X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกเร้นชะตา

ทดลองอ่าน หยกเร้นชะตา บทที่ 1.1-1.2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 1.1 การกลับมาของคุณหนู

รัชศกเจี้ยนซิงปีที่ยี่สิบ พ้นวันที่สิบห้ากลิ่นอายวันปีใหม่ก็จางหายไปแล้ว แต่ละเรือนแต่ละครอบครัวต่างสำรวมจิตใจ เริ่มลงมือหาเลี้ยงชีพในปีใหม่ ผู้ที่ทำงานให้ตระกูลใหญ่ก็ต้องเก็บข้าวของกลับเรือนเจ้านายแล้วเช่นกัน

ณ จวนฉางซิงโหว* ดรุณีน้อยนางหนึ่งที่ท่อนบนสวมเสื้อบุสองชั้นสีชมพูดอกท้อลายสมปรารถนา ท่อนล่างใส่กระโปรงจีบสีคราม บนศีรษะเกล้าผมเป็นมวยสองข้างกำลังเปิดม่าน นางเพิ่งจะเล่นสนุกมา บนใบหน้ายังเผยรอยยิ้ม ครั้นมองเห็นผู้มาเยือนรอยยิ้มของนางก็ชะงักค้างไป

แต่ถึงอย่างไรชิวเยี่ยก็เคยใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนในมานาน นางจึงกลบเกลื่อนท่าทีตอบสนองที่แท้จริงได้อย่างรวดเร็ว เชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนเข้ามาด้วยท่าทางกระตือรือร้นและสุภาพอ่อนโยน

“คุณหนูห้า วันนี้ท่านมาเสียเช้า ด้านนอกอากาศหนาว รีบเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ!”

ฉู่จิ่นเหยากลับมิได้ตรงเข้าประตู นางยอบกายให้ชิวเยี่ยอย่างที่ตนเองเคยเห็นแล้วยืดกายขึ้นกล่าวว่า “คารวะพี่ชิวเยี่ย ท่านแม่อยู่ข้างในหรือไม่”

ถึงอย่างไรฉู่จิ่นเหยาก็เป็นคุณหนู ต่อให้ชิวเยี่ยเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายจ้าวซื่อฮูหยินแห่งจวนฉางซิงโหวก็ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ เพียงพยักหน้ากล่าวทักทายสักคำก็เพียงพอแล้ว

แต่ฉู่จิ่นเหยาไม่รู้ ถึงแม้นางจะรู้ก็ไม่รู้อีกว่าควรพยักหน้าเช่นไรและควรกล่าวทักทายเช่นไร สิ่งที่เป็นธรรมชาติอย่างหายใจหรือดื่มน้ำสำหรับคุณหนูเรือนในเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับฉู่จิ่นเหยา

อันที่จริงฉู่จิ่นเหยาควรต้องเป็นคุณหนูสี่ บุตรสาวสายตรงคนที่สองซึ่งเกิดจากจ้าวซื่อผู้เป็นภรรยาเอกในจวนฉางซิงโหว หากแต่ชะตาชีวิตของนางออกจะขรุขระอยู่บ้าง ขณะนางเพิ่งเกิดตรงกับช่วงที่ชาวต๋าต๋า มารุกรานชายแดนพอดี คาดไม่ถึงว่าจ้าวซื่อที่คลอดบุตรสาวอยู่ข้างนอกกลับอุ้มเด็กมาผิด นางอุ้มเอาเด็กอีกคนหนึ่งกลับจวนมาแทนแล้วตั้งชื่อให้ว่าฉู่จิ่นเมี่ยว ฉู่จิ่นเหยาเพิ่งจะถูกนำตัวกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ทว่าฉู่จิ่นเมี่ยวอาศัยอยู่ในจวนโหวมาสิบสามปี ผูกพันลึกซึ้งกับมารดาและหญิงรับใช้ ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ผู้เป็นย่าก็ตัดใจปล่อยให้หลานสาวที่เอ็นดูมาสิบสามปีจากไปไม่ลง จึงตัดสินใจให้คุณหนูทั้งสองอยู่ด้วยกันในจวน ฉู่จิ่นเมี่ยวเป็นคุณหนูสี่ต่อไป ส่วนฉู่จิ่นเหยาก็เป็นคุณหนูห้าตามลำดับอายุที่น้อยกว่าฉู่จิ่นเมี่ยว

ฉู่จิ่นเหยาเติบโตมาในครอบครัวชาวนา ไม่เข้าใจเรื่องมารยาทพิธีรีตองของจวนโหวเหล่านี้โดยสิ้นเชิง นางกลัวผู้อื่นจะหัวเราะเยาะจึงพยายามสังเกตว่าผู้อื่นทำความเคารพและพูดคุยกันอย่างไร จากนั้นก็หัดตามเอาเอง เช่นนี้นางจึงทำผิดพลาดไปมากมายด้วยความไม่รู้ เป็นต้นว่าการทักทายในวันนี้

