X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 59

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 59

เถิงอวี้อี้ยิ้มอย่างประหลาดใจ “ให้ข้าหรือ”

พอนางเปิดฝากล่องไม้เคลือบเงาไอร้อนสีขาวก็ลอยฉุยขึ้นมาตรงหน้า ภายในกล่องมีขนมรูปร่างกลมดิกวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ในขนมคล้ายจะผสมน้ำคั้นจากใบพืชบางชนิด บนก้อนแป้งเจือสีเหลืองจางๆ น่าเสียดายไส้ขนมในแต่ละชิ้นเติมเข้ามาไม่สม่ำเสมอสักเท่าไร บางชิ้นไม่แบนราบก็พองนูนจนเกินไป

ชี่จื้อรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย “นี่เป็นขนมซานชิงของอารามพวกเรา ข้ากับเจวี๋ยเซิ่งตื่นขึ้นมาทำแต่เช้าตรู่ ยังนวดแป้งได้ไม่ดีพอ แต่รสชาติไม่เลวนะ คุณหนูตู้ กล่องนี้ให้ท่านขอรับ”

“ข้าก็ได้ด้วยหรือ” ตู้ถิงหลันยิ้มแล้วรับกล่องมา

เจวี๋ยเซิ่งมีสีหน้าภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม “สูตรทำขนมซานชิงนี้สืบทอดมาจากอาจารย์ตาของอาจารย์ตา ในขนมจะเติมสมุนไพรชั้นเยี่ยมลงไปหลายชนิด มีสรรพคุณช่วยเสริมพลังปราณบำรุงร่างกาย ทุกปีช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนอาจารย์ตาจะสั่งให้อารามเราทำเตรียมเอาไว้เยอะเลย กินแล้วมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากเชียวล่ะ พวกเรายังเติมข้าวเหนียวถั่วบดในไส้ขนมไปอีกมาก รสชาติหวานอร่อยแน่นอน ช่วงสองสามวันมานี้คุณหนูเถิงกับคุณหนูตู้พบเจอเรื่องน่าตระหนกตกใจ กินขนมแล้วตลอดทั้งคืนนี้จะไม่มีทางฝันร้าย”

เถิงอวี้อี้มองขนมนิ่งงันไม่พูดไม่จา นางมองทะลุผ่านไอร้อนเจือกลิ่นหอมหวาน ราวกับมองเห็นหัวใจที่อบอุ่นร้อนผ่าวสองดวงของเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ

เถิงอวี้อี้หลับตาลงสูดดมกลิ่น ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างยินดีปรีดา “ดมกลิ่นก็รู้แล้วว่าอร่อยเพียงใด ชุนหรง รีบยกกล่องอาหารพวกนี้ไปที่ห้องโถงบุปผา อาหารเช้าข้าคงไม่กินอย่างอื่นเพิ่มอีก กินเพียงขนมที่ท่านนักพรตน้อยของพวกเราทำเองกับมือแล้วกัน”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อดีอกดีใจเหลือเกิน ไม่คิดว่าคุณหนูเถิงจะชอบถึงเพียงนี้ ดูท่าการให้ขนมเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมไม่ผิดเลย

ความจริงจนถึงช่วงก่อนนอนเมื่อคืนพวกเขาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเอาของขวัญอะไรติดมือมาที่จวนสกุลเถิง คุณหนูเถิงเชื้อเชิญพวกเขามากินของอร่อยโดยเฉพาะ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรมาเยือนมือเปล่า พวกเขานอนปรึกษาหารือกันอยู่ในห้อง ประเดี๋ยวคุยกันว่าจะวาดยันต์ให้คุณหนูเถิงเพิ่ม ประเดี๋ยวก็คุยกันว่าพรุ่งนี้จะซื้อเครื่องประทินโฉมไปสักหน่อย ไม่คาดคิดว่าในตอนนั้นเองศิษย์พี่จะกลับอารามมากะทันหัน บางทีคงได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ขณะผ่านระเบียงทางเดินก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจว่า ‘เครื่องประทินโฉมที่พวกเจ้าให้นางจะกล้าใช้หรือไม่เล่า นางชอบกินขนมมากไม่ใช่หรือ ลองทำขนมซานชิงดูสิ ไม่เห็นจะยุ่งยากเลย’

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบร้อนวิ่งออกจากห้อง ทว่าศิษย์พี่ได้เดินจากไปแล้ว โคมไฟในหอคัมภีร์ยังสว่างไสว ประตูกลับลงกลอนเอาไว้ ข้างในนั้นเก็บบันทึกเรื่องลี้ลับและคัมภีร์ตำราหลากหลายหมวดหมู่ของลัทธิเต๋า ปกติเวลาศิษย์พี่พบเจอปัญหาที่ยากเกินทำความเข้าใจ ก็จะค้นหาคำตอบเจอจากในห้องนั้นเสมอ

ศิษย์พี่กลับมาถึงอารามกลางดึกก็พลิกอ่านตำรา คิดว่าระหว่างสอบสวนจวงมู่ต้องพบปัญหาน่าปวดเศียรเวียนเกล้าแน่

เด็กชายทั้งสองไขกลอนเข้าไปในห้อง พบว่าบนชั้นหนังสือมีบันทึกเรื่องลี้ลับเล่มหนาที่สุดหายไปเล่มหนึ่งอย่างที่คาดการณ์ไว้

ตอนเช้าตื่นขึ้นมาทำขนมซานชิง ก็ไม่วี่แววว่าศิษย์พี่จะย้อนกลับมาที่อาราม ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนอนในที่ว่าการของศาลต้าหลี่ หรือว่าทำคดีเสร็จแล้วก็ตรงกลับวังเฉิงอ๋องเลย

 

พวกเขามุ่งหน้าไปยังห้องโถงบุปผา ระหว่างทางเถิงอวี้อี้ถามปี้หลัวว่า “ท่านพ่อกินอาหารเช้าหรือยัง”

ปี้หลัวยิ้มหยอกเย้า “นายท่านนอนขี้เซาอย่างคุณหนูที่ใดกันเจ้าคะ ฟ้ายังไม่สาง กินอาหารเช้าเสร็จก็ออกไปแล้ว”

เถิงอวี้อี้ครุ่นคิดในใจ ช่วงไม่กี่วันนี้ว่ากันตามหลักแล้วบิดาสมควรหยุดพักงาน กลับมาวิ่งวุ่นแต่เช้าตรู่เช่นนี้จะต้องเป็นเพราะเรื่องที่คุยกันเมื่อคืนนี้แน่ ไม่มีอะไรจะดียิ่งไปกว่านี้แล้ว บิดาลงมือทำสิ่งใดล้วนฉับไวและเฉียบขาดเสมอมา เร่งวางแผนเสียตั้งแต่เนิ่นๆ พวกนางสองพ่อลูกก็คงไม่ต้องถูกลอบทำร้ายอย่างไม่ทันตั้งตัวอย่างเมื่อชาติก่อนแล้ว

ตอนกินอาหารเช้าเถิงอวี้อี้เจริญอาหารเป็นพิเศษ กินขนมซานชิงไปหลายชิ้นติดต่อกันในคราวเดียว

ตู้ถิงหลันก็กล่าวชื่นชมขนมชนิดนี้ไม่ขาดปาก

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อถูกชมจนรู้สึกขัดเขินไปหมด เกาศีรษะแกรกๆ พลางถามขึ้นว่า “เมื่อคืนไม่มีภูตผีปีศาจมารบกวนถึงในจวนแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”

“ไม่มีแล้ว เมื่อคืนข้ากับพี่สาวนอนหลับสนิทเลย” เถิงอวี้อี้ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ขบคิดชั่วครู่ก็สั่งให้บ่าวไพร่ถอยออกไป “ตอนเช้าเจอศิษย์พี่ของพวกท่นหรือยัง จวงมู่ยอมพูดหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงถูกหลอกล่อให้ไปอยู่ที่ตรอกด้านหลังร้านเครื่องหอม”

