บทที่ 109
ชายรูปร่างกำยำ? อย่างนั้นคงเป็นตวนฝูแน่แล้ว
ลิ่นเฉิงโย่วพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
เขามัดร่างหลูจ้าวไว้ตามเดิม ลุกขึ้นเดินออกจากห้องขัง แล้วพายายเฒ่าหวังไปล่ามเอาไว้ในกรงเหล็กอีกแห่ง ใส่กุญแจล่ามกรงขังทั้งสองด้วยตนเอง ก่อนจะมอบหมายงานกับเจ้าหน้าที่สองสามประโยค ยืนยันจนแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีถึงได้เดินออกไปนอกคุก
หลีซื่อกับสหายหลายคนเดินคุยเล่นมาถึงข้างโต๊ะเก้าอี้หน้าห้องขัง พอจะสะบัดชายเสื้อนั่งลง เบื้องหน้าพลันปรากฏเงาร่างวูบไหว มีใครผู้หนึ่งบีบลำคอของเขาเต็มแรง พริบตาเดียวก็ยกร่างเขาลอยขึ้นมา
ฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวว่องไวดั่งภูตพราย ถึงแม้หลีซื่อจะมีฝีมือไม่อ่อนด้อยแต่ก็คาดไม่ถึง ถูกบีบคอจนดวงตาสองข้างถลนออกนอกเบ้า เส้นไหมสีเงินในมือที่ยื่นออกมาแล้วครึ่งหนึ่งร่วงหล่นลงพื้น
“ใครส่งเจ้ามา” ดวงตาลิ่นเฉิงโย่วเย็นเยียบดั่งน้ำค้างแข็ง
อวัยวะบนใบหน้าหลีซื่อบิดเบี้ยวเหยเก ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจว่าตนเองเผยพิรุธตรงที่ใด ดวงตาฉายแววดุร้าย และที่มากกว่านั้นคือความประหลาดใจ ทว่าสับสนก็ส่วนสับสน กลับยังไม่ลืมตอบโต้กลับ ฝ่ามือข้างขวารวบรวมกำลังภายในเต็มเปี่ยมแล้วซัดเข้าใส่หน้าอกของลิ่นเฉิงโย่วไม่ยั้ง
ลิ่นเฉิงโย่วยกข้อมือขึ้นมาพร้อมดาบเล่มหนึ่ง โจมตีข้อมือหลีซื่ออย่างหนักหน่วง ในขณะเดียวกันก็งอเข่าขวายกสวนขึ้นมาสุดแรงกระแทกหน้าท้องของหลีซื่อเข้าอย่างจัง
หลีซื่อถูกบีบลำคอค้างไว้ กำลังภายในกับความเร็วจึงถูกควบคุม หลบเลี่ยงการจู่โจมครั้งแรกได้ กลับไม่สามารถหนีการกระแทกตรงหน้าท้องได้ทัน กระดูกสันหลังจึงโค้งงอดั่งคันธนู ประหนึ่งอวัยวะภายในทั้งห้าถูกบดขยี้จนแหลกละเอียด เข่าสองข้างสั่นสะท้านไม่หยุดจนเกือบจะคุกเข่าลงตรงหน้าลิ่นเฉิงโย่ว
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป รอให้เหล่าเจ้าหน้าที่ได้สติกลับคืนจึงทยอยชักดาบยื่นมาข้างหน้า
“อย่าเข้ามา!” ลิ่นเฉิงโย่วตะโกนสั่ง “คลุมกรงขังให้มิดชิด ป้องกันเขาปล่อยควันพิษใส่นักโทษ”
“ขอรับ” เจ้าหน้าที่วิ่งไปอยู่หน้ากรงขัง ก่อนปล่อยผ้าม่านรอบกรงขังเหล็กลงมาโดยพลัน
เพื่อไม่ให้หลีซื่อกินยาพิษฆ่าตัวตาย ลิ่นเฉิงโย่วจึงสะบัดโซ่สีเงินออกมาจากแขนเสื้อให้ยื่นเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่าย จนกระทั่งมือซ้ายว่างลงก็ยกขึ้นฉีกกระชากหน้ากากแปลงโฉมบนหน้าหลีซื่อลงมา
หลีซื่อยังคงจ้องมองลิ่นเฉิงโย่วไม่วางตา ราวกับกำลังถามว่า ‘ตกลงว่าข้าเผยพิรุธออกมาตอนใดกัน’
ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเยาะ กล้าแอบอ้างชื่อของเถิงอวี้อี้ ไม่ถามดูว่าตนเองคู่ควรหรือไม่ เวลาเถิงอวี้อี้ออกมาข้างนอกจะระวังตัวยิ่งกว่าใคร เมื่อก่อนเวลาปลอมตัวเป็นบุรุษก็หาได้ยากยิ่งที่ใครจะมองรูปลักษณ์เดิมของนางออก ระยะนี้เวลาออกไปที่ใดยิ่งขาดหน้ากากแปลงโฉมสักอันไม่ได้เลย หลีซื่อตัวปลอมผู้นี้พยายามจะหลอกล่อเขาออกไป เน้นย้ำอยู่หลายครั้งว่าคุณชายหวังนั้นรูปงาม ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเรื่องนี้จะเผยพิรุธออกมา
“ไม่แน่ว่าข้างนอกยังมีพวกพ้องอยู่ รีบออกไปจัดการคนที่อยู่ข้างนอก”
“รับทราบ” เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่วรยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดหลายคนรับคำสั่งแล้ววิ่งออกไป
ส่วนทางนี้พอฉีกหน้ากากหลีซื่อลงมาได้ มุมปากหลีซื่อก็มีเลือดสีดำไหลซึมออกมา เห็นได้ชัดว่าก่อนมาก็กินยาพิษไปแล้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ช่างเถิด เมื่อใดเลือดลมในร่างกายปั่นป่วนขึ้นมาพิษก็จะกำเริบจนตายในชั่วอึดใจ
หลังฉีกหน้ากากออกแล้วในอากาศพลันอบอวลด้วยกลิ่นอายบางอย่างที่ไม่อาจแยกแยะได้ ลิ่นเฉิงโย่วกลั้นลมหายใจไว้ทันที มีเล่ห์กลซ่อนอยู่จริงตามคาด กลิ่นนั้นเบาบางแทบสัมผัสไม่ได้ ก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าใช่หมอกพิษ ทว่าก็แปลกประหลาดเกินจะอธิบาย โชคดีที่กระจายหายไปในเวลาอันสั้น ภายใต้หน้ากากเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นตา
เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างประหลาดใจไม่หาย “ข้าก็ว่าหลีซื่อคืนนี้มองดูผอมแห้งกว่าปกติไปสักหน่อย ยังนึกว่าตนเองตาฝาดไป ที่แท้เป็นตัวปลอมนี่เอง ทำเพื่อปล้นคุกหรือว่าฆ่าปิดปากกัน ยากจะป้องกันได้ทั่วถึงจริงๆ”
“ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้หลีซื่อบอกว่าจะออกไปกินข้าว” ลิ่นเฉิงโย่วเริ่มตรวจค้นศพของ ‘หลีซื่อ’ “พวกเจ้ารีบไปตามหาในละแวกนี้ดู บางทีหลีซื่ออาจถูกทำร้ายไปแล้ว อีกอย่างเร่งแจ้งข่าวแก่หัวหน้าศาลทั้งสอง บอกว่ามีพวกคนร้ายพยายามปล้นคุก ภายในคุกจำเป็นต้องวางแนวป้องกันใหม่ นับจากคืนนี้ไปประตูแต่ละชั้นต้องมีคนเฝ้าตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะผ่านเข้ามาจำเป็นต้องตรวจค้นร่างกายและตรวจดูใบหน้าอย่างละเอียดก่อน”
เมื่อตรวจสอบศพของ ‘หลีซื่อ’ เสร็จสิ้น ดวงตาคมกริบของลิ่นเฉิงโย่วก็มองไปยังยายเฒ่าหวังที่อยู่ในกรงขัง เพราะเขาทอดแหจับปลาตัวใหญ่ได้ ผู้บงการเบื้องหลังที่สุขุมเยือกเย็นเสมอมาผู้นั้นในที่สุดก็ทนไม่ไหว ต้องการปะทะกับเขาซึ่งหน้าแล้ว
พอคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างละเอียดเขาก็อดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้
ผู้คนเหล่านั้นในหอไฉ่เฟิ่งแม้จะเคยพบปะพูดคุยกับคุณชายหวัง กลับไม่รู้แน่ชัดว่าคุณชายหวังก็คือเถิงอวี้อี้
ทว่าคนผู้นี้ไม่เพียงรู้อย่างชัดเจนว่าเถิงอวี้อี้ก็คือคุณชายหวัง ทั้งยังรู้จักใช้ประโยชน์จากคุณชายหวังมาหลอกล่อเขาด้วย
คนที่สามารถคิดแผนการนี้ออกมาได้ เป็นได้สูงว่าจะเป็นเอ้อจีกับผู้บงการเบื้องหลังนาง
เดิมทีเอ้อจีก็เป็นหูเป็นตาของผู้ที่อยู่หลังม่านมาอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีดวงตาเฉียบคม หลังจากอยู่ร่วมกันหลายวันในหอไฉ่เฟิ่งคงคาดเดาได้ไม่ยากว่าคุณชายหวังก็คือบุตรสาวของแม่ทัพเถิง ถึงอย่างไรสิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจมากที่สุดกลับเป็นว่าคนเหล่านั้นยังรู้ว่าตอนนี้เขาให้ความสำคัญกับเถิงอวี้อี้มาก
ความจริงคนที่รู้เรื่องนี้น่าจะมีไม่มากนัก
เมื่อลองไตร่ตรองดูให้ดีแล้วพบว่าก่อนหน้านี้เขาเคยไปหอไจซิงเพื่อซื้อเครื่องประดับมาจริงๆ แต่ตอนนี้ความจริงของคดีปรากฏแล้ว สกุลเติ้งเพื่อปกป้องชื่อเสียงของหลานสาวจะต้องป่าวประกาศเรื่องนี้ไปทั่วแน่ เวลาผ่านมาหนึ่งคืนคาดว่ามีคนจำนวนไม่น้อยรู้แล้วว่าต่างหูมุกล้อแสงจันทร์ที่เติ้งเหวยหลี่รับมาในคืนนั้นไม่ได้มาจากเขา แล้วเครื่องประดับที่เขาซื้อจากหอไจซิงไปอยู่ที่ใดกัน เรื่องนี้จึงยิ่งน่าขบคิดต่อไปอีก
บางทีคงมีคนคาดเดาได้จากข้อนี้ว่าความจริงนางในดวงใจของเขาคือเถิงอวี้อี้ ดังนั้นถึงได้เกิดเหตุการณ์ในค่ำคืนนี้? ท่าทีตอบสนองนี้จะเร็วเกินไปสักหน่อยหรือไม่
หากไม่ใช่เพราะหลีซื่อตัวปลอมผู้นี้อวดฉลาดจนทำพลาด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะออกไปเพียงเพราะประโยค ‘คุณชายหวังมีเรื่องด่วน’ จริงๆ ก็ได้
ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่กลับมารายงาน “เจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่น นอกประตูศาลไม่มีคุณชายหวังผู้นั้นอยู่เลยขอรับ”
ยังมีเจ้าหน้าที่อีกสองสามคนยกศพของหลีซื่อกลับมา เอ่ยทั้งน้ำตาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “หลีซื่อถูกฆ่าตายไปแล้ว ศพซ่อนอยู่ในตรอกข้างๆ นี่เอง ช่วยไม่ทันแล้ว…เจ้าพวกเศษสวะ!”
ลิ่นเฉิงโย่วลุกขึ้นยืนตรวจดูศพของหลีซื่อครู่หนึ่ง เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะแล้วยกมือปิดตาหลีซื่อที่เปิดปรือเล็กน้อย
“ก่อนข้าจะสอบสวนยายเฒ่าหวังเสร็จ ทุกคนห้ามไปที่ใดโดยพลการทั้งสิ้น!”
ครึ่งชั่วยามต่อมาลิ่นเฉิงโย่วนั่งรออยู่เงียบๆ ตรงกลางระหว่างกรงขังเหล็กยายเฒ่าหวังกับหลูจ้าวอัน
วิธีการเดียวกัน หนอนกู่ชนิดเดียวกัน ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้วสายตายายเฒ่าหวังที่มองหลูจ้าวอันยังเย็นเยียบปานน้ำแข็ง กระทั่งยังเผยความชิงชังรังเกียจอย่างลึกล้ำ
ตรงกันข้ามกับสายตาหลูจ้าวอันยามมองยายเฒ่าหวังที่ยังร้อนแรง
ทางขวาคือความรักลึกซึ้งดั่งเปลวไฟของหลูจ้าวอัน ส่วนทางซ้ายเป็นบ่อน้ำนิ่งสนิท ลิ่นเฉิงโย่วอยู่ตรงกลางระหว่างน้ำกับไฟ อดครุ่นคิดไม่ได้ว่าหรือวิธีนี้จะไม่ถูกต้อง แต่เขาก็ใช้วิธีเดียวกัน ก่อนหน้านี้ทำสำเร็จมาครั้งหนึ่งแล้ว ไม่มีทางที่จะเกิดข้อผิดพลาด
ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าคนเช่นยายเฒ่าหวังก็คล้ายกับจวงมู่ นอกจากจะทนรับทัณฑ์ทรมานได้แล้ว ยังเชี่ยวชาญการเก็บงำความรู้สึกในใจ ไม่แน่ว่านางคงเกิดความรักใคร่ต่อหลูจ้าวอันบ้างแล้ว เพียงแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้าเท่านั้น
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ลิ่นเฉิงโย่วก็ปล่อยหลูจ้าวอันออกจากกรงเหล็ก สวมเครื่องลงทัณฑ์ให้เขา จากนั้นก็กล่าวกับยายเฒ่าหวังว่า “ข้าจะลงทัณฑ์หลูจ้าวอันแล้ว”
ดวงตารูปสามเหลี่ยมของยายเฒ่าหวังจ้องมองอย่างขุ่นเคือง ทว่ายังคงมีท่าทีนิ่งเฉย
ลิ่นเฉิงโย่วโบกมือสั่งการให้คนลงทัณฑ์
หลูจ้าวอันกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือดก็ไม่ปาน
ลิ่นเฉิงโย่วต่อรองกับยายเฒ่าหวังอย่างสุภาพท่ามกลางเสียงกรีดร้องของหลูจ้าวอัน “ขอเพียงเจ้าพูดออกมาว่าผู้บงการเบื้องหลังคือใคร ข้าก็จะไม่ทรมานเขาแล้ว”
ยายเฒ่าหวังกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย ดูแล้วนางไม่สนใจความเป็นความตายของหลูจ้าวอันเลยสักนิด
ลิ่นเฉิงโย่วเลิกคิ้วขึ้น
ไม่ได้ผลหรือ หนอนกู่ชนิดนี้ร้ายกาจยิ่งนัก…แต่นี่ใช้ไม่ได้ผล หมายความว่าในร่างนางยังมีหนอนกู่อีกชนิดหนึ่งซ่อนอยู่ ร่างอาศัยหนึ่งร่างไม่อาจรับหนอนกู่สองชนิดพร้อมกันได้ ขอเพียงหนอนกู่ชนิดใหม่รุกล้ำเข้าสู่ชีพจรหัวใจจะถูกหนอนกู่ที่อยู่ในร่างแต่เดิมตัวนั้นกลืนกิน
นี่คงผิดแผนแล้ว
หากยังใช้เครื่องลงทัณฑ์กับหลูจ้าวอันต่อไป กู่คะนึงหาในร่างหลูจ้าวอันอาจจะทิ้งร่างอาศัยหลบหนีไปได้ เช่นนั้นก็จะได้ไม่คุ้มเสีย ด้วยเหตุนี้ลิ่นเฉิงโย่วจึงโบกมือส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่หยุดลงทัณฑ์
หลูจ้าวอันหอบหายใจแฮกๆ พลางเอ่ยว่า “มีอะไรก็มาลงที่ข้า อย่าไปยุ่งกับนาง…”
ลิ่นเฉิงโย่วสะกดกลั้นความรู้สึกขนลุกแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสอบจิ้นซื่อได้อันดับที่หนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วจะได้เข้าสู่เส้นทางขุนนาง แต่เจ้ากลับละทิ้งหนทางที่ถูกต้องแล้วหลงไปเดินทางผิด ผู้บงการเบื้องหลังให้ผลประโยชน์มหาศาลอะไรกับเจ้ากันแน่”
“สอบจิ้นซื่อได้อันดับที่หนึ่งแล้วอย่างไร” ดวงตาหลูจ้าวอันฉายแววเย้ยหยันชัดเจน “เจ้าเกิดมาสุขสบายมีคนอุ้มชู จะมาเข้าใจความขมขื่นของบัณฑิตฐานะยากจนอย่างพวกเราได้หรือ ตั้งแต่เล็กมาครอบครัวข้าอัตคัดขัดสน ถูกผู้คนกลอกตาใส่อย่างเอือมระอามาไม่รู้กี่ครั้ง โลกใบนี้เป็นเช่นไรข้าเข้าใจดียิ่งกว่าใคร คนผู้หนึ่งหากไม่มีคนหนุนหลังในราชสำนัก ถึงแม้เข้าสู่เส้นทางขุนนางแล้วก็ทำได้เพียงเริ่มต้นจากตำแหน่งขุนนางเล็กๆ…ข้าลำบากมาถึงเพียงนี้แล้วจะยินยอมอยู่ใต้คนอื่นได้อย่างไร…ข้าเพียงอยากโดดเด่นกว่าคนอื่น…ใครช่วยให้ข้าเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วได้ก็สานสัมพันธ์กับคนผู้นั้น…ด้วยความสามารถของข้า ขอเพียงให้โอกาสข้าแสดงมันออกมา จะต้องมีสักวันที่ข้าหลูจ้าวอันได้กุมอำนาจเหนือผู้ใด และมีศิษย์อยู่ทั่วหล้าแน่นอน”
เจ้าหน้าที่พากันถ่มน้ำลาย “บัณฑิตฐานะยากจนมากมายเช่นนั้น มีสักกี่คนที่ทำอะไรโดยไม่เลือกวิธีการอย่างเจ้า คนถ่อยที่เห็นแก่ผลประโยชน์จนลืมคุณธรรมเช่นนี้มีแต่พวกเศษสวะเท่านั้นที่จะยอมเป็นศิษย์”
“ยังคิดจะกุมอำนาจเหนือผู้ใด? ใช้หนอนกู่ต่ำช้าพรรค์นั้นทำร้ายสตรีผู้บริสุทธิ์ จิตใจของเจ้าสกปรกยิ่งกว่าโคลนตมในคูน้ำเน่า หากให้คนอย่างเจ้าเป็นอัครเสนาบดี ทั้งราชสำนักคงพากันเน่าเหม็นตามเจ้าไปด้วยแล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วกลับคิดอะไรที่น่าสนใจบางอย่างได้จากคำพูดของหลูจ้าวอัน เขาสั่งคนมัดหลูจ้าวอันไว้ตามเดิมแล้วส่งกลับเข้าไปในกรงขัง ค่อยหันมาถามยายเฒ่าหวังว่า “นายของเจ้าผู้นั้นกับจิ้งเฉินซือไท่รู้จักกันมาหลายปีแล้วใช่หรือไม่”
ยายเฒ่าหวังไม่ตอบ
ลิ่นเฉิงโย่วใคร่ครวญแล้วเอ่ยว่า “มิน่าเล่าปีนั้นราชสำนักจับกุมตัวเฮ่าเยวี่ยส่านเหรินกับเหวินชิงส่านเหรินไม่ได้ ที่แท้พวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่มุมใดมุมหนึ่งในฉางอัน คนที่จะรับตัวพวกเขาไว้คงเป็นผู้สูงศักดิ์สักคนของฉางอัน หากว่าพวกเขาสามคนรู้จักกันตั้งแต่ตอนแรกที่หลบหนี นายของเจ้าอาจจะอายุไม่น้อยแล้ว มิตรภาพระหว่างพวกเขาลึกซึ้งมากกระมัง ดังนั้นครั้งก่อนนายของเจ้าผู้นั้นถึงรู้ว่าจิ้งเฉินซือไท่ล้มเหลว ต่อให้สละชีวิตนักรบหน่วยกล้าตายสามสิบสี่คนก็ต้องแย่งชิงดวงวิญญาณของนางไปให้ได้”
ยายเฒ่าหวังตรงหน้าดั่งบ่อน้ำแห้งขอด ลิ่นเฉิงโย่วจะพูดอะไรก็กระตุ้นให้เกิดรอยกระเพื่อมไหวไม่ได้
ลิ่นเฉิงโย่วจู่โจมถามยามอีกฝ่ายพลั้งเผลอ “หนอนกู่ในร่างเจ้าเป็นฝีมือเฮ่าเยวี่ยส่านเหรินหรือเหวินชิงส่านเหรินกันเล่า”
ในที่สุดก้นบ่อน้ำก็เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ
ลิ่นเฉิงโย่วแย้มยิ้มกล่าวต่อ “พวกเขาใช้หนอนกู่กับเจ้าเพราะกลัวว่าเจ้าจะทรยศพวกเขาใช่หรือไม่ เจ้าก็เป็นศิษย์สักคนของสำนักอู๋จี๋ในเวลานั้นกระมัง หรือว่าเป็นคนที่ถูกนักพรตส่านเหรินสองคนนี้ชักนำเข้าสู่ทางมารในภายหลังกันเล่า”
ยายเฒ่าหวังหลับตาลง
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยด้วยความเห็นใจ “รสชาติการเป็นบริวารรับใช้เสือคงไม่ดีเท่าไร หากมีคนช่วยถอนพิษกู่ให้เจ้าได้ เจ้าก็อยากใช้ชีวิตเป็นปกติสุขบ้างเช่นกันใช่หรือไม่”
คิ้วยายเฒ่าหวังกระตุกเบาๆ สีหน้าของนางช่างแปลกพิกล ราวกับกำลังพูดว่า ‘เจ้าหนุ่มปากดี ข้าทนรับทัณฑ์ทรมานได้ เอาชนะการยั่วยุได้ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะใช้วิธีเช่นนี้มาหลอกล่อให้ข้าเปิดปาก’
ลิ่นเฉิงโย่วตระหนักดีว่าครั้งนี้ใช้ยาถูกต้องแล้ว เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในปีนั้นราชสำนักตรวจยึดคัมภีร์ลับของสำนักอู๋จี๋ไปหลายสิบเล่ม เล่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคือ ‘คัมภีร์วิญญาณ’ ซึ่งเล่มนี้เป็นเรื่องถนัดของเฉียนคุนส่านเหริน ในคัมภีร์บันทึกวิชามารที่ใช้กักขังวิญญาณเอาไว้หลายอย่าง แต่ในเวลาเดียวกันจากบรรดาคัมภีร์ที่ถูกตรวจยึดมายังมี ‘คัมภีร์กู่’ อยู่หลายเล่ม ท่านอาจารย์ตาของข้าศึกษาค้นคว้ามาตลอดหลายปี เข้าใจวิธีจัดการพิษกู่ของสำนักอู๋จี๋กระจ่างแจ้งนานแล้ว ขอเพียงเจ้าบอกสิ่งที่ตนเองรู้ออกมา พวกเราก็จะช่วยถอนพิษกู่ให้ทันที”
ยายเฒ่าหวังจ้องหน้าลิ่นเฉิงโย่วไม่วางตา
“ไม่เชื่อหรือ” ลิ่นเฉิงโย่วพูดโกหกโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีสักนิด “ดูข้าเป็นตัวอย่างก็ได้ พิษกู่ในร่างกายข้าถอนออกไปมากกว่าครึ่งแล้ว รายละเอียดว่าถอนอย่างไรนั้นยังบอกเจ้าไม่ได้ชั่วคราว เหลือเพียงขั้นสุดท้ายรอยประทับกู่บนร่างข้าก็จะหายไปอย่างสมบูรณ์ พวกเจ้ารู้จักคุณชายหวังได้ คิดว่าคงสืบเรื่องเกี่ยวกับข้าสารพัดมาก่อน นี่เป็นตัวอย่างที่น่าเชื่อถือที่สุด สำหรับท่านอาจารย์ตาข้าแล้ว พิษกู่ในร่างเจ้าก็ไม่เป็นปัญหาเช่นกัน”
ยายเฒ่าหวังก้มหน้าครุ่นคิด
ลิ่นเฉิงโย่วพยายามหว่านล้อม “พอถอนพิษกู่ในร่างออก ต่อไปก็ไม่มีใครควบคุมเจ้าได้แล้ว ขอเพียงเจ้าช่วยศาลต้าหลี่จับกุมนายของเจ้า ข้าจะช่วยขอลดโทษให้เจ้าได้ตามความเหมาะสม ออกจากคุกไปเจ้ายังสามารถใช้ชีวิตอย่างชาวบ้านทั่วไป ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีก สุดท้ายจะเป็นวิญญาณร้ายอยู่ใน ‘ปรโลก’ ต่อไป หรือจะกลับมาเป็นคนธรรมดาใน ‘โลกมนุษย์’ ก็ขึ้นอยู่กับความคิดชั่วขณะจิตของเจ้าแล้ว”
ยายเฒ่าหวังยังคงไม่ยอมตอบ
ลิ่นเฉิงโย่วมีความอดทนอย่างยิ่ง “ให้เวลาเจ้าครึ่งชั่วยาม ลองคิดดูให้ดี เอาไว้เจ้าคิดออกแล้วก็มาบอกข้า”
อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังเอะอะข้างนอก ที่แท้เป็นหัวหน้าศาลต้าหลี่สองคนกับสหายร่วมงานได้ยินว่ามีคนปล้นคุก ก็เร่งเดินทางออกจากจวนมาถึงแล้ว
เหยียนว่านชุนกับควนหนูเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
มิหนำซ้ำควนหนูยังนำศพของเอ้อจีมาด้วย
คืนนี้หลังสอบสวนได้เบาะแสเกี่ยวกับเอ้อจีจากปากหลูจ้าวอัน ลิ่นเฉิงโย่วก็รีบสั่งให้องครักษ์ลับที่เฝ้าอยู่นอกศาลต้าหลี่ไปแจ้งควนหนูให้รวบตัวนางโดยพลัน แต่เมื่อควนหนูนำกำลังคนบุกเข้าไปนางก็กินยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว
“ดูจากสภาพศพ คงตายตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้แล้ว” ควนหนูปาดเหงื่อ “สองสามวันมานี้เอ้อจีไม่ย่างเท้าออกจากเรือน กำลังคนหลายกลุ่มผลัดเปลี่ยนกันจับตาดูนาง สองวันเต็มๆ ที่ตอนเช้านางเพียงออกไปซื้อขนมแป้งม้วนยัดไส้จากร้านใกล้ๆ วัดผูถี คิดว่าคงได้ข่าวเรื่องหลูจ้าวอันถูกจับ คิดว่าประเดี๋ยวก็จะสืบสาวมาถึงตัวนาง กลับไปไม่นานก็กินยาพิษฆ่าตัวตายอยู่ในเรือนแล้ว”
“ส่งคนไปเฝ้าร้านขายขนมร้านนั้นทันทีเลยหรือไม่ เถ้าแก่ร้านเป็นใคร”
“ไม่รู้ว่าเถ้าแก่ร้านคือใคร แต่ร้านนี้เปิดกิจการอยู่ในฉางอันมาห้าหกปีแล้ว ตำแหน่งที่ตั้งร้านอยู่ไกลลับตาคน ปกติจึงมีคนไปซื้อไม่มาก ตอนพวกเราเร่งไปถึงก็ปิดร้านไปแล้ว ข้าน้อยแอบทิ้งกำลังคนไว้สองกลุ่มให้คอยจับตาดูอยู่ใกล้ๆ”
ลิ่นเฉิงโย่วกับเหยียนว่านชุนเข้ามาตรวจดูศพของเอ้อจีร่วมกัน เห็นสภาพรูม่านตากับริมฝีปากก็ยืนยันได้ว่าตายเพราะถูกพิษแน่นอน ที่สำคัญยังใช้หญ้าไส้ขาดที่หาซื้อได้ทั่วไปในท้องตลาด
เหยียนว่านชุนได้ยินเสียงพูดคุยตรงระเบียงทางเดินด้านนอก ก็ลดเสียงลงบอกกับลิ่นเฉิงโย่วว่า “ที่นี่หูตาผู้คนมากมาย ในคุกยังต้องให้ท่านคอยดูแล เอาอย่างนี้เถอะ ประเดี๋ยวข้าจะพาคนไปสอดส่องร้านนั้น ในบ้านเอ้อจีจะต้องมีเบาะแสไม่น้อยแน่ ข้าจะตรวจค้นทั้งด้านในด้านนอกอย่างละเอียดรอบหนึ่ง”
“กำลังคนแบ่งออกเป็นสองสาย ทางร้านขายขนมร้านนั้นให้พวกควนหนูไป” ลิ่นเฉิงโย่วกล่าว “พี่เหยียนพาคนไปตรอกเอ๋อเอ๋อร์จับกุมหวังจิ่วเอิน จำไว้ว่าพาเจ้าหน้าที่ไปมากสักหน่อย อีกอย่างให้ควนหนูส่งองครักษ์ลับมาให้พี่เหยียนเพิ่มด้วย ฝ่ายตรงข้ามวิธีการโหดเหี้ยมอำมหิต พวกควนหนูวรยุทธ์สูงส่ง มีพวกเขาดูแลพี่เหยียนข้าถึงค่อยวางใจได้บ้าง หากสืบได้เบาะแสอะไรก็ให้คนกลับมาส่งข่าวได้เลย”
“ตกลง”
จากนั้นภายในคุกก็มีการวางแนวป้องกันใหม่ เจ้าหน้าที่ทั้งหลายผ่านการตรวจค้นตัวทีละคนจนแน่ใจว่าไม่มีส่วนใดผิดปกติ ลิ่นเฉิงโย่วจึงสอบสวนยายเฒ่าหวังอีกครั้ง ไหนเลยจะรู้ว่ายายเฒ่าหวังยังไม่ยอมเอ่ยปากดังเดิม
ลิ่นเฉิงโย่วชักเคลือบแคลงใจ เงื่อนไขที่เขาเสนอล่อตาล่อใจคน ดูจากอากัปกิริยายายเฒ่าหวังเห็นชัดเจนว่าเริ่มหวั่นไหวแล้ว แต่เหตุใดยังมีท่าทีดื้อดึงถึงเพียงนี้
ยืดเยื้อมาถึงช่วงเช้าวันต่อมายายเฒ่าหวังเป็นตายอย่างไรก็ยังไม่ยอมพูด
เมื่อเห็นว่าไม้อ่อนไม้แข็งล้วนใช้ไม่ได้ผล ในใจลิ่นเฉิงโย่วจึงมีความรู้สึกแปลกประหลาดผุดขึ้นมา
หรือยายเฒ่าหวังมั่นใจว่าท่านอาจารย์ตาไม่มีทางถอนกู่ในร่างนางได้
นางแน่ใจได้อย่างไร
กู่ไร้รักทำให้คนที่โดนพิษไม่อาจหวั่นไหวกับใครได้ ทว่าเขากลับมีนางในดวงใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น เรื่องนี้เพียงพอให้คนสงสัยว่าพิษกู่ในร่างเขายังอยู่หรือไม่
หลังคิดไปคิดมาเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้กะทันหัน ไม่แน่ว่าพิษกู่ชนิดนี้ไม่ได้ทำให้คนไร้ความรู้สึกรัก แต่เป็นอันตรายอย่างอื่น หลายวันก่อนอาจารย์ตาดูหนักอกหนักใจกับเรื่องนี้มาก หรือว่านึกขึ้นมาได้เช่นกัน
เขาเดินมาถึงหน้ากรงขัง กำลังจะถามยายเฒ่าหวังให้รู้เรื่อง ทว่าอยู่ๆ ยายเฒ่าหวังกลับล้มลงกับพื้นแล้วชักกระตุก
“เจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่น!” เจ้าหน้าที่ต่างตกใจจนหน้าถอดสี
ลิ่นเฉิงโย่วรีบเข้าไปควบคุมจุดชีพจรสำคัญหลายจุดบนร่างยายเฒ่าหวังไว้ ก่อนเอายาลูกกลอนถอนพิษใส่ปากนาง แต่ยายเฒ่าหวังไม่ได้ถูกพิษอย่างเห็นได้ชัด กลับเป็นพิษกู่กำเริบมากกว่า ไม่เพียงอาเจียนหมดไส้หมดพุง ตามผิวหนังยังปรากฏรอยแดงเป็นปื้นลามไปทั่ว พิษเพิ่งกำเริบครู่เดียวก็หมดลมหายใจตายเสียแล้ว
หลูจ้าวอันมองดูนางในดวงใจตายอย่างอนาถต่อหน้าต่อตา ฉับพลันนั้นก็เจ็บปวดจนแทบขาดใจ ร้องไห้ไปนอนกลิ้งเกลือกโขกศีรษะกับพื้นไป พยายามจะฆ่าตัวตายให้ได้
ลิ่นเฉิงโย่วนึกถึงกลิ่นแปลกๆ บนหน้ากากของหลีซื่อขึ้นมาได้ สีหน้าจึงย่ำแย่ถึงขีดสุด ที่แท้สิ่งที่ติดมาบนหน้ากากไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นหนอนกระตุ้นฤทธิ์กู่ที่เร่งพิษในร่างยายเฒ่าหวังให้กำเริบก่อนเวลา
ถึงแม้เขาจะสั่งคนให้คลุมกรงขังนักโทษเอาไว้ทัน แต่คาดไม่ถึงเลยว่าหนอนกระตุ้นฤทธิ์กู่จะคืบคลานได้
ในช่วงชีวิตที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกว่าถูกคนร้ายท้าทาย ฝ่ายตรงข้ามเล่ห์อุบายมากมายไม่รู้จบ ความคิดยังรอบคอบรัดกุมจนน่าทึ่งด้วย
อยากเล่นสนุกนักใช่หรือไม่ ลิ่นเฉิงโย่วตอบโต้ในใจอย่างเย็นชา ข้าก็อยากรู้เช่นกัน สุดท้ายใครจะเล่นสนุกกับใครกันแน่
พอยายเฒ่าหวังตายไป เบาะแสก็ขาดหายกลางคันไปกว่าครึ่ง ทว่าลิ่นเฉิงโย่วกลับไม่ได้ร้อนใจมากถึงเพียงนั้นแล้ว เอ้อจีรู้ข่าวหลูจ้าวอันถูกจับอย่างรวดเร็วได้ ร้านขายขนมเป็นกุญแจสำคัญ เขาออกจากศาลต้าหลี่ไปหาหลักฐานยังร้านแห่งนั้นด้วยตนเอง
ไม่เกินความคาดหมาย ศาลต้าหลี่ยังไม่ได้ไปตรวจค้นถึงร้าน เมื่อคืนอยู่ๆ ร้านขายขนมก็เกิดไฟไหม้ โชคดีที่ควนหนูทิ้งคนเอาไว้ก่อนแล้ว มองเห็นควันหนาทึบพวยพุ่งออกมาจากในร้านก็หาน้ำดับไฟได้ทันท่วงที ตอนนั้นสองสามีภรรยาเจ้าของร้านกับผู้ช่วยในร้านหลับสนิทไปแล้ว จึงหวุดหวิดจะฝังร่างในทะเลเพลิง
การตรวจสอบต่อเนื่องไปถึงช่วงพลบค่ำ บ้านของเอ้อจีกับร้านขายขนมแป้งม้วนยัดไส้ถูกลิ่นเฉิงโย่วรื้อค้นทุกซอกทุกมุมแล้วก็ยังหาหลักฐานที่เป็นประโยชน์ไม่เจอสักชิ้น กลับบังเอิญได้เบาะแสสำคัญอย่างหนึ่งตอนสอบสวนผู้ช่วยร้านขายขนม
ผู้ช่วยในร้านรอดพ้นความตายมาได้ ในใจยังรู้สึกหวาดผวาไม่หาย เมื่อถูกถามว่าในร้านมีลูกค้าประจำคนใดบ้าง จึงคิดถึงว่าเมื่อวานตอนเช้ามีลูกค้าประจำมาซื้อขนมผู้หนึ่ง
พวกเขาไม่รู้ภูมิหลังของลูกค้าประจำผู้นั้น รู้เพียงว่าอายุประมาณสี่สิบกว่าปี เสื้อผ้าอาภรณ์สะอาดสะอ้าน กิริยาท่าทางสุภาพเรียบร้อย มีไฝขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองเม็ดหนึ่งตรงปีกจมูกด้านซ้าย บนไฝยังมีขนสีขาวงอกออกมาด้วย เมื่อก่อนคนผู้นี้จะมาซื้อขนมแป้งม้วนยัดไส้อยู่บ่อยๆ ตอนเอ้อจีมาถึงเขาเพิ่งเดินจากไป คนทั้งสองไม่เคยทักทายกันและกัน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รู้จักกัน
ลำแสงสีขาวสว่างวาบในสมองลิ่นเฉิงโย่ว เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ไปตามช่างวาดรูปมา”
ช่างวาดรูปถูกตามตัวมาในเวลาไม่นาน ผู้ช่วยในร้านสองคนบรรยายรูปร่างหน้าตาคนผู้นั้นให้ช่างวาดรูปฟังอย่างตะกุกตะกัก จนกระทั่งช่างวาดรูปวาดเสร็จแล้วเหยียนว่านชุนก็นิ่งอึ้งไป
ลูกค้าประจำผู้นี้คือเจิ้งเป่าหรงพ่อบ้านใหญ่ข้างกายมุขมนตรีเจิ้งนั่นเอง
ครั้งก่อนตอนสืบคดีซูลี่เหนียง เหยียนว่านชุนกับพ่อบ้านใหญ่ของมุขมนตรีเจิ้งผู้นี้เคยพบปะพูดคุยกันอยู่หลายครั้ง
“เป็นเขาได้อย่างไร” เหยียนว่านชุนเสียงสั่นเล็กน้อย
หากเป็นความจริง เรื่องนี้สำหรับเมืองฉางอันหรือแม้แต่ฝ่ายราชสำนักและราษฎรแล้วไม่ต่างอะไรกับสายฟ้าคำรามดังสะท้านสะเทือน
เมื่อคิดทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดฝ่ายตรงข้ามซ่อนตัวแนบเนียน ลงมือฉับไวเหลือเกิน หากมิใช่เพราะทางฝั่งเจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่นจัดการได้ทันท่วงที ผู้ช่วยร้านขายขนมเหล่านี้ก็คงไม่มีทางได้เอ่ยปากชี้ตัวคนแล้ว
หลังสอบสวนเสร็จสิ้นลิ่นเฉิงโย่วกับเหยียนว่านชุนก็เดินออกมา
ลิ่นเฉิงโย่วจ้องมองต้นสนในลานกว้างอย่างใจลอย ผู้บงการเบื้องหลังมีกลยุทธ์และกำลังคนกำลังทรัพย์พรั่งพร้อม คุณสมบัติเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับมุขมนตรีเจิ้ง
ประจวบเหมาะว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระยะนี้แต่ละเรื่องก็ตรงกับมุขมนตรีเจิ้งทั้งสิ้น
คดีฆ่าสตรีตั้งครรภ์ชิงทารกช่วงก่อนซูลี่เหนียงก็เป็นอนุของมุขมนตรีเจิ้ง
ซ่งเจี่ยนสามารถแต่งเสี่ยวเจียงซื่อเป็นภรรยาเพื่อล้างแค้นได้ แน่นอนว่ามุขมนตรีเจิ้งก็อาจให้ซูลี่เหนียงที่เคยทำชั่วมาเป็นอนุของตนเองเพื่อทารกเดือนดับได้เช่นกัน
นอกจากนี้คุณชายใหญ่บุตรของมุขมนตรีเจิ้งจู่ๆ นึกอยากถอนหมั้นแต่ฝ่ายเดียว ก็มีนัยชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง ฉากหน้าเหตุผลในการถอนหมั้นคือพลาดทำต้วนชิงอิงตั้งครรภ์ แต่จะรู้ได้เช่นไรว่ามิใช่เพราะมุขมนตรีเจิ้งไม่อยากให้บุตรชายกลายเป็นพี่เขยของคุณหนูรองอู่ที่ทำเรื่องชั่วช้าไว้มากมาย จึงตั้งใจวางแผนการนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ
หากเป็นมุขมนตรีเจิ้งจริง เช่นนั้นในอดีตที่เฮ่าเยวี่ยส่านเหรินกับเหวินชิงส่านเหรินสามารถหลบหนีการจับกุมของราชสำนักไปได้ก็มีคำอธิบายลงตัวแล้ว
ราชสำนักคิดไม่ถึงแน่นอนว่าพวกเขาจะซ่อนตัวอยู่สักมุมใดมุมหนึ่งในจวนของมุขมนตรีเจิ้ง
เรื่องราวทั้งหมดมีเพียงประเด็นเดียวที่หาคำตอบไม่ได้ก็คือเจิ้งซวงอิ๋น
หากว่ามุขมนตรีเจิ้งเป็นผู้บงการเบื้องหลัง แล้วยังปล่อยให้หลูจ้าวอันใช้กู่คะนึงหาล่อลวงบุตรสาวของตนไปได้อย่างไร
พอคิดๆ ดูแล้วบางทีเรื่องนี้มุขมนตรีเจิ้งก็คงไม่รู้มาก่อน ภายหลังถึงรู้ว่าบุตรสาวถูกวางแผนคิดร้าย ดังนั้นหลังเกิดเรื่องเกิดราวจึงไม่มีเจตนาจะปกป้องหลูจ้าวอันเลยสักนิด เพียงมองเขาเป็นหมากที่คิดจะสลัดทิ้งโดยไม่ลังเล
ลองมองว่ามุขมนตรีเจิ้งเป็นผู้บงการเบื้องหลังชั่วคราว แต่ยังมีประเด็นน่าสงสัยหลายข้อที่ไม่ตรงกัน
“พี่เหยียน ข้าต้องเข้าวังสักหน่อยแล้ว” ไม่ว่าสรุปแล้วจะใช่มุขมนตรีเจิ้งหรือไม่ ราชสำนักกับวังหลวงจะต้องเตรียมการรับมืออย่างเงียบๆ ให้เร็วที่สุด
ใครจะรู้ว่าเมื่อลิ่นเฉิงโย่วกลับจากวังหลวง เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่จะตรงเข้ามาแจ้งว่า “เจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่น คุณหนูรองอู่บอกว่ามีเบาะแสสำคัญจะสารภาพ แต่ก่อนหน้านั้นนางอยากพบมารดาของตนเอง แล้วก็ยังอยากพบหน้าคุณหนูตู้กับคุณหนูเถิงด้วย หากศาลต้าหลี่ไม่ยอมรับปากตามเงื่อนไข นางก็ปฏิเสธจะให้เบาะแสขอรับ”
“จัดการตามที่นางบอก” ลิ่นเฉิงโย่วตอบกลับโดยไม่เสียเวลาคิด
เจ้าหน้าที่มีท่าทีลังเล “แต่…ถึงอย่างไรคุณหนูเถิงกับคุณหนูตู้ก็เป็นสตรีอ่อนแอ อาจจะไม่กล้ามาที่คุกก็เป็นได้”
“ไม่หรอก พวกนางต้องมาแน่” ลิ่นเฉิงโย่วคลี่ยิ้มแล้วเดินออกไปข้างนอก
เขายังไม่รู้จักเถิงอวี้อี้ดีหรือไร นางไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ได้ยินว่าอู่ฉี่อยากพบนาง นางจะต้องรีบมาอย่างรวดเร็วแน่
สองวันมานี้เถิงอวี้อี้กินอิ่มนอนหลับสบาย หลังการจับกุมอู่ฉี่กับหลูจ้าวอัน เงามืดที่ปกคลุมหัวใจก่อนหน้านี้ก็ลบเลือนหายไปกว่าครึ่ง
แม้จะยังสืบไม่ได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร แต่นางมั่นใจฝีมือการไขคดีของลิ่นเฉิงโย่วมาก เชื่อว่าขอเพียงคลำแตงตามเถาต่อไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องจับคนผู้นั้นมาลงโทษตามกฎหมายได้แน่
สำนักศึกษาปล่อยให้หยุดเรียนพอดี นางจึงได้เจียดเวลามาพักผ่อนสองสามวัน ตอนที่ข่าวของศาลต้าหลี่ส่งมาถึงนางกำลังเอนกายดื่มสุรากับเสี่ยวหยาอยู่บนตั่ง
พอได้ยินรายงานจากชุนหรง เถิงอวี้อี้ก็รีบวางจอกสุราลงทันที
“อู่ฉี่อยากพบข้า?” นางนึกว่าตนเองหูฝาดไป จึงลูบใบหูตนเองเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
“ใช่เจ้าค่ะ” ชุนหรงกับปี้หลัวรายงานอยู่นอกม่าน “นอกจากคุณหนูแล้ว นางยังบอกว่าอยากพบคุณหนูใหญ่สกุลตู้ พอเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่แจ้งข่าวเสร็จก็รีบไปแจ้งข่าวที่จวนสกุลตู้ต่อเลย คุณหนู พวกเราจะไปหรือไม่เจ้าคะ”
เถิงอวี้อี้โบกมือให้เสี่ยวหยาคลานกลับเข้าไปในกระบี่แล้วลุกพรวดขึ้นมา
“แน่นอนว่าต้องไป” นางเอ่ยอย่างหนักแน่น “ช่วยข้าเตรียมเสื้อผ้าเตรียมรถม้าเร็วเข้า”
หลังแวะจวนสกุลตู้รับตู้ถิงหลันแล้ว สองสาวพี่น้องก็มุ่งหน้าไปยังศาลต้าหลี่ด้วยกัน
ตู้เซ่าถังไม่วางใจ ขันอาสาว่าจะบังคับม้าไปเป็นเพื่อนด้วย
ลิ่นเฉิงโย่วมารออยู่หน้าประตูพักใหญ่แล้ว พอเห็นรถม้าสกุลเถิงวิ่งตรงมาก็เดินลงบันไดไปต้อนรับ
เถิงอวี้อี้ลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่วแล้วขยับเข้าไปใกล้ ลิ่นเฉิงโย่วจึงได้กลิ่นสุราจางๆ จากร่างนาง
กลิ่นสุราองุ่นหอมหวาน…
ลมหายใจหอมกรุ่นปานนี้ อย่างน้อยต้องดื่มมาแล้วไหหนึ่ง
ดื่มไปมากอย่างนี้ นางไม่กลัวว่าจะเมาเลยกระมัง
เขามองดวงตาพราวระยับคู่นั้นหลังหมวกม่านแพร เถิงอวี้อี้ก็มองเขาอยู่เช่นกัน
ด้วยข้างหลังเป็นเหยียนว่านชุนกับเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ ลิ่นเฉิงโย่วจึงเพียงปรายตามอง ก่อนวางมาดจริงจังประสานมือคารวะพวกเขาสามพี่น้อง “รบกวนแล้ว อยู่ๆ ผู้ต้องสงสัยบอกว่ามีเบาะแสสำคัญจะสารภาพ จึงจำต้องรบกวนคุณหนูตู้กับคุณหนูเถิงไปด้วยกันแล้ว”
ตู้ถิงหลันจูงมือน้องสาวยอบกายคารวะ “เจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่นมีความชอบในการไขคดี พวกเราย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วมองไปทางตู้เซ่าถังที่อยู่ด้านหลังพวกนางสองคน “ขอให้คุณชายตู้รออยู่ตรงนี้ด้วย”
ตู้เซ่าถังพยักหน้ารับอย่างกังวล
“จะรอช้าไม่ได้ ตามข้าเข้าไปเถอะ” ลิ่นเฉิงโย่วหันหลังเดินขึ้นบันได ยกมือไพล่หลังเดินนำเข้าไปก่อน “ประเดี๋ยวพอไปถึงคุกแล้วข้าจะอยู่ข้างๆ ตลอด…ไม่ต้องกลัว”
เถิงอวี้อี้มองแผ่นหลังของลิ่นเฉิงโย่ว ภายในใจรู้สึกมั่นคงหาใดเปรียบ นางไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย แต่สัมผัสได้ว่าญาติผู้พี่ประหม่าอยู่สักหน่อย ตั้งแต่เมื่อครู่จึงบีบมือนางแน่นขึ้น กลางฝ่ามือยังมีเหงื่อออกต่อเนื่อง โชคดีที่ลิ่นเฉิงโย่วบอกว่าตนเองจะไม่ผละจากไปที่ใด ญาติผู้พี่ถึงได้เบาใจลงไม่น้อย
พวกเขาสามคนกำลังจะเข้าไปข้างใน พลันมีเสียงคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้าตรงมาจากสุดถนน ผู้ที่นำหน้ามานั้นสวมชุดคลุมยาวสีม่วงและเกี้ยวสีทองประดับศีรษะ
เป็นองค์รัชทายาทนั่นเอง
องค์รัชทายาทลงจากหลังม้าตรงหน้าประตู มองตู้ถิงหลันแวบหนึ่งก่อน จากนั้นจึงหันไปพยักหน้าให้ทุกคนเล็กน้อย สุดท้ายดึงตัวลิ่นเฉิงโย่วหลบออกไป เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาว่า “ผู้ต้องสงสัยต้องการพบคุณหนูตู้ เจ้าก็รับปากนางน่ะหรือ ไม่กลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันหรือไร”
เถิงอวี้อี้เอียงศีรษะสังเกตญาติผู้พี่ เห็นอีกฝ่ายกิริยาสงบนิ่งเยือกเย็น ทว่าใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหมวกม่านแพรเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อในพริบตา ต่อให้มีผ้าไหมโปร่งบางบดบังไว้ชั้นหนึ่งก็มองเห็นความแตกต่างได้
เมื่อเหลียวมองไปทางตู้เซ่าถังอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าญาติผู้น้องจะเดินเข้าไปสนทนากับองค์รัชทายาทเอง
เถิงอวี้อี้ใคร่ครวญอยู่ในใจ คงไม่ใช่ว่าสองวันนี้องค์รัชทายาทไปหาญาติผู้พี่เป็นการส่วนตัวมาหรอกนะ มิฉะนั้นพวกเขาไม่มีทางคุ้นเคยกันถึงเพียงนี้ได้
น่าเสียดายสองวันมานี้นางมัวแต่กินๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านเพื่อฉลองที่คนร้ายถูกจับกุมเสียที ญาติผู้พี่มาหานางสองสามครั้ง นางยังนอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว
ไม่ได้การ ประเดี๋ยวกลับไปต้องซักถามให้ละเอียด
ไม่รู้ว่าลิ่นเฉิงโย่วบอกอะไรกับองค์รัชทายาท ดูเหมือนองค์รัชทายาทจะวางใจลงได้แล้ว จึงกลับไปขึ้นหลังม้ารออยู่นอกประตูโดยไม่มีทีท่าจะจากไป
“ไปเถอะ” ลิ่นเฉิงโย่วให้เจ้าหน้าที่ด้านข้างสองคนออกไป แล้วเดินนำทางพวกนางสองคนเข้าสู่ด้านในเพียงลำพัง
เถิงอวี้อี้เดินตามพลางเหลียวซ้ายแลขวาไปด้วย ที่แท้นี่ก็คือสถานที่ทำคดีของลิ่นเฉิงโย่ว ไม่ได้น่าสะพรึงกลัวดังเช่นในการนึกคิดของนาง กลับมีพื้นที่กว้างขวางและสะอาดเรียบง่าย
ไม่รู้ว่ามีการตระเตรียมล่วงหน้าหรือไม่ ระหว่างเส้นทางแทบไม่เห็นขุนนางหรือเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่เลย
ผ่านห้องโถงด้านหน้าไปก็เป็นห้องโถงกลาง เดินออกจากห้องโถงกลาง สองฝั่งเป็นห้องทำงาน ด้านหลังเป็นลานกว้างแห่งหนึ่ง กลางลานกว้างปลูกต้นสนสีเขียวขจีเต็มไปหมด แผ่กลิ่นอายเคร่งขรึมท่ามกลางความสงบรื่นรมย์
ลิ่นเฉิงโย่วนำทางด้านหน้า ทว่าความสนใจกลับไปอยู่ที่เถิงอวี้อี้ด้านหลัง เขาก็ไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะมีสักวันหนึ่งที่สามารถนำเถิงอวี้อี้มาเยี่ยมชมที่นี่ได้
สถานที่แห่งนี้สำหรับนางแล้วจะน่าเบื่อหรือไม่นะ
เขาอดเหลียวมองไปไม่ได้
บังเอิญว่าเห็นเถิงอวี้อี้มองสำรวจห้องทำงานทางทิศตะวันออก เขาจึงกลับหลังหันมาแล้วมองตรงไปเบื้องหน้าพลางเอ่ย “นั่นเป็นห้องทำงาน”
ข้างกายไม่มีคนนอก เถิงอวี้อี้สบายใจขึ้นไม่น้อย หายากที่จะได้เข้ามาในศาลต้าหลี่สักครั้ง นางจึงอยากสอบถามสักสองสามประโยค ได้ยินดังนั้นก็ถามด้วยความอยากรู้ว่า “เป็นสถานที่สำหรับสะสางบันทึกคดีกับเขียนสำนวนคดีของขุนนางใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วตอบ
ไม่คิดว่านางจะรู้สึกสนใจจริงๆ
ห้องทำงานสำหรับเขาแล้วแทบไม่เคยได้ใช้ เขาไม่เคยนั่งอยู่ในนั้นอย่างจริงจังเกินหนึ่งชั่วยาม หากมิใช่เพราะบางครั้งต้องไปหาเหยียนว่านชุน เกรงว่าจนถึงวันนี้ประตูทางเข้าห้องทำงานอยู่ตรงที่ใดก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
เถิงอวี้อี้พยักหน้ารับรู้ และยังถามคำถามเรื่องที่อยากรู้มานานอีกข้อ “แล้ว…ศพของเหยื่อเหล่านั้นปกติจะตั้งไว้ที่ใดหรือ”
“ห้องเก็บศพ ประเดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็นแล้ว”
ตู้ถิงหลันหน้าเปลี่ยนสี ญาติผู้น้องขวัญกล้าเทียมฟ้ายิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่านางจะสอบถามเรื่องเช่นนี้
โชคดีว่าตอนเดินผ่านห้องเก็บศพลิ่นเฉิงโย่วเพียงชี้ให้ญาติผู้น้องดูอยู่ไกลๆ ไม่ได้พานางเข้าไปจริง
“เห็นแล้วใช่หรือไม่”
เถิงอวี้อี้มองแล้วก็ถอนหายใจอย่างตกตะลึง “ที่แท้เป็นห้องเพดานต่ำเรียงเป็นแถว ดูไม่ค่อยสะดุดตาอย่างนี้เอง”
ลิ่นเฉิงโย่วรู้สึกขบขัน “ไม่อย่างนั้นเจ้านึกภาพว่าห้องเก็บศพหน้าตาเป็นเช่นไรเล่า”
“ข้านึกว่าจะน่าสะพรึงกลัวคล้ายกับห้องเก็บศพที่เรือนพักฟื้นเปยเถียน ไม่คิดว่าห้องเก็บศพศาลที่ต้าหลี่เป็นห้องเพดานต่ำทั้งหมดก็แล้วไปเถิด ข้างนอกยังปลูกดอกไม้ต้นไม้สวยงามตั้งมากมายเต็มไปหมด”
ลิ่นเฉิงโย่วอธิบายว่า “คดีที่ส่งมอบมายังศาลต้าหลี่ส่วนใหญ่จะเป็นคดีที่ยุ่งยากซับซ้อน เวลาเจอกับคดีตกค้างมานานปีพวกนั้นศพมักจะเน่าเปื่อยไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นแปลกปลอมกระจายไปทั่ว หน้าลานกว้างกับหลังห้องจำต้องปลูกดอกไม้ต้นไม้กลบกลิ่นเหม็นจำนวนหนึ่ง เสาระเบียงแถวนั้นเป็นแบบกลวงเปล่า ข้างในจะอัดก้อนอิฐน้ำแข็งเข้าไปจนเต็ม ต้องทำเช่นนี้ถึงจะยื้อเวลาให้ศพเน่าเปื่อยช้าลงสักหน่อย เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าบริเวณนี้เย็นสบายกว่าที่อื่น”
เถิงอวี้อี้อุทานคำหนึ่ง “จริงๆ ด้วย”
ตู้ถิงหลันอมยิ้มรับฟัง ทุกครั้งเวลาลิ่นเฉิงโย่วอยู่กับญาติผู้น้องจะมีความอดทนสูงทีเดียว แต่ไม่แน่ใจว่าพวกเขาสองคนรู้ตัวบ้างหรือไม่
เบื้องหน้าก็คือคุกของศาลต้าหลี่แล้ว ลิ่นเฉิงโย่วนำพวกนางทั้งสองเข้าไปด้วยตนเอง
คุกปิดตายสำหรับคุมขังนักโทษคดีร้ายแรงจะสร้างอยู่ใต้ดิน ด้านนอกมีด่านตรวจคุ้มกันแน่นหนาหลายชั้น
หลังเดินมาตามทางจนถึงหน้าห้องขังที่อยู่ในสุดเขาจึงหยุดฝีเท้าลงเอ่ยว่า “ถึงแล้ว”
เจ้าหน้าที่รายงานลิ่นเฉิงโย่ว “อู่ฮูหยินเพิ่งออกไป ตอนเข้ามานำอาหารให้นักโทษหลายอย่าง แต่ถูกข้าน้อยขัดขวางเอาไว้แล้ว สองแม่ลูกนั่งคุยกันอยู่ข้างในสักพัก ตอนกลับออกมาน้ำตานองหน้า หัวหน้าศาลต้าหลี่กับเจ้าหน้าที่ไต่สวนหลายคนเฝ้าดูอยู่ด้านนอกตลอดเวลาขอรับ”
ลิ่นเฉิงโย่วตอบกลับเรียบๆ “เข้าใจแล้ว”
จากนั้นค่อยพาเถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันเดินเข้าไป
ทันทีที่เถิงอวี้อี้ก้าวเข้าไปก็มองเห็นอู่ฉี่นั่งอยู่ในกรงเหล็ก
ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสองวันอู่ฉี่มีสภาพย่ำแย่กว่าเดิมมาก มวยผมหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง กระโปรงสีแดงบนร่างก็สกปรกยับย่น ตอนพวกนางเดินเข้ามาอู่ฉี่กำลังนั่งพิงกำแพง สีหน้ายังคงดื้อรั้นเย็นชา
ลิ่นเฉิงโย่วพูดจาเสียดสีนาง “ข้าพาคนมาให้เจ้าแล้ว ต่อจากนี้ควรทำอย่างไรข้าเป็นคนตัดสินใจ จำเอาไว้ ถามคำถามจบแล้วก็รีบคายเบาะแสออกมา หากกล้าเล่นแง่ไม่ยอมบอก เจ้าคงรู้ว่ามีความทุกข์ทรมานรอเจ้าอยู่มากเพียงใด”
สีหน้าดั่งแผ่นเหล็กของอู่ฉี่เกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจนได้ คล้ายจะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่ที่มากกว่านั้นคือความหวาดกลัว
นางจ้องหน้าลิ่นเฉิงโย่วชั่วครู่ ก่อนเค้นคำพูดลอดไรฟันประโยคหนึ่ง “เข้าใจแล้ว” จากนั้นก็เบนสายตามามองเถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลัน “มาแล้วหรือ”
น้ำเสียงนางช่างแหบแห้งยิ่งนัก
ไม่เพียงเท่านี้ ขอบตานางยังแดงเรื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพิ่งพบหน้ามารดามาหรือไม่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 พ.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.