ชิวเยี่ยรับการคารวะจากฉู่จิ่นเหยาก่อนจะคารวะตอบ จากนั้นก็รีบเชิญฉู่จิ่นเหยาเข้าไปด้านใน ม่านขนเตียว หนาหนักกันลมหนาวได้ดี ในห้องโถงใหญ่ถึงได้อบอุ่นขึ้น มิได้มีไอหนาวกรูเข้ามาเต็มห้องอีก ชิวเยี่ยถอนหายใจก่อนกล่าว

“วันนี้ลมแรงไม่น้อย หากเปิดม่านไว้นานลมพัดถูกพวกบ่าวยังไม่เท่าไร แต่หากทำให้ฮูหยินหนาวจนตัวแข็งจะแย่เอา”

ฉู่จิ่นเหยาคาดไม่ถึงจึงรีบพูดว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าคิดไม่ถึง…”

“คุณหนูห้ามิต้องกล่าวเช่นนี้เจ้าค่ะ ท่านเป็นเจ้านาย ความผิดคับฟ้าล้วนเป็นเพราะบ่าวไพร่ชั้นล่างรับใช้ได้ไม่ดี” พูดจบชิวเยี่ยก็ทำหน้าบึ้งตึง ถลึงตามองคนที่อยู่ด้านหลังฉู่จิ่นเหยา “นางเด็กสองคนนี้ คุณหนูห้าเพิ่งจะกลับมา พวกเจ้าก็เพิ่งกลับมาเช่นกันหรือไร หากยังเอาแต่เลินเล่อเช่นนี้ ระวังเนื้อหนังของพวกเจ้าไว้ให้ดี”

ติงเซียงและซานฉาที่อยู่ด้านหลังฉู่จิ่นเหยารีบออกปากรับผิด ชิวเยี่ยตำหนิอีกหลายคำถึงค่อยกล่าวด้วยสีหน้าที่อ่อนลง

“เอาล่ะ ผิดแล้วแก้ไขได้ก็ดีแล้ว คราวหน้าพวกเจ้าจงระมัดระวัง!”

คราวนี้แม้แต่ฉู่จิ่นเหยาก็ฟังออกว่าพฤติกรรมเมื่อครู่นี้ของตนเองนั้นไม่เหมาะสม ทว่าชิวเยี่ยมิอาจตำหนินางได้จึงไปตำหนิสาวใช้ที่ตามนางมาคารวะยามเช้าแทน

ในใจฉู่จิ่นเหยารู้สึกผิดที่อยู่ดีๆ ก็พลอยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วยอีกครั้ง หากนางทำได้ดีกว่านี้สักนิด จะทำให้ผู้อื่นถูกตำหนิแทนนางได้อย่างไร

อันที่จริงการที่ฉู่จิ่นเหยาคิดเช่นนี้ได้ถูกทางครอบครัวห้ามไว้ ในตระกูลใหญ่เช่นตระกูลโหว คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนล้วนสูงส่งควรค่าแก่การทะนุถนอม หากกระทำความผิดการกักบริเวณและคัดจรรยาสตรีก็เป็นบทลงโทษที่หนักมากแล้ว โทษทัณฑ์ถึงเนื้อหนังจำพวกการโบยล้วนเป็นบ่าวไพร่ที่ต้องรับไว้ ใครใช้ให้ยามเจ้านายเข้าใจผิดไปแล้วตนที่เป็นสาวใช้ไม่ตักเตือนกันเล่า ยิ่งไปกว่านั้นติงเซียงกับซานฉาถูกตำหนิคราวนี้ก็มิได้เป็นการปรักปรำสักนิด ฉู่จิ่นเหยาเพิ่งถูกนำตัวกลับมา นางไม่เข้าใจว่าต้องทำความเคารพและทักทายอย่างไร แต่สาวใช้อย่างพวกติงเซียงก็ไม่เข้าใจเช่นนั้นหรือ ขอเพียงเอ่ยเตือนสักนิดก่อนออกมาก็คงไม่กลายเป็นเช่นนี้ ทว่าติงเซียงเป็นพวกไม่ชอบพูด ตีให้ตายก็ยังทำให้พูดออกมาไม่ได้สักคำ ส่วนซานฉาสายตาล่องลอย ดูก็รู้ว่าใจลอยไปไกล ยิ่งไม่มีทางคิดเรื่องเหล่านี้แทนเจ้านาย

ชิวเยี่ยถอนหายใจ สิ่งที่นางทำได้มีเพียงเท่านี้ การสะกิดเตือนอย่างอ้อมๆ นับว่าเห็นแก่ที่ฉู่จิ่นเหยาถูกขายจากครอบครัวชาวนามายังจวนโหวแล้ว นางเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่ายดี ในใจรู้สึกสงสารฉู่จิ่นเหยาที่เติบโตมาในครอบครัวชาวนาเช่นเดียวกับตน ทว่ามากกว่านั้นนางคงทำอะไรไม่ได้

ในตระกูลใหญ่โตความจริงแล้วก็แล้งน้ำใจเช่นนี้

จางหมัวมัวออกมาจากห้องรองทางทิศตะวันตก ท่าทางไม่พอใจอย่างยิ่ง “เมื่อครู่ใครเปิดม่าน ฮูหยินเพิ่งตื่น บนร่างยังมีเหงื่อ หากฮูหยินเจ็บไข้ได้ป่วยไป พวกเจ้าคนใดจะรับผิดชอบไหว”

ชิวเยี่ยก้มหน้ารับผิดทันควัน ฉู่จิ่นเหยาถูกทำให้ตกใจแล้ว นางรีบเอ่ยปากว่า “ไม่เกี่ยวกับพี่ชิวเยี่ย เป็นข้าเปิดเองตอนเข้ามา”

จางหมัวมัวไม่เคยเห็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์เป็นฝ่ายออกมายอมรับผิดเลยสักครั้ง ปกติมีคุณหนูท่านใดไม่ให้บ่าวรับใช้ข้างกายรับผิดแทนบ้าง ต่อให้ตนเองกระทำความผิดก็ไม่มีทางยอมรับ เพียงหันไปมองก็มีบ่าวรับใช้ก้าวออกมาขอรับโทษแทนแล้ว นับประสาอะไรกับฉู่จิ่นเหยาที่มิได้กระทำความผิดนี้ ครั้นเห็นฉู่จิ่นเหยาพูดเช่นนี้ จางหมัวมัวก็ไม่สะดวกจะบันดาลโทสะ แม้นางจะเป็นสาวใช้ที่ติดตามฮูหยินออกเรือนมาก็ยังคงเป็นบ่าว ไฉนเลยจะสามารถต่อว่าต่อขานเจ้านายได้แม้เพียงคำเดียว

จางหมัวมัวได้แต่เปลี่ยนสีหน้าแล้วเค้นรอยยิ้มกล่าวทันที “ที่แท้เป็นคุณหนูห้ามาเยือน คุณหนูห้ามาคารวะแต่เช้าจริงๆ ฮูหยินกำลังแต่งตัวอยู่ด้านใน รีบเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”

ฉู่จิ่นเหยากล่าวขอบคุณจางหมัวมัวแล้วจึงเดินไปทางห้องรองทางทิศตะวันตกอย่างเบามือเบาเท้า

จางหมัวมัวเบี่ยงตัวให้ฉู่จิ่นเหยาเดินไปก่อน จากนั้นตนเองถึงเดินตามไป นางมองแผ่นหลังของฉู่จิ่นเหยา เห็นว่าอีกฝ่ายจงใจเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา ในใจก็รู้สึกซับซ้อนยิ่ง

ฉู่จิ่นเหยาเป็นคุณหนูสายตรงอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เป็นบุตรสาวที่น่าภาคภูมิใจซึ่งคลานออกมาจากครรภ์ของจ้าวซื่อ จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจระมัดระวังถึงเพียงนี้เสียที่ใด หากเปลี่ยนเป็นคุณหนูสี่ที่เติบโตมาเบื้องหน้าฮูหยินคงเริ่มส่งเสียงพูดคุยตั้งแต่เข้าประตูมา จากนั้นก็วิ่งตึงตังเข้าห้องรอง โถมตัวเข้าคลอเคลียในอ้อมแขนฮูหยินอย่างแน่นอน มีหรือจะสนใจว่าฮูหยินกำลังแต่งตัวอยู่หรือไม่ แต่ครั้นเป็นฉู่จิ่นเหยาบุตรสาวที่แท้จริงของฮูหยิน นางกลับระมัดระวังถึงเพียงนี้

จางหมัวมัวถอนหายใจ ใครจะคิดว่าเรื่องที่แม้แต่ในบทละครก็ยังไม่กล้าเขียนพรรค์นี้ถึงกับเกิดขึ้นในตระกูลมั่งคั่งทรงอำนาจอันดับหนึ่งแห่งเมืองไท่หยวนอย่างจวนฉางซิงโหว

ปลายฤดูใบไม้ร่วงในรัชศกเจี้ยนซิงปีที่สิบเก้าหรือก็คือช่วงเดือนสิบปีที่แล้ว บ่าวหญิงสูงวัยในเรือนจ้าวซื่อฮูหยินแห่งจวนฉางซิงโหวดื่มสุราจนเมามาย เริ่มคุยโวกับบ่าวหญิงในเรือนอื่นด้วยท่าทางมีลับลมคมใน นางอวดตัวว่าเป็นคนเก่าแก่ รู้เรื่องมากมายของฮูหยินดี แม้แต่เรื่องที่คุณหนูสี่ไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของฮูหยินนางก็รู้

บรรดาบ่าวหญิงได้ยินก็รู้ว่าบ่าวหญิงสูงวัยนางนี้กำลังคุยโว คุณหนูสี่เป็นผู้ใด นั่นเป็นถึงคุณหนูคนที่สองที่เกิดจากฮูหยิน เป็นบุตรสาวคนเล็ก ได้รับการทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงไว้กลางฝ่ามือ จะไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ได้อย่างไร หากเป็นในยามปกติพอบ่าวหญิงสูงวัยนางนี้คุยโว ผู้อื่นย่อมถือว่าฟังเอาสนุก ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป แต่วันนั้นผู้ติดตามคนสนิทของท่านโหวเดินผ่านมาได้ยินเข้าพอดี

ผู้ติดตามกลับไปเรียนให้ฉางซิงโหวทราบทันที ฉางซิงโหวได้ฟังก็โมโหอย่างยิ่ง กุข่าวเรื่องเจ้านายเดิมทีก็เป็นโทษมหันต์ แล้วดูเอาเถิดว่าบ่าวหญิงพวกนั้นกำลังปั้นแต่งเรื่องอะไรกัน ฉางซิงโหวสั่งให้คนพาตัวบ่าวหญิงพวกนั้นที่อยู่เรือนในมาแล้วสอบปากคำเอาความด้วยตนเอง บ่าวหญิงสูงวัยนางนั้นเกิดความหวาดกลัวจึงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเล่าเรื่องที่รู้ให้ฉางซิงโหวฟังอย่างหมดเปลือกทันที

เดิมทีฉางซิงโหวไม่เชื่อ แต่พอเห็นว่าบ่าวหญิงสูงวัยเล่าอย่างจริงจังก็เริ่มลังเล สุดท้ายจึงส่งคนของตนเองไปสืบเรื่องนี้เพื่อป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง เป็นการคืนความบริสุทธิ์ให้แก่บุตรสาวของตน ผลคือสืบได้ว่าคุณหนูสี่ผู้ที่เกิดจากภรรยาเอกและได้รับความโปรดปรานที่สุดในจวนโหวอาจเป็นไปได้ว่าจะมิใช่บุตรสาวของเขาจริงๆ

ในปีนั้นขณะที่ฮูหยินท่านโหวจ้าวซื่อตั้งครรภ์ประจวบเหมาะกับช่วงที่ชาวต๋าต๋ามารุกรานชายแดน ศัตรูบุกรุกลงใต้เข้าประชิดเมืองหลวงพอดี เขตปกครองเป่ยจื๋อลี่หวิดจะเกิดเรื่อง ซานซียิ่งประสบภัย พื้นที่หลายแห่งล้วนถูกชาวต๋าต๋าสังหารคนวางเพลิงและปล้นสะดมไปจนหมดสิ้น เมืองไท่หยวนก็มิใช่ข้อยกเว้น จวนฉางซิงโหวเป็นตระกูลมั่งคั่งชื่อดังในเมืองไท่หยวน ย่อมตกเป็นเป้าของคนเถื่อนเหล่านั้น เวลานั้นฉางซิงโหวนำทัพอยู่ข้างนอกมิอาจดูแลจวนโหวได้ ฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายในจวนโหวทำได้เพียงหนีลงใต้กันอย่างลนลาน ยังดีที่เพียงไม่นานฉางซิงโหวก็นำทหารมายึดเมืองไท่หยวนคืนได้ ครอบครัวที่กระจัดกระจายจึงทยอยถูกรับตัวกลับมา ทว่าฮูหยินท่านโหวจ้าวซื่อกำลังตั้งครรภ์ อีกทั้งได้รับความตกใจจึงทนไม่ไหวคลอดระหว่างทางหนีลงใต้

ระหว่างทางหนีภัยนำสิ่งของติดกายไปเท่าที่จำเป็น ชีวิตยังจะเอาไม่รอด ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำคลอด จ้าวซื่อทำได้เพียงพาคนไปขอพักแรมที่เรือนชาวบ้าน ใช้เครื่องประดับทองคำสองสามชิ้นเป็นค่าตอบแทน ในที่สุดก็คลอดบุตรสาวออกมาได้อย่างยากลำบาก

ขณะนั้นที่เรือนหลังนั้นก็มีทารกเพิ่งคลอดเช่นกัน เนื่องด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องหลบอยู่ในเรือน มิได้หนีลงใต้ไปกับคนในหมู่บ้าน หลังจ้าวซื่อคลอดบุตรสาวได้อย่างปลอดภัยก็ได้ฝากให้หญิงชาวบ้านช่วยให้นมอยู่หลายวันกว่าจะพาสาวใช้จากมา ผ่านไปอีกสองสามวันทหารที่มารับจ้าวซื่อกลับจวนก็มาถึง

หลังจ้าวซื่อรอดชีวิตกลับถึงจวนโหวก็ยิ่งรักใคร่บุตรสาวที่ร่วมเป็นร่วมตายกับตนเองคนนี้ แม้แต่คุณหนูใหญ่ก็ยังสู้ไม่ได้ จ้าวซื่อให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวสองคน หากเรียงลำดับตามอายุก็จะเป็นคุณหนูใหญ่ คุณชายรอง และคุณหนูสี่ ขณะหนีภัยคุณหนูใหญ่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าฉู่พาไปด้วยกัน หลังจากจ้าวซื่อพลัดหลงกับคนอื่นข้างกายมีเพียงจางหมัวมัวและคุณหนูสี่บุตรสาวคนเล็ก หลังกลับถึงจวนคุณหนูสี่ได้รับนามว่า ‘เมี่ยว’ และใช้ชื่อตัวแรกว่า ‘จิ่น’ ตามลำดับศักดิ์รุ่นหลาน เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของทั้งสองครอบครัว

ฉางซิงโหวเองก็เอ็นดูบุตรสาวที่ถือกำเนิดอยู่ข้างนอกและเคยพลัดที่นาคาที่อยู่ผู้นี้เป็นอย่างมาก แต่บัดนี้เบาะแสต่างๆ ได้บอกเขาว่าฉู่จิ่นเมี่ยวอาจไม่ใช่บุตรสาวของเขา บุตรสาวที่แท้จริงของเขาถูกครอบครัวชาวนาครอบครัวนั้นลอบสลับตัวในปีที่เกิดจลาจล

ฉางซิงโหวสืบข่าวนี้ได้แล้วก็โกรธมาก ไม่มีกะจิตกะใจจะฉลองปีใหม่ เขาสั่งคนให้สอบสวนบ่าวหญิงสูงวัยที่หลุดปากพูดในวันนั้นอย่างเข้มงวดอีก ต่อมาบ่าวหญิงสูงวัยก็ยอมสารภาพว่านางได้ยินจางซื่อผู้เป็นหมัวมัวที่ติดตามมาตั้งแต่ตระกูลเดิมของฮูหยินพลั้งปากพูดขณะดื่มสุราเป็นเพื่อนอีกฝ่ายเมื่อหลายปีก่อน ยามนั้นจางหมัวมัวก็นึกสงสัย แต่เรื่องเช่นนี้มิอาจพูดส่งเดช นางจึงฝังเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจมาโดยตลอด ภายหลังดื่มสุราจนเมามายถึงได้แพร่งพรายให้บ่าวหญิงสูงวัยผู้นี้ฟัง หลังจากนั้นหลายปีผู้ติดตามคนสนิทของฉางซิงโหวก็บังเอิญมาได้ยินเข้า

ฉางซิงโหวคิดอยู่หลายวันอย่างเงียบๆ มิได้ทำให้จ้าวซื่อรวมถึงฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ผู้เป็นมารดาตกใจ จากนั้นก็สั่งให้คนไปตามหาหมอตำแยในปีนั้น หลังหมอตำแยจากไป ฉางซิงโหวก็นั่งอยู่ในห้องเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไปตามหาเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตนเองกลับมา

เชื้อสายของเขาจะปะปนกับเชื้อสายอื่นมิได้ ถึงแม้จะเป็นเพียงบุตรสาวก็ตามที

บทที่ 1.2 การกลับมาของคุณหนู

ฉางซิงโหวหาข้ออ้างว่าหลังฉลองปีใหม่เสร็จจะออกจากจวน เวลานั้นจ้าวซื่อยังตำหนิเขาว่าเพิ่งจะเดือนหนึ่งแท้ๆ มีเหตุอะไรถึงต้องออกไปข้างนอก ฉางซิงโหวมิได้สนใจ มุ่งเดินทางลงใต้จนหาฉู่จิ่นเหยาพบในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณชายแดนทางใต้ของซานซี

ขณะนั้นฉู่จิ่นเหยาถูกเรียกขานว่า ‘ซูเหยา’

วันนั้นซูเหยาตื่นแต่เช้าออกไปเก็บฟืนตามปกติ ยามนางแบกตะกร้าฟืนกลับมาได้หันกลับไปมองเพราะคล้ายรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็เห็นว่าในที่ไม่ไกลมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ ท่าทางน่าเกรงขาม มีกลิ่นอายสูงศักดิ์อยู่ทั่วกาย กำลังจ้องนางอย่างเงียบๆ

‘ท่านลุงมาหาใครหรือเจ้าคะ’

ฉางซิงโหวไม่พูดไม่จา เขาจ้องอีกฝ่ายนิ่งอยู่นานก่อนจะแหงนหน้าถอนหายใจยาว

แม่นางน้อยตรงหน้ามีอายุราวสิบสามปี เนื่องจากทำไร่ทำนามาตลอดทั้งปีร่างกายจึงมีกล้ามเนื้อมากกว่าคุณหนูในจวนฉางซิงโหว ทว่ากลับผ่ายผอมอย่างยิ่ง ผิวตากแดดจนคล้ำ ใบหน้าก็ซูบตอบดูไม่แข็งแรงนัก แต่ดวงตาคู่นั้นกลับน่ามองอย่างประหลาด ชวนให้คนรู้สึกว่านางไม่ควรปรากฏตัวอยู่ในหมู่บ้านชนบทพรรค์นี้ แต่นางควรเป็นสตรีผู้งามล้ำเลิศถูกเลี้ยงดูอยู่ในวัง ได้รับความรักใคร่โปรดปรานสุดแสน มีคนนับร้อยคอยปรนนิบัติ