เจวี๋ยเซิ่งส่ายหน้า “ตอนเช้าไม่ได้เจอศิษย์พี่เลย แต่เมื่อคืนศิษย์พี่กลับมาที่อารามครั้งหนึ่ง เพียงมาหยิบบันทึกเรื่องลี้ลับในอารามเล่มหนึ่งก็ออกไปแล้ว ยังไม่ได้ดื่มน้ำชาสักอึกด้วยซ้ำ คงจะสอบสวนได้ไม่ราบรื่นเท่าไร ไม่อย่างนั้นเมื่อคืนศิษย์พี่คงไปจับคนร้ายตัวจริงแล้ว ดึกดื่นถึงเพียงนั้นไม่ทางกลับมาที่อารามหรอก”

เถิงอวี้อี้เอ่ยถาม “จวงมู่ยังไม่ยอมพูดอีกหรือ”

ชี่จื้อยกมือเท้าคางอย่างนึกฉงน “หากข้าเป็นจวงมู่ ทั้งที่รู้ว่าตนเองถูกคนร้ายตัวจริงโยนความผิดมาให้ เมื่อวานตอนถูกจับกุมคงสารภาพทุกอย่างที่รู้ออกมาอย่างหมดเปลือกแล้ว เหตุใดถึงยังเก็บเงียบอีกนะ”

ตู้ถิงหลันเอ่ยแทรกขึ้นมา “คนผู้นี้จะต้องเกรงกลัวเรื่องอะไรอยู่แน่”

เจวี๋ยเซิ่งก็ไม่เข้าใจเช่นกัน “เขาถูกศาลต้าหลี่จับกุมแล้ว หากไม่ยอมอธิบายจะต้องถูกตัดสินโทษสถานหนักแน่ ถึงอย่างไรก็เป็นตายเหมือนกัน แล้วเหตุใดต้องแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ว่าเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตายแทนคนอื่นด้วย”

เถิงอวี้อี้ใคร่ครวญพลางเอ่ย “เดิมทีจวงมู่เป็นพวกไม่กลัวตายอยู่แล้ว คำว่า ‘ตาย’ บางทีอาจไม่มากพอที่จะทำให้เขากลัวได้ สำหรับเขาแล้วยังมีเภทภัยที่น่ากลัวยิ่งกว่า ‘ตาย’ ”

คนร่วมโต๊ะทั้งสามคนต่างตะลึงงัน

ในตอนนี้เองลุงเฉิงก็เดินนำบ่าวไพร่จากในห้องครัวเข้ามา บ่าวไพร่แต่ละคนประคองกล่องไม้เคลือบเงามาคนละกล่อง ข้างในบรรจุขนมหลากหลายชนิดเอาไว้ เมื่อนับรวมกันแล้วมีมากถึงยี่สิบกว่ากล่อง

“ทางนี้เป็นขนมน้ำค้างหยกที่ท่านนักพรตน้อยโปรดปรานที่สุด ส่วนทางนี้เป็นขนมจากแป้งชนิดอื่นที่ทำขึ้นใหม่ในฤดูใบไม้ผลิเจ้าค่ะ” แม่ครัวยิ้มกว้างเต็มใบหน้า เปิดขนมแต่ละกล่องให้เถิงอวี้อี้มองผ่านตา “คุณหนูลองดูว่าถูกใจท่านหรือไม่”

เถิงอวี้อี้ตรวจดูขนมเหล่านี้อย่างละเอียด ก่อนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เพิ่มขนมแป้งนุ่มโท่วฮวาฉืออีกสองสามกล่องแล้วกัน ครั้งก่อนท่านนักพรตน้อยมาในจวนยังไม่ได้ทำเลย ครั้งนี้จะได้เชิญพวกเขาลองชิมรสชาติแปลกใหม่พอดี”

ใบหน้าอวบอ้วนของเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อแดงก่ำขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ให้พวกเราหมดเลยหรือ นี่…นี่จะเยอะเกินไปแล้ว พวกเรากินไม่ไหวหรอก คุณหนูเถิง ลำบากท่านแล้ว”

เถิงอวี้อี้สั่งให้คนยกกล่องขนมไปส่งที่รถม้าของอารามชิงอวิ๋นโดยไม่ปล่อยให้พวกเขาปฏิเสธได้ “อากาศยังนับว่าเย็นสบาย พอเก็บขนมไว้ได้ พวกท่านเอากลับไปเก็บให้ดี ค่อยๆ กิน ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเลย”

ชี่จื้อกับเจวี๋ยเซิ่งกล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าเขินอาย พอขยับตัวก็มีพู่กันขนกระต่ายสีม่วงด้ามหนึ่งร่วงหล่นมาจากแขนเสื้อชี่จื้อ ด้ามพู่กันเคลือบเงาเป็นมันวาววับ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของชั้นเลิศ

เถิงอวี้อี้ประหลาดใจเล็กน้อย นางก้มตัวลงช่วยชี่จื้อเก็บพู่กันด้ามนั้นขึ้นมา “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่พวกท่านซื้อให้ศิษย์พี่ที่ร้านขายหมึกพู่กันเมื่อวานกระมัง”

ขนกระต่ายชั้นเลิศเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องราคาสิบพวงเงิน เด็กน้อยสองคนนี้กับตนเองประหยัดมัธยัสถ์ แต่เอาใจใส่ศิษย์พี่ของพวกเขามากทีเดียว

ชี่จื้อรีบตอบว่า “ไม่ใช่หรอก เมื่อวานพอเกิดเรื่องนั้นขึ้นมาพวกเรายังไม่ทันเลือกของขวัญ นี่เป็นของที่คุณหนูสามหลี่มอบให้พวกเราต่างหาก”

เถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันหันไปสบตากัน “หลี่ไหวกู้?”

เจวี๋ยเซิ่งที่อยู่ข้างๆ จึงเล่าให้ฟังว่า “เมื่อวานคุณหนูคุณชายน้อยกลุ่มนั้นตกใจเสียขวัญแทบแย่ ตอนนั้นท้องฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว พวกเราจึงถือโอกาสไปส่งพวกเขาแยกย้ายกลับจวน คุณหนูสามหลี่ผู้นี้จวนอยู่ไกลที่สุด หลังแวะส่งคนมาตลอดทางบนรถม้าก็เหลือเพียงนางผู้เดียวแล้ว คุณหนูสามหลี่คุยเล่นกับพวกเรา บอกว่าหลังเจอผีครั้งหนึ่งที่เขตอวี้ซู่ชวน ตอนกลางคืนก็นอนหลับไม่ค่อยสนิท ถามพวกเราว่ามีวิธีอะไรดีๆ บ้างหรือไม่ ข้ากับชี่จื้อจึงเอายันต์ที่พกติดตัวให้นางไปทั้งหมด คุณหนูสามหลี่ซาบซึ้งใจมาก นางรู้ว่ายันต์ในอารามพวกเราเป็นของล้ำค่า ไม่กล้ารับมาเปล่าๆ จึงนำพู่กันสองด้ามที่ซื้อจากร้านขายหมึกพู่กันบังคับให้พวกเรารับไป พอเห็นพวกเราไม่รับ ก็บอกว่าถือเป็นค่าธูปเทียนแสดงความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอาราม”

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้เจวี๋ยเซิ่งก็เผยรอยยิ้ม “ปกติท่านอาจารย์ตาเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาแต่ไหนไร ตั้งกฎเอาไว้นานแล้วว่าหากผู้บริจาคคนใดเป็นฝ่ายมอบค่าธูปเทียนให้เองจะไม่เคยปฏิเสธ พวกเราเห็นคุณหนูหลี่ดูเป็นคนดี ที่สำคัญไม่ใช่ของล้ำค่าอะไรถึงเพียงนั้นจึงรับเอาไว้ แต่ตอนเช้าชี่จื้อกับข้าปรึกษากันแล้ว บอกว่าพู่กันนี้เอามาจุดธูปบูชาไม่ได้ หรือเก็บเอาไว้ใช้ส่วนตัวก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น จึงถือโอกาสที่วันนี้ออกมาข้างนอก ไม่สู้แวะเอาไปคืนดีกว่า หากคุณหนูสามหลี่รู้สึกว่ารับยันต์ของอารามไปแล้วไม่สบายใจ วันหน้ามาจุดธูปไหว้ด้วยตนเองก็พอแล้ว”

ตู้ถิงหลันกล่าว “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”

เถิงอวี้อี้หลุบสายตาลง จิบน้ำชาคำหนึ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย

ยามนี้เองลุงเฉิงก็เดินเข้ามาในห้องโถงบุปผา “คุณหนู คุณหนูรองอู่ให้คนส่งเทียบเชิญมาขอรับ”

“อู่ฉี่?” เถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันหันไปมองหน้ากัน

ในมือลุงเฉิงมีเทียบเชิญหมึกทองคำทั้งหมดสองใบ เทียบเชิญใบหนึ่งมอบให้เถิงอวี้อี้ เทียบเชิญอีกใบมอบให้ตู้ถิงหลัน

สองสาวพี่น้องเปิดเทียบเชิญอ่านข้อความ ที่แท้หลายวันก่อนดอกท้อในอารามนักพรตหญิงอวี้เจินบานสะพรั่งแล้ว วันนี้อู่ฉี่เชิญพวกนางไปร่วมเดินเล่นรับฤดูใบไม้ผลิและชมดอกไม้ในอาราม

ลุงเฉิงเอ่ยว่า “เมื่อวานคุณหนูเพิ่งออกไป เทียบเชิญนี้ก็ส่งมาถึงพอดี ตอนแรกเมื่อคืนข้าน้อยว่าจะนำมาให้คุณหนู ทว่าคุณหนูคุยกับนายท่านอยู่ในห้องหนังสือจึงเก็บเอาไว้ก่อน”

เถิงอวี้อี้ลังเลเล็กน้อย ตอนกลางวันออกไปชมดอกไม้ไม่มีปัญหาหรอก แต่นางรับปากแล้วว่าวันนี้จะพาเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อไปกินอาหารที่หอซานไห่น่ะสิ

ลุงเฉิงเอ่ยเตือนเสียงนุ่มนวลว่า “คุณหนู อู่หรูอวิ๋นบิดาของคุณหนูรองอู่เพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าผู้ตรวจการ มีอำนาจเสมอมุขมนตรีฝ่ายตรวจสอบ”

เถิงอวี้อี้เข้าใจความหมายของลุงเฉิง อู่หรูอวิ๋นดำรงตำแหน่งเทียบเท่าระดับอัครเสนาบดี บิดาของนางเป็นขุนนางหัวเมืองที่มีบารมีน่าเกรงขามเหนือเขตปกครองแถบหนึ่ง เพื่อมิให้ราชสำนักเกิดความหวาดระแวง สกุลเถิงกับสกุลอู่ที่ผ่านมาไม่เคยคบหาสนิทสนม แต่บุตรหลานสองตระกูลไปมาหาสู่กันบ้างใช่ว่าจะเป็นผลเสียอะไร

ตู้ถิงหลันกล่าวขึ้นมาบ้าง “หลังกลับมาฉางอันเจ้าไม่เคยออกไปผ่อนคลายให้เต็มที่เลย พวกเราสองพี่น้องถือโอกาสนี้ออกไปเที่ยวเล่นก็ดีนะ อย่างมากเพียงปลีกตัวกลับมาเร็วสักหน่อย”

เถิงอวี้อี้มองหน้าเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ ในใจยังคงรู้สึกลังเล

ในตอนนี้เองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อก็ฟังเรื่องราวเข้าใจแล้ว พวกเขารีบบอกเถิงอวี้อี้ว่า “คุณหนูเถิง ท่านออกไปเที่ยวเล่นให้สนุกเถอะ พอดีวันนี้พวกเราก็ต้องไปสะกดรอยตามหลูจ้าวอัน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ค่อยไปกินข้าวด้วยกันอีกก็ได้”

เถิงอวี้อี้จึงจำใจเอ่ยว่า “อย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนเช้าข้าจะตรงไปรับพวกท่านที่อารามชิงอวิ๋นดีหรือไม่”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตอบอย่างร่าเริง “ได้เลย”

เถิงอวี้อี้ส่งเทียบเชิญคืนให้ลุงเฉิงพลางเอ่ย “ตอบกลับว่าพวกเราจะไปตามนัดหมาย”

ลุงเฉิงเพิ่งจะออกไป สาวใช้ตรงทางเดินก็รายงานว่า “คุณชายตู้มาเจ้าค่ะ”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงของนาง ตู้เซ่าถังก็ย่างเท้าเข้ามาในห้องโถงบุปผา

อายุสิบเอ็ดปีเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ตู้เซ่าถังยังมีรูปร่างค่อนข้างผอมบาง เขาสวมเสื้อคลุมยาวคอกลมสีเขียวขจีดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ทอดสายตามองแต่ไกลดูคล้ายกิ่งหลิวบางๆ กระนั้น ยังดีที่สวมหมวกผ้าไว้ หาไม่แล้วคงมีผู้คนเข้าใจผิดว่าเป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งเป็นแน่

ตู้เซ่าถังมองเห็นเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้ออยู่ในห้องโถงบุปผา ก็เผยสีหน้าแปลกใจ “ท่านนักพรตน้อย?”

ตู้ถิงหลันถามอย่างสงสัย “เหตุใดถึงมาที่นี่แต่เช้าเลยเล่า วันนี้ไม่ต้องไปเรียนที่สำนักการศึกษาหรือ”

“ท่านอาจารย์พักวันหยุดขอรับ สองวันนี้ไม่ต้องเข้าห้องเรียน” ตู้เซ่าถังคารวะเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ พอนั่งลงก็เอ่ยว่า “พี่อวี้ เมื่อวานข้า…”

เขาอ้ำอึ้งพลางเหลือบมองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ ลังเลว่าจะพูดออกมาดีหรือไม่

เถิงอวี้อี้รีบเอ่ยว่า “ท่านนักพรตน้อยทั้งสองไม่ใช่คนนอก มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาได้เลย”

ตู้เซ่าถังจึงยอมปริปาก “เมื่อวานข้าอยู่จวนว่างๆ จึงซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ไปเยี่ยมหูจี้เจินที่จวนสกุลหู ข้ายังพาพี่ฮั่วชิวไปด้วย แล้วก็ของสิ่งนี้ที่พี่อวี้ให้ข้าพกติดตัว…”

เขาหยิบพู่กันขนโกร๋นด้ามนั้นของอารามตงหมิงออกมาให้ทุกคนดู

“ทางจวนสกุลหูเห็นว่าข้ามาคนเดียว ครั้งนี้กลับอนุญาตให้ข้าเข้าเรือนชั้นในไปเยี่ยมหูจี้เจินแล้ว แต่ยังไม่ยอมให้ข้าเข้าไปยังห้องชั้นใน บอกเพียงว่าสภาพของหูจี้เจินน่ากลัวเกินไป เกรงว่าข้าจะตกใจเสียขวัญ ข้านั่งอยู่ที่ห้องชั้นนอกสักพัก ลอบคิดในใจว่าระยะนี้หูจี้เจินนอนซมอยู่บนเตียงคงตั้งตารอให้สหายร่วมเรียนที่สนิทสนมกันมาเยี่ยมเยียน หากรู้ว่าข้ามาแล้วไม่แน่อาจจะดีใจมากก็ได้ ข้าจึงพูดกับเขาจากนอกม่านว่า ‘จี้เจิน ข้าเซ่าถังนะ ข้ามาเยี่ยมเจ้าแล้ว เจ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง’ จากนั้นข้าก็ได้ยิน…”

ตู้เซ่าถังน้ำเสียงสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย “ข้าได้ยินเสียงประหลาดร้องตะโกนดังมาจากห้องชั้นใน ‘พวกเจ้าอย่าเข้ามานะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น’ เสียงนั้นแหลมสูงและแหบพร่า ข้าแทบฟังไม่ออกว่านั่นเป็นเสียงของหูจี้เจิน ผ่านไปครู่หนึ่งนายท่านหูกับหูฮูหยินก็ออกมา หูฮูหยินน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ส่วนนายท่านหูก็มีสีหน้าย่ำแย่อย่างมาก ออกมาบอกกับข้าว่า ‘บุตรชายข้าล้มป่วยเสียมารยาทไป หวังว่าคุณชายตู้จะอภัยให้ด้วย’ ข้ามีหรือจะกล้ารั้งอยู่ต่อ จึงรีบกล่าวคำอำลาแล้วขอตัวออกมาเลย”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อยิ่งฟังยิ่งตกใจ เมื่อวานตอนศิษย์พี่เล่าเรื่องของหูจี้เจินให้พวกเขาฟัง บอกเพียงว่าหูจี้เจินจะกลายเป็นสติปัญญาบกพร่องเพราะเสียหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตไป ศิษย์พี่ไปเยี่ยมที่จวนสกุลหูต่อเนื่องหลายครั้งยังไม่เคยได้ยินอะไรจากปากหูจี้เจินสักคำ ไม่คิดว่าคุณชายตู้ไปคราวนี้หูจี้เจินจะมีท่าทีตอบสนองรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ

ทว่าพอลองคิดทบทวนดูก็เข้าใจ หูจี้เจินมิได้รู้จักมักคุ้นกับศิษย์พี่ ทว่าคุณชายตู้กลับเป็นสหายสนิทของหูจี้เจิน ได้ยินเสียงของสหายร่วมเรียนในวันวาน เศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของหูจี้เจินจะกระตุ้นความทรงจำเลือนรางบางอย่างให้ปรากฏขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“ ‘พวกเจ้าอย่าเข้ามานะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น’…” ชี่จื้อเอ่ยทวนซ้ำและครุ่นคิดเกี่ยวกับประโยคนี้ “คุณชายหูตะโกนออกมาเช่นนี้หรือขอรับ”

ตู้เซ่าถังพยักหน้าตอบด้วยความหวาดผวาไม่หาย

เถิงอวี้อี้รู้สึกประหลาดใจระคนสงสัย นางรู้แต่แรกแล้วว่าอาการป่วยของหูจี้เจินน่าแปลกพิกล ดูจากรูปการณ์นี้หูจี้เจินราวกับไปรู้เห็นอะไรเข้าถึงโดนคนลอบทำร้าย

แม้ว่าจะเป็นประโยคสั้นๆ ไม่กี่คำ บางทีอาจช่วยยืนยันได้ว่าก่อนคุณชายหูจะเกิดเรื่องเขารู้ล่วงหน้าว่าตนเองจะมีอันตราย เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ อารามรีบร้อนจึงทำได้เพียงพูดจาเช่นนี้เพื่อปกป้องตนเอง แต่เห็นได้ชัดว่าฝ่ายนั้นไม่ได้ใจอ่อน

“ศิษย์พี่ของพวกท่านตรวจสอบเรื่องนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ” เถิงอวี้อี้หันไปมองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ “ก่อนหูจี้เจินจะเกิดเรื่องเขาไปที่ใด พบเจอใครมาบ้าง ลองสืบดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อมีท่าทีลังเล เมื่อวานขณะที่ศิษย์พี่เล่าเรื่องโรคประหลาดของหูจี้เจินเคยเอ่ยขึ้นมาว่าคุณหนูเถิงตามสืบหลูจ้าวอันมาตลอด แต่ศิษย์พี่บอกให้พวกเขาสะกดรอยตามหลูจ้าวอันเท่านั้น ไม่เคยบอกให้พวกเขาปิดปากเงียบต่อหน้าคุณหนูเถิง

วันนี้คุณชายตู้ก็พบเบาะแสใหม่อีก เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องปิดบังคุณหนูเถิงแล้ว

พวกเขาอธิบายร่องรอยการเดินทางในวันที่หูจี้เจินเกิดเรื่องให้นางฟัง

“วันนั้นคุณชายหูหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนานกว่าหนึ่งชั่วยามเต็ม บังเอิญว่าช่วงนั้นหลูจ้าวอันไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอิงกั๋วกง แต่ก็ไม่มีวิธีพิสูจน์ได้ว่าก่อนคุณชายหูเกิดเรื่องเคยไปหาหลูจ้าวอันหรือไม่”

เถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันหันมาสบตากัน หลูจ้าวอันจะระวังตัวดีเกินไปแล้ว ทั้งที่สืบสาวมาถึงตัวเขาเรียบร้อยกลับยังหาจุดอ่อนที่เป็นหลักฐานแน่นหนาไม่ได้

ตู้เซ่าถังเอ่ยแทรกขึ้นมา “ต่อให้หูจี้เจินไปรู้เห็นอะไรเข้า ก็ไม่ถึงขั้นต้องถูกทำร้ายปานนี้กระมัง หรือว่ายังมีความผิดร้ายแรงยิ่งกว่าการทำร้ายคนฆ่าคนด้วย”

“คิดว่าจะต้องเป็นจุดอ่อนสำคัญอย่างยิ่งยวดแน่” สีหน้าเถิงอวี้อี้ฉายแววใคร่ครวญ “เมื่อใดมีข่าวลือแพร่งพรายออกไป ตัวคนร้ายเองก็จะประสบเภทภัยถึงชีวิต แต่ลงมือฆ่าคนก็สะดุดตาผู้อื่นเกินไปอีก ไม่สู้ทำให้หูจี้เจินกลายเป็นสติปัญญาบกพร่อง มองผิวเผินอาการป่วยจะคล้ายกับอาการเสมหะอุดตันหัวใจ* ไม่อาจตรวจสอบอะไรได้ในเร็ววัน หากไม่ใช่เพราะเฉิงอ๋องซื่อจื่อลอบสะกดรอยตามหลูจ้าวอันมานาน รวมถึงคลางแคลงใจสาเหตุอาการป่วยของหูจี้เจิน เรื่องนี้คงไม่มีหนทางสืบสาวต่อแล้ว”

ตู้เซ่าถังนิ่งงันไปชั่วขณะ แล้วกล่าวด้วยความแค้นเคือง “ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดี หูจี้เจินไม่ใช่คนปากยื่นปากยาวสักหน่อย ถึงเขาจะมองเห็นอะไร ก็ใช่ว่าจะโพนทะนาไปทั่ว คนผู้นั้นไยต้องลงมือโหดเหี้ยมปานนี้”

“หากเขาไปเห็นหลูจ้าวอันฆ่าคนเล่า” จู่ๆ เถิงอวี้อี้ก็เอ่ยขึ้น “คุณชายหูก็จะเก็บเงียบไม่พูดออกไปอย่างนั้นใช่หรือไม่”

ทุกคนพลันสะดุ้งโหยง

ตู้ถิงหลันครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จึงกล่าวอย่างอกสั่นขวัญแขวนว่า “คุณชายหูพูดออกมาว่า ‘พวกเจ้า’ หากนี่เป็นประโยคสุดท้ายที่เขาตะโกนออกมาก่อนจะเกิดเรื่อง คนที่คุณชายหูมองเห็นตอนนั้นจะมีมากกว่าหนึ่งคนหรือไม่”

เจวี๋ยเซิ่งเรียกสติกลับมาได้ “จริงด้วย ไม่อย่างนั้นไม่มีทางพูดว่า ‘พวกเจ้า’ หากหนึ่งในนั้นคือหลูจ้าวอัน แล้วอีกคนเป็นใครกัน”

เถิงอวี้อี้ปรายตามองกลีบดอกมะลิในถ้วยน้ำชา เรื่องนี้น่าสนใจไม่เบา น้ำบ่อนี้ของหลูจ้าวอันดูท่าจะลึกยิ่งกว่าที่นางคาดการณ์เอาไว้เสียอีก การตายของญาติผู้พี่ในชาติก่อน โรคประหลาดของคุณชายหูในชาตินี้ จุดเชื่อมโย่งสลับซับซ้อน หมอกปริศนาบดบัง ยิ่งสืบสาวต่อยิ่งพบเรื่องชวนตระหนกตกใจ หากคุณชายหูถูกหลูจ้าวอันทำร้ายจริง แล้วคนที่อยู่กับเขาในตอนนั้นเป็นใครกันเล่า เหตุการณ์ที่คุณชายหูพบเจอเข้าจนทำให้คนเกิดความคิดชั่วแล่นหมายสังหารทันทีจะต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน

“ต้องรีบบอกให้ศิษย์พี่ของพวกท่านรู้” เถิงอวี้อี้วางถ้วยน้ำชาลงแล้วกล่าวขึ้น “เซ่าถัง เจ้าก็ไปด้วย เรื่องนี้มีความสำคัญใหญ่หลวง เจ้าต้องเล่าสิ่งที่พบเห็นในจวนสกุลหูเมื่อวานนี้ให้ลิ่นเฉิงโย่วฟังอย่างไม่มีตกหล่น”

ชี่จื้อรู้สึกสองจิตสองใจ “แต่วันนี้ศิษย์พี่ยุ่งอยู่กับการสืบคดีสตรีที่ตั้งครรภ์สองสามคดีนั้น พวกเราไม่แน่ว่าจะได้พบหน้าเขาหรือไม่น่ะสิ”

“อย่างนั้นก็รออยู่นอกศาลต้าหลี่” เถิงอวี้อี้ขบคิดในใจ จะปล่อยให้หลูจ้าวอันรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าตู้เซ่าถังกำลังสืบเรื่องของเขาอยู่ ดังนั้นนางจึงบอกกับตู้เซ่าถังว่า “ข้าจะให้ลุงเฉิงแปลงโฉมให้เจ้าก่อน ฮั่วชิวก็ด้วยนะ”

เรื่องนี้มัวรอช้าไม่ได้ สามพี่น้องกลับไปที่เรือนชั้นใน ลุงเฉิงหยิบหนวดปลอมหลายชิ้นจากคลังเก็บของมาช่วยตู้เซ่าถังแปลงโฉม เขามีความเชี่ยวชาญวิชาแขนงนี้มาแต่เดิม เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยชาก็เปลี่ยนแปลงใบหน้าของตู้เซ่าถังไปได้แล้ว

หลังจัดการเสร็จเรียบร้อยเถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันก็เดินวนเวียนรอบตู้เซ่าถัง ก่อนส่งเสียงจิ๊จ๊ะชื่นชมอย่างอัศจรรย์ใจ ตู้เซ่าถังเองก็ตกตะลึงตาค้างเช่นกัน ฝีมือของลุงเฉิงเรียกได้ว่าแนบเนียนไร้ที่ติ คราวนี้เกรงว่าต่อให้มารดาอยู่ในที่นี้ก็คงจำเขาไม่ได้แล้ว

ฮั่วชิวมีความรู้วิชาแปลงโฉมเช่นกัน เมื่อพวกเถิงอวี้อี้สามคนเดินออกมา เขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองเสร็จเรียบร้อย

พวกเขาไปรวมตัวกับเจวี๋ยเซิ่งและชี่จื้อที่ห้องโถงบุปผา แล้วมุ่งหน้าออกจากจวนไปพร้อมกัน

ตอนกำลังเดินไปเถิงอวี้อี้สั่งกำชับตู้เซ่าถัง “ต่อหน้าคนอื่นบอกว่าตนเองแซ่ถังก็พอแล้ว”

ตู้เซ่าถังพยักหน้ารับรู้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีส่วนร่วมกับ ‘เรื่องใหญ่โต’ ถึงเพียงนี้ ในใจบอกไม่ถูกว่ากำลังตื่นเต้นหรือหวาดกลัว เพราะก้าวเดินฉับๆ รวดเร็วไป จนเกือบจะสะดุดเท้าหกล้ม

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบเข้ามาพยุงตู้เซ่าถัง “คุณชาย…คุณชายถัง”

เถิงอวี้อี้ดึงตัวตู้เซ่าถังหลบออกมา ก่อนลดเสียงลงเอ่ยว่า “แค่ไปศาลต้าหลี่สักครั้งหนึ่ง ไยต้องลนลานถึงเพียงนี้ จำเอาไว้ เจ้าเป็นบุรุษ อยู่ข้างนอกไม่ว่าพบเจอเรื่องใดจะต้องไม่ตื่นตกใจจนผิดพลาดเสียเอง”

ตู้เซ่าถังมองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อที่อยู่ห่างไปไม่ไกลอย่างละอายใจ นักพรตน้อยสองคนนี้อายุน้อยกว่าเขาสองสามปีกลับยืนหยัดเผชิญหน้าเพียงลำพังได้แล้ว

พี่อวี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย…

เขารีบจัดหมวกผ้าบนศีรษะให้เข้าที่ “พี่อวี้วางใจได้ ข้ารู้ว่าจะต้องทำเช่นไร”

เถิงอวี้อี้ทำหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย มองเขาประเดี๋ยวหนึ่งถึงได้พยักหน้าตอบรับ

ก่อนก้าวออกจากประตูจวนตู้ถิงหลันยังสั่งกำชับน้องชายอีกหลายเรื่อง ส่วนเถิงอวี้อี้มองดูบ่าวไพร่ยกกล่องขนมที่นางเตรียมไว้ขึ้นรถม้าอารามชิงอวิ๋นไปทีละกล่อง ตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่ได้ตกหล่นกล่องใดไปถึงได้วางใจ

ตู้เซ่าถังกับเจวี๋ยเซิ่งและชี่จื้อเดินทางไปด้วยกัน ส่วนเถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันนั่งรถม้าคันเดียวกัน

ระหว่างทางเมื่อรถม้าวิ่งผ่านจวนหลังหนึ่งเถิงอวี้อี้ได้ยินข้างนอกเสียงดังเอะอะ จึงมองลอดผ้าม่านรถออกไป ก็เห็นพลเฝ้าระวังกลุ่มหนึ่งเคาะประตูจวนหลังนั้น หัวหน้าพลเฝ้าระวังกลุ่มนี้สอบถามบ่าวไพร่ที่มาเปิดประตูว่า “ในจวนมีสตรีตั้งครรภ์หรือไม่ ไม่จำกัดว่าเป็นเจ้านายเท่านั้น บ่าวหญิงระดับล่างก็ต้องรายงานมา เรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวง หากกล้าปิดบังเจ้าหน้าที่ทางการจะต้องรับโทษสถานหนัก!”

บ่าวเฝ้าประตูแตกตื่นตกใจ ตอบอย่างร้อนรนว่า “ฮูหยินบ้านข้าน้อยไม่ได้ตั้งครรภ์ ขอเชิญใต้เท้าทั้งหลายรอสักครู่ ข้าน้อยจะเข้าไปสอบถามดูว่ามีผู้ดูแลหญิงคนใดตั้งครรภ์บ้าง”

เถิงอวี้อี้เอ่ยขึ้นอย่างฉงนใจ “พวกเขากำลังตรวจสอบสตรีตั้งครรภ์ที่อยู่ในฉางอันตอนนี้น่ะหรือ”

ตู้ถิงหลันนิ่งอึ้ง “กลัวว่าคนร้ายจะลงมืออีกใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงคิดจะป้องกันเอาไว้ล่วงหน้า? เวลานี้ฉางอันสงบสุขรุ่งเรือง อย่างน้อยมีผู้คนอาศัยอยู่มากมายหลายแสนคน ตรวจสอบไปทีละบ้านทีละจวนอย่างนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องตรวจสอบไปถึงเมื่อใดกัน”

เถิงอวี้อี้คิดทบทวน ลองเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจจะตรวจสอบไม่ไหว ทว่าหากเป็นความคิดของลิ่นเฉิงโย่วก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว ลิ่นเฉิงโย่วกราบทูลความถึงพระเนตรพระกรรณฮ่องเต้โดยตรงได้ นายอำเภอเมืองฉางอันกับนายอำเภอวั่นเหนียนสองแห่งต้องคิดถึงอนาคตอันสดใสของตนเอง ไม่กล้าปฏิเสธคำสั่งของเขาอยู่แล้ว แม้ราษฎรในเมืองฉางอันมีจำนวนมาก ทว่าครัวเรือนกลับมีจำนวนจำกัด ขอเพียงระดมกำลังคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อตรวจสอบทั่วทั้งเมือง ภายในไม่กี่วันก็สามารถสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างได้แล้ว

ถึงแม้จะคิดได้เช่นนี้แต่นางก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี อีกฝ่ายเพียรพยายามอย่างหนักเพื่อวางแผนใส่ร้ายจวงมู่ มาวันนี้จวงมู่ถูกจับกุมแล้ว เหตุใดลิ่นเฉิงโย่วถึงไม่ใช้แผนซ้อนแผนเล่า

ศาลต้าหลี่

เหยียนว่านชุนเดินออกมาจากห้องเก็บศพแล้วเข้าไปคุยกับลิ่นเฉิงโย่ว “ชายกระโปรงของซูลี่เหนียงกับไป๋ซื่อไม่มีส่วนฉีกขาด เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นคนร้ายไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะใช้ชายกระโปรงมาห่อทารก แต่พอมาถึงคราวของเสี่ยวเจียงซื่อฮูหยินของหรงอันป๋อซื่อจื่อกลับทำอย่างนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าต้องการโยนความผิดให้จวงมู่ ซื่อจื่อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดถึงไม่ประกาศออกไปเลยว่าจับกุมคนร้ายได้แล้ว พอคนร้ายได้ยินว่าพวกเรา ‘หลงกล’ ไม่แน่อาจเผยพิรุธออกมาเร็วกว่าเดิมก็ได้”

ลิ่นเฉิงโย่วมองต้นสนในลานกว้างด้วยสีหน้าครุ่นคิด ผ่านไปชั่วครู่ถึงเอ่ยตอบ “เมื่อคืนข้าหาตำราเกี่ยวกับกลอุบายและภูตผีปีศาจที่ขโมยทารกในครรภ์จากอารามเต๋าหลายแห่งมาอ่านแล้ว หากทำลงไปเพื่อสร้างทารกเดือนดับขึ้นมาจริง คนร้ายไม่มีทางหยุดอยู่เพียงการขโมยทารกรายที่สาม เมื่อใดก่อคดีขึ้นมาอีก การโยนความผิดให้จวงมู่ของคนร้ายก็จะไม่มีความหมายแล้ว คนร้ายฝีมือช่ำชองระดับนี้จะทำเรื่องที่ไม่มีความหมายอะไรไปด้วยเหตุใดกัน ข้ากำลังคิดว่าคนร้ายขุดหลุมพรางตั้งมากถึงเพียงนี้ให้จวงมู่ตกลงไป เพียงเพื่อทำให้ตนเองหลุดพ้นจากข้อสงสัยเท่านั้นหรือ จะมีความหมายลึกซึ้งอื่นแฝงอยู่หรือไม่”

เหยียนว่านชุนตะลึงงัน “นอกจากโยนความผิดให้แล้ว ยังจะทำลงไปเพื่ออะไรอีก”

“ข่มขู่? ตักเตือน?” ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยออกมาอย่างใคร่ครวญพลางเดินลงบันได

เหยียนว่านชุนยิ่งงุนงงสับสน “จวงมู่ก็ถูกจับได้แล้ว คราวนี้การ ‘ข่มขู่’ กับ ‘ตักเตือน’ จะทำไปให้ใครดูเล่า”

“หากยังมีคนอยู่เบื้องหลังจวงมู่เล่า…” ลิ่นเฉิงโย่วกล่าว “เป้าหมายคนร้ายไม่ได้อยู่ที่จวงมู่ กลับพุ่งเป้าไปหาคนที่อยู่เบื้องหลังของจวงมู่ผู้นั้นต่างหาก ข้าเคยถามอาจั้นเถ้าแก่ร้านตีเหล็กโหยวหมี่กุ้ยแล้ว จวงมู่ทำงานทุกเดือนได้เงินห้าร้อยเฉียนเท่านั้น แต่จวงมู่ไม่ใช่เพียงไปดื่มสุราที่ร้านเป็นปกติ ยังเอาเงินไปลงที่บ่อนพนันบ่อยๆ ด้วย แล้วเงินน้อยนิดเพียงห้าร้อยเฉียนจะพอให้เขาผลาญเป็นว่าเล่นได้อย่างไร ก่อนหน้านี้จู่ๆ เขาไปจากฉางอันหนึ่งเดือน ค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางมาจากที่ใดเล่า เห็นได้ชัดเลยว่าร้านตีเหล็กเป็นการหาเลี้ยงชีพบังหน้า เบื้องหลังของเขาจะต้องมีเจ้านายคนอื่นให้รับใช้อีกแน่”

“เรื่องนี้ข้าก็คลางแคลงใจมานานแล้ว” เหยียนว่านชุนชะงักไปชั่วขณะ “จริงสิ ซื่อจื่อตรวจสอบแล้วใช่หรือไม่ว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้จวงมู่ไม่ได้อยู่ในฉางอัน”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ย “เมื่อวานหลังคุณชายหวังพูดเรื่องนี้ข้าก็สั่งคนไปตรวจสอบแล้ว จวงมู่ออกจากฉางอันไปตั้งแต่วันที่หนึ่งเดือนสามจริงๆ ที่สำคัญออกไปแล้วก็เช่าม้าที่จุดพักม้านอกเมืองตัวหนึ่ง ดูท่าคงจะใช้เพื่อเดินทางไกล ถงโจวกับฉางอันห่างกันไม่ไกลเท่าไร หากจวงมู่ควบม้าเร่งเดินทางจะถึงถงโจวทันภายในวันที่ห้าเดือนสามแน่ แต่สรุปว่าเขาไปก่อคดีหรือว่าไปเพื่อการอื่น เรื่องนั้นคงไม่มีใครรู้ได้ คนอย่างเขาหากจะปลอม ‘หนังสือผ่านด่าน’ ตบตาไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ประจวบเหมาะว่าสองคดีต่อมาจวงมู่ปรากฏตัวอยู่แถวนั้นหมด ดูจากร่องรอยมากมายที่มีอยู่ในที่นั้นคนร้ายจงใจหลอกล่อจวงมู่ไปยังสถานที่เกิดเหตุ แต่ลองเปลี่ยนมามองอีกมุมหนึ่ง หากเป็นเพราะจวงมู่กำลังสืบว่าคนร้ายตัวจริงเป็นใคร ดังนั้นถึงได้ตามหลังคนร้ายมาถึงที่เกิดเหตุหลายต่อหลายครั้งเล่า”

เหยียนว่านชุนอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง “ท่านกำลังจะบอกว่าจวงมู่กำลังสะกดรอยตามคนร้าย?”

ลิ่นเฉิงโย่วลูบปลายคาง “ข้าลองคาดเดาดูก่อนเท่านั้น คนร้ายตัวจริงฆ่าคนเพื่อขโมยทารกในครรภ์ ส่วนจวงมู่ทำเพื่อสืบหาคนร้ายตัวจริง คนร้ายสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของจวงมู่ จึงฉวยโอกาสใช้แผนซ้อนแผน สลัดความผิดให้จวงมู่ไปเสียเลย”

“ประเดี๋ยวก่อน…ประเดี๋ยวก่อนนะ…” เหยียนว่านชุนพยายามจัดระเบียบความคิดของตนเอง “อย่าเพิ่งพูดว่าคนร้ายตัวจริงวางกับดักได้อย่างไร จวงมู่เป็นเพียงอันธพาลผู้หนึ่งในตลาดตะวันตก จะรู้ล่วงหน้าได้อย่างไรว่าคนร้ายตัวจริงจะก่อคดี”

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วลังเลเล็กน้อย “ก่อนอื่นเขาอาจไม่รู้ว่าคนร้ายตัวจริงหน้าตาเป็นเช่นไร แล้วก็อาจไม่รู้ด้วยว่าคนร้ายตัวจริงกำลังทำอะไรอยู่ บางทีเขาเพียงรับคำสั่งจากใครให้ไปสืบเรื่องนี้ หรือไม่คงไปตามหาของอะไรบางอย่าง…มิหนำซ้ำวันเวลาที่เขาเริ่มลงมือสืบอาจเป็นช่วงก่อนเกิดคดีฆาตกรรมที่ถงโจวก็ได้”

“ในเมื่อคนร้ายพบว่าจวงมู่ถึงกับตามสืบเรื่องของตนเองอยู่ เหตุใดถึงไม่ฆ่าปิดปากเขาไปเลยเล่า วางกับดักเช่นนี้ไม่กลัวว่าจวงมู่จะสารภาพสิ่งที่พบเห็นจากการสะกดรอยช่วงหลายวันมานี้ให้ศาลต้าหลี่รู้จนหมดเปลือกหรือ”

ลิ่นเฉิงโย่วขบคิดแล้วเอ่ยว่า “คนร้ายตัวจริงกล้าทำถึงเพียงนี้ ย่อมมั่นใจว่าไม่มีจุดอ่อนอะไรตกอยู่ในกำมือจวงมู่ แต่ขอเพียงจวงมู่ถูกจับกุม พวกเราก็จะเริ่มสืบจากจวงมู่แล้วสาวไปถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง เช่นนี้คนร้ายตัวจริงไม่ต้องสิ้นเปลืองกำลังคนของตนเอง ก็สามารถยืมมือของศาลต้าหลี่ลากตัวคนที่อยู่เบื้องหลังจวงมู่ออกมาได้”

“ซื่อจื่อหมายความว่า…”

ลิ่นเฉิงโย่วคลี่ยิ้ม “คนร้ายตัวจริงก็อยากรู้มากว่าคนผู้นั้นที่อยู่เบื้องหลังจวงมู่คือใคร”

เหยียนว่านชุนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ พอเห็นลิ่นเฉิงโย่วจะเดินออกไปแล้ว เขาก็รีบเดินตามหลังอีกฝ่าย “ข้าเข้าใจแล้ว คดีนี้เกี่ยวพันกับคนสองกลุ่ม คนกลุ่มแรกคือคนร้ายตัวจริง ส่วนคนอีกกลุ่มคือจวงมู่กับคนที่อยู่เบื้องหลัง เมื่อวานจวงมู่ถูกจับกุมคาหนังคาเขากลับบอกเบาะแสของทารกในครรภ์ไม่ได้ ศาลต้าหลี่จะสืบต่อไปเพื่อให้ได้หลักฐานการกระทำความผิดที่สมบูรณ์ จนกว่าจะสืบรู้ตัวตนของจวงมู่กระจ่างชัด…กลยุทธ์ยืมดาบฆ่าคนใช้ได้ชำนิชำนาญทีเดียว”

“นี่เป็นการคิดคำนวณมาดีพอแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเยาะ “เพียงแต่คนร้ายตัวจริงไม่คิดว่าเมื่อวานคุณชายหวังจะบุกเข้าไปในห้องปลีกวิเวก ตอนนั้นเขาดักซุ่มอยู่ในห้องประเดี๋ยวหนึ่งก็หนีออกไป คงลังเลว่าจะจู่โจมคุณชายหวังดีหรือไม่ หากอยู่ต่อเพื่อจู่โจมคุณชายหวัง ก็จะไม่มีเวลามากพอไปโยนความผิดให้จวงมู่ สองจิตสองใจ สุดท้ายทำได้เพียงรีบร้อนหนีออกไป ตอนนั้นในห้องปลีกวิเวกมืดทึบ คนร้ายมั่นใจในวิชาแปลงโฉมกับการแต่งกายของตนเองมาก เขามั่นใจว่าคุณชายหวังมองไม่ออกว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเขากับจวงมู่มีส่วนใดไม่เหมือนกัน แต่คาดไม่ถึงว่าคุณชายหวังจะมีความรู้เรื่องเครื่องหอมมากพอสมควร ดมกลิ่นจนรู้ว่ามี ‘อวลกลิ่นธารสวรรค์’ อันหาได้ยากปะปนอยู่ในห้องที่เกิดเหตุ อีกทั้งยังมีความละเอียดรอบคอบ สังเกตเห็นว่าบนชุดเขามีรอยขาดเป็นรูโหว่ เมื่อมีข้อพิรุธตรงจุดนี้แล้วพวกเราถึงรู้ว่าจวงมู่ไม่ใช่คนร้ายตัวจริง”

เหยียนว่านชุนพยักหน้าด้วยความเข้าใจทันที “มิน่าเล่าเมื่อคืนพอซื่อจื่อกลับมา ก็สั่งคนให้กระจายกำลังออกตรวจสอบสตรีตั้งครรภ์ในเมืองหลวง คดีประหลาดสองสามคดีนี้เป็นที่โจษจันไปทั่วเมืองแล้ว สตรีที่กำลังตั้งครรภ์พวกนั้นหวั่นเกรงว่าตนเองตกอยู่ในอันตราย ทางการทำเช่นนี้ทั้งสามารถปลอบใจชาวบ้าน ทั้งสามารถบอกคนร้ายตัวจริงว่าศาลต้าหลี่ไม่ได้หลงกลเขา คนร้ายรู้ว่ากับดักที่ตนเองทุ่มเทวางแผนแทบตายมีคนจับได้ไล่ทัน แผนการที่เหลือต่อจากนี้ก็พลอยวุ่นวายไปด้วย พอวุ่นวายแล้วย่อมเกิดความผิดพลาดได้ง่าย”

ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มบางๆ ใช่แล้ว ข้าจงใจเพิ่มความยุ่งยากให้คนร้ายตัวจริง

คนที่อยู่เบื้องหลังจวงมู่ล่วงรู้ว่าจวงมู่ถูกจับกุม ไม่นานก็จะเข้าใจว่าเป็นกับดักที่คนร้ายตัวจริงวางไว้ ในเมื่อคนผู้นี้ใช้งานยอดฝีมืออย่างจวงมู่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ตอบโต้กลับ คนผู้นี้อยู่ในที่ลับ คนร้ายตัวจริงอยู่ในที่แจ้ง คนร้ายตัวจริงทั้งเตรียมป้องกันการไล่ตามตรวจสอบจากทางการ ทั้งต้องระวังคนเบื้องหลังจวงมู่จะจัดการตนเอง ในขณะเดียวกันยังต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจรวบรวมทารกเดือนดับ จะว่าไปแล้วคงยุ่งยากน่าดูชม คนเราพอยุ่งจนหัวหมุนก็จะเผยช่องโหว่ออกมาอย่างง่ายดาย พวกเราจะคอยสังเกตการณ์ไปเงียบๆ แล้วกัน

“พี่เหยียน พวกเราไปสอบสวนจวงมู่กันก่อนเถอะ” ลิ่นเฉิงโย่วสาวเท้าเดินไปทางคุกหลวง

เหยียนว่านชุนถอนหายใจ “เมื่อคืนมัวแต่ยุ่งกับการตรวจสอบเรื่องสตรีตั้งครรภ์ในเมือง จึงไม่มีเวลามาสอบสวนจวงมู่ เดิมทีนึกว่าปล่อยเขาทิ้งเอาไว้คืนหนึ่งจะต้องมีเรื่องสารภาพมากมายแน่ แต่เมื่อเช้าข้าไปสอบสวนเขาดู คนผู้นี้ริมฝีปากอย่างกับแผ่นเหล็กแข็งๆ ยังไม่ยอมเปิดปากสักที”

ภายในคุกใต้ดิน จวงมู่นั่งหลับตาอยู่ในกรงขัง

นอกกรงขังมีเครื่องพันธนาการซ้อนทับหลายชั้น แท่งเหล็กสีเข้มสะท้อนประกายแข็งกระด้างดั่งก้อนหิน นี่เป็นกรงเหล็กชนิดพิเศษที่ศาลต้าหลี่ใช้คุมขังนักโทษคดีร้ายแรงโดยเฉพาะ ชิ้นส่วนกลไกแต่ละชิ้นล้วนเป็นผลงานที่เหล่าช่างฝีมือนับร้อยทุ่มเทสร้างขึ้นมา คนที่ถูกขังอยู่ในกรงต่อให้มีพละกำลังมหาศาล ก็อย่าคิดว่าจะหลบหนีไปได้

จวงมู่ถูกมัดอย่างแน่นหนา ในปากยังมีเศษผ้าอุดไว้ ยกเว้นดวงตาคู่หนึ่งที่ยังกลอกไปมาอย่างอิสระ เขาไม่มีส่วนใดบนร่างกายที่ขยับเขยื้อนได้แล้ว

นอกจากนี้นอกกรงเหล็กยังมีเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่สี่คนโอบล้อมอยู่

เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่จับกลุ่มคุยเรื่องสัพเพเหระ เหลือบมองจวงมู่ที่อยู่ในกรงเหล็กเป็นครั้งคราว เตรียมพร้อมไว้ทุกด้านถึงเพียงนี้ไม่ใช่กลัวว่าจวงมู่จะหลบหนี แต่ป้องกันเขาฆ่าตัวตายด้วยสารพัดวิธีแปลกประหลาดต่างหาก

จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากนอกประตูเดินเข้ามาใกล้ พอประตูเปิดออกก็มีกลิ่นหอมเบาบางลอยเข้ามาในห้อง เหล่าเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ชะโงกหน้ามอง ก็เห็นลิ่นเฉิงโย่วกับเหยียนว่านชุนเข้ามาพร้อมเจ้าหน้าที่อาวุโสผู้หนึ่ง

เจ้าหน้าที่อาวุโสยกถาดใบหนึ่งซึ่งวางน้ำแกงป๋อทัวที่มีควันร้อนลอยฉุยไว้ห้าชาม รวมถึงอาหารอีกหลายอย่าง ทั้งขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ เกี๊ยวนึ่ง แต่ละจานล้วนสิ่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย

เจ้าหน้าที่อาวุโสร้องเรียกเจ้าหน้าที่สี่คนนั้นอย่างกระตือรือร้น “ทุกคนมากินอาหารเช้าเถอะ ไม่ต้องขอบคุณข้า อาหารเช้านี้เจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่นเป็นคนเลี้ยงเอง”

เจ้าหน้าที่เหล่านั้นส่งเสียงฮือฮา ยื้อแย่งกันเข้ามานั่งที่โต๊ะ ยังไม่ลืมเอ่ยปากถาม “เจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่น เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียน พวกท่านไม่กินด้วยหรือ”

เหยียนว่านชุนยิ้มแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนเดินมาที่โต๊ะสำหรับจดบันทึกคำสารภาพของนักโทษ ตลบชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลง

ลิ่นเฉิงโย่วกลับเดินมาถึงหน้ากรงเหล็ก ย่อตัวลงมองหน้าจวงมู่ “หิวแล้วสิ?”

กลิ่นหอมลอยอวลเข้าไปในโพรงจมูกเป็นระลอก ลองเปลี่ยนเป็นผู้ใดก็น้ำลายสอทั้งนั้น การควบคุมตนเองของคนเรามักจะอ่อนแอที่สุดยามหิวโหย แต่เห็นได้ชัดว่าจวงมู่ผ่านการเคี่ยวกรำมาอย่างโชกโชน ประหนึ่งภิกษุผู้ชราภาพเข้าสู่สมาธิ ไม่แสดงท่าทีตอบสนองต่อคำพูดของลิ่นเฉิงโย่วแม้แต่น้อย

“ไม่ได้กินอะไรมาวันหนึ่งแล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไปจะทนไม่ไหวได้นะ” ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยยิ้มๆ “ไม่อย่างนั้นเอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าทิ้งอาหารเช้าเอาไว้ให้เจ้าชุดหนึ่ง เอาไว้พวกเราคุยกันจบแล้วข้าจะส่งอาหารเข้าไปให้เจ้าเลย”

จวงมู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ประกายในดวงตาฉายแววเสียดสีและหยามหยัน

ลิ่นเฉิงโย่วร้องอุทานคำหนึ่ง “ข้ารู้แล้ว เจ้าไม่กลัวอด และยิ่งไม่กลัวตาย”

ไม่ทันรอให้จวงมู่แสดงอาการตอบสนอง ลิ่นเฉิงโย่วกลับหัวเราะขึ้นเบาๆ

“ตอนแรกก็เลอะเลือนแบกหม้อดำแทนคนอื่น ยังตามด้วยเลอะเลือนจนอดตายในคุก เจ้าไม่รู้สึกว่าน่าแค้นใจ แต่ข้ากลับแค้นใจแทนเจ้าเสียอย่างอดไม่ได้ หากข้าเป็นเจ้า ต่อให้ตาย ก็ต้องสืบให้รู้ความจริงก่อนว่าใครใส่ร้ายตนเอง”

เสียงพูดประโยคนี้แผ่วเบาจนได้ยินกันเพียงสองคน สีหน้าจวงมู่พลันแข็งทื่อไป ชั่วอึดใจเดียวสายตาประชดประชันเด่นชัดก็มีความตกตะลึงเข้ามาแทนที่

“ใช่ ข้ารู้ว่าเจ้าถูกใส่ร้าย” รอยยิ้มในดวงตาลิ่นเฉิงโย่วยังไม่จางหาย “ตอนนี้นอกจากข้า ไม่มีใครช่วยลบล้างความผิดให้เจ้าได้แล้ว”

แววตาจวงมู่เกิดรอยกระเพื่อมไหวเล็กๆ คล้ายว่ายังคงลังเล แต่ก็เหมือนกำลังคิดไตร่ตรอง ทันใดนั้นราวกับนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงหลับตาลงอีกครั้ง

ลิ่นเฉิงโย่วไม่รีบร้อน เขาเบนสายตาไปทางอื่น มองดูมือที่มีคราบเลือดหลงเหลืออยู่ของจวงมู่ “ให้ข้าลองคาดเดาดูแล้วกัน เมื่อวานเจ้าวิ่งไปถึงกลางตรอกด้านหลังร้านเครื่องหอมคงคิดจะค้นหาอะไรบางอย่าง ผลปรากฏว่าหาของไม่เจอ และคนร้ายขุดหลุมพรางไว้รอเจ้าอยู่แต่แรก ก่อนหน้านี้เจ้าถ่อไปถงโจว ก็เพราะได้รับการว่าจ้างไปจัดการธุระ กลับไม่รู้ว่าตอนนั้นคนร้ายตัวจริงก็วางแผนจะจัดการเจ้าด้วย”

จวงมู่เบิกตาโพลงทันควัน เทียบกับช่วงก่อนหน้าที่มีท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง คราวนี้สายตาซับซ้อนกว่าเดิมไม่น้อย เขามองลิ่นเฉิงโย่วอย่างตะลึงงัน ราวกับเริ่มต้นประเมินเด็กหนุ่มตรงหน้าเสียใหม่

“ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง” ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าถูกอีกฝ่ายหลอกจนหัวหมุน แล้วยังต้องแบกความผิดฐานฆ่าคนตายแทนเขา จวงมู่ เจ้ากล้ำกลืนความแค้นครั้งนี้ไม่ลงกระมัง คนร้ายตัวจริงน่ารังเกียจปานนี้ ไม่คิดจะร่วมมือกับข้าสักหน่อยหรือ”

แววตาจวงมู่เป็นประกายวาววับ ทว่าเหม่อลอยไปเพียงครู่เดียว ความลังเลในดวงตาก็มีความหวาดระแวงเข้ามาแทนที่

ลิ่นเฉิงโย่วจ้องหน้าจวงมู่ตาไม่กะพริบ พอเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมา “ใช่แล้ว ข้าสนใจความลับที่ติดตัวเจ้ามามากเชียว แต่เทียบกับเรื่องนี้แล้วตอนนี้ข้าอยากจับกุมคนร้ายตัวจริงให้เร็วที่สุดมากกว่า เจ้าต้องการแก้แค้น ข้าต้องการจับคน พวกเราต่างมีสิ่งที่ต้องการ…ว่าอย่างไร จะร่วมมือกับข้าหรือไม่ คนร้ายตัวจริงใช้อุบายหลอกทั้งศาลต้าหลี่ทั้งเจ้า จวงมู่ พวกเรามาหลอกเขากลับบ้าง เจ้าเห็นว่าเป็นเช่นไร”

 

* เสมหะอุดตันหัวใจ เป็นโรคทางจิตใจที่เกิดจากความหม่นหมองและกลัดกลุ้มใจ มักปรากฏอาการอารมณ์เก็บกดแปรปรวน มีภาวะหลงลืมไม่รู้ตัว มีเสียงเสมหะในลำคอ แน่นหน้าอก เป็นต้น

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: