บทที่ 2.1 นกเขายึดรังนกสาลิกา
“จางหมัวมัว?”
จางหมัวมัวได้สติกลับมา นางตระหนักได้ว่าตนเองกำลังคิดเรื่องที่คุณหนูห้าเพิ่งกลับจวนและเผลอใจลอยอีกแล้ว จางหมัวมัวเก็บงำความคิด คลี่ยิ้มกว้างเต็มใบหน้า กล่าวเอาใจคุณหนูสี่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
“คุณหนูสี่ ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ!”
“ใช่ เมื่อคืนข้าหลับไม่สนิทจึงลุกมาคารวะท่านแม่เช้าหน่อย”
“คุณหนูสี่กตัญญูโดยแท้” จางหมัวมัวกล่าวยิ้มๆ ภายในห้องพากันชมฉู่จิ่นเมี่ยวว่ากตัญญูไม่ขาดปาก จางหมัวมัวยิ้มฟังคนทั้งหลายเยินยอ ในใจกลับกำลังคิดว่าถ้ากล่าวว่ามาเช้ามีหรือจะเช้าเท่าคุณหนูห้า นางเข้าไปได้พักใหญ่แล้ว ทว่าความคิดเช่นนี้จางหมัวมัวไม่มีทางพูดออกมาแน่นอน
ฉู่จิ่นเมี่ยวถอดเสื้อคลุมออกโดยมีสาวใช้คอยช่วยปรนนิบัติ เสื้อคลุมของนางเป็นจ้าวซื่อสั่งให้คนทำขึ้นเป็นพิเศษ ด้านนอกใช้ผ้าแพรอวิ๋นจิ่น ที่มีค่าดั่งทองคำ ด้านในบุด้วยปุยฝ้ายชั้นดีที่สุด ตัวใหญ่มากจนคลุมลงไปถึงน่อง เหมือนเป็นเสื้อบุนวมขนาดใหญ่คลุมอยู่บนร่างอย่างไรอย่างนั้น แขนเสื้อกว้าง บริเวณคอเสื้อทำเป็นปกตั้งตามสมัยนิยมประดับด้วยขนกระต่าย ใช้ทองคำฝังทับทิมหนึ่งคู่ทำเป็นกระดุม เดิมทีฉู่จิ่นเมี่ยวก็มีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เมื่อสวมเสื้อคลุมตัวนี้จึงดูหลวมโพรกราวกับรับน้ำหนักเสื้อคลุมไม่ไหว มีรูปลักษณ์เช่นคนงามร่างกายบอบบางซึ่งเป็นที่นิยมในตอนนี้
ฉู่จิ่นเมี่ยวขนคิ้วบาง ริมฝีปากก็บางเช่นกันจึงดูจืดชืดอยู่บ้าง ไม่ชวนพิศเท่าพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ นับตั้งแต่ฉู่จิ่นเมี่ยวรู้ตัวว่ามีรูปโฉมสู้พี่สาวน้องสาวไม่ได้ แม้แต่บุตรสาวสายรองยังทาบไม่ติดก็แอบอารมณ์เสียกับตนเองจึงพยายามแต่งกายให้ดูผ่ายผอมอ่อนแอบริสุทธิ์ ตอนนี้รูปลักษณ์เช่นบัณฑิตกำลังเป็นที่นิยม ปัญญาชนยกย่องคนงามที่นุ่มนวลอ่อนหวานร่างปลิวลม สตรีส่วนใหญ่จึงตั้งใจแต่งกายให้ดูอ่อนแอบอบบาง ทั้งยังประทินโฉมให้ดูเหมือนมีหยาดน้ำตาติดอยู่จริงๆ อีกด้วย แม้ฉู่จิ่นเมี่ยวจะมีองคาพยพสู้พี่สาวน้องสาวทั้งหลายไม่ได้ แต่ในด้านลักษณะท่าทางและการแต่งตัวกลับเป็นที่ชมชอบของบรรดาพี่ชายน้องชายมากกว่า
ตอนนี้จวนโหวมีฉางซิงโหวฉู่จิ้งเป็นประมุข ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ก็ยังแข็งแรงดี เป็นผู้กุมอำนาจดูแลจวนโหว เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ยังอยู่ เหล่าพี่ชายน้องชายย่อมไม่อาจแยกเรือน ในจวนมีพี่ชายน้องชายสามคน สายบ้านใหญ่คือพี่ชายคนโตฉางซิงโหว ฮูหยินคือจ้าวซื่อ สายบ้านรองคือนายท่านรองฉู่ตวน ฮูหยินคือเหยียนซื่อ สายบ้านสามคือนายท่านสามฉู่จาง ฮูหยินคือเฉียนซื่อ ฉางซิงโหวกับนายท่านรองเกิดจากภรรยาเอก ส่วนบ้านสามเกิดจากอนุ มิเป็นที่ชมชอบของฮูหยินผู้เฒ่าฉู่สักเท่าไร บ้านใหญ่ได้สืบทอดบรรดาศักดิ์แล้วย่อมเหนือกว่าพี่น้องคนอื่น แม้แต่ค่าใช้จ่ายของสตรีสายบ้านใหญ่ก็มากกว่าสายอื่น เป็นรองเพียงฮูหยินผู้เฒ่าฉู่
ฉางซิงโหวมีบุตรชายสี่คนบุตรสาวห้าคน ในจำนวนนั้นมีเพียงคุณหนูใหญ่ คุณชายรอง และคุณหนูสี่ที่เกิดจากภรรยาเอก นี่นับว่าน้อยมากแล้ว ตอนแรกที่ฉางซิงโหวพาแม่นางน้อยผู้หนึ่งกลับมาแล้วบอกว่านี่คือบุตรสาวของเขา เรียกได้ว่าทำเอาคนในจวนตกตะลึงกันไม่น้อย จ้าวซื่อเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ ร่ำไห้กอดฉู่จิ่นเมี่ยวไว้แน่น ไม่ยอมให้คนส่งฉู่จิ่นเมี่ยวออกจากจวนไป พอฮูหยินผู้เฒ่าฉู่มาถึง มองเห็นฉู่จิ่นเหยาที่ร่างผอมคล้ำท่าทางดูบ้านนอกก็ยากจะรับได้เช่นกัน ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่จึงปิดประตูคุยกับฉางซิงโหวอยู่นาน เมื่อออกมาอีกครั้งฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ได้กล่าวขึ้น
‘ปีนั้นเป็นเพราะความวุ่นวายจากสงครามจึงเกิดข้อผิดพลาดกับสายเลือดในจวน ในเมื่อบัดนี้ตามหาคุณหนูที่พลัดหายไปกลับมาได้แล้ว เช่นนั้นก็เลี้ยงดูไว้เถิด จวนเราใช่ว่าจะเลี้ยงดูไม่ไหว จิ่นเมี่ยวก็อยู่ในจวนต่อไป ส่วนผู้ที่เพิ่งกลับมาก็ให้ต่อท้ายจิ่นเมี่ยว เป็นคุณหนูห้าของจวนเราแล้วกัน’
ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ออกหน้าตัดสินใจยอมรับฉู่จิ่นเหยาไว้ แต่ขณะเดียวกันก็เก็บฉู่จิ่นเมี่ยวไว้ด้วย มิได้ปล่อยให้ฉางซิงโหวส่งฉู่จิ่นเมี่ยวออกจากจวนไป ถึงอย่างไรสตรีก็ใจอ่อนกว่าบุรุษ อยู่ด้วยกันด้วยน้ำใสใจจริงในฐานะบุตรสาวแท้ๆ มาสิบสามปี อย่าว่าแต่จ้าวซื่อ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ก็ยังตัดใจไม่ลง ทางด้านฉางซิงโหวเห็นภรรยาและมารดา รวมถึงฉู่จิ่นเมี่ยวอดีตบุตรสาวยืนร้องไห้อย่างน่าสงสารอยู่ด้านข้าง เขาที่เพลิงโทสะดับมอดไปนานแล้วก็ถูกน้ำตาทำให้ใจอ่อน ไม่ยืนกรานส่งฉู่จิ่นเมี่ยวจากไปอีก
ถึงอย่างไรจวนฉางซิงโหวก็ใช่ว่าจะควักสินเดิมเจ้าสาวไม่ไหว แค่เลี้ยงดูคุณหนูเพิ่มอีกคนเท่านั้น จึงไม่มีใครใส่ใจเรื่องเหล่านี้อีก
อยู่ดีๆ ก็มีบุตรสาวโผล่มาอีกคน มิหนำซ้ำยังกลายเป็นคุณหนูห้า คุณหนูที่เดิมทีมีลำดับตามหลังทำได้เพียงขยับเลื่อนลงไปอีกลำดับ เรื่องเช่นนี้เกิดในเรือนใครก็ล้วนเป็นเรื่องชวนน่าตกใจ ฉู่จิ่นเหยาเพิ่งกลับมาก็ก่อความวุ่นวายหนักเพียงนี้ ทั้งรูปโฉมยังผอมแห้งผิวคล้ำ แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นคนบ้านนอก ยิ่งทำให้คนแย่งกันมาดู เดิมทีการต้องเรียงลำดับใหม่ก็ทำให้บรรดาคุณหนูไม่พอใจอยู่แล้ว บัดนี้ต้องกลายมาเป็นพี่น้องกับคนบ้านนอก เหล่าคุณหนูในจวนโหวจึงยิ่งไม่ชอบฉู่จิ่นเหยา
ฉู่จิ่นเมี่ยวถอดเสื้อคลุมออก เผยเสื้อบุสองชั้นสาบตรงลายดอกแขนกว้างที่สวมอยู่ด้านในออกมา ท่อนล่างเป็นกระโปรงหม่าเมี่ยน ผ้าต่วนสีน้ำเงิน ชายกระโปรงใช้ดิ้นทองปักเป็นลายปักษาและบุปผากว้างสองชุ่น แม้แต่ผู้ที่เคยเห็นความหรูหราฟุ่มเฟือยจนชินอย่างจางหมัวมัวยังต้องอ้าปากค้าง ชุดนี้ของคุณหนูสี่ไม่นับรวมเครื่องประดับก็มีค่าตั้งเท่าไรแล้ว คุณหนูสี่แทบจะเปลี่ยนได้วันละชุด แม้จะเป็นเช่นนี้จ้าวซื่อก็ยังบ่นว่าเสื้อผ้าไม่พอ เมื่อวานก็เรียกคนเข้าจวนเพราะต้องการซื้อผ้ามาตัดชุดให้คุณหนูใหญ่กับคุณหนูสี่
จางหมัวมัวนึกถึงชุดที่ฉู่จิ่นเหยาสวมขณะเข้าห้องมา เกรงว่าคงมีค่าเทียบไม่ได้แม้แต่หนึ่งในสิบของคุณหนูสี่ คุณหนูที่แท้จริงมีชีวิตเช่นนั้น นางได้ยินว่าคุณหนูห้าต้องทำงานหนักตั้งแต่เล็กจนฝ่ามือมีแต่รอยด้าน จางหมัวมัวถอนหายใจ หากให้กล่าวด้วยใจเป็นกลาง นางก็ยังรู้สึกว่าคุณหนูห้าน่าสงสาร แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า คุณหนูสี่ต่างหากที่เป็นดวงใจซึ่งคนทั้งหลายเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต คุ้นชินกับการใช้จ่ายในจวนโหวยิ่งกว่า ความหรูหราบนกายนั้นราวกับใช้น้ำทองของมีค่าชุบออกมา มีผู้ที่สูงส่งและมีลักษณะท่าทางเช่นนี้เป็นตัวเปรียบเทียบ คุณหนูห้าย่อมถูกกลบจนไม่เห็นรัศมีไปในทันใด
ฉู่จิ่นเมี่ยวถอดชุดเสื้อคลุมที่เทอะทะออกแล้วเดินตรงไปยังห้องรองทางทิศตะวันตกซึ่งจ้าวซื่อใช้หลับนอน ท่าทางผ่อนคลายประหนึ่งกำลังอยู่ในห้องของตนเอง เดินไปพลางร้องเรียกไปพลาง
“ท่านแม่ ข้ามาแล้ว…”
ฉู่จิ่นเมี่ยวเพิ่งจะก้าวเข้าประตูมาก็มองเห็นฉู่จิ่นเหยายืนอยู่ด้านข้าง ฉู่จิ่นเหยาได้ยินเสียงอยู่นานแล้วว่าฉู่จิ่นเมี่ยวเข้ามา บัดนี้ได้เห็นอีกฝ่าย นางจึงหันหน้าไปยิ้มอย่างอ่อนหวานให้
“พี่หญิงสี่ ท่านมาแล้วหรือ” ฉู่จิ่นเหยาถามด้วยท่าทางไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง นางเห็นคุณหนูคนอื่นๆ ทักทายกันเช่นนี้ ไม่รู้ว่านางหัดทำตามถูกหรือไม่ ฉู่จิ่นเหยาเพิ่งได้กลับมาอยู่กับครอบครัวแท้ๆ ของตนเอง นางอยากมีความสัมพันธ์อันดีกับบิดามารดาและพี่สาวน้องสาว ต่อให้คนตรงหน้าเป็นคุณหนูตัวปลอมที่สวมฐานะของนาง ฉู่จิ่นเหยาก็ยังอยากอยู่ร่วมกับอีกฝ่ายอย่างปรองดอง เรื่องนี้จะโทษใครได้ ทำได้เพียงโทษท่านพ่อซูกับท่านแม่ซูเห็นแก่ตัวและใจดำอำมหิต หน้ามืดตามัวไร้จิตสำนึก ฉู่จิ่นเมี่ยว ฉู่จิ่นเหยา ตลอดจนฉางซิงโหวและจ้าวซื่อ คนทั้งหมดล้วนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เช่นนั้นจะมีความผิดใด แม้ฉู่จิ่นเหยาจะเติบโตมาในหมู่บ้านชนบท แต่นางรู้ความมาตั้งแต่เล็ก นางรู้ว่าจะเอาแต่ตัดพ้อต่อว่าอย่างเดียวไม่ได้ มิฉะนั้นญาติพี่น้องคงได้ห่างเหินกัน ระหว่างคนเราอย่างไรก็ต้องจริงใจต่อกันและพูดคุยกันดีๆ จึงจะใช้ได้
แต่ฉู่จิ่นเมี่ยวมิได้เผยรอยยิ้มดั่งที่ฉู่จิ่นเหยาคาดหวัง เพียงเก็บงำสีหน้าแล้วตอบรับอย่างเฉยเมยว่า “ใช่” พูดจบก็กล่าวอีกประโยคอย่างฉับไว “ใครเป็นพี่สาวเจ้า”
แม้เสียงของฉู่จิ่นเมี่ยวจะไม่ดัง แต่ก็มิได้จงใจลดเสียงลง สาวใช้ไม่น้อยที่อยู่รอบๆ รวมถึงฉู่จิ่นเหยาเองล้วนได้ยินทั้งสิ้น ฉู่จิ่นเหยากระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที ทว่าสาวใช้ที่ตามฉู่จิ่นเมี่ยวมากลับเผยรอยยิ้มร้าย อาศัยจังหวะที่คนไม่สนใจลอบส่งสายตากับสาวใช้ที่สนิทสนมกัน ปรายตามองไปยัง ‘คุณหนูห้า’ นกกระจอกที่เพิ่งบินกลับมาจากบ้านป่าผู้นี้
ฉู่จิ่นเหยาได้ยินว่าในตระกูลใหญ่ล้วนต้องตื่นเช้ามาคารวะบิดามารดาญาติผู้ใหญ่ นางไม่กล้าชักช้าจึงเตรียมตัวเสร็จตั้งแต่เช้าตรู่ เคราะห์ดีตอนที่นางอยู่ในหมู่บ้านชนบทก็ต้องตื่นเช้ามาเก็บฟืน ดังนั้นการตื่นเช้าจึงมิใช่เรื่องยากแม้แต่น้อยสำหรับนาง กลับรู้สึกว่าตนเองได้รับความโปรดปรานจนน่าตกใจเสียด้วยซ้ำ แค่นางสวมเสื้อผ้าถึงกับมีคนคอยปรนนิบัติมากเพียงนี้เชียวหรือ
ถึงกระนั้นการตื่นเช้าเป็นเรื่องง่าย แต่จะมาทำอะไรเมื่อถึงเรือนจ้าวซื่อนั้นกลับสร้างความลำบากให้ฉู่จิ่นเหยาไม่น้อย ครอบครัวเดิมในหมู่บ้านชนบทมีพิธีรีตองเช่นนี้เสียที่ใด หลังตื่นนอนก็ตรงไปกวาดพื้นตักน้ำในลานบ้าน ขณะซูฮุ่ยผู้เป็นพี่สาวยังไม่ออกเรือน งานในลานบ้านและในห้องครัวล้วนเป็นหน้าที่ของพวกนางสองพี่น้อง ครั้นท่านพ่อซูกับท่านแม่ซูตื่นนอนก็จะได้เห็นลานบ้านที่สะอาดสะอ้านกับข้าวสวยร้อนๆ ที่หุงสุกแล้ว จากนั้นท่านพ่อซูก็จะออกไปทำนา บางครั้งท่านแม่ซูก็จะไปด้วย เมื่อทั้งสองไปแล้วฉู่จิ่นเหยาถึงจะกลับไปเคาะประตูปลุกซูเซิ่งผู้เป็นน้องชาย ซูเซิ่งเป็นเด็กชายคนเดียวในบ้านจึงมีค่ามากกว่าเด็กหญิงเช่นพวกนางมาก
เพราะฉะนั้นฉู่จิ่นเหยาจึงไม่รู้จริงๆ ว่าการคารวะบิดามารดาต้องทำอะไรบ้าง อีกทั้งในจวนโหวก็ไม่จำเป็นต้องให้นางกวาดพื้นซักผ้า พอฉู่จิ่นเหยามายืนอยู่ในห้องจ้าวซื่อจึงทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ข้างกายจ้าวซื่อมีสาวใช้รุมล้อมเป็นโขยง สาวใช้เหล่านี้บ้างก็ยื่นเสื้อผ้าให้ บ้างก็เช็ดมือให้จ้าวซื่อ และยังมีอีกสองสามคนสวมที่ครอบผมทองถักให้จ้าวซื่ออย่างระมัดระวัง คนเหล่านี้ล้อมรอบข้างกายจ้าวซื่อเต็มไปหมด ถึงฉู่จิ่นเหยาอยากจะก้าวเข้าไปใกล้ก็ยังทำไม่ได้
บัดนี้ฉู่จิ่นเมี่ยวพูดเช่นนี้ต่อหน้าคนทั้งหลาย เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเป็นพี่สาวของฉู่จิ่นเหยาและไม่รู้สึกด้วยว่าฉู่จิ่นเหยาเป็นน้องสาวร่วมบ้านของตนเอง ฉู่จิ่นเหยาอึ้งงันไปในทันใด ส่วนฉู่จิ่นเมี่ยวก็อาศัยจังหวะนี้เดินตัวปลิวไปหาจ้าวซื่อแล้ว
เมื่อฉู่จิ่นเมี่ยวเดินไปใกล้ สาวใช้น้อยใหญ่ก็ต่างหลีกทางให้นาง ปากยังเรียกขานว่า ‘คุณหนูสี่’ และกล่าวถ้อยคำมงคลไม่ขาดปาก จ้าวซื่อมองเห็นฉู่จิ่นเมี่ยวเดินมาหาแล้วก็มองนางอย่างตำหนิผ่านบานคันฉ่องด้วยรอยยิ้มละไม
“เจ้ามาก่อกวนอีกแล้ว”
“ข้ามาก่อกวนเสียที่ใดเจ้าคะ มาแสดงความกตัญญูต่อท่านแม่ต่างหาก” ฉู่จิ่นเมี่ยวพูดพลางหยิบปิ่นในกล่องเครื่องประดับของจ้าวซื่อออกมาเทียบดูด้วยท่าทางคุ้นเคย จากนั้นก็กล่าวว่า “วันนี้ท่านแม่ปักปิ่นอันนี้เถิดเจ้าค่ะ เข้ากับชุดแขนยาวสีแดงสดตัวนั้นของท่านพอดี”
บ่าวหญิงที่หวีผมเอ่ยเอาใจ “คุณหนูสี่แต่งตัวเก่งเป็นที่สุด มีคุณหนูสี่อยู่ตรงหน้า เครื่องประดับที่พวกเราจัดให้ฮูหยินก็มิอาจนำออกมาโอ้อวดได้แล้ว”
ฉู่จิ่นเมี่ยวพูดคุยหัวเราะกับพวกจ้าวซื่อ ทางด้านฉู่จิ่นเหยาที่ยืนอยู่ไม่ไกลพลันรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกินอย่างยิ่ง
ดูจากท่าทางช่ำชองที่ฉู่จิ่นเมี่ยวมีต่อเครื่องประดับอัญมณีเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเห็นจนชินมาตั้งแต่เล็กแล้ว ในขณะที่ฉู่จิ่นเหยายังรู้จักบรรดาขวดและกล่องต่างๆ บนโต๊ะเครื่องแป้งนั้นไม่ครบด้วยซ้ำ
ฉู่จิ่นเหยาก้มหน้ามองมือของตนเอง นางช่วยครอบครัวเดิมทำงานมาตั้งแต่จำความได้ เด็กหญิงร่วมหมู่บ้านล้วนเป็นเหมือนนาง ฉู่จิ่นเหยาไม่เคยคิดว่าบนโลกจะยังมีเด็กหญิงกลุ่มหนึ่งมีชีวิตงดงามอย่างที่นางแค่คิดก็ยังคิดไม่ถึง แต่เรื่องนี้โทษนางได้หรือ หากเป็นไปได้นางเองก็หวังว่าตนเองจะไม่ถูกอุ้มผิดตัวในปีนั้น สามารถเติบใหญ่อยู่ในจวนโหวได้อย่างราบรื่น เป็นคุณหนูแห่งจวนโหวที่เพียบพร้อมได้
บทที่ 2.2 นกเขายึดรังนกสาลิกา
อันที่จริงสองสามวันมานี้ฉู่จิ่นเหยาหาได้มีความสุขไม่ แม้สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่จะต่างจากเดิมราวพลิกฟ้าพลิกดิน นางได้เห็นสิ่งที่แต่เดิมแค่คิดก็ยังไม่กล้าคิดมากมาย แต่ฉู่จิ่นเหยากลับไม่ได้ดีใจ นางรู้สึกได้ว่าคนในจวนฉางซิงโหวตั้งแต่จ้าวซื่อ ฉู่จิ่นเมี่ยว อาสะใภ้ และพี่สาวน้องสาวสายอื่นๆ รวมไปถึงบ่าวหญิงทั้งวัยสาวและสูงวัยล้วนกีดกันนางอย่างยิ่ง นางไม่มีอะไรที่เข้ากับจวนฉางซิงโหวอันมั่งคั่งมีเกียรติได้เลยจริงๆ
ทุกวันยามฉู่จิ่นเหยาเข้านอน พอสาวใช้ที่เฝ้ายามในช่วงดึกอยู่ด้านนอกหลับไปแล้ว นางก็จะคลุมโปงร้องไห้เงียบๆ คุณหนูในตระกูลใหญ่มีคนคอยรับใช้แม้แต่ยามนอน ฉู่จิ่นเหยาไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าผู้อื่น ทำเช่นนี้จะไม่ดี นางจึงทำได้เพียงน้อยใจอยู่คนเดียว ยามนางจากมาซูฮุ่ยผู้เป็นพี่สาวไล่ตามมาแล้วยัดห่อผ้าห่อหนึ่งให้นาง ฉู่จิ่นเหยารู้ว่านี่เป็นเพราะพี่สาวกลัวว่านางไปอยู่บ้านคนอื่นแล้วจะลำบาก จึงพยายามสุดกำลังที่จะนำของดีๆ มามอบให้นาง ทว่าครั้นมาถึงจวนฉางซิงโหว ฉู่จิ่นเหยาก็ค้นพบว่าแม้แต่บ่าวหญิงสูงวัยที่ทำงานกวาดพื้นในจวนโหวยังไม่สวมชุดผ้าฝ้ายที่ซอมซ่อเช่นนี้ แต่เสื้อและกระโปรงเหล่านี้เป็นเสื้อผ้าชั้นดีที่คนในหมู่บ้านจะตัดใจสวมใส่ลงก็ต่อเมื่อถึงช่วงเทศกาลหรือปีใหม่เท่านั้น
พอฉู่จิ่นเหยามาถึงก็มีคนช่วยเปลี่ยนชุดให้นาง ชุดผ้าฝ้ายจากพี่สาวย่อมไม่อาจนำออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลังซานฉาเห็นยังเกือบจะโยนทิ้งอีกด้วย ฉู่จิ่นเหยารีบแย่งคืนมาแล้วนำไปซ่อนไว้บนเตียง ทุกคืนเมื่อถึงยามดึกสงัด ฉู่จิ่นเหยาจะนำออกมากอดไว้พลางร้องไห้
บัดนี้ฉู่จิ่นเหยาได้รู้ในที่สุดว่าเพราะอะไรท่านพ่อซูกับท่านแม่ซูจึงมักไม่มีสีหน้าดีๆ ให้นาง ดูจากการแสดงออกของซูฮุ่ยผู้เป็นพี่สาว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็รู้เรื่องเช่นกัน เพียงแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เกิดใจอ่อนลอบช่วยเหลือนางลับหลังท่านพ่อซูกับท่านแม่ซูเป็นประจำ
ฉู่จิ่นเหยาร้องไห้ตอนกลางคืนเสร็จ วันรุ่งขึ้นตื่นนอนก็กลับมามีท่าทางมีชีวิตชีวา แม้ยามนี้ทุกคนจะไม่ชอบนาง แต่ถ้าสกุลซูมีญาติมาขออาศัยด้วย พวกนางพี่น้องก็ลอบบ่นลับหลังเช่นกัน ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องปกติ ฉู่จิ่นเหยาบอกตนเองระหว่างทางที่มาว่าขอเพียงนางคอยสังเกตและเรียนรู้ให้ดี อยู่ร่วมกับจ้าวซื่อและฉู่จิ่นเมี่ยวอย่างจริงใจ ทั้งสองคนย่อมเห็นความดีของนางสักวัน
แต่บัดนี้ฉู่จิ่นเหยาเห็นจ้าวซื่อกับฉู่จิ่นเมี่ยวเลือกเครื่องประดับกันอย่างสนิทสนมอบอุ่น ในขณะที่ตนเองยืนอยู่อีกด้าน เป็นส่วนเกินยิ่งกว่าอะไร ฉู่จิ่นเหยาก็พลันนึกสงสัยว่าตนเองเอาความมั่นใจมาจากที่ใด
นางจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแม่ลูกคู่นี้ได้จริงๆ หรือ
ขณะที่ฉู่จิ่นเหยากำลังกระอักกระอ่วน เสียงปานระฆังเงินของสาวใช้น้อยที่อยู่นอกประตูก็ดังขึ้น กล่าวทักทายผู้มาเยือนไม่ขาดปาก
“คุณหนูใหญ่มาแล้ว ขอให้คุณหนูใหญ่พรั่งพร้อมด้วยความสุขทั้งปวงเจ้าค่ะ”
เสียงแผ่วเบาแช่มช้ารื่นหูราวกับสายน้ำไหลเอื่อยๆ ผ่านก้อนกรวดดังขึ้น “ท่านแม่อยู่ข้างในหรือไม่”
“อยู่เจ้าค่ะ คุณหนูสี่กับคุณหนูห้าก็อยู่ด้วยเจ้าค่ะ”
ผู้มาเยือนนอกห้องชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแช่มช้าอ่อนโยนก็ก้าวเข้าไป สาวใช้ในห้องรองทางทิศตะวันตกเปิดม่านออกนานแล้ว แสงสว่างวาบขึ้นครู่หนึ่ง สตรีที่มีรูปโฉมงดงามละมุนละไมและมีท่วงท่าเรียบร้อยสง่างามนางหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าคนทั้งหลาย
“คุณหนูใหญ่”
คุณหนูใหญ่ฉู่จิ่นเสียนพยักหน้า กล่าวทักทายจ้าวซื่อเสร็จก็มายืนอยู่ด้านข้างรอจ้าวซื่อแต่งตัว ฉู่จิ่นเหยาเองก็กล่าวทักทายฉู่จิ่นเสียนเลียนแบบคนทั้งหลายเช่นกัน
“พี่หญิงใหญ่สบายดีนะเจ้าคะ”
ฉู่จิ่นเสียนเพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วเก็บสายตากลับไป นางยืนอยู่กับฉู่จิ่นเหยา ฉู่จิ่นเหยาเห็นฉู่จิ่นเสียนแล้วถึงได้รู้ว่าบุตรสาวตระกูลใหญ่ที่กล่าวถึงในบทละครนั้นมีท่าทางเช่นไร ไม่ว่าฉู่จิ่นเสียนจะทำอะไรก็ล้วนนุ่มนวล กล่าววาจาก็แผ่วเบาเหมือนสตรีโฉมงามในคำกล่าวที่ว่าบุรุษปราดเปรื่องกับสตรีโฉมงาม แม้ฉู่จิ่นเสียนจะเฉยชากับฉู่จิ่นเหยาเช่นกัน แต่ฉู่จิ่นเหยากลับไม่ใส่ใจ เพราะฉู่จิ่นเสียนเป็นเช่นนี้กับทุกคน อีกทั้งฉู่จิ่นเสียนเข้ามาก็ยืนอยู่กับตน ฉู่จิ่นเหยาไม่ต้องยืนโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว ทำให้โล่งใจอย่างมาก ฉู่จิ่นเหยาคิดในใจว่ามิน่าเล่านางถึงเป็นคุณหนูใหญ่ที่ทุกคนในจวนล้วนชื่นชม นิสัยและการวางตัวของนางมีลักษณะของพี่สาวคนโตจริงๆ แค่ฉู่จิ่นเสียนช่วยรักษาหน้าให้ฉู่จิ่นเหยาโดยไม่รู้ตัว ฉู่จิ่นเหยาที่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่ดีจากผู้ใดก็ซาบซึ้งมากแล้ว
แต่ฉู่จิ่นเหยาค้นพบอีกว่าฉู่จิ่นเสียนเองก็มิได้สนิทชิดเชื้อกับจ้าวซื่อสักเท่าไร อย่างน้อยก็ไม่มีทางเข้าไปออดอ้อนจ้าวซื่อเหมือนฉู่จิ่นเมี่ยว แน่นอนว่าฉู่จิ่นเสียนคงจะทำเรื่องอย่างการออดอ้อนไม่ได้ ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างมากกับการที่ฉู่จิ่นเสียนเติบโตมาข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าฉู่
มีฉู่จิ่นเสียนอยู่เป็นเพื่อน ฉู่จิ่นเหยาก็ไม่ได้รู้สึกทรมานกับเวลาที่ผ่านไปอย่างช้าๆ อีก พอบรรดาบุตรสาวอนุต่างมาถึง ทุกคนยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบสงบ รอจ้าวซื่อจัดการตนเอง ในห้องได้ยินเพียงเสียงฉู่จิ่นเมี่ยวหัวเราะพูดคุยกับจ้าวซื่อ กว่าจ้าวซื่อจะแต่งตัวเสร็จ บ่าวหญิงสูงวัยก็นำอาหารเช้ามาจัดวางแล้ว ฉางซิงโหวไม่มากินอาหารที่เรือนจ้าวซื่อ คุณชายรองร่างกายอ่อนแอ หลายปีมานี้กินอาหารที่เรือนตนเองมาโดยตลอด ดังนั้นผู้ที่มากินอาหารด้วยกันจึงมีเพียงสตรีเหล่านี้ บรรดาอนุของฉางซิงโหวคีบอาหารให้จ้าวซื่อ จ้าวซื่อปล่อยให้พวกนางคีบอาหารให้ไม่กี่ครั้งก็กล่าวขึ้น
“พอแล้ว พวกเจ้าล้วนมีบุตรชายบุตรสาวกันแล้ว ไม่ต้องมาปรนนิบัติข้า ไปกินข้าวกันเถิด”
คราวนี้อี๋เหนียง ทั้งหลายถึงได้กล่าวขอตัว อนุไม่มีสิทธิ์นั่งกินอาหารร่วมโต๊ะ ถึงแม้พวกนางจะให้กำเนิดบุตรชายบุตรสาวแล้วก็ตาม อันที่จริงอี๋เหนียงไม่กี่คนนี้ยังนับว่าดี มีบุตรชายบุตรสาวอยู่ข้างกาย จ้าวซื่อถึงได้ไว้หน้าพวกนาง ส่วนสาวใช้อุ่นเตียงคนอื่นๆ ที่ไม่มีบุตรล้วนต้องยืนรอรับใช้อยู่ด้านหลังภรรยาเอก รอจ้าวซื่อกับเหล่าคุณหนูกินอาหารเสร็จแล้วถึงจะไปได้
ฉู่จิ่นเหยาเหลือบมองเหล่าอี๋เหนียงที่มีความงามและข้อดีแตกต่างกันไป รู้สึกทอดถอนใจว่าตระกูลใหญ่ช่างต่างไปอย่างที่คิดจริงๆ
หลังกินอาหารเสร็จ จ้าวซื่อพาเหล่าบุตรสาวไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่เป็นคนน่าเกรงขามอย่างยิ่ง คางเป็นสี่เหลี่ยม มุมปากมีริ้วรอยลึก แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นคนร้ายกาจยิ่ง นี่ไม่เหมือนกับเหล่าไท่ไท่ ในหมู่บ้านที่ฉู่จิ่นเหยาเคยพบสักนิด นางจึงไม่กล้าเผอเรอ เพียงยืนอยู่ในกลุ่มคุณหนูคารวะฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
บนศีรษะฮูหยินผู้เฒ่าฉู่คาดแถบคาดหน้าผากไว้ ดูไม่กระปรี้กระเปร่านัก ไม่มีกะจิตกะใจจะรับมือกับหลานสาวเหล่านี้ เพียงกล่าวขึ้น
“ไม่กี่วันก่อนสำนักกิจการสิ่งทอทางใต้ส่งผ้าแพรอวิ๋นจิ่นมาอีกชุด สีสันสดใส เหมาะกับแม่นางน้อยเช่นพวกเจ้า พวกเจ้าไปเลือกกันคนละพับสำหรับตัดชุดให้ตนเอง รอท่านอาหญิงของพวกเจ้ากลับมา พวกเจ้าจะได้พบแขกได้อย่างไม่ขายหน้า”
ท่านอาหญิงที่ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่พูดถึงคือฉู่จู บุตรสาวเพียงคนเดียวที่เกิดจากฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ แต่งงานไปเป็นภรรยาเอกสายบ้านรองจวนไหวหลิงจวิ้นอ๋อง พี่สะใภ้ของนางคือชายาจวิ้นอ๋อง จากตระกูลโหวไปจวนจวิ้นอ๋อง นี่นับเป็นการแต่งงานกับตระกูลสูงกว่าที่ดีที่สุด ดังนั้นทุกครั้งที่ฉู่จูกลับมาบ้านเดิมจึงมีหน้ามีตาอย่างยิ่ง บุตรสาวที่ออกเรือนแล้วเปรียบได้กับน้ำที่สาดออกไป นางกลับมาจึงถือว่าเป็นแขก ฉู่จูแต่งงานได้ดี หลานสาวอย่างพวกฉู่จิ่นเหยาจะพบท่านอาหญิงก็ต้องตัดชุดใหม่โดยเฉพาะ
แม่นางน้อยมีใครไม่ชอบเสื้อผ้าชุดใหม่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้ผ้าแพรอวิ๋นจิ่นจากทางใต้ซึ่งเป็นเครื่องราชบรรณาการที่แพร่ออกมาถึงข้างนอกน้อยยิ่ง แม้ฉางซิงโหวจะมีบรรดาศักดิ์โหว แต่ในหนึ่งปีก็ยังได้มาไม่กี่พับ ปีก่อนๆ ล้วนตกอยู่ในมือของบ้านใหญ่ เอาไว้ให้คุณหนูใหญ่กับคุณหนูสี่ตัดชุด ส่วนคุณหนูที่เหลือจะได้รับเพียงมุมผ้าส่วนหนึ่ง บัดนี้ผู้เป็นย่าบอกว่าจะให้คนละพับ เหล่าคุณหนูจึงดีใจแทบแย่
เหล่าเด็กสาวที่ได้รับการตามใจไปเลือกผ้ากันในห้องที่กั้นขึ้น แม้ฉู่จิ่นเหยาจะไม่เข้าใจว่าผ้าแพรอวิ๋นจิ่นคืออะไร แต่เห็นสีหน้าของคนอื่นๆ ก็รู้ได้ว่าเป็นของดีที่หายาก นางจึงตามไปด้วย
ในใจฉู่จิ่นเหยารู้สึกเหลือเชื่อ เมื่อก่อนในเรือนทั้งปียังหาผ้าแม้แต่พับเดียวไม่ได้ เสื้อผ้าของนางล้วนเป็นซูฮุ่ยไม่ใส่แล้วส่งให้นางใส่ต่อ นี่ถึงกับบอกให้ตัดชุดใหม่ในช่วงที่ไม่ใช่เทศกาล มิหนำซ้ำยังได้ผ้าแพรกันคนละพับ
ตั้งแต่เล็กจนโตฉู่จิ่นเหยาไม่เคยมีสมบัติส่วนตัวใดๆ นางคิดไว้แล้วว่าผ้าที่เหลือจะใช้ทำสิ่งใด
ถึงอย่างไรฉู่จิ่นเหยาก็เป็นแม่นางน้อย สามารถเลือกผ้าตามที่ตนเองชอบได้ย่อมดีใจเหลือประมาณ ฉู่จิ่นเหยาที่จมจ่อมอยู่ในความยินดีปรีดามิได้สังเกตว่าในจี้หยกพกที่ไม่เคยห่างกายมาตั้งแต่เล็กของนางริ้วแดงได้หายไปหลายเส้นแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ม.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.