ไม่ผิดแน่ ดวงตาและจมูกของแม่นางน้อยผู้นี้แทบจะเหมือนกับของฉู่จูน้องสาวของเขาทุกกระเบียดนิ้ว แตกต่างจากฉู่จิ่นเมี่ยวที่หลายปีมานี้ยิ่งโตยิ่งจืดชืด ไม่เหมือนเขาเลยสักนิด

ฉางซิงโหวเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ เอ่ยถามว่า ‘เจ้าชื่อว่าอะไร’

ซูเหยารู้สึกว่าแปลกอย่างยิ่ง แต่ยังคงยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วตอบว่า ‘ข้าชื่อซูเหยา ท่านมิใช่คนที่นี่กระมัง ท่านหลงทางมาหรือเจ้าคะ’

ฉางซิงโหวมิได้ตอบคำถามของซูเหยา แต่ย้อนถามว่า ‘เหยา? นี่ไม่ใคร่เหมือนชื่อที่คนในหมู่บ้านชนบทจะตั้งออกมาได้’

‘เป็นเพราะท่านแม่ข้าบอกว่าขณะข้าเกิดมีนักพรตพเนจรผู้หนึ่งได้มอบหยกชิ้นหนึ่งแก่ข้า เขาตั้งชื่อข้าว่าเหยา* ครอบครัวจึงเรียกข้าเช่นนี้’

ฉางซิงโหวมองหยกของซูเหยา นั่นเป็นหยกที่ใสสะอาดและข้างในมีริ้วแดงปรากฏอยู่ ดูจากเนื้อก็รู้ว่ามีค่าไม่ใช่น้อย ริ้วแดงที่ข้างในก็วิจิตรมากเช่นกัน ราวกับว่าขณะที่โลหิตหยดลงในน้ำได้ถูกหยกขาวนี้เก็บกักเอาไว้ ฉางซิงโหวพลันนึกถึงข่าวลือจำพวกหยดเลือดพิสูจน์ญาติ

ในปีที่ซูเหยาหรือควรเรียกว่าฉู่จิ่นเหยาเกิด เมืองไท่หยวนมีนักพรตพเนจรผู้หนึ่งมาเยือน กล่าวกันว่ามีสมบัติเต็มกาย เขาพกหยกวิเศษล้ำค่าที่สามารถคืนชีพคนตายได้ก้อนหนึ่งติดกายมาเพื่อตามหาเจ้าของยังโลกมนุษย์ ฉางซิงโหวไม่ค่อยเชื่อข่าวลือพรรค์นี้นัก แต่เขาคิดว่าบุตรของตนใกล้จะคลอดแล้ว ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชาย เชื้อสายอันเกิดจากภรรยาเอกอย่างไรก็หาได้ยาก เขาคิดจะหาหยกชั้นดีสักก้อนมาทำเป็นจี้หยกอายุยืนเพื่อมอบให้บุตร จึงไปหานักพรตด้วยตนเอง นักพรตกลับมองเขาแล้วกล่าวขึ้น

‘หยกกับบุตรสาวของท่านมีวาสนาต่อกัน แต่ข้ายังมิอาจมอบให้ท่านได้’

ฉางซิงโหวได้ยินแล้วก็แค่นเสียงออกจมูก สะบัดแขนเสื้อจากไป เขาเป็นถึงท่านโหว ลดตัวลงไปหานักพรตคนหนึ่งนับว่าให้เกียรติที่สุดแล้ว แต่นักพรตผู้นี้กลับไม่เห็นคุณค่า พูดจาเหลวไหล อะไรคือหยกกับบุตรสาวของเขามีวาสนาต่อกัน ทว่ายังไม่อาจมอบให้เขาผู้เป็นบิดาได้ ไม่ต้องพูดถึงจ้าวซื่อที่กำลังตั้งครรภ์บุตรสาวจริงๆ หรือไม่ นักพรตไม่ให้เขาแล้วจะตกไปถึงมือบุตรสาวของเขาได้อย่างไร อยากฉวยโอกาสโก่งราคาเสียมากกว่ากระมัง

หลังจากนั้นชาวต๋าต๋าก็มารุกรานชายแดน ฉางซิงโหวนำทัพต้านศัตรู เพียงไม่นานก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปจากสมองจนหมดสิ้น

จวบจนกระทั่งสิบสามปีให้หลัง เมื่อฉางซิงโหวยืนอยู่ตรงหน้าฉู่จิ่นเหยาก็นึกถึงเรื่องในยามนั้นขึ้นมาได้

‘ท่านลุงเลิกเหม่อลอยได้แล้วเจ้าค่ะ!’ ซูเหยายิ้มพลางเอ่ยว่า ‘ท่านมุ่งขึ้นเหนือไปตามทางนี้ก็จะออกจากหมู่บ้านได้ ข้ายังต้องกลับไปผ่าฟืนต้มน้ำ มิอาจพาท่านไปส่ง มิฉะนั้นหากท่านแม่ข้ากลับมา นางจะด่าทอข้าอีก’

ฉางซิงโหวขมวดคิ้ว ‘แม่นางน้อยเช่นเจ้ายังต้องผ่าฟืนต้มน้ำด้วยหรือ’

ในจวนโหวของเขาอย่าว่าแต่คุณหนู แม้แต่สาวใช้ที่ปรนนิบัติคุณหนูก็ไม่ได้ทำงานหนักเช่นนี้ คุณหนูใหญ่กับคุณหนูสี่บุตรสาวสายตรงของเขาเกิดมาก็มีแม่นม สาวใช้ระดับหนึ่งสองคน และสาวใช้ระดับสองอีกสี่คนคอยปรนนิบัติประจำตัว มิหนำซ้ำข้างกายยังมีบ่าวไพร่ที่ญาติผู้ใหญ่ส่งมาอีกมากมายคอยติดตาม กล่าวได้ว่าไม่คลาดสายตาแม้เพียงชั่วขณะเดียว ยามคุณหนูสี่ฉู่จิ่นเมี่ยวเรียนเย็บปักถักร้อยแล้วเข็มตำนิ้วมือก็จะมีคนทั้งหลายรุมล้อม ทั้งทายาและเชิญหมอมา แต่แม่นางน้อยผู้นี้กลับต้องตื่นแต่เช้าตรู่ในฤดูหนาวที่หนาวจัดเช่นนี้เพื่อออกไปเก็บฟืน หลังกลับมายังต้องผ่าฟืนต้มน้ำ ทำความสะอาดลานบ้าน นางเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเขามิใช่หรือ! ฉางซิงโหวรู้ดีว่าบุตรสาวคนโตและบุตรสาวคนเล็กมีชีวิตเช่นไร เพราะเหตุนี้เมื่อได้ยินแม่นางน้อยพูดเช่นนี้ถึงได้เสียใจอย่างยิ่ง และที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือครอบครัวชาวนาครอบครัวนั้นจงใจสลับตัวบุตรสาวตอนคลอด ทำให้ฉู่จิ่นเมี่ยวที่เดิมทีควรเป็นบุตรสาวชาวนาได้เข้าไปเสวยสุขในจวนโหว ในขณะที่บุตรสาวตระกูลโหวตัวจริงต้องถูกเลี้ยงดูในเรือนที่มีสภาพแวดล้อมไม่ดี เพียงเท่านี้ก็ช่างเถิด แต่ถึงขั้นถูกพวกเขาใช้ให้ทำงานหนักอีกด้วย!

ฉางซิงโหวโกรธจนยากจะระงับ เวลานี้เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะพาแม่นางน้อยตรงหน้ากลับจวนด้วย เก็บชื่อของอีกฝ่ายไว้แล้วเรียกว่า ‘จิ่นเหยา’ ตามลำดับศักดิ์ของเด็กหญิงในตระกูล ส่วนสกุลซูนี้ก็เก็บไว้ให้บุตรสาวชาวนาของพวกเขาใช้เองก็แล้วกัน

ยามนี้ซูเหยาหารู้ไม่ว่าฉางซิงโหวกำลังคิดอะไร นางตอบคำถามฉางซิงโหวด้วยท่าทางจริงจังว่า ‘ใช่แล้วเจ้าค่ะ พี่สาวแต่งออกไปแล้ว ในเรือนมีข้าเป็นเด็กหญิงเพียงคนเดียว งานบ้านงานเรือนย่อมควรเป็นข้ารับผิดชอบทั้งหมด ตายแล้ว ท่านแม่ข้าตื่นแล้ว ข้าต้องกลับไปแล้วเจ้าค่ะ…’

‘ไม่ต้องกลับไปแล้ว’ ฉางซิงโหวกล่าว ‘เจ้ามิใช่คนสกุลซู ไปกับข้าเถิด’

เรื่องหลังจากนั้นก็เลือนรางอย่างยิ่งสำหรับซูเหยา ท่านพ่อซูที่แต่ไหนแต่ไรชอบตะคอกก่นด่าทุบตีอยู่ในเรือนหดกายอยู่ด้านข้างไม่กล้าปริปาก ท่านแม่ซูที่พอถูกท่านพ่อซูระบายอารมณ์ใส่ก็มาด่าทอซูเหยาพลางร้องห่มร้องไห้เสียงแหลม ซูเซิ่งผู้เป็นน้องชายก็คล้ายขลาดกลัวจนกลายเป็นนกกระทาไปแล้ว ส่วนซูฮุ่ยพี่สาวคนโตหลังได้ข่าวแล้วก็รีบกลับเรือน พอได้ฟังต้นสายปลายเหตุทั้งหมดก็เงียบกริบ มองฉู่จิ่นเหยาอย่างเงียบๆ

ซูเหยารู้สึกกลัวสายตาเช่นนั้น ต่อมาก็ถูกฉางซิงโหวพาตัวมาโดยไม่ฟังความเห็นผู้ใด นางได้นั่งอยู่บนรถม้าหรูหรางดงามที่ชั่วชีวิตเพิ่งเคยเห็น ร้องไห้พลางชะโงกตัวไปมองเรือนของตนเอง บิดามารดาที่อยู่ด้วยกันมาสิบสามปีไม่มีสักคนที่ออกมาส่งนาง มีเพียงพี่สาวคนโตวิ่งร้องไห้มาตลอดทางแล้วยัดห่อผ้าห่อหนึ่งให้นางผ่านหน้าต่างรถม้า

ในห่อผ้ามีเสื้อและกระโปรงผ้าฝ้ายซักสะอาดอยู่สองตัว นี่เป็นเสื้อผ้าที่นับว่าดูดีมีหน้ามีตาอย่างหาได้ยากในเรือน ซูเหยารู้ว่าพี่สาวมอบสิ่งเหล่านี้ให้นาง พอกลับไปจะต้องถูกบิดามารดาก่นด่าอย่างแน่นอน หากท่านพ่อซูโมโหจัดก็อาจจะลงไม้ลงมือได้ ส่วนทางบ้านสามีของพี่สาวจะว่าอย่างไรก็ยังบอกไม่ได้

ซูเหยาร้องไห้อย่างหนัก พอลงจากรถม้าดวงตาของนางก็แดงก่ำ

รถม้าจอดลงบนพื้นราบเรียบ ซูเหยาเงยหน้ามองก็เห็นจวนฉางซิงโหวที่น่าเกรงขาม

คราวนี้จ้าวซื่อถึงได้รู้ว่าฉางซิงโหวออกจากจวนไปทำธุระใดมา

ซูเหยาก้มหน้ายืนอยู่เบื้องหน้าจ้าวซื่อ ใจหนึ่งก็โหยหา อีกใจหนึ่งก็ขลาดกลัว ไม่รู้ว่าควรวางมือตรงที่ใดไปชั่วขณะ

แต่มารดาที่แท้จริงของนางกลับกวาดสายตามองนางขึ้นลงหลายรอบ ก่อนจะโบกมือด้วยท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์

‘พานางออกไป เหม็นกลิ่นสาบโคลน น่าคลื่นไส้จริงๆ’

ซูเหยารู้สึกกระอักกระอ่วนในทันใด ครอบครัวเดิมฐานะยากจน กอปรกับเร่งเดินทางมานางจึงไม่ได้อาบน้ำดีๆ พอนางล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็รีบไปพบมารดาแท้ๆ ผู้ให้กำเนิดด้วยความดีใจแต่กลับได้ยินบทสนทนานอกฉากกั้นลมกรุผ้าโปร่ง

‘ฮูหยิน ท่านดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบ…คุณหนูเหยา’

‘นางนับเป็นคุณหนูอะไรกัน จู่ๆ ก็โผล่มา ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางเป็นใคร ท่านโหวก็จริงๆ เชียว ได้ยินเสียงลมก็คิดว่าเป็นฝนตกไม่รู้ไปเก็บสุนัขแมวอะไรกลับมา ดีไม่ดีจะเป็นผู้อื่นจงใจวางหลุมพรางหลอกลวงเขาเสียด้วยซ้ำ’

‘ฮูหยิน…’ จางหมัวมัวถอนหายใจเบาๆ นางรู้เรื่องในปีนั้นอยู่ไม่มากก็น้อย พอเห็นซูเหยาก็รู้สึกได้ทันทีว่าคงจะเป็นตามนั้นจริงๆ ทว่าแม้คนนอกอย่างนางจะมองเห็นชัดเจน แต่จ้าวซื่อรักใคร่เอ็นดูฉู่จิ่นเมี่ยวในฐานะบุตรสาวมาสิบสามปี บัดนี้มีบุตรสาวโผล่ออกมากะทันหันอีกคน ในเวลาเพียงไม่นานเช่นนี้ก็ไม่มีใครสามารถรับได้

‘ไล่นางออกไป ข้าไม่อยากเห็นนาง ข้าไม่มีทางมีบุตรสาวเช่นนาง เมี่ยวเอ๋อร์เล่า ไปเรียกเมี่ยวเอ๋อร์มา!’

ซูเหยาน้ำตานองหน้า นางกัดริมฝีปากไม่ให้ตนเองส่งเสียงแล้วออกไปอย่างเงียบเชียบ

พอกลับถึงห้อง ซูเหยาก็ฟุบกับเตียงแล้วร้องไห้โฮ จี้หยกที่พกติดกายมาตั้งแต่เล็กจนโตหล่นออกมา ริ้วแดงข้างในค่อยๆ หายไปเส้นหนึ่งจนแทบมองไม่เห็น

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: