X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 110

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 110

“เจ้าอยากถามอะไร” ตู้ถิงหลันกัดฟันเอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่านางไม่คุ้นชินที่ต้องเผชิญหน้ากับอู่ฉี่ในสภาพเช่นนี้เลย

อู่ฉี่เอ่ยอย่างเฉยชา “ข้าลองคิดจนหัวแทบแตกแล้ว ก็ยังคิดไม่ออกว่าตนเองเผยช่องโหว่ตรงที่ใดกันแน่ วันนี้เรียกพวกเจ้ามาก็เพราะอยากถามว่าคืนนั้นพวกเจ้าวางกลอุบายอะไรในห้องไว้ล่วงหน้าใช่หรือไม่”

ลิ่นเฉิงโย่วชำเลืองมองเถิงอวี้อี้ ความนัยในแววตาชัดเจนยิ่งว่า ‘เจ้าอยากตอบก็ตอบ ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องไปใส่ใจ’

เถิงอวี้อี้ไม่เอ่ยตอบ เพียงเพ่งพินิจมองอู่ฉี่เงียบๆ

นางมองอย่างเชื่องช้าและละเอียดลออ

เมื่อก่อนมองเห็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของอู่ฉี่ ส่วนครั้งนี้นางต้องการมองให้ลึกลงไปถึงจิตใจของคนตรงหน้า

ความจริงในชาติก่อนคงไม่มีวันไล่ตามหาได้แล้ว แต่ตราบใดที่คนร้ายเป็นคนเดียวกัน ความคิดเห็นที่มีต่อเรื่องนั้นจะต้องเหมือนกันแน่ เช่นนั้นมีบางเรื่องเพียงสอบถามต่อหน้าก็เข้าใจ

นางมองอู่ฉี่อย่างพินิจพิจารณาอยู่นาน ก่อนค่อยๆ เอ่ยปาก “คำถามข้อนี้ข้าตอบเจ้าก็ได้ แต่ก่อนหน้านั้นข้าต้องถามเจ้าสองคำถามก่อน ขอเพียงเจ้าตอบตามความจริง เจ้าก็จะได้รู้คำตอบ”

ตอนแรกอู่ฉี่ไม่ยอมพูดอะไร คำตอบเดียวเหตุใดต้องใช้สองคำตอบมาแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามนางรู้ดีว่าหากคืนนั้นไม่ได้มีปัญหาขึ้นมาลิ่นเฉิงโย่วคงไม่สามารถจับกุมตัวยายเฒ่าหวังได้ทันเวลา เช่นนั้นถึงแม้จะสืบมาถึงนางก็ไม่มีทางหาหลักฐานแน่ชัดมาชี้ตัวนาง

แผนการทั้งหมดของนางพังทลายหมดสิ้นในคืนนั้น ด้วยเหตุนี้นางจะต้องรู้ความจริงให้ได้

คำตอบอยู่ตรงหน้านี้ ไม่ถามให้รู้เรื่องคงยากจะตัดใจ ประจันหน้ากันอยู่พักหนึ่งนางก็ยอมประนีประนอมแล้ว “เจ้าว่ามาสิ”

“หากว่าองค์รัชทายาทชอบพอคุณหนูจากตระกูลขุนนางสักคน ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ทรงเห็นว่าคุณหนูผู้นั้นเป็นตัวเลือกพระชายาองค์รัชทายาทที่เหมาะสม คุณหนูผู้นั้นยังสวมชุดไว้ทุกข์ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าองค์รัชทายาทเอาใจใส่ดูแลนางเป็นพิเศษ ยังเผยความตั้งใจว่าจะแต่งงานด้วยหลังจากนางออกทุกข์ หากเจ้ารู้เรื่องนี้แล้วจะให้คนมาทำร้ายคุณหนูผู้นั้นหรือไม่”

ห้องขังตกอยู่ในความเงียบ คำถามข้อนี้ที่มาสับสนคลุมเครือ ตู้ถิงหลันฟังแล้วฉงนสงสัย ลิ่นเฉิงโย่วเองก็เผยสีหน้าประหลาดใจ

ทว่าบางทีคงเพราะเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาท อู่ฉี่จึงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยตอบด้วยความจริงจังอย่างไม่น่าเชื่อ “หากว่าข้าไม่ได้ฝึกฝนวิชามาร ไม่แน่ว่าคำถามข้อนี้อาจเป็นอีกคำตอบหนึ่ง ตั้งแต่ได้สัมผัสกับสิ่งชั่วร้ายที่ครอบงำจิตใจเช่นนี้นิสัยข้านับวันจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที ขอเพียงได้ในสิ่งที่ปรารถนา ไม่ว่าวิธีการเช่นใดข้าก็ยินดีลองใช้มัน หากไม่อาจเปลี่ยนใจองค์รัชทายาทได้…ไม่กำจัดคุณหนูผู้นั้น แล้วตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทจะตกมาถึงข้าได้อย่างไร แม้ว่าข้ายังตัดสินใจลงมือไม่ได้สักที จิ้งเฉินซือไท่ก็จะเป่าหูให้ข้าลงมืออยู่ดี”

เถิงอวี้อี้กำหมัดแน่น พอแล้ว ชั่วขณะนี้ไม่ใช่เพียงข้อสันนิษฐานในใจอีกต่อไป ในที่สุดนางก็ได้ยินคนร้ายสารภาพแรงจูงใจการสังหารนางในชาติก่อนกับหูตนเอง

หัวใจนางรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาเป็นระลอก ฟันขบกันจนเสียงดังกรอดๆ

ลองคิดถึงสภาพน่าเวทนาตอนนางจมน้ำตายในสระน้ำเย็นเฉียบครั้งนั้น แล้วมองดูสภาพคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงเช่นนี้ของอู่ฉี่ คำว่า ‘สวรรค์ยุติธรรมเสมอ’ นั้นเกือบหลุดปากออกไปแล้ว

ประหนึ่งพายุฝนโหมกระหน่ำในใจนาง แต่ไม่คาดคิดว่าการเสียกิริยาของนางจะตกอยู่ในสายตาของคนรอบข้างทั้งหมด หางตาสังเกตเห็นสายตาลิ่นเฉิงโย่วจ้องมองมาก็รีบสงบสติอารมณ์ตนเอง

อู่ฉี่กลับจมอยู่ในภวังค์ความคิด ผ่านไปสักพักถึงเอ่ยเยาะเย้ยตนเอง “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรจะปฏิเสธ แต่ก่อนจะทำความรู้จักกับจิ้งเฉินซือไท่ข้าไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน เพื่อหว่านล้อมข้าแล้วซือไท่ดีต่อข้าเหมือนบุตรสาวแท้ๆ เชียว สอนวิชาป้องกันตัวให้ข้า ดูแลเอาใจใส่ข้าไปเสียทุกเรื่อง ตอนนั้นข้ายังเด็กนัก ไม่รู้ว่านางมีเจตนาร้ายแอบแฝง เข้าใจผิดไปว่านางเป็นอาจารย์ที่ประเสริฐและเป็นสหายในยามยาก มักจะระบายความทุกข์ในใจของตนเองให้นางฟังเสมอ บางครั้งทั้งที่ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้ลำเอียงอะไรเลยซือไท่ก็จะยุยงข้าว่าท่านพ่อท่านแม่รักพี่สาวมากกว่าข้า รวมกับวิชามารพวกนั้นที่นางสั่งสอนข้ากัดกินจิตใจ ผ่านไปนานวันเข้าการกระทำของข้าจึงสุดโต่งขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญ…” มุมปากของนางตกลงเล็กน้อย “เพื่อจะหาจุดอ่อนมาข่มขู่ข้า จึงคอยยุยงให้ข้าทำเรื่องชั่วช้าไม่น้อย ตอนแรกความคิดที่จะฆ่าพี่สาวก็ได้ยายเฒ่าหวังเป็นคนเสนอขึ้นมา แต่สุดท้ายแล้วข้าก็เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกพวกเขาหลอกใช้และคิดว่าตนเองทำถูกต้องเสมอเท่านั้น”

สายตาเถิงอวี้อี้ดั่งกระบี่คมกริบ ตอนนั้นขณะอยู่ในหอไฉ่เฟิ่งก่อนตายเผิงอวี้กุ้ยก็เคยพูดจาทำนองนี้เช่นกัน เพราะทางราชสำนักตระหนักดีถึงอันตรายมากมายของการฝึกฝนวิชามาร ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะกวาดล้างพวกสำนักอู๋จี๋ให้สิ้นซาก

แต่ที่สุดแล้วอู่ฉี่ถูกคนล่อลวงให้หลงเดินทางผิดอย่างไร มันเกี่ยวข้องกับนางตรงที่ใดกันเล่า นางรู้เพียงว่าชาติก่อนตนเองต้องตายอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือคนกลุ่มนี้

น่าเสียดายว่ามีเวลาไม่มากพอ และยังมีคำถามอีกข้อรอการตรวจสอบ นางจึงคลายหมัดที่กำแน่น แสร้งวางมาดสงบนิ่งเอ่ยถามต่อว่า “คืนนั้นในวังเฉิงอ๋องเจ้าคิดจะขโมยถุงหอมของข้าใช่หรือไม่”

อู่ฉี่แสดงสีหน้าฉงนสงสัย “ขโมยถุงหอม?”

เถิงอวี้อี้กับลิ่นเฉิงโย่วสบตากันอย่างประหลาดใจ ไม่ใช่อู่ฉี่หรอกหรือ

“ข้าไม่เคยขโมยถุงหอมของเจ้า” อู่ฉี่ตอบเรียบๆ “ข้ายังตัดสินใจไม่แน่ชัดว่าจะจัดการเจ้าดีหรือไม่ แล้วจะแหวกหญ้าให้งูตื่นได้อย่างไร เจ้าก็ประเมินข้าต่ำเกินไป คืนนั้นที่ข้าไปยังวังเฉิงอ๋องเพียงเพราะอยากหาโอกาสพบหน้าองค์รัชทายาทเท่านั้น”

เถิงอวี้อี้ใคร่ครวญพลางพักหน้าตอบ

“คำตอบของข้าเล่า” อู่ฉี่เงยหน้ามองสบตาเถิงอวี้อี้

คิ้วเรียวงามของเถิงอวี้อี้เลิกขึ้น ก่อนย้อนถามกลับไปว่า “คำตอบก็อยู่ในคำถามข้อเมื่อครู่ของข้าไม่ใช่หรือ”

อู่ฉี่เข้าใจกระจ่างโดยพลัน “หรือเพราะเจ้ากังวลว่าหัวขโมยผู้นั้นจะลงมืออีก นับตั้งแต่นั้นทุกคืนจะต้องทิ้งเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์บางอย่างเอาไว้ในห้อง”

เถิงอวี้อี้ยิ้มเยาะ “ปรากฏว่าจับหัวขโมยตัวเล็กๆ ผู้นั้นไม่ได้ กลับบังเอิญจับหัวขโมยตัวร้ายอย่างพวกเจ้าทั้งกลุ่มได้ นี่เรียกว่าคนชั่วหนีไม่พ้นบ่วงกรรมจริงๆ”

อู่ฉี่ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงไม่หยุด จู่ๆ ก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา แล้วก็ถอยกลับไปอีกอย่างหดหู่ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก “ช่างเถอะ ไม่มีเจ้า เถิงอวี้อี้ ไม่ช้าก็เร็วข้าคงเผยพิรุธออกไปสักเรื่อง ยายเฒ่าหวังซ่อนจุดอ่อนของข้าไว้มากถึงเพียงนั้นก็รู้แล้ว ต่อให้ครั้งนี้ข้าหนีรอดไปได้ วันหน้าก็หนีพันธนาการของพวกเขาไม่พ้นอยู่ดี”

“พอได้แล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วสีหน้าไร้อารมณ์ “ถึงคราวเจ้าตอบคำถามแล้ว”

อู่ฉี่กระตุกมุมปากเล็กน้อย “ข้าจำได้ กฎหมายกำหนดไว้ว่าตราบใดที่ผู้สมรู้ร่วมคิดยอมให้เบาะแสโดยสมัครใจก็สามารถลดหย่อนโทษได้ตามความเหมาะสม”

ลิ่นเฉิงโย่วกล่าว “อย่างนั้นก็ต้องดูว่าเจ้าให้เบาะแสอะไรมาแล้ว”

อู่ฉี่นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากเล่าช้าๆ “ครั้งนั้นที่อารามนักพรตหญิงอวี้เจินมีมารร้ายปรากฏตัวขึ้นมากะทันหัน ข้าก็ตกใจกลัวแทบตาย หลังเก็บตัวอยู่ในบ้านหลายวันก็อดใจไม่ไหวรีบไปที่อารามเพื่อถามซือไท่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ซือไท่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกดูเหมือนอารมณ์ดีเป็นพิเศษ นางดื่มสุราไปมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งยังทำท่าทางลึกลับบอกกับข้าว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าฉางอันจะต้องเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ แต่ภัยพิบัติครั้งนี้เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไรกันแน่นางก็ยังไม่เข้าใจละเอียดนัก ข้าถามนางว่าตกลงเป็นภัยพิบัติเช่นไร นางรู้ตัวว่าเมาสุราจนเสียกิริยาไป เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมพูดต่อแล้ว”

ภัยพิบัติครั้งใหญ่? เถิงอวี้อี้กับลิ่นเฉิงโย่วขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกัน

หากหมายถึงไน่จ้งปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ภัยพิบัติที่ว่าก็เพิ่งเกิดขึ้นไปไม่นานแท้ๆ เหตุใดถึงบอกว่าเป็น ‘ไม่กี่เดือนข้างหน้า’ เล่า ยิ่งกว่านั้นในเมื่อซือไท่รู้ว่าจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่ เหตุใดถึงไม่รู้ต้นตอของภัยพิบัติแน่ชัด

พอเล่าเรื่องนี้จบอู่ฉี่ก็มีสีหน้าเย็นชา “เบาะแสนี้มีน้ำหนักมากพอหรือไม่”

ลิ่นเฉิงโย่วไม่ออกความเห็นใด หันกลับไปเตรียมพาเถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันออกจากคุก

“ประเดี๋ยวก่อน!” อู่ฉี่รีบร้อนคลานมาอยู่หน้ากรงเหล็ก “ข้ายังพูดไม่จบ…เมื่อครู่ข้าบอกท่านแม่ไปแล้ว คืนนั้นเสี้ยววิญญาณของพี่สาวไม่ได้ถูกโยนลงน้ำ!”

คนทั้งสามชะงักฝีเท้าไปทันใด ลิ่นเฉิงโย่วคล้ายไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “เสี้ยววิญญาณอยู่ที่ใด”

อู่ฉี่ตอบว่า “ซ่อนอยู่ใต้เตียงนอนของข้าในสำนักศึกษา ยายเฒ่าหวังบอกว่าแถวๆ วัดชิงหลงผู้คนมากหน้าหลายตา หากฮั่วซงหลินหนีไปไม่รอดคงจะถูกจับกุมได้ในที่เกิดเหตุ แล้วหากเสี้ยววิญญาณของพี่สาวในไหสุราถูกคนปลุกให้ตื่นขึ้นมาทันเวลาจะต้องพูดออกมาแน่ว่าคืนนั้นใครเป็นคนวางแผนทำร้ายนาง พอทางฝั่งข้าถูกเปิดโปง แผนการทั้งหมดจะล้มเหลว ดังนั้นในไหสุราจึงใส่เสี้ยววิญญาณของหลี่อิงเอ๋อร์เอาไว้ ส่วนเสี้ยววิญญาณของพี่สาวข้าจะถูกเขาซ่อนไว้ใต้เสาสะพานต้นหนึ่งใกล้กับวัดชิงหลง วันรุ่งขึ้นข้าค่อยไปเอาของกลับมาแล้วเก็บอยู่ในสำนักศึกษามาตลอด วันนี้นับจากเทศกาลอวี้ฝอเป็นวันที่เก้าพอดี หากเร่งทำพิธีโดยเร็วจะต้องช่วยกลับมาได้แน่!”

ฉับพลันนั้นลิ่นเฉิงโย่วมีสีหน้าเคร่งขรึม “ไปเถอะ”

เถิงอวี้อี้รีบร้อนเดินตามฝีเท้าลิ่นเฉิงโย่ว นางหันหน้ากลับไปก็มองเห็นอู่ฉี่ยังกำลูกกรงไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าเพราะไม่ได้ยินคำอนุญาตจากลิ่นเฉิงโย่ว ในใจจึงรู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่ง

เถิงอวี้อี้บอกกับลิ่นเฉิงโย่วว่า “รอสักครู่ ข้าพูดกับนางสองประโยคก็จะไปแล้ว” นางเร่งฝีเท้าเดินกลับไปหน้ากรงขัง ก่อนจะกระซิบถามอู่ฉี่ว่า “ถูกขังอยู่ในคุกมาสองวันเต็มก็ไม่เห็นเจ้าจะพูด เหตุใดวันนี้ถึงยอมพูดได้เล่า”

อู่ฉี่คิดไม่ถึงว่าเถิงอวี้อี้จะเดินย้อนกลับมาถาม จึงมองประเมินอีกฝ่ายด้วยสายตาค้นหา “น่าแปลก ดูเหมือนเจ้าจะอยากรู้เรื่องของข้ามากทีเดียว แต่หากบอกเจ้าไป ข้าว่าก็ไม่เห็นเป็นอะไร ความจริงตอนแรกข้าก็ไม่คิดจะทำร้ายพี่สาว เพียงเพราะดื้อดึงอยากเป็นพระชายาองค์รัชทายาทถึงได้ถูกคนชั่วหลอกใช้ ตอนนี้ข้าพ่ายแพ้ยับเยินไปแล้ว ไยต้องทำร้ายพี่สาวตนเองอีกเล่า จะว่าไป…”

เถิงอวี้อี้กล่าวเสริมในใจแทนอู่ฉี่ หากไม่ทำเช่นนี้จะทำให้บิดามารดาใจอ่อนร้องขอความเมตตาเบื้องพระพักตร์แทนเจ้าต่อไปได้อย่างไร

นี่ล่ะคืออู่ฉี่ บางทีตอนแรกนางอาจไม่ได้เลวร้ายปานนี้ แต่สิ่งชั่วร้ายอย่างวิชามาร เมื่อแปดเปื้อนแล้วจะไม่มีทางย้อนกลับได้ แต่เดิมมีความชั่วร้ายเพียงสามส่วน ก็จะเปลี่ยนเป็นสิบส่วน

อยากใช้ข้ออ้างนี้เพื่อพ้นผิด…

“ขอเตือนให้เจ้าล้มเลิกความคิดนี้เถอะ” เถิงอวี้อี้หัวเราะอย่างเย็นชา “เป็นบุตรสาวหัวหน้าผู้ตรวจการแล้วอย่างไร อย่าลืมสิว่าจิ้งเฉินซือไท่ที่ถูกตัดสินโทษประหารไปก่อนหน้านี้ก็มีใจหมายลอบปลงพระชนม์มาเนิ่นนาน ตอนนี้ทั่วทั้งราชสำนักรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่คดีฆาตกรรมธรรมดา แต่เกี่ยวพันถึงการวางแผนก่อกบฏ ได้ยินว่าองค์รัชทายาทก็วิงวอนต่อเบื้องพระพักตร์ ทูลขอให้ฝ่าบาททรงตัดสินลงโทษสถานหนัก ทุกคนต่างหลบเลี่ยงกันเป็นแถวๆ เลิกคิดเรื่องปล่อยตัวโดยไร้ความผิดไปได้เลย ไม่เดือดร้อนไปทั้งสกุลอู่ก็ไม่เลวแล้ว ที่สำคัญในใจเจ้าคงรู้ดียิ่งกว่าใคร หากครั้งนี้เจ้าไม่โดนจับ วันหน้าไม่รู้ว่าจะมีคุณหนูบ้านอื่นถูกเจ้าทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมอีกเท่าไร ความผิดมากมายหลายอย่าง นับรวมกันแล้วตัดสินให้เจ้ารับโทษแขวนคอก็ไม่เกินไปเลย รออยู่ในศาลต้าหลี่อย่างสงบเสงี่ยมไปเถอะ ว่ากันว่าอย่างน้อยต้องถูกจำคุกสิบปีขึ้นไป”

อู่ฉี่หน้าเปลี่ยนสีไปในพริบตา ไม่รู้เพราะได้ยินว่าองค์รัชทายาทก็ร้องขอให้ตัดสินลงโทษสถานหนัก หรือได้ยินว่าโอกาสพ้นโทษของตนเองอยู่ห่างไกลออกไป

นางจ้องมองแผ่นหลังเถิงอวี้อี้ที่เดินวางมาดจากไปอย่างแค้นเคือง ร่างกายโน้มไปข้างหน้าแล้วคว้ากรงขังไว้ “เถิงอวี้อี้ เหตุใดเจ้าเกลียดข้าถึงเพียงนี้ ข้าไม่เคยทำร้ายเจ้าเลย!”

ครั้งนี้ฝีเท้าของเถิงอวี้อี้ไม่หยุดลงกลางคันอีกแล้ว

ภายในกรงขังมีเพียงเสียงตะโกนของอู่ฉี่ดังสะท้อนกำแพงหิน นางออกแรงจนข้อนิ้วมือซีดขาว สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงหายใจเหนื่อยหอบของนางเองเท่านั้น

ลิ่นเฉิงโย่วสั่งคนให้แยกไปส่งเถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันกลับจวน ส่วนเขาควบม้าไปยังอารามชิงอวิ๋นเพื่อเชิญอาจารย์ตา

เมื่อเถิงอวี้อี้กลับมาถึงจวน ทางหนึ่งสั่งคนให้คอยจับตาดูข่าวจากสกุลอู่ตลอดเวลา อีกทางหนึ่งก็ลอบครุ่นคิดว่า ‘ภัยพิบัติครั้งใหญ่’ ที่จิ้งเฉินซือไท่เอ่ยถึงคืออะไร

วันรุ่งขึ้นได้ยินว่าอู่เซียงฟื้นแล้ว เพียงแต่สติยังเลอะเลือนกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย นักพรตชิงซวีจื่อบอกว่าวิญญาณออกจากร่างนานเกินไป แก่นวิญญาณจึงได้รับความเสียหายอยู่บ้าง หากจะให้จดจำคนข้างกายได้ครบทุกคนอย่างน้อยต้องใช้เวลาสองสามเดือน

พอตู้ถิงหลันรู้ข่าวนี้ก็นัดหมายเถิงอวี้อี้ไปเยี่ยมเยียนอู่เซียงที่จวนสกุลอู่ในวันนั้นทันที

ในห้องของอู่เซียงมีสหายร่วมเรียนมารวมตัวกันแน่นขนัดอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนกำลังกระซิบพูดคุยเป็นเพื่อนอู่เซียง

อู่เซียงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงราวกับท่อนไม้ เมื่อเห็นสหายหลายคนแสดงความห่วงใยนางก็เผยรอยยิ้มที่ว่างเปล่าออกมาเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตามแววตานางยังเฉื่อยชา มิหนำซ้ำยังเรียกชื่อสหายไม่ได้เลยสักคนเดียว

ระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยกับนาง หากนางไม่ได้เหม่อลอยไร้จุดหมาย ก็หันหน้าไปมาด้วยความสงสัยคล้ายกำลังตามหาอะไรบางอย่าง

เติ้งเหวยหลี่กับหลิ่วซื่อเหนียงถามอู่เซียงเสียงนุ่มนวล “มองหาอะไรอยู่ หรือว่าอยากจะกินอะไรแล้ว”

อู่เซียงเผยอปากเล็กน้อย พยายามพูดออกมาว่า “อา…อาฉี่เล่า”

สหายทั้งหลายหันมองหน้ากันแล้วเงียบเสียงลง

ท่ามกลางความเงียบที่แผ่ปกคลุม เติ้งเหวยหลี่เม้มปากอย่างขมขื่น ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “เจ้าอุดอู้อยู่ในบ้านมาหลายวันแล้ว ไม่อย่างนั้นออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีหรือไม่ วันมะรืนนี้เป็นวันเกิดของท่านปู่ข้า มาเที่ยวเล่นบ้านพวกเราดีกว่า”

อู่เซียงคลี่ยิ้มอย่างโง่งม “อ้อ”

เหล่าสหายยิ้มแย้มตามไปด้วย บรรยากาศในห้องคึกคักอีกครั้ง

ผ่านไปประเดี๋ยวหนึ่งเติ้งเหวยหลี่ก็ดึงเถิงอวี้อี้ออกมาคุยนอกห้อง “ปีนี้เจ้าเพิ่งกลับมาฉางอัน ปีที่แล้วๆ มาไม่เคยเล่นสนุกกับพวกเราให้เต็มที่ ข้าตกลงกับทุกคนเอาไว้เรียบร้อย ครั้งนี้เจ้าคือแขกคนสำคัญ วันมะรืนนี้บ้านข้าจัดงานเลี้ยง เจ้ามาที่บ้านข้าเร็วสักหน่อยนะ”

เถิงอวี้อี้หรี่ตามองเติ้งเหวยหลี่ “เจ้าคิดจะอู้งานใช่หรือไม่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าขี้เกียจยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก ดื่มสุราสิถึงเป็นทางถนัดของข้า การละเล่นวงสุรากับการตระเตรียมรายการเจ้าไปหาคนอื่นดีกว่า”

สหายรอบข้างอดหัวเราะไม่ได้ เติ้งเหวยหลี่หยิกแก้มเถิงอวี้อี้ “พวกเจ้าดูสิ ก็มีเพียงนางผู้นี้ที่กล้าพูดอย่างเปิดเผยว่าตนเองขี้เกียจ ปกติเจ้าจะหนีงานก็ช่าง แต่คืนนี้เจ้าต้องมาช่วยข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะไปเอาเรื่องเจ้าแน่ อย่างไรข้าก็พูดกับเจ้าแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าก็มาเร็วสักหน่อย จะได้ช่วยข้ารับแขก”

 

เวลาล่วงเลยมาสองวัน เถิงอวี้อี้อยู่ในจวนแต่งกายอย่างงดงาม พอเห็นว่าสายมากแล้วก็นัดญาติผู้พี่ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนสกุลเติ้ง

บรรดาสาวใช้นำทางสองพี่น้องไปหาเติ้งเหวยหลี่ที่เรือนในอย่างกระตือรือร้น พอสอบถามถึงรู้ว่าพวกนางมาถึงงานเป็นลำดับแรก เติ้งเหวยหลี่ยังสางผมแต่งตัวอยู่ในห้อง ได้ยินว่าพวกนางมาแล้วก็ดีใจแทบแย่ วิ่งมาต้อนรับถึงระเบียงทางเดินด้วยตนเอง

บรรยากาศภายในจวนสกุลเติ้งเหมือนกับเติ้งซื่อจงไม่มีผิด ตั้งแต่เบื้องบนถึงเบื้องล่างล้วนคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง พูดจาฉะฉานชัดเจน

คืนนี้สกุลเติ้งแขกเหรื่อมาเยือนแน่นจวน ในสวนดอกไม้มองเห็นเงาร่างอรชรในชุดหรูหรางดงามดั่งอาภรณ์เซียน เถิงอวี้อี้ถูกสหายห้อมล้อมอยู่ตรงกลางซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการเล่นหมากซวงลู่* จู่ๆ สัมผัสได้ว่ากระบี่เสี่ยวหยาร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อเหลือบมองกระดิ่งเสวียนอินกลับพบว่าเงียบสนิทไม่สั่นไหว นางมีข้อกังขาในใจมากมาย จึงอาศัยข้ออ้างว่าจะไปห้องสุขาปลีกตัวออกจากห้องโถงบุปผา

พอเดินออกมาแล้วนางก็ชะเง้อมองไปรอบกาย เห็นตวนฝูยังติดตามอยู่ด้านหลังไกลๆ ถึงค่อยรู้สึกวางใจ แล้วเดินตรงไปยังด้านหลังภูเขาจำลองที่เงียบสงัดที่สุดมุมหนึ่งในสวนดอกไม้ หมายจะให้เสี่ยวหยาออกมาจากกระบี่ ไม่คาดคิดว่ากระดิ่งเสวียนอินบนข้อมือจะส่งเสียงดังกะทันหัน นางตื่นตระหนกขึ้นมาโดยพลัน เตรียมจะชักกระบี่ออกมา อยู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งกระโดดลงมาจากบนต้นไม้ กล่าวกับนางเสียงแผ่วเบา

“มานี่”

“ซื่อจื่อ?”

คนทั้งสองมาแอบอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง

เถิงอวี้อี้เงยหน้าจ้องมองลิ่นเฉิงโย่ว เขาสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มปักลวดลายดอกสายน้ำผึ้ง แววตาเป็นประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงสว่างเหนือศีรษะ ภายนอกมองดูเปล่งปลั่งมีสง่าราศี เรียกได้ว่ามีความงามเป็นเลิศ

“เก็บกระบี่กลับไปเถอะ” ลิ่นเฉิงโย่วตั้งสมาธิมั่นรับฟังความเคลื่อนไหวโดยรอบ แล้วกระซิบบอกเถิงอวี้อี้

เถิงอวี้อี้ทำตามที่เขาบอก ค่อยเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อ เมื่อครู่แถวนี้มีสิ่งชั่วร้ายใช่หรือไม่”

“มีปีศาจร้ายตนหนึ่งผ่านมาน่ะ แต่ถูกข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ย “จริงสิ ในเมื่อเจ้ากับข้ามาเจอกันที่นี่แล้ว ก็ไม่ต้องให้คนอื่นไปแจ้งข่าวเจ้าที่จวนสกุลเถิงอีก พรุ่งนี้ข้าจะออกนอกเมืองไปจับฉื่อคั่ว เจ้าจะตามไปด้วยหรือไม่”

“ไปสิ” เถิงอวี้อี้ดวงตาวาววับ “ในเมืองไม่มีผีชางแล้วหรือ”

ลิ่นเฉิงโย่วพลั้งปากตอบไปว่า “จะเอาผีชางมาจากที่ใดเยอะแยะปานนั้น ครั้งก่อนกว่าจะเรียกมาหลายสิบตนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายก็ถูกเจ้ากำจัดไปเกลี้ยงแล้ว”

พอกล่าวจบเขาก็ชะงักไป ในใจแอบร่ำร้องว่าท่าจะไม่ดีแล้ว พูดเช่นนี้มิเท่ากับบอกไปตรงๆ หรือว่าผีชางฝูงนั้นเมื่อครั้งก่อนเป็นเขาที่เตรียมไว้เอง

“ข้าจะบอกว่า…” ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวเสริมอย่างแนบเนียน “ข้าชอบเรียกสิ่งชั่วร้ายมารวมตัวกันเพื่อจัดการในคราวเดียว เพราะทำเช่นนี้แล้วถึงจะสะใจ ครั้งที่แล้วบังเอิญว่าข้ารู้สึกเหนื่อย ส่วนกระบี่ของเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อก็แปดเปื้อนมา หาคนมาแทนไม่ได้ในชั่วขณะ จึงให้เจ้าไปลองจัดการสักครั้ง”

เถิงอวี้อี้รีบเก็บกระบี่ไปข้างๆ มองพุ่มดอกเฉียงเวย* ทางนั้นแล้วส่งเสียงว่ารับรู้คำหนึ่ง

ลิ่นเฉิงโย่วชำเลืองมองนาง แสร้งทำราวกับว่าเป็นเรื่องใหญ่อีกครั้ง “พรุ่งนี้ข้าก็ขาดคนพอดี”

เถิงอวี้อี้พยักหน้า

ลิ่นเฉิงโย่วไม่รู้จะพูดอะไรดี จำต้องเอ่ยไปว่า “พรุ่งนี้ข้ายังเตรียมการอย่างอื่นเอาไว้ด้วย เจ้าจะออกมาเร็วสักหน่อยก็ได้”

“เอาสิ”

“อย่างนั้นข้าจะไปแล้ว เจ้าไม่มีอะไรจะถามข้าอีกหรือ”

เถิงอวี้อี้ส่ายหน้า

ลิ่นเฉิงโย่วไม่ขยับ เหตุใดเถิงอวี้อี้ถึงรู้สึกแปลกๆ สักหน่อย

เถิงอวี้อี้หันไปมองเขา “ซื่อจื่อยังมีเรื่องใดจะสั่งกำชับเพิ่มหรือไม่”

“ไม่มีแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วเบนสายตาไปทางอื่น “เจ้าอย่าคิดมากไป ครั้งนี้พาเจ้าออกไปด้วยเป็นเพราะเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อพรุ่งนี้ยังมีงานอื่นต้องทำ”

เถิงอวี้อี้พยักหน้าอีกครั้ง

ลิ่นเฉิงโย่วคลางแคลงใจ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเถิงอวี้อี้ต่างไปจากปกติ นางคงไม่ได้มองออกแล้วว่าเขาชอบนางกระมัง นางเป็นคนมีกำแพงในใจแน่นหนาเพียงนั้น หากไม่ยอมไปปราบปีศาจกับเขาเพราะเรื่องนี้คงไม่ดีแน่

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

“ข้ากำลังฟังซื่อจื่อพูดอยู่ไม่ใช่หรือ”

ลิ่นเฉิงโย่วตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ชี้มาที่ตนเองเสียเลย คำถามที่ว่า ‘ข้าดูเหมือนจะชอบเจ้าหรือไม่’ เกือบหลุดปากออกไป ประจวบเหมาะว่าในตอนนี้เองทางฝั่งนั้นมีคนเดินมา เขารีบบุ้ยใบ้ให้เงียบเสียง แล้วดึงเถิงอวี้อี้ไปหลบอยู่หลังต้นไม้อย่างเงียบเชียบทันที

 

* หมากซวงลู่ (หมากสองแดน) หรือแบ็กแกมมอน เป็นหมากกระดานสำหรับสองคนซึ่งใช้เบี้ยกับลูกเต๋าสองลูกในการเดิน ซึ่งผู้เล่นจะผลัดกันเดินเพื่อนำเบี้ยของตนออกจากกระดาน หากผู้ใดสามารถนำเบี้ยออกได้หมดก่อนเป็นผู้ชนะ

* ดอกเฉียงเวย คือกุหลาบพันธุ์ Rosa multiflora

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนพฤศจิกายน 66)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: