บทที่ 3.1 พจนาในหยก
เมื่อมาถึงห้องกั้น ฉู่จิ่นเหยาก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว นี่เป็นผ้าที่ประณีตงดงามที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นนับตั้งแต่โตมาจนป่านนี้ ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น นี่ไม่ใช่ผ้าธรรมดา แต่เป็นผ้าแพร
เหล่าคุณหนูต่างร้องดีใจรีบวิ่งเข้าไปดู แม้แต่ฉู่จิ่นเสียนที่เรียบร้อยสง่างามและเป็นกุลสตรีที่สุดยังเผยรอยยิ้มออกมา เดินเร็วขึ้นหลายก้าว เหล่าคุณหนูสกุลฉู่หยิบผ้าแพรอวิ๋นจิ่นขึ้นมาก่อนถกกันอย่างคึกคักว่าสีและลวดลายของพับใดดีกว่ากัน ฉู่จิ่นเหยาเองก็ไปล้อมวงดูด้วย นางเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง แตะผ้าด้วยความระมัดระวังยิ่งประหนึ่งว่าสัมผัสของล้ำค่าที่หาได้ยากบนโลกก็มิปาน
สัมผัสบนฝ่ามือทำให้ฉู่จิ่นเหยาอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ ผ้าแพรอวิ๋นจิ่นเป็นสิ่งทอที่ทางเมืองอิ้งเทียนส่งมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ งามตระการตาปานเมฆสะท้อนแสงอาทิตย์ ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่าอวิ๋นจิ่น ผ้าแพรอวิ๋นจิ่นมีค่าสูงลิบ ต้องใช้ช่างทอที่ชำนาญที่สุดสองคนทำงานร่วมกัน หนึ่งวันทอได้เพียงประมาณหนึ่งชุ่น ดังนั้นจึงมีอีกชื่อว่าชุ่นแพรชุ่นทอง ทว่าผ้าแพรที่มีน้อยและงามวิจิตรเหล่านี้ล้วนต้องถวายผู้สูงศักดิ์ในวังทั้งหมด ผู้ที่มีเส้นสายกับทางสำนักกิจการสิ่งทอถึงจะสามารถซื้อหาได้เล็กๆ น้อยๆ มิหนำซ้ำล้วนเป็นจำนวนที่น้อยมาก ไม่อาจขายจำนวนมากได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ราคาผ้าแพรอวิ๋นจิ่นในหมู่ราษฎรแค่คิดดูก็รู้แล้ว
แม้แต่เหล่าคุณหนูที่เกิดและเติบโตมาในจวนโหวยังรู้สึกว่าหายาก นับประสาอะไรกับฉู่จิ่นเหยา นางอดไม่ได้ที่จะลูบคลำอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าคราวนี้กลับทำเสียเรื่อง นิ้วนางยังมีรอยด้านจากการทำไร่ทำนาในอดีต เมื่อแตะลงบนผ้าแพรที่บอบบางล้ำค่าเหล่านี้ก็ถึงกับเกี่ยวเอาเส้นไหมเส้นหนึ่งออกมา
ฉู่จิ่นเหยารีบหดมือ ท่าทางของนางรบกวนคนอื่นๆ ไม่น้อย ฉู่จิ่นเจียว คุณหนูเจ็ดของบ้านรองมองเห็นเข้าก็โวยวายทันควัน
“ไยท่านเกี่ยวไหมของผ้าแพรอวิ๋นจิ่นออกมาเสียแล้ว”
ฉู่จิ่นเหยากุมมือของตนเองไว้แน่น พอคนอื่นมองมาก็เผยสายตาแปลกๆ ออกมาเช่นกัน นิ้วมือเนียนนุ่มของฉู่จิ่นเมี่ยวลูบไล้ไปบนผ้าแพร มุมปากยกขึ้นน้อยๆ เป็นรอยยิ้ม
สมกับที่มาจากบ้านนอกจริงๆ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
ฉู่จิ่นเสียนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยตักเตือนว่า “พอได้แล้ว แค่ผ้าแพรพับเดียว ถึงอย่างไรทุกคนก็ต้องเลือกกันคนละพับ พับนี้เป็นของน้องหญิงห้า ของของนางจะทำอย่างไรก็แล้วแต่นาง”
คุณหนูเจ็ดเบ้ปาก “พับนั้นเป็นพื้นขาวทอลายบุปผากลมสีม่วง ข้าก็ชอบเช่นกัน แล้วเหตุใดต้องให้นาง”
ฉู่จิ่นเสียนทำหน้าเคร่งขรึม แสดงท่าทีของพี่สาวคนโตสายตรงออกมา ถลึงตามองไปยังคุณหนูเจ็ด คราวนี้คุณหนูเจ็ดจึงได้หุบปากลงด้วยท่าทางขุ่นเคือง
เหตุการณ์เล็กๆ นี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหล่าคุณหนูตั้งใจเลือกผ้ากันอย่างชื่นมื่นอีกครั้ง แม้จะมองพวกนางจากภายนอกไม่ออก แต่ฉู่จิ่นเหยารู้ว่าในใจพวกนางกำลังหัวเราะเยาะตนอยู่
พอเลือกผ้ากันเรียบร้อย เหล่าคุณหนูยังต้องอยู่ทำงานเย็บปักถักร้อยด้วยกัน ในสายตาคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนคอยจับจ้องอยู่ไม่กี่เรื่อง หนึ่งในนั้นคือเรื่องเสื้อผ้าของตนเอง และเนื่องจากลวดลายงามๆ มีอยู่ไม่กี่ลาย เหล่าพี่น้องจึงมิวายเริ่มทะเลาะกัน ฉู่จิ่นเหยารู้สึกอึดอัดมาโดยตลอด ประจวบเหมาะกับในห้องวุ่นวาย นางจึงเดินไปตรงหน้าฉู่จิ่นเสียนก่อนเอ่ยกระซิบ
“พี่หญิงใหญ่ ข้าออกไปก่อนนะเจ้าคะ”
ฉู่จิ่นเสียนมองฉู่จิ่นเหยา อยากพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจ “ไปเถิด”
ฉู่จิ่นเหยาเดินกลับเรือนตนเองโดยไม่หยุดพักและไม่พูดไม่จาตลอดทาง ติงเซียงถือพับผ้าแพรไว้ เจ้านายไม่พูดนางก็ไม่พูด ส่วนซานฉาเดินตามหลังฉู่จิ่นเหยา ฉู่จิ่นเหยาเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนซานฉาเริ่มหอบ
ในใจซานฉาคิดว่าสมแล้วที่เติบโตมาในชนบท สุดท้ายก็ไม่เหมือนกับคุณหนูตัวจริง เหล่าคุณหนูเดินสองก้าวก็หอบแล้ว ไฉนเลยจะเหมือนกับนางเล่า จากเรือนหรงหนิงถึงเรือนเจาอวิ๋น* สาวใช้อย่างนางยังมีอาการหอบ ทว่าฉู่จิ่นเหยากลับไม่เป็นอะไรสักนิด
แม้เรือนเจาอวิ๋นที่ฉู่จิ่นเหยาพักจะมีชื่อไพเราะน่าฟัง แต่ตำแหน่งที่ตั้งกลับค่อนข้างเปลี่ยว จวนฉางซิงโหวหันหน้าไปทางทิศใต้ แบ่งทางเดินเป็นสามทางคือทางทิศตะวันออก ตรงกลาง และทางทิศตะวันตก เรือนที่หรูหรางดงามและมีเกียรติที่สุดที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของทางเดินตรงกลางคือเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ ส่วนท่านโหวกับจ้าวซื่อพักในเรือนช่วงกลางของทางเดินกลาง ทางเดินสองฝั่งซ้ายขวาเป็นที่พักของบ้านสายอื่น ฉู่จิ่นเหยาเป็นบุตรสาวสายตรงของบ้านใหญ่ควรที่จะพักอยู่กับจ้าวซื่อ แต่จ้าวซื่อพักในเรือนหลัก เรือนสองฝั่งซ้ายขวามีคุณหนูใหญ่กับคุณหนูสี่พักอยู่แล้ว เรือนของคุณหนูใหญ่มีขนาดใหญ่ที่สุด ด้านหลังมีเรือนเล็กตั้งอยู่อิสระอีกเรือนหนึ่ง เป็นที่พักของคุณหนูสายรองคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าย้ายไปพักไม่ได้ หลังเรือนของคุณหนูสี่ยังมีเรือนเล็กว่างอยู่ ทว่านั่นเป็นที่สำหรับเก็บสินเดิมเจ้าสาวของจ้าวซื่อ จางหมัวมัวออกความคิดให้ขนสินเดิมเจ้าสาวไปไว้ที่ห้องด้านหลังเรือนหลักแล้วยกเรือนนี้ให้คุณหนูห้า แต่จ้าวซื่อบอกว่าห้องด้านหลังเรือนหลักชื้น เกรงว่าจะวางหีบไม้จันทน์แดงไว้ไม่ได้จึงได้หาเรือนที่ไม่ได้ใช้งานอีกเรือนหนึ่งตรงทางเดินทิศตะวันออกให้ฉู่จิ่นเหยาพัก
เรือนเจาอวิ๋นอยู่มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทางเดิน ทั้งไกลและเปลี่ยว มีคนน้อยยิ่งที่ยอมเดินมาไกลเพียงนี้ ฉู่จิ่นเหยามาที่นี่ก็พัอยู่ที่เรือนซึ่งแยกเป็นอิสระเพียงคนเดียว ลำพังดูจากพื้นที่มีขนาดใหญ่กว่าเรือนของคุณหนูใหญ่เสียอีก ทว่าความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ฉู่จิ่นเหยาคิดเงียบๆ ว่าแม้แต่ในหมู่บ้านของนาง บุตรชายบุตรสาวยังต้องอยู่ด้วยกันกับบิดามารดา ให้นางแยกออกมาอยู่คนเดียวเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจ้าวซื่อไม่ยินดีต้อนรับนาง ไม่อยากเห็นหน้านางแม้แต่น้อย
ซานฉาลูบผ้าแพรอวิ๋นจิ่นด้วยความดีอกดีใจ ในใจคิดว่านี่เป็นถึงผ้าแพรอวิ๋นจิ่นที่เป็นเครื่องราชบรรณาการ ถึงอย่างไรคุณหนูห้าก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ต้องเป็นพวกนางรับช่วงตัดเย็บ ยามตัดเย็บน่าจะลักส่วนหนึ่งมาเป็นสินเดิมเจ้าสาวของตนเองได้
ซานฉาชอบผ้าแพรอวิ๋นจิ่นพื้นขาวทอลายบุปผากลมสีม่วงพับนี้จนละสายตาไม่ได้ แต่ฉู่จิ่นเหยากลับไม่สนใจโดยสิ้นเชิง
“เก็บไปเถิด”
“เก็บไปหรือเจ้าคะ” ซานฉาเสียดาย จับผ้าไว้ไม่อยากปล่อยมือ ติงเซียนก้าวไปหยิบ ซานฉาก็คว้าปลายอีกด้านไว้ไม่ยอมปล่อย ติงเซียงถลึงตาใส่นางอย่างเข่นเขี้ยวแล้วกล่าวขึ้น
“เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าคุณหนูพูดว่าอะไร”
คราวนี้ซานฉาถึงได้ปล่อยมืออย่างไม่เต็มใจ มองติงเซียงนำผ้าแพรอวิ๋นจิ่นไปเก็บแล้วลั่นกุญแจไว้ มิหนำซ้ำยังเก็บกุญแจไว้ด้วย
“ข้าไม่มีงานให้พวกเจ้าทำแล้ว พวกเจ้าออกไปเถิด”
ติงเซียงกับซานฉามองหน้ากัน ในห้องคุณหนูต้องมีคนอยู่ตลอด…หากแต่สีหน้าของฉู่จิ่นเหยาไม่สู้ดีนัก สุดท้ายพวกนางก็ไม่กล้าเอ่ยปาก จึงยอบกายแล้วกล่าวขึ้น
“คุณหนู เช่นนั้นพวกบ่าวออกไปก่อนนะเจ้าคะ”
“อืม”
พอในห้องเงียบสงบแล้ว ฉู่จิ่นเหยาก็ไปนั่งกอดเข่าบนเตียงพิงเสาเตียงอย่างอับจนหนทาง
ในจวนหลังนี้แม้นางจะอยู่ในสายตาแต่มารดาก็ทำเป็นไม่เห็น ท่านย่าอยู่สูงเกินเอื้อม บิดาที่พานางกลับมาก็หายหน้าหายตาไปหลายวันแล้ว นางไม่มีคนใกล้ชิดแม้แต่คนเดียว ภายในใจเคว้งคว้างและทำอะไรไม่ถูก แม้แต่ญาติพี่น้องก็จงใจเหยียดหยามนาง นางไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้อย่างไร
ฉู่จิ่นเหยาคิดอยู่เสมอว่ายามนี้ทุกคนยังไม่คุ้นเคยกับนาง รอเวลาผ่านไปจะดีขึ้นเอง นางพยายามเรียนรู้อย่างมาก แต่ยังคงไร้หนทางจะกลมกลืนไปกับจวนโหวได้ การที่นางไม่เข้าใจกฎระเบียบของตระกูลชั้นสูงเหล่านี้มิใช่ความผิดของนาง เหตุใดทุกคนไม่ยอมแม้แต่จะให้โอกาสนาง
ฉู่จิ่นเหยาคิดไปคิดมาน้ำตาก็ร่วงโดยไม่รู้ตัว บุตรคนยากไร้ต้องรับผิดชอบงานในเรือนเร็ว แม้แต่ร้องไห้ฉู่จิ่นเหยายังร้องอย่างไร้สุ้มเสียง เนื่องจากนางรู้ว่าต่อให้ตนเองร้องไห้ออกเสียงก็จะไม่มีใครมาปลอบโยน มีแต่จะทำให้ซูฮุ่ยผู้เป็นพี่สาวเป็นห่วง
ผ่านไปครู่หนึ่งในห้องที่เงียบงันพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เจ้าไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
บทที่ 3.2 พจนาในหยก
ฉู่จิ่นเหยาสะดุ้ง ลืมร้องไห้ไปในทันที บนแก้มนางยังมีคราบน้ำตาอยู่ แต่คนกลับลุกขึ้นมองไปรอบห้อง
ในห้องมีคนหรือ
แต่ข้าให้คนทั้งหมดออกไปแล้ว…ไม่ใช่ เสียงเมื่อครู่นี้ถึงแม้จะกังวานใสปานสายน้ำไหลกระทบหยก แต่ฟังจากลักษณะเสียงชัดเจนว่าเป็นบุรุษ
ฉู่จิ่นเหยามองดูรอบๆ ก็ยังไม่เห็นว่ามีใครในห้อง ขนทั่วกายนางก็ลุกชัน เรือนหลังนี้ทั้งไกลและเปลี่ยว ได้ยินว่าปล่อยว่างมานานหลายปีแล้ว…หรือที่นี่จะมีผี
นางหน้าซีดแล้ว จากนั้นก็เอ่ยปากพูดอย่างตะกุกตะกัก “ท่านเป็นเทพจากแห่งหนใด” ทว่าฝีเท้าค่อยๆ เคลื่อนไปทางประตู ตั้งใจว่าพอเดินไปถึงก็จะเปิดประตูร้องขอความช่วยเหลือทันที
เสียงนั้นเงียบไปเนิ่นนาน ผ่านไปครู่หนึ่งอีกฝ่ายก็หัวเราะแผ่วเบา เสียงฟังดูขบขันเนื่องจากรู้ทัน “เจ้าคิดว่าข้าเป็นผีหรือ”
ฉู่จิ่นเหยาชะงักไปเล็กน้อย ย้อนถามว่า “แล้วไม่ใช่หรือ”
ใจนางยังคงเต้นรัวเร็ว เหตุใดนางรู้สึกว่าเสียงนี้เข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีเล่า คล้ายอยู่รอบกายนางนี้เอง…
“ข้างหลังเจ้ามีของวางอยู่!”
“ว้าย!” ฉู่จิ่นเหยาร้องพลางกอดเข่าทรุดนั่งลง ส่วนอีกฝ่ายเห็นว่าแค่พูดไปประโยคเดียวก็ทำเอานางตกใจจนมีสภาพเช่นนี้จึงหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง เสียงหัวเราะนี้ไม่เหมือนกับเสียงหัวเราะก่อนหน้า เสียงก่อนหน้านั้นเย็นชาเป็นที่สุด คล้ายเกิดจากความเคยชินมานานปี ทว่ายามนี้กลับกลั้นไม่ไหวอย่างแท้จริง
เสียงของอีกฝ่ายน่าฟังมาก นี่เป็นเสียงที่น่าฟังที่สุดเท่าที่ฉู่จิ่นเหยาเคยได้ยินนับตั้งแต่โตมาจนป่านนี้ แต่กระนั้นก็ไม่อาจกลบความน่าชังของอีกฝ่ายได้ ยามนี้ฉู่จิ่นเหยาแยกแยะได้แล้วว่าเสียงดังออกมาจากในจี้หยกพกของนาง!
ฉู่จิ่นเหยากระชากจี้หยกพกออกมาแล้วโยนไปบนเตียงอย่างแรง ปากก็ด่าทอว่า “ผีสารเลว!”
จี้หยกพกกระเด็นบนเตียงไม่กี่ทีก็ตกลงไปบนพื้น อีกฝ่ายคล้ายคาดไม่ถึง เอ่ยถามว่า “เจ้าพูดอะไร”
ขณะพูดประโยคนี้เสียงของเขาปราศจากคลื่นอารมณ์ แต่หางเสียงกลับตวัดสูงขึ้นเล็กน้อย แววข่มขู่ฉายชัด ฉู่จิ่นเหยาได้ยินว่าผีสารเลวตนนี้เกือบทำนางตกใจตาย บัดนี้ยังกำเริบเสิบสานอีก นางก็ยิ่งโมโห เร่งฝีเท้าเดินไปที่พื้นข้างเตียง เก็บจี้หยกพกขึ้นมาปาลงบนเตียงอย่างแรงอีกครา
“ท่านทำคนตกใจยังมีหน้ามาถามอีกหรือ”
ฉู่จิ่นเหยาเติบโตมาในหมู่บ้านชนบท อีกทั้งในเรือนก็มิได้สงบสุข ดังนั้นนางจึงมิได้มีนิสัยยอมคน ที่นางยอมอยู่อย่างคับข้องใจที่จวนโหวในช่วงที่ผ่านมา หนึ่งเพราะถูกความเฟื่องฟูของจวนโหวทำให้ตกตะลึง แม้แต่ฮ่องเต้เห็นตำหนักสวรรค์ยังต้องกริ่งเกรง แล้วแม่นางน้อยอายุสิบสามปีเช่นนางมาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ที่มีแต่สิ่งที่ไม่รู้จักจะปรับตัวได้อย่างไร สองเป็นเพราะฉู่จิ่นเหยาอยากอยู่ร่วมกับญาติพี่น้องที่แท้จริงด้วยดี ดังนั้นไม่ว่านางเห็นใครจึงส่งยิ้มน้อยๆ ให้ก่อน มารยาทจำพวกการคารวะทักทาย นางเองก็พยายามหัดและเลียนแบบเช่นกัน แม้ตอนนี้นางจะหัดได้ไม่ดีนักก็ตามที
บัดนี้ได้ประสบพบเจอกับภูตผีที่ไม่รู้ที่มาและชอบแกล้งมนุษย์ มิหนำซ้ำยังกำเริบเสิบสานเป็นพิเศษ ฉู่จิ่นเหยาจึงระเบิดโทสะที่มีอยู่เต็มอกออกมาทันที แม้นางจะพาลพาโล แต่สมองกลับแจ่มชัดยิ่ง นางออกแรงปาจี้หยกพก ทว่าล้วนปาลงบนเตียง ล้อเล่นหรือไร นี่เป็นจี้หยกพกคุ้มภัยที่นางพกมาตั้งแต่เล็กจนโต หากทำเสียหายนางคงจะปวดใจยิ่งกว่าใคร ต่อให้ต้องการสั่งสอนภูตผีที่ไม่รู้ที่มาตนนี้ก็มิอาจปาของของตนเองเสียหายได้!
เห็นได้ชัดว่าเสียงในจี้หยกพกก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีคนกล้าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ เขาถูกปาซ้ำไปมาโดยมิได้พูดอะไร พออีกฝ่ายหยุดลงเขาก็หัวเราะเสียงเย็น
“เจ้าคือฉู่จิ่นเหยาแห่งจวนฉางซิงโหวใช่หรือไม่ เจ้ารอก่อนเถิด”
“ท่านรู้ชื่อข้าได้อย่างไร” ฉู่จิ่นเหยาทั้งตกใจและสงสัย แต่นางยังไม่ทันได้คำตอบจากอีกฝ่าย เวลานี้ก็มีเสียงของซานฉาดังมาจากนอกห้องแล้ว
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
ฉู่จิ่นเหยาทั้งร้องและปาข้าวของ ทำเอาคนข้างนอกตื่นตกใจอยู่นานแล้ว
นางมิได้ขานตอบซานฉา กลับลดเสียงลงแล้วเกาะเตียงพูดข่มขู่จี้หยกพก “ท่านชี้แจงมาเสียดีๆ มิฉะนั้นข้าจะส่งท่านให้คนข้างนอก ถึงเวลานั้นจะเชิญภิกษุนักพรตมาทำพิธี ดีไม่ดีดวงวิญญาณท่านจะแตกสลาย!”
เสียงในจี้หยกพกหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู ข้าโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยมีใครกล้าข่มขู่ข้ามาก่อน”
อีกฝ่ายไม่รับทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ฉู่จิ่นเหยาก็จนปัญญาแล้วจริงๆ เห็นทีข้างในจี้หยกพกคงจะมิใช่ผีร้ายอะไร น่าจะเป็นภูตมากกว่า ตอนอยู่ที่หมู่บ้านฉู่จิ่นเหยาเคยได้ยินคนพูดว่าหยกมีพลังศักดิ์สิทธิ์ ผู้ฝึกตนมากมายอาศัยพลังฟ้าดินในหยกเพื่อบำเพ็ญเป็นเซียน แม้แต่การที่มนุษย์ปุถุชนพกหยกก็ยังมีผลดี ฉู่จิ่นเหยารู้สึกมาตั้งแต่เล็กว่าหยกของตนนั้นวิเศษที่สุด พกแล้วตนก็ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยตลอดทั้งปี ดังนั้นการที่หยกปรากฏภูตออกมา แม้ฉู่จิ่นเหยาจะแปลกใจ แต่ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล
นางพกหยกติดกายไว้ตลอด มิฉะนั้นคงถูกซูเซิ่งขโมยไปนานแล้ว เมื่อมาถึงจวนโหวที่นี่มีพิธีรีตองมากมาย เสื้อผ้าทั้งนอกและในต้องสวมใส่หลายชั้น ฉู่จิ่นเหยาไม่สะดวกจะพกติดกายอีก ทำได้เพียงใช้ถุงตาข่ายหุ้มไว้นอกจี้หยกพกแล้วห้อยไว้ชั้นนอกสุดของเสื้อผ้าตามอย่างคนอื่นๆ
อันที่จริงฉู่จิ่นเหยามิได้คิดจะส่งจี้หยกพกออกไปจริงๆ นางเพียงแต่ข่มขู่เท่านั้น นี่เป็นหยกของนาง อยู่กับนางมาสิบสามปี ต่อให้ในหยกมีภูตจริงๆ ฉู่จิ่นเหยาก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นภูตที่ดีและย่อมต้องเข้าข้างนาง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจริงๆ ขอเพียงภูตในจี้หยกพกนี้ปิดปากเงียบ ใครจะรู้ว่าฉู่จิ่นเหยาพูดความจริงหรือไม่ ดีไม่ดีคนในจวนโหวยังจะสงสัยว่านางสมองไม่ปกติ เลอะเลือนยามกลางวันแสกๆ ถึงเวลานั้นจ้าวซื่อก็จะมีข้ออ้างขับไล่นางออกไป นางไม่ได้โง่เสียหน่อย จวนโหวเดิมทีก็เป็นบ้านของนาง มีสิทธิ์อะไรมาไล่นางออกไปแล้วเก็บที่ไว้ให้คนนอกเล่า ดังนั้นนางจะต้องอยู่ต่อไปให้ได้และจะต้องอยู่ได้อย่างดีด้วย
ครั้นเห็นว่าข่มขู่ภูตในจี้หยกพกไม่ได้แล้ว อีกทั้งซานฉาก็ตะโกนเรียกอยู่ข้างนอก ฉู่จิ่นเหยาจึงได้แต่ส่งเสียงตอบกลับไป
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไปเถิด”
เมื่อได้ยินฉู่จิ่นเหยายืนยัน ซานฉาก็บ่นพึมพำสองสามคำแล้วจากไปทั้งอย่างนี้ ฉู่จิ่นเหยาได้ยินเสียงซานฉาเดินไปไกลแล้ว นางจึงมองมายังจี้หยกพกอีกครั้ง
“เหตุใดท่านถึงมาอยู่ในจี้หยกพกของข้า ท่านมีชื่อหรือไม่”
ฉินอี๋อยากรู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงได้มาอยู่ในจี้หยกพกของคุณหนูตระกูลโหว วันนั้นเขาพาคนไล่โจมตีพวกคนเถื่อนชาวต๋าต๋ากลุ่มนั้น ต่อมาคล้ายจะได้รับบาดเจ็บ พอเขาฟื้นคืนสติก็พบว่าตนเองมาอยู่ในนี้แล้ว
ฉินอี๋คาดเดาว่าดวงวิญญาณของตนเองน่าจะออกจากร่างเหมือนกับที่นักพรตในวังเหล่านั้นพูด วันนั้นเขาบาดเจ็บไม่น้อย อาจเพราะบาดเจ็บถึงแก่นฐาน ดวงวิญญาณจึงไม่มีที่ให้สถิต อันที่จริงฉินอี๋ก็มีจี้หยกพกที่คล้ายคลึงกับของฉู่จิ่นเหยาเช่นกัน เป็นหยกขาวมีริ้วแดงดุจโลหิต เนื้อหยกเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่จี้หยกพกของเขามีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย หลายปีมานี้ฉินอี๋พกติดกายมาโดยตลอด วันนั้นรีบร้อนออกไปจึงลืมไว้ หลังบาดเจ็บสาหัสถึงได้มาอยู่ในจี้หยกพกของฉู่จิ่นเหยา จี้หยกพกชนิดนี้คงมีฤทธิ์หล่อเลี้ยงดวงวิญญาณ ฉินอี๋อยู่เช่นนี้สบายขึ้นไม่น้อย ปีนั้นนักพรตพเนจรผู้นั้นหลอกขายจี้หยกพกให้มารดาในราคาสูง อวดอ้างว่าสามารถช่วยรักษาชีวิตได้ในยามคับขัน เดิมทีฉินอี๋แค่นเสียงดูถูก ทว่าจากสถานการณ์ในยามนี้ดูเหมือนมันจะช่วยเขาได้จริงๆ
เขารู้สึกได้ว่าทุกครั้งที่ริ้วแดงในหยกขาวหายไปหนึ่งเส้น ดวงวิญญาณของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมาก
ส่วนคำถามข้อหลัง ฉินอี๋ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนตอบ “ข้ามีนามว่าฉีเจ๋อ เจ้าเรียกข้าว่าฉีเจ๋อก็แล้วกัน”
“ฉีเจ๋อ…” ฉู่จิ่นเหยาทวนก่อนเอ่ยชม “เป็นชื่อที่ดี”
“แน่นอน” ฉินอี๋รับคำช้าๆ ช่วงที่เขาเกิดเป็นธาตุน้ำ หลังเขาเกิดราชครูเป็นผู้คิดชื่อ ส่วนโหรหลวงเป็นผู้ทำนายดวงชะตา ราชครูบอกว่า ‘อี๋’ หมายถึงมหานทีที่มีเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ และตั้งชื่อรองให้เขาว่า ‘อี่เจ๋อ’ หมายถึงด้วยความกรุณา ฉินอี๋เลือกอักษรตัวหนึ่งจากชื่อรองของตนเองมารวมกับสกุลของมารดา ดังนั้นนี่จึงเป็นชื่อที่ดีจริงๆ เป็นชื่อที่ได้จากราชครูและเหล่าขุนนาง
ฉู่จิ่นเหยาแทบจะสำลัก นางอยากอยู่ร่วมกับฉีเจ๋อด้วยดี ถึงได้เอ่ยปากชมชื่อของเขา แต่มีคำกล่าวที่ว่าไม่ตบหน้าผู้ที่ยิ้มให้มิใช่หรือ แต่ฉีเจ๋อถึงกับตอบรับอย่างหน้าตาเฉยเสียอย่างนั้น
ฉู่จิ่นเหยารู้สึกว่าภูตตนนี้จะต้องเพิ่งกลายเป็นภูตอย่างแน่นอน ยังไม่เข้าใจการปฏิบัติตนและอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ ฉู่จิ่นเหยาคิดว่าตนเองต้องเข้าใจและให้อภัยเขาให้มาก ด้วยเหตุนี้นางจึงมิได้ถือสาหาความฉีเจ๋ออีกอย่างใจกว้าง แต่เอ่ยถามเขา
“ฉีเจ๋อ ท่านมาอยู่ในจี้หยกพกของข้าตั้งแต่เมื่อไร”
ฉินอี๋พูดไม่ออกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผ่านไปครู่หนึ่งก็ตอบอย่างคลุมเครือว่า “ไม่กี่วันก่อนกระมัง”
“ไม่กี่วันก่อนหรือ…” ฉู่จิ่นเหยากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “เช่นนั้นเรื่องในวันนี้ท่านก็เห็นทั้งหมดหรือ”
อันที่จริงเขาเห็นมากกว่านั้นเสียอีก
ฉินอี๋ถูกเสียงร่ำไห้ของสตรีทำให้ตื่น เดิมทีเขายังอยากจะตวาดว่าใครบังอาจมาร้องไห้ในห้องเขา แต่พอจะส่งเสียงกลับพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หลังจากประหลาดใจและคิดไม่ถึงในตอนแรก ฉินอี๋ก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว จับตาดูสถานการณ์อย่างเงียบเชียบ ต่อมาเขาก็ได้รู้ว่าสตรีตรงหน้านี้มีนามว่าฉู่จิ่นเหยา เพิ่งถูกตามตัวกลับมาจากข้างนอก ที่ร้องไห้เมื่อครู่นี้เป็นเพราะได้ยินถ้อยคำไม่ค่อยดีจากมารดาบังเกิดเกล้า
เขารู้สึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้น่าสงสารไม่น้อย แต่เขายังคงไม่คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว คนเป็นๆ คนหนึ่งดวงวิญญาณออกจากร่าง มิหนำซ้ำยังมาพักฟื้นอยู่ในจี้หยกพกของคุณหนูตระกูลโหว ฉินอี๋เองก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่อยากให้สกุลฉู่รู้ถึงการมีอยู่ของตนเอง ดังนั้นช่วงที่ผ่านมาฉินอี๋จึงมิได้พูดอันใด เพียงอยู่ในจี้หยกพกของฉู่จิ่นเหยาอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง รอให้อาการบาดเจ็บหายดีแล้วค่อยจากไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉู่จิ่นเหยาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น นางห้อยจี้หยกพกออกนอกเรือนไปคารวะญาติผู้ใหญ่โดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ตกเย็นกลับมาก็กอดจี้หยกพกร้องไห้เพียงลำพัง ฉินอี๋กระอักกระอ่วนอยู่บ้าง นอกจากนั้นยังร้อนตัวเล็กน้อย
ใกล้ชิดกับสตรีนางหนึ่งเช่นนี้ ไปไหนมาไหนด้วยกัน นอนหลับไปด้วยกัน ต่อให้เป็นสามีภรรยากันก็ยังไม่ทำถึงขั้นนี้
เดิมทีฉินอี๋ตั้งใจจะเก็บเรื่องนี้ให้ตายไปกับตน แต่วันนี้ฉู่จิ่นเหยาพิงเสาเตียงร้องไห้ มิหนำซ้ำยังเป็นการหลั่งน้ำตาเงียบๆ ไร้สุ้มเสียง เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงได้แต่ปลอบอย่างแห้งแล้งไปประโยคหนึ่ง ‘เจ้าไม่ต้องร้องไห้แล้ว’
นี่นับเป็นความใจดีและเอาใจใส่อย่างหาได้ยากในชีวิตของฉินอี๋แล้ว
ผลคือนางไม่รับการปลอบโยน แต่กลับดูตกใจอย่างมาก จากนั้นยังบังอาจไม่เคารพเขาอีกด้วย ฉินอี๋คิดว่าเห็นแก่ที่จี้หยกพกของนางนับว่าช่วยเหลือเขาอยู่ไม่มากก็น้อย เขาจะจดจำความผิดนางไว้ก่อน ยังไม่เอาเรื่อง หากวันหลังยังล่วงเกินเขาอีก…ฮึ
ฉู่จิ่นเหยาไม่รู้ว่าในเวลาสั้นๆ เพียงชั่วขณะตนเองได้ไปเดินเฉียดบนรายชื่อที่องครักษ์เสื้อแพรให้การดูแลเป็นพิเศษมาแล้ว นางยังคงถือสากับเรื่องเมื่อครู่อยู่
“เช่นนั้นเรื่องที่วันนี้ข้าทำผ้าแพรอวิ๋นจิ่นเสียหาย ท่านก็เห็นแล้วเช่นกันใช่หรือไม่”
“ผ้าแพรอวิ๋นจิ่นพับเดียวเท่านั้นเอง” ฉินอี๋แค่นเสียง ทุกปีเชื้อพระวงศ์ล้วนได้รับเป็นกองเท่าภูเขา ในวังหลวงผ้าแพรอวิ๋นจิ่นหาได้ทั่วไป เป็นแค่ผ้าสำหรับใช้ตัดชุดเท่านั้นเอง ฉู่จิ่นเหยาร้องไห้เพราะผ้าพับเดียว ฉินอี๋ก็ไร้หนทางจะเข้าใจจริงๆ ในใจเขาคิดว่าหากฉู่จิ่นเหยาชอบ รอเขาหายดีแล้วจะให้คนส่งมาให้นางสักหนึ่งคันรถก็ย่อมได้ ขอเพียงวันหน้านางจะไม่ร้องไห้อีก
ฉู่จิ่นเหยากลับถอนหายใจ “มิใช่เพราะผ้าแพรอวิ๋นจิ่นเสียหน่อย…”
นางนั่งลงบนแท่นรองเท้า วางคางกับเตียง เริ่มประจันหน้าคุยกับจี้หยกพก “ถึงผ้าแพรอวิ๋นจิ่นจะหายาก แต่ที่สุดแล้วก็เป็นเพียงผ้าพับหนึ่ง มีย่อมดี ไม่มีก็สวมที่ด้อยกว่าเล็กน้อยก็ไม่เห็นเป็นไร มีค่าถึงขั้นต้องร้องไห้เสียที่ใดกัน ที่ข้าทนไม่ไหวจนต้องร้องไห้เพียงเพราะรู้สึกอับจนหนทางเท่านั้นเอง ข้าพยายามปรับตัวเข้ากับชีวิตความเป็นอยู่ของที่นี่แล้วจริงๆ แต่ข้าไม่เคยอยู่ในตระกูลใหญ่โต ไฉนเลยจะรู้พิธีรีตองในตระกูลชั้นสูงเช่นนี้ ต่อให้ข้าพยายามเรียนรู้อย่างสุดชีวิต พวกเขาก็ควรให้เวลาข้าเรียนรู้มิใช่หรือ ทว่าพวกเขาไม่ให้ พวกเขาล้วนกำลังหัวเราะเยาะข้า ส่วนมารดาของข้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าเพิ่งมา ไม่เข้าใจอะไรสักเรื่อง นางกลับไม่หาคนมาสอนกฎระเบียบมารยาทให้ข้าสักคน”
ได้ยินคำพูดประโยคแรกๆ ของฉู่จิ่นเหยาแล้วฉินอี๋เห็นด้วยอย่างยิ่ง ไม่ผิด ต่อให้ล้ำค่าเพียงใดก็เป็นแค่สิ่งของไร้ชีวิต ไฉนเลยจะมีค่าพอให้คนเป็นๆ ต้องเป็นทุกข์เพราะมันด้วยเล่า แต่ครั้นได้ยินประโยคหลังๆ ถึงจะเป็นคนไร้เหตุผลเช่นฉินอี๋ก็ยังรู้สึกปวดใจไปด้วย
บุตรสาวที่เพิ่งถูกตามตัวกลับมา ในครอบครัวทั่วไปผู้เป็นมารดาย่อมคอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ คอยแนะนำสั่งสอนด้วยตนเอง แทบอยากจะมอบความรักของมารดาที่ขาดหายไปชดเชยให้ทั้งหมด ทว่าสถานการณ์ของฉู่จิ่นเหยานี้ จ้าวซื่อไม่ยอมส่งหมัวมัวดีๆ มาให้ด้วยซ้ำ ฉินอี๋รู้สึกว่าไม่ใช่ว่านางไม่ยอมส่งมา ฮูหยินท่านโหวผู้สง่าผ่าเผยคงไม่ใจแคบปานนั้น จ้าวซื่อน่าจะลืมมากกว่า นางคงมิได้ใส่ใจโดยสิ้นเชิง
ฉู่จิ่นเหยาเพิ่งอายุสิบสามปี เข้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยอย่างกะทันหัน ในใจจะหวาดหวั่นและอับจนหนทางมากเพียงใด จ้าวซื่อผู้เป็นมารดากลับไม่ใส่ใจ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าฉู่สูงส่งเหนือใคร มองไม่เห็นความทุกข์ยากของคนเบื้องล่าง ขณะที่ฉางซิงโหวมาที่เรือนในน้อยครั้งยิ่ง ย่อมลืมบุตรสาวที่เพิ่งตามตัวกลับมาคนนี้ไปนานแล้ว สุดท้ายก็เป็นคนนอกอย่างเขาผู้นี้ที่ทนดูต่อไปไม่ได้จึงกล่าวขึ้น
“ข้าเข้าใจเรื่องกฎระเบียบมารยาทของสตรีชั้นสูง ข้าสอนเจ้าก็แล้วกัน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ม.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.