนมาเหวี่ยงยันต์แผ่นใหญ่ไปทางหูจี้เจินแทน

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยถามสีหน้าเคร่งขรึม “คนที่อยู่ในห้องตอนนั้นคือผู้บงการเบื้องหลัง?”

“ข้าไม่รู้ ยายเฒ่าหวังใช้วิชามารกับคุณชายหูต่อหน้าต่อตาข้า ทำให้ข้าทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว เพราะหวาดหวั่นว่าประเดี๋ยวก็คงถึงคราวของข้า ยายเฒ่าหวังบอกว่าเรื่องที่เหลือนางจะจัดการเอง ให้ข้ารีบกลับจวนอิงกั๋วกง จากนั้นแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดื่มสุราสังสรรค์กับคนรอบข้างต่อ ข้าก็ทำตามที่นางบอก ทว่าเมื่อกลับมายายเฒ่าหวังกับหวังจิ่วเอินก็หายไปแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงได้ข่าวว่าคุณชายหูป่วยเป็นโรคลม”

“เจ้าไม่เคยพบหน้าผู้บงการเบื้องหลังเลยสักครั้ง?”

หลูจ้าวอันส่ายหน้าอีกครั้ง “ระยะนี้แม้แต่เอ้อจีก็ยังไม่เห็นหน้า ยายเฒ่าหวังบอกว่าเอ้อจีถูกคนจับตามองเพราะเรื่องปีศาจอาละวาดในหอไฉ่เฟิ่ง บางทีคงออกมาเคลื่อนไหวไม่ได้อีกนาน แล้วบอกข้าว่ามีเรื่องอะไรให้มาหานางก็พอ อย่าได้ไปที่ผิงคังฟางอีก”

ลิ่นเฉิงโย่วหลุบตาลงใคร่ครวญ เส้นด้ายยาวๆ เส้นนี้คล้ายว่ายิ่งมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นทุกที จึงเอ่ยถามต่อว่า “หลังจากนั้นเจ้าเคยไปหาหวังจิ่วเอินบ้างหรือไม่ เขามาฉางอันแล้วพักอาศัยอยู่ที่ใด”

“เขาอาศัยอยู่ที่บ้านเก่าๆ หลังหนึ่งในตรอกเอ๋อเอ๋อร์”

ตรอกเอ๋อเอ๋อร์? ลิ่นเฉิงโย่วนิ่งอึ้งไป สถานที่แห่งนี้ชื่อคุ้นหูมาก ใช่แล้ว จำได้ว่าเถิงอวี้อี้เคยบอกเขาไว้ ครั้งนั้นตวนฝูสังเกตเห็นคนเสื้อคลุมดำเข้าออกอารามนักพรตหญิงอวี้เจินโดยบังเอิญ จึงรีบไล่ตามไปทันที ไล่ตามไปตลอดทางจนถึงตรอกเอ๋อเอ๋อร์ คนเสื้อคลุมดำก็หายลับไปแล้ว

“สิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ หากมีคำโกหกสักครึ่งคำข้าจะต้อนรับนางในดวงใจของเจ้าอย่างดีแน่” ลิ่นเฉิงโย่วข่มขู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ในขณะเดียวกันก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ทางนั้นสวมเครื่องลงทัณฑ์ให้ยายเฒ่าหวังอีกครั้ง

หลูจ้าวอันมองยายเฒ่าหวังด้วยความรักใคร่เปี่ยมล้น ได้แต่แค้นใจที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ดิ้นรนอยู่สักพักก็เอ่ยทั้งใบหน้าซีดขาว “อย่าข่มเหงนาง สิ่ง…สิ่งที่ข้าพูดคือความจริงทั้งหมด”

ลิ่นเฉิงโย่วสะบัดตัวขับไล่อาการขนลุกบนร่าง วิธีการก็ดีอยู่หรอก เพียงแต่มันหวานเลี่ยนไปสักหน่อย กำลังจะซักถามต่อกลับมีเจ้าหน้าที่อาวุโสชื่อหลีซื่อเดินเข้ามาบอกว่า “เจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่น ข้างนอกมีคนผู้หนึ่งชื่อคุณชายหวังบอกว่ามีเรื่องด่วนมารอพบท่าน”

ลิ่นเฉิงโย่วสะดุ้งโหยง ทำท่าจะลุกขึ้นมา ก่อนจะมองดูเวลาแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “หน้าตาเป็นเช่นไร”

“ผิวพรรณขาวสะอาด หน้าตางดงาม จุๆ ข้าน้อยเพิ่งเคยเห็นคุณชายที่ดูดีเช่นนี้เป็นครั้งแรก” หลีซื่อทอดถอนใจ

รอยยิ้มในหัวใจลิ่นเฉิงโย่วเกือบจะกระดอนออกมาถึงใบหน้า ดูท่าคงเป็นเถิงอวี้อี้จริงๆ แต่เขามิได้รีบร้อนออกไป กลับแสร้งเอ่ยถามต่อ “ข้างกายเขาพาคนมาด้วยกี่คน บอกหรือไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร”

“ข้างกายยังมีชายรูปร่างกำยำผู้หนึ่ง บอกว่ามีเรื่องด่วนมาก อยากพบเจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่น”

 

* น้ำส้มหมักดอกท้อ คือน้ำส้มสายชูที่นำดอกท้อใส่ลงไป ตามด้วยข้าวหรือผลไม้ แล้วทำการหมักบ่มต่อไป

** สุราถูซู เป็นสุราชนิดหนึ่งที่หมักด้วยสมุนไพร ในสมัยโบราณชาวฮั่นนิยมดื่มสุราชนิดนี้ในวันขึ้นปีใหม่เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้มีภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ไม่เจ็บไม่ป่วย

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: